ทดลองอ่าน เรื่อง I Can Do It ใครไม่ไหว ฉันลุยเอง! เล่ม 2
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : หมั่งสีโสว ซื่อเก้เหล้าก้าย
ผลงานเรื่อง : 我行让我来〔电竞〕 (Wo Xing Rang Wo Lai (Dian Jing))
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
45
เลนบนของเจี่ยนหรงทำลายป้อมทั้งหมดไปนานแล้ว หลังดันป้อมฝ่ายตรงข้ามไปสามป้อมเขาก็ไม่ได้ไปไหน ลู่ป๋อหยวนมาแกงค์เป็นระยะ ตอนนี้เหลือเพียงอินฮิบิเตอร์ อันเกลี้ยงโกร๋น
คงคงมองดูเจี่ยนหรงที่กำลังตีมินเนี่ยนของตัวเองไม่ไกลจากอินฮิบิเตอร์แล้วรู้สึกงุนงงทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
[ทั้งหมด] คงคง ฉันทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อ TTC หรือเปล่า
[ทั้งหมด] ดูการเล่นของฉันก็พอ สวัสดีปีใหม่
ตานี้จังเกิ้ลของทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้ไปดูแลเลนกลางและเลนล่าง แม้มิดเลนของฝ่ายเจี่ยนหรงจะเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่บอตเลนยังนับว่าราบรื่น ท็อปเลนกับจังเกิ้ลยิ่งได้เปรียบฝ่ายศัตรู ทำให้ต่อมาสู้ทีมไฟต์สบายอย่างยิ่ง
เพิ่งสู้ทีมไฟต์ไม่นาน เจี่ยนหรงก็ได้ยินเสียงขาเก้าอี้ขยับถ่ายทอดมาในหูฟัง ขณะที่ Evelynn ยืนนิ่งอยู่ข้างกายเขา
ลู่ป๋อหยวนดึงหมูแคระที่กำลังกัดสายสะพายกระเป๋าอุปกรณ์ต่อพ่วงของเขาออกเบาๆ งอนิ้วชี้เขกหัวหมู “อย่ากัด”
ลู่ป๋อหยวนวางกระเป๋าอุปกรณ์ต่อพ่วงไว้บนที่สูง ขณะกลับมานั่งที่เดิมฐานของศัตรูก็ถูกตีแตกพอดี หน้าจอมีคำว่า ‘Victory’ เด้งขึ้นมา
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวซ้ำไปซ้ำมาของเขา เจี่ยนหรงปิดหน้าต่างข้อมูล ถามเรื่อยเปื่อยว่า “ข้างคุณมีคนอยู่?”
ส่วนลู่ป๋อหยวนกดเปิดหน้าต่างข้อมูลตามความเคยชิน “ไม่ มีหมู”
ไม่กี่วินาทีเจี่ยนหรงถึงเข้าใจการเว้นวรรคของคำพูดนี้ “หมูตัวที่อยู่บนรูปโพรไฟล์ของคุณ?”
ลู่ป๋อหยวนส่งเสียงอืม “กำลังกัดสายสะพายกระเป๋าอุปกรณ์ต่อพ่วงฉันอยู่”
เจี่ยนหรงเคยเห็นคนเลี้ยงหมูเป็นสัตว์เลี้ยงจากในข่าว เลี้ยงไปเลี้ยงมาหนักถึงห้าร้อยจิน แถมคนที่หลงเล่ห์กลประเภทนี้ก็มีไม่น้อย
เจี่ยนหรงลังเลสองวินาที สุดท้ายยังคงถามอย่างอดไม่ได้ “มันจะไม่โตขึ้นใช่มั้ยครับ”
ลู่ป๋อหยวนยิ้มแล้วตอบว่า “สองปีที่ผ่านมาไม่เห็นโตขึ้นนะ…ถ้าไม่เหนือความคาดหมายก็คงไม่โตแล้ว”
หลังเกมจบลงผู้เล่นทั้งสิบคนจึงเข้าสู่ห้องพูดคุยผลการต่อสู้ ข้อความที่ส่งมาเวลานี้ทั้งสิบคนล้วนมองเห็นได้
อาจเพราะได้พบกับนักแข่งอาชีพและพิธีกรหญิงของสมาพันธ์ ผู้เล่นทั้งสิบคนเลยไม่มีใครออกจากห้อง
คงคง เทพลู่ นายกับ Soft ไปก่อนแล้วกัน ฉันรอพวกนายเข้าเกมแล้วค่อยจับคู่ แรงก์พวกเราใกล้กันเกินไปเจอกันได้ง่าย ฉันไม่อยากแจกแต้มอีกแล้ว TAT
คงคง ทำไมพวกนายยังไม่ไป…
คงคง หรือพวกนายเพ่งเล็งแต้มของฉัน
ดูการเล่นของฉันก็พอ ถ้านายเอาเวลาพูดพล่ามไปหาห้อง ตอนนี้คงได้เลือกแชมเปี้ยนแล้ว
คงคง …
เจี่ยนหรงไม่พิมพ์ตอบอีก และยังคงไม่ออกจากห้องพูดคุยผลการต่อสู้ เขาดูนาฬิกาแล้วถามว่า “สามโมงคุณต้องไปกินข้าวกับครอบครัวมั้ย”
“ไม่” ลู่ป๋อหยวนมองนาฬิกา ขณะนั้นข้อความจากพ่อเขาก็ขึ้นเต็มหน้าจอแล้ว “แต่ต้องลงไปข้างล่างเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนพ่อ”
เจี่ยนหรงพูดว่าโอเค
ลู่ป๋อหยวนกดปิดมือถือ “วันนี้วางแผนฝึกซ้อมในแคมป์?”
เจี่ยนหรงส่ายหน้า “เปล่าครับ ฝึกอีกแป๊บแล้วจะออกไปข้างนอก”
“อืม ตอนเย็นกินให้เยอะหน่อย ไม่ต้องประหยัดเงินให้พี่ติง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ลู่ป๋อหยวนหลุบตาดูคำว่า ‘พ่อ’ บนหมายเลขผู้ติดต่อก่อนพูดว่า “ไปแล้ว นายเล่นไปนะ”
เมื่อพบว่าลู่ป๋อหยวนออฟไลน์ไปแล้ว คงคงก็ส่งข้อความส่วนตัวถามเขาว่ายังอยากจะเปิดหูเปิดตากับการเล่นจังเกิ้ลที่แข็งแกร่งของตนเองหรือไม่
หลังผ่านการฝึกซ้อมมาสองเดือนกว่า เจี่ยนหรงคุ้นเคยกับการเล่นดูโอ้และจัดทีมแล้ว จึงเข้าห้องของคงคงโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
ขณะรอจับคู่ คงคงปิดไมโครโฟนสตรีมของตนชั่วคราวแล้วถามว่า “Soft นายมีปัญหาอะไรกับพี่ถังชิ่นใช่มั้ย”
เจี่ยนหรงกำลังถือมือถือดูรูปโพรไฟล์หมูของลู่ป๋อหยวนอยู่ พอได้ยินเช่นนั้นจึงชะงัก “ไม่มี ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”
“เมื่อกี้เธอเรียกนายในห้องพูดคุย นายไม่ตอบเธอเลย…”
“ไม่เห็นนะ” เจี่ยนหรงถามต่อ “เธอพูดว่าอะไร”
“บอกว่าให้นายเคลียร์ที่ในรายชื่อเพื่อนให้หน่อย” คงคงกระแอม “จากนั้นนายก็ออกไปแล้ว”
เจี่ยนหรงเปิดคำขอเพื่อนดูแวบหนึ่ง มีถังชิ่นจริงดังว่า
เขาลังเลสองวินาทีจึงกดตกลง
เสี่ยวถังเองก็อยาก Carry ดีจังเลย ฉันคิดว่านายจะรังเกียจที่ฉันกาก ไม่อยากรับแอดฉันซะอีก
ดูการเล่นของฉันก็พอ …ไม่หรอกครับ
เสี่ยวถังเองก็อยาก Carry ทำไมนายไม่กดกับเทพลู่แล้ว เขาเล่นตาเดียวก็ไปแล้วเหรอ
ดูการเล่นของฉันก็พอ อืม
เสี่ยวถังเองก็อยาก Carry งี้นี่เอง…ฉันคิดว่าเขาหลอกฉันว่ามีธุระซะอีก QAQ…ใช่แล้ว เมื่อกี้ตอนเลือกแชมเปี้ยนฉันไม่ได้ดูว่าไอดีนี้คือนาย เลยไม่ได้ยกเลนกลางให้ นายอย่าถือสาเลยนะ
ดูการเล่นของฉันก็พอ ไม่หรอกครับ
กดได้ตำแหน่งอะไรก็เล่นตำแหน่งนั้น นี่คือธรรมเนียม คนอื่นยอมแลกตำแหน่งก็ดีไป ไม่อยากแลกก็ไม่มีปัญหา เจี่ยนหรงไม่ค่อยถือสาจริงๆ
เพียงแต่พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้ถังชิ่นเปลี่ยนเป็นสกินคู่รักแบบเดียวกันโดยเฉพาะ เขาก็รู้สึก…ไม่ค่อยสบายตัว
ความชื่นชมที่ถังชิ่นมีต่อลู่ป๋อหยวนชัดเจนเหลือเกิน มองออกเลยว่าเธอไม่ได้มีความคิดที่จะปกปิด ทั้งยังเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา
เจี่ยนหรงเลือกแชมเปี้ยนโดยปราศจากสีหน้า คิดในใจว่าหรือเสี่ยวไป๋จะพูดถูกจริงๆ…ตนมีสิ่งที่เรียกว่าจิตใจของแฟนคลับ ดังนั้นจึงมีความคาดหวังต่อคู่ชีวิตของลู่ป๋อหยวนค่อนข้างสูง?
เสี่ยวถังเองก็อยาก Carry นายกดกับคงคงแล้วเหรอ
เจี่ยนหรงได้สติกลับมา ตอบอีกฝ่ายว่าอืม
เสี่ยวถังเองก็อยาก Carry โอเค แอดวีแชตนายได้ไหม ต่อไปมีอะไรเรื่องงานก็ติดต่อกันได้ทันที~
เจี่ยนหรงลังเลสองวินาทีแล้วจึงส่งไอดีวีแชตไป
สี่โมงเกมจบลงอีกหนึ่งตา เจี่ยนหรงถอดหูฟังออก บอกลาคงคงแล้วปิดคอมพิวเตอร์
เขากลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อนวม ก่อนออกจากประตูก็นึกขึ้นได้ว่าพี่ติงให้เขาพยายามทำตัวไม่เป็นจุดสนใจในที่สาธารณะ จึงย้อนกลับไปใส่ผ้าปิดปากอีกอย่าง
หลายวันมานี้เซี่ยงไฮ้อุณหภูมิลดลงอย่างรุนแรง ตอนนี้ใกล้พลบค่ำแล้วอุณหภูมิจึงยิ่งต่ำลง
ขณะเปิดประตูแคมป์ เจี่ยนหรงหวนนึกในสมองสองวินาที หลังแน่ใจว่าเสื้อตัวที่อยู่บนร่างคือเสื้อคลุมที่หนาที่สุด จากนั้นจึงดึงผ้าปิดปากขึ้นเล็กน้อยแล้วออกจากประตูไป
เขาเรียกรถไว้ล่วงหน้าแล้ว วันส่งท้ายปีเก่าแบบนี้การจองแท็กซี่ออนไลน์ต้องรอสิบนาทีกว่าจะมีคนรับรายการ
คนขับพูดติดสำเนียงต่างถิ่น อาจเพราะเป็นวันพิเศษ หลังเจี่ยนหรงขึ้นรถจึงพูดจ้อไม่หยุด “พ่อหนุ่ม วันส่งท้ายปีเก่าทำไมหนีออกมา ไม่ฉลองปีใหม่กับคนในครอบครัวเหรอ แถมยังไปที่ไกลขนาดนี้”
เสียงหัวเราะของคนขับฟังดูสดใส ขณะพูดปากก็พ่นควันสีขาวออกมาไม่ขาดสาย
ปกติเจี่ยนหรงเรียกรถแท็กซี่ล้วนอยู่ในโหมดใบ้ เขาจ้องบทกลอนคู่เล็กๆ ที่ห้อยอยู่บนกระจกมองหลัง ในที่สุดก็ได้กลิ่นอายของการฉลองปีใหม่ในวันนี้เล็กน้อยแล้ว
ผู้โดยสารที่คนขับรับมามีมากเหลือเกิน ย่อมรู้ว่าปกติคนที่แต่งตัวมิดชิดอย่างเจี่ยนหรงมักไม่ชอบพูดจา เขาเลยยื่นมือไปเพิ่มเสียงวิทยุ แล้วเสียงเพลงอันสุขสันต์รื่นเริงก็ถ่ายทอดออกมา คลอด้วยเสียงของเด็กหนุ่มที่เบาะหลัง
“ทำธุระนิดหน่อยครับ ทำเสร็จก็กลับไปแล้ว”
คนขับตกตะลึงก่อนหัวเราะอย่างกระตือรือร้นกว่าเดิม “ได้ งั้นพี่ชายจะเหยียบให้มิด”
หลังรถแล่นไปได้ครึ่งชั่วโมง เจี่ยนหรงก็กลับถึงย่านที่พักที่ตนอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้
ห้องชุดในย่านที่พักแห่งนี้คือสิ่งที่พ่อแม่เขาทิ้งไว้ให้ และคอมพิวเตอร์ในบ้านซึ่งมีองค์ประกอบธรรมดาๆ
การต้องเก็บสัมภาระกลับบ้านนั้นยุ่งยากเกินไป ตอนนั้นเจี่ยนหรงคิดอยู่ครึ่งนาทีก็ตัดสินใจเอาของไว้ที่แคมป์
เมื่อกลับถึงบ้านเจี่ยนหรงแกะพัสดุที่ได้รับจากนิติบุคคล ซ้ำยังค้นผ้าห่มและเสื้อที่ไม่ค่อยได้ใส่ซึ่งเคยเอาออกมาใช้ในฤดูหนาวปีที่แล้วของตนเองออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเดินออกประตูอย่างเร่งรีบ
เขากอดผ้าห่มรออยู่ที่ชั้นหนึ่งชั่วครู่ เพิ่งผ่านเวลาห้าโมงไปสองนาที แมวส้มที่คุ้นเคยก็ก้าวขาเดินเข้ามาในครรลองสายตาของเจี่ยนหรงอย่างสง่างาม
ท่าเดินของมันสูงส่งยิ่งนัก เพียงแต่ดูผอมกว่าตอนที่เจี่ยนหรงมองเห็นมันคราวก่อนมาก หน้าตาโศกเศร้ามองอย่างไรก็ไม่มีชีวิตชีวา
เจี่ยนหรงเดินเข้าไปอุ้มมันขึ้นมา ยัดเข้าไปในผ้าห่มในอ้อมอกตนเอง
บนร่างแมวส้มสกปรกมอมแมม มันอาจจำเจี่ยนหรงได้หรือไม่ แต่ก็เพราะว่าหนาวเกินไป สรุปแล้วมันไม่ได้ขัดขืนอะไร เพียงสะบัดหัวและร้องเมี้ยวยาวๆ ใส่เขา
“ไม่ต้องร้อง” น้ำเสียงของเจี่ยนหรงไม่เป็นมิตรเลยสักนิด เขาใช้ผ้าห่มเช็ดสิ่งสกปรกที่ติดบนหางแมวออกไป พาเข้าไปตรงบริเวณบันไดชั้นหนึ่งของย่านที่พัก วางมันไว้ด้านข้าง ย่อตัวลงฉีกอาหารแมวที่เพิ่งซื้อกลับมาแล้วเทลงไปเต็มชาม
แมวส้มร้องเมี้ยวใส่เขาอีกครั้ง จากนั้นก้มหน้ากินอย่างตะกละตะกลาม
มันกินเร็วมาก ไม่รู้ว่าหิวมากี่วันแล้ว เจี่ยนหรงมองดูอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นพึมพำกับตัวเอง “…ฉันคิดว่ามีคนป้อนข้าวแกซะอีก”
พักหนึ่ง เจี่ยนหรงนั่งบนขั้นบันไดแล้วเทน้ำให้มัน
“แมวโง่” เขานั่งเอามือยันบนหัวเข่า “เป็นแมวจรจอมเก๋าแท้ๆ ปีนี้ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
เขาตบหัวของแมวส้ม “เมื่อก่อนหยิ่งมากไม่ใช่เหรอ รังเกียจอาหารราคาถูกที่ฉันซื้อให้นาย แถมยังกินอย่างไม่เต็มใจ”
“หรือว่าอ้วนขึ้น ขี้เหร่ขึ้น คนอื่นถึงไม่ป้อนข้าวแก”
“บอกแกกี่รอบแล้ว ถ้าคนคนหนึ่ง…ถ้าแมวตัวหนึ่งอยากมีชีวิตอยู่ ต่อให้เงื่อนไขแย่แค่ไหนก็ต้องมีวิชาอย่างหนึ่ง แมวหลีฮวา* ตัวก่อนหน้านี้อ้อนเก่งขนาดนั้น พอเห็นคนก็เข้าไปถูไถ นายไม่เลียนแบบสักหน่อยล่ะ?”
“โง่จริงๆ”
ไม่นานเจ้าแมวส้มก็กินอาหารแมวชามหนึ่งหมดแล้ว เจี่ยนหรงถามว่า “นายเป็นหมูหรือแมวกันแน่” ไปพลางเติมให้มันอีกไปพลาง
แมวส้มกลับไม่กินต่อ แต่เดินเข้ามาหันหัวดันน่องของเขา
“…อ้อนฉันไปก็ไม่มีประโยชน์” เจี่ยนหรงพูด “ฉันเลี้ยงแกไม่ได้”
แมวส้มใช้หัวดันเขาต่อ
เจี่ยนหรงขมวดหว่างคิ้ว พักหนึ่งจึงยื่นมือไปลูบหัวมัน
เขานั่งอยู่ตรงทางเดินจนฟ้ามืด แมวส้มจึงหมุนตัวจากไปในที่สุด
เจี่ยนหรงเดินตามหลังมันไประยะหนึ่งจนพบเจอที่อยู่ปัจจุบันของมันแล้ว…ทางเดินห้องใต้ดินของย่านที่พักอาศัยข้างๆ
เจี่ยนหรงปูผ้าห่มให้มัน แถมยังเทอาหารแมวและน้ำให้เต็มชาม จากนั้นหันกายหมายผละไป
“เมี้ยว” แมวส้มร้องเรียก ก่อนเดินเข้ามาถูไถรองเท้าของเจี่ยนหรง
เจี่ยนหรงหลุบตามองดูมันหลายวินาที จากนั้นใช้รองเท้าถูมันกลับ
“พรุ่งนี้ฉันค่อยมาใหม่” เจี่ยนหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นายอยู่ที่นี่ให้ดีๆ…อย่าตายล่ะ”
โทรทัศน์กำลังฉายรายการส่งท้ายปีเก่าอยู่ ดาราชายรุ่นใหม่กำลังร้องเพลงเถียนมี่มี่ด้วยรอยยิ้มการค้า
ลู่ป๋อหยวนนั่งในท่าสบายๆ ต่างกับชายวัยกลางคนที่นั่งตัวตรงอยู่ตรงข้ามเขาอย่างสิ้นเชิง
“พอได้แล้ว” หญิงวัยกลางคนที่รวบผมยาวเอาไว้ถือผลไม้เดินออกมา เธอเหลือบมองสถานการณ์หมากรุกก่อนยิ้มพลางพูดว่า “เดินสู้ลูกชายไม่ได้ก็ยอมแพ้เถอะ มากินผลไม้ดีกว่า”
คุณพ่อลู่ขมวดคิ้ว “อะไรเรียกว่าเดินสู้ไม่ได้ นี่ผมกำลังคิดอยู่ คุณอย่าเพิ่งมารบกวนผม”
ลู่ป๋อหยวนปล่อยเสียงหัวเราะ “งั้นพ่อค่อยๆ คิด ผมจะไปกินผลไม้”
มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะดังไม่หยุด คุณแม่ลู่จึงถามว่า “ไม่ดูข้อความเหรอ”
ลู่ป๋อหยวนดูดเนื้อส้มพลางพูดอย่างเรียบง่าย “บางกลุ่มกำลังแจกอั่งเปา”
คุณแม่ลู่พยักหน้า “รับอั่งเปาของคนอื่นแล้วก็ต้องให้ไปบ้าง จำนวนเงินน่ะไม่เป็นไร แต่ยังไงก็ต้องมีความตั้งใจ”
ลู่ป๋อหยวนพูดว่าโอเคครับ
คุณแม่ลู่ดันจานผลไม้ไปเบื้องหน้าเขา “ไม่กี่วันก่อนแม่เห็นลูกเล่นเกม ทีมลูกมีหนุ่มน้อยเพิ่มเข้ามาใช่มั้ย คนที่ย้อมผมสีฟ้า”
“อืม”
“ดูเหมือนเขายังอายุไม่มาก”
ลู่ป๋อหยวนแย้มยิ้ม “สิบเจ็ดครับ”
คุณพ่อลู่แค่นเสียงอย่างเย็นชา “อายุยังน้อย ไม่ทำการทำงาน”
ผ่านไปไม่กี่วินาทียังเสริมอีกหนึ่งประโยค “เหมือนกับแกเลย!”
หลายปีขนาดนี้แล้ว ลู่ป๋อหยวนคร้านที่จะเถียงเรื่องเหล่านี้กับเขาอีก
“นี่ๆๆ!” คุณพ่อลู่พลันร้องเรียก “พ่อคิดได้แล้ว รีบมานี่!”
ลู่ป๋อหยวนกำลังจะหันหน้าไป แต่มือถือบนโต๊ะก็ดังขึ้นมาพอดี ซึ่งหมายเลขผู้ติดต่อคือพี่ติง
พอรับโทรศัพท์ อีกฝ่ายก็ถามอย่างรีบร้อนทันที “นายอยู่ไหน ตอนนี้สะดวกกลับมาหรือเปล่า ที่แคมป์เกิดเรื่อง!”
หลายนาทีผ่านไป คุณพ่อลู่รอจนหงุดหงิดแล้วเลยหันหน้ามาพูดว่า “ทำไมยังไม่มา…นั่นแกจะไปไหน!”
ลู่ป๋อหยวนสวมเสื้อคลุมเสร็จก็ดึงประตูใหญ่ออก พูดโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาว่า “ที่แคมป์มีเรื่องนิดหน่อย ผมต้องกลับไป”
วันส่งท้ายปีเก่า ถนนโล่ง
ลู่ป๋อหยวนขับรถชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดก็กลับถึงแคมป์ตอนห้าทุ่ม
แสงไฟในเขตบ้านพักสว่างไสว มีเพียงสองตึกตรงกลางที่มืดตึ๊ดตื๋อ
ลู่ป๋อหยวนลงจากรถอย่างเร่งรีบจนแม้แต่รถก็ไม่ได้ล็อก ผลักประตูเหล็กบานใหญ่หน้าบ้านพักออกอย่างรวดเร็ว
แวบเดียวเขาก็มองเห็นเจี่ยนหรงที่นั่งยองๆ หันหลังให้ตนพลางก้มหน้าเล่นมือถืออยู่บนพื้น
ท้องฟ้ามืดเหลือเกิน ผมสีฟ้าของเจี่ยนหรงถูกความมืดหนาหนักชั้นหนึ่งปกคลุม เขาไม่ได้ใส่ผ้าพันคอ ขณะก้มหัวเผยลำคออันขาวเรียวช่วงหนึ่งออกมา ไหล่ก็ไม่นับว่ากว้างมาก ร่างขดเป็นก้อน เหมือนนักเลงน้อยที่การเจริญเติบโตบกพร่องดักรอคนอยู่นอกประตูโรงเรียนมัธยมปลาย
ความรู้สึกคุ้นเคยอันประหลาดโถมเข้ามาในหัวสมองของลู่ป๋อหยวน เขาขมวดคิ้วเบาๆ ในใจแวบผ่านลักษณะตอนที่เจี่ยนหรงผมดำโดยไม่รู้ตัว เงาหลังกับเรือนร่างเล็กในความทรงจำของเขาซ้อนทับกัน
เจี่ยนหรงใส่หูฟังกำลังฟังเพลงอยู่ แอพพลิเคชั่นเล็กๆ พื้นหลังสีแดงบนหน้าจอเด้งขึ้นมา เมื่อมองเห็นจำนวนเงินด้านบนเจี่ยนหรงก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ กำลังจะส่งอีโมติคอน ‘ขอบคุณเถ้าแก่’ ก็รู้สึกว่าแสงตรงหน้ามืดลง
เขาตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองดูตามสัญชาตญาณ
ไฟถนนส่องอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม เงาที่ตกลงมาเกือบปกคลุมทั้งร่างของเจี่ยนหรงเอาไว้ ลู่ป๋อหยวนก้มมองเขาอยู่ ในดวงตาคล้ายใส่หิมะสีขาวกอบหนึ่งเอาไว้ ขณะหายใจมีหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่ง
เจี่ยนหรงตกตะลึง ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงค่อยร้องเรียกช้าๆ “…กัปตัน”
ลู่ป๋อหยวนไม่ได้ตอบ เพียงถามว่า “นั่งยองๆ ทำไม”
เจี่ยนหรงพูดด้วยความสัตย์จริง “กำลังแย่งอั่งเปา”
ลู่ป๋อหยวน “…”
เจี่ยนหรงได้สติกลับมาจึงลุกขึ้นทันที แล้วปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนร่าง “กลอนของแคมป์พัง เปิดไม่ออก ผมว่า…เหมือนถูกอะไรงัด ก็เลยโทรศัพท์หาพี่ติง”
พี่ติงบอกว่าจะเรียกคนมาทันที ให้เขาอย่าเข้าบ้านเป็นอันขาด
แต่เจี่ยนหรงคิดไม่ถึงว่าคนที่เรียกมาจะเป็นลู่ป๋อหยวน
เมื่อเห็นลู่ป๋อหยวนขมวดคิ้วไม่ส่งเสียง เจี่ยนหรงก็พูดว่า “ผมแจ้งตำรวจแล้ว เพิ่งแจ้งไป คงใกล้มาถึงแล้วครับ”
เนิ่นนานลู่ป๋อหยวนจึงส่งเสียงอืม “ไปรอในรถ”
รถของลู่ป๋อหยวนเป็นแบบ SUV ในรถกว้างขวางและเปิดฮีตเตอร์เอาไว้
เจี่ยนหรงยื่นมือไปตรงช่องเครื่องปรับอากาศ คิดจะเพิ่มความอบอุ่นสักหน่อย
“เจี่ยนหรง” ลู่ป๋อหยวนเรียก
เจี่ยนหรงรั้งมือกลับตามสัญชาตญาณ หันหน้ามองดูเขา “หืม?”
ลู่ป๋อหยวนกำลังตอบข้อความพี่ติง เขาถามโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าว่า “เมื่อก่อนพวกเราเคยเจอกัน?”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 22 ส.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.