X
    Categories: everYNights ยามดาราสิ้นสูญทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 2 บทที่ 14 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 2 

ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)

แปลโดย : Luna

ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การฆ่าตัวตาย การก่อการร้าย

ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก

มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้อรังและอาการป่วยทางจิต

 ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 14 อพาร์ตเมนต์ในวันวาน

 

ตลอดมาซ่าเอ้อ หยางเลือกทำหรือไม่ทำอะไร ส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เขามักจะปล่อยออร่าบุคลิกดุดันและกดดันเช่นนั้นออกมาตลอดเวลา จนทำให้ตัวตนเด่นจนน่าตกใจเสมอ ต่อให้เป็นการช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ทำให้เป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมได้ อีกทั้งไม่เคยให้ใครมีโอกาสเจรจาล่วงหน้า

เขาเป็นคนที่อยู่นอกแผนการ ยืนอยู่ในตำแหน่งผู้ชมเสมอ และตัดสินใจจากอารมณ์ในตอนนั้นว่าจะสอดมือหรือไม่ ฉะนั้นต่อให้เขาช่วยอีกแรงก็ไม่มีทางถูกเรียกว่าพาร์ตเนอร์ เพราะไม่มีพาร์ตเนอร์ไหนที่จะทำตามอำเภอใจขนาดนี้

แน่นอนยิ่งไม่มีทางถูกเรียกว่าผู้ช่วย เนื่องจากคำว่าผู้ช่วยมักจะแฝงนัยอยู่ใต้อาณัติเล็กน้อย

ใครก็ตามที่รู้จักนิสัยของซ่าเอ้อ หยางคงจินตนาการไม่ออกว่าเขาในฐานะ ‘ผู้ช่วย’ จะเป็นอย่างไร รวมถึงฉู่ซือด้วย

อันที่จริงเมื่อครู่นี้เองตอนที่เลอ แปนกำลังกระตือรือร้นจัดสรรภารกิจอย่างคล่องแคล่ว ความกังวลวูบหนึ่งผุดขึ้นในใจของฉู่ซือ เขาถึงขั้นคิดไว้แล้วว่าถ้าซ่าเอ้อ หยางไม่ยอมให้ความร่วมมือแล้วก่อกวนกะทันหัน ควรจะทำอย่างไรถึงจะยุติสถานการณ์ให้ราบรื่นได้

แผนการนี้ถึงขั้นไม่มีคำสมมติอย่างคำว่า ‘ถ้าหาก’ ด้วยซ้ำ

ฉะนั้นเมื่อซ่าเอ้อ หยางทำภารกิจกับเขาด้วยดีในฐานะ ‘ผู้ช่วย’ คนหนึ่งอย่างสงบเสงี่ยม ฉู่ซือก็มีความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาทันที

อารมณ์ความรู้สึกที่มีมากที่สุดคือความประหลาดใจ

ประหลาดใจที่ซ่าเอ้อ หยางมีอารมณ์เป็นผู้ช่วยให้ใคร ประหลาดใจว่ามีวันที่พวกเขาจับมือกันช่วยคน ไม่ใช่เพราะภารกิจและไม่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง แถมคนที่ช่วยยังไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยด้วย

ประหลาดใจที่ซ่าเอ้อ หยางมีเวลาที่ดูปราศจากความก้าวร้าวและความอันตราย…อย่างเช่นตอนนี้

นอกเหนือจากประหลาดใจแล้ว ยังมีความรู้สึกผิดที่อธิบายไม่ได้วูบหนึ่งด้วย เพราะก่อนเปิดประตูศูนย์หลบภัย เขายังจับตาดูซ่าเอ้อ หยางทุกฝีก้าวด้วยความระแวงและตั้งแง่

ตอนนั้นฉู่ซือจับตาดูอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย สายตาประสานกับซ่าเอ้อ หยางหลายครั้ง ฉะนั้นเวลานี้ต่อให้ไม่ได้อธิบายอะไร อีกฝ่ายก็น่าจะเข้าใจว่าฉู่ซือแปลกใจกับเรื่องอะไรบ้าง

ซ่าเอ้อ หยางย่อมรู้แน่นอน แถมรู้ดีด้วย แต่ก็ยังคงถามประโยคแบบนี้ ความหมายโดยนัยนั้นเขาต้องคิดได้โดยไม่ต้องพูดอะไร

“ถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว สนุกมากเรอะ” ฉู่ซือเดินตามหลังซ่าเอ้อแล้วตอบแบบนี้

ในโถงทางเดินไฟสีขาวดวงเล็กที่เว้นห่างเป็นระยะส่องสะท้อนร่างของพวกเขาเป็นเงาจางๆ แต่ละฝีก้าวของฉู่ซือเหยียบลงบนเงาจางๆ ของซ่าเอ้อ หยางพอดี

“น่าสนใจ แน่นอนว่าฉันไม่รู้ว่านายอยากพูดอะไร คุยรายละเอียดกันหน่อยดีไหม” พูดถึงตรงนี้ในที่สุดซ่าเอ้อก็หันไปเหลือบมองฉู่ซือแวบหนึ่ง สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่ จากนั้นสายตาก็มองลงที่พื้นก่อนทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ไม่อยากพูดก็ไม่เห็นต้องเล็งเหยียบหน้าฉันขนาดนั้นเลย ที่รัก นายนี่เจ้าคิดเจ้าแค้นไปหน่อยนะ”

ตอนแรกฉู่ซือไม่ได้สังเกตเท้า เมื่อซ่าเอ้อพูดแบบนี้ถึงพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนเงาของอีกฝ่ายพอดี เขาเงียบไปสองวินาที สุดท้ายก็อดพูดแขวะไม่ได้

“ไม่ทราบว่าปีนี้คุณท่านอายุกี่ขวบ”

“คนเคยเข้าคุกมาแล้ว หัวหน้าน่าจะรู้ดีว่าบรรลุนิติภาวะหรือยัง” ซ่าเอ้อเอ่ยปากตอบพลางหันหน้ากลับไป เอาท้ายทอยเผชิญหน้ากับฉู่ซือตามเดิม

“วันนี้นายน่าจะกินยาผิดขนาน” ฉู่ซือส่ายหน้า ฝีเท้ายังคงเหยียบอยู่บนเงาของซ่าเอ้อ ทั้งยังแม่นยำกว่าก่อนหน้านี้ด้วย

พวกเขาเดินไปอีกระยะหนึ่ง เมื่อเดินจนสุดโถงทางเชื่อมแล้วก็เดินขึ้นไปตามบันได

ซ่าเอ้อเดินขึ้นไปถึงด้านบนก่อน ยืนเอียงตัวหลุบตามองฉู่ซือที่ยังคงเดินขึ้นมาตามขั้นบันได

ฉู่ซือหยุดฝีเท้าหน้าบันไดสามขั้นสุดท้ายแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ฉันอยากบอกว่า…ถ้าสมัยอยู่ในสถานพักฟื้น นายก็เหมือนกินยาผิดขนานแบบนี้ ไม่แน่พวกเราอาจเป็นเพื่อนกันได้”

เหมือนซ่าเอ้อจะรู้สึกว่าคำพูดนี้น่าสนใจ เขาหัวเราะก่อนพูดตาหยี “นายผิดแล้วหัวหน้า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง นายน่าจะจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของฉันเลยด้วยซ้ำ”

ฉู่ซืออยากเถียง แต่เขาคิดในใจครู่หนึ่ง น่าเสียดายที่พบว่า…สิ่งที่ซ่าเอ้อพูดมีส่วนเป็นจริงมากกว่า

ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยักไหล่ ยกเท้าก้าวขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นสุดท้าย

เมื่อพวกเขายืนเคียงไหล่กันอยู่ตรงนั้น ซ่าเอ้อก็พูดอย่างสบายอารมณ์คล้ายกำลังพูดล้อเล่น

“เลิกคิดได้แล้วหัวหน้า นายกับฉันไม่มีวันเป็นเพื่อนกันได้”

ฉู่ซือย้อนเสียงเย็น “งั้นก็เยี่ยมไปเลย”

“เป็นไง หัวหน้าฉู่คนปากไม่ตรงกับใจ รู้สึกเสียดายใช่ไหมล่ะ” ซ่าเอ้อขยิบตา

ฉู่ซือตบไหล่อีกฝ่ายด้วยสีหน้า ‘นายตื่นเถอะ’ จากนั้นก็เดินอ้อมเขาไปข้างหน้า

เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูเขตอพาร์ตเมนต์ เครื่องสื่อสารของฉู่ซือก็สั่นทีหนึ่ง

เขาล้วงออกมาดู เป็นข้อความจากถัง

ข้อความบอกว่าเปลี่ยนวิธีลองแล้วสารพัด ในที่สุดเขาก็พบ ‘วัตถุลอย’ กลุ่มหนึ่งใกล้เศษเสี้ยวดาวเคราะห์นี้ อยู่ตรงข้ามกับเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ คาดว่าอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งโดยล้อมเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ไว้ตรงกลาง เนื่องจากเวลานี้อยู่ในสภาวะจำศีลจึงยากจะหาพบ

“แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาวะเงียบหรือล่องหน ใช้สมาธิหน่อยก็หาเจอ แสดงว่าอีกฝ่ายไม่กลัวถูกเจอ”

ถังวิเคราะห์แล้วส่งภาพแผนภูมิกับข้อมูลสถานะทั้งหมดให้แสดงภาพโฮโลแกรมบนเครื่องเทอร์มินัล* ที่ฉู่ซือหนีบอยู่บนปลายแขนเสื้อ

“จะเป็นใคร นครซิลเวอร์เหรอ บอกตามตรงผมนึกออกแค่ความเป็นไปได้เดียว นี่เป็นสไตล์พวกเขาอยู่แล้ว ที่นี่มีอะไรที่พวกเขาต้องการเหรอ” ถังสงสัย

“เรากำลังค้นหา…” ฉู่ซือยืนอยู่หน้าม่านกีดขวางล่องหน กำลังยื่นมือไปทดสอบ ซ่าเอ้อกลับก้าวเท้าเดินเข้าไปโดยตรง

“นาย!” ฉู่ซือดึงอีกฝ่าย

นอกจากมือที่ถูกดึง ซ่าเอ้อก็ทะลุผ่านจุดที่ควรเป็นม่านกีดขวางไปแล้ว

“นายดูสิ ม่านกีดขวางหายไปแล้ว” ซ่าเอ้อว่า

ฉู่ซือมีสีหน้าปราศจากอารมณ์ “ถ้ามันไม่หายไป ตอนนี้หน้านายก็ดูไม่ได้แล้ว นายเอาหน้าไปทดสอบกับอะไรแบบนี้เสมอเลยหรือไง”

พูดถึงประโยคสุดท้ายเขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

“บอกตามตรงหัวหน้า มันแปลกนิดหน่อยแฮะ…” ดวงตาของซ่าเอ้อกวาดมองนิ้วมือของฉู่ซือที่จับตนไว้ ก่อนจะมาหยุดมองใบหน้าเขา “นายทำแบบนี้ทำให้ฉันอยากทำอะไรที่น่าเบื่อและไม่มีความหมายสักหน่อย อย่างเช่น…”

เขาพูดพลางพลิกมือข้างที่ถูกจับ ปลายนิ้วเขี่ยอุ้งมือของฉู่ซือทีหนึ่ง

ฉู่ซือขยับนิ้ว คลายมือออกแล้วดึงมือกลับทันที

เสียงของถังดังมาจากปลายสายสองครั้ง “หัวหน้า?”

“ไม่มีอะไร ฉันหมายถึงฉันกำลังตามหาของที่อาจล่อใจพวกเขาได้” ฉู่ซือพูดพลางเดินผ่านม่านกีดขวาง ก้าวเท้าไปทางอพาร์ตเมนต์ในความทรงจำแห่งนั้น

เขาเดินไปได้ระยะหนึ่งก็หยุดฝีเท้า สั่งงานกับถังทางเครื่องสื่อสารพลางหันไปมองซ่าเอ้อ

พอเห็นอีกฝ่ายตามมาแล้ว เขาจึงเดินหน้าต่อ “จริงสิ หาทางปลอบขวัญพวกผู้พเนจรกลุ่มนั้นหน่อย โดยเฉพาะคาร์ลอส เบลก เวลาจำเป็นอาจจะกล่อมให้เขาทำการแลกเปลี่ยนด้วยได้”

ถังบอก “…ผมเพิ่งถูกด่าบรรพบุรุษมา”

“ทำไม่ได้?”

ถังว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น วางใจเถอะครับหัวหน้า ไว้ใจผมได้เลย”

บ้านของเจี่ยงชีอยู่กลางดงตึกอพาร์ตเมนต์มากมาย เส้นทางค่อนข้างอ้อม

หลายสิบปีแล้วที่ไม่ได้มาเดินถนนสายนี้ เดิมทีฉู่ซือคิดว่าตัวเองลืมเส้นทางไปแล้ว แต่เวลานี้กลับมายืนใต้ตึกอพาร์ตเมนต์โดยไม่รู้ตัว

ฝีเท้าของซ่าเอ้อมาหยุดข้างกาย เขาแหงนหน้ามองตึกอพาร์ตเมนต์สูงเจ็ดสิบกว่าชั้นแล้วเอ่ยถาม

“ที่ที่นายจะตามหาก็คือที่นี่เหรอ ชั้นที่เท่าไหร่”

“ชั้นหกสิบสอง” ฉู่ซือว่า

“อธิษฐานขอพรเถอะหัวหน้า หวังว่าแบตเตอรี่พลังงานยังไม่เสีย ลิฟต์ยังใช้ได้”

ฉู่ซือเข้าไปในตึก กดปุ่มหน้าลิฟต์ไปหลายทีแต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหว “…”

“ขอบคุณที่ปากนายพาซวย” ฉู่ซือหันไปพูดกับซ่าเอ้อที่เดินเข้าประตูมา “พวกเราต้องขึ้นบันไดกันแล้ว ถ้าแบตฯ พลังงานเสียจริง เข้าไปแล้วค่อยหาทางเอา”

“ไม่รู้ว่าหัวหน้านั่งออฟฟิศมานานหลายปี เรี่ยวแรงจะถดถอยถึงขั้นไหนแล้ว” ซ่าเอ้อแซว

ฉู่ซือไม่อยากสนใจอีกฝ่าย ยกเท้าก้าวขึ้นบันไดไป

พวกเขาไม่ได้เดินขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างเป็นระเบียบ อาศัยว่าขายาวแรงดี ก้าวทีละสามขั้นบันได หกสิบสองชั้นนับว่าสูง แต่กลับไม่ได้เสียเวลาพวกเขาเท่าไหร่

ถึงอย่างนั้นการขึ้นบันไดกับการเดินทางราบย่อมไม่เหมือนกัน แล้วพวกเขาก็ก้าวกันเร็วขนาดนี้ เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่หกสิบสอง ฉู่ซือก็หายใจหอบเล็กน้อยแล้ว

สมรรถภาพทางกายของซ่าเอ้อ หยางแข็งแกร่งจนไม่เหมือนคนทั่วไป นี่ไม่ใช่ผลจากการฝึกฝนเคี่ยวกรำทั้งหมด อย่างสมัยอยู่ในสถานพักฟื้นก็แกร่งจนชวนตะลึง ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับภูมิหลังที่ลึกลับเป็นปริศนาของเขา แต่ในเวลานี้ยังชวนให้รู้สึกไม่เท่าเทียมอยู่บ้าง

เขายืนกวาดตามองบนระเบียงรอบหนึ่ง ที่นี่ชั้นหนึ่งจะมีแค่ห้องเดียว ตัดปัญหาเรื่องจำผิดไปได้

“บนพื้นราบนี่ดูไม่ออกว่าเรี่ยวแรงของหัวหน้าถดถอยไปไม่น้อย” ซ่าเอ้อมองฉู่ซือแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่

“นายเงียบปากไป” ฉู่ซือปรับลมหายใจ ครู่เดียวก็กลับมาสม่ำเสมอเป็นปกติ

เขายกมือขึ้นลูบกลอนดิจิตอลตรงประตู ไฟดับสนิท ไร้การเคลื่อนไหวอย่างที่คิด

“ดูท่าคงต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีเปิดประตูที่เอิกเกริกกว่านี้แล้ว” ซ่าเอ้อพูดพลางล้วงมือเข้าในกระเป๋า

“ไม่ได้” ฉู่ซือย่นคิ้ว “อย่าใช้ระเบิดที่นี่”

“หืม?” ซ่าเอ้อชะงัก เลิกคิ้วขึ้น “หัวหน้ามีเวลาที่ใจอ่อนด้วยเหรอเนี่ย น่าสนใจดี”

“ที่นี่ไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนกันตรงไหน” ซ่าเอ้อถาม “ตอนแรกฉันไม่สนใจจะอยากรู้ว่าที่นี่เป็นที่พักของใคร แต่ตอนนี้ดันอยากรู้ขึ้นมาซะแล้วสิ”

ฉู่ซือเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสียงเรียบ “ที่พักที่ฉันอยู่กับพ่อบุญธรรมตอนเด็ก”

ซ่าเอ้อนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าเพราะแปลกใจกับคำตอบนี้ หรือเพราะคิดไม่ถึงว่าฉู่ซือจะพูดออกมา เพราะอีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงอดีตของตัวเองกับใคร

“งั้นก็เปลี่ยนเป็นวิธีที่สุภาพหน่อยละกัน” ซ่าเอ้อซัดกำปั้นเข้าที่กลอนดิจิตอล ชกหน้าจอจนแตกละเอียด ตั้งใจจะต่อสายพลังงานจากข้างในมาข้างนอก

จู่ๆ ประตูที่ปิดสนิทก็ส่งเสียงเหมือนมีคนปลดล็อกจากด้านใน

“ใคร” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านในประตู

คำนั้นเรียบง่ายทว่าไม่ชัดเจน ทั้งยังมีประตูกั้น แทบจะแยกแยะเสียงไม่ได้ แต่ก็ยังทำให้แผ่นหลังของฉู่ซือหยัดตรง สีหน้าเปลี่ยนทันที

เขายืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น มีชั่ววูบหนึ่งที่เขาถึงขั้นไม่ได้ยินเสียงอื่นแล้ว เส้นประสาททั่วร่างหลุดจากกายเนื้อราวกับมีชีวิตแล้วทะลุผ่านประตูเข้าไปในห้อง แม้แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่ละเลยไปได้ก็ยังทำให้ร่างของเขาแข็งเกร็ง

เสียงฝีเท้าในห้องดังชัดขึ้น เหมือนมีคนกำลังเดินสวมรองเท้าแตะผละไปจากประตู

หลังเสียงล็อกประตูดังขึ้นเสียงหนึ่งก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก อาจเพราะคนด้านในประตูไม่ได้ยินเสียงตอบจึงเปลี่ยนใจ

บางครั้งสำหรับคนที่คุ้นเคยกันระดับหนึ่ง ลำพังแค่เสียงฝีเท้าไม่กี่ครั้งก็ตัดสินได้แล้วว่าเป็นเขาใช่หรือไม่

วินาทีที่เสียงฝีเท้านั้นกำลังจะไกลออกไป ฉู่ซือก็เอ่ยปากทันที “ผมเอง”

น้ำเสียงทั้งทุ้มและแหบเนื่องจากความมึนงงและแข็งเกร็ง คำนั้นกลิ้งอยู่ในลำคอ เบาจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังได้ยินไม่ชัด

เพียงแต่เพิ่งเอ่ยปากเขาก็ยิ้มเยาะตัวเอง คำตอบแสนง่ายอย่างคำว่า ‘ผมเอง’ เหมาะสำหรับใช้กับคนที่สนิทใกล้ชิดที่สุด เมื่ออีกฝ่ายได้ยินก็รู้ว่าเป็นใคร ไม่อย่างนั้นก็จะยิ่งวางตัวไม่ถูก

แต่ตอนนี้เขาเป็นใครเล่า สำหรับคนที่อยู่ด้านในประตูก็เป็นแค่เสียงที่ไม่รู้จัก ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย คนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น มีสิทธิ์ตอบอย่างนี้ที่ไหนกัน

คงดูโง่สุดๆ…ฉู่ซือหัวเราะตนเองในใจ

แต่โง่ก็ส่วนโง่ เขากลับไม่ห่วงว่าตัวเองจะถูกกันไว้นอกประตู เพราะคนที่อยู่ด้านในถือว่าเป็นคนนิสัยดีคนหนึ่ง ในอดีตมีเพื่อนบ้านที่กลอนดิจิตอลขัดข้องจนเข้าบ้านไม่ได้ชั่วคราว เจี่ยงชีก็ปล่อยคนอื่นเข้าบ้าน เหมือนจะอยู่นานอีกด้วย แม้เขาจะไม่เข้าใจจวบจนวันนี้ว่าเพราะอะไรคนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสงครามอย่างเจี่ยงชีถึงไม่ระวังตัวขนาดนั้น

เสียงฝีเท้าชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ฟังแล้วเหมือนอีกฝ่ายเดินย้อนกลับมาที่ประตูอีกครั้ง

“นายกำลังประหม่า” ปุบปับซ่าเอ้อก็โน้มเข้าไปพูดเบาๆ ข้างหูของฉู่ซือคล้ายกำลังกระซิบกระซาบกัน

“ฉันเปล่า” ฉู่ซือตอบ

ทว่าเมื่อพูดคำนี้ออกจากปาก ฉู่ซือถึงพบว่าความจริงแล้วเขากลั้นหายใจอยู่ มือที่แนบลำตัวก็กำแน่นโดยไม่รู้ตัว

ซ่าเอ้อพูดถูก เขากำลังประหม่า ซึ่งเขาไม่รู้ตัวเลย

กลอนดิจิตอลส่งเสียงเบาๆ จากด้านในอีกครั้ง รอบนี้ไม่ได้หยุดชะงักกลางคัน

บานพับประตูโลหะค่อยๆ ขยับ ประตูถูกเปิดออกทั้งอย่างนั้น ผู้ชายที่อยู่ด้านในสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวเรียบๆ คอเสื้อแหวกออกสบายๆ แขนเสื้อข้างหนึ่งถูกพับขึ้นไปถึงข้อศอก ส่วนอีกข้างหนึ่งเพิ่งพับไปถึงครึ่งเดียว

บนตัวอีกฝ่ายมีกลิ่นอายปราดเปรียวแบบทหาร และมีกลิ่นอายปัญญาชนของนักวิจัย รวมถึงกลิ่นอายเนือยๆ ที่สบายผ่อนคลาย

เจี่ยงชี…

แม้เมื่อครู่ในใจจะเดาไว้แบบนี้และเตรียมใจมาครู่หนึ่งแล้ว แต่ตอนที่เห็นเจี่ยงชี ฉู่ซือก็ยังนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตู เผยสีหน้าที่แทบเข้าขั้นมึนงง

จู่ๆ เขาก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ในปีไหนกันแน่

การแต่งกายที่คุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นเคย ทุกอย่างล้วนปราศจากการเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเจี่ยงชีแค่ไปทำงานนอกพื้นที่พักใหญ่ๆ เมื่อเสร็จงานแล้วก็เก็บข้าวของง่ายๆ แล้วกลับบ้านมาอย่างเรียบง่าย

“คุณคือ…” ด้านในประตูสายตาของเจี่ยงชีมองมา ทะลุผ่านกาลเวลาที่ไม่รู้นานแค่ไหนมาจรดบนตัวฉู่ซือ

วินาทีที่ได้ยินเจี่ยงชีเอ่ยปาก โหนกแก้มของฉู่ซือก็ขยับเล็กน้อย มองแล้วเหมือนขบกรามไปทีหนึ่ง

ฉู่ซือขมวดคิ้ว ก้มหน้าแล้วยกมือขึ้นบีบสันจมูก เมื่อไอร้อนรอบดวงตาหายไปจึงค่อยเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

เจี่ยงชีนิ่งอึ้งแล้วเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”

น้ำเสียงนี้แสนคุ้นเคย คุ้นเสียจนฉู่ซือนิ่งไปอีกครั้งก่อนจะกระแอมในลำคอ ปรับเสียงแล้วเอ่ยปาก

“พวกเราอาศัยอยู่ชั้นบน กลอนดิจิตอลขัดข้องเลยเข้าบ้านไม่ได้ คือ…”

ในเวลาแบบนี้ฉู่ซือไม่มีสมาธิหลงเหลือให้หาข้ออ้างใหม่แล้ว สิ่งเดียวที่วาบเข้ามาในหัวมีแต่คำพูดของเพื่อนบ้านสองคนในตอนนั้น

พูดจบเขาก็เริ่มเสียใจภายหลัง และไม่รู้ว่าเหตุผลเดียวกันนั้นเจี่ยงชีฟังแล้วจะนึกสงสัยหรือไม่

เจี่ยงชีไม่ได้ตอบทันที เพียงแค่มองสำรวจฉู่ซือตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง สุดท้ายสายตาก็ย้อนกลับไปที่ใบหน้าของเขา คล้ายกำลังยืนยันว่าพวกเขาเจตนาดีหรือไม่

เจี่ยงชีมองไปทางซ่าเอ้อที่อยู่ข้างประตูแวบหนึ่ง ท้ายที่สุดก็เบี่ยงตัวหลีกทางให้พลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“แบตฯ พลังงานใต้ดินมีปัญหา นิติบุคคลกำลังซ่อม เข้ามาก่อนสิ”

ในห้องมีไฟฉุกเฉินสองดวงที่ส่องแสงนุ่มนวล ดวงหนึ่งวางอยู่ตรงหัวมุมโซฟา อีกดวงอยู่ตรงโถงทางเข้าบ้าน

เมื่อกลับมายืนในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้อีกครั้ง ความรู้สึกของฉู่ซือนั้นยุ่งเหยิงอย่างที่สุด นั่นเป็นความขัดแย้งอย่างหนึ่งที่เกิดจากจิตใจที่ผ่อนคลายสลับกับร่างกายที่ประหม่า

ซ่าเอ้อเดินตามเข้ามาข้างในแล้วก็แสดงความสนใจกับที่นี่มาก เขามองสำรวจโครงสร้างและการตกแต่งภายในห้องรอบหนึ่ง จากนั้นก็ตบไหล่ฉู่ซือ แล้วโน้มเข้าไปเอ่ยเสียงเบา

“ที่รัก”

“หืม?” สายตาของฉู่ซือมองตามแผ่นหลังของเจี่ยงชีตลอด จึงไม่ทันเอะใจว่าซ่าเอ้อกำลังพูดอะไร

ผ่านไปอีกสองวินาทีเขาถึงเหล่มองซ่าเอ้ออย่างช้าไปจังหวะหนึ่ง “…”

“ที่นี่อยู่กันแค่สองคนเหรอ” ซ่าเอ้อถามต่อ

ฉู่ซือได้แต่ขานตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “อืม”

เจี่ยงชีพับแขนเสื้ออีกข้างให้เรียบร้อยพลางเอ่ยถาม “ดื่มอะไรไหม”

“น้ำเปล่าก็พอครับ ขอบคุณ” ฉู่ซือพยายามทำให้ตัวเองกับซ่าเอ้อดูเหมือนเพื่อนบ้านปกติมากที่สุด

“มานั่งเถอะ” เจี่ยงชีรินน้ำสองแก้วแล้วเดินไปวางบนโต๊ะกระจก ก่อนจะอ้อมไปก้มตัวหน้าโซฟาสองที่นั่ง

ฉู่ซือเข้ามาในห้องแล้วก็แทบไม่มีสมาธิสนใจอย่างอื่น จนกระทั่งเวลานี้ถึงพบว่ามีเด็กคนหนึ่งซุกอยู่บนโซฟาตัวนั้น

ดูแล้วอายุไม่ถึงสิบขวบ สวมเสื้อลำลองแขนยาวสีเทาอ่อน อิริยาบถที่ขดจนเป็นก้อนทำให้กระดูกสันหลังของเขานูนออกมา ดูผอมกะหร่อง

เด็กน้อยซุกใบหน้ากับหมอนอิง แขนบังหน้าผาก มองไม่เห็นเครื่องหน้า เห็นแต่เรือนผมสีดำเงาที่ขับให้ผิวขาวผ่อง

“งั้นเจ้าตัวเล็กที่นอนขดอยู่ตรงนี้คือ…” ซ่าเอ้อเอ่ยถามทั้งที่รู้อีกครั้ง

ฉู่ซือหันไปมองคนพูด “…”

ซ่าเอ้อมองตอบด้วยสีหน้าใสซื่อ

ฉู่ซือกลัวเจี่ยงชีมาได้ยิน จึงตีหน้าขรึมขยับปากโดยไม่มีเสียง “ฉันต้องขอบใจนายที่ไม่ใช้คำว่าเจ้าเด็กบื้อด้วยใช่ไหม”

ซ่าเอ้อหัวเราะ นัยน์ตาสีอ่อนเป็นประกายยามหรี่ลง

เจี่ยงชีอุ้มเด็กน้อยที่กำลังขดตัวขึ้นมา ปรากฏว่าเด็กคนนั้นกลับยิ่งซุกหน้าลงกับหมอนอิงแล้วพูดเสียงอู้อี้อะไรบางอย่าง

“มีเตียงก็ไม่นอน ดันชอบมานอนบนโซฟา นายนี่นะ…” เจี่ยงชีก็ไม่ได้ดึงดัน เพียงแค่ยกมือแตะหน้าผากของเด็กน้อยแล้วพึมพำ “ไม่สบายหรือเปล่า”

เด็กคนนั้นส่ายหัวโดยที่หน้ายังซุกอยู่ ในที่สุดก็พูดคำหนึ่งชัดๆ ว่า “ง่วง” เสียงยังไม่เปลี่ยน เจือความใสนุ่มเฉพาะตัวของเด็ก

“เอาเถอะ…” เจี่ยงชีหยัดตัวตรงด้วยความอ่อนใจ ก่อนหันไปคลี่ยิ้มให้ฉู่ซือกับซ่าเอ้อ “ลูกชายผมเอง นอนแล้วไม่ยอมลุก ต้องให้พวกคุณเห็นอะไรตลกๆ แล้ว”

ซ่าเอ้ออมยิ้ม ตอบอย่างสบายอารมณ์ “ไม่เป็นไรครับ น่าสนใจดี”

ฉู่ซือ “…”

เขาน่าจะเป็นคนที่กระอักกระอ่วนที่สุดในอพาร์ตเมนต์ห้องนี้ เจี่ยงชีกับซ่าเอ้อสนทนากันอย่างถูกคอ แต่ละคำล้วนกระแทกใส่หน้าเขา ลบล้างอารมณ์ความรู้สึกที่เขาได้เจอคนคุ้นเคยอันน้อยนิดให้มลายหายสิ้น ไม่เหลือแม้เศษซาก

เจี่ยงชีในกาลอวกาศนั้นเหมือนเพิ่งกลับบ้านไม่นาน เขาเชิญให้ฉู่ซือกับซ่าเอ้อนั่งบนโซฟาก่อนสักครู่

“เดี๋ยวผมขอไปเอาผ้าห่มให้เจ้าหนูนี่ก่อน”

ซ่าเอ้อไม่มีท่าทีเกรงใจแม้แต่น้อย เขาเลือกนั่งตรงจุดที่ใกล้กับโซฟาสองที่นั่ง

เจี่ยงชีเดินลากรองเท้าแตะเข้าไปในห้องนอน ฉู่ซือมองแผ่นหลังอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ก่อนหันไปมองซ่าเอ้อด้วยนัยน์ตาฉายแววตักเตือน

แต่ขอแค่มีคนเวอร์ชั่นร่างเล็กนั้นเอาแต่นอนหลับอุตุไม่สนโลกอยู่ข้างๆ คำเตือนทุกอย่างก็ล้วนเสื่อมประสิทธิภาพ

เป็นไปตามคาด ซ่าเอ้อแย้มยิ้มอย่างมีนัยลึกซึ้ง

ฉู่ซือ “…”

แต่บอกตามตรง ในสถานการณ์ตรงหน้า ไม่ว่าเจ้าวายร้ายนี่จะทำอะไรหรือพูดอะไร ฉู่ซือก็ไม่รู้สึกรำคาญหรือฉุนเฉียว

“นายดูดีใจมาก” ซ่าเอ้อหรี่ตามองเขา “แถมยังดูตื่นเต้นนิดๆ แต่ไม่ผ่อนคลาย”

ต้องบอกว่าบางครั้งคนคนนี้ก็เซ้นส์ดีราวกับสัตว์ป่า สามารถดมกลิ่นอารมณ์ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนที่สุดได้…

ฉู่ซือดีใจจริงๆ เพราะเขาได้เจอเจี่ยงชีที่เรียกได้ว่าเป็นญาติเพียงคนเดียวอีกครั้ง และเขาไม่ได้ผ่อนคลายจริง เพราะเขารู้ว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องชั่วครั้งชั่วคราว

“นายนี่เป็น…คนประหลาดจริงๆ” ฉู่ซือยิ้มเยาะแล้วนั่งลงข้างซ่าเอ้อ

ประสาทสัมผัสไวต่อความรู้สึกขนาดนี้ ทว่าความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่นกลับเย็นชาจนน่าตกใจ

เสียงพูดคุยของทั้งสองไม่ดังนัก แต่เด็กน้อยที่ขดอยู่บนโซฟากลับขยับเขยื้อน เขาเหลือบตาขึ้นจากหมอนอิง ย่นคิ้วมองพวกเขาด้วยสายตาหงุดหงิดแวบหนึ่ง แววตาของเขาฉายแววง่วงงุนเหมือนยังตื่นไม่เต็มตา แววตานั้นไม่นุ่มนวลและไม่อ่อนโยน

ไม่รู้ว่าเส้นประสาทส่วนไหนของซ่าเอ้อผิดปกติ ถึงกวักนิ้วเรียกอีกฝ่ายแล้วหยอกเสียงเบาพร้อมรอยยิ้ม

“สวัสดี หัวหน้าตัวน้อย”

ฉู่ซือ “…”

เด็กน้อยที่ขดตัวอยู่บนโซฟายิ่งขมวดคิ้วมุ่น คล้ายรู้สึกว่าคนคนนี้เป็นพวกประสาทกลับ ตาหรี่ปรือนั้นหลับลงอย่างรวดเร็วแล้วซุกใบหน้าลงบนหมอนอิงอีกครั้ง

“ที่แท้นิสัยนอนทีไรก็จะหาอะไรมาซุกหน้านี่เป็นมาตั้งแต่ตอนนี้เลย” ซ่าเอ้อว่า

ฉู่ซืออ้าปากจะสวนกลับแต่ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ในความทรงจำของเขา จำได้รางๆ ว่าตอนนั้นมีเพื่อนบ้านสองคนที่เจี่ยงชีปล่อยให้เข้ามาเพราะกลอนดิจิตอลขัดข้อง

วันนั้นกำหนดเดิมของเจี่ยงชีต้องไปประชุมวิจัยทางวิชาการนอกพื้นที่ ระยะเวลาน่าจะประมาณสามวัน

เขานอนอ่านหนังสือบนโซฟาแล้วอาการปวดศีรษะก็กำเริบกะทันหัน และขี้เกียจกลับห้องนอนเพราะในบ้านไม่มีคนอยู่ จึงนอนซุกอยู่บนโซฟาไปเลย

ปรากฏว่าตอนที่เขาปวดจนสติเลือนราง เจี่ยงชีกลับเข้ามาอีกครั้งเนื่องจากลืมของ

เพราะอาการปวดศีรษะทำให้ความทรงจำของเขาในคืนนั้นค่อนข้างเลือนรางและไม่ปะติดปะต่อกัน จำได้แค่ว่าตอนที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เหมือนบนโซฟาจะมีคนเพิ่มมาสองคน

เขาเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายรูปร่างหน้าตาอย่างไร อายุมากหรืออายุน้อย จำได้แค่ว่าคนคนนั้นพูดกับเขา เรียกเขาว่าหัวหน้าหรืออะไรสักอย่าง

เขานึกว่าเหตุการณ์ภายหลังคือผลจากการจำสับสนระหว่างความฝันกับความจริง เพราะไม่มีทางที่จะมีใครเรียกเด็กคนหนึ่งว่าหัวหน้า ดูจากตอนนี้…เพื่อนบ้านสองคนที่เขาพอจะมีความทรงจำอยู่บ้างก็คือซ่าเอ้อกับตัวเขาเอง

แต่หากสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความทรงจำของเขา ถ้าอย่างนั้น…

“ฉันรู้แล้วว่าฉันต้องหาอะไร” ฉู่ซือมองซ่าเอ้อ

“ไหนบอกมา” ซ่าเอ้อเหยียดขายาวๆ คู่นั้น เปลี่ยนอิริยาบถที่สบายกว่าเดิม

ฉู่ซือกดเสียงลงต่ำ “ข้อมูลวิจัยฉบับร่างชุดหนึ่ง”

ในความทรงจำของเขา หลังจากเพื่อนบ้านสองคนนั้นไปแล้วก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น…นั่นคือข้อมูลงานวิจัยสำคัญฉบับร่างชุดนั้นหายไป

“ฉบับร่างแบบไหน” ซ่าเอ้อกวาดตามองห้องรับแขกอย่างเปิดเผย “นายหมายถึงเอกสารฉบับร่างที่เก่าแก่ที่สุด หรือเวอร์ชั่นอีบุ๊ก หรือแม้กระทั่งเวอร์ชั่นโทรจิต”

ถ้าเป็นสองประเภทแรกก็ยังพอหาได้ไม่ยาก แต่หากเป็นเวอร์ชั่นโทรจิตก็มีปัญหาแล้ว

“ไม่รู้” ฉู่ซือตอบ

ซ่าเอ้อดึงสายตากลับมา หันหน้าไปมองเขา “ที่รัก นายกำลังล้อเล่นหรือไง”

ฉู่ซือกดเสียงลงต่ำ “นายคาดหวังให้เด็กอายุเก้าขวบคนหนึ่งจำรายละเอียดได้แค่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้อมูลวิจัยฉบับร่างนั่นยังเกี่ยวกับการวิจัยด้านอุตสาหกรรมอาวุธอีก ให้ฉันรู้ได้เรอะ”

เขาจำได้แค่ว่าหลังจากข้อมูลวิจัยฉบับร่างชุดนั้นหายไป เจี่ยงชีหาอยู่นานมาก และถามรายละเอียดในช่วงหลายวันนั้นกับเขาอีกสองครั้ง หลังจากนั้นไม่รู้ว่าทางศูนย์วิจัยกองทัพมีมาตรการแก้ไขหรือเปลี่ยนไปดำเนินการลับๆ กระบวนการตามหาข้อมูลฉบับร่างชุดนั้นก็หยุดชะงักไป อย่างน้อยก็ประกาศกับภายนอกแบบนี้

“ฉันจำได้แค่ว่าข้อมูลฉบับร่างชุดนั้นอาจจะอยู่ในซองเอกสารสีดำซองไหนสักซอง…” ฉู่ซือกำลังจะพูดต่อ เจี่ยงชีก็ออกมาจากห้องนอน เพียงแต่ในมือว่างเปล่าไม่ได้ถืออะไรมาด้วย

เขาเอาข้อศอกยันประตู แล้วหัวเราะเจื่อนๆ กับอีกสองคนที่นั่งตรงโซฟา “เฮ้อ ตัวผมกลับมาแล้วก็จริง แต่สมองน่าจะยังอยู่ระหว่างทาง ผมเอาผ้าห่มผืนนั้นไปเก็บไว้ไหนก็จำไม่ได้แล้ว”

ฉู่ซือตอบโดยอัตโนมัติ “ห้องนอนใหญ่ครับ”

ในความทรงจำของฉู่ซือ เจี่ยงชีมักจะเป็นแบบนี้เสมอ

เจี่ยงชีจดจำลำดับการจัดเก็บของเอกสารข้อมูลทุกชุดได้อย่างแม่นยำ สามารถไล่ไปตามไทม์ไลน์กับลำดับตรรกะแล้วนึกได้ว่ารายงานการวิจัยชุดหนึ่งที่เขาทำเมื่อหลายปีก่อนหรือแม้กระทั่งหลายสิบปีก่อนถูกจัดเก็บอยู่ตรงไหน บางครั้งถึงขั้นจำได้ว่าวางด้วยมือซ้ายหรือมือขวา หรือวางตรงตำแหน่งไหนของโต๊ะด้วยซ้ำ

แต่สำหรับของใช้ประจำวันในบ้านวางอยู่ในตู้ไหน ลิ้นชักไหน มักจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย นาทีก่อนเพิ่งจะใช้เสร็จ นาทีต่อมาก็เริ่มหาทั่วบ้าน ทุกครั้งในเวลาแบบนี้ก็ต้องให้ฉู่ซือเค้นออกมาทีละคำ ปั้นหน้าอ่อนเยาว์เย็นชาสะกิดความจำของอีกฝ่าย

เจี่ยงชีเองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกับการเตือนความจำลักษณะนี้ ต่อให้ฉู่ซือที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาแล้วโพล่งออกมาว่า ‘ห้องนอนใหญ่’ เขาก็ขยับเท้าเดินไปทางห้องนอนอีกห้องโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ประตูรีโมตส่งเสียงเลื่อนเบาๆ ไม่นานเสียงของเจี่ยงชีก็ดังลอยออกมา “ไม่มีเหมือนกัน”

“ห้องหนังสือ” ฉู่ซือโพล่งออกมาอีกคำ

ร่างของเจี่ยงชีก้าวออกจากห้องนอนใหญ่ กระวีกระวาดเดินลากรองเท้าแตะไปทางห้องหนังสือ จนกระทั่งเดินผ่านห้องรับแขก กำลังจะเข้าประตูห้องหนังสือ จู่ๆ เขาก็นิ่งอึ้งราวกับเพิ่งรู้ตัวแล้วหันไปมองฉู่ซือ

ฉู่ซือชะงักกึกเมื่อรับรู้ถึงแววตาสงสัยของอีกฝ่าย เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ขอโทษครับ ที่บ้านก็เป็นแบบนี้ประจำ ผม…เลยพูดติดปากไปแล้ว”

สายตาของเจี่ยงชีมองผ่านซ่าเอ้อเหมือนต้องการให้บรรยากาศผ่อนคลายลง เขาจึงพูดล้อเล่น

“ดูท่าคุณกับผมนี่พอๆ กันเลย” พูดจบเขาก็เดินเข้าห้องหนังสือไป

“…?” ฉู่ซืออึ้งไปครู่หนึ่งแล้วว่า “ใครพอๆ กับเขากัน”

ซ่าเอ้อกางขาเรียวยาวออก วางข้อศอกลงบนต้นขา ใช้นิ้วโป้งชี้ตัวเองอย่างหย่อนอารมณ์

“ถ้าเขาไม่มีอาการตาเหล่ งั้นเขาก็น่าจะพูดกับฉัน”

ฉู่ซือ “…”

ที่บ้านก็เป็นแบบนี้ประจำ…

ดูท่าคุณกับผมนี่พอๆ กันเลย…

เมื่อฟังทั้งสองประโยค อย่างไรก็รู้สึกทะแม่งๆ ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเข้าใจผิดกันไปใหญ่

ถ้าเป็นคนอื่นล้อเล่นแบบนี้ ต่อให้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉู่ซือก็คร้านจะเสียเวลาอธิบาย แต่คนตรงหน้าเป็นพ่อบุญธรรมของเขา แม้นี่จะเป็นสถานการณ์เฉพาะที่เกิดจากกาลอวกาศทับซ้อนกัน ฉู่ซือก็ไม่อยากให้เจี่ยงชีเกิดความเข้าใจที่ไม่เป็นความจริง

ในวินาทีเดียวกันนั้นซ่าเอ้อก็อ่านความคิดของอีกฝ่ายได้ เขาผายมือแล้วว่า “หัวหน้า นายอย่าลืมว่าเราเข้าบ้านมาด้วยเหตุผลอะไร”

เหตุผลอะไรล่ะ

‘พวกเราอาศัยอยู่ชั้นบน กลอนดิจิตอลขัดข้องเลยเข้าบ้านไม่ได้ ขอเข้ามาอยู่ในนี้สักครู่ได้ไหม…’

ฉู่ซือนึกย้อนได้แล้วก็คลึงหัวคิ้ว…

ฟังจากมุมของบุคคลที่สาม สถานะ ‘พักอยู่ด้วยกัน’ มักทำให้คนนึกถึงความสัมพันธ์สองอย่าง หนึ่งคือคู่ครอง สองคือผู้เช่าร่วม แต่ฉู่ซือดันพูดว่า ‘ที่บ้านก็เป็นแบบนี้ประจำ’ ทิ้งท้ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ‘ที่บ้าน’ หรือความหมายแฝงในประโยคที่เผยออกมาก็ล้วนชวนให้คิดไปในทางความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อมากกว่า

ไม่แปลกที่เจี่ยงชีจะล้อเล่นอย่างนั้น

คราวนี้ต่อให้มีปากก็แก้ต่างไม่ขึ้นแล้ว ถ้าพวกเขาอยากอยู่ที่นี่ต่อก็ต้องไม่ทำให้เจี่ยงชีเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ยิ่งพูดมากก็จะยิ่งเผยพิรุธ หลักการนี้ถูกต้องเสมอ

พลันสีหน้าของฉู่ซือก็ดูบรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว

“เจอแล้ว อยู่ในตู้ทางนี้จริงด้วย” เจี่ยงชีหอบผ้าห่มสีน้ำเงินผืนหนึ่งออกมาพลางคลี่ยิ้มให้ฉู่ซือ

เขากางผ้าห่มออก ห่มคลุมฉู่ซือน้อยที่ซุกอยู่บนโซฟาสองที่นั่งอย่างดี ไม่รู้ว่าเพราะกลัวเด็กน้อยหลับสนิทแล้วจะถีบผ้าห่มด้วยหรือเปล่า จึงสอดชายผ้าห่มเข้าไปอีกรอบ ม้วนตั้งแต่เท้าจรดคอ

ฉู่ซือน้อยเพียงช้อนตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ขยับริมฝีปากสองครั้งคล้ายพึมพำกึ่งหลับกึ่งตื่น ก่อนจะซุกใบหน้ากับหมอนอิงแล้วทำตัวเป็นหนอนไหมอย่างว่าง่าย

หัวหน้าฉู่ที่นั่งอยู่อีกทาง “…”

นิสัยของเจี่ยงชีเองก็ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้น เขาห่อตัวฉู่ซือน้อยแล้วก็ลุกขึ้น เอามือเท้าเอวแล้วยืนชมผลงานตัวเอง ก่อนหลุดขำเสียงหนึ่งอย่างอดไม่อยู่

ฉู่ซือเบนสายตาด้วยสีหน้าสุดเซ็ง แล้วก็เห็นซ่าเอ้อหัวเราะมองมาด้วย

“…”

แม้แต่กาลอวกาศยังสลับทับซ้อนกันอย่างไม่มีขอบเขต ชีวิตไปต่อไม่ได้แล้ว

เจี่ยงชีแกล้งลูกชายตัวเองก็แล้วไป แถมยังทำต่อหน้าต่อตาตัวเขาในเวอร์ชั่นที่เป็นผู้ใหญ่แล้วอีก

หรือถ้ามีแค่พวกเขาพ่อลูกก็แล้วไป ดันถูกซ่าเอ้อเห็นเข้าอีก…

ชั่วขณะนั้นในหัวของหัวหน้าฉู่คิดแต่ว่าเขาขายหน้าถึงถิ่นตัวเองแล้ว จนไม่ทันสังเกตถึงบรรยากาศเฉพาะครอบครัวลักษณะนี้ว่ามีความสนิทใกล้ชิดที่ต่างออกไป ซึ่งซ่าเอ้อที่เป็นคนนอกอยู่ด้วยกลับไม่ได้อึดอัดเท่าไหร่

เจี่ยงชีรินน้ำให้ตัวเองด้วยแก้วหนึ่ง แล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว เขาจิบน้ำหนึ่งอึกแล้วพูดกับฉู่ซือและซ่าเอ้อ

“พวกคุณพักอยู่ที่ชั้นหกสิบสามเหรอครับ เมื่อก่อนเหมือนไม่เจอพวกคุณเท่าไหร่”

หลายปีดีดักฉู่ซือฝึกปรือฝีมือการโกหกหน้าตายจนบรรลุแล้ว ทว่าเมื่อคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นเจี่ยงชีสถานการณ์ก็ต่างออกไป

เว้นแต่เวลาอาการปวดศีรษะกำเริบแล้วแสร้งทำเป็นง่วง เขาไม่เคยโกหกอะไรกับเจี่ยงชีเลย

ฉู่ซือหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้น แต่กลับไม่ได้ดื่ม แค่ถือไว้ในมือแล้วหมุนช้าๆ “พวกเราค่อนข้างงานยุ่ง น้อยมากที่จะกลับเวลาปกติ”

เจี่ยงชี ‘อ๋อ’ เสียงหนึ่ง สายตาของเขาไปตกที่แก้วน้ำของฉู่ซือแล้วมองผ่านนิ้วเรียวของอีกฝ่าย

“แต่ไม่เคยเจอก็ไม่แปลก ผมเองก็ไม่ได้กลับตามเวลาประจำ”

ลำพังคำพูดนี้ฟังแล้วยากจะรู้ว่าเขาเชื่อเหตุผลของฉู่ซือหรือไม่ เคลือบแคลงกับการปรากฏตัวของพวกเขาสองคนหรือไม่

ว่ากันจริงจังแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นฉู่ซือเอง ไม่ว่าจะสงสัยตัวตนของอีกฝ่ายหรือไม่ เขาก็เลือกที่จะเปิดประตู เพราะการจับตาดูพฤติกรรมของอีกฝ่ายในที่แจ้งย่อมป้องกันได้ง่ายกว่าปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ในที่ลับ

ฉะนั้นเขาจึงสัมผัสได้รางๆ ว่าเจี่ยงชีอาจมีความคิดแบบเดียวกัน หยั่งเชิงถามตัวตนของพวกเขาสองคนก่อน ถ้ามีปัญหาจริงค่อยเฉือนทีเดียว

แต่พอนึกถึงจุดนี้เขาก็รู้สึกจนใจกับพ่อบุญธรรมของตัวเอง

ฉู่ซือเลือกที่จะลองเชิงแบบนี้ เพราะช่วงเวลาครึ่งหนึ่งของเขาต้องคลุกคลีกับภยันตรายสารพัด มีความมั่นใจเรื่องทักษะฝีมือ แค่สองคนไม่จำเป็นต้องพะวง

แต่เจี่ยงชีไม่เหมือนกัน เท่าที่ฉู่ซือรู้ สมัยหนุ่มๆ อีกฝ่ายเคยอยู่หน่วยยุทธการหุ่นยนต์รบ เคยผ่านสงคราม เคยผ่านสนามรบมาแล้ว ทักษะด้านการรบน่าจะพอตัว แต่นับตั้งแต่เขาเปลี่ยนสายเข้าศูนย์วิจัยก็ไม่ได้แบ่งเวลาฝึกร่างกายกับทักษะการต่อสู้เท่าไหร่แล้ว หนึ่งต่อสองใช่ว่าจะมีโอกาสชนะแน่ๆ เสมอไป

ความมั่นใจมันพองโตถึงขั้นไหน ถึงปล่อยให้คนแปลกหน้าวัยฉกรรจ์สองคนเข้าบ้านได้…

ฉู่ซือคิดไม่ตกจริงๆ

“ทำงานไม่ตรงเวลาปกติ กินข้าวก็ฝากท้องข้างนอกทั้งนั้น คนวัยพวกคุณสิบคนมีแปดคนเป็นโรคกระเพาะ” เจี่ยงชีก็แสดงท่าทีเหมือนเพื่อนบ้านทั่วไป คุยเรื่องที่คนแปลกหน้าเจอกันมักจะคุย ไม่ล้ำเส้น แต่ล้วงข้อมูลเล็กๆ จำนวนหนึ่งได้จากบทสนทนา

“อืม กินง่ายๆ แถวที่ทำงาน” ฉู่ซือยังคงเลือกคำตอบที่ปกติที่สุด ไม่ได้ขยายความมากนัก

ตอนที่เขาใช้ชีวิตกับเจี่ยงชี ทั้งสองคนนั้นคนละวัย อายุต่างกันมาก ไม่เคยพูดคุยกันในฐานะคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างนี้มาก่อน เขาเองก็ไม่เคยเห็นเจี่ยงชีสนทนากับคนแปลกหน้าแบบนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความ…แปลกใหม่

ต่อให้เรื่องที่คุยจะไร้สาระ เขากลับไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญเลย

แต่หลังจากเขาตอบแล้ว เจี่ยงชีก็พูดเชิงล้อเล่นอีกประโยค

“งั้นพวกคุณก็เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งแม้กระทั่งเวลากินข้าวน่ะสิ”

“พวกเรา?” ฉู่ซือชะงัก

หนึ่งวินาทีหลังจากนั้นเขาถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเจี่ยงชีกำลังไหลตามไปในทางที่เข้าใจผิดบางอย่าง

แต่จุดประสงค์ของเขาคือลดความสงสัยของเจี่ยงชีให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ใช่ใคร่ครวญว่าจะแก้ความเข้าใจผิดอย่างไร ด้วยเหตุนี้หัวหน้าฉู่จึงชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้วเปลี่ยนสีหน้ามาพูดอย่างขบขันตามน้ำ

“เจอกันน้อยก็ไม่ทำให้มีปัญหาอะไรหรอกครับ”

พูดจบเขาก็ได้ยินซ่าเอ้อที่อยู่ข้างๆ หัวเราะทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “อืม” ถือได้ว่าให้ความร่วมมือแล้ว

“งั้นก็ดีนะ” แววตาของเจี่ยงชีไหววูบ ก่อนจะหลุบตาลงดื่มน้ำไปหนึ่งอึก แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูออกว่าพวกคุณรักกันดี”

ฉู่ซือ “…”

ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่เจี่ยงชี เขาน่าจะกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายไปตรวจสายตาที่โรงพยาบาลแล้ว

อีกทั้งเขาเชื่อว่าเวลานี้ซ่าเอ้อกำลังเย้ยหยันในใจไม่น้อยไปกว่าเขาแน่…

ต้องมองด้วยสายตาแบบไหนถึงได้ผลสรุปว่า ‘รักกันดี’

ตาถั่วเรอะ

ขืนยังคุยหัวข้อนี้ต่ออีก เขาก็ไม่กล้ารับประกันแล้วว่าตัวเองจะปั้นหน้าเป็นธรรมชาติต่อไปได้

ฉู่ซือกำลังครุ่นคิดว่าจะตามหาข้อมูลวิจัยฉบับร่างชุดนั้นอย่างไร จู่ๆ เครื่องสื่อสารในกระเป๋าก็สั่น เขาล้วงออกมาดูก็เห็นถังส่งข้อความใหม่มา…

 

‘หัวหน้า กลุ่ม ‘วัตถุลอย’ ที่ล้อมแล้วด้อมๆ มองๆ อยู่แถวเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ จู่ๆ ก็หลุดจากโหมดหยุดนิ่ง ผมสงสัยว่าจะมีการเคลื่อนไหว คุณกับคุณหยางไปสำรวจเป็นไงบ้าง

อีกอย่างหลังจากถูกผู้พเนจรทักทายบรรพบุรุษรอบที่สอง ในที่สุดผมกับคาร์ลอส เบลกก็คุยกันด้วยภาษาคนได้เสียที กำลังพัฒนาไปในทางที่น่ายินดีแล้วล่ะ

อีกเรื่องจอโฮโลแกรมของคุณเปิดอยู่หรือเปล่า เดี๋ยวผมซิงก์รูปโหมดการเคลื่อนไหวล่าสุดของกลุ่มวัตถุลอยไปให้

 

วินาทีที่เห็นข้อความนี้หัวใจของฉู่ซือก็กระตุกวูบ

เมื่อครู่ความสนใจส่วนใหญ่ไปอยู่กับเรื่องที่ได้เจอเจี่ยงชีอีกครั้ง จนทำให้เขาเกือบลืมไปว่ารอบๆ ยังมีนกขมิ้นกลุ่มหนึ่งที่รอตั๊กแตนจับจักจั่นอยู่ข้างหลัง* ด้วย

สนามพลังงานที่แปรปรวนขณะนี้เริ่มสงบลงแล้ว ม่านกีดขวางสุดท้ายที่กีดขวางไม่ให้พวกมันเข้าสู่เขตอพาร์ตเมนต์ก็หายไปแล้ว พวกมันมุ่งตรงมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ

เดิมทีฉู่ซือเห็นที่นี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่คิดว่าเวลาย้อนกลับไปก่อนที่เขตอพาร์ตเมนต์จะถูกรื้อถอน ตอนนั้นเจี่ยงชีตายแล้ว ส่วนเขาก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว อพาร์ตเมนต์ห้องนี้เป็นแค่บ้านพักว่างหนึ่งห้องในรายชื่อของกองทัพเท่านั้น

ถ้าอย่างนั้นเขาก็แค่ค้นหาวัตถุเป้าหมายแล้วค่อยหลบเลี่ยงนกขมิ้นพวกนั้น ต้องใช้วิธีการรุนแรงหรือไม่ สถานการณ์อันตรายไหม เขาไม่ได้ใส่ใจนัก

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเวลาของที่นี่จะย้อนกลับไปถึงช่วงที่เขากับเจี่ยงชียังอยู่ด้วยกัน ถ้าอย่างนั้นเรื่องแรกที่เขาต้องพิจารณาก็ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะค้นหาวัตถุเป้าหมายเจอได้อย่างราบรื่นหรือไม่แล้ว แต่จะให้คนในบ้านนี้ถูกนกขมิ้นพวกนั้นเพ่งเล็งอย่างไร้เหตุผลไม่ได้

เขาจะปล่อยให้คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าพวกนั้นทำให้เจี่ยงชีเดือดร้อนไม่ได้

ต่อให้ในความทรงจำของเขา นอกจากเอกสารการวิจัยสำคัญหายไปชุดหนึ่ง เจี่ยงชีก็ไม่ประสบกับปัญหาอื่น แต่ในเมื่อเขากับซ่าเอ้อกลับมาที่นี่ ณ เวลานี้ และเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยความบังเอิญ ทุกอย่างหลังจากนี้จะดำเนินไปตามวงจรเดิมหรือไม่ จะเกิดความคลาดเคลื่อนหรือเกิดความเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนก็พูดได้ยากแล้ว

เขาไม่อยากให้ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขาเจอปัญหายุ่งยาก

“ตอนพวกเราเข้ามา เหมือนคุณก็เพิ่งกลับมาใช่ไหม” ฉู่ซืออ่านข้อความจบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ถือเครื่องสื่อสารแล้วเอ่ยถามเหมือนชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ

เขาต้องหาทางให้เจี่ยงชีออกไปจากที่นี่

เจี่ยงชีนิ่งงันก่อนตอบ “อ๋อ” พลางคลึงหว่างคิ้ว “ตอนแรกจะออกไปประชุม ปรากฏว่ากลางทางนึกได้ว่าไม่ได้เอาข้อมูลฉบับร่างระยะแรกไปด้วย เลยย้อนกลับมาเอา”

ข้อมูลฉบับร่างระยะแรก

ฉู่ซือจับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว

ความทรงจำของคนนั้นช่างประหลาด บางครั้งรายละเอียดเรื่องราวบางอย่างถูกกาลเวลาที่ยาวนานกลบทับไปแล้ว แม้แต่ตัวเองก็จำไม่ได้แล้วว่าลืมไปหรือยัง แต่เมื่อปุบปับได้ยินคีย์เวิร์ดหรือเหตุการณ์บางอย่าง รายละเอียดที่ถูกกลบทับส่วนนั้นก็ผุดขึ้นมาทันที

ในที่สุดฉู่ซือก็นึกได้แล้วว่าตอนนั้นเจี่ยงชีย้อนกลับมากลางคันเพื่อกลับมาเอาข้อมูลวิจัยฉบับร่างชุดนั้น ภายหลังเหมือนพบว่าข้อมูลถูกสลับไป

เรื่องของที่ถูกขโมยฉู่ซือรู้ไม่ละเอียดนัก เพราะเจี่ยงชีไม่มีทางบอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับของทางกองทัพกับเด็กอายุเก้าขวบง่ายๆ ต่อให้เป็นลูกชายของตัวเองก็ตาม

ฉู่ซือเจอจุดเปิดผนึกจากคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว จึงไหลตามไปทันที “งั้นคุณก็ต้องออกไปประชุมไม่ใช่เหรอ ขอโทษด้วยครับ พวกเรามารบกวนเวลาแล้ว”

วืด…วืด…

เครื่องสื่อสารดังสั่นติดกันสองครั้ง ฉู่ซือเปิดหน้าจอแล้วกวาดตาดูรอบหนึ่งก็เห็นถังส่งข้อความมาอีกข้อความ…

 

‘หัวหน้า! กลุ่มวัตถุลอยพวกนั้นขยับแล้ว! ตรงไปทางพวกคุณ แถมเร็วพอสมควรเลยด้วย! คุณกับคุณหยางสำรวจเสร็จแล้วหรือยัง ต้องการกองหนุนไหมครับ’

 

ฉู่ซือยังคงไม่แสดงอารมณ์บนสีหน้า แต่นิ้วที่จับเครื่องสื่อสารกลับกุมแน่นทีหนึ่ง

ข้อความที่ถังส่งมาแค่สั่นไปเสียงเดียว เสียงสั่นอีกเสียงนั้นมาจากเครื่องสื่อสารของเจี่ยงชี

ฉู่ซือตอบกลับข้อความของถัง หางตาก็จับตาดูการเคลื่อนไหวของเจี่ยงชีไปด้วย

 

‘เจรจากับคาร์ลอส เบลก ถามพวกเขาว่าอยากเปลี่ยนจากเชลยมาเป็นพาร์ตเนอร์ไหม เตรียมหนังสือสัญญาไว้ด้วย คนที่ยินยอมให้ลงชื่อแล้วปล่อยตัวเป็นอิสระ ส่วนที่ไม่ยอมก็ใส่ตรวนไฟฟ้าไว้เป็นเสบียงสำรอง’

 

เขาพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็วแล้วส่งออกไป แทบจะชั่วพริบตาก็ได้รับข้อความตอบกลับจากถัง…

 

‘หัวหน้า เขาบอกว่าพวกเราไม่มียางอาย กดขี่ข่มเหงคนอื่น’

 

ฉู่ซือตอบโดยตาไม่กะพริบ…

 

‘มีสองทางเลือก ให้เลือกแค่หนึ่งทาง มีมนุษยธรรมสุดๆ แล้ว’

 

ต่อหน้าเจี่ยงชีเขาไม่สะดวกที่จะเปิดจอโฮโลแกรมที่เหน็บอยู่ตรงชายแขนเสื้อ แต่ดูจากข้อความก่อนหน้านี้ของถัง วัตถุลอยที่อยู่รอบเศษเสี้ยวดาวเคราะห์มีจำนวนไม่น้อย ลำพังเขากับซ่าเอ้อรวมถึงทีมหน่วยฝึกห้าคน ประจัญบานกันขึ้นมาย่อมเสียเปรียบ มองจากเวลานี้แล้ววิธีการเดียวที่ทำได้ก็คือดึงผู้พเนจรกลุ่มนั้นมาเป็นพวก

วิธีการเอาชีวิตรอดของผู้พเนจรกำหนดให้พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ร่วมงานด้วยง่าย ขอเพียงเล็งหาสิ่งที่พวกเขาสนใจมาเป็นเบี้ยต่อรอง

สิ่งที่ผู้พเนจรส่วนใหญ่ต้องการนอกจากทรัพยากรในชีวิตประจำวันที่อุดมสมบูรณ์ก็คืออาวุธยุทโธปกรณ์ สองสิ่งนี้เกี่ยวพันถึงว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตในอวกาศได้ดีหรือไม่ ฉะนั้นจึงไม่มีวันเป็นของล้าสมัย แต่ด้วยสถานการณ์ในขณะนี้ ทรัพยากรในชีวิตประจำวันกับอาวุธของพวกฉู่ซือเองก็เป็นปัญหา ยิ่งไม่ต้องคาดหวังว่าเอามาเจรจาได้

เพราะฉะนั้นพวกเขาจำต้องหาเบี้ยต่อรองอื่น

ฉู่ซือจึงตอบกลับไป

 

‘นายบอกคาร์ลอส เบลก เป้าหมายที่เราร่วมมือกันมีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะเป็นนครซิลเวอร์’

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่งข้อความของถังก็ถูกส่งมา

 

‘หัวหน้า เขาบอกว่าตกลง’

 

ฉู่ซือจึงตอบกลับไป

 

‘ติดต่อเลอ แปนกับหลิว ในศูนย์หลบภัยมียานบินทหารฉุกเฉิน ให้พวกเขาขับมาให้ครบจำนวนที่ใช้’

 

ขณะที่เขากับถังสื่อสารกัน เจี่ยงชีซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาก็หลุบตาลงอ่านข้อความ จากนั้นก็ขยับพิมพ์เครื่องสื่อสารไม่กี่ที ดูเหมือนจะตอบกลับเพียงสั้นๆ

เมื่อนานมาแล้วเขาก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นรับสายสื่อสารหรือตอบข้อความก็จะมีเพียงถ้อยคำไม่กี่คำ ไม่เคยพูดอะไรให้มากความ ต่างจากเวลาสนทนาในยามปกติอย่างสิ้นเชิง

มิหนำซ้ำเรื่องที่จะทำให้เขาอ่านแล้วตอบกลับด้วย ส่วนมากก็เป็นธุระเรื่องงานทั้งนั้น

เจี่ยงชีตอบกลับแล้วก็เก็บเครื่องสื่อสาร ก่อนเงยหน้าขึ้นกล่าวขอโทษ “เจ้าหน้าที่ที่ประชุมเร่งมาแล้ว ผมน่าจะอยู่จนนิติฯ ซ่อมแบตฯ พลังงานจนเสร็จไม่ได้” เขามองนาฬิกาในห้องรับแขก กล่าวอย่างติดจะอ่อนใจเล็กน้อย “ประสิทธิภาพของพวกเขาต่ำกว่าที่ผมคิดไว้ไม่น้อย”

ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ ฉู่ซือกลับโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

เขาเอ่ยปากแทบจะทันที “พวกเรารบกวนนานแล้ว ทางนิติฯ ประสิทธิภาพแย่แค่ไหน แบตฯ พลังงานตัวเดียวก็ไม่น่าจะถึงกับต้องซ่อมหลายชั่วโมง พวกเราค่อยหาที่รอที่อื่นแล้วกันครับ”

เจี่ยงชีหัวเราะ อันที่จริงเขามีรูปลักษณ์อ่อนวัยมาก ไม่เห็นร่องรอยของกาลเวลาบนใบหน้า เขาในกาลอวกาศนี้อายุมากกว่าฉู่ซือที่อยู่ในวัยหนุ่มตอนนี้เกือบสามสิบปี แต่หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอก บอกว่ามากกว่าสิบปีก็มีคนเชื่อ

แต่กิริยารวมถึงน้ำเสียงการพูดจาของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้อาวุโส แม้กระทั่งรอยยิ้มและแววตาก็ยังเจือกลิ่นอายนั้น

กับฉู่ซือน้อยที่ง่วงซึมเป็นเช่นนั้น กับฉู่ซือเวอร์ชั่นผู้ใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น

กับซ่าเอ้อ หยาง…

เอาเถอะ ซ่าเอ้อ หยางเป็นข้อยกเว้น

ต่อให้เวลานี้บุคคลอันตรายคนนี้จะนั่งเงียบขรึมว่าง่าย ก็ยากจะทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่อะไร

ฉู่ซือขยับตัวลุกจากโซฟาในห้องรับแขก ซ่าเอ้อกลับช้ากว่าจังหวะหนึ่ง เขายกแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกนานสองนานขึ้นดื่ม ก่อนจะวางแก้วลงแล้วลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ส่งยิ้มให้ฉู่ซือ

“คอแห้งนิดหน่อยจริงด้วย”

“ทำอย่างกับนายพูดเยอะอย่างนั้นล่ะ” ฉู่ซือย้อนกลับประโยคหนึ่ง

“ที่รัก น้ำรินไว้ให้ดื่ม ไม่ได้เอาไว้ถือเล่นนั่งชม” ซ่าเอ้อบุ้ยคางไปทางแก้วที่อีกฝ่ายหมุนอยู่ในมือนานสองนาน

ฉู่ซือหลุบตามองแก้วน้ำในมือตัวเองสลับกับมองแก้วที่ซ่าเอ้อดื่ม พลันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ ว่าแล้วก็แหงนหน้ากระดกไปสองอึก ขณะกลืนน้ำลงคอหางตาก็ชำเลืองมองไปอีกทาง…เจี่ยงชีกำลังขยับเท้าไปทางห้องหนังสือ คาดว่าคงไปหยิบข้อมูลวิจัยฉบับร่างที่ลืมทิ้งไว้

เขามองการเคลื่อนไหวของเจี่ยงชีพลางก้มตัวหยิบแก้วน้ำของซ่าเอ้อด้วย เมื่อแตะขอบแก้วก็รู้สึกว่ามุมปากของตัวเองถูกลูบอย่างไม่หนักไม่เบาไปทีหนึ่ง สัมผัสแห้งผากเจือความหยาบกร้านนิดๆ

นิ้วของฉู่ซือกระตุก เกือบทำแก้วหล่นลงพื้น

เขาเบนสายตามองไปก็เห็นซ่าเอ้อเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างยกค้าง นิ้วโป้งขยับอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มเอียงหน้าเอ่ยขึ้น

“ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว น้ำเลอะออกมาแล้ว”

พูดมั่วซั่ว

ฉู่ซือยกมือลูบมุมปากทีหนึ่ง

“ฉันเช็ดให้เรียบร้อยแล้ว” ซ่าเอ้อบอกพลางแบมือให้ฉู่ซือ ขยับปากพูดด้วยรอยยิ้มอย่างไม่มีเสียงว่าเอาเครื่องสื่อสารให้ฉัน

ฉู่ซือมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเจี่ยงชี ในที่สุดก็ล้วงเครื่องสื่อสารออกมาตบใส่ฝ่ามือของซ่าเอ้อ จากนั้นก็หยิบแก้วน้ำสามใบบนโต๊ะกระจกแล้วหมุนร่างเดินไปทางห้องครัว

“ขอใช้อ่างล้างจานหน่อยนะครับ ผมจะล้างแก้วให้” ขณะฉู่ซือเปิดก๊อกน้ำ หางตาก็เหลือบไปเห็นเจี่ยงชีเดินออกจากห้องหนังสือจึงเอ่ยปากขอ

ความจริงแล้วเคาน์เตอร์ข้างๆ ก็มีเครื่องล้างจานและฆ่าเชื้ออัตโนมัติอยู่ แต่เจี่ยงชีเป็นพวกอนามัยจัดกับเรื่องนี้ ต้องล้างแก้วน้ำจานชามด้วยมือสองรอบแล้วค่อยเอาเข้าเครื่องล้างจาน

มิหนำซ้ำของพวกนี้คนอื่นล้างแล้วไม่นับ เขาจะต้องล้างด้วยตัวเอง

ที่ผ่านมาทุกครั้งที่กลับถึงบ้านหลังจากไปทำงานนอกพื้นที่หลายวัน เขาก็ต้องนำถ้วยชามที่แม่บ้านล้างแล้วมาล้างใหม่อีกรอบ

ดีว่าเขาทารุณแค่กับตัวเอง ไม่ได้บังคับให้ฉู่ซือเป็นเหมือนเขาด้วย

เจี่ยงชีเพิ่งเดินเข้าห้องรับแขก พอได้ยินดังนั้นก็วางซองเอกสารสีดำในมือลงบนที่วางแขนของโซฟาแล้วตรงไปยังห้องครัวทันที

“วางไว้เดี๋ยวผมทำเอง”

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” ฉู่ซือตอบ จงใจเลือกวิธีล้างแบบขอไปที

เจี่ยงชีมองเขาแวบหนึ่งก่อนพูดกลั้วหัวเราะ “วิธีล้างของคุณนี่เหมือนลูกชายผมเปี๊ยบเลย”

ฉู่ซือหัวเราะด้วย “เหรอครับ”

เจี่ยงชียืนห้อยแขนข้างลำตัวทั้งสองข้าง อดทนให้อีกฝ่ายย่ำยีแก้วทั้งสามใบแล้วจึงรับมาจัดการรอบที่สอง

“เอาล่ะ ผมทำเอง ไปเช็ดมือเถอะ”

น้ำเสียงของเขาเป็นธรรมชาติเกินไป ธรรมชาติจนเหมือนพูดกับคนในครอบครัว ทำเอาฉู่ซือชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินและอดมองอีกฝ่ายไม่ได้

“อะไร จะดูเพื่อเรียนรู้ด้วยเหรอ” เจี่ยงชีหยอกล้อ

“อืม” ฉู่ซือดึงกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งมาเช็ดมือพลางตอบ “ตอนเด็กๆ ผมขี้เกียจ เวลาล้างของพวกนี้ก็ทำลวกๆ ตลอด ตอนนี้มีโอกาสก็หัดเสียหน่อย”

“หัดแล้วจะได้เอาไปใช้เหรอ” เจี่ยงชีหัวเราะ “ฝากท้องไว้ข้างนอกตลอด ขั้นตอนนี้ก็ถือว่าข้ามไปได้เลย”

ตำแหน่งที่ฉู่ซือยืนดูไม่ตั้งใจ เหมือนแค่มองให้ชัดว่าเจี่ยงชีล้างแก้วให้สะอาดกว่าอย่างไร แต่ความจริงแล้วเขายืนจุดนี้นั้นบังสายตาของเจี่ยงชีที่จะมองไปทางห้องรับแขกได้พอดี

เขาอาศัยจังหวะที่เจี่ยงชีล้างแก้วเสร็จแล้วหันเอาพวกมันไปวางในเครื่องล้างจานอัตโนมัติ ชำเลืองมองไปทางห้องรับแขกอย่างไวแวบหนึ่ง ก็เห็นซ่าเอ้อเดินผละจากซองเอกสารสีดำนั้น ยกเครื่องสื่อสารในมือแล้วขยิบตาขวาให้เขาทีหนึ่ง

เมื่อฉู่ซือกับเจี่ยงชีเดินตามกันมาถึงห้องรับแขก ซ่าเอ้อกำลังยืนเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง ก้มหน้าพิมพ์เครื่องสื่อสารอยู่ข้างโซฟาสองที่นั่ง

“หืม? เสร็จแล้วเหรอ” ซ่าเอ้อเงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง ก่อนแตะหน้าจอไปสองครั้งแล้วเก็บเครื่องสื่อสารเข้ากระเป๋าตัวเอง อิริยาบถทั้งหมดดูเหมือนเมื่อครู่เขาแค่ฆ่าเวลาเท่านั้น

เจี่ยงชีเดินไปหน้าที่แขวนผ้า หยิบเสื้อนอกไปพาดแขน ก่อนจะเดินกลับไปที่โซฟาสองที่นั่งแล้วก้มตัวลูบศีรษะของเด็กน้อยที่นอนขดตัวแล้วเอ่ยเรียก

“เจ้าลูกชาย?”

ฉู่ซือน้อยนอนขดตัวไม่ไหวติงราวกับกำลังอยู่ในสภาวะจำศีล

เจี่ยงชีหลุดหัวเราะ “เจ้าเด็กนี่”

เขายืนอยู่ตรงนั้น มองฉู่ซือน้อยที่หลับปุ๋ยไร้การตอบสนองครู่หนึ่งแล้วบอกเสียงเบา “ลูกชาย พ่อไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมา”

ขณะพูดถึงประโยคสุดท้ายเขาก็หมุนตัวมาประสานสายตากับฉู่ซือพอดี

แต่พริบตาเดียวเขาก็หลุบสายตาลง ยื่นมือไปหยิบซองเอกสารบนที่วางแขนของโซฟา มองด้านในจากปากซอง หลังแน่ใจว่าตนไม่ได้หยิบผิดอีกจึงเดินไปที่ประตู

“รบกวนแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ” ฉู่ซือกับซ่าเอ้อออกไปนอกประตูก่อนเขาก้าวหนึ่ง

เครื่องสื่อสารของฉู่ซือสั่นอีกครั้ง ยังคงเป็นข้อความจากถัง…

 

‘หัวหน้า วัตถุลอยกลุ่มนั้นลงจอดล้อมจุดที่พวกคุณอยู่แล้ว ผมกับคาร์ลอส เบลกอยู่บนยานลำเดียวกัน กำลังพากองทัพผู้พเนจรไป ทางนี้มีพวกกายอยู่เฝ้า คาดว่าอีกห้านาทีก็เข้าประจำที่’

 

ฉู่ซือกำลังจะตอบ พลันรู้สึกว่าทั้งตึกสั่นสะเทือนหนหนึ่งซึ่งเบามาก หากไม่ได้อยู่บนตึกสูงอาจจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำ

“แผ่นดินไหวเหรอ” มือของเจี่ยงชีที่ปิดประตูชะงักกึก

“น่าจะใช่ แต่ริกเตอร์ไม่รุนแรง” ฉู่ซือตอบไปแบบนั้น สายตากลับประสานกับซ่าเอ้อแวบหนึ่ง

แรงสั่นสะเทือนลักษณะนี้ไม่ใช่แผ่นดินไหว เขาเคยสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอันน้อยนิดนั้นขณะเข้ารับการทดสอบในสภาพแวดล้อมจำลอง มันเหมือนเค้าลางที่สภาพแวดล้อมจำลองหรือสภาพแวดล้อมชั่วคราวบางอย่างกำลังจะถูกทำลายหรือพังทลายมากกว่า

ณ ขณะนี้น่าจะเป็นกาลอวกาศที่ถูกบีบเข้าหากันนี้กำลังจะหายไปแล้ว

สำหรับฉู่ซือนี่เป็นเรื่องดี หากมิติเวลานี้หายไป เช่นนั้นอพาร์ตเมนต์นี้ เจี่ยงชีที่กำลังจะไปประชุม รวมถึงเอกสารฉบับร่างชุดนั้นในมืออีกฝ่ายก็จะหายไปจากเศษเสี้ยวดาวเคราะห์นี้ แล้วดำเนินต่อไปในกาลอวกาศที่พวกเขาอยู่

ฉู่ซือก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าพวกไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ล้อมอยู่ข้างนอกจะมารบกวนที่นี่

ตอนที่เขาถ่วงเวลาให้เจี่ยงชีล้างแก้วน้ำ ซ่าเอ้อน่าจะใช้ฟังก์ชันสแกนทะลุในเครื่องสื่อสารของเขาดึงข้อมูลที่อยู่ในซองเอกสารมาแล้ว

สิ่งที่ควรได้ก็ถึงมือแล้ว คนที่อยากเจอก็ได้เจอแล้ว

ทุกอย่างสมบูรณ์และราบรื่น สภาพจิตใจน่าจะไม่เลว แต่เมื่อพวกเขารีบร้อนลงจากตึก เห็นเจี่ยงชีโบกมือลาพวกเขาก่อนเดินเลียบไปทางประตูทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอพาร์ตเมนต์คนเดียวนั้น จิตใจของฉู่ซือกลับหม่นหมองลง

นานมาแล้ว หนึ่งปีก่อนที่เจี่ยงชีจะเสียชีวิต ครั้งหนึ่งขณะเจี่ยงชีกับฉู่ซือสนทนากันแล้วหัวข้อวกไปที่เรื่องเวลา ตอนนั้นอีกฝ่ายพูดกับฉู่ซืออย่างจริงจังประโยคหนึ่งว่า ‘ถ้ามีวันหนึ่งเราสามารถควบคุมเวลาได้ตามอำเภอใจ นั่นอาจเป็นเรื่องที่มีแรงดึงดูดยั่วยุที่สุดในโลกแล้ว’

เจี่ยงชีเคยทอดถอนใจแล้วตักเตือนฉู่ซือว่าหากมีวันที่เกิดเรื่องแบบนั้น จำไว้ว่าอย่าไปแก้ไขอะไรมากเกินไป เพราะจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่เกินคาดเดา ยากเกินคะเน เนื่องจากแรงยั่วยุมักมาคู่กับภยันตราย

เวลานั้นฉู่ซือไม่ค่อยเข้าใจ เพราะไม่มีอะไรที่จะยั่วยุจนเขาต้านทานไม่ได้

ทว่าตอนนี้จู่ๆ เขาก็เข้าใจแล้ว

เขาเห็นเจี่ยงชีเดินออกไประยะหนึ่งแล้ว ใกล้จะพ้นประตูเขตอพาร์ตเมนต์ จู่ๆ ฉู่ซือก็ส่งเสียงใส่แผ่นหลังของอีกฝ่าย

“วันที่ 14 เดือนพฤศจิกายน ปี 5667”

เจี่ยงชีชะงัก หันมามองเขา “อะไรนะ”

“วันที่ 14 เดือนพฤศจิกายน ปี 5667 วันนั้น…อย่าออกจากบ้านได้ไหมครับ”

จู่ๆ เขตอพาร์ตเมนต์ก็เริ่มสั่นอีกครั้งหนึ่ง เหมือนทะเลสาบที่ถูกคนด้วยเสายาวๆ ตึกและเงาต้นไม้เริ่มได้รับผลกระทบ กิ่งก้านสั่นไหวกีดขวางทางด้านหน้า

เจี่ยงชียืนนิ่งใต้ร่มไม้อยู่ครู่หนึ่ง มองมาทางนี้เงียบๆ ไม่ได้เอ่ยปากพูดจา สีหน้ากับแววตาเลือนรางในม่านราตรีทำให้คนมองไม่เข้าใจ

“คำพูดนี้อาจจะเสียมารยาท” ฉู่ซือรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่เคยทำเรื่องที่วู่วามไม่สนใจผลที่ตามมาแบบนี้มาก่อน อาจเพราะเขาไม่เคยเห็นทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก* ที่ยากจะหวนคืนมาก่อน “แต่ว่า…”

“ไม่เป็นไร” น้ำเสียงของเจี่ยงชีฉายแววความอ่อนโยนของผู้อาวุโสกว่า “ไม่เป็นไร ทุกคนต่างมีเวลาที่บุ่มบ่ามวู่วาม ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น”

เสียงสั่นของเครื่องสื่อสารดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง น่าจะเพราะทางถังมีสถานการณ์ใหม่อีกแล้ว

เขตอพาร์ตเมนต์ที่ข้ามเวลามาหลายสิบปีผืนนี้เริ่มไม่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ทางเจี่ยงชีน่าจะไม่รู้สึกถึงความโกลาหลที่เหมือนจะพังทลายลักษณะนี้ ส่วนฉู่ซือกลับไม่มีเวลาสนใจแล้ว เขาแค่อยากได้ยินเจี่ยงชีตอบ อยากได้ยินเจี่ยงชีพูดว่า ‘ครับ ผมจะจำไว้’

ทว่าเมื่อเจี่ยงชีเอ่ยปากอีกครั้ง กลับยังคงไม่ได้พูดคำตอบที่ฉู่ซืออยากฟัง

ท่ามกลางคลื่นสั่นไหวที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉู่ซือได้ยินเจี่ยงชีตอบไม่ตรงคำถาม

“เหมือนผมจะลืมบอกคุณว่าคุณเหมือนลูกชายผมมาก เหมือนทั้งหน้าตาและนิสัย”

ฉู่ซือยืนอยู่ตรงนั้น มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำแน่น ครู่หนึ่งจึงตอบ “อืม” เสียงหนึ่ง

“ผมเคยพูดเล่นกับลูกชายว่าเขาโตช้าเกินไป อยากข้ามเวลาหลายสิบปีไปดูตอนที่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว” น้ำเสียงของเจี่ยงชีเจือแววหัวเราะเล็กๆ

ฉู่ซือหลับตา ยังคงตอบกลับเพียงคำเดียวว่า “อืม”

“คำพูดนี้อาจฟังดูเสียมารยาท แต่ผมก็ยังจะบอกว่า…” เจี่ยงชีหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ผมดีใจมาก”

“ผมเองก็…ดีใจมากเหมือนกัน” ฉู่ซือตอบ

“บอกตามตรงว่าดูไม่ค่อยออกเท่าไหร่” เจี่ยงชีพูดเชิงหยอกล้อ เขตอพาร์ตเมนต์ทั้งเขตดูใกล้พังทลาย เวลาเหลือน้อยเต็มที เขามองฉู่ซืออีกครู่หนึ่งก่อนโบกมือให้ทางนี้ “ผมต้องไปแล้ว บางที…”

พูดยังไม่ทันจบภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป ฉู่ซือมองกาลอวกาศนี้แตกสลายเหมือนผืนดินชิ้นเล็กชิ้นน้อย หนึ่งในรอยแยกนั้นพาดขวางอยู่ตรงหน้าเขา เจี่ยงชีอาจอยู่ด้านหลังรอยแยก อาจหายไปพร้อมกับกาลอวกาศนั้นแล้ว ฉู่ซือมองไม่เห็นอีกฝ่ายและไม่อาจได้ยินอีกครึ่งประโยคสุดท้ายนั้น

“หัวหน้า ถ้ายังใจลอยอยู่ตรงนี้อีก พวกเราก็จะถูกกาลอวกาศที่พังทลายฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วนะ” เสียงของซ่าเอ้อดังขึ้นข้างหูเขา “ฉันน่ะไม่กลัวหรอก แต่ถ้าเป็นนายล่ะก็…แยกส่วนแล้วก็ประกอบใหม่ไม่ได้แล้ว”

ฉู่ซือยังไม่ทันมีปฏิกิริยาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกคนคว้าข้อมือให้วิ่งไปตามถนนของเขตอพาร์ตเมนต์ที่เริ่มอันตรธาน

เมื่อเห็นเขตแดนของกาลอวกาศนี้ บริเวณนั้นก็เริ่มมีรอยร้าวชัดเจน ถ้าพวกเขาฝืนออกไปตามรอยร้าวแล้วออกไปถึงด้านนอกน่าจะเหลือแค่ศีรษะหรือแค่ขา ส่วนที่เหลือน่าจะตกอยู่ในอีกกาลอวกาศหนึ่ง

พื้นที่ที่ยังไม่ถูกฉีกออกมีขนาดแค่คนครึ่งตัว อีกทั้งยังหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง

“มา กอดกัน!” ซ่าเอ้อหันหน้ามาหัวเราะทีหนึ่งขณะวิ่ง แขนที่จับมือของฉู่ซือตวัดกลับกะทันหัน

“กระโดด!” ฉู่ซือตวัดแขนโอบคออีกฝ่ายตามแรงกระชากนั้น ทั้งสองอาศัยแรงเฉื่อย* กระโดดเบี่ยงร่าง แนบตัวกันลอดผ่านพื้นที่ที่หดเล็กลงเรื่อยๆ นั้นแล้วตกกระแทกลงพื้น

 

 

* เทอร์มินอล (Terminal) เป็นอุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีหน้าที่ในการรับข้อมูลและส่งข้อมูลเข้าไปยังระบบคอมพิวเตอร์

* นกขมิ้นกลุ่มหนึ่งที่รอตั๊กแตนจับจักจั่นอยู่ข้างหลัง หมายถึงตั๊กแตนกำลังจะจับจักจั่น แต่มีนกขมิ้นกำลังจะกินตั๊กแตนจากข้างหลัง มาจากสำนวน ‘ตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ เปรียบถึงสถานการณ์ที่มีฝ่ายหนึ่งรอแย่งชิงผลประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่งที่กำลังกระทำการโดยมองแต่ประโยชน์ตรงหน้า ไม่ได้คำนึงถึงอันตรายที่อาจซุ่มซ่อนอยู่ข้างหลัง

* ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect) หมายถึงเหตุการณ์หรือการกระทำเพียงเล็กน้อยอย่างหนึ่ง สามารถส่งผลกระทบอันซับซ้อนหรือสร้างปรากฏการณ์ใหญ่ในอนาคตอย่างมหาศาลจนคาดไม่ถึงได้

* แรงเฉื่อย ในทางฟิสิกส์หมายถึงสมบัติของวัตถุที่พยายามรักษาสภาพหยุดนิ่งเอาไว้ หรือการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนไหว วัตถุที่มีมวลมากจะมีความเฉื่อยมาก ทำให้วัตถุนั้นเคลื่อนที่ยาก ต้องใช้แรงมาก วัตถุที่มีมวลน้อยจะมีความเฉื่อยน้อย ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ง่าย ใช้แรงน้อย

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: