ทดลองอ่านเรื่อง His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ผู้เขียน : เชียนสือจิ่ว (千十九)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในภาวะสงคราม
มีการกล่าวถึงเลือดและสภาพศพ การข่มขืน การฆ่าตัวตาย
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การใช้ถ้อยคำเหยียดหยาม
อาการป่วยทางจิต บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
ตอนที่สายตาของเซียวอี้ฉือหยุดที่นาฬิกาปาเต็ก ฟิลิปป์* บนข้อมือของอวี๋จือเหนียน เขาก็รู้แล้วว่านัดบอดครั้งนี้ล่มไม่เป็นท่า
คุณป้าม่ายเพื่อนบ้านเก่าแก่ของเขาแนะนำอวี๋จือเหนียนไว้แบบนี้ ‘ทำงานสำนักงานกฎหมาย 996** อายุสามสิบกว่าๆ เป็นคนซื่อสัตย์มาก’
คุณป้าม่ายเองก็ได้รับการแนะนำมาจากคุณป้าพานซึ่งเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มแอโรบิกกลางแจ้งมาอีกที คุณป้าพานบอกว่าเขาเป็นหลานชายของเธอ เป็นคนนิสัยดีเยี่ยม แต่ล้มเหลวเรื่องความรัก ตอนนี้กฎหมายการสมรสเท่าเทียมก็ผ่านแล้วก็เลยอยากจะหาคนดีๆ สักคนมาอยู่กับเขา
ในเมื่อเพื่อนบ้านอาวุโสเอ่ยปากแนะนำ เซียวอี้ฉือก็พูดไม่ออก อีกทั้งตัวเขาเองก็อยากจะมีใครสักคนเหมือนกันจึงได้ตอบตกลงไป
วันนี้เขาแต่งตัวออกจากบ้านมาอย่างดี ใครๆ ก็รู้ดีว่าความประทับใจแรกนั้นสำคัญ
พวกเขาไม่ได้เพิ่มเพื่อนกันบนบัญชีโซเชียลมีเดีย เป็นการนำพาของคุณป้าผู้กระตือรือร้นทั้งสองล้วนๆ ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงจะพบกันที่ร้านกาแฟใกล้กับเขตชุมชนที่เซียวอี้ฉืออาศัยอยู่
เซียวอี้ฉือสังเกตเห็นอีกฝ่ายทันทีที่ผลักประตูเข้าไป
อวี๋จือเหนียนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เพราะนั่งอยู่และมีโต๊ะบังทำให้มองเห็นไม่ชัดว่าอีกฝ่ายใส่กางเกงสีอะไร
แต่ว่าคนคนนี้สะดุดตามากเพราะหน้าตาที่หล่อเหลา โครงหน้าชัดเจน จมูกโด่ง แววตาล้ำลึก ต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นเซียวอี้ฉือแล้วเช่นกันจึงมองมาทางนี้
“สวัสดี ฉันคือเซียวอี้ฉือ” เซียวอี้ฉือเดินเข้าไปทักทายเขา
“สวัสดี ผมอวี๋จือเหนียน” อวี๋จือเหนียนยื่นมือออกมา
ด้วยเหตุนี้เซียวอี้ฉือจึงสังเกตเห็นปาเต็ก ฟิลิปป์บนข้อมือของเขา
เมื่อตระหนักได้ว่าการจับมือทักทายนั้นเป็นทางการเกินไป อวี๋จือเหนียนก็พูดว่า “ติดมาจากที่ทำงานน่ะ ขอโทษที”
เซียวอี้ฉือส่ายหน้า จับมืออย่างเป็นมิตรกับอีกฝ่าย “ไม่เป็นไร”
เซียวอี้ฉือนั่งลง พอได้มองใกล้ๆ ก็แน่ใจแล้วว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวอวี๋จือเหนียนนั้นแพงหูฉี่ เนื้อผ้านุ่มแต่ไม่บางหรือย้วย แนวไหล่ก็พอดี ดูสวมใส่สบายและมีรสนิยม
“คุณจะดื่มอะไร เดี๋ยวผมไปสั่งให้” อวี๋จือเหนียนถามเซียวอี้ฉือ
เซียวอี้ฉือหันไปมองเมนูเครื่องดื่มสีสันสดใสที่แขวนอยู่บนผนัง “อเมริกาโนแก้วกลางก็แล้วกัน”
“โอเค” อวี๋จือเหนียนลุกขึ้น
เขาสวมกางเกงขายาวสีกรมท่าทรงหลวมแต่ไม่ได้หลวมโพรก ช่วยเน้นความยาวจากเอวถึงข้อเท้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
คุณสมบัติขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องหาคู่ผ่านการนัดบอดเลยจริงๆ
ตรงเคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่มคนไม่เยอะ ไม่นานอวี๋จือเหนียนก็กลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มสองแก้ว โดยเขาสั่งกาแฟดำหนึ่งแก้ว
อวี๋จือเหนียนดื่มกาแฟไปอึกหนึ่งก็วางลง ก่อนจะพูดกับเซียวอี้ฉืออย่างตรงไปตรงมา “คุณเซียว ป้าพานที่แนะนำให้พวกเรามาเจอกันเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพมาก คุณป้ามักจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องความรักของผมตลอด ฉะนั้นผมอยากให้คุณช่วยหน่อย เดือนนี้มาเจอกันสี่ครั้ง แล้วคุณค่อยไปบอกคุณป้าว่าพวกเราเข้ากันไม่ได้ รบกวนหน่อยจะได้ไหม”
แม้แต่เสียงของหนุ่มหล่อก็ยังมีเสน่ห์น่าดึงดูด น้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน แต่ไม่สามารถปกปิดความจริงได้อย่างหนึ่ง…หลังจากได้คุยกันไม่กี่นาทีเขาก็ตัดสินได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจตัวเอง
เซียวอี้ฉือครุ่นคิดถึงข้อสรุปที่น่าเศร้านี้อยู่ในใจเพียงลำพัง ในหัวคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ไม่ได้ยุ่งอะไร ได้เจอกับหนุ่มหล่อสักหน่อย เจริญตาเจริญใจดี
เขาไม่ขัดข้อง ตอบตกลงว่า “ได้”
ทั้งสองคนแลกวีแชต* กัน
ตอนที่ออกจากร้านกาแฟอวี๋จือเหนียนเพิ่งจิบกาแฟไปเพียงคำเดียวเท่านั้น
เมื่อมาถึงหน้าร้านเซียวอี้ฉือที่อดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถาม “คุณอวี๋ ขอเสียมารยาทถามหน่อยเถอะ ทำไมถึงคิดว่าพวกเราไปด้วยกันไม่ได้ล่ะ”
ในเมื่อไปด้วยกันไม่ได้ หมูตายก็ไม่กลัวน้ำร้อน**
อวี๋จือเหนียนอึ้งไปเล็กน้อย เขาคงไม่คิดว่าจะมีใครกล้าถามตรงๆ แบบนี้ ทว่าเขาก็ไม่หลบเลี่ยง “หน้าตาของคุณ…ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของผม”
“อ่อ” เซียวอี้ฉือมีท่าทีเข้าใจ
ว้าว โดนลูกนี้เข้าไปหน้าชาไปเลย แต่เขาเป็นฝ่ายถามก่อน เจ็บก็ต้องทน
“ฉันเข้าใจแล้ว” เซียวอี้ฉือพูดพลางกล่าวลาอวี๋จือเหนียน “งั้นฉันจะรอข้อความนัดจากนาย”
“โอเค” อวี๋จือเหนียนพยักหน้า
เขตชุมชนที่เซียวอี้ฉืออาศัยอยู่เคยเป็นศูนย์สวัสดิการของโรงงานซีอิ๊ว อาคารต่างๆ มีอายุเฉลี่ยประมาณยี่สิบปี เป็นอาคารที่มีแต่บันไดทั้งหมด เนื่องจากแผนพัฒนาเมืองพื้นที่นี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของใจกลางเมือง แม้แต่บ้านเล็กๆ ที่เก่าและทรุดโทรมก็มีมูลค่าหลายล้าน
การนัดบอดกินเวลาแค่สิบกว่านาทีเท่านั้น เซียวอี้ฉือตั้งใจเตร็ดเตร่อยู่ในละแวกใกล้เคียงก่อนที่จะกลับเขตชุมชน เขาเดินขึ้นบันไดไปยังหน้าประตูบ้านของตัวเอง ประตูเป็นบานเหล็กเลื่อนแบบเก่า เขาปลดล็อก ทันทีที่ดึงประตูก็รู้กันทั้งตึกว่าเขากลับมาแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงของคุณป้าม่ายที่อยู่ห้องตรงข้ามดังขึ้นก่อนที่จะเห็นเจ้าตัวเสียอีก เธอเปิดประตูและถามอย่างตื่นเต้นอยู่ด้านหลังเขา
เซียวอี้ฉือหันไปตอบพร้อมรอยยิ้ม “ครับ”
“ทำไมถึงกลับมาเร็วแบบนี้ เด็กๆ อย่างพวกเธอน่ะชอบไปร้านกาแฟ นั่งคุยไปกินข้าวไปนี่…นี่ เป็นยังไงบ้าง” ดวงตาของคุณป้าม่ายเป็นประกาย
“ก็ดีครับ พวกเราตั้งใจว่าจะทำความรู้จักกันให้มากขึ้น”
“โอ้โห เยี่ยมเลย! ตอนที่ฉันได้ยินอาพานแนะนำก็คิดว่าพวกเธอเหมาะสมกัน! มาๆๆ เข้ามาคุยกับฉัน เธอยังไม่ได้กินข้าวสินะ มากินที่บ้านฉันสิ เอ๊ะ ยังจะยืนอยู่ทำไมอีก เข้ามาสิ!”
เซียวอี้ฉือต้านทานความกระตือรือร้นของคุณป้าม่ายไม่ไหว เขาจึงได้แต่เกาๆ ท้ายทอยแล้วเดินเข้าไป
ระหว่างนั้นเขาก็ถามคุณป้าม่าย “คุณป้าแนะนำผมไปว่ายังไงเหรอครับ”
“หืม?” คุณป้าม่ายที่ทำนู่นทำนี่อยู่ในห้องครัวพูดขึ้นว่า “ก็เหมือนที่เธอบอกฉันก่อนหน้านี้น่ะว่าเป็นแรงงานที่ถูกส่งไปต่างประเทศ ที่ไหนมีงานก็ต้องไป ฉันบอกกับอาพานแล้วว่าถึงงานจะหนัก แต่เธอก็ทนลำบากได้ รู้ประสา แถมยังส่งเงินมาให้ฉันทุกเทศกาล เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตั้งสิบกว่าปี สุดท้ายก็ยอมกลับมาสักที”
เซียวอี้ฉือ “…”
ตอนนั้นเขากุเรื่องขึ้นมาเพื่อไม่ให้คุณป้าม่ายเป็นกังวล เป็นไงล่ะ ทีนี้กรรมตามสนองแล้ว
พูดกันตามตรง คำว่า ‘แรงงานที่ถูกส่งไปต่างประเทศ’ ก็ไม่ผิดอะไร แต่ในแง่ของวาทศิลป์ก็น่าจะแก้ไขคำพูดให้ดูดีกว่านี้หน่อย
“เอาล่ะ เธอไปล้างมือก่อน”
“ขอรับ!”
เซียวอี้ฉือเข้ามาในห้องน้ำ เมื่อหันหน้าให้กระจกก็กะพริบตาแล้วถอนหายใจ
ถ้อยคำอาจจะปรุงแต่งให้ดูดีได้ แต่ถ้าจะปรุงแต่งใบหน้าที่อยู่ในกระจกให้ดูดีได้นั้นคงเหนื่อยน่าดู เพราะตากแดดตากฝนหลายปีจนผิวหยาบกร้านหมองคล้ำ แม้แต่รอยคล้ำรอบดวงตาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เซียวอี้ฉือลูบคลำใบหน้า เขาพอใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองก่อนออกจากบ้าน แต่ประเด็นคือเขาต่างกับอวี๋จือเหนียนมากเกินไป ตอนนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ขัดใจซะเหลือเกิน
เขามองเสื้อเชิ้ตของตัวเองอีกครั้ง แม้จะเพิ่งซื้อมาใหม่ แต่คุณภาพก็ธรรมดาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ตอนเขาอยู่ต่างประเทศก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ เพียงแต่ตอนที่เก็บกระเป๋ากลับมา เขาให้ความสำคัญกับของจำพวกหนังสือและเอกสารเป็นอันดับแรก เสื้อผ้าถูกเขาส่งมาทางไปรษณีย์ แต่ใครจะรู้ว่าผ่านไปครึ่งเดือนแล้วก็ยังมาไม่ถึง พอโทรทางไกลไปยังที่ทำการไปรษณีย์ในพื้นที่ อีกฝ่ายกลับบอกว่าของพวกนั้นสูญหายไปแล้ว
เฮ้อ เบาะแสต่างๆ พัวพันกันยุ่งเหยิงจนทำให้การนัดบอดครั้งแรกในชีวิตของเขาล้มเหลว ช่างน่าเศร้าจริงๆ
“อี้ฉือ เสร็จแล้วยัง ขาหมูตุ๋นซีอิ๊วเสร็จแล้วนะ เธอมาลองชิมดู!”
กลิ่นหอมฟุ้งลอยมาตามคำพูดนั้น เซียวอี้ฉือหรี่ตาลงสูดกลิ่นเบาๆ หอมจังเลย!
“มาแล้วครับๆ!” ช่างเถอะ เวลาย้อนกลับไม่ได้ คิดมากไปก็เท่านั้น ควรดูแลกระเพาะอาหารให้ดีก่อน
อวี๋จือเหนียนขับรถเบนซ์กลับไปที่อ่าวซิงเยวี่ย
อ่าวซิงเยวี่ยเป็นเขตชุมชนพื้นที่สีเขียวระดับไฮเอ็นด์ มีคนอยู่น้อย ความเป็นส่วนตัวสูง เงียบสงบจากเมืองที่พลุกพล่าน และมีการบริการที่เอาใจใส่
อาคารที่อวี๋จือเหนียนอาศัยอยู่มีหนึ่งยูนิตต่อชั้น พื้นที่มากกว่าสองร้อยตารางเมตร สูงห้าเมตรจากพื้นถึงเพดาน หันหน้าไปทางทิศใต้ โล่งกว้างและสว่างโปร่ง
อวี๋จือเหนียนเดินเข้าไปข้างในหลังจากปลดล็อกประตูด้วยลายนิ้วมือ ทีมทำความสะอาดได้ทำความสะอาดอย่างพิถีพิถันแล้ว ในห้องมีกลิ่นไม้อ่อนๆ พื้นเงาวับ ของตกแต่งแวววาว ไฟเซ็นเซอร์สว่างขึ้นอัตโนมัติในทุกที่ที่เขาไป เมื่อเดินมาถึงห้องนั่งเล่นก็มีภาพวาดสีน้ำมันขนาดสามคูณสี่เมตรบนผนังสูงที่สะท้อนแสงไฟปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
ดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิสีชมพูเข้มและอ่อนกระจายตัวอย่างเป็นระเบียบ ดอกซากุระโบยบินอยู่ทั่วท้องฟ้าอย่างอ่อนช้อยพร่างพราย ไม่อึกทึกครึกโครมและก็ไม่เงียบเหงาจนเกินไป แฝงด้วยความยินดีและมีชีวิตชีวา เปี่ยมด้วยพลังแห่งความงามที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ มีสีสันแต่ไม่วุ่นวาย เยียวยาสายตาและจิตใจได้เป็นอย่างดี
นี่เป็นของสะสมชิ้นล่าสุดที่เขาประมูลมาด้วยราคาสูงสุดในงาน
อวี๋จือเหนียนยืนชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง ดูเวลาแล้วเข้าไปเปิดคอมพิวเตอร์ในห้องเพื่อเลือกตอบอีเมลสำคัญ จากนั้นเมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้วก็โทรไปหาคุณป้าพานซึ่งรับสายอย่างรวดเร็ว
“ป้าพาน พวกเราเพิ่งแยกกันครับ”
“งั้นเหรอ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่เลวครับ พวกเราจะนัดเจอกันอีก” บอกตามตรงเขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเซียวอี้ฉือหน้าตาเป็นอย่างไร
“เยี่ยมไปเลย!” น้ำเสียงแห่งความยินดีของปลายสายถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่ เธอยังพูดอีกว่า “จือเหนียน คราวก่อนเธอไปเจอแค่ครั้งสองครั้งก็ไม่ไปต่อแล้ว ครั้งนี้เธอก็อดทนหน่อยนะ มองข้อดีของอีกฝ่ายให้มาก ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานเธอจะต้องได้เจอเนื้อคู่แน่ๆ!”
“ได้ครับ คุณป้าวางใจเถอะ”
“ดีแล้ว พวกเธอคุยกันนานแบบนี้ น่าจะคุยถูกคอล่ะสิ ป้าม่ายที่แนะนำเด็กคนนั้นก็บอกว่าเขารู้ประสาพึ่งพาได้ เธอคิดว่ายังไง”
อาจจะมั้ง…เขาไม่รู้ และไม่จำเป็นต้องรู้
อวี๋จือเหนียนตอบคุณป้าพานด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ พึ่งพาได้ทีเดียว”
“ได้ยินว่าเขาทำงานที่เมืองนอกลำบากไม่น้อย ครั้งหน้าเจอกันก็พยายามคิดถึงใจอีกฝ่ายให้มากหน่อยนะ”
“ครับ”
“วันไหนว่างๆ ก็มาเล่าให้ฉันฟังหน่อยนะ ฉันจะได้ให้คำแนะนำเพิ่ม”
“ไม่มีปัญหาครับ”
หลังจากวางหูอวี๋จือเหนียนก็นึกย้อนถึงการนัดบอดอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่เขาจำได้คือรอยด้านบนฝ่ามือของเซียวอี้ฉือตอนที่พวกเขาจับมือกัน อีกอย่างก็คือกาแฟร้านนั้นรสชาติห่วยมาก
* ปาเต็ก ฟิลิปป์ (Patek Philippe) คือแบรนด์นาฬิกาสุดหรูชื่อดังระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1893 โดยแอนโทนี ปาเต็ก (Antoni Patek) และเอเดรียน ฟิลิปป์ (Adrien Philippe) เป็นแบรนด์ที่มีสถิติการประมูลนาฬิกาข้อมือที่แพงที่สุดในโลก
** 996 คือระบบการทำงานแบบหนึ่งในประเทศจีนที่ให้ทำงานตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสามทุ่ม เป็นเวลาหกวันต่อสัปดาห์ซึ่งถือเป็นการทำงานที่หักโหม
* วีแชต (WeChat) คือแอพพลิเคชั่นสำหรับสนทนาและส่งข้อความซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในจีน
** หมูตายไม่กลัวน้ำร้อน เป็นสำนวน หมายถึงคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วก็จะไม่เกรงกลัวภัยหรือปัญหาอีกต่อไป
บทที่ 2
ในคลาสวีไอพีของฟิตเนสเซ็นเตอร์แห่งหนึ่งใจกลางย่านธุรกิจ
หน้าอกของเซียวอี้ฉือกระเพื่อมขึ้นลง หลังจากนอนบริหารกล้ามเนื้ออกบนม้านั่งครบหนึ่งเซ็ตเขาก็หันไปพูดกับโค้ชว่า “มาทำอีกเซ็ตเถอะ”
โค้ชต้าซานยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้เพิ่มน้ำหนักตลอดเลยนะ”
“ก็แน่สิ ฉันอยากจะดูว่ามันจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เร่งการผลัดเซลล์ผิวอะไรแบบนั้นได้รึเปล่า”
ต้าซานรู้สึกขบขัน “ออกกำลังกายต้องค่อยเป็นค่อยไป จะใช้อารมณ์ไปทำไม” พูดพลางยื่นมือดึงเซียวอี้ฉือให้ลุกขึ้น “คราวก่อนนายบอกว่าจะไปนัดบอด ทางนั้นได้พูดอะไรหรือเปล่า”
เซียวอี้ฉือซับเหงื่อด้วยผ้าขนหนู “สมกับที่เป็นทหารสอดแนมเก่า ทายถูกเผง”
ต้าซานเคยเป็นสมาชิกของกลุ่มคุ้มกันก่อนที่เขาจะเกษียณอายุ เซียวอี้ฉือเคยอยู่บนเรือกับพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพราะเรื่องงานก็เลยสนิทกัน
“ทางนั้นเขาเป็นใคร ถึงทำให้นายกังวลเรื่องรูปลักษณ์ได้” ต้าซานตั้งเวลาพักสิบนาทีบนนาฬิกาข้อมือ
เซียวอี้ฉือเบ้ปาก “ฟังดูเหมือนนายกำลังดูถูกฉันอยู่เลยนะ”
เมื่อก่อนเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ แต่การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาที่ไม่ว่าใครในประเทศก็พูดนั้นทำให้เขาต้องคิดใหม่อีกครั้ง บวกกับความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างเขากับอวี๋จือเหนียน ไหนจะคำพูดที่ตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ทำให้เซียวอี้ฉือเกิดความสงสัยว่าควรจะดูแลใบหน้าของตัวเองให้ดีกว่านี้หรือเปล่า
“การดูดีขึ้นอย่างสมเหตุสมผล เช่น การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ฉันเห็นด้วยกับวิธีพวกนี้มากกว่า แต่ถ้าอยากดึงต้นกล้าเพื่อให้โตเร็ว* ฉันว่ามันเกินไปหน่อย”
“เฮ้ๆ ทำไมประโยคที่ว่า ‘ดึงต้นกล้าเพื่อให้โตเร็ว’ ไม่ค่อยเข้าหูเลยแฮะ!” เซียวอี้ฉือปาผ้าขนหนูใส่ต้าซาน
“คู่นัดบอดของนายหล่อมากเลยเหรอ เลยรู้สึกว่าต่างชั้นกัน?” การตัดสินของอดีตทหารสอดแนมนั้นแม่นยำมาก
เซียวอี้ฉือยอมรับ “ใช่”
เขาหันไปมองดูอาคารระฟ้านอกหน้าต่างที่สูงจากเพดานจรดพื้นแล้วลองถาม “ฟิตเนสของนายเปิดอยู่ในศูนย์กลางการเงินมาหลายปีแล้วใช่ไหม นายเคยได้ยินคนที่ชื่อว่า ‘อวี๋จือเหนียน’ ไหม”
ต้าซานที่กำลังดื่มน้ำชะงักไป ก่อนจะวางแก้วลง “นายไปนัดบอดกับ ‘อวี๋จือเหนียน’ มาเหรอ”
ดูจากเสื้อผ้าและพฤติกรรมของอวี๋จือเหนียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่พวกที่ทำงาน 996 ทั่วไป น่าจะเป็นคนสำคัญ เมื่อเซียวอี้ฉือเห็นปฏิกิริยาของต้าซานแบบนี้แล้วก็คิดในใจว่าใช่เลย
เซียวอี้ฉือพยักหน้า “เขาก็มาออกกำลังกายที่ฟิตเนสของนายด้วยเหรอ”
“เปล่า ฟิตเนสของฉันถือว่าเป็นสถานที่ราคาถูก ระดับของพวกเขาต้องไปที่ที่สูงกว่านี้ แต่พนักงานในสำนักงานกฎหมายของพวกเขาบางคนก็เป็นลูกค้าเก่าเรา เข้าๆ ออกๆ อยู่บ่อยๆ ฉันเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับทนายอวี๋ไม่น้อยเหมือนกัน”
เซียวอี้ฉือกลืนน้ำลาย “ไหนลองเล่ามาซิ”
ต้าซานขมวดคิ้ว “เขาเป็นคู่นัดบอดของนาย แต่นายไม่รู้อะไรเลยเหรอ”
เซียวอี้ฉือลูบจมูก “ฉันกำลังสืบอยู่นี่ไง”
“สำนักงานกฎหมายฟางต๋าที่เขาทำงานอยู่เป็นบริษัทกฎหมายข้ามชาติ ได้ยินว่าซับซ้อนมาก อวี๋จือเหนียนเคยถูกลดตำแหน่งไปขยายสาขาที่เมืองระดับสองด้วย แต่สองปีต่อมาเขาไม่ใช่แค่กลับมานะ แต่ยังจัดการกับเพื่อนร่วมงานที่เคยทำให้เขาล้มเหลวได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัท ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังไต่เต้าขึ้นเป็นหุ้นส่วนอาวุโสล่ะมั้ง ได้ยินมาว่าเขาหล่อมาก แต่เป็นคนคาดเดายาก แถมไม่ใช่คนดีอะไร”
เมื่อเห็นว่าเซียวอี้ฉือไม่ได้ตอบ ต้าซานก็พูดอย่างเป็นห่วง “นายจะคบกับเขาจริงเหรอ”
“ฉันไม่ใช่คนตัดสินใจหรอกโอเคไหม เขาเห็นฉันครั้งแรกก็บอกว่าเราไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ฉันแค่สงสัยว่าคนแบบนี้จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า”
เวลานี้นาฬิกาข้อมือของต้าซานก็ดังติ๊ดๆ “ไปด้วยกันไม่ได้แล้วนายจะอยากรู้มากไปทำไม มาๆ พวกเรามาเทรนต่อ!”
กลางคืนตอนเข้านอนเซียวอี้ฉือลากร่างอันปวดร้าวของตนนอนลงบนเตียง อีกหนึ่งเหตุผลที่เขาเพิ่มจำนวนเซ็ตการออกกำลังกายก็คืออาการนอนไม่หลับที่แย่ลง นอกจากอายุที่มากขึ้นและปรับตัวกับเวลาที่ต่างกันยากแล้ว ฝันร้ายก็เป็นหนึ่งในตัวการหลักเหมือนกัน
เขาเคยเป็นนักข่าว และใช้เวลาครึ่งหนึ่งเดินทางไปมาระหว่างสนามรบตอนที่อยู่ต่างประเทศมาสิบกว่าปี
ควันปืน เสียงร้องไห้ เลือด ความเจ็บปวด…ฉากที่ดูเหมือนจะก้าวผ่านไปได้แล้วปรากฏขึ้นในฝันหลังจากที่เขากลับบ้านเหมือนถูกผีไล่ตาม
เหตุผลที่เขาตกลงไปนัดบอดไร้สาระนี้โดยไม่ลังเล อาจเพราะต้องการค้นหาจุดมุ่งหมายใหม่ของชีวิตก็ได้
เซียวอี้ฉือพึมพำ “พรุ่งนี้ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลหน่อยแล้ว…”
วันต่อมาเซียวอี้ฉือออกมาจากโรงพยาบาล เขารู้สึกว่าหมอคนนี้ตรวจเหมือนไม่ได้ตรวจ นอกจากยานอนหลับแบบเดิมๆ แล้วก็มีแค่ข้อแนะนำทำนองว่าให้หาความสนุกในชีวิตเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจบ้าง
ในตอนนี้เองเขาก็ได้รับข้อความจากอวี๋จือเหนียน
‘เสาร์นี้ว่างไหม สะดวกมาเจอกันหน่อยไหม’
เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว ความสนุกมาแล้ว
เช้าวันเสาร์ เซียวอี้ฉือตื่นแต่เช้ามาแต่งตัวด้วยความระมัดระวังและพิถีพิถันกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรก เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันนี้เขายังมาสก์หน้ามาทั้งสัปดาห์อีกด้วย (ซื้อจากห้องไลฟ์สด แบรนด์ดัง ซื้อหนึ่งแถมหก คุ้มสุดๆ) เสื้อผ้าก็เลือกและเปรียบเทียบอย่างเอาใจใส่ ทั้งยังรีดอย่างจริงจังในคืนก่อนหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีรอยยับแม้แต่รอยเดียว ผมก็ถูกฉีดสเปรย์จัดแต่งทรงเรียบร้อย ล้มเหลวก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือคนเราเมื่อล้มแล้วต้องรู้จักลุกขึ้นมาใหม่!
สิบโมงเช้า เซียวอี้ฉือเพิ่งจะเดินออกจากเขตชุมชนก็ถูกเงาของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนดึงดูดความสนใจ
อวี๋จือเหนียนสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอมม่วงคู่กับกางเกงขายาวสีเบจ ด้านหลังเป็นรถยนต์เอสยูวีเทสลาสีดำ
เซียวอี้ฉือเดินเข้าไปใกล้ แล้วก็พบว่าเสื้อตัวนั้นมีลวดลายซึ่งขับให้อีกฝ่ายดูเด่นยิ่งขึ้น ถ้าไม่ระวังสีแบบนี้อาจจะทำให้ดูเชยหรือแก่ไปเลย แต่กลับทำอะไรอวี๋จือเหนียนไม่ได้ มันเข้ากับหน้าตาและภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างลงตัว ทำให้ดูเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์สง่างาม
เขาอยากบอกอวี๋จือเหนียนว่าสีนี้มีชื่อเรียกที่เพราะมาก มันคือ…โยวถานรุ่ย* แต่พูดออกมาแล้วก็ดูเหมือนจะอวดรู้ไปหน่อย เซียวอี้ฉือจึงได้แต่ยิ้มๆ “วันนี้นายดูสดใสมากเลย”
อวี๋จือเหนียนยิ้ม “คุณก็ด้วย”
พูดจบทั้งสองคนก็ขึ้นรถ
“ขอบคุณที่ยอมไปเลือกเสื้อเป็นเพื่อนผม นิทรรศการภาพวาดอาทิตย์หน้าเป็นของศิลปินที่ผมชอบน่ะ ผมตั้งตาคอยมากเลย” อวี๋จือเหนียนพูดอย่างสุภาพ
“ไม่ต้องเกรงใจ อัลมา วลาสซิสเป็นจิตรกรที่สุดยอดมากจริงๆ ฉันก็ชอบเธอเหมือนกัน”
อวี๋จือเหนียนหันไปมองเขาแล้วยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์หน้าเราไปนิทรรศการด้วยกันไหม”
เซียวอี้ฉือนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ได้สิ”
“ถ้าคุณไม่ว่างก็ไม่เป็นไร” อวี๋จือเหนียนสังเกตเห็นความลังเลของอีกฝ่าย
เซียวอี้ฉือพูดต่อ “ไม่เป็นไร ฉันจัดเวลาหน่อยก็ได้แล้ว”
อันที่จริงเขาไม่ได้ลังเลเลยว่าจะมีเวลาหรือเปล่า
ระหว่างที่พวกเขาคุยกันก็มาถึงห้างสรรพสินค้าหรูแห่งหนึ่งในตัวเมือง
อวี๋จือเหนียนกับเซียวอี้ฉือเดินมาถึงร้านแบรนด์ดังแห่งหนึ่ง พนักงานขายเดินเข้ามาต้อนรับ “คุณชายทั้งสอง ยินดีต้อนรับครับ วันนี้ไม่ทราบว่ากำลังหาเสื้อผ้าแบบไหนอยู่เหรอครับ”
“อาทิตย์หน้าผมจะไปร่วมงานนิทรรศการภาพวาดที่สำคัญมากครับ คุณมีอะไรแนะนำไหม”
เวลานี้เองผู้จัดการร้านก็เดินออกมาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณอวี๋ คุณมีสไตล์ของตัวเองอยู่เสมอก็อย่ารังแกเด็กใหม่ของพวกเราสิครับ ผมจะพาพวกคุณมาทางนี้ ผมเตรียมเสื้อผ้าที่คุณชอบไว้เรียบร้อยแล้วครับ” จากนั้นอีกฝ่ายจึงหันมาทางเซียวอี้ฉือ “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผมต้องเรียกคุณว่าอะไรดี”
เซียวอี้ฉือยิ้มตอบ “ผมแซ่เซียวครับ”
“สวัสดีครับคุณเซียว คุณลองดูก่อนครับว่าชอบเสื้อผ้าแบบไหน แล้วค่อยลองสวมดูดีไหมครับ”
“ได้ครับ” เซียวอี้ฉือตอบ
อวี๋จือเหนียนหันมามองเขา “ใช่ ชอบแบบไหนก็ลองสวมดู” จากนั้นก็มองผู้จัดการร้าน “ถ้าคุณเซียวชอบเสื้อตัวไหนก็ช่วยจัดการให้เขาด้วยนะ”
“ได้ครับ”
อวี๋จือเหนียนกับผู้จัดการร้านเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จู่ๆ เซียวอี้ฉือก็ตระหนักได้
อวี๋จือเหนียนมาที่นี่ไม่ใช่เพราะเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเอง แต่เลือกเสื้อผ้าให้เขามากกว่า
เซียวอี้ฉือนึกถึงกาแฟดำที่อวี๋จือเหนียนดื่มไปแค่อึกเดียวแล้วก็ไม่แตะต้องอีกตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก เขาจะไม่แตะสิ่งใดก็ตามที่ไม่ถูกใจ แต่ถ้าเขายืนกรานที่จะแตะต้องเขาก็จะทำในสิ่งที่เขาต้องการ
เซียวอี้ฉือเกือบจะหลุดขำ
อวี๋จือเหนียนเลือกเสื้อสองสามตัวสำหรับตัวเองอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด จากนั้นจึงหันไปหาเซียวอี้ฉือ
ผู้จัดการร้านเลือกสองสามตัวให้เซียวอี้ฉือ แล้วเชิญให้เขาไปลอง
เซียวอี้ฉือที่เข้าไปในห้องลองเสื้อมองตัวเองในกระจกแล้วยิ้ม
Interesting!
นี่อาจจะเป็นความสนุกจริงๆ ก็ได้
เขาก้มลงมองซิกซ์แพ็กส์ของตัวเองขณะเปลี่ยนเสื้อ รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที อย่างน้อยเขาก็ยังรักษารูปร่างเอาไว้ได้ และไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกอุจาดตา
เมื่อเซียวอี้ฉือออกมาจากห้องลองเสื้อ ผู้จัดการร้านก็ชมยกใหญ่ “คุณเซียว คุณดูดีมากเลยครับ! ครั้งนี้ได้อวดหุ่นด้วย หล่อมากจริงๆ!” ผู้จัดการร้านชูนิ้วหัวแม่มือ
หล่อหรือไม่หล่อเซียวอี้ฉือรู้ดีแก่ใจ เขาหันไปมองอวี๋จือเหนียนที่ยิ้มพลางพยักหน้าน้อยๆ ดูเหมือนพึงพอใจ “เอาชุดนี้ใส่ถุงให้คุณเซียวด้วย”
“ได้ครับ”
เวลานี้เองเสียงโทรศัพท์มือถือของอวี๋จือเหนียนก็ดังขึ้น เขากล่าวขอโทษเซียวอี้ฉือ “ที่ทำงานโทรมา ผมออกไปรับแป๊บนะ”
เซียวอี้ฉือพยักหน้า
ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาอีกครั้ง “คุณเซียวครับ คุณอวี๋เลือกชุดลำลองให้คุณด้วย คุณจะลองไหมครับ”
เซียวอี้ฉือยิ้มกว้าง “ไม่ต้องลองแล้ว ใส่ถุงเลยแล้วกันครับ”
ไม่ต้องถามว่าใครเป็นคนจ่ายทั้งหมดนี้ คำตอบคืออวี๋จือเหนียน
ผู้จัดการร้านเข้าใจแล้วรีบจัดการทันที
ระหว่างที่อวี๋จือเหนียนคุยเรื่องงานเซียวอี้ฉือก็เลือกเนกไทด้วยตัวเองเส้นหนึ่ง รูดบัตรจ่ายเงินเอง และขอให้พนักงานขายห่อให้ด้วย
การพบกันครั้งที่สองของพวกเขาจบลงเช่นนี้
อวี๋จือเหนียนมีประชุมด่วน เขาส่งเซียวอี้ฉือกลับไปที่เขตชุมชน และไม่ลืมที่จะขอบคุณ “ขอบคุณที่วันนี้มาซื้อเสื้อเป็นเพื่อนผม”
เซียวอี้ฉือยิ้มตอบ “ฉันต่างหากที่ควรขอบใจนาย ใช้เงินนายตั้งเยอะขนาดนี้”
เขาชูถุงกระดาษ ชี้ไปที่เสื้อผ้าทั้งหมด แล้วพูดต่อว่า “รับมาก็ต้องให้ไป” ก่อนจะล้วงกล่องเนกไทที่ห่ออย่างดีออกมาจากถุงกระดาษ “นี่เป็นของตอบแทนของฉัน วันนี้ฉันสนุกมาก ขอบคุณนะ!”
อวี๋จือเหนียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้ เขารับกล่องไว้ “ไม่ต้องเกรงใจ งั้นเราค่อยคุยกันอาทิตย์หน้า?”
“โอเค”
อวี๋จือเหนียนกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ก็หยิบเสื้อผ้าออกจากถุงกระดาษแล้วแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าตรงโถงทางเดิน ซึ่งแม่บ้านจะเป็นคนรับผิดชอบทำความสะอาดเสื้อผ้าของเขา
สุดท้ายเขาก็เปิดของขวัญที่เซียวอี้ฉือให้ มันเป็นเนกไทเส้นหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นสีน้ำตาลก็ไม่ใช่ สีดำก็ไม่เชิง มันไม่ใช่สีปกติและไม่ใช่สีที่อวี๋จือเหนียนชอบสักนิด
รสนิยมทางสุนทรียะของอีกฝ่ายคงอยู่ในระดับนี้ เขาเองก็ไม่อาจฝืน
อวี๋จือเหนียนนึกถึงตอนที่พวกเขาทักทายกันวันนี้ สเปรย์จัดแต่งทรงผมของเซียวอี้ฉือนั้นมีกลิ่นเคมีแรงเกินไป พอดมก็รู้ทันทีว่าเป็นของคุณภาพทั่วไป เสื้อผ้าก็ดูตั้งใจแต่งให้เนี้ยบ ทว่าในสายตาของอวี๋จือเหนียนมันคือการพยายามเอาใจคนอื่น แต่ก่อนแม้ว่าคู่นัดบอดของเขาจะพยายามเอาใจเขา แต่คนเหล่านั้นก็จะแต่งตัวให้ดูเป็นธรรมชาติและไม่สะดุดตามากนัก คนอย่างเซียวอี้ฉือที่สามารถมองเห็นได้เพียงแค่แวบเดียวนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ อีกอย่างตอนอยู่บนรถเซียวอี้ฉือบอกว่าตัวเองชอบอัลมา วลาสซิส แต่เขาไม่รู้หรือว่าแฟนคลับของเธอต่างเรียกเธอว่า ‘อ้ายฝู’ เห็นได้ชัดว่าเซียวอี้ฉือลังเลตอนที่ชวนไปงานนิทรรศการ คงกลัวว่าความรู้ที่อัดมาในนาทีสุดท้ายจะไม่เพียงพอสำหรับนิทรรศการนี้ล่ะมั้ง
เขาพยายามนึกถึงใจอีกฝ่ายให้มากตามที่คุณป้าพานบอก ดังนั้นเขาถึงได้ซื้อเสื้อให้ทางอ้อม เพราะสุดท้ายแล้วยังมีวันที่ต้องออกไปข้างนอกด้วยกันอีก เขาไม่เห็นด้วยกับรสนิยมการแต่งตัวของอีกฝ่ายเลยจริงๆ
เขามองเนกไทในมืออีกครั้ง เนกไทเส้นนี้ไม่อยู่ในใบเสร็จ เซียวอี้ฉือน่าจะซื้อเองต่างหาก ซึ่งอวี๋จือเหนียนรู้ดีว่าของร้านนั้นแพงแค่ไหน
ช่างเถอะ แขวนไว้ก่อนก็แล้วกัน เขาแขวนเนกไทไว้ข้างเสื้อผ้าตัวใหม่
แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงเปิดตู้อีกครั้ง
เนกไทสีแปลกเส้นนี้ดูเข้ากันได้ดีกับเสื้อชุดใหม่ของเขา อวี๋จือเหนียนหยิบเนกไทออกมา แล้วเลือกเสื้อเชิ้ตมาตัวหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนทันที
เมื่อมองกระจกก็พบว่าทั้งเนกไท เสื้อเชิ้ต และตัวเขาดูกลมกลืนกันอย่างมาก
นี่ไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ
เมื่อกลับถึงบ้านเซียวอี้ฉือก็หยิบเสื้อทั้งสองชุดออกมาแขวน
เขาอ่านฉลากการซักอย่างตั้งใจ ทุกตัวต้องซักแห้งและ ‘ดูแลโดยมืออาชีพ’
เขาเกาศีรษะ อวี๋จือเหนียนใส่ใจกับการซื้อเสื้อผ้าให้เขามากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่จัดทีมงานมืออาชีพมาดูแลเรื่องน่าเบื่อก่อนและหลังการสวมใส่ด้วยล่ะ
สั้นๆ ก็คืออวี๋จือเหนียนสนใจแค่ความรู้สึกตอนที่ตนเองมองเห็น ส่วนเรื่องที่มองไม่เห็นก็ไม่สนใจ
เซียวอี้ฉือตบศีรษะตัวเองเบาๆ และคิดทบทวน วันนี้ตัดสินเรื่องนู้นเรื่องนี้มาทั้งวันแล้ว อย่าวิจารณ์อะไรง่ายๆ สิ นายจะบรรยายสิ่งที่เห็นก็ได้ แต่ต้องตรวจสอบให้ละเอียดก่อนที่จะสรุปอะไร โดยเฉพาะกับคน
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน เขาเขียนข่าวมาสิบกว่าปี แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตีตราอวี๋จือเหนียนจากสิ่งที่ได้ยินมาและการเจอหน้าแค่สองครั้ง นับประสาอะไรกับอวี๋จือเหนียนที่เข้าไปพัวพันกับความปากหวานก้นเปรี้ยวในหมู่ชนชั้นสูงตลอดเวลาล่ะ
พอคิดแบบนี้เขาก็ปล่อยวางได้ จากนั้นก็นึกถึงเนกไทเส้นนั้นที่ตนซื้อให้อวี๋จือเหนียน ตอนอวี๋จือเหนียนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอก เขาตั้งใจสังเกตสีเสื้อที่อีกฝ่ายซื้อ สีของเนกไทที่เขาเลือกนั้นคือสีหมึก ซึ่งเป็นสีประจำเดือนกันยายน เป็นสีแห่งความมั่นคง สง่างาม และเป็นสัญลักษณ์ของการเก็บเกี่ยว
กลับมาเรื่องนิทรรศการสัปดาห์หน้า เขากับอัลมา วลาสซิสเป็นเพื่อนเก่ากัน ตอนอัลมาเดินทางไปตะวันออกกลางเพื่อรวบรวมเอกสาร เพื่อนนักข่าวชาวสเปนได้แนะนำเซียวอี้ฉือซึ่งกำลังเรียนภาษาสเปนอยู่ให้เธอรู้จัก คนหนึ่งกระตือรือร้นมีชีวิตชีวา ในขณะที่อีกคนไม่ละอายเลยที่จะเรียนรู้ภาษาสเปน ทั้งสองจึงกลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็วและเป็นเพื่อนร่วมทางกัน
ระหว่างทางได้พบเจอเหตุการณ์ระเบิดถล่มเมืองของกลุ่มต่อต้าน สัญญาณโทรศัพท์มือถือขาดหาย ทั้งสองคนติดอยู่ในบ้านร้าง อาศัยน้ำสองขวดกับขนมปังสองชิ้นประทังชีวิต เซียวอี้ฉือแบ่งสองในสามของขนมปังของตัวเองให้กับอัลมา วลาสซิส ถ้ามีแค่คนเดียวที่รอดออกไปได้ เขาก็อยากให้เธอมีชีวิตอยู่ เพราะเขาเห็นเด็กกับผู้หญิงผู้บริสุทธิ์ตายในสนามรบมากเกินไป พวกผู้ชายต่อสู้เพื่อความเชื่อของพวกเขา ทิ้งให้ผู้หญิงและเด็กตกเป็นเป้าหมายของเครื่องจักรสงครามที่ไร้ความปรานี ถ้าเป็นไปได้เขาจะไม่มีวันมองดูอยู่เฉยๆ แบบนี้
หลังจากพวกเขาติดอยู่ที่นั่นสามวัน กำลังเสริมก็เข้าช่วยเหลือ
ทั้งสองคนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม แต่อัลมา วลาสซิสกลับสารภาพรักเขา
‘ขอโทษด้วย ฉันเป็นเกย์’
อัลมา วลาสซิสผิดหวังมาก ‘ลองดูสักครั้งไม่ได้เหรอ’
‘เคยลองแล้ว มันไม่ได้’
เธอเสียดาย ‘ผู้ชายดีๆ เป็นเกย์กันหมด’
เซียวอี้ฉือปลอบเธอ ‘สุดท้ายแล้วผู้หญิงดีๆ ก็จะเจอกับความสุข’
‘ฉันขอจูบนายได้ไหม แค่ครั้งเดียว’
เซียวอี้ฉือครุ่นคิด ‘ได้’
‘จูบแบบดูดดื่มนะ’
‘ได้สิ’
จากนั้นพวกเขาก็ติดต่อกันเรื่อยมา สองปีต่อมาอัลมา วลาสซิสบอกว่าเธอวาดภาพหนึ่งเสร็จแล้ว อยากมอบให้เขา แต่เพราะเขาเดินทางไปทั่วจึงยังไม่ได้รับ ภาพวาดนั้นยังอยู่ที่เธอ หลังจากที่เขากลับประเทศภาพวาดก็ถูกจัดส่งไปยังหอศิลป์ในประเทศแล้ว เซียวอี้ฉือจึงเดินทางไปที่หอศิลป์เพื่อเซ็นรับ ภาพวาดชิ้นใหญ่ขนาดสามคูณสามเมตรนั้นน่าตกใจกว่าที่เขาเห็นในวิดีโอมาก แม้ภาพวาดจะมีชื่อว่า ‘เที่ยงคืนในตะวันออกกลาง’ แต่กลับมีท้องฟ้าสีเหลืองและดวงดาวสีดำ สีเหลืองคือสีของผิวหนัง สีดำคือสีของดวงตา นอกจากนี้ยังมีเจ้าของหอศิลป์มาหาเขาถึงที่ด้วยตนเอง โดยหวังว่าเซียวอี้ฉือจะให้ยืมภาพวาดนี้ไปเป็นคอลเล็กชั่นพิเศษสำหรับนิทรรศการในเดือนหน้า
‘ไม่มีปัญหาครับ’
‘คุณจะมางานนิทรรศการด้วยไหมคะ ฉันสามารถแนะนำนักสะสมคนอื่นให้คุณรู้จักได้นะคะ’
‘ไม่ล่ะครับ ผมไม่ค่อยชินกับงานแบบนี้เท่าไร’
‘ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจก็ติดต่อฉันได้ทุกเมื่อ’
เมื่อคิดถึงตรงนี้เซียวอี้ฉือจึงตัดสินใจโทรหาอีกฝ่าย และขอให้ช่วยรักษาความลับต่อหน้าอวี๋จือเหนียน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้อัลมา วลาสซิสถือเป็นจิตรกรแนวโมเดิร์นนิสม์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการศิลปะ แค่ราคาประมูลขั้นต่ำที่สุดสำหรับภาพวาดของเธอเพียงภาพเดียวก็แตะสองล้านเหรียญสหรัฐแล้ว แม้เธอจะมาร่วมงานในครั้งนี้ไม่ได้ แต่ผู้คนกลับได้ยินว่าเธอต้องการจะจัดแสดงภาพวาดบางภาพที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนในงานนิทรรศการครั้งนี้ด้วย
เซียวอี้ฉือสวมเสื้อราคาแพงยืนอยู่หน้าโถงนิทรรศการขณะมองดูผู้คนผ่านไปมา แม้คนจะเยอะแต่ก็ยังรักษาระเบียบ มีการพูดคุยกันเบาๆ เป็นครั้งคราว ได้ยินเสียงดนตรีที่ดังคลอเป็นพื้นหลังได้อย่างชัดเจน อวี๋จือเหนียนกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ไม่ไกล เขาสวมเนกไทที่เซียวอี้ฉือเลือกให้ด้วย
แม้จะพูดว่าไม่สามารถตัดสินคนได้ แต่เซียวอี้ฉือมักจะรู้สึกว่ามีปีศาจตัวน้อยอยู่ในหัวของเขา ปีศาจน้อยพูดกรอกหูเขาตั้งแต่เช้าว่า ‘วันนี้อวี๋จือเหนียนไม่ใส่เนกไทที่แกซื้อให้หรอก’ แต่อวี๋จือเหนียนกลับสวมเนกไทเส้นนั้นมารับเขา ปีศาจน้อยเลยไปนั่งวาดวงกลมอยู่ที่มุมผนัง
อวี๋จือเหนียนเดินกลับมาหาเซียวอี้ฉือ ยิ้มน้อยๆ แล้วถามว่า “คุณคิดว่านิทรรศการนี้เป็นยังไงบ้าง”
เซียวอี้ฉือพยักหน้าชม “ดีมาก”
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงหน้าภาพ ‘เที่ยงคืนในตะวันออกกลาง’ อวี๋จือเหนียนก็พูดขึ้นมาว่า “นี่ก็คือภาพวาดที่อ้ายฝูไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อน”
ได้ยินอีกฝ่ายเรียกว่า ‘อ้ายฝู’ ปีศาจน้อยที่อยู่ในหัวของเซียวอี้ฉือก็บินไปบินมา ‘ได้ยินไหม คราวก่อนที่นายเรียกเธอว่าอัลมาน่ะมันผิด! นายไม่มีคุณสมบัติเป็น ‘แฟนตัวยง’! นายมันตัวปลอม!’
เซียวอี้ฉือรู้สึกผิดมาก
อวี๋จือเหนียนมองภาพวาดแล้วพูดว่า “อ้ายฝูไม่ค่อยใช้สีเหลืองกับสีดำแบบนี้ ไม่รู้ว่าเป็นนัยบอกว่าไอเดียของเธอกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางอื่นหรือเปล่า คุณคิดว่าไง”
“…ฉันว่าไม่น่าใช่”
อวี๋จือเหนียนถามต่อ “ทำไมล่ะ”
ภาพนี้ไม่มีข้อมูลที่เป็นสาธารณะมากนัก เซียวอี้ฉือเองก็ไม่ได้เปิดเผยความจริง
ดังนั้นคำตอบของเขาจึงขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด “เซ้นส์ล่ะมั้ง”
ดวงตาของอวี๋จือเหนียนฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย เขาไม่พูดอะไรอีกแต่มองไปที่ไกลๆ “ขอโทษที ผมเจอคนรู้จัก ขอตัวสักครู่”
“ได้”
ปีศาจน้อยเอ่ยปากอีกครั้ง ‘อวี๋จือเหนียนไม่พอใจกับคำตอบของนายมากๆ! นายทำให้เขาโกรธ!’ แต่มันกลับดูมีความสุขมาก ‘ถ้าเขารู้ว่านายก็คือเจ้าของภาพวาดนี้ เขาจะทำหน้าแบบไหนกันนะ ฮี่ๆๆ’
เซียวอี้ฉือก้มหน้าลงปิดปากยิ้ม
อวี๋จือเหนียนไม่พอใจจริงๆ เดิมทีมุมมองที่เขามีต่อเซียวอี้ฉือเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะเนกไท แต่ตอนนี้ดูเหมือนเนกไทที่เขาสวมอยู่ก็แค่เพราะอีกฝ่ายโชคดีเลือกถูกก็เท่านั้น ทั้งที่รู้ว่าจะมางานนิทรรศการศิลปะ ต่อให้ความรู้มีไม่มากก็ควรจะทำการบ้านมาไม่ใช่เหรอ แต่เซียวอี้ฉือล่ะ? เขาไม่สามารถแสดงความคิดที่เจาะจงได้ด้วยซ้ำ อวี๋จือเหนียนไม่เคยเห็นทัศนคติแบบนี้จากคู่นัดบอดคนอื่นในอดีตเลย ระดับสังคมเป็นตัวกำหนดความสำเร็จในชีวิตจริงๆ เซียวอี้ฉือทั้งไม่ใช่คนหน้าตาดี ไม่มีรสนิยมและทัศนคติ แถมดูเหมือนว่านี่แค่เป็นการออกมาเที่ยวเล่นเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะคุยกันว่าจะเจอกันสี่ครั้งในตอนแรกอวี๋จือเหนียนก็ไม่อยากจะเสียเวลาเลยจริงๆ
* ดึงต้นกล้าเพื่อให้โตเร็ว เป็นสำนวน หมายถึงการกระทำที่เร่งรัดหรือบีบบังคับเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้น แต่แทนที่จะได้ผลดี กลับทำให้เกิดความเสียหายหรือผลกระทบที่ไม่คาดคิด
* โยวถานรุ่ย คือสีเคลือบเซรามิกที่มีสีหลักเป็นสีม่วง โดยเซรามิกเมื่อถูกนำไปเผาแล้วอาจจะมีเฉดสีม่วงที่แตกต่างกันหรือมีการผสมผสานกับสีอื่นๆ เล็กน้อย ขึ้นอยู่กับพื้นผิวของชิ้นงานและกระบวนการเผา
บทที่ 3
หลังจากทักทายคนรู้จักเสร็จอวี๋จือเหนียนก็ไปเข้าห้องน้ำ อารมณ์ของเขาสงบลงแล้ว
การพบกันเป็นภารกิจตั้งแต่แรก แค่ทำภารกิจให้สำเร็จก็พอ ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเลย
พอเขาออกมาก็มองหาเซียวอี้ฉือ
อีกฝ่ายกำลังยืนอยู่หน้าภาพวาดอีกภาพ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิด
ดูจากด้านข้าง เซียวอี้ฉือหุ่นดีมาก หลายคนมีท่ายืนที่ไม่ดีนัก ถ้าไม่ใช่หลังค่อมและแอ่นตัวไปข้างหน้า ก็ยืดขามากเกินไปจนส่งผลต่อรูปลักษณ์ แต่ท่ายืนของเซียวอี้ฉือสง่างามมาก ไม่ได้จงใจทำตัวเกร็งตามแบบทหาร แค่กอดอก เอียงศีรษะเล็กน้อย อีกฝ่ายไหล่และหลังกว้าง เอวตรง ขาเรียวยาว…
น่าเสียดายที่หน้าตาธรรมดาไปหน่อย
รูปลักษณ์ภายนอกสำคัญมาก อย่าพูดว่าหน้าตาไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องไร้สาระ รูปลักษณ์ภายนอกในจินตนาการของคนทั่วไปนั้นมีค่าเท่ากับ ‘ความงาม’ ด้วยซ้ำ
ส่วนเซียวอี้ฉือนั้นกำลังทบทวนตัวเองอีกครั้ง อวี๋จือเหนียนชอบภาพวาดของอัลมาจากใจจริง และเมื่อกี้เขาเองก็แสดงอาการน่าผิดหวังจริงๆ แต่การแสวงหาความรู้สึกเหนือกว่าจากคนที่ไม่รู้ความจริงและได้รับความสุขในการทำสิ่งชั่วร้ายเล็กๆ น้อยๆ มันผิดตรงไหนล่ะ
อวี๋จือเหนียนยิ้มพลางเดินเข้ามาหาเซียวอี้ฉือ “ขอโทษที่ทำให้รอนาน”
เซียวอี้ฉือดึงสติกลับมา ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”
แม้จะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับภาพ ‘เที่ยงคืนในตะวันออกกลาง’ ไม่ได้ แต่ก็พอจะคุยเกี่ยวกับภาพวาดตรงหน้านี้ได้บ้าง เขากำลังจะเริ่มบทสนทนา อวี๋จือเหนียนกลับเอ่ยว่า “ผมมีงานด่วนต้องจัดการ แล้วก็ต้องกลับไปที่สำนักงานกฎหมายด้วย จะให้ไปส่งคุณก่อนไหม หรือคุณอยากอยู่ดูนิทรรศการที่นี่ต่อล่ะ โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ ผมไม่อยากขัดความสนุกคุณ”
เซียวอี้ฉือส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่ใส่ใจ “เรื่องงานสำคัญ นายไม่ต้องส่งฉันหรอก ฉันขอดูอีกหน่อย เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านเอง”
อวี๋จือเหนียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โอเค งั้นพวกเราค่อยคุยกัน”
“โอเค”
อวี๋จือเหนียนกำลังจะจากไป เซียวอี้ฉือก็เรียกเขาอย่างลังเล “เมื่อกี้…ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจภาพวาด ‘เที่ยงคืนในตะวันออกกลาง’ เท่าไร ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก ฉันไม่อยากหน้าแตกต่อหน้านายในฐานะแฟนศิลปะรุ่นพี่ แต่ฉันเข้าใจภาพวาดอื่นนะ น่าเสียดายที่วันนี้ไม่มีเวลา ไว้มีโอกาส ฉันค่อยขอคำแนะนำจากนายแล้วกัน”
ถ้อยคำเหล่านี้ช่วยคลายความกังวลใจของอวี๋จือเหนียนได้อย่างแม่นยำ
เข้าใจพูดเหมือนกันนี่
ใบหน้าของอวี๋จือเหนียนไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เขาแค่ยิ้มๆ “ผมไม่ได้ใส่ใจหรอก ก็ได้ ไว้มีโอกาสพวกเราค่อยคุยกัน”
เซียวอี้ฉือมองแผ่นหลังของอวี๋จือเหนียนที่กำลังจากไป ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง
วันนี้ได้รับความสนุกแล้ว
เมื่อกลับถึงบ้านเซียวอี้ฉือก็ถอดเสื้อที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษออก หลังจากใส่ถุงอย่างดีเขาก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วไปที่ร้านซักแห้ง
หน้าทางเข้าเขตชุมชนครึกครื้นมาก เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าบรรดาคุณป้าที่เต้นแอโรบิกกลางแจ้งกำลังรอรถบัสมารับไปแข่ง
“อี้ฉือ!” เสียงตะโกนที่คุ้นเคยนี้ ถ้าไม่ใช่คุณป้าม่ายแล้วจะเป็นใครได้อีก
คุณป้าม่ายโผล่ออกมาจากหมู่มวลสีสันอันสวยงาม เธอยิ้มให้เซียวอี้ฉือด้วยใบหน้าที่แต่งจนหนาเตอะ
“เอ๊ะ สาวสวยคนนี้ใครนะ” เซียวอี้ฉือยิ้มหวาน เขาเดินเข้าไปรับร่มกันแดดของคุณป้าม่ายมาและช่วยกางให้เธอ “พวกป้าๆ แข่งกันวันนี้เหรอครับ”
“ใช่สิ วันนี้แข่งรอบชิงแล้ว! พวกเรามีโอกาสชนะสูงมาก! ถ้าพวกเราได้ที่หนึ่งล่ะก็ ฉันจะกลับมาทำของอร่อยๆ ให้เธอกิน!”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ วันนี้พวกเราชนะแน่!”
“พ่อหนุ่มนี่…” จู่ๆ ก็มีคนพูดแทรกขึ้นมา
“เอ๊ะ จริงสิๆ!” คุณป้าม่ายพาคุณป้าที่อยู่ข้างๆ มาแนะนำให้เซียวอี้ฉือรู้จัก “คนนี้ก็คือป้าพาน! ป้าเขาอยากเจอเธอมานานแล้ว วันนี้เหมาะเจาะพอดีเลย!”
เซียวอี้ฉือจ้องมองอย่างตั้งใจ เครื่องสำอางที่หนาจัดปกปิดลักษณะใบหน้าที่แท้จริงของเธอ แต่คุณป้าพานคนนี้ดูอ่อนโยนมาก
“สวัสดีครับป้าพาน! ผมคือเซียวอี้ฉือครับ”
คุณป้าพานมองสำรวจเขาขึ้นลง ดูพึงพอใจอย่างมาก “ดีจังเลย เป็นเด็กดีจริงๆ”
“ใช่ไหมล่ะ ฉันก็บอกเธอแล้วว่าเซียวอี้ฉือของฉันเป็นเด็กดี! อย่าไปมองว่าเขาผ่านโลกมาเยอะนะ เขายังเด็กกว่าหลานของเธอตั้งครึ่งปี!”
หา? ป้าม่าย นี่คุณป้าสนิทกับผมแท้ๆ แต่ผมกลับไม่รู้ว่าคุณป้ากำลังชมหรือด่าผมกันแน่
คุณป้าพานหัวเราะ “ผ่านโลกไม่เยอะหรอก กำลังดี”
เซียวอี้ฉือรู้สึกซาบซึ้ง “ขอบคุณครับป้าพาน!”
“เธอกับจือเหนียนเข้ากันได้ดีไหม” คุณป้าพานมองเขาอย่างคาดหวัง
…จะพูดว่ายังไงดีล่ะ พวกเขาเจอหน้ากันอีกแค่ครั้งเดียวก็จะบอกลากันแล้ว
เซียวอี้ฉือตอบ “ก็ดีครับ พวกเราเจอกันสองสามครั้งแล้ว”
คุณป้าพานกับคุณป้าม่ายได้ยินแล้วก็หน้าบานพลางมองหน้ากัน “เยี่ยมไปเลย!”
โชคดีที่หัวหน้าคณะเต้นเป่านกหวีดอยู่ข้างหน้า “ทุกคน! รวมกลุ่มได้แล้ว! รถใกล้จะเลี้ยวมาแล้ว!”
“เอาล่ะ ไม่คุยแล้ว พวกเราจะไปรวมกลุ่มกันก่อน!” คุณป้าม่ายเป็นคนใจร้อน เธอลากคุณป้าพานเตรียมจะวิ่งกลับไป
คุณป้าพานมองเซียวอี้ฉือ “ไว้ว่างๆ แล้วพวกเราค่อยคุยกันนะ”
“ได้ครับๆ ระวังตัวด้วยนะครับ อย่าล้มนะครับ!” เซียวอี้ฉือมองพวกเธอจากไป แล้วก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
รถบัสจากไปไกลแล้ว ทว่าเซียวอี้ฉือยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ถ้าพ่อแม่ของเขายังอยู่ พวกเขาจะเป็นห่วงเรื่องแต่งงานของลูกตัวเองเหมือนคุณป้าม่ายกับคุณป้าพานไหมนะ…
เซียวอี้ฉือรู้ว่าตัวเองชอบเพศเดียวกันตั้งแต่สมัยวัยรุ่น
ความผันผวนรุนแรงในใจทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนมัธยมปลายด้วยความมึนงง จากนั้นก็เข้ามหาวิทยาลัยท้องถิ่นธรรมดาๆ ด้วยความมึนงงเช่นกัน แต่ระหว่างที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเขาได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น ทำให้เข้าใจสถานการณ์ต่างๆ มากขึ้น พออยู่ปีสามเขาจึงอยากเปิดเผยตัวตนกับพ่อแม่
แม้พ่อแม่ของเขาจะเป็นเพียงคนงานในโรงงานซีอิ๊ว แต่พวกเขาก็มีจิตใจที่เปิดกว้าง ซื่อสัตย์ และรักการอ่านหนังสือ ดังนั้นพวกเขาน่าจะ…เข้าใจ
เดิมทีคืนนั้นเป็นคืนเข้ากะของพวกเขา เพราะลูกชายบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยทั้งสองจึงลากลับบ้าน แต่ระหว่างทางกลับพวกเขาประสบอุบัติเหตุจากรถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด รถจักรยานยนต์ถูกชนจนกระเด็นไปไกล ตอนที่ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลทั้งคู่ก็เสียชีวิตแล้ว
เซียวอี้ฉือยืนอยู่หน้าเตาเผาพลางคิดว่าถ้าไม่ได้ให้พวกเขากลับมาก็ดีสิ
ถ้าเขาไม่ได้เป็นเกย์ก็ดีสิ…
เขาทำให้พ่อแม่ตาย…
เพราะเขาไม่ใช่คนปกติ…
ตอนใกล้จะจบปีสี่สำนักงานข่าวต่างประเทศแห่งหนึ่งขาดคนจึงมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อรับสมัครคนไปต่างประเทศ แม้จะไม่ได้เขียนไว้ชัดเจน แต่ไม่ว่าใครต่างก็พูดว่าต้องไปสนามรบและค่อนข้างเสี่ยงอันตรายทำให้คนสมัครน้อยมาก
สุดท้ายแล้วเซียวอี้ฉือจึงเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียว
ขณะที่เขากำลังจะเดินทางก็โกหกคุณป้าม่าย บวกกับอินเตอร์เน็ตในเวลานั้นยังไม่พัฒนา และเขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นคุณป้าม่ายจึงต้องให้เขาไป
เซียวอี้ฉือออกเดินทางด้วยความตั้งใจที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามเวรตามกรรม ตายก็ตาย บางทีตายไปก็อาจจะดีกว่า
แต่เขาไร้เดียงสาเกินไป
แม้จะได้รับการฝึกฝนมาแล้ว แต่พอได้เหยียบสนามรบเข้าจริงๆ ไม่สิ นั่นเป็นแค่รอบนอกของสนามรบ…เขาก็รู้สึกกลัวจากใจจริง
ความกลัวอย่างรุนแรงประกอบกับสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดอันแรงกล้าทำให้เขาตระหนักได้ว่าไม่มีหรอก คิดอยากตายก็ตายได้น่ะ เพราะนั่นก็เหมือนกับเด็กที่ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล
ในช่วงสองปีแรกเขาใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากมาก ทั้งในแง่ชีวิตประจำวันที่ยุ่งเหยิง หรือแม้แต่แง่ของจิตใจ
แต่เขาเข้าใจยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดว่าเขาอยากมีชีวิตรอด
เซียวอี้ฉือจำเป็นต้องยอมรับตัวตนของตัวเอง
ซึ่งนี่เป็นกระบวนการที่ยาวนานมาก
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ด้านมืดด้านสว่างของธรรมชาติมนุษย์ วัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผู้คนที่บังเอิญเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว ผู้คนที่มีความขัดแย้ง หรือผู้คนที่มีความสนใจคล้ายคลึงกันจนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันในท้ายที่สุด ทั้งหมดนี้ต่างหลอมรวมกันเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่อีกครั้ง
สำหรับอวี๋จือเหนียนแล้วเป็นเรื่องปกติที่จะมีหลายโครงการกำลังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน บางโครงการอาจอยู่ในระหว่างการตรวจสอบอย่างรอบคอบ บางโครงการต้องมีการสอบถามเพิ่มเติม บางโครงการกำลังเตรียมออกคำวินิจฉัยทางกฎหมาย แต่ช่วงนี้เขายุ่งมากเป็นพิเศษ เพราะว่าตระกูลเยี่ยในเมืองกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วน
ผลประโยชน์ของตระกูลเศรษฐีนั้นเกี่ยวพันกัน โชคไม่ดีที่นายท่านอาวุโสของตระกูลเยี่ยไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการเสียเปรียบเมื่อต้องแบ่งทรัพย์สินของครอบครัว ทุกคนจึงพยายามงัดทักษะทั้งหมดที่มีเพื่อแสดงความเทพของตัวเอง
ลูกชายคนรองของตระกูลเยี่ยและพรรคพวกเป็นลูกค้าของฟางต๋า ในกลุ่มนี้หลานชายอย่างเยี่ยจ้าวหลินเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นที่โปรดปรานของนายท่านอาวุโส และเป็นที่จับตามองของทุกฝ่าย ปัจจุบันเยี่ยจ้าวหลินรับผิดชอบธุรกิจโรงแรมและการจัดเลี้ยงของครอบครัว ตั้งแต่เขาดำรงตำแหน่งก็ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยงอย่างแข็งขัน สร้างร้านอาหารที่มีชื่อเสียงทางอินเตอร์เน็ตมากมาย อีกทั้งยอดขายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ฟิวชั่นที่เขาเพิ่งลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่เมื่อสองเดือนก่อนก็ติดอันดับต้นๆ ของร้านอาหารที่ต้องไปลองของแบล็กเพิร์ลไกด์* ในพื้นที่ทันที
แต่ตอนนี้ร้านอาหารดังกล่าวกำลังเผชิญกับวิกฤต นั่นก็คือเชฟชาวฝรั่งเศสวางแผนจะลาออก
เยี่ยจ้าวหลินกับอวี๋จือเหนียนพูดคุยกันขณะก้าวเข้าไปในลิฟต์ “จุดขายของร้านอาหารนี้ก็คือเชฟ ถ้าเขาไปร้านก็จบ เพิ่งจะเปิดมาได้สองเดือนเอง ถ้าพวกญาติๆ ของฉันรู้ พวกเขาต้องไปโพนทะนาเกินจริงแน่ๆ” จู่ๆ เยี่ยจ้าวหลินก็นึกขึ้นได้ “คิดว่ามีใครเล่นสกปรกอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า”
อวี๋จือเหนียนตอบ “ฉันส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่นายก็รู้ว่าเชฟใหญ่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ อาจจะไม่ใช่ปัจจัยภายนอกก็ได้ที่กระตุ้นให้เขาลาออก ตอนที่จ้างเขามาใหม่ๆ ฉันก็เตือนนายแล้วว่าเขาคือปัจจัยที่ไม่มีความแน่นอน”
เยี่ยจ้าวหลินถอนหายใจ “แต่ฝีมือการทำอาหารเขาเยี่ยมมากจริงๆ นะ แถมยังโด่งดังบนแพลตฟอร์มโซเชียลเมืองนอกมากด้วย ถ้าตอนนั้นฉันไม่สร้างอะไรที่น่าสนใจขึ้นมาก็คงจะถูกบริษัทภาพยนตร์ของอาสามขโมยซีนไปหมด”
“วางใจเถอะ เขาเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนแล้ว ถ้าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล พวกเราก็ค่อยใช้ไม้แข็งทีหลัง”
วันนี้มีการชิมอาหารที่ร้านอาหาร พวกเขาจึงเคลียร์พื้นที่ในตอนเที่ยงเป็นกรณีพิเศษ ตั้งใจว่าจะคุยกับเชฟใหญ่หลังกินข้าวเสร็จ
ตอนนี้อวี๋จือเหนียนกำลังทำงานอยู่ ออร่าของทนายชั้นยอดเฉิดฉายออกมาอย่างเต็มที่
จนกระทั่งเขาเห็นเซียวอี้ฉือที่แบกกระเป๋ากล้องตรงทางเข้าร้านอาหาร
เมืองนี้กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เซียวอี้ฉืออยู่ในสถานะคนเร่ร่อนว่างงานที่เดินเตร่ไปมาในตอนกลางวัน
แอพฯ แนะนำร้านอาหารบอกว่าร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ฟิวชั่นที่ได้รับคะแนนรวมสูงสุดอยู่แถวๆ นี้ เขารู้สึกสนใจจึงคิดจะลองเสี่ยงโชคดูว่าจะได้กินอาหารกลางวันโดยไม่ต้องจองโต๊ะล่วงหน้าได้ไหม
น่าเสียดายที่พนักงานต้อนรับกล่าวขอโทษว่าวันนี้ร้านอาหารยุ่งนิดหน่อย และจะเปิดอีกทีช่วงบ่าย
ขณะเซียวอี้ฉือยืนอยู่หน้าประตูและนึกเสียดายว่าตัวเองไม่มีโชคก็เจอกับอวี๋จือเหนียนเข้า
เจ้าหน้าที่แผนกต้อนรับตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทักทายอย่างสุภาพว่า “คุณเยี่ย คุณอวี๋ ยินดีต้อนรับครับ ทุกอย่างข้างในพร้อมแล้วครับ”
อวี๋จือเหนียนมองเซียวอี้ฉือ “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เยี่ยจ้าวหลินเห็นดังนี้ก็ถามว่า “คนรู้จักเหรอ”
อวี๋จือเหนียนแค่ตอบรับว่า “อืม” ทีหนึ่ง
เซียวอี้ฉืออธิบายว่าตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไร “ฉันบังเอิญผ่านมา ได้ยินว่าร้านอาหารนี้ดังมาก ก็เลยลองมาเสี่ยงโชคดูว่าจะมีที่ว่างหรือเปล่า”
อวี๋จือเหนียนพูด “วันนี้มีเรื่องงานต้องคุย ร้านอาหารไม่สะดวกรับลูกค้านอก”
แต่เยี่ยจ้าวหลินกลับใจกว้าง “ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นเพื่อนของจือเหนียน ไหนๆ มาแล้วก็เข้าไปกินข้าวกลางวันด้วยกันเถอะ ถึงยังไงพวกเราก็จะคุยเรื่องงานหลังกินข้าวอยู่แล้ว”
เซียวอี้ฉือมองอวี๋จือเหนียน อวี๋จือเหนียนก็เข้าใจสถานการณ์ ในเมื่อเจ้าของร้านเอ่ยปากแล้ว เขาในฐานะคนที่มาด้วยกันก็ไม่มีเหตุผลที่จะหักหน้าอีกฝ่ายจึงพูดยิ้มๆ ว่า “งั้นก็เข้าไปด้วยกันเถอะ”
เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว ยิ้มไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย หมายถึงการแสดงออกของอวี๋จือเหนียนในตอนนี้น่ะนะ
หลังจากเข้าไปในร้านอาหารเยี่ยจ้าวหลินก็ไปสอบถามสถานการณ์กับผู้จัดการก่อน
ที่โต๊ะกินข้าวมีแค่คนแซ่อวี๋กับคนแซ่เซียวสองคนเท่านั้น
การพบกันส่วนตัวก็เรื่องหนึ่ง แต่การเจอกันในสถานการณ์ตอนนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อวี๋จือเหนียนยังคงรักษารอยยิ้มบางๆ “ขอโทษด้วย ถ้าผมทำให้คุณรู้สึกอึดอัด ผมอยากจะขอโทษก่อน”
เซียวอี้ฉือรู้จักลำดับความสำคัญ ในเมื่อเขาตามเข้ามาแล้วก็เป็นได้แค่คนกินอาหารเท่านั้น เขารู้จักกาลเทศะดี “ฉันจะคอยระวังเอง ถ้าเป็นไปได้ฉันก็จะออกไปก่อน”
ได้ยินแบบนี้อวี๋จือเหนียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เยี่ยจ้าวหลินเดินเข้ามาแล้วนั่งลง ก่อนจะมองไปที่เซียวอี้ฉือ “ผมควรเรียกคุณว่าอะไรดี”
“ผมแซ่เซียว เซียวอี้ฉือ”
“คุณเซียว คุณก็เป็นทนายเหรอ”
“เปล่าครับ”
“ถ้าอย่างนั้น…”
อวี๋จือเหนียนพูดแทรกอย่างไม่รีบร้อน “เขาเพิ่งกลับจากต่างประเทศน่ะ”
“อ้อ? อย่างนี้นี่เอง” เยี่ยจ้าวหลินยิ้มเอ่ย “ดูเหมือนว่าคุณเซียวก็รู้จักเพลิดเพลินกับชีวิตเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวพอกินอาหารอร่อยๆ แล้วก็ขอฟีดแบ็กบ้างนะครับ”
เซียวอี้ฉือพยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ครับ”
อาหารอร่อยๆ ไม่ควรถูกมองข้าม เขาอาจพูดเรื่องอื่นไม่ได้มากนัก แต่เรื่องกินเขาไม่เคยแพ้
วันนี้เป็นการลองเมนูใหม่ทั้งหมดห้าอย่าง สองเมนูหลักที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือสเต๊กปลาและฟิเลต์เนื้อแกะ หนังปลาถูกทอดจนกรอบหอม แต่เนื้อปลานุ่มละมุนลิ้น ชั้นสีจากด้านนอกสู่ด้านในค่อยๆ ไล่จากเข้มไปอ่อน รสสัมผัสหลากหลาย เมื่อเสิร์ฟพร้อมซอสสูตรพิเศษก็ทำให้รสชาติเหนือคำบรรยาย เซียวอี้ฉือเคี้ยวช้าๆ รสชาติของซอสให้ความรู้สึกคุ้นเคยแต่เขากลับนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร ส่วนเนื้อแกะมีความชุ่มฉ่ำและมีไขมันแทรกอยู่ข้างใน คำแรกนุ่มลิ้น คำต่อมาเนื้อแน่น คำที่สามทั้งไขมัน เนื้อแกะ และน้ำของมันผสมผสานกันอย่างลงตัว มอบประสบการณ์รสชาติอันสมบูรณ์แบบ และรสชาติเครื่องเทศที่ใช้ในจานนี้ก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอีกครั้ง
ไม่ทันรอให้พวกเขากินหมดทั้งห้าจานเชฟใหญ่ก็ออกมา รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีเขียวล้ำลึก ใบหน้าหล่อเหลา อีกทั้งยังมีเสน่ห์ที่แปลกตาเล็กน้อย
เยี่ยจ้าวหลินชมอาหารของเขาเป็นภาษาอังกฤษ แต่เชฟใหญ่กลับมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษว่า “ผมจะไปได้เมื่อไหร่”
บรรยากาศเย็นเยียบลงทันที
อวี๋จือเหนียนส่งสายตาให้เซียวอี้ฉือเป็นนัยว่าให้เขากลับไปก่อน แต่ขณะที่เซียวอี้ฉือก้มลงหยิบกระเป๋าจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ารสชาติที่คุ้นเคยนี้มาจากไหน
เขามองเชฟใหญ่ แล้วถามเป็นภาษาอาหรับว่า “คุณใส่สมุนไพรจากหมู่บ้านซาร์นาลงในจานหลักเหรอ”
ทั้งสามคนมองเซียวอี้ฉือพร้อมกัน
เชฟใหญ่กะพริบตาปริบๆ ตอบเป็นภาษาอาหรับว่า “คุณรู้ได้ยังไง”
“ผมเคยอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่ง แล้วก็ล้มป่วย ต้องดื่มยาสมุนไพรทุกวัน รสชาติมัน…ยากที่จะลืม”
เชฟใหญ่ได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะเสียงดัง “ใช่เลย รสชาติทำให้ลืมไม่ลงไปชั่วชีวิต คุณยายผมโตที่นั่น ต่อมามีสงครามก็เลยย้ายไปที่ฝรั่งเศส”
เยี่ยจ้าวหลินกับอวี๋จือเหนียนเหมือนกำลังฟังหนังสือสวรรค์* มองหน้ากันไปมองกันมา
ตอนนั้นเซียวอี้ฉืออยู่ที่หมู่บ้านนั้นเพื่อติดตามความคืบหน้าล่าสุดของกลุ่มติดอาวุธในบริเวณใกล้เคียง คู่หูของเขาที่เป็นช่างภาพ (และเป็นครูสอนภาษาอาหรับคนแรกของเขา) ก็มาจากหมู่บ้านซาร์นาเหมือนกัน ดังนั้นเซียวอี้ฉือจึงมีสำเนียงอาหรับที่เข้มข้น ต่อมาไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็แก้สำเนียงไม่ได้แล้ว
เพราะสำเนียงนี้เองที่ทำให้เชฟใหญ่เกิดความรู้สึกสนิทสนม เขาพูดกับเซียวอี้ฉือว่า “ผมอยู่กับคุณยายมาตั้งแต่เด็ก เคยกลับไปที่หมู่บ้านแค่สองครั้ง ผมหลงใหลประเทศของคุณมาก แต่พอมาที่นี่ก็รู้สึกเหงามากๆ ผมคิดถึงซาร์นา แต่ผู้ชายสองคนนี้คงไม่ยอมปล่อยผมไปแน่ๆ ผมควรทำยังไงดี”
‘ผู้ชายสองคน’ ที่ว่ากำลังนิ่งอึ้งเพราะไม่รู้อะไรเลย ทั้งสองมองเซียวอี้ฉือพร้อมกัน รอให้เขาถ่ายทอดความคิดของเชฟออกมา
เซียวอี้ฉือปลอบใจเชฟใหญ่ก่อน “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ คุณรอผมสักครู่นะ ผมจะคุยกับสองคนนี้ดู พวกเขาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล อาหารของคุณเป็นที่นิยมมากที่นี่ ลูกค้ามากมายชมไม่ขาดปาก พวกเขาไม่อยากให้คุณไป”
สีหน้าของเชฟใหญ่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาตอบว่า “งั้นผมขอตัวก่อน” เป็นภาษาอังกฤษ แล้วกลับห้องครัวไป
“พวกคุณคุยอะไรกัน” เมื่อเชฟใหญ่จากไปไกลแล้วเยี่ยจ้าวหลินก็ถามทันที
“เขาอยู่ที่นี่แล้วเหงามาก อยากกลับบ้านเกิดที่ตะวันออกกลาง”
เยี่ยจ้าวหลินถอนหายใจโล่งอก “ที่แท้ก็เพราะรู้สึกต่างที่ต่างถิ่นนี่เอง เรื่องนี้พอเข้าใจได้ เดี๋ยวผมจะให้คนพาเขาไปรู้จักกับคนอาหรับในท้องที่ พอได้เพื่อนใหม่แล้วก็อาจจะดีขึ้นบ้าง”
“เขาพูดแค่นี้จริงเหรอ” อวี๋จือเหนียนหรี่ตา มองไปที่เซียวอี้ฉือพลางถามให้แน่ใจ
เขาควรตีความคำถามอวี๋จือเหนียนว่าอย่างไรดีล่ะ แค่ระมัดระวังตัว หรือว่ากำลังสงสัยในสิ่งที่เขาแปล?
ในฐานะทนายความ การที่อวี๋จือเหนียนจะรู้สึกสงสัยอะไรในขอบข่ายการทำงานแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่ คนที่ล้ำเส้นคือเซียวอี้ฉือเองต่างหาก เขาควรจะออกไปแต่แรกแล้ว แต่กลับยิงคำถามโดยไม่ทันคิดเพียงเพราะมันไปกระตุ้นความทรงจำของตัวเอง นอกจากนี้เขายังถามด้วยภาษาที่คนที่อยู่ตรงนั้นไม่สามารถเข้าใจได้ นี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและไม่สุภาพในทุกประการ
ดังนั้นเซียวอี้ฉือจึงให้ความร่วมมืออย่างดี “ใช่ ฉันจะแปลทุกอย่างที่เราคุยกันก็ได้ แล้วพวกคุณค่อยเอาวิดีโอจากกล้องวงจรปิดไปให้คนเปรียบเทียบ”
“ช่างเถอะ เป้าหมายของพวกเราก็แค่อยากเข้าใจปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหาให้เยอะกว่าเดิม” เยี่ยจ้าวหลินหันไปหาเซียวอี้ฉือ “จือเหนียนขึ้นชื่อเรื่องการทำงานที่เข้มงวด คุณเซียวอดทนกับเขาได้ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ” เขาถามอีก “จริงสิ คุณเซียว คุณรู้ได้ยังไงว่าเชฟใหญ่พูดภาษาอาหรับได้”
“เครื่องเทศที่เขาใส่ในอาหารเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคหนึ่งในตะวันออกกลาง ผมก็เลยลองถามดู”
เยี่ยจ้าวหลินยกนิ้วให้เขา “คุณเซียวนี่รอบรู้จริงๆ!”
เซียวอี้ฉือตอบกลับอย่างสุภาพ “ครั้งนี้ก็แค่โชคดีน่ะครับ”
เยี่ยจ้าวหลินคำนวณผลประโยชน์ของตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรวดเร็ว “คุณเซียว ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่ คุณพอรู้จักชาวอาหรับที่จะแนะนำให้เชฟใหญ่รู้จักได้บ้างไหมครับ คุณเป็นเพื่อนของจือเหนียน ผมไว้ใจคุณ”
อวี๋จือเหนียนขมวดคิ้ว ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ไม่ได้พูดอะไร
“…อันที่จริงครูสอนภาษาอาหรับคนแรกของผมเป็นคนบ้านเดียวกับเชฟใหญ่ เขาทำธุรกิจเครื่องเทศอยู่ที่นี่”
“จริงเหรอ อย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย!”
ระหว่างที่เซียวอี้ฉือไปโน้มน้าวความคิดเชฟใหญ่ อวี๋จือเหนียนก็จ้องเยี่ยจ้าวหลินเขม็ง ทำหน้าราวกับว่าพายุฝนกำลังจะมา
“ตอนนี้เป็นช่วงเซนซิทีฟ ไม่ว่าให้ใครจัดการฉันก็ไม่ไว้ใจทั้งนั้น มีแต่นาย คุณเซียวเป็นเพื่อนของนาย นายช่วยฉันจับตาดูเขาไว้ ฉันก็วางใจ” เยี่ยจ้าวหลินยังพูดอีกว่า “ตอนนี้พวกเราต้องการความช่วยเหลือ ช่วยทำดีกับเขาแทนฉันด้วย ให้เขาโน้มน้าวเชฟใหญ่ให้สำเร็จ อย่างน้อยก็อย่าให้เกิดปัญหาอะไรภายในหกเดือนนี้ จากนั้นเชฟใหญ่อยากจะไปไหนก็ไปได้ตามใจชอบเลย”
“…เพิ่มค่าทนายของฉันเป็นสามเท่า”
“ได้”
“ฉันตั้งใจจะรับตำแหน่งหุ้นส่วนอาวุโสด้วย”
“นายช่วยฉันแก้ปัญหา ฉันก็จะเลื่อนตำแหน่งให้นาย”
“ตกลงตามนี้”
“จริงสิ” เยี่ยจ้าวหลินพูด “คุณเซียวทำงานอะไรเหรอ”
“ไม่รู้”
“นี่ ถ้านายไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ แต่อย่าใช้ข้ออ้างเด็กๆ แบบนี้สิ”
“…”
อวี๋จือเหนียนแอบส่งข้อความให้ผู้ช่วยหนานจิ่งอยู่ใต้โต๊ะ
‘ค้นหาคนที่ชื่อ ‘เซียวอี้ฉือ’ ให้หน่อย แล้วส่งเรซูเม่ให้ฉันภายในสิบนาที’
สองนาทีต่อมาอีกฝ่ายตอบกลับมาว่า
‘ไม่ต้องถึงสิบนาทีหรอก เขาเป็นไอดอลเฉพาะกลุ่มของผม ด้านล่างนี้เป็นข้อความคร่าวๆ ผมส่งข้อมูลพร้อมรายละเอียดไปที่อีเมลของคุณแล้ว’
‘เซียวอี้ฉือ สำเร็จการศึกษาจากภาควิชาภาษาจีน เชี่ยวชาญภาษาสี่ภาษา ได้แก่ จีน อังกฤษ สเปน และอาหรับ เคยเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ต่อมาได้ผันตัวมาทำอาชีพอิสระ เป็นนักเขียนและบรรณาธิการให้กับสื่อใหญ่ที่มีชื่อเสียงกว่ายี่สิบแห่งทั่วโลก เคยสัมภาษณ์คนดังหลายคน เคยเป็นนักวิชาการรับเชิญที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในอเมริกา ทำงานวิจัยด้านสังคมวิทยาการเมือง ต่อมาก็ยังคงเป็นนักข่าวสงครามต่อ เขาเป็นคนเรียบง่ายมาก ทั้งยังปฏิเสธคำเชิญให้ไปทำงานจากองค์กรแห่งหนึ่งในเจนีวาก่อนจะเดินทางกลับจีน’
ในโลกนี้ไม่มีมื้อกลางวันฟรีจริงๆ หลังจากกินอิ่มแล้วก็ต้องตอบแทนบุญคุณ เซียวอี้ฉือคิดแล้วก็แลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อกับเชฟใหญ่
เมื่อเดินออกมาจากร้านอาหารเยี่ยจ้าวหลินก็ให้อวี๋จือเหนียนดูแลเขาต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณเซียว เดี๋ยวผมยังมีธุระ ให้จือเหนียนส่งคุณกลับบ้านก็แล้วกันนะ”
เยี่ยจ้าวหลินเพิ่งจะออกไป อวี๋จือเหนียนก็ยิ้มน้อยๆ “เมื่อกี้เสียมารยาทแล้ว ในฐานะทนาย ผมต้องทำหน้าที่ แล้วก็ขอบคุณที่คุณช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้พวกเรา จากนี้ไปถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็บอกพวกเราได้ พวกเราจะช่วยคุณแน่นอน”
จากรอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติเมื่อครู่ จนกระทั่งยิ้มธุรกิจในตอนนี้ เขาไม่ได้แสดงความจริงใจออกมาเลย
ตอนเจอกันส่วนตัวก็เหมือนกัน เซียวอี้ฉือเดาว่ามีแค่ความไม่พอใจที่เป็นของจริง ส่วนรอยยิ้มก็เป็นแค่หน้ากากทางสังคมทั้งนั้น
ความสนุกแบบนี้เจอมากไปก็น่าเบื่อ
เซียวอี้ฉือพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ ฉันก็ต้องขอโทษที่เมื่อกี้เสียมารยาทเหมือนกัน สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่ที่ที่ฉันควรจะพูดอะไรออกไป แต่โชคดีที่ไม่มีผลเสียอะไร”
ที่ควรขอโทษก็ขอโทษไปแล้ว ส่วนหลังจากนี้…
“ทนายอวี๋ ถึงตอนนี้พวกเราก็เจอกันสี่ครั้งแล้ว ต่อไปพวกเรา…ก็ไม่ต้องเจอกันแล้วสินะ”
รอยยิ้มของอวี๋จือเหนียนยังคงเหมือนเดิม “ต่อให้พวกเราไม่มีดวงเป็นคู่รักกัน แต่ผมก็หวังว่าจะเป็นเพื่อนกับคุณเซียวได้นะ ต่อไปพวกเรายังกินข้าว คุยกัน ติดต่อกันเรื่อยๆ ได้ คุณคิดว่าไง”
อวี๋จือเหนียนเป็นคนหล่อ เวลายิ้มดวงตาจะโค้งเป็นสระอิ สามารถละลายน้ำแข็งได้
สำหรับคนแบบนี้เขาก็แค่ต้องกระชากหน้ากากให้เผยธาตุแท้ออกมา
เซียวอี้ฉือสามารถเป็นคนมีเหตุผลและถ่อมตัวหรือเป็นคนเอาแต่ใจและช่างยุแหย่ได้เช่นกัน ปีศาจน้อยในใจเขาส่ายเอวไปมา บอกว่ามันพร้อมแล้ว
เขามองอวี๋จือเหนียน “นายอยากเป็นเพื่อนกับฉัน เพราะมีเรื่องจะขอร้องฉันใช่ไหม…ตอนนี้เชฟใหญ่สำคัญกับพวกนายมาก พวกนายอยากได้คนไปโน้มน้าวเขา ฉะนั้นนายก็เลยบอกลาฉันง่ายๆ ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
อวี๋จือเหนียนยังคงสงบเมื่อเจอกับการเปลี่ยนแปลง “คุณเซียว การคาดเดาของคุณแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
เซียวอี้ฉือหัวเราะเบาๆ “งั้นตอนนี้ฉันเข้าไปพูดกับเชฟใหญ่แล้วยุให้เขารีบๆ ไปดีไหม ให้พวกนายผิดใจกัน วุ่นวายจนต้องขึ้นศาล ทุกคนรู้กันทั่ว แต่พวกนายเป็นฝ่ายถูก เพราะอย่างงั้นก็ถือว่าไม่ได้เสียอะไร คิดว่าไง”
รอยยิ้มของอวี๋จือเหนียนค่อยๆ หายไป “คุณเป็นนักข่าวสงครามแบบนี้เหรอ”
เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว “นายรู้แล้วเหรอ”
“คุณไม่ได้พูดตั้งแต่แรก คุณตั้งใจปิดบังผม!”
“ข้อแรก ฉันไม่ได้ตั้งใจปิดบัง แต่เป็นนายเองที่ไม่คิดจะทำความรู้จักกัน ข้อสอง ตอนนี้อินเตอร์เน็ตพัฒนาไปมากแล้ว แค่ขยับนิ้วนิดเดียวนายก็ได้ข้อมูลแล้ว หรือว่าทนายอวี๋มาจากหมู่บ้านที่อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึงล่ะ”
เซียวอี้ฉือพูดอย่างใจเย็น “นายคิดว่าฉันเป็นคนงานที่ถูกส่งไปต่างประเทศ หน้าตาไม่ดี ไม่มีรสนิยม แถมทัศนคติก็แย่อีก ฉะนั้นตั้งแต่ที่เราเริ่มเจอกันจนกระทั่งเมื่อกี้นายเลยไม่มีความคิดที่จะกินข้าวกับฉันเลย เพราะกลัวว่าฉันจะไม่รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหาร กลัวทำให้นายขายหน้า แล้วทำให้งานล่าช้า อ้อ สุดท้ายนายก็ยังอุตส่าห์ซื้อเสื้อให้ฉัน ขอบคุณนะ”
เส้นเลือดบนหน้าผากของอวี๋จือเหนียนปูดขึ้น ในใจเขาคิดอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การถูกคนเยาะเย้ยและมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อวี๋จือเหนียนไม่ชอบหน้าของเขา เซียวอี้ฉือกลับจงใจเข้ามาใกล้ๆ “กลับไปที่คำถามเดิม ทนายอวี๋ นายมีเรื่องจะขอร้องฉันใช่ไหม”
เดิมทีอวี๋จือเหนียนยังนึกว่าเซียวอี้ฉือนิสัยพอใช้ได้ ตอนนี้เขาเห็นเรซูเม่ของอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตบหน้า เวลานี้มาคิดดูแล้ว ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายแค่ไม่ได้เผยเขี้ยวเล็บออกมาก็เท่านั้น
อวี๋จือเหนียนกำหมัดแน่น เอ่ยเสียงทุ้มต่ำจนน่ากลัว “เซียวอี้ฉือ มันจะเกินไปแล้วนะ!”
เซียวอี้ฉือหมุนตัวกลับไปที่ร้านอาหารทันทีโดยไม่พูดอะไร อวี๋จือเหนียนเข้าไปขวางเขาอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ
“ฉันไม่มีความอดทนหรอกนะ ขอถามอีกครั้ง นายมีเรื่องจะขอร้องฉันใช่ไหม” เซียวอี้ฉือมองเหยียด เผชิญหน้ากับเขาซึ่งๆ หน้าโดยไม่กลัวเลย
แววตาของอวี๋จือเหนียนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาบดฟันกรามจนแทบแตกละเอียด “ใช่”
“ฉันไม่ได้ยิน”
“ผมบอกว่าผมมีเรื่องจะขอร้องคุณ!”
เซียวอี้ฉือแสยะยิ้ม “ถ้ายอมรับเร็วกว่านี้พวกเราก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ถ้างั้นหลังจากนี้พวกเราก็จะเจอกันอีกหลายครั้งสินะ ฉันจะเป็นคนนัดเอง หวังว่าทนายอวี๋จะให้ความร่วมมือ”
“เซียวอี้ฉือ คิดไม่ถึงว่าคุณจะเฮงซวยแบบนี้!”
“เพราะว่าหน้าตาของนายไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของฉันไง เพราะงั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตา นายเข้าใจเหตุผลนี้ใช่ไหม ทนายอวี๋”
ฝีปากที่เฉียบคมของเซียวอี้ฉือทำให้อวี๋จือเหนียนโมโหจนพูดอะไรไม่ออก
“วันนี้คงไม่รบกวนทนายอวี๋ส่งฉันกลับหรอก เพราะนายยังต้องกลับหมู่บ้านไปต่ออินเตอร์เน็ตก่อน ไม่อย่างนั้นเป็นยากนะ ทนายเนี่ย”
พูดจบเขาก็โบกมืออย่างสง่างามแล้วจากไป
* แบล็กเพิร์ลไกด์ (Black Pearl Restaurant Guide) เป็นคู่มืออาหารเล่มแรกที่ออกโดยเหม่ยถวน (แพลตฟอร์มช็อปปิ้งของจีน) ซึ่งเสนอมาตรฐานอาหารจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรายการอาหารติดอันดับของชาวจีนเอง
* หนังสือสวรรค์ เป็นการอุปมาถึงเรื่องที่เข้าใจยาก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.