X
    Categories: everYHis Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ดทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 4-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

ทดลองอ่านเรื่อง His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด 

ผู้เขียน : เชียนสือจิ่ว (千十九)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด 

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในภาวะสงคราม

มีการกล่าวถึงเลือดและสภาพศพ การข่มขืน การฆ่าตัวตาย

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การใช้ถ้อยคำเหยียดหยาม

อาการป่วยทางจิต บาดแผลทางใจในวัยเด็ก

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 4

 

อวี๋จือเหนียนโมโหมากจนปอดแทบระเบิด เขาเคยถูกข่มจนกลายเป็นแบบนี้เมื่อไรกัน?! เยี่ยมไปเลย! เซียวอี้ฉือ ฉันจะคอยดูว่านายจะเล่นลูกไม้อะไรอีก ฉันจะเล่นกับนายจนถึงที่สุด!

 

อีกด้านหนึ่งเซียวอี้ฉือเดินออกมาจากตึกที่ร้านอาหารตั้งอยู่พลางพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโกรธ

ปีศาจน้อยตัวสั่น ส่ายหางแหลมๆ ไปมา แล้วก็หายตัวไป

เขาแค่ตอบสนองความอยากพูดของตัวเองและบีบให้อวี๋จือเหนียนก้มหัวอันสูงส่งเท่านั้น เขาไม่คิดที่จะนัดกับอีกฝ่ายจริงๆ

สุดท้ายแล้วอวี๋จือเหนียนก็พูดตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขาไปด้วยกันไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่หยิ่งยโสถึงขนาดมีแรงจูงใจแอบแฝงในการเป็นเพื่อนกับเขา เซียวอี้ฉือก็คงไม่คิดจะทะเลาะกับอีกฝ่ายหรอก

อันที่จริงจะว่าไปแล้วอวี๋จือเหนียนทำแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ก็แค่เจอหน้ากันสี่ครั้งเท่านั้น ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะ คนในสังคมมักจะมีแผนของตัวเองเสมอ

ช่างเถอะ คิดดูแล้วก็ยุติธรรมดี ลืมมันไปแล้วเริ่มใหม่ซะ

เซียวอี้ฉือเก็บกระเป๋ากล้อง แล้วมุ่งหน้าเดินกลับบ้าน

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อมาภายในสำนักงานกฎหมายฟางต๋า โครงการที่อยู่ในมือของอวี๋จือเหนียนเสร็จสมบูรณ์อย่างราบรื่น ทีมงานทั้งหมดกำลังประชุมสรุปงาน “ถึงโครงการควบรวมกิจการจะจบลงแล้ว แต่อีกฝ่ายก็อาจเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตก็ได้ ทุกคนก็อย่าลืมรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยนะครับ”

ทุกคนพยักหน้าอย่างจริงจัง ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

สุดท้ายอวี๋จือเหนียนก็พูดว่า “โอเค วันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ พวกเราไปกินข้าวสักมื้อเถอะครับ ผมเลี้ยงเอง”

“เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณครับหัวหน้า!” ทุกคนโห่ร้องยินดี

ระหว่างนี้ผู้ช่วยหนานจิ่งถามอวี๋จือเหนียนว่า “หัวหน้า ก่อนหน้านี้ที่คุณถามผมเกี่ยวกับเรซูเม่ของเซียวอี้ฉือ มันเกี่ยวข้องกับงานต่อไปของเราหรือเปล่าครับ” ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะไม่สามารถเชื่อมโยงคนสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันได้

อวี๋จือเหนียนตอบอย่างเฉยเมย “ไม่เกี่ยว ลูกค้าแค่ให้ฉันถามดู”

“โอเคครับ ตอนนี้ผมใส่ลิงก์บทความที่เขาเขียนแล้วก็วิดีโอบรรยายที่พอจะหาได้ลงไปในเรซูเม่โดยละเอียดแล้วครับ ถ้าคุณต้องการก็ลองหาดูได้”

อวี๋จือเหนียนตบไหล่ของหนานจิ่งเบาๆ “ทำงานเก่งขึ้นเรื่อยๆ เลย”

หนานจิ่งขยับแว่น “กรุณาชมผมต่อหน้าคุณปู่ของผมด้วยครับ”

คุณปู่ของหนานจิ่งเป็นหนึ่งในกรรมการอาวุโสของสำนักงานกฎหมาย

อวี๋จือเหนียนตบศีรษะของเขาเบาๆ แล้วแหย่ว่า “ดูอารมณ์ก่อนก็แล้วกัน”

ภายนอกเป็นเรื่องหนึ่ง ภายในก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อวี๋จือเหนียนไม่ได้รับข้อความจากเซียวอี้ฉือมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว เขาเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา…ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดทำอะไรอยู่ กำลังแอบเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อยู่หรือเปล่า หรือจงใจเล่นตลกกับเขาอย่างนั้นเหรอ

ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญากับเยี่ยจ้าวหลินไว้ ทั้งรับประกันว่าเชฟใหญ่จะไม่ก่อเรื่องภายในครึ่งปีนี้ เขาจะถึงขั้นอ่อนไหวเพราะไม่ได้รับข้อความในโทรศัพท์มือถือไหมนะ

ขณะกำลังครุ่นคิดเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เยี่ยจ้าวหลินเป็นคนโทรเข้ามา

อวี๋จือเหนียนขมวดคิ้วก่อนจะรับสาย

“จือเหนียน นายก็ทำได้เหมือนกันนี่นา วันนี้ผู้จัดการร้านมารายงานฉันว่าช่วงนี้เชฟใหญ่อารมณ์มั่นคงมาก แล้วก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องลาออกอีก นี่เป็นแนวโน้มที่ดีมาก! ต้องขอบคุณนายกับคุณเซียวแล้ว! พวกนายทำได้ยังไงเนี่ย”

“ไม่รู้สิ”

“เอ๊ะ นายนี่…งั้นก็เป็นผลงานของคุณเซียวสินะ นายดูแลเขาดีหรือเปล่า จริงสิ ถ้าช่วงนี้มีค่าใช้จ่ายอะไรก็มาเก็บกับฉันนะ อย่าไปลำบากคุณเซียว เข้าใจไหม”

“…รู้แล้ว”

หลังจากวางสายอวี๋จือเหนียนก็ครุ่นคิด แทนที่จะรอให้ภัยพิบัติมาถึงที่ สู้ลงมือโจมตีก่อนดีกว่า แต่ถ้าจะให้เขาไปติดต่อเซียวอี้ฉือด้วยตัวเองก็คงเป็นไปไม่ได้ เขาจึงติดต่อเครือข่ายที่รู้จัก “ช่วงนี้ช่วยสะกดรอยตามคนคนหนึ่งให้หน่อย ราคาคุยกันได้”

 

ช่วงนี้เซียวอี้ฉือกำลังทำอะไรอยู่น่ะเหรอ เขากำลังสำรวจแผงร้านขายอาหารมื้อดึกในเมืองทั้งหมดกับเชฟใหญ่ แล้วก็อดัมครูสอนภาษาอาหรับคนแรกของเขา

เชฟใหญ่ต้องดูแลร้าน ส่วนอดัมก็ยุ่งอยู่กับธุรกิจของตัวเอง มีเวลาแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น เซียวอี้ฉือจึงนัดพวกเขาออกมาในตอนกลางคืนเพื่อสร้างความสัมพันธ์

ตอนนั้นเยี่ยจ้าวหลินถามว่าเขาพอจะมีเพื่อนชาวอาหรับในพื้นที่ที่พอจะแนะนำได้บ้างหรือเปล่า เขาจะบอกว่าไม่มีก็ได้ แต่ว่าเซียวอี้ฉืออยู่ห่างบ้านเกิดเมืองนอนมาหลายปี เข้าใจคำว่า ‘คิดถึงบ้าน’ อย่างลึกซึ้ง ถ้าช่วยได้ถึงจะลำบากเขาก็อยากยื่นมือเข้าช่วย เจตนาดีเล็กๆ น้อยๆ นี้อาจเปลี่ยนชีวิตของใครบางคนไปอย่างสิ้นเชิง

อีกอย่างนอกจากทั้งสองคนจะมาจากเมืองเดียวกันแล้ว คนหนึ่งยังเป็นเชฟ อีกคนทำธุรกิจเครื่องเทศ ไม่มีอะไรเข้ากันไปมากกว่านี้อีกแล้ว ช่วงนี้เชฟใหญ่เริ่มสนใจเครื่องเทศจีนที่อดัมส่งออกไปยังต่างประเทศ ประกอบกับการมีอยู่ของ ‘แผงขายอาหาร’ ทำให้เชฟใหญ่ได้เปิดหูเปิดตาและได้รับแรงบันดาลใจในการทำอาหารใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ส่วนอดัมที่สามารถทำธุรกิจจากสิ่งนี้ได้ก็รู้สึกมีความสุขมาก

ได้เห็นภาพฉากที่กลมกลืนแบบนี้เซียวอี้ฉือก็รู้สึกยินดีอย่างมาก แถมตอนกลางคืนเขาก็นอนไม่หลับ มีคนอยู่เป็นเพื่อนฆ่าเวลา แล้วทำไมจะไม่ทำล่ะ

สิ่งที่ช่วยให้นอนหลับ นอกจากยาแล้วยังมีเพื่อนคุยกับเซ็กซ์

เซียวอี้ฉือมี ‘พฤติกรรมที่ก้าวร้าว’ มากช่วงที่เขาอยู่ต่างประเทศ ต่อมาก็ก้าวร้าวน้อยลง เมื่อกลับประเทศเขาก็บวชเป็นพระ

อดัมเล่าถึงเรื่องเซียวอี้ฉือว่าคู่นอนคนหนึ่งของเซียวอี้ฉือถูกส่งมาทำงานในสถานทูตที่นี่เมื่อสองปีก่อน อีกฝ่ายเคยถามถึงเซียวอี้ฉือด้วย ดูเหมือนว่ายังลืมเขาไม่ลง

“พวกนายมาฟื้นความสัมพันธ์หน่อยเป็นไง”

“ก็ดีนะ” เซียวอี้ฉือคาบบุหรี่ไว้ในปากพลางยิ้มอย่างเกียจคร้าน

จากนั้นไม่นานทั้งสองก็ติดต่อกัน

เมื่อถ่านไฟเก่าติดแล้วก็ไม่มีทางหยุดได้

 

ถนนผู่หยวนในเขตเมืองเก่าเคยเป็นโซนวิลล่าที่เจ้าหน้าที่กงสุลพักอาศัยอยู่ ปัจจุบันเป็นย่านที่พักอาศัยที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวาย แน่นอนว่าคนที่สามารถซื้อบ้านที่นี่ได้ต้องเป็นพวกคนรวยหรือไม่ก็พวกชนชั้นสูง

บริเวณสวนหน้าวิลล่าหลังเล็กสไตล์ยุโรปสองชั้นซึ่งทาผนังสีเหลืองมีดอกกุหลาบสีชมพูและสีแดงสดบานสะพรั่งเต็มรั้ว ช่อดอกไม้งดงามน่าดึงดูด เดินไปอีกหน่อยก็เป็นแปลงดอกกุหลาบสีแดงสด กลิ่นหอมของดอกไม้พัดอยู่ในสายลม ม้วนตัวเป็นหลายรูปทรง บางครั้งก็จะพัดผ่านไหล่ของผู้คน ชวนให้รู้สึกสะท้านหัวใจเมื่อได้กลิ่น

ในบ้านยังมีกลิ่นหอมอีกกลิ่นที่ลอยมาจากห้องครัว

อวี๋จือเหนียนเอามะเขือเทศที่หั่นเป็นทรงพระจันทร์เสี้ยวลงในหม้ออย่างชำนาญ จากนั้นก็คนให้เข้ากับเนื้อที่ตุ๋นอยู่ด้วยไฟอ่อนๆ ปิดฝาหม้อและตุ๋นต่อไป

คุณป้าพานลงมาจากชั้นบนหลังพับผ้าเสร็จแล้ว เธอเดินเข้ามาหาอวี๋จือเหนียนพร้อมกับรอยยิ้ม “หอมจังเลย”

อวี๋จือเหนียนสวมผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ข้างหม้อ “ยังต้องตุ๋นต่ออีกหน่อย ให้น้ำมะเขือเทศค่อยๆ ซึมเข้าไปในเนื้อวัว รสชาติจะได้เข้มข้น”

“ยุ่งขนาดนี้ยังมาทำอาหารให้ฉันอีก ไม่เหนื่อยเหรอ” คุณป้าพานเกิดความรู้สึกสงสาร

“ได้กินข้าวกับคุณป้าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่เหนื่อยเลยครับ” อวี๋จือเหนียนมองคุณป้าพานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

นี่ไม่ใช่คำพูดประจบประแจง เขาเข้าใจลำดับความสำคัญในชีวิตได้อย่างชัดเจน เขาทำงานเพื่อดำรงชีวิต ส่วนเพื่อนและครอบครัวในชีวิตของเขาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด…วิลล่าหลังนี้ก็คือของขวัญที่เขาซื้อให้คุณป้าพาน

เวลาที่อวี๋จือเหนียนยิ้มอย่างจริงใจ มุมปากโค้งทำมุมที่ถูกต้องสามารถทำให้ใจคนหวั่นไหวราวกับท่วงทำนองที่สะเทือนไปถึงใจ

คุณป้าพานรู้สึกเอ็นดูสุดๆ “เด็กดีขนาดนี้ ทำไมความรักถึงไม่ราบรื่นกันนะ” เธอถอนหายใจ “สองวันก่อนป้าม่ายบอกฉันแล้ว เสี่ยวเซียวบอกว่าพวกเธอเข้ากันไม่ได้ เป็นเพื่อนกันดีกว่า เรื่องนี้…เธอรู้หรือเปล่า”

รอยยิ้มของอวี๋จือเหนียนเจื่อนลง “รู้ครับ”

“เธอคิดว่ายังไง จะยอมรับทั้งอย่างนี้เหรอ”

อวี๋จือเหนียนพยักหน้า เขาดูเวลาแล้วเปิดฝาหม้อ ควันพวยพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมเข้มข้นทันที

คุณป้าพานพูดถึงความรักของเขาอีกครั้งบนโต๊ะอาหาร “วันที่ฉันไปแข่งเต้นน่ะ ฉันเจอเสี่ยวเซียวที่หน้าประตูเขตชุมชนด้วย เขาเป็นเด็กดีมากเลยนะ พวกเธอ…ไปกันไม่ได้จริงเหรอ”

เพราะเขาคุมการปรุงรสและระดับไฟอย่างแม่นยำจึงทำให้เนื้อวัวดูดซับน้ำมะเขือเทศที่เปรี้ยวและหวานได้เป็นอย่างดี นุ่มแต่ไม่เละ เมื่อกัดลงไปแล้วน้ำมะเขือเทศก็จะพุ่งออกมา แต่อวี๋จือเหนียนกลับต้องขัดจังหวะการกินอาหารอย่างเพลิดเพลินของตนเองและคุณป้าพานเพื่อตอบคำถามกวนใจเกี่ยวกับ ‘เซียวอี้ฉือ’

“พวกเราไปกันไม่ได้ครับ”

คุณป้าพานได้ยินแบบนี้ก็ไม่ถามอะไรต่ออีก เพียงรู้สึกเสียดาย “เสี่ยวเซียวเป็นนักข่าวสงคราม อาชีพแบบนี้กว่าจะผ่านมาได้ไม่ง่ายเลย”

ตะเกียบของอวี๋จือเหนียนชะงักไปครู่หนึ่ง “คุณป้ารู้เหรอ”

คุณป้าพานยิ้ม “ถึงฉันจะแก่ แต่ก็รู้วิธีค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตนะ”

นี่ถือเป็นการซ้ำเติมเงียบๆ อวี๋จือเหนียนวางตะเกียบลง ยกน้ำซุปขึ้นมาซด ทว่าน้ำซุปยังคงร้อนอยู่จึงลวกลิ้นเขาอย่างรุนแรง

พอเข้าไปพัวพันกับเซียวอี้ฉือแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลย

คุณป้าพานเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่เหมือนเดิม เมื่อนึกถึงประสบการณ์นัดบอดของเขาก่อนหน้านี้จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากว่า “จือเหนียน คนบางคนน่ะ ต้องใช้เวลาไปทำความรู้จักกับเขาก่อนถึงจะเห็นด้านที่เปล่งประกายของเขา รูปลักษณ์ภายนอกไม่สามารถบอกทุกอย่างได้หรอกนะ”

รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่สามารถบอกทุกอย่างได้ยังไง ทั้งๆ ที่หน้าตาดีถึงจะมีโอกาสมากยิ่งขึ้น มีคนชอบมากยิ่งขึ้น และได้รับการให้อภัยง่ายยิ่งขึ้น

ความงามก็คือคุณค่า

อวี๋จือเหนียนหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง เขาคีบเนื้อวัวให้คุณป้าพาน พูดเอาอกเอาใจ “คุณป้าพูดถูก ผมจำไว้แล้ว มาครับ กินให้เยอะหน่อย”

 

สองวันผ่านไป อวี๋จือเหนียนทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่น เมื่อเห็นว่าอีเมลส่งถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้วเขาก็บิดขี้เกียจพลางเอนหลังบนเก้าอี้

ในตอนนี้เขาถึงนึกขึ้นได้ว่ามีพัสดุด่วนส่งมาถึงเขาเมื่อตอนกลางวัน คนที่จับตามองเซียวอี้ฉือเป็นคนส่งมา

อวี๋จือเหนียนเปิดซอง นอกจากรายงานแล้วยังมีรูปถ่ายหนาๆ อีกปึกหนึ่ง เขาพลิกดูทีละรูป มีแต่รูปที่เซียวอี้ฉือ เชฟใหญ่ และคนอาหรับอีกคนหนึ่งออกไปหาอาหารกินกัน เชฟใหญ่ที่อยู่ในรูปดูมีความสุขมาก

ทันใดนั้นอวี๋จือเหนียนก็หยุดพลิกดูรูปถ่าย

คนที่จับตามองเซียวอี้ฉือทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้แต่รูปตอนที่เซียวอี้ฉือออกมาจากโรงแรมกับคนอื่นตอนหกโมงเช้าก็ยังถ่ายมาได้

คนที่อยู่กับเขาเป็นชาวต่างชาติ แสงในรูปไม่ค่อยดีนัก แต่ดูจากรูปร่างและใบหน้าด้านข้างแล้วน่าจะหน้าตาดีทีเดียว

อวี๋จือเหนียนพลิกดูรายงาน มีคำแนะนำสั้นๆ และรูปถ่ายด้านหน้าของชาวต่างชาติคนนี้แนบมาด้วย…ผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า เป็นความงามตามแบบฉบับชาวอังกฤษ ปัจจุบันทำงานอยู่ในสถานทูต ก่อนหน้านี้เคยเป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงานองค์กรระหว่างประเทศแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้

เขากลับมาดูรูปถ่ายในมืออีกครั้ง รูปถัดๆ มาหลายรูปถูกถ่ายติดกัน คนงามที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดลง หันกลับมาโอบกอดเซียวอี้ฉือแล้วจูบเขา ส่วนเซียวอี้ฉือก็ไม่ได้ปฏิเสธ

อวี๋จือเหนียนโยนรูปถ่ายกลับลงไปบนโต๊ะ หลับตาแล้วเอนหลัง

ชีวิตของเขาสมบูรณ์แบบมาก กินดีอยู่ดี เพลิดเพลินกับชีวิต

เพราะอะไร…คนคนนี้มีอะไรดี…

หน้าตาก็งั้นๆ นิสัยก็ห่วยแตก…

อวี๋จือเหนียนลืมตา หยิบรูปถ่ายที่ยังไม่ได้ดูขึ้นมาจากบนโต๊ะ จูบนี้จบลงเมื่อเซียวอี้ฉือผละออกจากคนงาม ส่วนคนงามก็ดูอาลัยอาวรณ์อย่างมาก

เซียวอี้ฉือคนนี้ทำตัวราวกับผู้ชายเฮงซวยจอมกะล่อน

จิตสำนึกในการแข่งขันของลูกผู้ชายถูกปลุกให้ตื่น อวี๋จือเหนียนโทรหาคลับหรูที่เขามักไปเยี่ยมเยียนเป็นประจำ “เดี๋ยวผมจะไปถึงในอีกครึ่งชั่วโมง บอกคนเตรียมให้พร้อม”

 

ณ ห้องสวีตในคลับสุดหรูหลังจากเสร็จกิจ มีเสียงน้ำไหลดังมาจากในห้องน้ำ ไอน้ำปกคลุมไปทั้งแถบ สามารถมองเห็นเนื้อหนังของคนที่กำลังอาบน้ำโดยหันหลังให้ประตูห้องน้ำได้อย่างเลือนราง

อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ใต้ฝักบัว หลับตาลง ปล่อยให้น้ำร้อนสาดกระทบใบหน้าและร่างกาย

สำหรับเขาเซ็กซ์เป็นเพียงการกระทำเพื่อสนองความต้องการทางกาย เขารู้สึกดี แต่มันก็แค่นั้น เขาไม่สามารถได้รับความสุขจากมันมากนัก

บางทีอาจเป็นเพราะบาดแผลทางจิตใจจากอดีต เขาจึงไม่หลงใหลเรื่องพวกนี้เลย กระทั่งเรียกได้ว่าทำไปอย่างลวกๆ เท่านั้น

เมื่อได้สติคืนมาเขาก็เย้ยหยันตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมความปรารถนาที่จะเอาชนะของเขาถึงถูกกระตุ้นได้อย่างง่ายดายแบบนี้

 

เวลาตีสี่

เซียวอี้ฉือชอบระเบียงของตัวเองมากที่สุด มันไม่ใหญ่และไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้ เมื่อมองออกไปจากตาข่ายกันขโมยก็จะเห็นอาคารสูงเตี้ยสลับกัน อาคารหลังเก่าอยู่ใกล้มาก จึงสามารถได้ยินความเคลื่อนไหวของเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน อย่างเช่น บ้านไหนกำลังดุลูก บ้านไหนกำลังทำกับข้าว บ้านไหนกำลังดูโทรทัศน์ บ้านไหนกำลังเล่นไพ่นกกระจอก…หรือทะเลาะกัน ทำให้มันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างมาก

สักวันเขาคงฟังจนเบื่อ แต่ว่าตอนนี้เซียวอี้ฉือเพลิดเพลินกับบรรยากาศแบบนี้มาก

เขาเลื่อนเก้าอี้หวายที่มีพนักพิงและที่วางแขนไปที่ระเบียง งอเข่านั่งลงบนนั้น และจุดบุหรี่ ชายชราชั้นล่างเปิดวิทยุหลังจากตื่นนอน มีเสียงเพลงดังขึ้นมาเป็นระยะๆ

เสียงเพลงแผ่วเบาทำให้แสงสลัวยามเช้ามีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป และช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานจากการนอนไม่หลับได้

อาการนอนไม่หลับเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและซ้ำซาก แต่อาการฝันร้ายกลับมีความหลากหลายที่ไม่เหมือนกันเลย

ครั้งนี้เขาฝันว่าเพื่อนร่วมงานของเขาโชคร้ายได้รับผลกระทบจากระเบิด

เขายังคงจดจำสัมผัสนุ่มนวลในมือของเขาได้ มันคือลำไส้ของอีกฝ่ายที่ระเบิดออกมา กลิ่นเลือดคลุ้งกระจายไปในอากาศ เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหยุดเลือด แต่รอบตัวเขากลับมีเพียงควันที่พวยพุ่งและซากปรักหักพัง

เมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้งก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เพื่อนร่วมทางเสียชีวิต ทั้งที่คืนก่อนหน้านี้พวกเขายังนัดกันว่าคืนนี้จะไปดื่มเหล้าอยู่เลย

ขี้เถ้าร่วงลงมาบนนิ้วเท้าของเขา ความระคายเคืองบนผิวหนังทำให้เซียวอี้ฉือกลับมามีสติอีกครั้ง…

พอตอนเช้าเซียวอี้ฉือก็มากินข้าวเช้าที่บ้านของคุณป้าม่าย

อาหารเช้าบนโต๊ะเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่ซาลาเปา แป้งทอด และโจ๊กอีกต่อไป แต่เป็นไข่ดาว นม แซนด์วิช และขนมปังปิ้ง ทั้งยังมีดอกกุหลาบที่บานสะพรั่งในแจกัน

“คุณป้า วันนี้มาแนวชนชั้นกลางติดหรูเหรอครับ ผมควรจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อหรือเปล่าเนี่ย” เซียวอี้ฉือเห็นคุณป้าม่ายเดินออกมาจากในห้องครัวก็ยิ้มแซว

“แหม ก็กินซาลาเปาจนเบื่อแล้ว เปลี่ยนเป็นอะไรใหม่ๆ บ้าง ฉันก็ตามเทรนด์แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีรสนิยมอยู่นะ เป็นยังไงบ้าง” คุณป้าม่ายวางน้ำมะเขือเทศลงบนโต๊ะ ปากถามความเห็น แต่สายตากำลังมองหาคำชม

“ยอดเยี่ยม!” เซียวอี้ฉือยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นทั้งสองข้าง

คุณป้ายม่ายพึงพอใจมาก “รู้อยู่แล้วว่าเธอน่ะปากหวาน รีบไปล้างมือแล้วมาลองชิมสิ”

“ได้เลยครับ!”

บนโต๊ะอาหารเซียวอี้ฉือพูดกับคุณป้าม่าย “เมื่อคืน…ซานซานโทรมาหาผม ให้ผมมาโน้มน้าวคุณป้าให้ย้ายไปอยู่กับเธอ”

ซานซานเป็นลูกสาวของคุณป้าม่าย หลังจากแต่งงานออกไปแล้วเธอก็ย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับสามีของเธอ คุณป้าม่ายแก่ตัวลงเรื่อยๆ บ้านของเธอก็เป็นอาคารที่มีบันได ซานซานจึงคิดว่ามันไม่ค่อยสะดวกเลยอยากรับเธอไปอยู่ด้วยกัน

“ฉันเคยไปอยู่บ้านซานซานแล้ว แต่ฉันไม่คุ้นกับสภาพอากาศหรืออาหารที่นั่นเลย ที่นี่สบายกว่าเยอะ” คุณป้าม่ายตอบ

อันที่จริงเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดก็คือเซียวอี้ฉือ

“คุณป้า ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมอยู่คนเดียวได้สบายมาก…ซานซานคิดถึงคุณป้ามาก คุณป้าไม่คิดถึงเธอเหรอ”

คุณป้าม่ายส่งไข่ดาวของตัวเองให้เซียวอี้ฉือ “เมื่อก่อนตอนที่ลุงฉินของเธอตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ฉันก็เลี้ยงลูกคนเดียว โชคดีที่มีพ่อแม่ของเธอกระตือรือร้นคอยช่วยเหลือ ตอนที่ซานซานป่วยกลางดึก ฉันทำอะไรไม่ถูกก็โชคดีที่มีพ่อแม่ของเธอ…ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากทำหน้าที่พ่อแม่ให้เธอ มองดูเธอตามหาความสุขของตัวเอง”

คุณป้าม่ายพูด “แน่นอน ถ้าเธอคิดว่าใครดี ฉันก็คิดว่าคนนั้นดีด้วย สรุปว่าเธออย่ากดดันตัวเอง ฉันยังไม่ไปอยู่กับซานซานตอนนี้หรอก เดี๋ยวฉันจะคุยกับซานซานเอง กินข้าวๆ!”

แม้จะมีคำพูดนับหมื่นพัน แต่สุดท้ายเซียวอี้ฉือก็พูดเพียงประโยคเดียว “คุณป้า ขอบคุณนะครับ”

“เกรงใจอะไรกัน” น้ำเสียงคุณป้าม่ายอบอุ่นมากยิ่งขึ้น “เอาล่ะ กินขนมปังปิ้งนี่ตอนยังร้อนสิ แล้วก็เหยาะซอสมะเขือเทศด้วย”

ทั้งที่ยังรู้สึกหนักอึ้งในใจ แต่เมื่อมีรสชาติมะเขือเทศที่เปรี้ยวหวานและเนื้อสัมผัสที่สดชื่นเข้าปาก อารมณ์ของเซียวอี้ฉือก็ดีขึ้นทันที “อร่อย!” เขากัดอีกคำใหญ่

คำต่อมาความกรุบกรอบ ความเปรี้ยว และความหวานผสมผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นรสชาติที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ทำให้อยากอาหารมากกว่าเดิม

“อร่อยล่ะสิ” คุณป้าม่ายยิ้มร่า

เซียวอี้ฉือลองชิมซอสมะเขือเทศเพียงอย่างเดียว มันเป็นความรู้สึกสดชื่นเหมือนกับการคั้นมะเขือเทศที่สุกงอมและชุ่มฉ่ำจนน้ำกระเซ็นออกมา เปรี้ยวหวานกำลังดี กระตุ้นต่อมรับรสแต่ไม่รู้สึกเลี่ยนจนเกินไป

“คุณป้า ซอสมะเขือเทศนี่อร่อยมากเลย! คุณป้าซื้อมาจากไหนเหรอครับ”

“อันที่จริงฉันไม่ได้ซื้อหรอก อาพานเอามาให้น่ะ ป้าเขาอยากให้เธอลองชิมดู”

เซียวอี้ฉือพลิกขวดแก้วดูซ้ายขวา “โฮมเมดเหรอครับ” ซอสมะเขือเทศที่เติมสารเคมีไม่สามารถมีรสชาติที่ธรรมชาติแบบนี้ได้

“ทายถูกแล้ว! อาพานเขาปลูกมะเขือเทศ ดอกกุหลาบนี่ก็ปลูกที่บ้านเหมือนกัน!”

เซียวอี้ฉือยิ้ม “ดูเหมือนว่าป้าพานจะไม่ได้มีแค่เสน่ห์ปลายจวักนะครับ แต่ยังรู้จักบริหารชีวิตด้วย!”

คุณป้าม่ายยิ้มอย่างมีความสุขกว่าเดิม “อันที่จริงดอกไม้น่ะป้าพานเป็นคนจัดการ แต่ซอสมะเขือเทศ ป้าพานไม่ได้เป็นคนทำ หลานของเขาต่างหาก”

“…” เซียวอี้ฉือกะพริบตาปริบๆ

“คิดไม่ถึงล่ะสิ ฉันเคยเห็นรูปถ่ายของเสี่ยวอวี๋คนนี้แล้ว ไม่ใช่แค่หล่อนะ แต่ยังทำอาหารเก่งอีก” คุณป้าม่ายกำลังรอเซียวอี้ฉืออยู่ “เธอลองทำความรู้จักเขาให้ดีกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจดีไหม”

เซียวอี้ฉือยอมแพ้คุณป้าม่าย พูดตามความจริง “พวกเราไม่เหมาะที่จะคบกันครับ”

คุณป้าม่ายรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมเธอก็ถอนหายใจและยอมแพ้ “โอเค เป็นเพื่อนกันก็ดี จะได้มีคนดูแล”

สุดท้ายก็พูดว่า “เธอเอาซอสมะเขือเทศนี่กลับไป ทางฉันยังมีอีกขวด รีบกินให้หมดนะ เดี๋ยวมันจะเสีย”

เมื่อกลับถึงบ้านเซียวอี้ฉือก็มองซอสมะเขือเทศในมือตัวเอง

เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอวี๋จือเหนียนจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย

นายจะนึกถึงได้เหรอ อีกฝ่ายสวมผ้ากันเปื้อน คนมะเขือเทศในหม้อบนเตาอย่างอดทนจนกระทั่งมะเขือเทศนิ่มและข้น จากนั้นจึงบรรจุลงขวดอย่างระมัดระวัง

เซียวอี้ฉือรู้สึกว่าภาพนี้ช่างขัดกันเหลือเกิน

สุดท้ายเขาก็ยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วนำซอสมะเขือเทศใส่ในตู้เย็น

 

ในห้องทำงานของอวี๋จือเหนียน คนที่จับตาดูเซียวอี้ฉือไม่เพียงส่งรูปถ่ายมาเท่านั้น แต่ยังส่งใบแจ้งหนี้มาใบหนึ่งด้วย…อีกฝ่ายต้องการที่จะขึ้นราคา

หลังจากอวี๋จือเหนียนเห็นรูปถ่ายก็เข้าใจ

เซียวอี้ฉือคนนี้ดึกๆ ดื่นๆ ไม่หลับไม่นอน นอกจากกินดื่มกับเพื่อนและใช้เวลายามดึกกับคนงามแล้ว ยังเดินเล่นไปรอบๆ เขตชุมชนคนเดียว แถมยังเล่นกับแมวในสวนสาธารณะเล็กๆ เป็นครั้งคราวด้วย

เขาทนได้ แต่คนที่จับตาดูคนนี้ทนไม่ไหวแล้ว

อวี๋จือเหนียนขมวดคิ้ว

คนคนนี้มันยังไงกันนะ

บทที่ 5

 

เช้าตรู่ ท้องฟ้ายังมืดครึ้ม ไฟนีออนบนตึกระฟ้ายังคงกะพริบอยู่ แต่ชั้นเมฆกลับกดทับลงมาด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง ภาพนี้ให้ความรู้สึกเหมือนงานเลี้ยงฉลองวันสิ้นโลก ราวกับโลกไซเบอร์พังก์

เซียวอี้ฉือคาบบุหรี่ ยันสองมือไว้บนขอบระเบียงพลางปล่อยใจให้โล่ง

ในเวลานี้เองโทรศัพท์มือถือก็มีข้อความเข้ามา

เขาหยิบมันขึ้นมา ยืนยันชื่อผู้ส่งอยู่หลายรอบ

ข้อความที่อวี๋จือเหนียนส่งมามีใจความว่า

 

เช้านี้ว่างไหม มีเรื่องเกี่ยวกับเชฟใหญ่จะคุยด้วย

 

“ถ้าต้องนัดเจอคนที่ไม่ชอบขี้หน้าตอนสภาพจิตใจไม่ดีนี่ต้องทำยังไงนะ ด่วนเหรอ รอไปก่อนเถอะ” เซียวอี้ฉือใช้มีมทางอินเตอร์เน็ตเพื่อแสดงความรู้สึกของเขาหลังจากอ่านข้อความ

แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับเชฟใหญ่ เซียวอี้ฉือจะไม่สนใจก็ไม่ได้ เขาตอบกลับไปว่า

 

ที่ไหน เมื่อไร

 

หลังจากกดส่งแล้วเซียวอี้ฉือก็ดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่ง

ดูเหมือนว่าอาชีพทนายไม่ง่ายเลยจริงๆ…

 

เมื่อถึงเวลาเข้างาน สถานที่ที่พวกเขานัดกันก็คือร้านกาแฟที่เจอกันครั้งแรก

อวี๋จือเหนียนมาถึงก่อน เขาสวมชุดสูทเนื้อละเอียดสีเทาถ่านที่ตัดเย็บอย่างดีกับเนกไทผ้าไหมสีไวน์ พนักงานหญิงที่เคาน์เตอร์รับออเดอร์จ้องมองเขาเงียบๆ อยู่นาน

เซียวอี้ฉือมาถึงที่หมายแล้ว ก่อนออกจากบ้านเขายังคิดว่าจะแต่งตัวให้ดูดีสักหน่อย ต่อมาก็ล้มเลิกความคิด ถ้าจงใจเกินไปจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่าย สู้เป็นตัวของตัวเองจะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่เคยออกไปข้างนอกโดยให้ตัวเองอยู่ในสภาพดูไม่ได้ แค่ทำตัวตามปกติก็พอแล้ว

เขาผลักประตูเข้าไปก็เห็นลูกค้าเพียงคนเดียวนั่งอยู่ที่นั่น กำลังถือแท็บเลตอยู่ในมือ

เป็นใบหน้าที่ไม่มีที่ติจริงๆ กิริยาท่าทางก็สง่างาม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนภาพวาด

เมื่อเดินเข้าไปใกล้สายตาของเซียวอี้ฉือก็มองไปที่รอยต่อระหว่างไหล่กับแขนเสื้อสูทของอีกฝ่าย นั่นคือมาตรฐานการตรวจสอบว่าชุดสูทพอดีตัวหรือไม่ การเดินตะเข็บมีความประณีต ไม่หลวมไม่คับ มันคืองานสั่งตัดอย่างไม่ต้องสงสัย

อวี๋จือเหนียนเงยหน้าขึ้น ทันทีที่ดวงตาล้ำลึกของอีกฝ่ายเจอแสงสว่าง ความรู้สึกตื่นตะลึงก็กระแทกเข้ามาอย่างจัง อวี๋จือเหนียนนั้นดูเย็นชา เฉียบคม และเคร่งครัดเวลาที่ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ทั้งที่อีกฝ่ายน่าจะมีออร่าความเย็นชา แต่บนตัวกลับเต็มไปด้วยอารมณ์กระหายเลือดและก้าวร้าว

ก่อนหน้านี้ต้าซานจงใจเข้าหากลุ่มลูกค้าของเขาเพื่อหาข้อมูลให้เซียวอี้ฉือโดยเฉพาะ คนอย่างอวี๋จือเหนียนก็คือ ‘เทพบุตรของกลุ่ม gay’ ที่ ‘ต่อให้ถูกเขารังแกก็เป็นเรื่องปกติ’

เซียวอี้ฉือยอมรับว่านี่ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลซะทีเดียว

“อรุณสวัสดิ์” เขานั่งลงแล้วเอ่ยทักทาย

อวี๋จือเหนียนมองดูรอยคล้ำรอบดวงตาของเซียวอี้ฉือ จากนั้นก็มองดูตัวการ์ตูนไข่ขี้เกียจตัวใหญ่บนเสื้อยืดของอีกฝ่าย ก่อนจะเบนสายตากลับเงียบๆ “ดื่มอะไร ผมจะไปสั่งให้”

เพราะทั้งคู่ต่างรู้ด้านไม่ดีของกันและกันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพก็ได้

“ฉันไม่เอา” เซียวอี้ฉือเริ่มรู้สึกปวดศีรษะขณะพูดตอบ

“ถ้าอย่างงั้นเราก็เข้าประเด็นกันเถอะ” อวี๋จือเหนียนเก็บแท็บเลต หยิบบัตรสีดำออกมาใบหนึ่ง “คุณเยี่ยบอกให้ผมเอาสิ่งนี้มาให้ ค่าใช้จ่ายระหว่างที่คุณอยู่กับเชฟใหญ่อยู่ในนี้หมดแล้ว”

เซียวอี้ฉือทำหน้ายิ้มๆ ไม่ได้รับไว้ “ฉันฝากขอบคุณคุณเยี่ยแทนด้วย เชฟใหญ่เป็นเพื่อนของฉัน ชวนเพื่อนออกไปกินข้าวไม่ต้องใช้แบล็กการ์ดหรอก ฉันจะรับน้ำใจของเขาไว้ ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องหรอก”

อวี๋จือเหนียนคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่รับ จึงเก็บบัตรอย่างรวดเร็ว “ได้ ผมจะไปบอกให้”

“แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”

“หวังว่าอย่างน้อยภายในครึ่งเดือนนี้เชฟใหญ่จะไม่พูดถึงเรื่องลาออกอีกและทำงานตามสัญญาจ้างงาน เรื่องนี้สำคัญสำหรับคุณเยี่ยมาก”

“ถ้าสิ่งที่พวกนายต้องการมีแค่นี้ ฉันก็จะทำอย่างสุดความสามารถ สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นงานของเขาเหมือนกัน แต่นิสัยของเชฟใหญ่ไม่เหมาะกับเรื่องอะไรแบบนี้หรอกนะ ถ้าพวกนายคิดจะหลอกใช้เขาก็หาตัวเลือกใหม่จะดีกว่า” เซียวอี้ฉือพูดอย่างชัดเจน

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณตัดสินใจได้ แต่ผมจะบอกความคิดของคุณตามจริงก็แล้วกัน” อวี๋จือเหนียนแค่พูดก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายเป็นต่อได้

เซียวอี้ฉือรู้สึกสนใจ อยากถามว่าอวี๋จือเหนียนได้ค่าทนายเท่าไร แต่ช่วยไม่ได้ที่เขารู้สึกปวดศีรษะมากเกินไป เขาต้องกลับไปกินยา

“ก็ได้ งั้นธุระของพวกเราวันนี้มีแค่นี้ใช่ไหม” เซียวอี้ฉือลุกขึ้น แต่จู่ๆ เบื้องหน้าก็พลันมืดลง เขายื่นมือไปค้ำโต๊ะจนเกิดเสียงดัง

“คุณเป็นอะไร” อวี๋จือเหนียนลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปถาม

เซียวอี้ฉือโบกๆ มือ “ไม่มีอะไร แค่น้ำตาลตกน่ะ” เขารอจนมองเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้นก็มองอวี๋จือเหนียน “ขอโทษที ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

“ไปหาหมอเถอะ” อวี๋จือเหนียนกลับที่นั่งและหยิบกระเป๋าขึ้นมา

“อืม” ทั้งสองคนเดินตามกันออกจากร้านกาแฟ

เซียวอี้ฉือเดินอยู่ข้างหน้า ทันทีที่เขาก้าวออกจากประตูก็รู้สึกเหมือนแวมไพร์ที่แพ้แสงโดนแสงทิ่มแทง โลกทั้งใบพลิกกลับ เขาสะดุดบันไดสองขั้นที่อยู่ใต้เท้าโดยไม่ทันระวัง ทำท่าจะล้มลง

“ระวัง!”

นี่คือคำสุดท้ายที่เซียวอี้ฉือได้ยินก่อนจะหมดสติไป

 

นอกห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชน อวี๋จือเหนียนโทรหาหนานจิ่งเพื่อเลื่อนงานของเขาหลังจากนี้ออกไปก่อน

หลังจากวางสายเขาก็ผลักประตูเข้าไปในห้อง เซียวอี้ฉือที่กำลังหลับสนิทเมื่อครู่ขมวดคิ้วแน่น ร่างกายบิดไปมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติเหมือนกำลังฝันร้าย

อวี๋จือเหนียนเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้าไปตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ “เซียวอี้ฉือ ตื่น” ในขณะเดียวกันก็กดออดเรียกเจ้าหน้าที่

“เซียวอี้ฉือ!” เมื่อสิ้นเสียงเซียวอี้ฉือก็ลืมตาขึ้นทันที ดวงตาของเขาพร่ามัว หายใจหอบเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ

หลังจากคุณหมอเข้ามาตรวจสอบข้อมูลของเซียวอี้ฉือแล้วก็ถามว่า “คุณเซียว ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ”

เซียวอี้ฉือค่อยๆ ได้สติ เขาหันไปมองหมอ จากนั้นก็มองอวี๋จือเหนียนที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย “…ที่นี่คือโรงพยาบาลเหรอครับ”

“ใช่ครับ” คุณหมอเขียนอะไรบางอย่างลงในประวัติการรักษา “เมื่อกี้คุณฝันร้ายเหรอครับ”

เซียวอี้ฉือลุกขึ้นนั่ง และเพิ่งสังเกตว่ามีเข็มอยู่ที่หลังมือของเขา “…ครับ”

“มีอาการนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ”

“ประมาณหนึ่งเดือนมั้งครับ”

“คุณพอจะรู้ไหมครับว่าอะไรคือสาเหตุของฝันร้าย”

อวี๋จือเหนียนยืนฟังอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา

เซียวอี้ฉือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบไปตามตรงว่า “ผมเป็น PTSD”

PTSD หรือภาวะความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ มันคืออาการทางร่างกายและจิตใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง

“ไม่ทราบว่าได้รับการวินิจฉัยเมื่อไหร่ครับ”

“เมื่อสามปีก่อนครับ ผมเคยไปหาจิตแพทย์ แต่เพราะงานยุ่งเกินไปก็เลยไปบ้างไม่ไปบ้าง ต่อมาอาการดีขึ้นเลยไม่ได้ไปหาหมออีก…แต่พอกลับประเทศมาอาการก็กำเริบ”

คุณหมอเขียนลงในประวัติคนไข้ “จากการวินิจฉัยเบื้องต้น คุณต้องกลับไปรับการบำบัดทางจิตวิทยาใหม่ทั้งหมด พวกเรามีบริการส่งต่อให้แผนกอื่นนะครับ”

“เรื่องนี้ผมจัดการเองครับ ถ้ามีอะไรผมจะติดต่อพวกคุณทีหลัง” อวี๋จือเหนียนขัดขึ้น

คุณหมอพยักหน้า หลังจากตรวจสอบขวดน้ำเกลือแล้วก็ออกไป

ในห้องผู้ป่วยเหลือแค่พวกเขาสองคน

เซียวอี้ฉือมองอวี๋จือเหนียน แล้วก็เอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณที่มาส่งฉันที่โรงพยาบาล” เขามองไปรอบๆ ห้องผู้ป่วย “ที่นี่…คงจะแพงสินะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วง มันเป็นเงินของคุณเยี่ย ไม่ใช่เงินผมหรือเงินคุณ”

เซียวอี้ฉือลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ฉันไปได้หรือยัง”

“ไปน่ะไปได้ แต่หลังจากนี้คุณจะทำยังไง”

เซียวอี้ฉือยักไหล่ “ค่อยว่ากันเถอะ”

เขาดึงเข็มออกอย่างชำนาญ แล้วกดแผ่นห้ามเลือดไว้แน่น

อวี๋จือเหนียนมองดูการกระทำของเขาแล้วพูดแนะนำว่า “ผมมีจิตแพทย์ที่รู้จักอยู่ เขาเป็นมืออาชีพมาก บางทีอาจจะช่วยอะไรได้”

เซียวอี้ฉือยิ้ม “ได้รับการประเมินจากนายสูงขนาดนี้ เขาคงเป็นหมอที่ยอดเยี่ยมมากแน่ๆ แต่ว่าไม่…”

เขาลงจากเตียง คำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ยังไม่ทันจะออกจากปากจู่ๆ แข้งขาก็อ่อนแรง ทว่าอวี๋จือเหนียนตอบสนองว่องไว ยื่นมือประคองเขาไว้ทัน

“อ่อนแอขนาดนี้ อย่าทำเป็นเท่แล้วปฏิเสธหน่อยเลย”

“…” จู่ๆ เซียวอี้ฉือก็รู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยมีดขนาดใหญ่หลายเล่ม

 

ขณะนั่งอยู่ในรถเบนซ์เซียวอี้ฉือสังเกตเห็นว่ามีกาแฟแบบซื้อกลับบ้านยี่ห้อหรูวางอยู่ในที่วางแก้วที่พนักแขนตรงกลาง ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ขึ้นชื่อในเรื่องกาแฟบดมือมาก

อวี๋จือเหนียนคาดเข็มขัดนิรภัย “ไว้ผมนัดหมอได้แล้วจะติดต่อคุณ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย เยี่ยจ้าวหลินจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”

เซียวอี้ฉือก็คาดเข็มขัดนิรภัยเหมือนกัน “แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง รู้สึกเหมือนกำลังเอาเปรียบคนอื่น”

“ผมแยกแยะได้ คุณเอาไปใช้ก็พอ” อวี๋จือเหนียนสวมแว่นดำแล้วสตาร์ตรถ

เซียวอี้ฉือมองเขาแวบหนึ่งหลังได้ยินประโยคนั้น ให้ตายเถอะ รู้สึกอุ่นใจชะมัดเลย

เมื่อขับรถไปได้ระยะหนึ่งจู่ๆ เซียวอี้ฉือก็นึกอะไรได้ “ไม่สิ…” เขามองอวี๋จือเหนียน “นายควรจะถามฉันว่าเมื่อไหร่ฉันถึงจะมีเวลาว่างนัดกับคุณหมอไม่ใช่เหรอ”

อวี๋จือเหนียนชำเลืองมองเขา ก็มีเวลาว่างทั้งวันไม่ใช่หรือไง กำลังพูดเรื่องบ้าอะไรน่ะ “…แล้วคุณว่างเมื่อไหร่”

เซียวอี้ฉือรู้สึกเหมือนโดนดูถูก แม้อันที่จริงเขาจะว่างมาก แต่การที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่งมันหมายความว่ายังไงกันแน่

ราวกับถูกกระตุ้นให้อยากขัดขืน ปีศาจตัวน้อยตื่นขึ้นมาแล้ว

เซียวอี้ฉืออดทนไว้ “ก็ได้ ฉันจะเอาตามเวลาที่คุณหมอสะดวกก็แล้วกัน”

อวี๋จือเหนียนมาส่งเซียวอี้ฉือที่หน้าประตูเขตชุมชน หลังเซียวอี้ฉือลงจากรถแล้วก็โน้มตัวมองผ่านหน้าต่างรถที่เปิดอยู่ ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ทนายอวี๋ ลืมบอกไป ซอสมะเขือเทศที่นายทำอร่อยมาก”

อวี๋จือเหนียนหันขวับไปมองเซียวอี้ฉือ หน้ากากของทนายชั้นสูงผู้หยิ่งยโสแตกเพล้งทันที

“บ๊ายบาย!” เซียวอี้ฉือโบกมือ แล้วจึงหมุนตัวก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปข้างใน

“นี่!”

ขณะนั้นเองรถคันหลังก็บีบแตรเตือนไม่ให้อวี๋จือเหนียนขวางทางและให้รีบขับรถออกไปโดยเร็ว

“จิ๊” อวี๋จือเหนียนหน้าบึ้ง เหยียบคันเร่งจากไปทันที

เซียวอี้ฉือกลับไม่รู้จักดีชั่ว เมื่อกลับถึงบ้านเขาก็นำขวดซอสมะเขือเทศที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งออกมาจากตู้เย็นเพื่อถ่ายรูปแล้วส่งให้อวี๋จือเหนียน…‘ขอบคุณทนายอวี๋! กินเหลือแค่นี้แล้ว ใครสั่งให้ฉันว่างนักล่ะ’

รูปภาพนั้นถูกส่งไปพร้อมกับรอยยิ้มสดใส

 

ขณะเห็นข้อความอวี๋จือเหนียนเพิ่งจะเดินออกมาจากลิฟต์ เตรียมเข้าไปในสำนักงาน ถ้าไม่ใช่เพราะมีเพื่อนร่วมงานเดินผ่านไปมาเขาคงจะสบถออกมาเสียงดังแล้ว

Sh*t!

เมื่ออวี๋จือเหนียนเดินเข้าไปในห้องทำงานก็นึกได้ว่าเซียวอี้ฉือคงจะเข้าใจผิด…เข้าใจผิดว่าเขาตัดสินว่าเซียวอี้ฉือเป็นคนว่างงานโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอีกครั้ง

แต่ความจริงแล้วอวี๋จือเหนียนส่งคนไปจับตาดูเซียวอี้ฉือถึงได้รู้ว่าวันๆ อีกฝ่ายเอาแต่เล่นกับแมว…ประเด็นคือเขาจะพูดออกมาได้อย่างไร นี่ไม่เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองเหรอ

สุดท้ายแล้วอวี๋จือเหนียนก็เป็นฝ่ายแพ้อยู่ดี

เขาเงยหน้ามองเพดานอย่างอับจนคำพูด ได้แต่กลืนความโกรธลงท้อง

หลังจากพักผ่อนได้ไม่นานอวี๋จือเหนียนก็สงบสติอารมณ์อีกครั้ง เขาส่งข้อความหาคุณป้าพาน บอกว่าจะไปกินอาหารเย็นกับเธอ

วันนี้คุณป้าพานดูมีความสุขมาก ตั้งใจทำกับข้าวเพิ่มอีกหลายอย่าง

อวี๋จือเหนียนช่วยเธอ แล้วลองถามว่า “ป้าพานครับ…ซอสมะเขือเทศในบ้านยังพอหรือเปล่า”

“อ้อ! ฉันให้ป้าม่ายกับเสี่ยวเซียวไปสองขวด น่าจะเหลือแค่ขวดเดียว ทำไมเหรอ วันนี้เธออยากกินเหรอ” คุณป้าพานตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

“เปล่าครับ ผมแค่ถามดู” อวี๋จือเหนียนพิจารณาคำพูดอย่างรอบคอบ พยายามที่จะแสดงให้ป้าของเขาเห็นอย่างละมุนละม่อมว่าเธอไม่จำเป็นที่จะต้องใกล้ชิดกับเซียวอี้ฉือมากเกินไป

แต่คุณป้าพานกลับมองเขาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความยินดี “จือเหนียน เธออยากเอาให้เสี่ยวเซียวอีกใช่ไหมล่ะ งั้นยกขวดที่เหลือให้เขาดีไหม”

“หืม?” อวี๋จือเหนียนสับสน

“แหม วันนี้ป้าม่ายบังเอิญเห็นเสี่ยวเซียวลงมาจากรถเบนซ์ ป้าเขาถ่ายรูปเอาไว้แล้วส่งให้ฉันดู รถคันนั้นมันรถของเธอไม่ใช่เหรอ พวกเธอคงจะคุยเรื่องซอสมะเขือเทศแล้วใช่ไหมล่ะ ถ้าเขาชอบก็ให้เขากินให้มากหน่อยสิ!” คุณป้าพานยิ้มเอ่ยอย่างมีความสุข

พวกมนุษย์ป้านี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองที่เจาะลึกทุกด้านจริงๆ

“ผมกับเขา…”

“รู้แล้วๆ พวกเธอเป็นแค่เพื่อนกัน ฉันเข้าใจ!” รอยยิ้มของคุณป้าพานยังคงอยู่ “แยมสตรอเบอรี่ที่เธอทำเมื่อปีที่แล้วก็อร่อยมาก ปีนี้ถ้าที่สวนส่งสตรอเบอรี่มา เราก็ทำให้มากหน่อย แล้วค่อยให้เสี่ยวเซียวชิมดู!”

“…” อวี๋จือเหนียนคิด ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารซะแล้วล่ะ

 

เซียวอี้ฉือกินซอสมะเขือเทศคำสุดท้ายจนหมดเหมือนกินขนม

นี่เขาเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณใช่ไหม อวี๋จือเหนียนเพิ่งจะแนะนำจิตแพทย์ให้เขา แต่หลังจากนั้นเขากลับระบายความโกรธกับซอสมะเขือเทศที่อีกฝ่ายทำ

เขาพนันว่าอวี๋จือเหนียนจะต้องไม่รู้เรื่องที่คุณป้าพานเอาซอสมะเขือเทศมาให้พวกเขาแน่นอน

แต่เขากลับชอบที่จะกระโดดไปรอบๆ ทุ่นระเบิดของอวี๋จือเหนียนครั้งแล้วครั้งเล่า…เพียงเพราะอยากเห็นสีหน้าที่โกรธจัดแต่กลับทำอะไรไม่ได้ของอวี๋จือเหนียน

เซียวอี้ฉือล้างขวดจนสะอาดแล้วคว่ำไว้ให้แห้ง

ตอนแรกเขานึกว่ามันเป็นเพียงขวดแก้วธรรมดา ต่อมารู้สึกว่าสัมผัสที่มือแปลกไป เมื่อเช็กรอยปั๊มที่ก้นขวดก็พบว่าเป็นยี่ห้อที่พวกราชวงศ์ใช้ แม้แต่ขวดใส่ซอสมะเขือเทศยังเลิศหรูขนาดนี้ สามารถจินตนาการได้เลยว่าคนคนนี้มีชีวิตที่ประณีตขนาดไหน

เซียวอี้ฉือยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วกลับไปที่ห้องนั่งเล่น

ภายในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยกองเอกสารนานาชนิด มันเยอะเสียจนต้องเขย่งเท้ากระโดดข้ามไป เซียวอี้ฉือกลับไปที่กลางกองเอกสารแล้วนั่งลง จากนั้นจึงเปิดโน้ตบุ๊กที่อยู่บนโต๊ะเตี้ยๆ

อวี๋จือเหนียนบอกว่าเขาเป็นพวกว่างงาน อันที่จริงมันแทงใจดำเขาอยู่บ้าง

ก็ผู้ชายนี่นา ไม่มีงานทำไม่ได้หรอก

หลังจากเขากลับถึงจีนแล้วก็ต้องพักฟื้นตลอดเวลา อีเมลก็ไม่ได้เช็ก ทั้งยังเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือ วันนี้ตอนที่เขาเข้าสู่ระบบบัญชีอีเมลของตนเองก็พบว่ามีอีเมลที่ไม่ได้อ่านกว่าร้อยฉบับ

เซียวอี้ฉือเลื่อนเม้าส์ลงมาดูผ่านๆ บ้างติดต่อเขาเพื่อขอตีพิมพ์หนังสือ บ้างทักทายเขา บ้างก็พูดคุยเรื่องงาน…ดูสิ เขายังได้รับความนิยมอยู่นี่

ในขณะที่กำลังรู้สึกดีใจอยู่นั้นเขาก็เหลือบไปเห็นอีเมลฉบับสุดท้ายในกล่องข้อความและเป็นฉบับแรกที่ส่งมาจากชิวหลันสือ

มือของเซียวอี้ฉือที่จับเม้าส์หยุดชะงัก เมื่อลองคลิกเข้าไปดูก็พบว่าเนื้อหาในอีเมลนั้นเหมือนกับหัวข้ออีเมลเป๊ะ

 

กลับจีนแล้วเหรอ

 

เซียวอี้ฉือลูบท้ายทอย แล้วตัดสินใจที่จะเพิกเฉย

ตอนกลางคืนอวี๋จือเหนียนส่งข้อความมาด้วยถ้อยคำห้วนๆ เพื่อแจ้งเวลาที่นัดกับจิตแพทย์

 

‘รอที่ประตูเขตชุมชน ไปครั้งแรกผมจะพาคุณไป’

 

เซียวอี้ฉือเพิ่งอาบน้ำออกมา ผมยังไม่ทันแห้งดี พออ่านข้อความจบก็ตอบกลับอย่างว่าง่ายพร้อมส่งรูปยิ้มเขินอาย

 

ได้ครับ ขอบคุณทนายอวี๋!’

 

อวี๋จือเหนียนไม่ได้ตอบกลับอีก

ระหว่างนั้นผู้ช่วยหนานจิ่งก็นำเอกสารเข้ามาพอดี อวี๋จือเหนียนวางโทรศัพท์ลงแล้วถามเขาว่า “ก่อนหน้านี้นายบอกว่า…เซียวอี้ฉือเป็นไอดอลเฉพาะกลุ่มของนายใช่ไหม ทำไมล่ะ”

หนานจิ่งกะพริบตา ดึงตัวเองออกจากงานชั่วคราว ก่อนขยับแว่นขึ้น “เขาเขียนบทความได้ดีมาก ในความเย็นชาแฝงด้วยความหลงใหล ในควันปืนซ่อนไว้ด้วยดอกกุหลาบ”

อวี๋จือเหนียนตอบว่า “อืม” เสียงหนึ่ง “ไม่มีอะไรแล้ว”

“ครับ” หนานจิ่งออกไปจากห้องทำงาน

อวี๋จือเหนียนเปิดโฟลเดอร์ที่หนานจิ่งส่งมาให้ก่อนหน้านี้ ในนั้นเต็มไปด้วยไฟล์แน่นขนัด

แล้วเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจึงคลิกปิดทันที

บทที่ 6

 

เซียวอี้ฉือตัดสินใจว่าจะไม่เหม่อมองท้องฟ้าในตอนเช้าอีก เขาเดินตามชายชราที่อาศัยอยู่ชั้นล่างไปที่สวนสาธารณะเล็กๆ เพื่อร่วมการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ

ท่าการเคลื่อนไหวนั้นเรียบง่าย จังหวะไม่เร็ว เซียวอี้ฉือเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังทำหน้าที่เป็นครูตัวน้อยให้กับสมาชิกใหม่ด้วย เซียวอี้ฉือสนุกกับการสอนพวกเขามาก

นอกจากเป็นครูตัวน้อยให้เหล่าผู้สูงวัย เขายังได้รับจดหมายเชิญจากมหาวิทยาลัยท้องถิ่นแห่งหนึ่งด้วย วันนี้จึงสวมสูทผูกไทและถือกระเป๋าเอกสารไปสมัครงาน

การสัมภาษณ์ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น หลังออกจากสำนักงานมหาวิทยาลัยและเดินผ่านสนามฟุตบอลเขาก็หยุดดูเด็กๆ ที่กำลังเหงื่อท่วมอยู่ในสนามครู่หนึ่ง เมื่อพวกเขาพักครึ่งเซียวอี้ฉือก็เดินเข้าไปหาและแนะนำตัวเอง

การเตะบอลในชุดสูทนั้นไม่คล่องตัวเลย เขาเตะไปได้แค่สิบนาทีก็ออกจากสนามแล้ว แต่พวกนักศึกษากระตือรือร้นมาก พวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อกันและนัดพบกันที่สนามฟุตบอลอีกครั้งในวันหนึ่ง

แม้ว่าผมบนหน้าผากจะเปียก แต่เซียวอี้ฉือก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เขาพาดเสื้อสูทไว้บนไหล่ ผิวปากอย่างอารมณ์ดี ก่อนเดินออกจากประตูมหาวิทยาลัยแล้วขึ้นแท็กซี่จากไป

อวี๋จือเหนียนวางรูปถ่ายลง สรุปสั้นๆ

คนคนนี้สร้างความบันเทิงให้ตัวเองเก่งจริงๆ

 

เมื่อถึงวันนัดพบจิตแพทย์อวี๋จือเหนียนก็มารับเซียวอี้ฉือ นอกจากยิ้มทักทายกันตอนขึ้นรถแล้วเซียวอี้ฉือก็เงียบไปตลอดทางจนน่าประหลาดใจ

อวี๋จือเหนียนเปิดวิทยุ บทเพลงซิมโฟนีที่ประสานกันอย่างกลมเกลียวดังก้องไปทั่วรถ

ในที่สุดเซียวอี้ฉือก็เอ่ยปาก “ฉันเปลี่ยนได้ไหม”

“อืม” อวี๋จือเหนียนหมุนพวงมาลัย

เซียวอี้ฉือจึงเปลี่ยนไปที่คลื่นเพลงแร็พ “แบบนี้เป็นไง” แล้วก็มองอวี๋จือเหนียน

“แล้วแต่นาย”

เซียวอี้ฉือนั่งตัวตรง เคาะนิ้วเป็นจังหวะอยู่บนต้นขาเบาๆ

อวี๋จือเหนียนถูกโจมตีด้วยจังหวะที่หนักหน่วงและเนื้อเพลงที่เร็วตลอดทาง

 

เซียวอี้ฉือรู้สึกกลัวที่จะพบจิตแพทย์เล็กน้อย การเปิดเผยสิ่งที่อยู่ภายในโดยเฉพาะความเจ็บปวดในใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากยิ่งกว่าการเปลือยกายเสียอีก

เมื่อขับรถขึ้นภูเขามาครึ่งทางก็มาหยุดอยู่หน้าวิลล่าหลังเล็กๆ ต้นเฟื่องฟ้ากอใหญ่ที่เลื้อยปกคลุมกำแพงห้อยลงมา สีสันของมันช่วยเพิ่มความสว่างสดใสให้กับวิลล่าสีฟ้าขาวเล็กๆ หลังนี้

อวี๋จือเหนียนเดินมาหยุดข้างๆ เขา “เข้าไปเถอะ ถ้ามาที่นี่ครั้งแรกต้องมีคนรู้จักพาเข้าไปพบคุณหมอ”

พวกเขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในลานประตูวิลล่าก็เปิดออกจากด้านใน ผู้หญิงวัยสี่สิบกว่าๆ ที่สวมชุดยาวมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

“ด็อกเตอร์เฝิง” อวี๋จือเหนียนเดินเข้าไปเอาแก้มชนแก้มของเธอ “คนนี้ก็คือเซียวอี้ฉือที่ผมเล่าให้คุณฟังครับ”

“อี้ฉือ สวัสดีจ้ะ” ด็อกเตอร์เฝิงอ้าแขนรับเขา ขณะที่เซียวอี้ฉือยิ้มทักทาย “อยู่ที่นี่ห้ามเรียกฉันว่าคุณหมอนะจ๊ะ เธอจะเรียกฉันว่าด็อกเตอร์เฝิงหรือซีหลินก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้น…ซีหลิน สวัสดีครับ”

วิลล่าเล็กๆ หลังนี้ตกแต่งได้ดูอบอุ่นมากจนแทบไม่รู้ว่าเป็นคลินิกเลย

“จือเหนียน จากนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ ถ้าเธอยุ่งจะกลับไปก่อนก็ได้นะ” ซีหลินพูดอย่างเกรงใจ

อวี๋จือเหนียนดูเวลา จากนั้นก็มองเซียวอี้ฉือ

“ไว้ถึงเวลาแล้วฉันค่อยเรียกรถก็ได้ นายไปทำงานเถอะ วันนี้ก็ขอบคุณนะ” เซียวอี้ฉือพูด

อวี๋จือเหนียนพยักหน้า

ซีหลินพาเซียวอี้ฉือไปที่ชั้นสอง

 

เนื่องจากเป็นการพบกันครั้งแรก การปรึกษาจึงกินเวลานานเกือบสองชั่วโมง

เมื่อซีหลินมาส่งเซียวอี้ฉือที่ชั้นหนึ่งก็เห็นว่าอวี๋จือเหนียนยังอยู่ที่นั่น เธอจึงยิ้มเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เธออยู่ที่นี่ตลอดหรือว่าเพิ่งกลับมา”

อวี๋จือเหนียนเงยหน้าขึ้น เก็บแล็ปท็อปของเขาพลางพูดว่า “กาแฟบดของคุณรสชาติดีมาก ผู้ช่วยอันอันก็ชงให้ผมแก้วหนึ่ง ผมก็เลยนั่งยาว”

ซีหลินยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำชมนะ”

สายตาของเซียวอี้ฉือมองไปที่แก้วกาแฟบนโต๊ะ จากนั้นก็มองอวี๋จือเหนียน

“การเปิดใจคุยครั้งแรกของพวกเราจบลงพอดี เธอก็ส่งเซียวอี้ฉือกลับไปด้วยนะ” ซีหลินเดินไปเปิดประตูให้พวกเขา “อี้ฉือ ไว้เจอกันคราวหน้า”

“ครับ”

หลังจากทั้งสองคนขึ้นรถอวี๋จือเหนียนก็สวมแว่นดำ “ผมจะส่งตำแหน่งให้คุณ คราวหน้าคุณมาเองแล้วกัน”

เซียวอี้ฉือตอบอย่างว่าง่าย “โอเค”

ไม่นานเซียวอี้ฉือก็ถามขึ้น “ทนายอวี๋ ฉันขอร้องเพลงได้ไหม”

อวี๋จือเหนียนตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่ได้”

 

อวี๋จือเหนียนส่งเซียวอี้ฉือลงที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้กับเขตชุมชนโดยอ้างว่าเขารีบ แต่ความจริงแล้วเขากำลังหลบเลี่ยงเรดาร์ของพวกป้าๆ ต่างหาก

เซียวอี้ฉือไม่รู้เรื่องนี้ นึกว่าตัวเองทำให้อวี๋จือเหนียนอารมณ์ไม่ดีอีก แต่เขาอยากร้องเพลงเพราะรู้สึกอารมณ์ดีจริงๆ

หลังเซียวอี้ฉือเดินไปไกลพอสมควรเขาก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่ารถของอวี๋จือเหนียนได้ขับออกไปแล้ว

เป็นไปได้ไหมว่า…อวี๋จือเหนียนสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของเขา จึงปล่อยให้เขาทำทุกอย่างตามใจระหว่างทางไปที่นั่น ทั้งยังรอเขาอยู่ที่บ้านของซีหลินถึงสองชั่วโมงด้วย

เซียวอี้ฉือส่ายศีรษะ นี่เป็นเพียงความรู้สึกของเขาเท่านั้น เชื่อถือไม่ได้สักหน่อย อวี๋จือเหนียนเองก็ไม่ได้เข้าใจเขา คงไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างได้อย่างเฉียบคมขนาดนั้นหรอก

การพูดคุยกับซีหลินเป็นไปอย่างสบายๆ มาก แต่เมื่อเห็นว่าอวี๋จือเหนียนยังอยู่ตรงนั้น ความประหลาดใจที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจหรือไม่ แต่เซียวอี้ฉือก็มีความสุขมาก

 

เมื่ออวี๋จือเหนียนกลับไปถึงห้องทำงานก็ได้รับข้อความจากเซียวอี้ฉือ

 

‘วันนี้ขอบคุณมาก’

 

ไม่มีอีโมติคอนที่หวือหวา อวี๋จือเหนียนเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าจะมาจากใจจริง

หนานจิ่งส่งตารางงานที่แก้ไขใหม่ให้เขา การไปมาเที่ยวนี้ทำให้กำหนดการล่าช้ากว่าสามชั่วโมง การประชุมบางส่วนจึงต้องเลื่อนออกไป ดูเหมือนว่าคืนนี้เขาจะต้องทำงานล่วงเวลาอีกแล้ว

อวี๋จือเหนียนคิดทบทวน รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรใช้เวลากับเซียวอี้ฉือมากเกินไป ไหนๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะพัฒนาความสัมพันธ์ใดๆ กับอีกฝ่ายอยู่แล้ว เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด โทรหาคนที่จับตาดูเซียวอี้ฉือให้หยุดติดตามอีกฝ่าย

ขณะที่เขากำลังจะเข้าสู่โหมดทำงานก็มีสายภายในโทรเข้ามาขอให้เขาไปที่ห้องทำงานของหุ้นส่วนอาวุโส

หนานเหว่ยผิงเป็นหุ้นส่วนอาวุโสชาวเอเชียคนแรกของฟางต๋า เขาอายุเกินหกสิบแล้วแต่ยังคงมีพลังงานล้นเหลือ

“ทนายหนาน คุณเรียกผมเหรอครับ” อวี๋จือเหนียนเคาะประตูกระจกที่แง้มอยู่ หนานเหว่ยผิงกำลังอ่านข่าวเศรษฐกิจภาคค่ำ

“มาแล้วเหรอ นั่งสิ” หนานเหว่ยผิงพับเก็บหนังสือพิมพ์แล้วพูด หลังจากอวี๋จือเหนียนนั่งลงเขาก็เข้าประเด็นหลักทันที “ทางเยี่ยเอ้อร์* ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”

‘เยี่ยเอ้อร์’ คือคำเรียกลูกชายคนรองรุ่นแรกของตระกูลเยี่ย พวกเขาเป็นหนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของฟางต๋าในเมืองนี้

“ตอนนี้สุขภาพของคุณท่านเยี่ยทรงตัว ทุกฝ่ายปรองดองกันชั่วคราว ไม่มีเรื่องอะไรครับ” อวี๋จือเหนียนพูดพลางยกกาน้ำชาดินเหนียวสีม่วงบนโต๊ะขึ้นมา แล้วเทชาร้อนลงในถ้วยชาของหนานเหว่ยผิง

“ดีแล้ว ลำบากเธอหน่อยนะ ช่วยดูแลพวกเขาให้มากหน่อย”

“เข้าใจแล้วครับ”

หนานเหว่ยผิงจิบชาไปคำหนึ่งก็วางถ้วยชาลง “ปีนี้ตำแหน่งหุ้นส่วนอาวุโสของฟางต๋าค่อนข้างจำกัด ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็มีแค่ตำแหน่งเดียว ฉันอยากจะแนะนำเธอ แต่การแข่งขันมันสูงมาก เธอต้องแน่ใจว่าทางเยี่ยเอ้อร์จะไม่มีปัญหานะ”

อวี๋จือเหนียนยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร

“จือเหนียน เราจะวางไข่ไก่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียวไม่ได้** ถึงเยี่ยเอ้อร์จะมีอำนาจมาก แต่การมีแรงสนับสนุนมากขึ้นย่อมดียิ่งกว่า ตอนนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมก็ผ่านแล้ว ไม่คิดจะหาใครดีๆ สักคนหน่อยเหรอ”

ผู้อาวุโสหนานเคยบอกเป็นนัยให้อวี๋จือเหนียนขยายคอนเน็กชั่นผ่านการแต่งงานหลายครั้งแล้ว วันนี้ก็เหมือนกับเผยความนัยออกมา

อวี๋จือเหนียนได้ยินดังนั้นก็ตอบไปตามตรง “ผู้อาวุโสหนาน ผมไม่มีความคิดแบบนั้นเลยครับ”

หนานเหว่ยผิงขัดใจที่อวี๋จือเหนียนไม่ได้ดั่งใจ “แก่นแท้ของการแต่งงานทั้งหมดก็คือการนำทรัพยากรมารวมเข้าด้วยกัน คุณสมบัติเธอดีขนาดนี้จะไม่พิจารณาอย่างจริงจังหน่อยเหรอ”

สิ่งเดียวที่อวี๋จือเหนียนไม่ยอมคือการแต่งงาน คนที่จะทำให้เขาคุกเข่าขอแต่งงานด้วยความเต็มใจนั้นจะต้องเป็นคนที่เขารักจากใจจริง

“ผู้อาวุโส ผมเข้าใจความคาดหวังที่คุณมีต่อผมดี ผมจะชั่งน้ำหนักให้ดี คุณไม่ต้องกังวลนะครับ”

หนานเหว่ยผิงถอนหายใจ เขาเองก็ยกระดับสถานะของตัวเองผ่านการแต่งงาน โลกนี้ไม่ขาดแคลนคนเก่งแต่ขาดโอกาสที่เพียงพอต่างหาก การแต่งงานทำให้เขามีโอกาสแสดงความสามารถและก้าวขึ้นสู่ที่สูง เขาสัมผัสได้ถึงความสำคัญของการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง อันที่จริงเขาชอบอวี๋จือเหนียนมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้หลานแท้ๆ ติดตามอีกฝ่าย เดิมทีเขาอยากช่วยหลานคนนี้ แต่ช่วยไม่ได้ที่อวี๋จือเหนียนมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เขาไม่อาจย่างกรายเข้าไปจึงไม่สามารถทำอะไรได้

อวี๋จือเหนียนรินชาให้เขาอย่างรู้งานอีกครั้ง ถือเป็นการขอโทษและปลอบใจไปในตัว

“เอาล่ะๆ เธอออกไปเถอะ ไปทำงานได้แล้ว”

“ครับ”

 

หลังทำงานล่วงเวลาถึงสี่ทุ่มอวี๋จือเหนียนก็ได้รับสายจากเยี่ยจ้าวหลิน บอกว่าให้ไปดื่มกันที่เดิม

เยี่ยจ้าวหลินดูมีความสุขมาก ซึ่งอวี๋จือเหนียนรู้สาเหตุดี ลูกสาวของตระกูลหานซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ในเมืองยอมรับการสู่ขอของเยี่ยจ้าวหลินแล้ว ข่าวด่วนนี้กำลังจะลงหนังสือพิมพ์ทั่วเมืองเร็วๆ นี้

แม้ว่าตระกูลหานกับตระกูลเยี่ยจะเป็นตระกูลใหญ่เหมือนกัน แต่ไม่ได้คบหากันลึกซึ้ง ตอนนี้ทั้งสองตระกูลกำลังจะกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว สิ่งนี้จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจในสังคมชั้นสูงอย่างแน่นอน

“ยินดีด้วย” อวี๋จือเหนียนชูแก้วแสดงความยินดี

“ขอบใจ”

อันที่จริงเยี่ยจ้าวหลินตั้งใจตามจีบคุณหนูหานมานานแล้ว และอวี๋จือเหนียนก็เป็นคนให้คำแนะนำเขา

แล้วทำไมถึงไม่มีใครรู้ข่าวนี้เลยล่ะ…ก็เพราะว่าเวลาที่คนรวยคบกันจะทำตัวหรูหราเต็มรูปแบบ ถ้าไม่นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปกินข้าวอีกเมืองหนึ่งก็จะเหมาเครื่องบินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อีกประเทศหนึ่ง ทั้งโรแมนติก ทั้งเป็นความลับ รับรองว่าพวกปาปารัซซี่ตามยังไงก็ตามไม่ถึง

“เรื่องนี้เพื่อให้คุณปู่มีความสุข แล้วก็เพื่อให้พวกเรายืนอยู่ในแนวหน้าของวงการนี้ได้อย่างมั่นคง” เยี่ยจ้าวหลินกล่าวกับอวี๋จือเหนียนขณะชนแก้ว “ยินดีด้วยนะ นายกำลังจะได้เป็นหุ้นส่วนอาวุโสแล้ว ฉันเคยบอกแล้วว่าจะช่วยดันนายขึ้นไปให้ได้”

“ขอบคุณ”

เยี่ยจ้าวหลินยิ้มเอ่ย “ตอนนี้ฉันมีความสุขมาก ฉันแนะนำใครสักคนให้นายดีไหม”

“เลิกมาไม้นี้สักที”

“ทำไมล่ะ ในใจของนายยังมีรักแรกอยู่อีกเหรอ”

อวี๋จือเหนียนไม่พูดอะไร

“นายนี่มันรักฝังใจจริงๆ” เยี่ยจ้าวหลินดื่มรวดเดียวหมดแก้ว “ในเมื่อนายไม่อยากพูดเรื่องความรัก ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาคุยเรื่องอื่นกันเถอะ ตระกูลเยี่ยทำให้นายขึ้นเป็นหุ้นส่วนอาวุโสของฟางต๋าได้ แต่ว่าถ้านายอยากเข้าร่วมคณะกรรมการบริหารระดับโลก นายต้องได้รับความช่วยเหลือจาก ‘ระดับที่สูงกว่า’ ถึงยังไงฟางต๋าก็เป็นสำนักงานกฎหมายข้ามชาติ ถ้าไม่มีระดับสูงคอยดูแลนายก็เข้าไปยาก”

“เรื่องนี้ค่อยว่ากันเถอะ” อวี๋จือเหนียนวางแก้วเหล้าลง วันนี้เขาเข้าประชุมสามวงรวด ตอนนี้รู้สึกหมดแรงแล้ว

เยี่ยจ้าวหลินรินเหล้าให้เขา “ช่วงนี้เชฟใหญ่อารมณ์ดีมาก เมนูใหม่ของร้านอาหารเราก็มีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ต้องขอบคุณนายกับคุณเซียวแล้ว ฉันคิดว่าจะจัดงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ในอีกไม่กี่วัน นายกับคุณเซียวก็มาร่วมงานด้วยนะ”

“ฉันไม่สนใจเพื่อนเลวๆ ของนายหรอก ส่วนเซียวอี้ฉือก็ลืมไปซะเถอะ”

“คุณเซียวเดินทางเยอะ เห็นอะไรมาก็มาก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสนุกกว่านาย พาเขามาที่นี่เถอะ ฉันจะปกป้องเขาเอง ถ้าเขาจะอยู่ที่นี่นานๆ รู้จักคนไว้บ้างก็น่าจะดีสำหรับเขาเหมือนกัน”

ถือว่าพูดได้มีเหตุผล วันนี้เขาเห็นว่าหลังจากเซียวอี้ฉือคุยกับซีหลินแล้วสีหน้าก็ดีขึ้น คิดว่าการรักษาคงผ่านไปด้วยดี จิตแพทย์ชั้นนำอย่างซีหลินเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดจึงเป็นเรื่องยากที่จะติดต่อหากไม่มีคนรู้จัก ได้ยินคุณป้าพานบอกว่าเซียวอี้ฉือเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กและใช้ชีวิตอยู่คนเดียว บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องการความช่วยเหลือ แถมนานๆ ทีเยี่ยจ้าวหลินถึงจะเอ่ยปาก ทำไมไม่ปล่อยไปตามน้ำล่ะ

“ก็ได้ ฉันจะลองถามเขาดู”

 

ภายในห้องโรงแรม เซียวอี้ฉือเพิ่งจะสวมเสื้อยืดเสร็จคนงามชาวอังกฤษก็เดินเข้ามากอดจากด้านหลัง ถามเขาด้วยภาษาจีนงูๆ ปลาๆ ว่า “อี้ฉือ พวกเรามาคบกันจริงจังดีไหม”

วาระการดำรงตำแหน่งของคนงามกำลังจะหมดลง เขาจะต้องจากไปในเร็วๆ นี้ แต่ถ้าเขากับเซียวอี้ฉือได้คบกัน เขาก็ตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ

เซียวอี้ฉือหันไปมองอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “Derek, I am so so sorry.”

คนงามกัดริมฝีปากพลางไหล่ตก “เข้าใจแล้ว”

นี่ไม่ใช่การสารภาพรักครั้งแรกของเขา แต่บทลงเอยกลับเหมือนกันทุกครั้ง

 

เซียวอี้ฉือเปิดประตูรถแท็กซี่ให้เดเร็ค เดเร็คโอบรอบคอและจูบเขา เซียวอี้ฉือก็ทำตามความปรารถนาของอีกฝ่าย

“Last kiss” เดเร็คปล่อยเขา ดวงตาแดงก่ำ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ขอให้นายไม่เจอคนที่ดีกว่าฉัน”

เซียวอี้ฉือยิ้มอย่างจนปัญญา มองอีกฝ่ายขึ้นรถจากไป

หลายปีมานี้ใช่ว่าไม่มีคนสารภาพรักกับเขา แต่เขามักจะรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปสักอย่าง

‘อะไรสักอย่าง’ ที่ว่านี้มันคืออะไร ต้องวัดอย่างไร เซียวอี้ฉือเองก็บอกไม่ถูก

หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตเขาก็ไม่กล้าที่จะคิดเรื่องความรักเลย เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควร แต่เมื่อได้พบปะผู้คนและมีประสบการณ์ต่างๆ มากขึ้นเขาก็ค่อยๆ เริ่มรู้จักกับความรัก ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร

มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ ดื่มไวน์ที่แรงที่สุด นอนกับคนที่รักที่สุด

เขาต้องการความรักที่เร่าร้อนและจัดจ้านจนทำให้แม้แต่ปลายนิ้วสั่นระริก เขาอยากคลั่งรัก อยากรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง เขายินดีที่จะคุกเข่าขอคืนดี แต่ก็ต้องการที่จะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า อยากทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดที่หัวใจแตกสลาย แต่ก็ต้องการลิ้มรสน้ำผึ้งที่หวานที่สุด

จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยเจอใครที่ทำให้เขาหุนหันพลันแล่นและทำอะไรตามอำเภอใจได้ขนาดนั้นเลย

ถ้ามี…เขากล้ามั่นใจได้เลยว่าตนเองจะต้องเป็นทั้งน้ำผึ้งและภัยพิบัติของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

แต่ในทางกลับกันถ้าเขาไม่เจอคนแบบนั้นเลยตลอดชีวิตนี้ เช่นนั้นก็จะใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็แล้วกัน

ถ้ามีรักก็จะอยู่เพื่อความรัก ไม่มีรักก็จะอยู่เพื่อตัวเอง

 

หลังจากกินยาตามที่ซีหลินสั่งการนอนหลับในตอนกลางคืนก็ดีขึ้นเล็กน้อย วันนี้เซียวอี้ฉือจึงลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายแต่เช้า

วันนี้เขายังต้องหางานและตอบอีเมลต่างๆ ต่อไป…อีเมลก็เป็นเหมือนกล่องแพนโดร่าสำหรับเซียวอี้ฉือ เมื่อเปิดออกแล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน

หนึ่งในนั้นมีอีเมลสำคัญ ซึ่งเป็นอีเมลตอบกลับจาก ‘เหม่ยลี่ต้าตี้’

‘เหม่ยลี่ต้าตี้’ เป็นองค์กรในประเทศที่ไม่แสวงหากำไรซึ่งให้ความช่วยเหลือเด็กๆ ในถิ่นทุรกันดารที่ยากจน เซียวอี้ฉือเคยเขียนจดหมายเพื่อสมัครเป็นอาสาสมัคร

ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ของครอบครัว ภรรยาและลูกคือสองสิ่งที่เซียวอี้ฉือไร้วาสนาในชาตินี้ นอกจากนี้ทั้งเด็กและสตรียังเป็นกลุ่มเปราะบางในหลายๆ ระดับของสังคม หากเป็นไปได้เซียวอี้ฉือหวังว่าจะสามารถก่อตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือพวกเขาได้ในสักวันหนึ่ง อันที่จริงแล้วมีหลายองค์กรในระดับนานาชาติที่จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถมั่นใจได้ว่าผู้เคราะห์ร้ายจะได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที หากเขาสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างเหมาะสม การพัฒนาองค์กรช่วยเหลือในประเทศก็อาจจะก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง

ตอนนี้เซียวอี้ฉือตั้งใจจะทำความเข้าใจรูปแบบการดำเนินงานในประเทศก่อน เพื่อดูว่าตัวเองจะนำความรู้เหล่านี้ไปใช้กับจุดใดบ้างในอนาคต

 

จัดการอีเมลอย่างเดียวก็ปาไปครึ่งวันแล้ว

เซียวอี้ฉืองีบกลางวันไปครู่หนึ่ง เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็ได้รับสายจากคุณป้าม่าย เขากดรับสาย “ฮัลโหลคนสวย มีอะไรให้กระผมช่วยไหมขอรับ”

คุณป้าม่ายหัวเราะ “ฉันกับป้าพานเพิ่งกลับมาจากซ้อมเต้นน่ะ ตอนนี้อยู่ตรงทางเข้าเขตชุมชนแล้ว เดี๋ยวฉันยังมีนัดกับเพื่อนเก่าๆ อีก เธอช่วยไปส่งป้าพานกลับบ้านได้ไหม”

ข้ออ้างในการนัดเจอแบบนี้มันชัดเจนเหมาะเจาะเป็นขั้นตอนเกินไป ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษของพวกป้าๆ เท่านั้น

เซียวอี้ฉือทำความเคารพแล้วพูดว่า “รับทราบ!”

เขาสวมเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วลงไปข้างล่าง

เมื่อมาถึงหน้าประตูก็เห็นคุณป้าพานกำลังรอเขาอยู่ ส่วนคุณป้าม่ายหายไปแล้ว

เซียวอี้ฉือยิ้มสดใส “ป้าพาน ผมเรียกรถให้ดีไหมครับ”

ครั้งนี้คุณป้าพานไม่ได้แต่งหน้าจัด ใบหน้าของเธอดูอ่อนโยน มุมปากยกโค้งขึ้น ดูอบอุ่นและใจดี เธอมองเซียวอี้ฉือพร้อมรอยยิ้มเต็มเปี่ยม “เรียกรถมันแพง พวกเรายืนรอแท็กซี่ตรงนี้สักพักแล้วคุยกันไปด้วยดีไหม”

“ได้ครับ” เซียวอี้ฉือทำตามและเก็บโทรศัพท์มือถือ

“เสี่ยวเซียว จือเหนียนค่อนข้างคุยด้วยยากใช่ไหม” คุณป้าพานระเบิดคำถามตั้งแต่เริ่มต้น

เซียวอี้ฉือยิ้ม “ก็ไม่ขนาดนั้นครับ”

ระหว่างนั้นบังเอิญมีรถแท็กซี่ผ่านมาพอดีเขาจึงโบกมือให้หยุด แล้วทั้งสองก็ขึ้นรถ

หลังจากบอกที่อยู่แล้วคุณป้าพานก็พูดต่อ “อันที่จริงเขาดูเย็นชาแต่ใจดี ไว้เธอสนิทกับเขาแล้ว เขาก็จะดีกับเธอเอง”

มาตรฐานของคำว่า ‘ไว้สนิทแล้ว’ ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก

“แน่นอนครับ แต่ผมอาจจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขาทั้งหมด อย่างเช่นเขาให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างมาก” เซียวอี้ฉือครุ่นคิด “มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาคิดแบบนี้ไหมครับ”

คุณป้าพานยิ้มเจื่อน ไม่ได้พูดอะไร อาจจะกำลังคิดว่าอยู่บนรถแท็กซี่ไม่สะดวกคุยเรื่องส่วนตัว ส่วนเซียวอี้ฉือก็ไม่ได้ถามต่อและเปลี่ยนหัวข้อคุยแทน อย่างเช่นงานใหม่ของเขา

รถแท็กซี่จอดที่หัวถนนผู่หยวน ทั้งสองคนก็ลงจากรถ

ถนนผู่หยวนดูเงียบสงบและโล่งกว่าถนนสายอื่น คุณป้าพานนำทางขณะที่ยังคงคุยเรื่องที่คุยค้างจากในรถ “ที่จริงแล้วจือเหนียนไม่ใช่หลานชายของฉัน ฉันเป็นพี่เลี้ยงของครอบครัวเขา”

เซียวอี้ฉือตั้งใจฟังเงียบๆ

“ครอบครัวเขา…ค่อนข้างซับซ้อนน่ะ ฉันคงจะเล่าให้เธอฟังโดยที่จือเหนียนไม่รู้ไม่ได้หรอกนะ แม่เขาเป็นนางแบบ ส่วนครอบครัวฝั่งพ่อเขาก็เป็นพ่อค้าอัญมณีที่ร่ำรวยมาก ระหว่างนั้นมีเรื่องน้ำเน่าเกิดขึ้นเยอะมาก จากนั้นแม่เขาก็คลอดเขา แต่เข้ามาอยู่ในตระกูลไม่ได้ ต่อมา…พอจือเหนียนโตขึ้นมาหน่อย เพราะหน้าตาที่โดดเด่นก็เลยทำให้ยีนหน้าตาธรรมดาๆ ของครอบครัวพ่อเขาดีขึ้นมาบ้าง ทางนั้นก็เลยยอมรับเขา…ฉันก็เริ่มดูแลเขาจากตอนนี้แหละ ตอนนั้นเขาน่าจะอายุประมาณเจ็ดขวบมั้ง”

เซียวอี้ฉือเดินตามเธออยู่บนทางเท้าที่เงียบสงบ “ป้าพานครับ ขอบคุณที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟัง”

คุยไปคุยมาพวกเขาก็มาถึงที่หมายแล้ว

“ถึงแล้ว ที่นี่ก็คือบ้านของฉัน”

“ถ้าอย่างนั้น…ป้าพาน ผมมาส่งคุณป้าเรียบร้อยแล้ว คุณป้ารีบเข้าไปพักผ่อนเถอะครับ” เซียวอี้ฉือกล่าวลา

คุณป้าพานยิ้มเอ่ยพลางดึงมือของเซียวอี้ฉือ “พูดอะไรน่ะเด็กโง่ ไหนๆ ก็มาแล้ว เข้าไปคุยกันก่อนแล้วค่อยกลับสิ ในบ้านมีแค่ฉันคนเดียว อยู่คุยเป็นเพื่อนฉันอีกหน่อยนะ”

มือของคุณป้าพานอบอุ่นมาก เซียวอี้ฉือยอมแพ้ “ได้ครับ”

“ดอกไม้พวกนี้ฉันเป็นคนปลูกเอง ถ้ามีเวลาฉันก็จะมาดูแลมัน” คุณป้าพานแนะนำเขาทั้งด้านในและด้านนอกวิลล่า สุดท้ายคือสวนด้านหลังซึ่งเป็นแปลงผักที่เต็มไปด้วยผักสวนครัว “ที่นี่เป็นพื้นที่พิเศษของจือเหนียน เขามักจะมาที่นี่ รดน้ำเอย ถอนหญ้าเอย กำจัดแมลงเอย อะไรพวกนี้น่ะ”

สายตาของเซียวอี้ฉือมองไปที่ชั้นไม้ในสวนซึ่งมีหมวกฟางและถุงมือสำหรับเพาะปลูกแขวนอยู่ด้านนอก

เขาเลิกคิ้ว พยายามจินตนาการถึงอวี๋จือเหนียนที่สวมหมวกฟาง ถุงมือ และนั่งยองๆ ทำงานอยู่ในทุ่งนา

พรืด…ภาพนั้นงามเกินไปจนเขาหัวเราะออกมาเสียงดัง

คุณป้าพานดูเหมือนมองทะลุความคิดของเขา พูดอย่างเห็นด้วย “บางทีเวลาที่เขาทำงานอยู่ในสวน ฉันก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเขาเป็นผู้ชายชั้นสูงที่สวมสูทและผูกเนกไทในเวลาปกติ”

เซียวอี้ฉืออดหัวเราะไม่ได้ “งานอดิเรกนี้ดีมากนะครับ”

คุณป้าพานเปิดใจ “บางครั้งในฐานะที่พวกเราเป็นผู้ใหญ่ เราก็เห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกันนะ อยากให้คนอื่นมาทำในสิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ฉันเปลี่ยนความคิดแย่ๆ ของจือเหนียนไม่ได้ ก็เลยหวังว่าจะมีคนมาเปลี่ยนเขา ทุกคนล้วนมีปัญหาของตัวเอง การอยู่ร่วมกันก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างหนึ่งเหมือนกัน ฉันชอบเธอมาก และยิ่งหวังว่าเธอจะได้อยู่กับจือเหนียน ถ้าฉันทำให้เธอรู้สึกกดดันก็ขอโทษจากใจจริงๆ ถ้าพรหมลิขิตทำให้พวกเธอเป็นได้แค่เพื่อนก็ขอให้เป็นแค่เพื่อนเถอะ แต่หวังว่าเธอจะยังคงติดต่อกับจือเหนียนต่อไปนะ”

“มีคุณป้าคอยเป็นห่วงเขาก็เป็นวาสนาของเขานะครับ”

“ถ้าลูกของฉันยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็คงจะอายุเท่ากับจือเหนียน ฉันมองจือเหนียนเหมือนลูกในไส้ของตัวเอง รักแรกทำให้เขาเสียใจมากๆ บางทีในใจฉันคงอยากเอาคืน อยากให้เขาเจอคนที่ดีกว่านี้และมีชีวิตที่สมบูรณ์กว่านี้ก็ได้”

“รักแรกของเขา…”

เซียวอี้ฉือยังไม่ทันถามจบก็มีเสียงดังมาจากที่หน้าประตู ตามมาด้วยเสียงของอวี๋จือเหนียน “คุณป้าครับ ผมกลับมาแล้ว คืนนี้ผมเป็นคนทำกับข้าวนะ…”

“จ้ะ” คุณป้าพานตอบพร้อมกับลากเซียวอี้ฉือไปที่หน้าประตูเพื่อต้อนรับอวี๋จือเหนียน “ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย วันนี้เสี่ยวเซียวก็จะอยู่กินข้าวที่นี่ด้วย เขาจะได้ชิมอาหารฝีมือเธอ”

“…” อวี๋จือเหนียนที่กำลังพูดอยู่ชะงัก จากนั้นก็หุบปากลง เขาที่เปลี่ยนรองเท้าเสร็จแล้วได้ยินแบบนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองเซียวอี้ฉือแล้วถามว่า “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

คุณป้าพานช่วยพูดแทนเซียวอี้ฉือ “วันนี้เขามาส่งฉันกลับบ้าน ฉันก็เลยบอกให้เขาอยู่กินข้าวด้วยกัน เป็นเรื่องที่ต้องชวนแน่นอนอยู่แล้ว”

อวี๋จือเหนียนหรี่ตาลง คล้ายกำลังพูดกับเซียวอี้ฉือว่า ‘คุณยังมีหน้าอยู่ต่อจริงเหรอ’

“ขอบคุณป้าพานครับ ผมจะตั้งตารออาหารมื้อนี้เลย คืนนี้ก็ลำบากทนายอวี๋แล้วนะครับ” เซียวอี้ฉือเผยรอยยิ้มสดใสให้อวี๋จือเหนียน เหมือนกำลังตอบว่า ‘ฉันอยากอยู่ต่อ นายจะทำไม’

 

* เอ้อร์ ในภาษาจีนแปลว่าสอง ในที่นี้จึงหมายถึงลูกคนที่สอง

** จะวางไข่ไก่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียวไม่ได้ เป็นการอุปมาถึงการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยไม่ควรทุ่มลงทุนเพียงสิ่งเดียว

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: