ทดลองอ่านเรื่อง His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ผู้เขียน : เชียนสือจิ่ว (千十九)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในภาวะสงคราม
มีการกล่าวถึงเลือดและสภาพศพ การข่มขืน การฆ่าตัวตาย
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การใช้ถ้อยคำเหยียดหยาม
อาการป่วยทางจิต บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
เมื่ออวี๋จือเหนียนประชุมเสร็จกลับมาที่ห้องทำงานหนานจิ่งก็วางเอกสารด่วนที่ส่งถึงเขาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่ในเอกสารด่วนเหล่านี้ไม่มีซองกระดาษสีน้ำตาลที่ข้างในมีรูปถ่ายซึ่งโดยปกติจะมาส่งตรงเวลาอยู่
ไม่รู้ว่าเขากับหนุ่มชาวอังกฤษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และไม่รู้ว่าเขายังต้องหยอกแมวทุกคืนหรือเปล่า
อวี๋จือเหนียนสลัดความคิดไร้สาระที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวทิ้งแล้วกลับไปนั่งยังเก้าอี้และทำงานต่อไป
ทว่าพอกลับมาถึงบ้านของคุณป้าพาน ตอนที่สบสายตากับเซียวอี้ฉือ และได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสและยั่วเย้าของอีกฝ่ายก็มีเพียงความคิดเดียวที่แวบเข้ามาในใจของอวี๋จือเหนียน ปีศาจร้ายยังไม่จากไป
ทางด้านปีศาจน้อยมีความสุขมากที่ได้กระโดดลงไปในทุ่งระเบิดของอวี๋จือเหนียนอีกครั้ง
ตอนนี้เซียวอี้ฉือมีป้ายทองละเว้นโทษตายจากคุณป้าพานแล้ว เขาจึงกล้าทำชั่วอย่างเปิดเผย
อวี๋จือเหนียนลงมาจากชั้นบนหลังจากเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสีฟ้าอ่อนแล้ว
คุณป้าพานซึ่งกำลังคุยกับเซียวอี้ฉือเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจ “จือเหนียน เธอจะไม่ใส่ชุดอยู่บ้านลายสนูปี้ตัวนั้นแล้วเหรอ เพิ่งจะใส่ไปเมื่อวานเอง”
ก้าวเดินของอวี๋จือเหนียนหยุดชะงัก ขณะที่เซียวอี้ฉือไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากได้อีกต่อไป เขาป้องปากกดริมฝีปากไว้ พร้อมกับไหล่ที่สั่นไหวรุนแรง
“…ชุดนี้ใส่สบายกว่า” อวี๋จือเหนียนตอบอย่างไว้ท่าที
“อ้อ” พอคุณป้าพานเห็นเขาเข้าไปในห้องครัวแล้วก็หันมาหาเซียวอี้ฉือ เปิดเผยความลับของเด็กน้อยอย่างใจกว้าง “อาจเพราะวันนี้เธอมา เขาก็เลยอยากจะรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าเธอน่ะ ตอนเด็กๆ เขาชอบสนูปี้มากเลยนะ”
“เหรอครับ” เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว ยิ้มถามว่า “เขายังมีอะไร…”
“เซียวอี้ฉือ” ห้องครัวเป็นแบบกึ่งเปิดโล่ง อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ที่ประตูและเรียกชื่อเต็มของเขา “มาช่วยที่ครัวหน่อย”
เซียวอี้ฉือยิ้มให้คุณป้าพานเป็นเชิงขอโทษ “คุณป้า ผมขอตัวไปดูเขาก่อนนะครับ”
“จ้ะ ไปเถอะ”
เซียวอี้ฉือเดินเข้าไปหาอวี๋จือเหนียน แสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว “ทนายอวี๋ มีอะไรจะสั่งขอรับ”
อวี๋จือเหนียนลดเสียงลง “คุณป้าชอบเวลามีแขกมาที่บ้านก็เลยให้คุณอยู่กินข้าวด้วย แต่หวังว่าแขกอย่างคุณจะวางตัวให้ดีหน่อย”
“แต่ว่า…” เซียวอี้ฉือมีท่าทางน้อยใจ “นายชอบสนูปี้ก็ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย…”
“…” สายตาของอวี๋จือเหนียนเหลือบไปยังที่วางมีด
เซียวอี้ฉือเห็นดังนี้ก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “เมื่อกี้ฉันไม่ได้ยินอะไรเลย ฉันเป็นแค่คนที่มากินข้าว!”
อวี๋จือเหนียนชำเลืองมองเขาอย่างอารมณ์เสีย “คุณมีอะไรที่กินไม่ได้ไหม”
คนที่มากินข้าวส่ายหน้า “ไม่มี!”
“คุณป้าอายุมากแล้ว ถ้าไม่ลองอะไรใหม่ๆ ปกติกลางคืนก็จะกินอะไรเบาๆ” อวี๋จือเหนียนพูดพลางเปิดตู้เย็น หยิบเนื้อปลาออกมาแล้วถามเซียวอี้ฉือ “กินเนื้อนี่ได้ไหม”
เซียวอี้ฉือทำมือโอเค
จากนั้นอวี๋จือเหนียนก็พาเซียวอี้ฉือไปที่สวนผักและชี้ไปด้านข้าง “ผักนี่กำลังโตได้ที่เลย คุณอยากกินอันไหน”
เซียวอี้ฉือมองตาม มีผักบางชนิดที่เขาไม่รู้จัก จึงพูดว่า “ได้หมด?”
อวี๋จือเหนียนไม่พูดมาก เขาสวมรองเท้าบูตยางและถุงมือทำสวน จากนั้นก็เก็บผักจากในแปลงขึ้นมาสองสามอย่างอย่างชำนาญแล้วใส่ลงในตะกร้า
ทันใดนั้นเซียวอี้ฉือที่กำลังดูจากด้านข้างก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของทนายอวี๋นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ
อวี๋จือเหนียนกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนเซียวอี้ฉือนั้นช่วยเขาถือตะกร้าอย่างรู้หน้าที่
ตอนส่งผักให้อีกฝ่ายอวี๋จือเหนียนถามว่า “รู้จักผักพวกนี้ไหม”
เซียวอี้ฉือยอมรับอย่างถ่อมตัวว่า “ไม่รู้”
เดิมทีเขาอยากจะรอให้อวี๋จือเหนียนเฉลย ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับแค่นเสียง “เฮอะ” ออกมาทีหนึ่ง แล้วพูดเพียงว่า “ขนาดเด็กประถมยังรู้มากกว่าคุณเลย”
หึๆ ที่แท้ก็รอจะแกล้งเขานี่เอง
เซียวอี้ฉือไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย เขายิ้มเอ่ยว่า “ทนายอวี๋ ถึงยังไงนายก็ต้องทำอาหารให้ ‘คนที่สู้เด็กประถมไม่ได้’ อย่างฉันกินอยู่ดี ฉันไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณนายยังไงดี!”
แววตาของอวี๋จือเหนียนมืดครึ้ม
เซียวอี้ฉือหมุนตัวกลับทันที “คุณป้า ดูสิครับว่าคืนนี้เราจะกินผักอะไรบ้าง!” แล้ววิ่งเข้าไปหาอย่างเอาอกเอาใจ
หลังเซียวอี้ฉือถือตะกร้าผักกลับมาที่ห้องครัว อวี๋จือเหนียนก็ยุ่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ทำอาหารแล้ว เขาใช้มือข้างเดียวตอกไข่ที่ขอบชามเบาๆ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือแบะออกอย่างชำนาญ ไข่แดงและไข่ขาวไหลลงชามทันที จากนั้นเขาก็ตีไข่สามฟองเข้าด้วยกัน ทำทุกอย่างรวดเดียวด้วยความราบรื่นและคล่องแคล่วอย่างมาก
“ล้างผัก” อวี๋จือเหนียนตีไข่พลางสั่งเซียวอี้ฉือโดยไม่มองเขาสักนิด
สุดท้ายแล้วก็มากินข้าวบ้านคนอื่น เซียวอี้ฉือจึงได้แต่หุบปากแล้วทำงานไป
หลังจากที่เขาล้างผักเสร็จแล้วอวี๋จือเหนียนก็ตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบผักใบเขียวขึ้นมา เลือกมีดทำครัวเล่มหนึ่งแล้วล้าง จากนั้นก็หั่นผักเป็นชิ้นๆ ใบผักถูกตัดอย่างประณีตมากซึ่งสอดคล้องกับรสนิยมด้านความงามของผู้ย้ำคิดย้ำทำอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นคนทำอาหารมาก่อน แต่เพราะคนทำอาหารเป็นอวี๋จือเหนียนจึงมีความขัดแย้งกันอย่างมาก จนแทบจะเป็นเหมือนสีสันของละครเรื่องหนึ่ง ทำให้เซียวอี้ฉือมองอย่างไม่ละสายตา
อวี๋จือเหนียนเองก็มองเซียวอี้ฉือตรงๆ ดวงตาเป็นประกายของอีกฝ่ายกำลังมองดูการเคลื่อนไหวในมือเขาราวกับกำลังดูการแสดงมายากล
“เกะกะ ออกไปรอข้างนอก”
ไม่ต้องให้เขาช่วยงานยิ่งดี เซียวอี้ฉือเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับบ่นในใจ
คุณป้าพานเห็นเขาออกมาก็ยิ้มพร้อมกับโบกมือให้ ทำราวกับว่าต้องการจะแบ่งปันความลับบางอย่าง
เซียวอี้ฉือเดินเข้าไป เมื่อมองใกล้ๆ ก็เห็นว่าคุณป้าพานถืออัลบั้มรูปของอวี๋จือเหนียนอยู่ในมือ “ฉันจะให้เธอดูรูปถ่ายตอนที่จือเหนียนยังเป็นเด็ก”
ป้าพานเป็นคนที่ดีมากเลยครับ รักคุณป้านะ!
สิ่งแรกที่สะดุดตาเขาคือรูปถ่ายของทารกอายุไม่กี่เดือน ในภาพเป็นทารกตัวอ้วนกลมที่กำลังนอนคว่ำ มีผมนุ่มๆ รุงรังบนศีรษะ ยิ้มกว้างจนเห็นเหงือก ไม่มีฟัน ดวงตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว…ความน่ารักของทารกตัวน้อยทำให้หัวใจละลายเมื่อได้เห็น
“นี่คือ…ทนายอวี๋?”
“ใช่สิ ทุกครั้งที่ฉันโกรธเขาก็จะดูรูปนี้ พอคิดว่าเด็กคนนี้ก็มีช่วงเวลาที่น่ารักเหมือนกันก็ไม่ได้รู้สึกโกรธขนาดนั้นแล้ว” คุณป้าพานอธิบายด้วยรอยยิ้ม
เสียงทำอาหารดังมาจากในห้องครัว ตามมาด้วยกลิ่นหอมน่ากิน เซียวอี้ฉือหันไปมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังยุ่งอยู่ในครัว คิดในใจว่านี่มันเรื่องเหนือจริงอะไรกันเนี่ย
บนโต๊ะอาหารค่ำ อวี๋จือเหนียนเหลือบมองเซียวอี้ฉือด้วยหางตา อีกฝ่ายคีบอาหารเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้ง แล้วกะพริบตาพร้อมกับตามีแสงวิบวับขึ้นมาทันที “อร่อย!”
“ใช่ไหมล่ะ! จือเหนียนทำอาหารเก่งมาก เธอก็กินเยอะๆ หน่อยนะ!” คุณป้าพานมีความสุขมาก
เซียวอี้ฉือมองอวี๋จือเหนียนแล้วพูดย้ำอีกครั้ง “อร่อย!”
ตอนนี้อวี๋จือเหนียนถึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีดวงดาวอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย แม้ว่าดวงตาของเซียวอี้ฉือจะมีลักษณะธรรมดา แต่มันกลับกักเก็บทางช้างเผือกไว้ได้ ไม่ใช่ความสว่างไสวที่สะท้อนแสงไฟ แต่เป็นอารมณ์ที่ไหลล้นออกมาจากหน้าต่างของจิตวิญญาณจากภายในสู่ภายนอก
มันเป็นพลังแห่งการส่งต่อที่แข็งแกร่งมาก
คุณป้าพานคีบปลาชิ้นใหญ่ให้เซียวอี้ฉือ “ลองชิมนี่ดูสิ!”
“ครับ!” เซียวอี้ฉือกัดไปคำหนึ่ง “อร่อยมาก!”
เห็นได้ชัดว่าอวี๋จือเหนียนไม่ได้ใช้เครื่องปรุงรสสูตรลับอะไรเลย ใช้เพียงน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว และน้ำส้มสายชูธรรมดาเท่านั้น เขาทำอาหารบ้านๆ ให้มีรสชาติอร่อยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
เซียวอี้ฉือเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอวี๋จือเหนียน อีกฝ่ายไม่แสดงอาการอะไรเลย แต่เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังภูมิใจ
เซียวอี้ฉือตัดสินใจที่จะเก็บความชื่นชมของตัวเองไว้
แต่มันอร่อยมากจริงๆ เขาพอใจมาก
“จือเหนียน เป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วย คีบอาหารให้อี้ฉือหน่อยสิ” พอคุณป้าพานพูดแบบนี้ อวี๋จือเหนียนก็คีบผัดผักใส่ไข่ให้เซียวอี้ฉืออย่างเสียไม่ได้
“ขอบคุณครับทนายอวี๋!” เซียวอี้ฉือเอาถ้วยไปรับ แล้วก็เอาเข้าปาก แก้มป่องขึ้น ตาก็หรี่ลง
คราวนี้เขาไม่ได้พูดอะไร แต่การแสดงออกก็ชัดเจนอยู่แล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จคุณป้าพานก็นำขวดแก้วสีเขียวที่แช่ลูกบ๊วยไว้ครึ่งหนึ่งออกมา “อี้ฉือ ลองชิมเหล้าบ๊วยที่เราทำเองสิ”
นี่เป็นการรับแขกขั้นเทพเลยนี่นา
“ขอบคุณครับคุณป้า!”
ฝาขวดเหล้าถูกเปิดออก เหล้าถูกเทลงในแก้ว กลิ่นหอมของเหล้าบ๊วยทำให้รู้สึกสดชื่น เซียวอี้ฉือหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดมแล้วจิบไปคำหนึ่ง
ในรสหวานแฝงความฝาดเล็กน้อย ฤทธิ์เหล้าไม่แรงมาก แต่ทิ้งรสติดปากยาวนานที่อยู่บนปลายฟัน ราวกับว่ากำลังลิ้มรสฤดูร้อน เซียวอี้ฉือวางแก้วเหล้าลง ฟังเสียงแมลงเจื้อยแจ้วในสวนพลางหายใจออกยาวๆ ช้าๆ
มีอาหารสามมื้อ ใช้ชีวิตทั้งสี่ฤดู พร้อมกับห้าประสาทสัมผัสที่ครบถ้วน นี่คือโลกที่เขาแสวงหา
ชายหนุ่มหันมามองอวี๋จือเหนียน “ทนายอวี๋ ฉันไม่คิดว่านายจะเป็นคนติดดินขนาดนี้ ฉันยังนึกว่านายต้องผูกผ้าเช็ดปาก แล้วเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศทุกมื้อซะอีก”
อวี๋จือเหนียนนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้หวาย คร้านจะสนใจเขา
ทันใดนั้นเซียวอี้ฉือก็รู้สึกว่าคู่รักของอวี๋จือเหนียนจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ จู่ๆ เขาก็ยิ้มอย่างไม่มีเหตุผล ดื่มเหล้าในแก้วจนหมด
ก่อนกลับเซียวอี้ฉือขอคุณป้าพานเอาเศษเนื้อปลากลับบ้านด้วย
“เธอเลี้ยงสัตว์ที่บ้านด้วยเหรอ” คุณป้าพานถาม
เซียวอี้ฉือส่ายหน้า ขณะเดียวกับที่อวี๋จือเหนียนเปลี่ยนเสื้อลงมาจากชั้นบนพอดี
“มีแมวจรตัวน้อยๆ อยู่ในสวนเล็กๆ แถวบ้านผมน่ะครับ ผมจะเอาไปให้มันกิน”
“ถ้าไม่คิดจะเลี้ยงมัน ให้อาหารมันบ่อยๆ จะทำให้มันต้องพึ่งพาคนอื่น ต่อไปมันจะหากินเองยากนะ” อวี๋จือเหนียนเตือน
“ฉันรู้” ก่อนหน้านี้เซียวอี้ฉือแค่หยอกมันโดยที่ไม่เคยให้อาหารเลย แต่ช่วงกลางวันเมื่อสองวันก่อนเขาเจอมันพร้อมกับเห็นพุงที่เคยแบนราบป่องขึ้นมาจนมันเดินได้ไม่ค่อยถนัด
“มันท้อง ก็เลยต้องบำรุงร่างกาย ไม่อย่างนั้นลูกแมวจะโตได้ไม่เต็มที่” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขณะพูด
อวี๋จือเหนียนไม่ได้ตอบอะไรอีก
“ผมจะไปส่งคุณกลับบ้านก็แล้วกัน” เขาว่าพลางเปลี่ยนรองเท้า
“ฉันเรียกรถเองก็ได้”
คุณป้าพานบอกว่า “เด็กโง่ เรียกรถที่ถนนผู่หยวนแพงกว่าที่อื่นเยอะมาก ให้จือเหนียนไปส่งเธอเถอะ”
อวี๋จือเหนียนหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไปข้างนอก
ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อกี้เขาไม่ดื่มเหล้า
เซียวอี้ฉือหันไปบอกลากับคุณป้าพาน “คุณป้าครับ ผมกลับก่อนนะครับ คืนนี้ผมกินข้าวอย่างมีความสุขมากเลย”
“งั้นก็ดีแล้ว ต่อไปก็มาบ่อยๆ นะ ถ้ามีโอกาสก็มาชิมฝีมือฉันบ้าง”
“ได้ครับ”
ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนดอกไม้ในสวนยังคงส่งกลิ่นหอมอบอวล โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศไม่แจ่มใส กลิ่นหอมจะยิ่งน่าดึงดูด หอมหวานละมุน
เซียวอี้ฉือหลงคิดไปเองว่าตัวเองได้กลิ่นหอมของดอกไม้เมื่อขึ้นรถ ความคิดที่ชวนฝันนี้ทำให้จิตใจอันมึนเมาเล็กน้อยของเขามีความสุขมากยิ่งขึ้น
ขณะรถกำลังเคลื่อนที่เซียวอี้ฉือเอียงศีรษะพิงหน้าต่างแล้วฮัมเพลงเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
อวี๋จือเหนียนที่กำลังขับรถอยู่ไม่สนใจเขา ทั้งยังนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เซียวอี้ฉือฮัมเพลงเสียงต่ำโดยไม่เพี้ยนหรือผิดทำนอง อีกทั้งยังเจือด้วยเอกลักษณ์ของชนเผ่าที่ชัดเจนซึ่งก็คือมาคัม* แห่งดินแดนตะวันตก เนื้อเพลงต้นฉบับมีใจความว่า ‘ฉันรู้ อัลลอฮ์รู้ แต่ไม่มีใครรู้…ใบหน้าของฉันเหมือนแอปเปิ้ล ความคิดถึงทำให้มันเหี่ยวเหลือง ด้านซ้ายคือความรักร้อนแรง ด้านขวาก็คือความฝันที่ตามหลอกหลอน’
รถหยุดตรงไฟแดง เซียวอี้ฉือได้สติกลับมาแล้วก็ไม่ฮัมเพลงอีกต่อไป เขามองอวี๋จือเหนียนอย่างขอโทษ “ขอโทษที ฮัมเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัวน่ะ”
“ดีกว่าแร็พวันก่อนหน่อยหนึ่ง”
“ฮ่าๆๆ!” เซียวอี้ฉือกลั้นหัวเราะ แล้วเอ่ย “ขอบคุณมากนะ”
ในที่สุดรถก็มาจอดที่สวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ทนายอวี๋ บ๊ายบาย”
อวี๋จือเหนียนกำลังรอให้เซียวอี้ฉือแซวเรื่องที่ตนเองชอบสนูปี้ แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจากไปเฉยๆ เขาจ้องมองไปที่กระจกมองหลังและเห็นร่างของเซียวอี้ฉือค่อยๆ หายเข้าไปในความมืด
เซียวอี้ฉือนั่งยองๆ อยู่กับพื้น มองแมวกินอย่างตะกรุมตะกราม
“หิวแล้วล่ะสิ” เซียวอี้ฉือพึมพำกับตัวเอง “แมวจรตัวไหนมาทำเธอท้องโตเนี่ย วันไหนพามาให้ฉันรู้จักบ้างนะ”
แมวน้อยไม่สนใจเขาเลย ก้มหน้าก้มตากินลูกเดียว
เซียวอี้ฉือเอียงหน้าแล้วยิ้ม “อวี๋จือเหนียนไม่ได้แค่ทำอาหารอร่อยนะ ปลาที่บ้านเขาก็อร่อยมากเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
“อะแฮ่ม” การเตือนอย่างตั้งใจนี้ทำให้เซียวอี้ฉือหันกลับไปมอง คนที่ยืนอยู่ใต้เสาไฟถ้าไม่ใช่อวี๋จือเหนียนแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
เซียวอี้ฉือลุกขึ้นยืน “ทนายอวี๋?”
“ลืมบอกคุณไป” อวี๋จือเหนียนเดินเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว “เยี่ยจ้าวหลินอยากเชิญคุณไปงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ของเขา ยังไม่ตัดสินใจเรื่องเวลา คิดว่าคงอีกไม่กี่วัน คุณลองดูว่าพอจะหาเวลาไปเข้าร่วมได้ไหม”
“อ่อ” เซียวอี้ฉือรับเสียงหนึ่ง
“ผมคิดว่าไปเข้าร่วมหน่อยก็ดี ตระกูลเยี่ยมีเส้นสายในเมืองเยอะ ไปทำความรู้จักคนหน่อย เวลาทำอะไรจะได้สะดวก”
“ก็ได้ ไว้ฉันจะหาเวลา”
“งั้นก็ตามนี้” อวี๋จือเหนียนเหลือบมองแมวตัวนั้น พยักหน้าให้เซียวอี้ฉือ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
“ขับรถระวังด้วย”
อวี๋จือเหนียนมาแล้วก็ไปราวกับสายลม เซียวอี้ฉือลูบๆ ที่ท้ายทอยพลางคิดว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาเงียบๆ แบบนี้คราวหน้าถ้าจะนินทาอีกฝ่ายลับหลังก็ต้องระวังหน่อยแล้ว
วันต่อมาเซียวอี้ฉือไปที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ เมื่อออกกำลังกายเสร็จต้าซานก็มาคุยเล่นกับเขา
“วันนี้นายดูอารมณ์ดีนะ คงไม่ได้มีความรักหรอกใช่ไหม”
เซียวอี้ฉือหัวเราะเสียงดัง “ถ้าฉันมีความรักล่ะก็ จะต้องบอกให้ทั้งโลกรับรู้อย่างแน่นอน” นี่เท่ากับเป็นเรื่องดี จะไม่เฉลิมฉลองได้อย่างไร
“ถ้านายกับทนายอวี๋คนนั้นไปด้วยกันไม่ได้ ฉันมีคนจะแนะนำให้ นายคิดว่ายังไง”
เซียวอี้ฉือรู้สึกสนใจจึงหยุดดื่มน้ำ “ไหนว่ามาซิ”
“อีกฝ่ายก็เป็นทนายความเหมือนกัน แต่ไม่ได้ดังเท่าทนายอวี๋ เขาเป็นลูกค้าเก่าของฉัน เราเข้ากันได้ดี เขาเป็นคนดีมาก เพิ่งจะเปิดสำนักงานกฎหมายเล็กๆ ของตัวเองเมื่อสองเดือนก่อน เขาเลิกกับแฟนแล้ว ได้ยินมาว่าโดนแฟนนอกใจ เขาทำใจอยู่สักพักและตอนนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ฉันอยากแนะนำเขาให้นายรู้จัก” ต้าซานพูดขึ้นอีกครั้ง “เขาเป็นคนอ่อนโยน คิดถึงคนอื่นเสมอ มีหัวใจที่รักความยุติธรรม แน่นอนว่าฉันก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเขาลืมแฟนเก่าได้แล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นถ้าแนะนำให้นายรู้จักเขาตอนนี้ก็เหมือนใช้นายเป็นเครื่องมือ นายคิดว่ายังไง ถ้านายโอเคฉันจะลองคุยกับเขาดู แล้วก็ดูว่าเขาเต็มใจจะออกมาเจอนายหรือเปล่า”
โชคชะตาของคนเราเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก สิ่งที่เป็นน้ำผึ้งสำหรับคนหนึ่งอาจเป็นยาพิษสำหรับอีกคน ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้งหรือยาพิษก็ต้องมีก้าวแรกเสมอ
เซียวอี้ฉือพยักหน้า “ฉันโอเค”
ฟางต๋าได้รับจดหมายเชิญจากสถานทูตอังกฤษ พวกเขาหวังว่าสำนักงานกฎหมายจะส่งตัวแทนไปร่วมงานการสร้างเครือข่ายธุรกิจที่กำลังจะจัดขึ้น
ในอดีตงานเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องส่งอวี๋จือเหนียนไป ดังนั้นหนานจิ่งจึงแค่พูดถึงมันระหว่างที่ไล่ไปตามกำหนดการประจำวัน
‘ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบงานนี้เอง จะให้คนหาข้ออ้างมาบอกว่าหุ้นส่วนเลือกแต่งานสบายๆ ไม่ได้หรอกนะ’ อวี๋จือเหนียนพลิกอ่านเอกสารขณะสั่งงานหนานจิ่ง
หนานจิ่งขยับแว่น ‘รับทราบครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวผมจะส่งตารางที่แก้แล้วไปให้อีกทีหนึ่ง’
อวี๋จือเหนียนปิดเอกสาร แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เหม่อมองเพดานอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง จากนั้นเขาก็เปิดลิ้นชัก หยิบกองเอกสารออกมา และเปิดไปหน้าที่เกี่ยวกับคนงามชาวอังกฤษ
วันงานอวี๋จือเหนียนพาเสี่ยวเฮ่อจากแผนกประชาสัมพันธ์ของฟางต๋าไปด้วย เสี่ยวเฮ่อเป็นลูกสาวของบุคคลสำคัญในเมืองนี้ เธอมีหน้าที่ประสานงานระหว่างฟางต๋ากับภายนอก และคุ้นเคยกับข้อมูลองค์กรที่ฟางต๋าดูแลอยู่
อวี๋จือเหนียนถือแก้วแชมเปญและมองดูรอบๆ สถานที่จัดงาน เขาไม่ได้มองหาอะไรเป็นพิเศษ แต่แค่รู้สึกอยากเสี่ยงโชคดู
“ทนายอวี๋ คนที่รับผิดชอบงานครั้งนี้อยู่ทางนั้น พวกเราเข้าไปทักทายดีไหมคะ” เสี่ยวเฮ่อทำหน้าที่อย่างเต็มที่
“ได้ครับ” อวี๋จือเหนียนมองไปตามสายตาของเสี่ยวเฮ่อ…นั่นมันคนงามชาวอังกฤษไม่ใช่เหรอ
เสี่ยวเฮ่อกระซิบระหว่างทางว่า “เดเร็ค มิดเดิลตัน เรียนจบจากโรงเรียนฮาร์โรว์ เรียนต่อมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในสาขารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และปรัชญา เคยทำงานในแอฟริกาใต้ พูดภาษาจีนได้ สนใจในวัฒนธรรมจีนมาก วาระการดำรงตำแหน่งของเขากำลังจะสิ้นสุดลง แล้วก็จะกลับอังกฤษปลายเดือนนี้ค่ะ”
อวี๋จือเหนียนได้ยินแบบนั้นก็หยุดเดิน “แน่ใจนะ?”
เสี่ยวเฮ่อสับสน หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน ก่อนจะพยักหน้า “ข่าวไม่ผิดแน่ค่ะ”
อย่างนั้นเซียวอี้ฉือกับเขาก็…เลิกกันแล้ว?
“ทนายอวี๋คะ?” เสี่ยวเฮ่อเรียก
“พวกเราไปกันเถอะ” อวี๋จือเหนียนเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
เสี่ยวเฮ่อเคยคุยกับเดเร็คมาก่อน หลังจากทักทายตามมารยาทครู่หนึ่งเธอก็แนะนำอวี๋จือเหนียนให้อีกฝ่ายรู้จัก
คนงามชาวอังกฤษพูดจาด้วยสำเนียงลอนดอนแท้ๆ ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป ท่าทีสุภาพ ระหว่างการพูดคุยเดเร็คก็ใช้ภาษาจีนกับพวกเขาจนเสี่ยวเฮ่อกับอวี๋จือเหนียนต่างยอกันยกใหญ่
สุดท้ายคนงามก็ถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ผมจะไปจากที่นี่แล้ว ไม่อยากไปเลยจริงๆ”
เสี่ยวเฮ่อหยอกเขา “คิดถึงอาหารที่นี่เหรอคะ”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วครับ” คนงามพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “แล้วก็คิดถึงคนที่นี่ด้วย”
พวกเขาเพียงแวะมาทักทายเท่านั้น การพูดคุยสัพเพเหระสิ้นสุดลงเมื่ออวี๋จือเหนียนยกแก้วขึ้น “หวังว่าจะมีโอกาสเจอกันในเมืองนี้อีกนะครับ”
“Cheers.”
หลังจากเดินออกมาไกลแล้วเสี่ยวเฮ่อก็ถอนหายใจ “เดเร็คเป็นคนดีมาก แถมยังทำงานเก่ง ฉันรู้สึกดีมากที่ได้คุยงานกับเขาอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าคนที่มารับตำแหน่งต่อจะเป็นยังไง…”
อวี๋จือเหนียนหันกลับไปมองก็เห็นคนงามกำลังคุยกับคนอื่นอย่างออกรสแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งอวี๋จือเหนียนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อมโยงอีกฝ่ายกับเซียวอี้ฉือ แล้วก็ยากจะจินตนาการว่าคนงามที่เป็นฝ่ายจูบก่อนในรูปถ่ายกับสุภาพบุรุษตรงหน้าจะเป็นคนคนเดียวกัน
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเข้าใจหัวอกของผู้ชมที่เฝ้ามองสัมพันธ์ของตัวละครผ่านหน้าจอโทรทัศน์แล้ว
ฉันรู้ในสิ่งที่นายไม่รู้ และมีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับนายที่ฉันไม่รู้จนต้องรอการเปิดเผยในตอนต่อไป รู้สึกดีที่ได้รู้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกวิตกกังวลกับสิ่งที่ไม่รู้ อยากมองเห็นภาพรวมทั้งหมด แต่โชคไม่ดีที่ทำไม่ได้
เซียวอี้ฉือ นายมีความสามารถแบบไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้คนหน้าตาดีแบบนั้นเอาแต่คิดถึงนายจนลืมไม่ลง
หลังจากประสบกับความล้มเหลวในการนัดบอดครั้งแรก ครั้งนี้เซียวอี้ฉือเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทั้งยังสวมเสื้อสูทราคาแพงยี่ห้อดังที่อวี๋จือเหนียนซื้อให้เขาด้วย
คนที่ต้าซานแนะนำมีชื่อว่าเว่ยป๋อเหิง อีกฝ่ายนัดเซียวอี้ฉือที่ร้านอาหารหรูในเมืองซึ่งต้องจองโต๊ะก่อนล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับนัดครั้งนี้มาก
อีกฝ่ายจริงจังขนาดนี้ เซียวอี้ฉือจะเสียมารยาทไม่ได้
เซียวอี้ฉือดูเวลาเมื่อมาถึงร้านอาหาร เขามาก่อนเวลานัดห้านาที แต่พนักงานต้อนรับที่หน้าประตูกลับบอกเขาว่าคุณเว่ยมาถึงแล้ว
เว่ยป๋อเหิงสวมแว่นไม่มีกรอบ ดูสุขุมสง่างาม เขามองเซียวอี้ฉือ ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “คุณเซียว? สวัสดีครับ! เชิญนั่ง”
เซียวอี้ฉือนั่งลง “สวัสดีครับคุณเว่ย! มารอนานแล้วเหรอ”
เว่ยป๋อเหิงส่ายหน้า “เพิ่งมาได้ไม่นาน คุณก็มาถึงพอดี” เขาพูดพลางส่งถุงเล็กๆ ใบหนึ่งให้ “นี่เป็นของขวัญเนื่องในโอกาสที่ได้เจอกัน หวังว่าคุณจะชอบ”
เซียวอี้ฉือรับมาด้วยความประหลาดใจ “ขอบคุณมาก!” คิดในใจว่าตัวเองเสียมารยาทแล้ว เขาไม่ได้คิดเรื่องเตรียมของขวัญเลย
“ลองเปิดดูสิ”
เซียวอี้ฉือเปิดถุงก็พบปากกาหมึกซึมยี่ห้อดังในกล่องกำมะหยี่สี่เหลี่ยม
“ได้ยินต้าซานบอกว่าคุณกำลังจะเป็นอาจารย์มหา’ลัย นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าคุณจะชอบ”
“ผมชอบมาก ขอบคุณนะ!” เซียวอี้ฉือเก็บของขวัญไว้เป็นอย่างดี “ขอโทษด้วยนะ ผมไม่ได้เตรียมของขวัญมา”
เว่ยป๋อเหิงไม่สนใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวคุณเซียวตอบแทนด้วยไวน์ก็แล้วกัน ดื่มกับผมให้มากหน่อยเป็นไง”
“ได้!”
เนื่องจากเศรษฐีในเมืองต้องการตั้งสำนักงานประจำตระกูล หลังจากอวี๋จือเหนียนกับคนอื่นๆ คุยธุระเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวกันในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยต่างฝ่ายต่างก็บอกลากัน
คืนนี้หนานจิ่งมีธุระที่บ้าน อวี๋จือเหนียนจึงบอกให้เขากลับไป ส่วนตัวเองก็ไปเรียกรถที่หน้าล็อบบี้
เมื่อออกมาจากลิฟต์อวี๋จือเหนียนก็ก้มหน้าเช็กอีเมลงานที่เพิ่งได้รับ
ติ๊ง
ลิฟต์ข้างๆ เปิดออก
อวี๋จือเหนียนหลีกทางให้ตามปกติ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเรียกเขา “ทนายอวี๋?”
อวี๋จือเหนียนเงยหน้าขึ้นมองด้านข้าง คนที่เรียกเขามีใบหน้าหล่อเหลาและคุ้นตาเล็กน้อย เขานึกชื่อไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ว่าคนที่อยู่ข้างๆ…หึ เขากลับเรียกชื่อออกมาได้
เซียวอี้ฉือ
* มาคัม (Maqam) คือสเกลดนตรี (บันไดเสียง) ที่ใช้ในดนตรีอาหรับแบบดั้งเดิม มักใช้ในการแสดงด้นสดและประพันธ์เพลง มีอิทธิพลอย่างมากต่อดนตรีในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และเอเชียกลาง
บทที่ 8
บนโต๊ะอาหารคนแซ่เซียวและคนแซ่เว่ยพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ท้ายที่สุดเว่ยป๋อเหิงก็สารภาพว่า “คุณเซียว ก่อนหน้านี้ต้าซานเคยถามผมว่าพร้อมสำหรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่หรือยัง เขาบอกว่าคุณเป็นคนดี คุ้มค่าที่จะจริงจังด้วย ผมก็เลยอยากจะใช้โอกาสในวันนี้สารภาพกับคุณว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าผมพร้อมแล้วหรือยัง แต่ผมอยากเริ่มการเปลี่ยนแปลงก้าวแรก ถ้าคุณไม่รังเกียจ เรามาเริ่มจากเป็นเพื่อนก่อนดีไหม”
“คุณเว่ยอย่ากดดันไปเลย วันนี้ที่ผมมา ผมก็อยากจะเริ่มจากเพื่อนก่อนเหมือนกัน หลังจากนี้จะเป็นยังไงก็ค่อยๆ ปล่อยให้มันเป็นไป”
“ถ้าอย่างนั้น…” เว่ยป๋อเหิงยิ้มพร้อมกับชูแก้วขึ้น “แด่เพื่อนใหม่”
เซียวอี้ฉือชูแก้วขึ้น ยิ้มแล้วพูดตาม “แด่เพื่อนใหม่ ต่อไปนายก็เรียกฉันว่าอี้ฉือเถอะ ไม่ต้องห่างเหินกันมาก”
“งั้นนายก็เรียกฉันว่าป๋อเหิง?”
ทั้งสองคนกำลังคุยกันถึงเวลานัดครั้งต่อไป เมื่อออกมาจากลิฟต์ก็เห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า เซียวอี้ฉือยังไม่ทันรู้สึกตัว เว่ยป๋อเหิงก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ทนายอวี๋?”
อวี๋จือเหนียนได้ยินดังนี้ก็หันไปหาพวกเขา วินาทีต่อมาเขาก็เผยรอยยิ้มอันอบอุ่น “สวัสดี”
เว่ยป๋อเหิงเป็นคนรู้จักกาลเทศะ เขาแนะนำตัวเอง “ผมชื่อเว่ยป๋อเหิง ผมเคยร่วมงานกับคุณในเคส IPO* ในฐานะตัวแทนของสำนักงานกฎหมายเหอเหยียนครับ”
“ผมจำได้ครับทนายเว่ย ได้ยินว่าคุณตั้งสำนักงานกฎหมายของตัวเองแล้วเหรอครับ”
เว่ยป๋อเหิงถ่อมตัว “ใช่ครับ ผมคงไม่เหมาะกับการทำงานในสำนักงานกฎหมายใหญ่ๆ สักเท่าไร ก็เลยออกมาทำสำนักงานเล็กๆ เอง”
“ทำสิ่งที่เหมาะกับตัวเองดีที่สุดแล้วครับ ยินดีกับการเปิดสำนักงานด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ” เว่ยป๋อเหิงไม่ได้ลืมเซียวอี้ฉือ “ผมขอแนะนำก่อนนะครับ คนนี้คือ…”
“ผมรู้ครับ” อวี๋จือเหนียนพยักหน้าให้เซียวอี้ฉืออย่างสุภาพ “คุณเซียว”
“สวัสดีครับ ทนายอวี๋” เซียวอี้ฉือตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
สายตาของเว่ยป๋อเหิงกวาดไปมาระหว่างทั้งสองคน “ที่แท้พวกนายก็รู้จักกันเหรอ”
“พวกเรามีคนรู้จักแนะนำให้รู้จักกันอีกที” เซียวอี้ฉือคลายข้อสงสัยของเขา
เว่ยป๋อเหิงยิ้ม “อย่างนั้นฉันก็ไม่ต้องแนะนำแล้ว”
อวี๋จือเหนียนกลับพูดขึ้นว่า “ทั้งสองคนรู้จักกันนานแล้วเหรอ”
“พวกเราเพิ่งเจอกันคืนนี้เป็นครั้งแรก” เว่ยป๋อเหิงไม่ปิดบัง ยิ้มพร้อมเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว แล้วเหลือบมองเว่ยป๋อเหิง
“อ้อ” อวี๋จือเหนียนไม่พลาดการแสดงออกของเซียวอี้ฉือ
“ทนายอวี๋ คุณมากินข้าวกับเพื่อนเหรอครับ”
“เปล่าครับ เพิ่งจะกินข้าวกับที่ทำงานเสร็จ กำลังจะกลับ”
“เหนื่อยหน่อยนะครับ อย่างนั้นพวกเราไม่รบกวนคุณแล้ว” เว่ยป๋อเหิงกล่าวคำอำลาอย่างสง่างาม
“แล้วเจอกันครับ” อวี๋จือเหนียนมองพวกเขาจากไป
การเผชิญหน้านี้กินเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น หลังจากเดินออกจากอาคารแล้วเซียวอี้ฉือถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเขากำลังสวมเสื้อผ้าที่อดีตคู่เดตซื้อให้มานัดบอดกับคู่เดตคนใหม่ และท้ายที่สุดยังบังเอิญเจอกับคู่เดตคนเก่าด้วย
สุดยอด
เมื่อครู่เว่ยป๋อเหิงบอกไปว่าพวกเขาเพิ่งเจอกันในคืนนี้เป็นครั้งแรก อวี๋จือเหนียนคงจะเดาออกแล้วว่าพวกเขานัดบอดกัน
ชายคนเมื่อกี้ดูดีมีสง่าราศี แต่ไม่แน่ว่าอาจกำลังด่าอยู่ในใจก็ได้ หรือบางทีชนชั้นสูงอย่างเขาอาจจะยุ่งมากจนลืมที่มาที่ไปของเสื้อตัวนี้ไปแล้ว
“อี้ฉือ? รถมาแล้วนะ” เว่ยป๋อเหิงพูดขึ้นเพื่อดึงสติของเซียวอี้ฉือกลับมา
“โอเค” เซียวอี้ฉือชื่นชมทัศนคติที่สง่างามและใจกว้างของเว่ยป๋อเหิงเมื่อครู่มาก
“คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอทนายอวี๋ด้วย” เว่ยป๋อเหิงคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วพูดกับเซียวอี้ฉือ
“นั่นสิ” เซียวอี้ฉือไม่ได้บอกเว่ยป๋อเหิงทุกอย่างเพราะไม่รู้ว่าอวี๋จือเหนียนจะรังเกียจว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาเคยนัดบอดกับตัวเองหรือเปล่า จึงเพียงถามว่า “ที่แท้พวกนายก็เคยร่วมงานกันเหรอ”
เว่ยป๋อเหิงยิ้ม “ใช่ ตอนนั้นทุกคนในสำนักงานกฎหมายต่างก็อิจฉาฉันมาก เพราะทนายอวี๋เป็นคนดังในแวดวงทนายในย่านธุรกิจของเรา…เขาเป็นคนหน้าตาดี ทำงานเก่ง รู้จักรุกและถอยเวลารับมือกับคนอื่น แถมยังกลายมาเป็นหุ้นส่วนในสำนักงานกฎหมายขนาดใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นคนที่พวกเรานับถือเลยล่ะ แต่ชีวิตรักของเขาเป็นปริศนามาก คิดว่าคนที่จะมาเป็นคนรักของเขาคงต้องเก่งรอบด้านมากๆ ล่ะมั้ง” เขามองเซียวอี้ฉือ “จริงสิ นายรู้ไหมว่าตอนนี้เขามีแฟนหรือเปล่า”
เซียวอี้ฉือยิ้มอย่างจนปัญญา “อันที่จริงฉันไม่ได้สนิทกับเขาเท่าไร”
ทางด้านอวี๋จือเหนียนกำลังมองร่างของคนสองคนที่เดินจากไปไกล
สวมชุดที่ซื้อให้เพื่อไปนัดบอดกับคนอื่นเนี่ยนะ เซียวอี้ฉือ นายมันสุดยอดไปเลย
ดูจากสายตาของเซียวอี้ฉือที่มองเว่ยป๋อเหิงเมื่อครู่ คิดว่าเขาจะต้องพอใจอีกฝ่ายมากแน่ๆ
คนงามชาวอังกฤษคนนั้นเพิ่งจะจากไป ทางนี้ก็มีคู่นัดบอดคนใหม่ที่พอจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้ซะแล้ว
เก่งจริงๆ
หลังจากเซียวอี้ฉือกลับถึงบ้านก็ถอดเสื้อออกแล้วแขวนไว้
แม้เขาจะบอกว่าตัวเองไม่สนิทกับอวี๋จือเหนียน แต่พวกเขาก็เคยพบหน้ากัน เคยกินข้าวด้วยกัน ตอนเขาเป็นลมอวี๋จือเหนียนก็เป็นคนพาไปส่งโรงพยาบาล ยิ่งไปกว่านั้นอวี๋จือเหนียนยังเป็นคนแนะนำซีหลินให้เขารู้จัก
เซียวอี้ฉือมองเสื้อที่แขวนไว้ มาคิดๆ ดูแล้วเขาติดค้างอวี๋จือเหนียนเยอะมากเหมือนกัน
คืนนี้ดันถูกอีกฝ่ายเห็นเข้าซะได้ เซียวอี้ฉือลูบๆ จมูก ดูเหมือนว่า…เขาเองจะเป็นฝ่ายผิดสินะ?
งานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ของเยี่ยจ้าวหลินมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ อวี๋จือเหนียนส่งข้อความเชิญไปให้เซียวอี้ฉือ พร้อมกับเพิ่มประโยคสั้นๆ ต่อท้ายของข้อความเชิญว่า
‘รอผมที่หน้าประตูเขตชุมชนตอนแปดโมงครึ่ง’
วันก่อนปาร์ตี้เซียวอี้ฉือหยิบเสื้อเชิ้ตลำลองอีกตัวที่อวี๋จือเหนียนซื้อให้ออกมาจากถุงผ้า
ประการแรกเขาต้องใส่มันไปงาน ประการที่สองเขาต้องการเอาใจอวี๋จือเหนียน
นอกจากเสื้อตัวนี้จะมีเนื้อผ้าที่สวมใส่สบายแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มันมีราคาแพงก็คือสี เสื้อตัวนี้เป็นสีน้ำผึ้ง อยู่ระหว่างสีขาวกับสีเหลืองอ่อน ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ไม่สดใสหรือฉูดฉาดจนเกินไป หายากมากที่เมื่อสวมใส่แล้วเนื้อผ้าจะยังคงตัว อีกทั้งทรงของเสื้อยังช่วยเสริมรูปร่างและมอบความสุขทางตาให้กับผู้มอง
เซียวอี้ฉือตั้งใจจับคู่เสื้อด้วยกางเกงลำลองสีน้ำตาลเข้มโทนสีเดียวกัน เขาหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเดินทางที่ยังไม่ได้เก็บ เมื่อเปิดออกก็เห็นนาฬิกาข้อมือปาเต็ก ฟิลิปป์อยู่ด้านใน มันเป็นของขวัญที่เพื่อนสนิทที่นิวยอร์กส่งมาให้ เนื่องจากมันมีค่ามากเกินไปเขาจึงใส่มันแค่ครั้งเดียว
ไม่ใช่ว่าเขาเข้าไม่ถึงสินค้าแบรนด์เนม เพียงแต่ส่วนใหญ่เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ ถ้าสินค้าแบรนด์เนมเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะ เขาก็คงไม่ถึงขั้นนั้นแน่ๆ ถ้าเขาใช้สินค้าแบรนด์เนมก็คงเหมือนกับเด็กวัยเตาะแตะที่สวมหมวกทรงสูง ดูไม่เข้ากันเลย
เช้าวันงานอวี๋จือเหนียนมาตรงเวลา เขาสวมเสื้อเชิ้ตยี่ห้อโปโลสีขาวที่มีแถบสีฟ้าอ่อน กางเกงลำลองขายาวสีฟ้า สวมแว่นกันแดดขนาดใหญ่ ผมด้านข้างถูกไถออกให้เรียบเล็กน้อย ทรงผมนี้สามารถทำให้ทั้งดูเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องการจัดแต่งทรงผมแบบไหน
“อรุณสวัสดิ์!” เซียวอี้ฉือยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย
“อรุณสวัสดิ์” อีกฝ่ายทักทายกลับอย่างไร้อารมณ์
เซียวอี้ฉือนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารของรถเอสยูวี เพิ่งจะรัดเข็มขัดนิรภัยก็มีถุงกระดาษโยนเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
“คุณป้าอบขนมปังไว้เมื่อเช้าน่ะ ท่าเรือค่อนข้างไกล ถ้าหิวก็กินซะ” อวี๋จือเหนียนสตาร์ตรถแล้วหมุนพวงมาลัยขณะพูด
ถุงกระดาษยังคงร้อนอยู่ มีกลิ่นหอมของขนมปังอบอวลไปทั่ว เซียวอี้ฉือถือมันไว้พลางมองอวี๋จือเหนียน “ขอบคุณนะ!”
โครงหน้าด้านข้างของอวี๋จือเหนียนไปจนถึงลูกกระเดือกของเขาที่โผล่พ้นคอเสื้อนั้นคมชัด ดูเท่และเซ็กซี่
อื้ม…ขณะที่เซียวอี้ฉือกัดลงบนขนมปังนุ่มๆ ก็สังเกตเห็นว่ามีแผ่นพลาสเตอร์สีเนื้อแปะอยู่ที่ข้างคอของอีกฝ่าย
ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์น่าจะรู้ดีว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร
ดูเหมือนว่าทนายอวี๋จะมีค่ำคืนที่ร้อนแรงมากทีเดียว…
เซียวอี้ฉือละสายตากลับมา แล้วกัดขนมปังอีกคำ
‘ท่าเรือ’ ที่อวี๋จือเหนียนพูดถึงคือท่าเรือส่วนตัวของตระกูลเยี่ย ด้านในมีของเล่นชิ้นใหญ่ของคนรวยจอดอยู่อย่างเป็นระเบียบ
งานมงคลของเยี่ยจ้าวหลินกำลังใกล้เข้ามา เขายืนอยู่หน้าท่าเทียบเรือยอชต์ลำหนึ่งเพื่อต้อนรับแขกทุกคนด้วยใบหน้าฉายแววแห่งความสุข
“จือเหนียน คุณเซียว!” ชายหนุ่มตบไหล่ของอวี๋จือเหนียน แล้วพยักหน้าให้เซียวอี้ฉือ “วันนี้ดื่มกินให้เต็มที่เลยนะ!”
“ขอบคุณครับ!”
หนุ่มหล่อสาวงามจำนวนไม่น้อยอยู่บนเรือแล้ว บางคนพิงราวเรือแล้วยิ้มให้อวี๋จือเหนียนและคนอื่นๆ “จือเหนียน นั่นบอยเฟรนด์เหรอ”
อวี๋จือเหนียนที่สวมแว่นดำเงยหน้าขึ้น พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ลองเดาสิ”
เซียวอี้ฉือโบกมือให้พวกเขาอย่างไม่กลัวคนแปลกหน้า “สวัสดีทุกคน! กรุณาตัดคำว่าบอยออกดีกว่านะ ฉันกับทนายอวี๋มีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ต่อกัน…”
คนบนเรือเริ่มส่งเสียงดัง “รีบขึ้นมาให้พวกเราดูหน่อยซิว่า ‘เฟรนด์’ ของทนายอวี๋เป็นใครมาจากไหน!”
อวี๋จือเหนียนมองอย่างเย็นชาขณะที่เซียวอี้ฉือขึ้นเรือยอชต์อย่างรวดเร็วและพูดคุยกับกลุ่มเศรษฐีหญิงชายอย่างกระตือรือร้น
ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่าเซียวอี้ฉือจะอึดอัด แต่อีกฝ่ายกลับสนุกเหมือนกับปลาได้น้ำ
“คุณเซียว นายทำงานอะไรเหรอ”
“เป็นอาจารย์ในมหา’ลัยน่ะ”
“เอ๋?…แล้วนายสอนอะไรเหรอ”
“การสื่อสารข้ามวัฒนธรรม บางทีต่อไปอาจจะสอนภาษาสเปนด้วย”
“ภาษาสเปน? ไหนพูดมาให้ฟังสักสองสามประโยคได้ไหม” คนถามคือหญิงสาวหน้าตาสวยหวาน มีดวงตาสดใสและฟันขาวสะอาด
ลิ้นสั่นสะเทือนเปล่งบทกวีออกมา มันเจือด้วยเสน่ห์ตราตรึง และยิ่งให้ความรู้สึกโรแมนติกโดยเฉพาะเวลาที่ผู้ชายเป็นผู้พูด
“แปลว่าอะไรเหรอ”
“ดวงตาของคุณดุจแสงกระทบทะเลสาบที่ใสสะอาด เปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมหวานแห่งชีวิต”
“ว้าว…” ทุกคนส่งเสียงฮือฮาพร้อมกัน
นอกวงสนทนาเยี่ยจ้าวหลินแตะไหล่ของอวี๋จือเหนียนเบาๆ พลางหยอกเขาว่า “คุณเซียวเขารู้จักสนุกยิ่งกว่านายซะอีก นายคิดว่าไง”
อวี๋จือเหนียนสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกง ไม่ได้พูดอะไร
คนบนเรือจำนวนมากสังเกตเห็นแผ่นพลาสเตอร์ที่ข้างคอของอวี๋จือเหนียน สีหน้าของพวกเขาหลากหลายมาก บ้างประหลาดใจ บ้างจ้องมอง บ้างนินทา ไม่ก็อิจฉา หึงหวง และไม่พอใจ
ทุกคนรู้ดีว่าอวี๋จือเหนียนเป็นคนไม่เปิดเผยชีวิตส่วนตัวง่ายๆ มีหลายคนที่สนใจเขา แต่ช่วยไม่ได้ที่ทนายอวี๋เหมือนมีกำแพงเหล็กและผนังทองแดงปิดกั้นไว้อีกทีหนึ่ง ยากที่จะฝ่าทะลุเข้าไป ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยพยายาม แต่ความพยายามที่นำมาซึ่งความล้มเหลวทุกครั้งนั้นน่าหงุดหงิดยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับอวี๋จือเหนียน
เนื่องจากวันนี้มีผู้มาใหม่อย่างเซียวอี้ฉือซึ่งมาได้ถูกจังหวะเวลาแบบนี้ ทำให้คำถามประเภทที่ว่า ‘ในที่สุดจือเหนียนก็ถูกปราบแล้วเหรอ’ กลับกลายเป็น ‘แฟนของเขาคืออาจารย์เซียวจริงเหรอ’
อวี๋จือเหนียนอธิบายอย่างอดทน “คุณเซียวเป็นเพื่อนที่จ้าวหลินเชิญมา ผมแค่เป็นคนนำทางเท่านั้น” ทุกคนถามเยี่ยจ้าวหลินเพื่อขอคำยืนยัน เจ้าตัวจึงพยักหน้าก่อนจะจากไป
แผ่นพลาสเตอร์ชิ้นนี้ทำให้อวี๋จือเหนียนโกรธจัด เวลาใช้บริการที่คลับหรูเขาไม่เคยอนุญาตให้ใครจูบเขา นับประสาอะไรกับทิ้งรอยไว้บนตัวเขา แต่ช่วงนี้อารมณ์ในตัวเขาพลุ่งพล่านจึงอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ทำให้เผลอถูกอีกฝ่ายฝากรอยจูบบนตัว ตอนที่สังเกตเห็นความสุขจากการถึงจุดสุดยอดก็หายไปทันที เหลือไว้เพียงความไม่พอใจ และเมื่อตระหนักถึงความจริงดังกล่าวเขาก็รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว…เดิมทีเขาแค่อยากระบายความต้องการ แต่มันกลับกลายเป็นประสบการณ์อันเลวร้ายไปซะได้
ซีหลินเคยบอกเขาว่า ‘นี่ไม่ได้เกี่ยวกับความอยากที่จะเป็นฝ่ายควบคุมบนเตียง แต่นายกำลังยับยั้งตัวเองมากกว่า นายอาจจะยังไม่ได้เผยธาตุแท้ของตัวเองในกิจกรรมอันดิบเถื่อนและเร้าอารมณ์นี้’
มันเข้าใจได้ในแง่ของเหตุผล แต่ในแง่ของการปฏิบัตินั้นออกจะลำบากในหลายๆ ด้าน
เขายืนอยู่ที่ท้ายเรือและมองเข้าไปในห้องโดยสาร มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นจากกลุ่มคนเป็นครั้งคราว เซียวอี้ฉือกำลังเล่นโป๊กเกอร์กับคนอื่นๆ และดูเหมือนว่าจะชนะอีกตาแล้ว ใบหน้านั้นดูยิ้มแย้มและสบายใจมาก
ผ่านไปสักพักก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกเขา “ทนายอวี๋”
อวี๋จือเหนียนหันไปมอง เซียวอี้ฉือเดินเข้ามาโดยถือเหล้าสองแก้วอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถอนตัวจากการเล่นโป๊กเกอร์ตั้งแต่เมื่อไร
“มา ลองชิมนี่ดูสิ” เขาพูดพลางยื่นแก้วให้
หลังจากที่อวี๋จือเหนียนรับแก้วมาก็เห็นเซียวอี้ฉือยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก จิบไปคำหนึ่ง แล้วเอาศอกพิงที่ราวเรือ
เซียวอี้ฉือก็ถูกคนถามตลอดว่าเป็นอะไรกับอวี๋จือเหนียน เขาเดาว่าวันนี้อวี๋จือเหนียนก็คงตอบคำถามแนวนี้ไปไม่น้อยเหมือนกันถึงได้ปลีกวิเวกมาอยู่ที่ท้ายเรือคนเดียว
ดังนั้นเขาถึงได้นำเหล้ามาปลอบใจอีกฝ่าย
“วันนี้ดูคุณสนุกมากเลยนะ” อวี๋จือเหนียนชูแก้วขึ้น ไม่ได้ดื่ม แต่พูดกับเขา
เซียวอี้ฉือยิ้ม “อยู่ในงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ แทนที่จะสนุกไปด้วย แต่นายกลับมาที่ท้ายเรือเพื่อไตร่ตรองชีวิตหรือไง” คำพูดของเขาแฝงนัย
อวี๋จือเหนียนเหลือบมองเขา พูดอย่างไม่จริงจังมากนัก “ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณหมดสนุก”
เซียวอี้ฉือหยุดหัวเราะไม่ได้ สายตาเหลือบไปมองแผ่นพลาสเตอร์ของอีกฝ่าย “ทนายอวี๋ นายรู้จักสำนวน ‘ยิ่งซ่อนยิ่งชัด’ ไหม ฉันเคยคิดว่านายเป็นคนเก็บตัว แต่ไม่คิดว่าที่แท้นายก็เป็นคนเปิดเผยนี่เอง วันนี้มีคนถามฉันเกี่ยวกับความเจ้าชู้ของนายเยอะแยะเลย”
“เรื่องเจ้าชู้น่ะ ผมสู้คุณไม่ได้หรอก” อวี๋จือเหนียนโต้กลับ “เพิ่งเจอกันก็ร่ายกลอนรักให้ฟังซะแล้ว”
“ฮ่าๆๆ! นี่มันความอยากเอาชนะเชิงลบอะไรกันเนี่ย” อวี๋จือเหนียนมักจะมีความน่ารักแปลกๆ บางอย่างที่ทำให้เขานึกอยากแกล้งอยู่เสมอ เหมือนกับแกล้งแมวให้มันหงายท้องมาให้ลูบพุงที่มีขนปุย
เซียวอี้ฉือแสร้งปาดน้ำตาตรงหางตาด้วยท่าทางเกินจริง อวี๋จือเหนียนคร้านจะสนใจเขา
“ฉันท่องข้อความของอูนามูโน* เขาเป็นห่วงชะตากรรมของประเทศ นายจะมองว่ามันเป็นกลอนรักหรือกลอนรักชาติก็ได้”
“อ้อ…ระดับทางวัฒนธรรมสูงมากจริงๆ”
เซียวอี้ฉือมองอวี๋จือเหนียน แล้วพูดภาษาสเปนอีกสองประโยค ขณะที่อวี๋จือเหนียนกำลังสับสนเขาก็แปลออกมาว่า “ฉันรักคุณ ความสุขของฉันก็คือการได้กัดริมฝีปากเชอรี่ของคุณ ฉันอยากจะมอบตะกร้าดอกไม้ป่าที่เต็มไปด้วยจูบให้คุณ ฉันอยากทำกับคุณเหมือนอย่างที่ฤดูใบไม้ผลิทำกับต้นเชอรี่”** เซียวอี้ฉือยกมุมปากยิ้ม “ทนายอวี๋…นี่แหละที่เรียกว่ากลอนรัก”
ในร่างกายเกิดความร้อนอย่างอธิบายไม่ถูก อวี๋จือเหนียนไม่ได้พูดอะไร แค่จิบเหล้าไปอึกหนึ่ง
หลังจิบไปคำหนึ่งเขาก็รู้สึกประหลาดใจ วอดก้ากับน้ำส้มผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้มีรสหวานยิ่งขึ้น ความเผ็ดร้อนลดลง เหล้าคำนี้มีทั้งความเข้มข้นของวอดก้าและกลิ่นหอมของส้ม
“รสชาติเป็นยังไงบ้าง” เมื่อเห็นว่าอวี๋จือเหนียนกำลังลิ้มรส เซียวอี้ฉือก็อวดว่า “ฉันชงเองที่บาร์เลยนะ อร่อยใช่ไหมล่ะ”
“…ก็พอได้” อวี๋จือเหนียนยอมรับอย่างไม่เต็มใจ
“นี่เป็นการประเมินสูงสุดที่ฉันได้จากนายเลยนะ” เซียวอี้ฉือยู่ปาก แสร้งทำเป็นน้อยใจ
อวี๋จือเหนียนวางแก้วเหล้าลง พร้อมลดการระวังตัวลงเล็กน้อยเช่นกัน “…ทำไมวันนี้คุณไม่บอกไปว่าตัวเองเป็นนักข่าวสงครามล่ะ”
ขณะเดียวกันนั้นบนท้องฟ้าก็มีเมฆก้อนใหญ่ลอยมาบังแสง ทำให้บริเวณโดยรอบมืดลง
เซียวอี้ฉือเอียงศีรษะพลางยิ้มน้อยๆ “ถ้าตอนที่ยังเด็กกว่านี้ฉันคงจะพูดอยู่หรอก”
ตอนยังเด็กเขาก็มักบอกทุกคนที่เขาพบ โดยหวังให้โลกหันมาสนใจภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์และช่วยเหลือผู้คน
“จากนั้นฉันถึงได้ค้นพบว่าสำหรับใครหลายคน การเป็น ‘นักข่าวสงคราม’ ก็เป็นเหมือนการเล่านิทานที่มีเรื่องราวต่างๆ อยู่ในนั้น ทำให้คนอื่นได้เห็นและได้สัมผัสจนพอใจ จากนั้นพอหนังสือถูกปิดลงก็เป็นอันเสร็จสิ้น แล้วนายก็ดำเนินชีวิตอย่างที่ควรต่อไป” เซียวอี้ฉือจิบเหล้าอีกคำหนึ่ง “ฉันเองก็ค่อนข้างเป็นคนไร้สาระ แต่พอได้เล่าออกมาทุกคนก็ชื่นชมฉัน และฉันก็พอใจกับมันมาก”
จากนั้นก็มีแต่ความว่างเปล่า
“ตอนนี้ก็ยังพูดอยู่นะ แต่ขึ้นอยู่กับผู้ฟัง แล้วก็กาลเทศะ”
ในงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ของลูกหลานเศรษฐี ‘นักข่าวสงคราม’ ถูกกำหนดให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความฮือฮา เป็นเรื่องราวที่ทุกคนอยากรู้อยากได้ยิน
“…ความทุกข์ของคนอื่นไม่ควรกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความสนุกสนาน”
อวี๋จือเหนียนมองเขา “แล้วทำไมคุณไม่สอนวิชาสื่อสารมวลชนในมหา’ลัยล่ะ”
“สิ่งที่ยากที่สุดของคนเราก็คือการรู้จักตัวเองนี่แหละ นอกเหนือจากการเจริญเติบโตทางกายภาพแล้ว พวกเรายังถูกวัฒนธรรมหล่อหลอมด้วย ฉันอยากให้นักศึกษาของฉันเข้าใจว่าตัวเองคือใครและควรจะทำอะไรท่ามกลางแรงกระตุ้นของวัฒนธรรมที่หลากหลายน่ะ ไม่อย่างนั้นแล้วอาชีพนักข่าวก็มีแต่จะนำพาพวกเขาเข้าสู่ความสับสนและความตื่นตระหนก”
นี่คือประสบการณ์ที่เขาได้รับตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
อวี๋จือเหนียนไม่ถามอะไรอีก เขายกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง
เมฆก้อนใหญ่บนท้องฟ้าสลายไป บริเวณโดยรอบสว่างขึ้น เซียวอี้ฉือเงยหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น แสงสว่างส่องลงบนใบหน้าของเขา ตกกระทบบนเสื้อสีน้ำผึ้ง เมื่อเรือโคลงเคลงเล็กน้อยแสงสว่างก็ไหลออกมาราวกับสายน้ำผึ้งที่หยดลงมาจากไม้ตักน้ำผึ้ง
อวี๋จือเหนียนค้นพบบางอย่างก่อนหน้านี้ และวันนี้เขาก็ได้เห็นมันอีกครั้ง…มีแสงสว่างในดวงตาของเซียวอี้ฉือ ไม่ใช่แสงที่เกิดจากการสะท้อน แต่เป็นแสงสว่างที่เกิดจากการสั่งสมความพรั่งพร้อม ราวกับพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์และมั่นคง สิ่งนี้คือความมั่นใจ
ไม่แปลกเลยที่เขาประพฤติตัวได้อย่างสง่างามและผ่อนคลาย ไม่ว่าจะในร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม ในร้านอาหารสุดหรูของเยี่ยจ้าวหลิน หรือบนเรือยอชต์สุดหรูอย่างตอนนี้ เขาคงเคยเจอเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันมาก่อน เขาจึงไม่รู้สึกแปลกแยกกับงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์นี้ นอกจากนี้เขายังไปที่บาร์บริการตนเองเพื่อชงเหล้าให้ตัวเองอีกด้วย
“ทนายอวี๋ น้ำใจต้องตอบแทนด้วยน้ำใจ ฉันขอถามอะไรนายอย่างหนึ่งได้ไหม” เซียวอี้ฉือหมุนตัวมา สองมือค้ำอยู่บนราวเรือ
อวี๋จือเหนียนดึงสติกลับมา “…คุณอยากถามอะไร”
“ใครเป็นคนทิ้งรอยนั่นไว้ให้นาย” เซียวอี้ฉือชี้ไปที่ข้างคอของตัวเอง ตรงบริเวณเดียวกับที่ติดแผ่นพลาสเตอร์ของอวี๋จือเหนียน
เขาได้ยินคนบนเรือพูดว่าใครก็ตามที่กล้าทิ้งรอยไว้บนตัวของอวี๋จือเหนียนจะต้องเป็นคนที่กล้าบ้าบิ่นมากแน่ๆ
อวี๋จือเหนียนจิบเหล้าแล้วตอบว่า “ผมเป็นเมมเบอร์ของคลับระดับไฮเอ็นด์น่ะ”
เซียวอี้ฉือกะพริบตา เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดนั้น เขาเอียงศีรษะด้วยความสนใจอย่างมาก “ฉันนึกว่านายมีคู่นอนเยอะซะอีก”
อวี๋จือเหนียนชำเลืองมองอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ถ้าผมอยากมีล่ะก็ คงมีเยอะมาก แต่การทำกิจกรรมทางเพศโดยใช้เงินนั้นสามารถหลีกเลี่ยงความยุ่งยากทางอารมณ์ที่ไม่จำเป็นได้มาก”
“คุณสมบัติอย่างนายน่ะ ดึงดูดคนได้มากเลย” เซียวอี้ฉือหันไปมองบรรดาชายหญิงที่ร้องเล่นเต้นรำอยู่ในเรือ “ไม่มีใครเข้าตานายบ้างเหรอ”
อวี๋จือเหนียนมองไปตามสายตาของเซียวอี้ฉือ เข้าใจความหมายของเขา
“สเป็กของผมคงสูงเกินไปล่ะมั้ง” เขาพูดพลางดื่มรวดเดียวหมด
“สูงแค่ไหน” เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว
คงเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ อวี๋จือเหนียนมองเข้าไปในตาของเซียวอี้ฉือ “รักที่บริสุทธิ์และร้อนแรง” ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มั่นคงไร้ความโลเลแม้ต้องเผชิญโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่
“…” เซียวอี้ฉือนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็หัวเราะอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ว้าว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าทนายอวี๋จะเป็นคนโรแมนติกขนาดนี้”
อวี๋จือเหนียนจับได้ถึงความไม่เป็นธรรมชาติของอีกฝ่าย เขาก้มหน้าลงจ้องก้อนน้ำแข็งในแก้วเหล้า รู้ตัวว่าตัวเองได้พลาดไปแล้ว
ในเวลานี้เองหญิงสาวที่เพิ่งขอให้เซียวอี้ฉือพูดภาษาสเปนก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น ดึงมือของเซียวอี้ฉืออย่างสนิทสนม “อาจารย์เซียว มาแอบอยู่ที่นี่เอง! มาเต้นรำกันเถอะ!” เธอหันไปมองอวี๋จือเหนียน “จือเหนียน มาด้วยกันสิ!”
อวี๋จือเหนียนส่ายหน้า “พวกคุณไปเถอะ”
เซียวอี้ฉือหันมามองเขา จากนั้นก็ถูกลากออกไป
หลังจากเต้นไปสองสามเพลงบนฟลอร์เต้นรำเซียวอี้ฉือก็ขอตัวโดยอ้างว่าเหนื่อย เขาเดินมาที่ท้ายเรือ ทว่าอวี๋จือเหนียนไม่อยู่แล้ว
โซนกิจกรรมบนเรือยอชต์อยู่ที่ชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ไม่มีใครสนใจชั้นใต้ดิน
เยี่ยจ้าวหลินกำลังหารือกับอวี๋จือเหนียนเกี่ยวกับข้อตกลงก่อนแต่งงานระหว่างเขากับคุณหนูหาน
เซียวอี้ฉือเดินไปถึงมุมของบันไดวนก็ได้ยินเสียงพวกเขาคุยกัน ฟังออกว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องงานจึงหยุดเดิน เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ควรรบกวน ขณะที่กำลังจะหมุนตัวกลับไปก็ได้ยินเยี่ยจ้าวหลินขัดจังหวะด้วยหัวข้อซุบซิบนินทา หัวเราะแล้วแหย่ว่า “วันนี้มีคนมาถามฉันตั้งหลายคนว่านายกับเซียวอี้ฉือเป็นแฟนกันหรือเปล่า ว่าไง พวกนายมีความเป็นไปได้บ้างหรือเปล่า”
อวี๋จือเหนียนกำลังตรวจสอบบันทึกที่เพิ่งเขียนลงไป เขานึกถึงสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติของเซียวอี้ฉือ คิดว่าตัวเองเผยตัวตนมากเกินไป ซึ่งไม่ใช่นิสัยปกติของเขาเลย ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนต้องหาข้อแก้ตัวบ้าง “เขาไม่ใช่สเป็กที่ฉันชอบ”
เยี่ยจ้าวหลินเข้าใจทันที “อ้อ ฉันนึกออกแล้ว นายชอบคนหน้าตาดีนี่นา! งั้นพวกหนุ่มหล่อวันนี้เป็นยังไงบ้าง มีคนที่ฉันพอจะแนะนำให้ได้ไหม”
อวี๋จือเหนียนพูดอย่างไม่น่าฟัง “ไม่เข้าตาสักคน นายก็อย่าไปใส่ใจนักเลย”
เซียวอี้ฉือเดินย่องขึ้นบันได
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้ว่าอวี๋จือเหนียนหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์ แต่พอได้ยินเป็นครั้งที่สองผลกระทบมันกลับรุนแรงกว่าครั้งแรกมาก
หลังจากเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันโดยเชฟมิชลินสามดาวแล้วปาร์ตี้ก็สิ้นสุดลง แขกทุกคนต่างทยอยบอกลาและจากไป
หลังอวี๋จือเหนียนขึ้นมาจากชั้นใต้ดินก็พบว่าเซียวอี้ฉือกำลังคุยกับกลุ่มคนอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้รบกวน หลังจากกินอาหารเสร็จเขาก็ไปหาเซียวอี้ฉือ “ให้ผมส่งคุณกลับบ้านไหม”
เซียวอี้ฉือยิ้มให้เขา “ไม่รบกวนทนายอวี๋แล้ว เมื่อตอนบ่ายป๋อเหิงบอกว่าคุยงานอยู่ที่เขตปินไห่พอดี เดี๋ยวเขาจะมารับฉันกลับ”
วินาทีต่อมาอวี๋จือเหนียนก็รับว่า “อ๋อ” เสียงหนึ่ง “ตรงนี้เป็นท่าเรือส่วนตัว ผมไปส่งคุณที่ข้างทางด่วนดีกว่า”
“งั้นก็รบกวนแล้ว” เซียวอี้ฉือยังคงยิ้มอยู่ แต่อวี๋จือเหนียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
พอขึ้นรถทั้งสองคนก็เงียบไปตลอดทาง
เมื่อมาถึงแยกทางด่วนรถของเว่ยป๋อเหิงก็รออยู่ที่นั่นแล้ว ชายหนุ่มยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างรถ เมื่อเห็นเซียวอี้ฉือก็วางสายและเดินเข้าไปหาพร้อมยิ้ม ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นทนายอวี๋ ฉันไปก่อนนะ ขอบคุณสำหรับวันนี้” เซียวอี้ฉือโบกมือลาอย่างมีมารยาท
“อืม” อวี๋จือเหนียนพยักหน้า
“ไว้เจอกันครับทนายอวี๋ ขับรถดีๆ นะครับ” เว่ยป๋อเหิงเอ่ยลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นรถ
“พวกคุณก็ด้วยนะ” อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ข้างทาง มองส่งรถของพวกเขาขับไกลออกไป
เซียวอี้ฉือนั่งที่เบาะข้างคนขับ มองดูเงาอวี๋จือเหนียนที่ค่อยๆ เล็กลงจากกระจกด้านข้าง สุดท้ายเขาก็กลายเป็นจุดเล็กๆ และหายไป
อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ที่เดิม มีรถวิ่งผ่านไปมาบนทางด่วนเป็นครั้งคราว
น่าประหลาดที่เขารู้สึกเศร้าเล็กน้อย
* IPO (Initial Public Offering) คือการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชน ซึ่งจะทำให้บริษัทเปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชน (Private Company) เป็นบริษัทมหาชน (Public Company)
* อูนามูโน หรือมิเกล เด อูนามูโน (Miguel de Unamuno) เป็นนักประพันธ์ นักปรัชญา และนักวิชาการชาวบาสก์ซึ่งโด่งดังจากทั้งนวนิยาย บทกวี และบทความปรัชญา
** มาจากบทกวีในหนังสือ ‘กวีนิพนธ์แห่งรักยี่สิบบทและบทเพลงความสิ้นหวังหนึ่งบท’ โดยปาโบล เนรูดา กวีและนักการทูตชาวชิลีซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม
บทที่ 9
ขณะอยู่บนรถเว่ยป๋อเหิงถามเซียวอี้ฉือพร้อมรอยยิ้มว่า “ตอนบ่ายที่ส่งข้อความบอกว่าจะไปกินมื้อดึก นายว่ายังไง ยังสนใจอยู่ไหม”
เซียวอี้ฉือละสายตากลับมาจากกระจกข้าง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงเห็นดีเห็นงามด้วย แต่คืนนี้เขากลับรู้สึกไม่สบายใจ จึงเอ่ยขอโทษว่า “ขอโทษที ฉันคงกินบนเรือมากเกินไป ตอนนี้ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายท้องน่ะ”
เว่ยป๋อเหิงไม่ถือสา ถามอย่างเป็นห่วง “ไม่สบายท้องเหรอ ช่องเก็บของตรงหน้านายมียาโรคกระเพาะอยู่ นายกินยาบรรเทาอาการหน่อยไหม ฉันวางกระติกน้ำร้อนเผื่อไว้ที่เบาะหลัง นายดื่มน้ำร้อนสักหน่อยเถอะ”
เซียวอี้ฉือรู้สึกขอบคุณ “ไม่เป็นไรๆ ฉันสบายดี ให้มันย่อยสักพักคงจะดีขึ้น”
“ได้ ถ้ารู้สึกไม่สบายจริงๆ ก็บอกฉันนะ”
“ขอบคุณนะ”
ทั้งสองรู้จักกันผ่านการนัดบอดและต่างก็มีความประทับใจดีๆ ต่อกัน ในคืนนี้…ถ้าอยากทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้นจริงๆ ก็มีหลายอย่างที่ทำได้
น่าเสียดายที่คืนนี้พวกเขาทำได้แค่นี้
ก่อนลงจากรถเซียวอี้ฉือพูดกับเว่ยป๋อเหิงว่า “ขอบคุณที่มาส่งฉันที่บ้าน ไว้ว่างๆ ฉันจะนัดนายกินมื้อดึกชดเชยแน่นอน”
“ได้ ฉันจะรอ” เว่ยป๋อเหิงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
เซียวอี้ฉือมองรถจากไปไกลก่อนที่จะก้าวเดินต่อ
เขาไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ซื้อปลากระป๋องหนึ่งกระป๋องและบุหรี่หนึ่งซอง จากนั้นก็เดินไปทางสวนสาธารณะเล็กๆ ช้าๆ
เขาเปิดปลากระป๋อง ไม่นานแมวจรน้อยก็วิ่งเข้ามาก้มหน้าก้มตากินอย่างดุเดือด
เซียวอี้ฉือจ้องมองมันที่กินเสร็จแล้วเลียๆ อย่างสงบ
คนกับแมวสบตากันครู่หนึ่ง แมวน้อยที่กำลังอุ้มท้องก็หมุนตัวกระโดดเข้าไปในพงหญ้าอย่างไร้สุ้มเสียง
ขนาดแมวยังไม่สนใจเขาเลย
เซียวอี้ฉือกลับถึงบ้านแล้วก็ปิดประตู ไฟในอาคารสูงสว่างเพียงพอแม้ในห้องจะไม่ได้เปิดไฟ แสงที่ส่องเข้ามาจากระเบียงสามารถส่องสว่างได้ถึงครึ่งหนึ่งของห้องนั่งเล่น
เขายืนอยู่ในห้องมืดสลัวที่แสงไฟส่องไม่ถึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปอาบน้ำ
ไม่นานเขาก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมที่ถูกสระยังไม่แห้งดีและยังคงมีน้ำหยดอยู่ เขาหยิบบุหรี่ที่เพิ่งซื้อออกมาพลางเดินออกไปที่ระเบียง
มีเสียงแชะพร้อมกับเปลวไฟดวงเล็กๆ ถูกจุดขึ้น เซียวอี้ฉือคาบบุหรี่ เอียงหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจุดไฟ ก่อนจะสูดกลิ่นยาสูบเข้าไปในปอด
เขานั่งลงบนเก้าอี้หวายสบายๆ ยืดขาออกข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างงอเข่าเหยียบบนขอบเก้าอี้
เมื่อกลางวันตอนที่อวี๋จือเหนียนพูดว่า ‘รักที่บริสุทธิ์และร้อนแรง’ แววตาของเขาดูจริงใจและอบอุ่น ราวกับว่าเปลือกหอยที่ปิดสนิทอยู่ตลอดเวลาได้เปิดออก ไข่มุกที่อยู่ข้างในจึงสาดแสงออกมาโดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้นได้
ขณะนั้นหัวใจของเซียวอี้ฉือก็แน่นตึงขึ้นมาทันใด ไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่ามุมมองความรักของอวี๋จือเหนียนจะคล้ายกับเขาได้ขนาดนี้
ถ้าอายุสักสิบกว่ายี่สิบแล้วมีมุมมองแบบนี้ก็คงไม่แปลก แต่ในวัยที่ผ่านสิ่งต่างๆ มามากมายนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่มองความรักในลักษณะนี้ ทั้งยังเป็นผู้ลากมากดีอย่างอวี๋จือเหนียนที่จมอยู่ในวงจรของอำนาจ ชื่อเสียง และเงินทองมานาน
เขารู้สึกเหมือนได้เห็นดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ท่ามกลางโลกของปุถุชนที่เต็มไปด้วยงานเลี้ยงรื่นเริง
เซียวอี้ฉือคีบบุหรี่ไว้ระหว่างสองนิ้ว เงยศีรษะขึ้น และพ่นควันออกมา
เพียงแต่เขาไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่งดงาม ไม่คู่ควรที่จะเข้าใกล้…
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีวันที่ยกเรื่อง ‘รูปลักษณ์ภายนอก’ เข้าไปถึงระดับจิตใต้สำนึกและครุ่นคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับมัน
บางทีนี่อาจจะเป็นยุคของการปรุงแต่งอย่างพิถีพิถันก็ได้ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือไปกี่เล่มหรือเดินไปกี่เส้นทาง สุดท้ายแล้วทั้งหมดนั้นก็ล้วนต้องได้รับการปรับแต่งและแสดงออกมาบนใบหน้า เพื่อให้คนอื่นมองเห็นและตัดสินคุณค่าของเราได้ตั้งแต่แวบแรก
เขารั้งท้ายคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ริมทาง จนกระทั่งเสียงแตรดังขึ้นและดึงสติเขากลับมา
เยี่ยจ้าวหลินลดกระจกเบาะหลังลง เผยให้เห็นใบหน้าของเขา “ทำไมนายยังอยู่ที่นี่ล่ะ”
อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ และอาจเป็นเพราะดื่มมากเกินไปก็เลยไม่สบายท้อง อวี๋จือเหนียนไม่มีกะจิตกะใจจะขับรถ จึงพูดว่า “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ ขอนั่งรถนายก็แล้วกัน”
“ได้ ฉันจะให้คนขับรถนายกลับไปให้”
อวี๋จือเหนียนเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง “โอเค ขอบคุณมาก”
เยี่ยจ้าวหลินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ต้องเกรงใจ ฉันยังต้องรบกวนฟางต๋าให้ทำข้อตกลงก่อนแต่งงานของฉันให้ดีที่สุดอยู่น่ะ”
อวี๋จือเหนียนตอบกลับ “วางใจเถอะ ถ้านายให้ผลประโยชน์กับฉันมากพอ ฉันก็จะทำงานหนักเป็นการตอบแทน”
“ฮ่าๆๆ! ฉันชอบความปากจัดของนายจริงๆ!”
อวี๋จือเหนียนกลับถึงบ้านของตัวเอง แสงไฟค่อยๆ สว่างขึ้นตามการก้าวเดินของเขา
เขายืนอยู่ในห้องนั่งเล่น อาจเป็นเพราะไม่สบายท้องจึงไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะหยุดชื่นชมภาพวาดเหมือนอย่างที่เคยทำ
เขาเสียอาการมากไปหน่อยเมื่อตอนกลางวัน
เซียวอี้ฉือมีประสบการณ์ด้านความรักมากมาย พอได้ยินตัวเขาพูดแบบนี้แล้วอีกฝ่ายจะคิดว่าเขาเป็นเด็กน้อยหรือเปล่านะ
เขารู้สึกอยากแข่งขันกับอีกฝ่ายโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม และไม่อยากตกเป็นรอง
หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไป
อวี๋จือเหนียนนั่งอยู่ในห้องทำงานเพื่อทำงานล่วงเวลาในตอนกลางคืน ระหว่างพักก็บังเอิญกดเข้าไปในโมเมนต์* ของเซียวอี้ฉือ
เขาไปกินมื้อดึกเมื่อหลายวันก่อน วันนี้เป็นวันพักผ่อน เขาไปดูรถที่โชว์รูม คำบรรยายทั้งหมดล้วนมีคำว่า ‘ไปกับเพื่อน’
มีบางอย่างดลใจให้อวี๋จือเหนียนกดเข้าไปในโมเมนต์ของเว่ยป๋อเหิง แม้มุมถ่ายรูปจะต่างกัน แต่ว่าทั้งรูปถ่ายกับวันที่โพสต์กลับเหมือนกันทุกอย่าง
หึ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพัฒนาไปอย่างราบรื่นดีนะ
คุณป้าพานกลับบ้านเกิดไปช่วงหนึ่ง วันนี้เพิ่งจะกลับมา อวี๋จือเหนียนจึงไปรับเธอที่สนามบิน
คุณป้าพานมีช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขณะยื่นถุงของฝากให้อวี๋จือเหนียน
“เยอะจังเลย” อวี๋จือเหนียนรับของด้วยรอยยิ้ม เพราะเมื่อก่อนคุณป้าพานจะพยายามประหยัดเงินของอวี๋จือเหนียนที่หามาด้วยความลำบากและไม่ซื้ออะไรมากมายโดยไม่จำเป็น
“อ้อ ครึ่งหนึ่งนั่นสำหรับอี้ฉือน่ะ เขาชอบกินของอร่อยๆ ฉันก็เลยซื้อมาให้ วันไหนเธอก็ชวนเขามาที่บ้านแล้วค่อยให้เขาสิ?” คุณป้าพานวางแผนให้อวี๋จือเหนียนเสร็จสรรพ
“…” หลังจากอวี๋จือเหนียนช่วยพาคุณป้าขึ้นรถและจัดการกับของฝากเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปนั่งยังที่นั่งคนขับ สตาร์ตรถพลางพูดว่า “เดาว่าช่วงนี้เขาคงไม่ค่อยมีเวลาหรอกครับ”
“ทำไมเหรอ งานยุ่งมากเหรอ” คุณป้าพานสงสัย
“เขามีคู่เดตคนใหม่แล้ว น่าจะเข้ากันได้ดีเลย”
“…งั้นเหรอ” คุณป้าพานเงียบไปครู่หนึ่ง พยายามทำใจกับข่าวนี้ และในที่สุดเธอก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย “ก็นะ สมัยนี้จะคบใครก็เป็นเรื่องอิสระ ทุกคนมีสิทธิ์เลือกกันทั้งนั้น” เธอยิ้มอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอมีเวลาก็เอาไปให้เขาเถอะ ได้รู้จักกันนับว่าเป็นวาสนา”
“…ครับ”
ทันทีที่เซียวอี้ฉือออกจากโรงพยาบาลหลังจากตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงานเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณป้าม่าย เนื่องจากซานซานกำลังตั้งท้องลูกคนที่สอง คุณป้าม่ายจึงเดินทางไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อดูแลเธอสักพัก
“ท่านป้า มีอะไรรับสั่งขอรับ” เซียวอี้ฉือทักทายปลายสายด้วยรอยยิ้ม
“อี้ฉือเอ๊ย เธอมีคู่เดตคนใหม่แล้วเหรอ”
เซียวอี้ฉือหยุดอยู่ที่เกาะกลางถนน ตอนแรกเขากะว่าให้คุณป้าม่ายกลับมาก่อนแล้วค่อยบอก เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขั้นที่ต้องโทรไปบอกเธอโดยเฉพาะ
“อืม เพื่อนแนะนำน่ะครับ”
“เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ดีมากครับ เขาเป็นทนายเหมือนกัน แล้วก็ออกมาตั้งสำนักงานกฎหมายเอง”
“อ่อ งั้น…พวกเธอไปถึงไหนกันแล้ว”
“ก็เรื่อยๆ ครับ ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นทำความรู้จักกัน พอว่างก็นัดกันออกไปข้างนอก”
“ฟังดูดีนี่ ไว้ฉันกลับไปแล้วเธอค่อยเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังอีกทีนะ”
“ได้ครับ ตอนแรกผมก็คิดไว้แบบนั้น คุณป้าไปหาซานซานเป็นยังไงบ้างครับ”
ทั้งสองคุยกันสักพัก ในที่สุดคุณป้าม่ายก็วกกลับมาเรื่องความรักของเซียวอี้ฉืออีกครั้ง “อี้ฉือ เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกนะ ตั้งใจหาคนที่ดีกับเธอแล้วก็รักเธอซะ ฉันก็จะหาให้เธออีกสักสองสามคน เธอก็อย่ากดดันมากนัก ลองคุยกับคนในตอนนี้ดู”
“…ผมรู้แล้วครับ”
พวกเขาคุยต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็จบการสนทนา
ป้าม่ายน่าจะรู้มาจากป้าพาน ถ้าอย่างนั้นป้าพานรู้มาจากใครล่ะ…
จู่ๆ เซียวอี้ฉือก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จริงๆ แล้วเขาก็ไม่อะไรหรอกที่พวกป้าๆ ตื่นเต้นกับเรื่องของพวกเขามากขนาดนี้ บางทีอวี๋จือเหนียนอาจจะพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจก็ได้ ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกโกรธอย่างอธิบายไม่ถูก
เรื่องของฉัน นายมายุ่งxอะไรด้วย
เวลาต่อมาอวี๋จือเหนียนส่งข้อความให้เซียวอี้ฉือ
‘ป้าพานเพิ่งกลับมาจากบ้าน ซื้อของฝากมาให้นายด้วย นายว่างเมื่อไร ฉันจะได้เอาไปให้’
อย่างไรก็ตามข้อความถูกส่งไปสองวันแล้ว แต่เซียวอี้ฉือกลับไม่ตอบ
วันที่สามอวี๋จือเหนียนกลับถึงห้องทำงานหลังจากประชุมเสร็จ ลองเช็กดูอีกครั้งก็ยังไม่มีการตอบกลับ เขาโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
“หนานจิ่ง” เขากดอินเตอร์คอมบนโต๊ะ “เอาร่างข้อตกลงสิทธิการจำยอมของเมื่อวานเข้ามาหน่อย”
ไม่มีคำตอบจากปลายสาย
ดีมาก เจ้าเด็กคนนี้เดินเข้าไปในกับดักแล้ว
อวี๋จือเหนียนเดินออกจากห้องทำงาน เหลือบมองที่โต๊ะทำงานของหนานจิ่ง มันว่างเปล่า
เขาเดินเข้าไปในห้องชงชา
“…ได้ยินว่าแฟนเก่า…มาหาทนาย…”
“…แล้วก็ทะเลาะกัน…”
ในห้องชงชามีแต่ผู้ช่วยเต็มไปหมด คล้ายกำลังซุบซิบนินทาอะไรบางอย่าง
อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ที่ประตู ตั้งใจกระแอมกระไอให้ได้ยิน “เด็กๆ ทั้งหลาย ได้เวลาทำงานแล้ว”
เหล่าผู้ช่วยตกใจ ทันทีที่หันกลับมาก็ต่างมีสีหน้ารู้สึกผิดที่ถูกจับได้ “ทนายอวี๋ สวัสดีครับ” หลังจากทักทายจบก็แยกย้ายกันไปเหมือนนกกระจอกแตกรัง
หนานจิ่งเดินเข้าไปหาอวี๋จือเหนียนอย่างรวดเร็ว “หัวหน้าครับ ขอโทษด้วย พอดีว่าเมื่อกี้ผมได้ยินเรื่องซุบซิบ พอร่วมวงด้วยก็เลยเพลินไปหน่อย”
อวี๋จือเหนียนเหลือบมองเขา เจ้าเด็กคนนี้คิดจะเอาเรื่องนินทามาเบี่ยงเบนความสนใจของเขาสินะ
อวี๋จือเหนียนเดินกลับไปยังห้องทำงานพลางพูดกับหนานจิ่งที่อยู่ข้างหลังว่า “งั้นนายเล่ามาให้ฉันฟังหน่อย ฉันจะดูว่าเรื่องซุบซิบนี้ใหญ่พอที่ฉันจะไม่ไปฟ้องปู่ของนายหรือเปล่า”
หนานจิ่งขยับแว่น “ทนายเว่ยป๋อเหิงที่คุณเคยร่วมงานก่อนหน้านี้น่ะครับ ได้ยินว่าแฟนเก่าของเขามาหาเมื่อคืนแล้วก็ทะเลาะกัน ส่วนแฟนใหม่ของเขาก็เหมือนจะอยู่ด้วย จากนั้นก็ดูเหมือนจะทะเลาะกัน…”
อวี๋จือเหนียนหยุดเดินกะทันหัน หนานจิ่งหยุดไม่ทันจึงชนหลังของเขาอย่างจัง “หัวหน้า?”
“ทะเลาะกันเหรอ หมายถึงแฟนเก่ากับแฟนใหม่น่ะเหรอ” อวี๋จือเหนียนขมวดคิ้ว
หนานจิ่งลูบๆ จมูกที่ถูกชน “เขาลือกันแบบนั้นครับ สุดท้ายแล้วเรื่องเมื่อคืนก็เกิดขึ้นหลังเลิกงาน มีคนเห็นแค่ไม่กี่คน อีกอย่างคนที่ทำงานที่นั่นต่างมองว่าตัวเองมีเกียรติกันทั้งนั้น ต่อให้เห็นเรื่องไม่งามก็คงจะไม่เอามือถือออกมาถ่ายทันที ตอนนั้นดูเหมือนว่า รปภ. ก็ตกใจเหมือนกัน แต่พวกเราก็แค่ได้ยินมาอีกทีน่ะครับ”
เซียวอี้ฉือ หวังว่านายจะไม่ใช่หนึ่งในคนที่อยู่ในข่าวลือนี้หรอกนะ
อวี๋จือเหนียนมอบหมายภารกิจให้หนานจิ่ง “นายไปสืบความจริงของข่าวลือนี้แล้วมาบอกฉัน”
หนานจิ่งกะพริบตาปริบๆ รู้สึกประหลาดใจกับความรู้สึกไม่คุ้นเคยนี้มาก
อวี๋จือเหนียนเตือนสติเขา “ยังไม่ไปอีก?”
หนานจิ่งยังไม่ลืมสิ่งที่อวี๋จือเหนียนพูดกับเขาเมื่อครู่ “งั้นก็หมายความว่าเรื่องซุบซิบนี้ใหญ่มากพอใช่ไหมครับ หัวหน้าจะไม่ฟ้องคุณปู่ของผมใช่ไหม”
“นายสืบความจริงมาก่อน แล้วฉันจะบอกนาย” เขาไม่ปล่อยให้เด็กน้อยน่าสงสารมีความสุขเลย
หนานจิ่งดำเนินการทันที
ความจริงของข่าวซุบซิบคือแฟนเก่าของเว่ยป๋อเหิงมาคุกคามเว่ยป๋อเหิงที่สำนักงานกฎหมายของเขา เดิมทีเซียวอี้ฉือนัดอีกฝ่ายให้มาเจอกันที่ชั้นล่าง แต่เพราะไม่มาสักทีเซียวอี้ฉือก็เลยขึ้นไปหา ขณะนั้นเว่ยป๋อเหิงกำลังโต้เถียงกับแฟนเก่า เซียวอี้ฉือก็เข้าไปยืนขวางเอาไว้ แฟนเก่าเว่ยป๋อเหิงต้องการผลักเซียวอี้ฉือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่กลับถูกเซียวอี้ฉือกดหลังลงไปกับโต๊ะ
“คุณชายท่านนี้ มีมารยาทหน่อยได้ไหม” เซียวอี้ฉือเตือนเขา
“ปล่อยฉัน!”
มีคนแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว “มีอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น”
เว่ยป๋อเหิงเห็นแบบนี้ก็รีบพูดว่า “อี้ฉือ ปล่อยเขาเถอะ ไม่คุ้มหรอก”
เซียวอี้ฉือปล่อยตัวแฟนเก่าเว่ยป๋อเหิง เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าเรื่องราวบานปลายใหญ่โตก็มองเว่ยป๋อเหิงอย่างขุ่นเคืองแล้วจากไป
ละครจบลงอย่างกะทันหัน แผนการที่จะไปดูหนังในตอนแรกก็หยุดชะงักไปด้วย
สุดท้ายพวกเขาก็ขับรถไปที่ริมหาด หลังจากฟังเสียงลมเสียงคลื่นสักพักเซียวอี้ฉือก็มองเว่ยป๋อเหิง แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “อารมณ์สงบลงบ้างหรือยัง”
เว่ยป๋อเหิงยิ้มให้เขา รอยยิ้มเจือคำขอโทษและความจนปัญญา “ขอโทษนะที่ลากนายเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้”
เซียวอี้ฉือไม่ได้คิดมาก ยังคงปลอบใจเขา “ไม่เป็นไร ฉันคิดว่ามันแปลกใหม่ดี”
“…ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความมาหาฉันตลอด อยากจะคืนดีกับฉัน แต่ฉันไม่สนใจ แถมยังย้ายที่อยู่ด้วย คิดไม่ถึงว่าเขาจะตามมาถึงสำนักงานกฎหมาย” เว่ยป๋อเหิงยิ้มอย่างขมขื่น “คิดว่าพรุ่งนี้ทั้งวงการทนายในย่านธุรกิจคงต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ”
พวกเขานั่งอยู่บนก้อนหินบนชายหาด เว่ยป๋อเหิงงอขาและพักคางไว้บนเข่า “ฉันตกหลุมรักคนแบบนี้ได้ยังไงนะ”
เซียวอี้ฉือมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าเหนือทะเล “…ตอนที่ฉันยังเด็ก เคยคิดว่าจะต้องชอบแค่คนที่สูงหล่อรวยเท่านั้น แต่อันที่จริงคนที่สูงหล่อรวยคือตัวเขาเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย และไม่ได้หมายความว่าคนแบบนั้นจะไม่ทำร้ายร่างกายนาย บางทีเวลาที่คนเราชอบใครสักคน ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเพอร์เฟ็กต์อะไรหรอก แต่เพราะผ่านช่วงเวลาที่พิเศษมาด้วยกันกับเขาต่างหาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่างกัน พูดง่ายๆ ก็คือนายมีช่วงเวลาที่ลืมไม่ลงระหว่างที่คบกับแฟนเก่าไหม”
“…มี” เว่ยป๋อเหิงเผยความรู้สึกที่แท้จริงของเขา “ก็เพราะว่ามี ตอนที่เขานอกใจฉันมันถึงยิ่งทำใจไม่ได้…หลังจากเลิกกันฉันไม่ได้บล็อกเขา…ตอนที่ออกไปเที่ยวกับนาย ฉันก็ตั้งใจถ่ายหลายๆ รูปแล้วโพสต์เป็นบางครั้ง ทำไมเขาถึงมีความสุขได้อยู่คนเดียวล่ะ ฉันอยากให้เขาเห็นว่าตอนนี้ฉันก็มีความสุขมากเหมือนกัน”
เซียวอี้ฉือถามเขา “นายอยากคืนดีกับเขาไหม”
“…ไม่รู้สิ ตอนนี้ฉันมีแต่เกลียดเขา” เว่ยป๋อเหิงอธิบายอย่างเศร้าสร้อย เอ่ยขอโทษเซียวอี้ฉืออีกครั้ง “ขอโทษนะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลอกใช้นาย นายตั้งใจหาคู่ชีวิต แต่ฉันกลับไม่จริงใจ แถมยังมีเรื่องส่วนตัวเยอะเกินไป ที่ต้าซานกังวลก็ถูกแล้ว”
เซียวอี้ฉือเอื้อมมือไปปัดผมของเว่ยป๋อเหิงที่ยุ่งเหยิงจากลมทะเลให้ “อย่าโทษตัวเองเลย บอกตามตรง ฉันไม่ได้คาดหวังความสัมพันธ์ที่ราบรื่นมากนักหรอก ความรักก็เหมือนลูกพลับที่ยิ่งหวานเมื่อโดนความเย็น บางครั้งก็ต้องรอ รอจนผ่านลมฝนและพายุกว่าจะสุกงอม พอมันสุกอีกหน่อยก็ค่อยเด็ดตอนที่มันใกล้สุกเต็มที่ ตอนที่น้ำหวานฉ่ำแทบจะทะลุผ่านเปลือกบางๆ นั่นน่ะ พอกัดเข้าไปแล้วนายจะรู้สึกหวานชื่นใจเลย”
เว่ยป๋อเหิงหัวเราะ “นี่เป็นการอุปมาที่น่าอร่อยมากจริงๆ”
“ฮ่าๆๆ! พูดมาถึงตรงนี้ฉันชักหิวซะแล้วสิ พวกเราไปหาอะไรกินกันไหม”
“เอาสิ”
หลังมื้อดึกเซียวอี้ฉือยืนส่งเว่ยป๋อเหิงกลับบ้าน ส่วนตัวเองก็เรียกรถกลับ เขาโทรหาต้าซานระหว่างอยู่บนรถ ให้อีกฝ่ายหาคนคุ้มกันเว่ยป๋อเหิงอย่างลับๆ
หลังจากที่ต้าซานเข้าใจสถานการณ์ก็ถามขึ้นว่า “…แล้วพวกนายสองคนยังพอมีหวังไหม”
เซียวอี้ฉือยักไหล่ “ขึ้นอยู่กับโชคชะตาล่ะมั้ง”
ไม่นานหนานจิ่งก็สืบที่มาที่ไปของเรื่องซุบซิบนินทาจนกระจ่าง
จังหวะการเคาะประตูของเขาเผยให้เห็นถึงความเร่งด่วน อวี๋จือเหนียนให้เขาเข้ามาแล้วพูดว่า “ว่ามา”
อวี๋จือเหนียนเซ็นเอกสารในขณะที่รอฟังรายงานไปด้วย
“หัวหน้าครับ ที่แท้แฟนคนปัจจุบันของทนายเว่ยก็คือเซียวอี้ฉือ คุณว่ามันบังเอิญไหมล่ะครับ?! ผมรู้แค่ว่าเขากลับเมืองจีนมาแล้ว แต่ไม่คิดว่าเขาจะอยู่เมืองเดียวกับเรา…”
“นายแน่ใจนะว่าตอนนี้พวกเขากำลังคบกัน” อวี๋จือเหนียนเงยหน้าขึ้นถามขัดจังหวะเขา
“เอ่อ” หนานจิ่งอึ้งไป “ผู้ช่วยของทนายเว่ยบอกว่าช่วงนี้นัดส่วนตัวของทนายเว่ยค่อนข้างเยอะ ผมก็แค่เดาไปตามเหตุผล…”
“อย่างนั้นก็แสดงว่าไม่มีหลักฐานยืนยัน ในฐานะทนายนายต้องระวังคำพูดหน่อย”
หนานจิ่งทบทวนตัวเอง “ขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว” เขาจำได้ว่าอวี๋จือเหนียนเคยขอให้เขาสืบเกี่ยวกับเซียวอี้ฉือจึงเอ่ยถาม “นักข่าวเซียวเป็นเป้าหมายความสนใจของลูกค้าท่านไหนหรือเปล่าครับ”
“ตอนนี้ฉันยังบอกนายไม่ได้”
หนานจิ่งได้แต่ยอมแพ้ “ครับ”
อวี๋จือเหนียนวางปากกาลง “กลับมาที่ประเด็นหลัก เรื่องมันเป็นไงมาไง”
“อ้อ” หนานจิ่งเล่าถึงสถานการณ์อย่างละเอียด สุดท้ายเขาก็เอา USB ออกมาวางไว้ตรงหน้าอวี๋จือเหนียน “ผมได้คลิปจากกล้องวงจรปิดในตอนนั้นมาด้วยครับ”
“ทำได้ไม่เลว ส่วนทางปู่ของนาย ฉันจะชมนายอย่างดีแน่นอน”
หนานจิ่งขยับแว่น สีหน้ามีความดีใจและความภาคภูมิใจเล็กน้อย “ขอบคุณครับหัวหน้า”
เขากำลังจะจากไป แต่อวี๋จือเหนียนเรียกเขาไว้ “ ‘ทำร้ายผู้อื่น’ กับ ‘ป้องกันตัวเอง’ ไม่เหมือนกัน ในเมื่อนายรู้ความจริงแล้ว หรือว่า…”
หนานจิ่งเข้าใจในทันที “นักข่าวเซียวเป็นไอดอลของผม แน่นอนว่าผมต้องปกป้องเขาและไขความจริงให้กระจ่างครับ”
พอหนานจิ่งออกไปอวี๋จือเหนียนก็คลิกเปิดไฟล์วิดีโอของกล้องวงจรปิดดู
หลังจากดูจบเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ประสบการณ์หลายปีในฐานะทนายทำให้เขาคุ้นเคยกับการวางแผนที่ไร้ข้อผิดพลาด เขากดหมายเลขหนึ่ง “สวัสดีครับ ผมอยากให้คุณส่งคนไปคุ้มกันคนคนหนึ่ง…เขาไม่ใช่คนสำคัญ เป็นอดีตนักข่าว และตอนนี้ก็เป็นอาจารย์ ช่วงนี้เขามีความขัดแย้งกับคนอื่นนิดหน่อย ‘ลูกค้า’ กังวลว่าเขาจะถูกแก้แค้น…ใช่ครับ ยิ่งเร็วยิ่งดี ครับ ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะส่งข้อมูลของเขาไปให้คุณ”
หลังเขาจบบทสนทนาไปไม่นาน โทรศัพท์มือถือก็มีข้อความใหม่เข้า
ในที่สุดเซียวอี้ฉือก็ตอบเขาแล้ว
ตอนที่เซียวอี้ฉือได้รับข้อความเรื่องของฝากจากอวี๋จือเหนียน เขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่นคือน้ำใจของคุณป้าพาน แต่เขาไม่อยากเจออวี๋จือเหนียนเลยจริงๆ
เดิมทีเขาตั้งใจจะตอบในวันถัดมา แต่พอเจอเรื่องที่เว่ยป๋อเหิงถูกแฟนเก่าคุกคามเขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
หลังจากที่เซียวอี้ฉือตอบข้อความและนัดเวลากับอวี๋จือเหนียนแล้ว จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่เว่ยป๋อเหิงบอกว่า ‘ทั้งวงการทนายในย่านธุรกิจคงต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ’ ขึ้นมาได้
ข่าวดีไม่ออกประตู แต่ข่าวร้ายแพร่พันลี้* โดยเฉพาะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ประเภทนี้จะถูกปรุงเสริมเติมแต่งจนกลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทาได้ง่ายมาก
ไม่ใช่ว่าอวี๋จือเหนียนก็รู้แล้วนะ เซียวอี้ฉือครุ่นคิด ทนายอวี๋น่าจะไม่มีอารมณ์ใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ ถ้าอีกฝ่ายได้ยินเข้าก็คงจะทำให้ความประทับใจที่มีต่อตัวเขาแย่ลงกว่าเดิมล่ะมั้ง
เซียวอี้ฉือส่ายหน้า ทำไมเขาถึงได้คิดเรื่องพวกนี้กันนะ
หลังอวี๋จือเหนียนทำงานล่วงเวลาเสร็จแล้วก็ขับรถไปที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้เขตชุมชนของเซียวอี้ฉือ
เซียวอี้ฉือเพิ่งจะให้อาหารแมวเสร็จ อวี๋จือเหนียนก็ปรากฏตัวแล้ว
“เอ้า ของฝาก” อวี๋จือเหนียนยื่นถุงออกมา
เซียวอี้ฉือรับไว้ “ขอบคุณ แล้วก็ฝากขอบคุณป้าพานแทนฉันด้วย”
การส่งมอบเสร็จสิ้น เดิมทีสามารถบอกลาได้แล้ว ทว่าอวี๋จือเหนียนกลับถามว่า “…ช่วงนี้กำลังยุ่งกับอะไรอยู่หรือเปล่า ไม่ค่อยตอบข้อความเลย”
เซียวอี้ฉือยิ้มเจื่อน “ขอโทษที กำลังยุ่งๆ อยู่น่ะ ก็เลยลืมตอบ”
อวี๋จือเหนียนรู้สึกว่าท่าทีของเซียวอี้ฉือไม่เหมือนเดิมตั้งแต่งานปาร์ตี้บนเรือยอชต์สิ้นสุดลง เป็นไปได้ไหมว่าตอนที่คุยโทรศัพท์ช่วงเย็นวันนั้นเขากับเว่ยป๋อเหิงจะตกลงความสัมพันธ์กันแล้ว
“…ช่วงนี้คุณกับทนายเว่ยไปถึงไหนกันแล้ว”
ไปถึงไหนกันแล้วเกี่ยวอะไรกับนายด้วย นายสนใจเหรอ หรือว่าอยากจะไปฟ้องป้าพานอีก
จู่ๆ ความโกรธก็ก่อตัวขึ้นในใจ เซียวอี้ฉือตอบว่า “ทนายอวี๋ ถ้านายมีเวลาที่จะสนใจฉันกับป๋อเหิง ทำไมนายไม่สนใจตัวเองแล้วเลิกเป็นโทรโข่งน้อยตลอดเวลาสักที”
อวี๋จือเหนียนหรี่ตา “…โทรโข่งน้อย?”
“เรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันจะเป็นคนบอกพวกคุณป้าเอง ไม่จำเป็นต้องผ่านนาย พูดตรงๆ หน่อยก็คือเรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับทนายอวี๋ ไม่ว่านายจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กรุณาหุบปากด้วย”
แสงไฟข้างถนนไม่สว่างมากนัก แสงส่องกระทบใบหน้าของทั้งคู่ ทำให้เกิดเป็นเงาและแสงสว่างสลับกันไปมา
อวี๋จือเหนียนสวนกลับ “…คุณวางใจเถอะ ผมเล่าเรื่องซุบซิบนินทาอย่าง ‘แฟนเก่าทะเลาะกับแฟนใหม่’ ให้ป้าพานฟังไม่ลงหรอก”
เยี่ยมไปเลย ตอนนี้นอกจากตัวเองจะหน้าตาดีไม่พอแล้ว เรื่องการวางตัวและจัดการเรื่องต่างๆ ก็ยังทำได้ไม่ดีด้วย
เซียวอี้ฉือหัวเราะเสียงดัง “ใช่สิ ขอโทษทีนะ นายคงรู้สึกขายหน้าแย่เลยที่เคยนัดบอดกับคนอย่างฉัน” เมื่อความโกรธสุดขีดสงบลงเขาก็ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ทำให้นายลำบากแล้ว”
“…” อวี๋จือเหนียนเม้มริมฝีปากพลางกำหมัดแน่น
ในสวนสาธารณะเล็กๆ มีเพียงเสียงแมลงร้อง ทำให้ดูเงียบสงบยิ่งขึ้น
เซียวอี้ฉือสรุป “…ทนายอวี๋ ต่อไปพวกเราก็อย่าติดต่อกันเลย ฉันจะหาข้อแก้ตัวกับพวกคุณป้าเอง ที่ผ่านมารบกวนแล้ว”
อวี๋จือเหนียนล้มป่วยเป็นไข้หวัดรุนแรง เขารู้สึกมึนงง แม้แต่เวลาพูดก็ยังลำบากมาก
เขาพยายามลุกขึ้นจากเตียงเพื่อโทรเรียกฝ่ายนิติบุคคลของเขตชุมชน โดยทางนั้นก็ตอบสนองด้วยการส่งคนมาดูแลเขาทันที
เมื่อคืนพอกลับมาเขาก็อาบน้ำเย็นตั้งแต่หัวจรดเท้า พยายามสงบความคิดและอารมณ์ที่สับสนวุ่นวาย
เขาแทบไม่เคยลาป่วยเลย เพราะว่ายุ่งจนไม่มีเวลาป่วย แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาอ่อนแรง ไม่เพียงเดินไม่ไหวเท่านั้น แม้แต่คิดก็ยังคิดอะไรไม่ออก ดังนั้นวันนี้ถึงได้หยุดพักอยู่บ้าน
เขาเกลียดการนอนอยู่บนเตียงและไม่สามารถใช้สมองคิดอะไรได้ เพราะเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้ตนเองถูกความรู้สึกในใจครอบงำเท่านั้น
โชคดีที่ผู้เชี่ยวชาญมาถึงทันเวลา วินิจฉัยและจ่ายยาให้เขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากกินยาแล้วเขาก็หลับสนิท
เมื่อตื่นขึ้นก็ไม่ได้รู้สึกปวดศีรษะขนาดนั้นแล้ว พยาบาลเข้ามาตรวจดูอาการของเขา บอกให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ต่อไป และเธอจะปลุกเขาอีกทีเมื่อถึงเวลากินยา
สมัยยังเป็นเด็กเวลาป่วยคุณป้าพานจะเฝ้าไข้อยู่ข้างเขาพลางลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน ถ้าเขาไม่ยอมกินยาเธอก็จะเกลี้ยกล่อมเขาด้วยเสียงแผ่วเบา รับปากคำขออันไม่มีเหตุผลและไร้สาระทั้งหมดของเขา
สิ่งที่ได้ผลไม่ได้มีแค่ยาเท่านั้น
แต่ตอนนี้คุณป้าพานอายุมากแล้ว เขาเองก็โตแล้ว จะทำแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว
“คุณอวี๋ คุณอยากกินอะไรหน่อยไหมคะ ฉันจะจัดให้” พยาบาลถามอย่างเอาใจใส่
อวี๋จือเหนียนส่ายหน้า “คุณไปทำงานเถอะ ผมขอนอนอีกหน่อย”
“ได้ค่ะ”
ในห้องอันกว้างใหญ่มีเขาเพียงคนเดียว
ภายในใจพลันรู้สึกว่างเปล่าโดดเดี่ยว
เขาเลิกผ้าห่มออก ลุกจากเตียง แล้วเดินไปที่ห้องแต่งตัว เขาเปิดกล่องใต้ตู้ ข้างในมีตุ๊กตาสนูปี้เก่าๆ ตัวหนึ่ง
นั่นคือของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่คุณป้าพานให้เขา ตอนที่ได้มาสนูปี้ตัวนี้สูงถึงครึ่งตัวเขา แต่ตอนนี้มันดูตัวเล็กและบอบบางลงมาก จนสามารถกอดไว้ในอ้อมแขนของเขาได้เท่านั้น
เขากลับไปที่เตียง แล้วกอดสนูปี้
เขามีพ่อแม่แต่ก็เหมือนไม่มี หนึ่งในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในวัยเด็กของเขาก็คือการที่ได้ดูคุณป้าพานซักสนูปี้…เธอถอดเสื้อของมันอย่างระมัดระวัง เช็ดตัวและหูยาวๆ ของมันอย่างพิถีพิถัน สุดท้ายก็ตากร่างเปลือยเปล่าของมันตรงระเบียง เขามองดูมันที่ยังคงยิ้มอย่างโง่เขลา
‘จือเหนียน สนูปี้ไม่ได้โง่นะ ไม่ว่าจะเจอกับอะไรมันก็จะยิ้มรับเสมอ นี่สิถึงเรียกว่าความฉลาด’
ป้าพาน น่าเสียดายที่ผมทำไม่ได้
เขากอดสนูปี้แน่น
เขาเพิ่งเจอเซียวอี้ฉือได้ไม่นานเอง ทั้งยังไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบคนรักสักหน่อย แต่กลับรู้สึกทรมานใจเหลือเกิน
* โมเมนต์วีแชต คือฟีเจอร์หนึ่งของแอพพลิเคชั่นวีแชต (WeChat) ที่ใช้แบ่งปันรูปภาพ วิดีโอ หรือข้อความต่างๆ กับผู้ติดต่อของตน มีลักษณะคล้ายกับ VOOM ของไลน์ (Line)
* ข่าวดีไม่ออกประตู แต่ข่าวร้ายแพร่พันลี้ เป็นสำนวน หมายถึงข่าวดีหรือเรื่องราวดีๆ มักจะไม่ได้รับความสนใจเท่ากับข่าวร้ายหรือเรื่องราวที่ไม่ดี
บทที่ 10
เว่ยป๋อเหิงนัดเซียวอี้ฉือออกมากินข้าวเย็น โดยเซียวอี้ฉือยืนกรานว่าจะไปหาเว่ยป๋อเหิงที่เขตชุมชนของอีกฝ่าย
“แฟนเก่าของนายยังติดต่อนายมาอยู่ไหม” เขาถามอีกฝ่ายทันทีที่เจอหน้า
“ฉันบล็อกเขาไปแล้ว”
“…หลังจากคืนนั้นพวกนายได้คุยกันดีๆ หรือเปล่า”
เว่ยป๋อเหิงถอนหายใจ “ฉันให้อภัยที่เขานอกใจไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีอะไรให้คุย”
“โอเค” เซียวอี้ฉือเข้าใจ และไม่ได้พูดอะไรมากอีก
เว่ยป๋อเหิงขอบคุณเขา “ขอบคุณที่วันนี้นายมานะ”
ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่มีรถ ตัวเขาเองก็ไปรับอีกฝ่ายได้ แต่เซียวอี้ฉือกลับไม่ยอมและเรียกรถมาหาเขาเอง พอได้เห็นการกระทำที่เกินความจำเป็นแต่เต็มไปด้วยความเอาใจใส่แบบนี้ก็ชวนให้รู้สึกสบายใจและซาบซึ้งใจอย่างมาก
เซียวอี้ฉือคาดเข็มขัดนิรภัย ยกมุมปากยิ้ม “ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันเป็นคนว่างงาน เดี๋ยวพอทำงานแล้วก็ทำอะไรตามใจไม่ได้แล้ว” เขานึกบางอย่างขึ้นมาได้ “…วงการทนายของพวกนายคงไม่ได้มีข่าวลืออะไรแปลกๆ หรอกใช่ไหม”
เว่ยป๋อเหิงสตาร์ตรถ “จะว่าไป ฉันก็นึกว่าจะมีข่าวลือแปลกๆ ที่ต้องรับมือซะอีก แต่สถานการณ์ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ทุกคนแค่เห็นใจที่ฉันคบคนผิด ไม่มีอะไรนอกจากนี้”
เซียวอี้ฉือวางใจ “อย่างนั้นก็ดีแล้ว”
หลังกินข้าวเสร็จเซียวอี้ฉือก็ส่งเว่ยป๋อเหิงที่ชั้นล่างก่อนทำท่าจะจากไป
เว่ยป๋อเหิงพูดก่อนที่เขาจะจากไปว่า “ถ้างั้น…ขึ้นไปนั่งที่บ้านฉันหน่อยไหม”
คำเชิญนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก
แต่ไม่ว่าจะมีความหมายแบบใด เซียวอี้ฉือเพียงยิ้มแล้วเอ่ย “นายดูสิว่าฉันไม่ได้เอาอะไรติดไม้ติดมือมาเลย มาบ้านนายครั้งแรกก็น่าจะมีของมาฝากหน่อยสิ ครั้งหน้าฉันเตรียมของแล้วค่อยมาดีกว่า”
เว่ยป๋อเหิงพยักหน้า “ก็ได้ งั้นนายก็กลับบ้านระวังด้วย”
“โอเค วางใจเถอะ”
เซียวอี้ฉือเดินออกมาจากเขตชุมชนของเว่ยป๋อเหิง และเดินมาถึงริมถนนใหญ่
เขาค่อนข้างแสดงได้ดีเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น
เซียวอี้ฉือล้วงซองบุหรี่ออกมา เคาะบุหรี่ออกมามวนหนึ่ง คาบไว้ที่ปาก จุดไฟ แล้วสูดเข้าไปทีหนึ่ง
เมื่อลับตาคนท่าทีของเขากลับห่อเหี่ยว
เขารู้สึกแย่มาก แม้จะดูไม่เป็นอะไรตอนที่อยู่กับอวี๋จือเหนียนในสวนสาธารณะเล็กๆ แต่ผลที่ตามมาหลังจากนั้นรุนแรงมาก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุการณ์นั้นเลย
ตอนนั้นสู้ทะเลาะกันใหญ่โตหรือชกกันให้สะใจไปเลยยังดีกว่า
แถมเขายังบอกว่าจะหาข้ออ้างกับพวกป้าๆ เอง…แต่ว่าข้ออ้างอะไรล่ะ มันหาได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน
ช่างเป็นการตัดขาดที่ยืดเยื้อและไม่เด็ดขาดเอาซะเลย
จู่ๆ ก็อยากดื่มขึ้นมา เซียวอี้ฉือจึงดับบุหรี่แล้วทิ้งลงถังขยะ เขาโบกมือเรียกแท็กซี่ พอขึ้นรถก็บอกกับคนขับว่า “คุณคนขับ รบกวนไปที่บาร์ที่คึกคักที่สุดในเมืองนี้หน่อยครับ”
อวี๋จือเหนียนฟื้นจากอาการไข้หวัดรุนแรงแล้ว
เขาเอาตุ๊กตาสนูปี้กลับเข้าไปในกล่องแล้วปิดฝา จากนั้นก็ใส่สูทผูกไทไปยืนอยู่หน้ากระจกแต่งตัว อืม สีหน้าไม่เลวเลย
เมื่อคนเราเจ็บป่วย อารมณ์ด้านลบจะเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงขั้นอ่อนไหวและเปราะบาง แต่เมื่อหายป่วยแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น
ทนายอวี๋พร้อมที่จะกลับไปทำงานอีกครั้งแล้ว
เขาแตกต่างจากคนน่าสงสารที่นอนซมอยู่บนเตียงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ในช่วงเย็นอวี๋จือเหนียนได้เชิญลูกน้องในทีมของเขาทุกคนไปกินข้าว เพื่อขอบคุณสำหรับการทำงานที่สมบูรณ์แบบระหว่างที่เขาป่วย
La Luna เป็นบาร์ที่ใหญ่และคึกคักที่สุดในเมือง…นอกจากนี้ยังเป็นบาร์ที่มีผู้คนหลากหลายมากที่สุดอีกด้วย
เซียวอี้ฉือดื่มและเต้นอย่างเต็มที่ท่ามกลางแสงเลเซอร์สีน้ำเงินแดงที่กะพริบสลับไปมาและเสียงเพลงที่ดังสนั่น
ไม่รู้ว่าเขาเต้นอยู่นานแค่ไหน เขากลับมาที่เคาน์เตอร์บาร์พร้อมกับเหงื่อท่วมตัว ก่อนหนุ่มน้อยแต่งตัวดีคนหนึ่งจะเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับแก้วเหล้า “พี่ชาย เมื่อกี้ผมมองพี่อยู่นานแล้ว คืนนี้มาสนุกด้วยกันไหมครับ”
ยาสูบ แอลกอฮอล์ กลิ่นน้ำหอม เหงื่อร้อนๆ และกลิ่นต่างๆ ที่ผสมผสานกันเหล่านี้กระตุ้นประสาทสัมผัส
เซียวอี้ฉือกดหน้าลงมองอีกฝ่ายพร้อมยิ้มน้อยๆ “หนุ่มน้อย นายไปหาคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนายเถอะ คืนนี้ลุงขอสนุกคนเดียวดีกว่า”
หนุ่มน้อยมีสีหน้าเสียดาย “งั้นดื่มให้ผมสักแก้วได้ไหม” อีกฝ่ายพูดพลางยื่นแก้วเหล้าของตัวเองให้เซียวอี้ฉือดื่ม
เซียวอี้ฉือโอบแขนรอบเอวหนุ่มน้อยแล้วพูดว่า “แม่ของฉันบอกฉันว่าอย่าดื่มเหล้าที่คนแปลกหน้ายื่นให้ ขอโทษด้วยนะ” พูดจบก็ปล่อยอีกฝ่ายแล้วเอียงศีรษะยิ้ม
หนุ่มคนนั้นงอนเล็กน้อย กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ก่อนจะพูดกับบาร์เทนเดอร์ว่า “ผสมค็อกเทล ‘คอสโมโพลิแทน’* ให้ลุงใหญ่สุดหล่อคนนี้สักแก้ว คิดเงินที่ผม”
บาร์เทนเดอร์รีบทำงานทันที
“ดูพี่กินให้หมดก่อนผมถึงจะไป” หนุ่มน้อยอาลัยอาวรณ์
“ได้” เซียวอี้ฉือยกแก้วเหล้าที่บาร์เทนเดอร์ยื่นให้เขาขึ้นมาและดื่มรวดเดียวหมด
หนุ่มน้อยปรบมือ ก่อนจะจากไปด้วยความเสียดาย
เซียวอี้ฉือกลับมาที่ฟลอร์เต้นรำ
หลังจากเต้นไปได้สักพักเซียวอี้ฉือก็รู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ…เขารู้สึกร้อนไปทั้งตัว จู่ๆ ก็หนักศีรษะ ความปรารถนาถูกปลุกเร้า
เขาเอามือข้างหนึ่งกุมหน้าผาก เดินผ่านฝูงชนอย่างรวดเร็วเพื่อหาทางออก ใครจะไปคิดว่ายังไม่ทันจะเจอทางออกจู่ๆ ก็มีคนจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาจากที่มืดเพื่อขวางเขา จากนั้นก็ปิดปากและลากเขาเข้าไปในทางเดินที่มืดมิด
ในขณะเดียวกันอวี๋จือเหนียนกับคนอื่นๆ กำลังจะไปกินมื้อดึกต่อที่ตลาดกลางคืน เวลานี้เองโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล?” อวี๋จือเหนียนเดินพลางรับสายพลาง
ฟังไปฟังมาเขาก็หยุดเดินกะทันหัน สีหน้าดูเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ “…เขาหายตัวไปที่บาร์เหรอ”
“บอดี้การ์ดกำลังตามหาอยู่ครับ ‘เขา’ น่าจะยังอยู่ในบาร์ พวกเราจะหาวิธีครับ สถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ พวกเราต้องรีบแจ้งทางทนายอวี๋ก่อน กรุณาอย่าเพิ่งแจ้งลูกค้านะครับ พวกเราจะจัดการตามความเหมาะสม…”
อวี๋จือเหนียนหลับตาแล้วสูดหายใจเข้าลึก “อยู่บาร์ไหน เอาช่องทางการติดต่อของบอดี้การ์ดมาให้ผมหน่อย”
หลังจากคุยเสร็จอวี๋จือเหนียนก็หมุนตัวมาเห็นหนานจิ่งพอดี เขาจึงโยนกระเป๋าสตางค์ของตัวเองไปให้ “เดี๋ยวนายใช้บัตรที่อยู่ในนั้นใบไหนก็ได้จ่ายบิลซะ ฉันมีเรื่องด่วน ขอตัวก่อนล่ะ”
หนานจิ่งเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเย็นชาดุจน้ำแข็งก็ไม่กล้าถามมาก “คุณต้องการให้ผมเรียกรถกรณีฉุกเฉินไหม”
อวี๋จือเหนียนเดินออกไปหลายก้าวแล้ว “ไม่ทันแล้ว”
ลิฟต์มาถึงพอดี เขาเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับกดโทรศัพท์ “เถ้าแก่หลินครับ ผมเองอวี๋จือเหนียน ตอนนี้ผมอยากจะรบกวนอะไรคุณหน่อย มีลูกค้าคนสำคัญหายตัวไปในบาร์ La Luna ของคุณครับ กรุณาติดต่อผู้จัดการให้ปิดทุกทางออกได้ไหมครับ พวกเราจะส่งคนเข้าไปค้น ไว้ผมจะเล่ารายละเอียดทีหลัง…ครับ ได้ครับ ขอบคุณครับ!”
เมื่อมาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดินเขาก็ก้าวออกมาจากลิฟต์ เดินไปที่รถอย่างรวดเร็ว
เซียวอี้ฉือรู้สึกว่าโลกกำลังพลิกหมุน แต่เขายังคงมีสติและพยายามดิ้นรน
“อยู่นิ่งๆ หน่อย!” คนที่ปิดปากเขาหมดความอดทนคำรามเสียงต่ำ นี่คือช่องโหว่ เซียวอี้ฉือใช้ข้อศอกโจมตีอีกฝ่าย จากนั้นก็หันหลังคว้าแขนของอีกฝ่ายแล้วทุ่มไปด้านหน้าซึ่งมีกำแพงกั้นอยู่พอดี ชายคนนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เซียวอี้ฉือกดใบหน้าชายคนนั้นเข้ากับกำแพงอย่างแรง ก่อนจะจิกผมของอีกฝ่าย ข่มความไม่สบายตัวเอาไว้ แล้วถามว่า “แกเป็นใคร!”
โดยไม่ทันตั้งตัวเซียวอี้ฉือถูกผู้สมรู้ร่วมคิดเตะลงไปกับพื้น ในศีรษะของเขาส่งเสียงวิ้งๆ
“นี่! ก็แค่ถ่ายรูปเปลือยเขากับคนอื่นบนเตียง อย่ารุนแรงเกินไปสิ!”
“เมื่อกี้นายไม่เห็นหรือไงว่าเจ้าเด็กนี่ดุแค่ไหน!”
เซียวอี้ฉือพยายามลุกขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ แต่ตนเองไม่มีแรงที่จะหันกลับไปมอง เขาแค่อยากจะหนีออกไปจากที่นี่ เขาพยุงร่างไว้กับกำแพงแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยความมึนงง
ร้อนจัง หิวน้ำมากด้วย อยากมีอะไรกับใครสักคนจัง
ทันใดนั้นก็มีคนมาประคองเขา เซียวอี้ฉือตอบโต้ด้วยหลังหมัดแต่กลับถูกสกัดไว้ได้ “คุณเซียว ผมมาช่วยคุณครับ จะมีคนรอคุณอยู่ทางนี้ มาเถอะครับ”
“ปล่อยฉัน!”
บ้าจริง เขาก็แค่มาดื่มมาเต้นเท่านั้น จะซวยอะไรขนาดนี้
อีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก เขาบังคับให้เซียวอี้ฉือไปอีกทางหนึ่ง
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก อากาศบริสุทธิ์ปะทะเข้ามา
“เซียวอี้ฉือ” มีคนเรียกเขา
อวี๋จือเหนียนรับเซียวอี้ฉือมาจากมือของบอดี้การ์ด
“ไปให้พ้น! อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!” เซียวอี้ฉือโจมตีไม่เลือกหน้า เขาแกว่งหมัดแต่อีกฝ่ายก็สกัดไว้ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็กุมข้อมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้
เขาต้องการจะชักมือกลับ แต่อวี๋จือเหนียนจับไว้แน่น ไม่ปล่อยให้ทำสำเร็จ
เซียวอี้ฉือและต้าซานฝึกกังฟูก็เพื่อป้องกันตัวเองในสถานการณ์อันตราย ขณะเดียวกันอวี๋จือเหนียนก็ฝึกกังฟูตั้งแต่เด็กเพื่อปกป้องไม่ให้ใบหน้าของตัวเองมีบาดแผล
“ดูเหมือนว่าเขาจะถูกวางยา…ปลุกเซ็กซ์ครับ” บอดี้การ์ดรายงาน
Sh*t
“นายไปขับรถมาที่นี่” อวี๋จือเหนียนหันไปสั่งบอดี้การ์ด
“ครับ” บอดี้การ์ดรีบจากไปทันที
เซียวอี้ฉือยังคงดิ้นรนอยู่
“ผมเอง อวี๋จือเหนียน!” อวี๋จือเหนียนมองเขาที่ใบหน้าแดงก่ำ “…ตอนนี้คุณเห็นผมชัดไหม”
เซียวอี้ฉือพยายามมอง เห็นเพียงเค้าโครงรางๆ เท่านั้น
อวี๋จือเหนียน?
อวี๋จือเหนียน
อวี๋จือเหนียน…
ด้วยฤทธิ์ของยา จิตสำนึกของเซียวอี้ฉือถูกสัญชาตญาณครอบงำอย่างสมบูรณ์ เขาอ่อนยวบลง อวี๋จือเหนียนจึงปล่อยเขา ทว่าทันใดนั้นเขาก็ผลักอวี๋จือเหนียนไปที่ผนังขรุขระของตรอกและบดจูบอย่างดุเดือด
อวี๋จือเหนียนตกใจจนริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อย ลิ้นของอีกฝ่ายจึงบุกทะลวงเข้ามาทันที
จูบนี้ทั้งดิบเถื่อนทั้งโหดร้าย ราวกับต้องการสูบออกซิเจนในปอดของเขาไปจนหมด
อวี๋จือเหนียนเกือบลืมขัดขืน เมื่อเริ่มหายใจลำบากเขาก็คว้าไหล่ของเซียวอี้ฉือแน่นและผลักอีกฝ่ายออกไป “คุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร!”
เซียวอี้ฉือมองเขา ในดวงตาเหมือนจะมีเขาแต่ก็เหมือนไม่มี สายตาของเซียวอี้ฉือหยาดเยิ้ม ริมฝีปากยังคงชุ่มไปด้วยน้ำ อีกฝ่ายดูมึนงง ขยับเข้ามาใกล้คอของอวี๋จือเหนียน แล้วสูดดมอย่างแรง “ตัวนายหอมจัง…”
อวี๋จือเหนียนเบือนหน้าหนี “คุณ…”
ยังไม่ทันพูดจบเซียวอี้ฉือก็พุ่งใส่เขาอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มโอบแขนรอบคอของอวี๋จือเหนียน สอดนิ้วเข้าไปในผมของเขา แล้วจูบเขาอย่างดูดดื่มพร้อมกับบดเบียดร่างกายของตัวเองกับร่างเขาแนบแน่น
เมื่ออวี๋จือเหนียนใช้ฟันขบกัด เซียวอี้ฉือก็ผละออกด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลตรงมุมปาก
อวี๋จือเหนียนเอื้อมมือออกไป ใช้หัวแม่มือเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของอีกฝ่าย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เซียวอี้ฉือ ผมคืออวี๋จือเหนียนนะ”
เซียวอี้ฉือกลับคว้ามือของเขาไว้ แล้วดึงมันไปไว้ที่เป้าของตัวเอง
ไฟหน้ารถกะพริบ บอดี้การ์ดขับรถมาถึงแล้ว
อวี๋จือเหนียนดึงมือกลับทันที แล้วใช้กำลังบังคับให้อีกฝ่ายเดินไปยังที่นั่งด้านหลัง
บอดี้การ์ดรีบเปิดประตูรถ อวี๋จือเหนียนป้องศีรษะของเซียวอี้ฉือขณะผลักเขาเข้าไปในรถ จากนั้นตัวเองก็เข้าไปนั่ง
บอดี้การ์ดวกกลับไปยังเบาะคนขับ “คุณอวี๋ครับ ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกันครับ”
อวี๋จือเหนียนยังไม่ทันเอ่ยปากเซียวอี้ฉือก็เข้ามานัวเนียอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งคร่อมอยู่บนตัวอวี๋จือเหนียน สองมือประคองใบหน้าอวี๋จือเหนียนแล้วจูบ
จูบนั้นเจือด้วยกลิ่นคาวเลือด ก่อนที่อวี๋จือเหนียนจะผลักเขาออกไปก็รู้สึกว่าปากของตัวเองเจ็บแปล๊บขึ้นมา
เซียวอี้ฉือก็กัดเขาเหมือนกัน พวกเขาสบตากันอย่างใกล้ชิด ไฟแห่งความปรารถนาในดวงตาของเซียวอี้ฉือเริงระบำราวกับนักเต้นรำที่เย้ายวนใจ
“ของนายก็แข็งแล้วเหมือนกัน…” เซียวอี้ฉือพูดราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสา พร้อมเบียดร่างของตัวเองเข้าไปแนบชิดกับอกของอวี๋จือเหนียน แล้วกระซิบที่ข้างหู “จือเหนียน ฉันอยากร่วมรักกับนายจังเลย…”
จู่ๆ ท้องน้อยของอวี๋จือเหนียนก็หดเกร็ง เขาหลับตาแน่น เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็จัดการฟาดให้เซียวอี้ฉือหมดสติอย่างรวดเร็ว ดุดัน และแม่นยำ
เขาสั่งบอดี้การ์ดที่ไม่กล้าหันกลับมามองว่า “ไปโรงพยาบาล!”
เซียวอี้ฉือลืมตาขึ้นช้าๆ เขากะพริบตาปริบๆ ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
เขามองเพดานที่ดูคุ้นเคยเล็กน้อย
“คุณเซียว ฟื้นแล้วเหรอคะ” เซียวอี้ฉือหันไปก็เห็นพยาบาลยืนอยู่ข้างเตียง โดยมีเสาน้ำเกลืออยู่ข้างๆ
เขาจำได้แล้ว ที่นี่คือโรงพยาบาลเอกชนที่อวี๋จือเหนียนเคยพาเขามา
…แถมยังจำเหตุการณ์บ้าบิ่นเมื่อคืนนี้ได้ด้วย
เหมือนกับการเปิดหน้าต่างระหว่างพายุฝนแล้วลมฝนซัดกระหน่ำเข้ามา ชิ้นส่วนของความทรงจำกรูเข้ามาปะทะใบหน้าและร่างกายของเขา จนทำให้เขาหลบเลี่ยงไม่ทัน ทำได้เพียงเอามือปิดหน้าเท่านั้น
พยาบาลเห็นเขาเอามือขึ้นปิดหน้ากะทันหันก็เดินเข้าไปถามว่า “คุณเซียว ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ”
เซียวอี้ฉือสูดหายใจลึก ลดมือลง ส่ายหน้า ก่อนจะพูดอย่างอ่อนแรง “ไม่ได้เป็นอะไรครับ”
“คุณหมอกำลังมาแล้วค่ะ รอสักครู่นะคะ” พูดจบพยาบาลก็จากไป
จะไม่เป็นไรได้อย่างไร…
ความทรงจำที่กระจัดกระจายเพียงพอที่จะทำให้เขาตระหนักว่าเขาได้ทำอะไรบางอย่างกับอวี๋จือเหนียนเมื่อคืนนี้
เขายกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปาก สูดปากดัง “ซี้ด…” ออกมา
นอกจากจะเจ็บแล้วยังน่าอายและน่าหงุดหงิดอีก
เมื่อคืนเขาบังคับจูบอวี๋จือเหนียนจริงๆ แถมยังถูกอีกฝ่ายกัดด้วย
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตา
น่าอับอายขายหน้าจริงๆ
คุณหมอเคาะประตูแล้วเข้ามาตรวจอาการ ถามคำถามทั่วไปสองสามข้อ สุดท้ายก็บอกเขาว่า “คุณเซียว ตอนนี้คุณไม่เป็นอะไรแล้ว หลังจากรอสังเกตอาการอีกสองชั่วโมงก็กลับบ้านได้แล้วครับ”
“ขอบคุณครับ”
“ตอนที่ทนายอวี๋ออกไป เขาฝากให้หัวหน้าพยาบาลอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้ารับการรักษาของคุณให้ฟัง ตอนนี้หัวหน้าพยาบาลกำลังประชุมอยู่ เธอจะมาในอีกสักครู่นะครับ”
“…ครับ” ขณะคุณหมอกำลังจะหมุนตัวจากไปเซียวอี้ฉือก็ถามเขา “…ทนายอวี๋ไม่เป็นไรนะครับ?”
“วางใจได้เลยครับ เขาบาดเจ็บแค่เล็กน้อย อีกไม่นานก็หาย”
บาดเจ็บเล็กน้อย? นี่เขาคงไม่ได้ทำร้ายอีกฝ่ายด้วยหรอกมั้ง เซียวอี้ฉือรู้สึกปวดศีรษะ เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ
คุณหมอจากไปไม่นาน หัวหน้าพยาบาลก็เข้ามา
ทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนนั้นดีมาก หัวหน้าพยาบาลแจ้งว่าอวี๋จือเหนียนเป็นคนส่งตัวเขามารักษา หลังจากทำการรักษาฉุกเฉินแล้วคุณหมอก็เขียนรายละเอียดอาการบาดเจ็บของเขา จากนั้นตำรวจจึงส่งคนมาสอบถามสถานการณ์และรวบรวมหลักฐาน
“ทนายอวี๋บอกกับทางตำรวจว่าจะพาคุณไปบันทึกคำให้การหลังจากยืนยันว่าสภาพร่างกายกับสภาพจิตใจของคุณเป็นปกติดีแล้ว เขาให้ฉันแจ้งคุณหลังจากที่คุณตื่นค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“แต่ทนายอวี๋งานยุ่งก็เลยขอตัวกลับก่อน ยังไงตอนคุณออกจากโรงพยาบาลจะให้พวกเราเรียกรถให้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เซียวอี้ฉือลุกขึ้นนั่ง “ผมไปเองก็ได้”
“โอเคค่ะ เสื้อผ้า กระเป๋าสตางค์ แล้วก็โทรศัพท์ทั้งหมดอยู่ในลิ้นชักนะคะ” หัวหน้าพยาบาลเปิดลิ้นชักที่หัวเตียงให้เขาดู
“รบกวนพวกคุณแล้ว”
“ยินดีค่ะ คุณพักผ่อนอีกสักหน่อยไหมคะ ถ้ามีอะไรก็กดออดเรียกได้เลยค่ะ”
เซียวอี้ฉือพยักหน้า
หลังจากหัวหน้าพยาบาลออกไปแล้วเซียวอี้ฉือก็หยิบเสื้อผ้าของเขาออกมา มันมีกลิ่นของแอลกอฮอล์และเหงื่อปนกัน
ให้ตายเถอะ เมื่อคืนเขาเสียมารยาทไปมากแค่ไหนกันนะ…นอกจากจะใช้กำลังแล้วยังตัวเหม็นด้วย
แม้แต่คนที่ไร้ยางอายอย่างเซียวอี้ฉือก็ยังอยากขุดหลุมฝังตัวเองเพื่อให้ปัญหาทั้งหมดนี้หายไป
คิดว่าอวี๋จือเหนียนคงจะเกลียดเขามากแน่ๆ
ตัวเขาเองก็ไม่ใช่สเป็กของอวี๋จือเหนียนอยู่แล้ว แถมอีกฝ่ายยังโดนเอาเปรียบอีก แต่ก็ยังอุตส่าห์พาเขามาส่งที่โรงพยาบาล หนำซ้ำอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายก็เป็นฝีมือของตัวเขา
ก่อนหน้านี้เขาเป็นฝ่ายพูดกับอวี๋จือเหนียนอย่างเต็มปากเต็มคำเองแท้ๆ ว่าจะไม่ติดต่อกันอีก แต่ทำไมถึงเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ได้นะ
เวลานี้เซียวอี้ฉือจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมา…ทำไมเขาถึงถูกวางยา แล้วทำไมอวี๋จือเหนียนต้องมาช่วยเขาด้วย
คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ค่อยทำความเข้าใจตอนที่บันทึกคำให้การก็แล้วกัน
เซียวอี้ฉือเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้า เมื่อเขาส่องกระจกก็รู้สึกตกใจมาก หน้าตาอิดโรยก็ช่างไปเถอะ แต่ถึงแผลที่ริมฝีปากล่างจะได้รับการรักษาแล้ว อาการอักเสบก็ยังไม่ทุเลาลง แถมยังบวมเป่งเหมือนไส้กรอกอีก!
อวี๋จือเหนียนขัดขืนเขามากแค่ไหนกันนะ…เซียวอี้ฉือรู้สึกเกลียดตัวเองอีกครั้ง
เซียวอี้ฉือสวมหน้ากากอนามัยออกจากโรงพยาบาลโดยได้ยารักษาอาการบาดเจ็บตรงเอวกลับมาด้วย
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ลังเลว่าควรจะส่งข้อความให้อวี๋จือเหนียนดีหรือเปล่า
อย่างน้อยก็ควรกล่าวขอบคุณ
แล้ววันหลังค่อยขอโทษอีกที
ก็ดีเหมือนกัน เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง คิดว่าต่อไปอวี๋จือเหนียนคงไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว
แบบนี้พวกป้าๆ ก็คงจะเลิกพูดถึงไปเอง
เซียวอี้ฉือพิมพ์ลงในกล่องข้อความ
‘ฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว ขอบคุณนายมาก ฉันยังพอจำเรื่องเมื่อคืนนี้ได้บ้าง ฉันต้องขอโทษจริงๆ สำหรับสิ่งที่ฉันทำกับนาย ได้ยินมาว่านายได้รับบาดเจ็บด้วย ถ้าเป็นความผิดของฉัน ฉันก็ขอโทษมากๆ’
เมื่อยืนยันแล้วว่าข้อความไม่มีปัญหาเขาก็กดส่ง
โทรศัพท์ของอวี๋จือเหนียนดังขึ้นพร้อมกับข้อความแจ้งเตือน
เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ยังมีผ้าขนหนูพันไว้รอบเอว เช็ดผมพลางเปิดดูข้อความ
จากนั้นอวี๋จือเหนียนก็หยุดเช็ดผม
เขารู้ดีว่าเซียวอี้ฉือคงจะจำส่วนที่สำคัญที่สุดไม่ได้
อีกฝ่ายถูกวางยาปลุกเซ็กซ์ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรล้วนไม่ได้มาจากความต้องการที่แท้จริง แบบนั้นมันไม่นับ
อวี๋จือเหนียนแตะแผลบนปากเบาๆ มันยังเจ็บอยู่นิดหน่อย ดูเหมือนวันนี้เขายังต้องใส่หน้ากากอนามัยต่อไป
เมื่อคืนเขาส่งเซียวอี้ฉือไปโรงพยาบาล ในแง่หนึ่งเขากังวลเกี่ยวกับส่วนผสมของยา อีกแง่หนึ่งเขาต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญออกใบรับรองที่น่าเชื่อถือเพื่อยืนยันตัวตนของเซียวอี้ฉือในฐานะเหยื่อ…ใครก็ตามที่มีเจตนาไม่ดีจะได้ไม่สามารถหลบหนีได้แม้แต่คนเดียว
หลังจากที่คุณหมอยืนยันว่าเซียวอี้ฉือไม่มีปัญหาร้ายแรงแล้ว อวี๋จือเหนียนก็ทำการรักษาแผลที่ริมฝีปาก สวมหน้ากากอนามัย แล้วเดินทางกลับไปยัง La Luna อีกครั้งเพื่อช่วยตำรวจตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดและรวบรวมหลักฐาน
เขายุ่งอยู่จนฟ้าสางถึงได้กลับบ้านไปอาบน้ำ
ระหว่างนั้นทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่าเซียวอี้ฉือฟื้นแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ตอนนี้ก็ได้รับข้อความจากเซียวอี้ฉืออีก
ควรจะตอบอีกฝ่ายว่ายังไงดีนะ
เซียวอี้ฉือยังพอจำอะไรได้บ้าง อวี๋จือเหนียนไม่รู้จริงๆ ว่าเขาควรจะมีความสุขหรือควรจะเสียใจดี
เขาวางโทรศัพท์มือถือลง
ก่อนหน้านี้เซียวอี้ฉือลืมตอบข้อความเขา เขาก็จะทำแบบเดียวกันบ้าง
แต่มันกลับทรมานเซียวอี้ฉือ
หลังจากกลับมาบ้านเขาก็ถือโทรศัพท์ทั้งวันเพื่อรอรับข้อความ
อวี๋จือเหนียนอ่านข้อความหรือยังนะ หรือว่าอ่านแล้วไม่ตอบ หรือว่ายุ่งจนไม่มีเวลาอ่านจริงๆ เฮ้อ
เขาไม่มีใจจะทำอย่างอื่นเลย ได้แต่รออย่างห่อเหี่ยว
ในเวลานี้ความทรงจำเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
เขายังจำอะไรได้อีกนะ
เขาจำได้เพียงริมฝีปากอ่อนนุ่มและร่างกายที่แข็งแกร่งของอีกฝ่าย ท่ามกลางความมึนงงนั้นเขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่กำลังแข็งตัวอยู่ตรงเป้าของอีกฝ่ายผ่านผ้า ซึ่งดูเหมือนว่าจะใหญ่มาก…
เซียวอี้ฉือส่ายหน้า นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่ มันไม่ใช่เวลาที่ความคิดของเขาจะวิ่งพล่านได้ เขาไม่สนใจความยินยอมของอีกฝ่ายเลย นี่ถือได้ว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ
ตอนนั้นตัวเขาคงดูน่าเกลียดมาก เหมือนลิงที่กำลังติดสัด
เขาก็ไม่ใช่คนงามที่น่ากินเสียหน่อย ท่าทางหิวโหยและใจร้อนของเขาคงน่ารังเกียจมากสินะ
ตอนบ่ายในที่สุดอวี๋จือเหนียนก็ตอบข้อความ บอกให้เซียวอี้ฉือรอที่ทางเข้าเขตชุมชน เขาจะมารับไปบันทึกคำให้การ
หลังจากอ่านข้อความแล้วเซียวอี้ฉือยังคงเซื่องซึมอยู่…อวี๋จือเหนียนไม่ได้ตอบรับคำขอโทษของเขาเลย
เขาสวมหน้ากากอนามัยยืนอยู่ข้างถนนพลางมองรถเบนซ์ของอวี๋จือเหนียนขับมาจอดตรงหน้า
อวี๋จือเหนียนก็สวมหน้ากากอนามัยเช่นกัน
ดีมาก มีหน้ากากอนามัยสองชั้นกั้นอยู่ จะได้เงียบตลอดทาง และไม่จำเป็นต้องเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายด้วย
เซียวอี้ฉือขึ้นรถ “…ขอบคุณนะ”
อวี๋จือเหนียนขานรับว่า “อืม” คำหนึ่ง
ในรถเงียบมาก มันเงียบจนทำให้เซียวอี้ฉือรู้สึกอึดอัด เขาหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง พยายามเปลี่ยนอารมณ์ของตัวเอง
โชคดีที่ไม่นานพวกเขาก็มาถึงที่หมาย
ลูกค้าของอวี๋จือเหนียนส่วนใหญ่เป็นพวกเศรษฐีและชนชั้นสูง ตัวเขาเองก็มีชื่อเสียงพอสมควร สถานีตำรวจจึงส่งคนออกมารับพวกเขาโดยเฉพาะ
ตำรวจได้จับกุมผู้ก่อเหตุหลายราย พร้อมทั้งชี้แจงสาเหตุและผลของคดี
เมื่อคืนที่ La Luna นอกจากเซียวอี้ฉือแล้ว แฟนเก่าของเว่ยป๋อเหิงก็อยู่ที่นั่นด้วย
เขาจำเซียวอี้ฉือได้ ตอนนั้นด้วยความทุกข์ใจที่เว่ยป๋อเหิงบล็อกเขา ด้วยความโกรธที่เห็นแฟนคนปัจจุบันของเว่ยป๋อเหิงออกมาเที่ยวอย่างสนุกสนาน ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และแรงยุยงจากเพื่อนเลวๆ เขาจึงวางแผนทำเรื่องตลกแบบนั้นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ…ต้องการจะถ่ายรูปเซียวอี้ฉือที่อยู่บนเตียงกับคนอื่นและบังคับให้อีกฝ่ายเลิกกับเว่ยป๋อเหิง
ถ้าคืนนั้นเซียวอี้ฉือตกลงที่จะสนุกกับหนุ่มน้อยคนนั้น พวกเขาก็คงไม่คิดวางยา แต่เซียวอี้ฉือปฏิเสธ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้แผนสำรอง ขอให้บาร์เทนเดอร์ที่ได้รับเงินล่วงหน้าแอบใส่ยาลงไป
หลังจากเซียวอี้ฉือดื่มยาเข้าไปพวกเขาก็ตั้งใจที่จะพาชายหนุ่มขึ้นรถ ปล่อยให้หนุ่มน้อยได้ขึ้นแสดงบนเวที ใครจะรู้ว่าผ่านไปได้แค่ครึ่งทางเซียวอี้ฉือไม่เพียงแต่ดิ้นรนเท่านั้น ยังมีเฉิงเหย่าจิน* โผล่มาทำร้ายพวกเขาด้วย จากนั้นตำรวจก็เข้ามาจับกุมพวกเขาโดยไม่ต้องใช้กำลังใดๆ
หลังเซียวอี้ฉือบันทึกคำให้การจบ อวี๋จือเหนียนก็ถามเขาว่า “…คู่กรณีเป็นแฟนเก่าของเว่ยป๋อเหิง คุณคิดจะเอายังไง”
“…ฉันขอคิดก่อนได้ไหม”
อวี๋จือเหนียนตอบว่า “ผมจะลองคุยกับตำรวจดู” จากนั้นเขาก็ไปหาผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง
ทันทีที่ออกมาจากสถานีตำรวจเซียวอี้ฉือก็ได้รับสายจากเว่ยป๋อเหิง
แฟนเก่าของเว่ยป๋อเหิงโทรไปหาเขาจากสถานีตำรวจแล้ว
รถของอวี๋จือเหนียนจอดอยู่ในสวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้เขตชุมชน เว่ยป๋อเหิงกำลังรอพวกเขาอยู่แล้ว
เมื่อเห็นเซียวอี้ฉือ เว่ยป๋อเหิงก็เดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “อี้ฉือ นายไม่เป็นไรนะ”
เซียวอี้ฉือพยักหน้า “ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
“ขอโทษนะ ฉันเป็นคนทำให้นายต้องเจอกับเรื่องแบบนี้” เว่ยป๋อเหิงรู้สึกผิดมาก
“ไม่ใช่ความผิดของนาย นายไม่ต้องขอโทษหรอก” เซียวอี้ฉือพูด
เว่ยป๋อเหิงถามอย่างระมัดระวัง “เรื่องแฟนเก่าฉัน…นายคิดจะเอายังไง”
อวี๋จือเหนียนจอดรถแล้วเดินออกไปรอห่างจากพวกเขาไม่กี่เมตร
“คนที่ทำชั่วไม่ควรได้รับการผ่อนปรน” คำพูดของเซียวอี้ฉือกระชับและตรงประเด็น
สีหน้าของเว่ยป๋อเหิงซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย “ฉันเข้าใจแล้ว เขาทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ”
“แต่ว่า…” เว่ยป๋อเหิงเลียริมฝีปาก พูดอย่างลำบากใจ “เขาคงสับสนไปชั่วครู่ บริษัทของเขาก็เพิ่งจะก้าวหน้า…อี้ฉือ ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันขอมันมากเกินไป เขาควรจะได้รับโทษ…แต่นายช่วย…อ่อนโยนกับเขากว่านี้ได้ไหม”
นี่หมายความว่าไม่ให้เซียวอี้ฉือเอาผิดที่ถูกอีกฝ่ายทำร้าย
ตอนนี้อวี๋จือเหนียนจึงก้าวไปข้างหน้า แล้วมาหยุดอยู่ข้างกายเซียวอี้ฉือ พูดพลางมองพวกเขา “คุยกันไปถึงไหนแล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเซียวอี้ฉือ อวี๋จือเหนียนถึงพูดกับเว่ยป๋อเหิงที่สีหน้าไม่ค่อยดีนักว่า “…ทนายเว่ย คุณก็เรียนกฎหมายมาเหมือนกันนะ”
เว่ยป๋อเหิงหน้าซีดพลางก้มหน้าลง
เซียวอี้ฉือเอ่ยปาก “ป๋อเหิง ขอโทษที ฉันทำไม่ได้ กฎหมายเป็นเส้นขีดพื้นฐานของศีลธรรม ฉันไม่อยากจะละเมิดมัน”
เว่ยป๋อเหิงได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น แต่ก็ดูเหมือนจะโล่งอกเช่นกัน “ฉันเข้าใจแล้ว…ขอโทษด้วยที่ทำให้นายลำบาก ฉันแค่พยายามขอความเห็นใจแทนเขา ถือว่าเป็นการชดเชยความสัมพันธ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” ก่อนจะจากไปเขาก็ขอโทษเซียวอี้ฉืออีกครั้ง “ฉันขอโทษ”
เซียวอี้ฉือส่ายหน้า
เพราะเซียวอี้ฉือสวมหน้ากากอนามัย อวี๋จือเหนียนจึงมองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “…ผมนึกว่าคุณจะไม่อยากเอาเรื่องเพราะเห็นแก่เขาซะอีก”
“ฉันเคยลังเล แต่ฉันจะให้เขาติดหนี้บุญคุณฉันทำไมล่ะ ตั้งแต่ที่เขาพูดคำว่า ‘แต่ว่า’ ออกมาเราก็ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ฉันไม่ชอบที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความสัมพันธ์ต้องยอมทนทุกข์อยู่ฝ่ายเดียว”
อวี๋จือเหนียนอยากจะถอดหน้ากากอนามัยเซียวอี้ฉือ อยากเห็นสีหน้าอีกฝ่ายตอนที่พูดประโยคนี้เหลือเกิน
เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลา “…ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน ยังต้องติดต่อกับทางตำรวจอีก”
“ทนายอวี๋” เซียวอี้ฉือมองเขา “ขอบคุณมาก แล้วก็…ขอโทษด้วย” ในดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณอย่างจริงใจ ความเสียใจ และคำขอโทษด้วยความระมัดระวัง “ต่อไป…พวกเราก็ไม่ควรจะติดต่อกันแล้วสินะ”
“…ใครจะรู้ว่าคุณจะไปก่อเรื่องอะไรจนผมบังเอิญไปเจอเข้าอีกล่ะ” อวี๋จือเหนียนเบือนหน้าหนีเงียบๆ “ครั้งนี้ที่ผมช่วยคุณก็เพราะอยู่ที่ La Luna พอดี”
“…” เซียวอี้ฉือก้มหัวลง
ทันใดนั้นอวี๋จือเหนียนก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาบีบแน่น รู้สึกไม่ชินกับท่าทีหดหู่ของอีกฝ่ายเลย
เขาไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไรจึงได้แต่พูดว่า “ผมไปก่อนนะ”
เซียวอี้ฉือเงยหน้าขึ้น แววตาของเขายังคงหม่นหมอง โบกมือให้อวี๋จือเหนียนพลางพูดว่า “…ทนายอวี๋ แล้วเจอกันนะ”
* คอสโมโพลิแทน (Cosmopolitan) คือค็อกเทลสีชมพูที่มีรสชาติหวานเปรี้ยว
* เฉิงเหย่าจิน ในที่นี้หมายถึงผู้ที่ขัดขวางเรื่องราวของผู้อื่น มาจากสำนวน ‘กลางทางมีเฉิงเหย่าจินโผล่ออกมา’ หมายถึงเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ทำให้เรื่องที่จะทำไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉิงเหย่าจินเป็นขุนพลในช่วงปลายราชวงศ์สุยที่มักจู่โจมศัตรูด้วยวิธีดักซุ่มกลางทาง
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.