ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 3
ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)
แปลโดย : Luna
ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การฆ่าตัวตาย การก่อการร้าย
ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้อรังและอาการป่วยทางจิต
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 28 การทดลองเรื่องเวลา
“จุดประสงค์อะไร พวกคุณค้นพบได้ยังไง” ฉู่ซือถาม
“ส่วนใหญ่ก็พึ่งเจ้าของผลงานคนนี้”
จินตบไหล่ของเด็กน้อยข้างตัว นับตั้งแต่เขารู้ว่านี่คือเอสเธอร์ คาเบลก็สำรวมกิริยาวาจาไปมาก ไม่ทำเหมือนเธอเป็นเด็กน้อยจริงๆ ด้วยการหยอกล้อเล่นหัว และไม่เรียกเจ้าหญิงน้อยหรือลูกสาวสุดรักไปเรื่อย จะมีก็แค่เอาเปรียบเรื่องวัยเป็นบางครั้งในจุดที่เอสเธอร์มองไม่เห็นเท่านั้น
เขาว่า “ความจริงแล้วเรื่องที่คุณคาเบลทำมีเยอะกว่าที่พวกเราคิด เธอกระจายการออกแบบระบบด้านกลไกอัจฉริยะไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ อย่างเช่นระบบความปลอดภัยส่วนหนึ่งของเรือนจำอวกาศ โรงพยาบาล กองทัพ รัฐบาลกลาง กองอำนวยการความมั่นคง ส่วนหนึ่งของการออกแบบเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ในระบบตัวสมบูรณ์ เมื่อสัมผัสกับข้อมูลสำคัญบางอย่างก็จะทำการก๊อปปี้สำรองอัตโนมัติ ทั้งยังอัพเกรดตัวเองได้ หลังจากนั้นนานพักใหญ่ๆ เลยที่พวกเราได้ข้อมูลข่าวสารมากมายจากจุดนี้ จุดประสงค์การทดลองเรื่องเวลาแพร่งพรายออกมาก็เพราะการรวบรวมข้อมูลข่าวสารลักษณะนี้…”
แต่แรกเริ่มการนับปีปฏิทินนิวกริกอเรียน หลังจากทยอยค้นพบดาวพำนักสิบกว่าดวง เทคโนโลยีการอพยพก็พัฒนาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มทุนกลุ่มหนึ่งที่เดิมทีอยู่บนดาวอากีลาแกมม่าเริ่มย้ายไปดาวอื่น ท่ามกลางเหตุปะทะ ประนีประนอม รวมถึงสงครามวุ่นวายเล็กใหญ่นับไม่ถ้วนที่ไม่เคยขาดหายไปในช่วงหลายพันปีหลังจากนั้น นครซิลเวอร์ค่อยๆ แซงหน้าดาวอากีลาแกมม่าที่เป็นดาวแม่จนขึ้นแท่นเป็นหัวเรือใหญ่ ระดับเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าดาวดวงอื่นๆ มองจากอวกาศจะเห็นดาวครึ่งดวงส่องประกายสีเงินของโลหะผสมชนิดใหม่ล่าสุด ขาวจนแสบตา ด้วยเหตุนี้จึงมีฉายานามว่า ‘นครซิลเวอร์’
ทว่าบารมีล้นเหลือและหนทางที่ราบรื่นก็จะทำให้คนเกิดความรู้สึกได้ง่ายว่าตนเก่งกล้าไปเสียทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้การค้นคว้าวิจัยที่มหัศจรรย์พันลึกสารพัดของนครซิลเวอร์จึงผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดโดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้าย เมื่อมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าพลเมืองของดาวไหนก็ชินกับมันเสียแล้ว
แต่การวิจัยบางอย่างในนั้นไม่สนใจผลที่ตามมาตั้งแต่แรกที่ดำเนินการ ขั้นตอนบ้าบิ่นน่าสะพรึงกลัวทำให้อัตราการเกิดผลกระทบพุ่งสูงแบบก้าวกระโดด เมื่อเบื้องบนรู้สึกตัวแล้วสั่งการให้หยุดทันทีก็หยุดไม่อยู่แล้ว ไม่อาจกอบกู้ผลเชิงทำลายล้างกลับคืนมาได้
เมื่อหลายต่อหลายครั้งเข้า ภายใต้เปลือกอันรุ่งโรจน์ของนครซิลเวอร์ มันทรุดโทรมเสื่อมถอยมานานแล้ว ดาวทั้งดวงกำลังก้าวไปสู่การล่มสลายด้วยความเร็วอย่างพุ่งพรวดฉับไว
ภายนอกยังค้างอยู่ที่จุดสูงสุด แต่ภายในนั้นกำลังดิ่งลงเหวแล้ว
ดังนั้น…การทดลองเรื่องเวลาจึงถูกบ่มเพาะออกมา
พวกเขาต้องการสร้างยาเสียใจภายหลัง อยากได้โอกาสเริ่มต้นใหม่อีกนับครั้งไม่ถ้วน อยากทำลายข้อจำกัดจากผลตามที่มา ให้พวกเขาลิ้มลองทุกอย่างโดยไร้ข้อกังวล
พวกเขาต้องการปฏิเสธความหมายของกาลเวลา และปลดเปลื้องพันธนาการจากกาลเวลา
แต่สถานการณ์ของนครซิลเวอร์ในตอนนั้นยังไม่เพียงพอให้พวกเขาบ้าระห่ำเต็มที่ ความขัดแย้งปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดไม่ขาดสาย ก็คือนครซิลเวอร์เป็นตัวตั้งตัวตีจุดชนวนให้เกิดศึกจลาจลอวกาศที่ยาวนานเป็นศตวรรษ ก่อนอาศัยสงครามของอวกาศในการโยกย้ายความขัดแย้งและผลาญกำลังการผลิต พร้อมกันนั้นยังอาศัยความโกลาหลลอบชักนำการทดลองเรื่องเวลาไปยังดาวอื่น และแทรกซึมคนของตัวเองกระจายไปทั่วแต่ละดาว
“นายก็รู้ นี่ก็เหมือนกับการขุดลำน้ำสาขาในดาวพำนักดวงอื่นโดยมีนครซิลเวอร์เป็นต้นน้ำ” จินทำท่าประกอบไปด้วยขณะพูด พอพูดถึงตรงนี้ใบหน้าขาวซีดก็เริ่มขึ้นสี น้ำเสียงก็สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ดาวอย่างพวกเราถูกใช้เป็นจานเพาะเชื้อ ภายใต้สภาพแวดล้อมใหญ่ๆ ที่แตกต่างกันไป รอให้การทดลองเรื่องเวลาก่อตัว ซึ่งดาวของพวกเรามีคุณสมบัติมากที่สุด และเนื่องจากเคยเป็นดาวแม่ เพราะแบบนั้นจึงมีส่วนพัวพันกับกลุ่มอำนาจทางการเมืองและกลุ่มทุน เป็นบีกเกอร์ชั้นดีสำหรับพวกเขา
ฐานบัญชาการการทดลองเรื่องเวลาเหล่านี้มีการติดต่อเคลื่อนไหวกับเขตการทดลองเรื่องเวลาขนาดใหญ่ในนครซิลเวอร์ พวกผลกระทบต่อเนื่องอย่างคลื่นพลังงานและความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดจากการทดลองของนครซิลเวอร์ต่างถูกโอนถ่ายไปที่ดาวอื่นโดยเฉพาะดาวเรา ไม่รู้ว่านายยังพอจำได้ไหม มีอยู่หลายปีที่มีการรายงานว่าแนวโน้มการล่มสลายของนครซิลเวอร์กำลังพลิกกลับมาดีขึ้นด้วยความเร็วระดับหนึ่ง จากนั้นก็พล่ามเรื่องข้อมูลกับการทดลองจริงจังบ้าบอคอแตกอะไรก็ไม่รู้ ความจริงแล้วก็คือผลลัพธ์จากการทดลองเรื่องเวลาหลายครั้ง! มิหนำซ้ำการเปลี่ยนแปลงที่ว่าก็แค่ฉากหน้า แต่ผลสะท้อนกับพลังงานสวิงที่เกิดขึ้นกลับมากมายจนไม่อาจกำจัดไปได้!”
ก็เหมือนมีระเบิดที่มีค่าพลังงานสูงจนวัดค่าไม่ได้ซุกอยู่ในอก พยายามซ่อนเร้นอำพรางและทำทุกวิถีทางเพื่อหาแพะรับบาป
“ตอนนั้นพวกเราส่วนใหญ่ไม่อยู่กันแล้ว ถ้าไม่ใช่ถูกกำจัดลับๆ เหมือนคุณคาเบลกับเอเลน่าก็จบชีวิตในเหตุการณ์ปราการบาร์นีเหมือนพ่อนาย ผลกระทบทางใจครั้งนั้นใหญ่หลวงมาก เป็นปมในใจมาหลายสิบปี ฉันแล้วก็พวกเมลลาร์ดได้แต่ระวังตัวมากขึ้น ถ้าขืนยังเสี่ยงอันตรายอีกหลายรอบคงได้ย่อยยับกันหมด พวกเราใช้ชีวิตโดยอัดอั้นตันใจแบบนี้จนถึงปี 5685 ฐานบัญชาการเมเปิ้ลแดงครอสก็ถูกทำลาย นั่นก็ช่าง…” จินพิจารณาการใช้คำอยู่ครู่หนึ่ง “ชวนให้ฮึกเหิม”
พวกเซ่าเหิงกับโรเจอร์ “…”
แม้กระทั่งฉู่ซือก็ไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าอย่างไรไปชั่วขณะ เขาครุ่นคิดและพูดแทรกเป็นครั้งแรก “คำนี้ซ่าเอ้อ หยางได้ยินแล้วคงอึ้ง”
เอสเธอร์ยกมือขึ้นปรบสองทีเป็นเชิงให้กำลังใจ พร้อมทั้งถือโอกาสเห็นดีเห็นงามกับการใช้คำของจิน
ทุกคน “…”
จินพูดกลั้วหัวเราะ “ต่อให้เมลลาร์ดมาเอง เขาก็ต้องเห็นด้วยกับคำนี้”
ฉู่ซือนึกถึงสีหน้าเคร่งขรึมของพลเอกเมลลาร์ดเงียบๆ นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าได้ยินคำนั้นของจินแล้วอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยา ‘เห็นชอบ’ อย่างไร
“อันที่จริงตอนนั้นพวกเราทุกคนถูกสายตานับไม่ถ้วนจับตาดู แสดงทิศทางความคิดกับพฤติกรรมที่เด่นชัดเกินไปไม่ได้ แต่ฉันก็ยังบอกได้ว่าการที่คุณซ่าเอ้อ หยางลอยนวลได้ถึงสิบเจ็ดปีส่วนหนึ่งคือเขาเก่งจริง อีกส่วนหนึ่งคือมีความดีความชอบของพวกเมลลาร์ดอยู่ด้วย”
ฐานบัญชาการเมเปิ้ลแดงครอสถูกทำลาย เป็นอย่างที่ซ่าเอ้อ หยางบอก ความจริงแล้วเป็นการทำลายระบบเครื่องมือทุกอย่างรวมถึงแหล่งพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการทดลองเรื่องเวลาในฐานบัญชาการ ไม่ได้พัวพันถึงชีวิตใครแม้แต่ชีวิตเดียว ส่วนการระเบิดที่ตามติดมาหลังจากนั้นเป็นฝีมือของกองทัพ ด้านหนึ่งเพื่อเพิ่มความผิดของซ่าเอ้อ หยางให้หนักขึ้น อีกด้านหนึ่งเพื่อกลบเกลื่อนอำพราง
ส่วนรายชื่อผู้สูญหายชุดนั้น ความจริงแล้วเป็นรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับการทดลองเรื่องเวลา
กองทัพ รัฐบาลกลาง และกองอำนวยการความมั่นคงที่เป็นขั้วอำนาจเดียวกันใช้ ‘การสูญหาย’ เป็นข้ออ้างในการโยกย้ายคนเหล่านั้นทั้งหมด
ที่น่าเสียดายคือแม้ซ่าเอ้อ หยางจะทำลายรังเก่าที่ใหญ่ที่สุดของพวก ‘การทดลองเรื่องเวลา’ บนดาวอากีลาแกมม่าได้ แต่ขอเพียงนครซิลเวอร์ซึ่งเป็นรากฐานที่แท้จริงยังดำรงอยู่ การสร้างและกู้คืนข้อมูลการทดลองย่อมเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว
“ตอนนั้นฉันประมาทเกินไปหน่อย ตอนหลังทำเรื่องที่ผิดต่อสมองไป โง่สุดๆ เลย” จินพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ตอนหลังฉันใช้โปรเจ็กต์การวิจัยเป็นข้ออ้างไปสำรวจรังใหม่ของพวกเขามาหนหนึ่ง ปรากฏว่าถูกแคปซูลทดลองที่มีปัญหาขัดข้องเล่นงานเข้าเต็มเหนี่ยว”
“…” ทุกคนจ้องใบหน้าอันอ่อนวัยของจินเป็นตาเดียว กลัวเขาจะแจ้งมาอีกประโยคว่า ‘เพราะงั้นฉันเองก็ตายแล้ว’
“อย่ามองฉันด้วยสายตาเหมือนจะไปปัดกวาดหลุมศพแบบนั้น” จินโบกมือ “ฉันยังไม่ตาย แต่เวลาส่วนบุคคลเกิดวุ่นวายขึ้นมา ทำให้ฉันย้อนกลับไปอยู่ในร่างวัยหนุ่ม”
“สภาพร่างกายกับสมรรถภาพล่ะ”
“ก็กลับไปตอนนั้นด้วย”
“งั้นก็ดีกว่าตาย” เซ่าเหิงว่า
เอสเธอร์เคาะนิ้วกับที่วางแขนเป็นจังหวะคล้ายรหัสมอร์ส เมื่อแปลสารแล้วก็คือ ‘แต่อายุทางร่างกายของเขาสั้นลงมาก’
ฉู่ซือย่นคิ้ว “กลับเป็นแบบเดิมได้ไหม”
จินส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก “ของฉันมันเป็นเหตุไม่คาดฝัน เลือกเดินหน้าถอยหลังตามอำเภอใจได้ที่ไหนกัน มีชีวิตอยู่ได้ก็ไม่เลวแล้ว” เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสริม “เทียบกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่พวกนั้น ฉันถือเป็นคนที่…โชคดีที่สุดคนหนึ่งแล้ว แต่อาจเพื่อชดเชยอายุที่ถูกหดสั้นลงของฉัน ฤดูหนาวปีที่สองฉันก็เก็บคุณคาเบลได้ที่โรงพยาบาล” จินหยุดไปอึดใจหนึ่งก่อนกล่าว “ในเวลาเดียวกันยังเห็นนายที่ถูกเซ่าตุนสั่งห้ามออกจากโรงพยาบาลก่อนเวลาด้วย”
“โรงพยาบาล?” ฉู่ซือนิ่งอึ้ง
เขาอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งยังถูกนายแพทย์อาวุโสเซ่าสั่งไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล…รวมๆ แล้วก็แค่ครั้งนั้น ซึ่งก็คือครั้งที่ร่างกายครึ่งซีกได้รับความเสียหาย
เวลานั้นคุณคาเบลก็อยู่ที่โรงพยาบาลด้วยหรือ
“เพราะฉะนั้นคุณคือ…” ฉู่ซือมองไปทางเอสเธอร์
อีกฝ่ายหรี่ตาแล้วยิ้มให้เขา ตอบด้วยการเคาะนิ้วเป็นจังหวะ ‘ขอบคุณที่จับฉันไว้’
ฉู่ซือสะอึกอึ้ง “คุณก็คือเด็กที่เกือบลื่นตกคนนั้น?”
เอสเธอร์เคาะนิ้วอธิบาย ‘ตอนนั้นหลังจากถูกจับขังในแคปซูลทดลอง ฉันน่าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว เพราะการทดลองไม่เคยมีร่างกึ่งสำเร็จแม้แต่คนเดียว แต่ความเป็นจริงคือพอฉันลืมตาตื่นก็อยู่ในทีมทดลองที่นายรับผิดชอบคุ้มกันกลุ่มนั้นแล้ว’
จินเล่าแทนเธอ “พวกเราเดาว่าน่าจะเป็นเพราะเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จอันน้อยนิดของแคปซูลทิ้งร่องรอยไว้บนตัวคุณคาเบลเล็กน้อยจนทำให้กาลอวกาศวุ่นวาย เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาของสภาพแวดล้อมใหญ่ที่เธออยู่ถูกดึงมาถึง และเวลาส่วนบุคคลถูกดึงกลับไปในอดีต ซึ่งก็คือช่วงที่อายุสองสามขวบ ไม่หลงเหลือความทรงจำ เหมือนเด็กที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสธรรมดาคนหนึ่ง บางทีอาจมีความสมดุลลึกลับบางอย่างอยู่ในนี้ ตอนนี้เธอเลยยังมีชีวิตอยู่”
เอสเธอร์เคาะเสริม ‘แน่นอน ยังไงนี่ก็เป็นอุบัติเหตุ ต่อไปจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่แน่แล้ว’
ทุกคน “…”
จินทำท่าคิดแล้วบอกกับฉู่ซือ “เฮ้อ…ก็เพราะถูกแคปซูลทดลองเล่นงานไปครั้งหนึ่งนี่แหละ ฉันไม่ได้ออกไปไหนเลยครึ่งปี เผลอแป๊บเดียวนายก็นอนเลือดโชกเข้าโรงพยาบาล ถ้าให้พ่อนายรู้เข้ามิตรภาพของพวกเราคงได้จบสิ้นแล้ว ตอนนั้นฉันต้องทำเป็นไม่รู้จักกับเซ่าตุน ไม่ได้โอกาสติดต่อกันโดยตรง เพราะฉะนั้นเลยซอกแซกหลายต่อเพื่อติดต่อเมลลาร์ด หลังจากนั้นเขาก็ลงมือนิดหน่อย ทำการย้ายตำแหน่งนายด้วยการให้เข้าไปอยู่ในกองอำนวยการความมั่นคงที่สงบกว่าเยอะ พวกเราไม่ค่อยอยากให้รุ่นของพวกนายเข้ามาพัวพันกับปัญหาพวกนี้ แต่ยังคงวางแผนไว้เรียบร้อย ถ้าเกิดพวกเราล้มหายตายจากกันหมด ชั่วดียังไงก็ยังมีพวกนายพยุงไว้ได้ แค่มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว”
ฉู่ซือฟังแล้วความรู้สึกซับซ้อนก็ผุดขึ้นมาในใจระลอกหนึ่ง…
คนที่เขานึกว่าเป็นคนแปลกหน้าที่ไร้ความเกี่ยวข้องกันต่างกำลังอวยพรเขาด้วยใจที่เป็นห่วง เพื่อนฝูงรุ่นพ่อที่จากไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ต่างคอยดูแลเขาอยู่ในมุมที่เขามองไม่เห็นอย่างเงียบๆ…
จินไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของฉู่ซือ ยังคงเล่าส่วนสุดท้ายที่เหลือต่อไป
“เอาเป็นว่าหลายปีนั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาหลายปีที่ดีที่สุดแล้ว ภายหลังเมลลาร์ดได้เป็นพลเอกก็ฝึกสายลับจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นฝ่ายเดียวกับฝ่ายตรงข้าม แม้เรื่องจำนวนคนหากเทียบกันแล้วพวกเราก็ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ถือว่ามีพัฒนาการที่ไม่เลว อันที่จริงพวกเราคาดเดามาตลอดว่าถ้าทางนครซิลเวอร์ยังบ้าระห่ำต่อไปจนทำให้พลังงานและกาลอวกาศรวนจนคุมไม่อยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องหาวิธีจัดการ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้หลักการปล่อยไปดีกว่ากดไว้ ซึ่งที่ที่มีสิทธิ์ถูกใช้เป็นที่โอนถ่ายปัญหามากที่สุดก็คือดาวของพวกเรา แต่ยังไงพวกเราก็ไม่สามารถค้นพบร่องรอยการขยายขอบเขตการทดลองเรื่องเวลาเลย ลำพังฐานบัญชาการเล็กๆ แห่งเดียวไม่เพียงพอที่จะรองรับปัญหาใหญ่ขนาดนั้น
จุดนี้พวกเรายังช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่เริ่มจะรู้ตัวแล้วทางนครซิลเวอร์ก็เกิดเหตุผิดพลาดทางการทดลองในระดับทำลายล้างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” จินเกาหัวแกรกๆ ทึ้งจนผมเปียด้านหลังของเขากระเซิง “ตอนที่ฉันได้รับข่าวคือบ่ายวันที่ 27 เดือนธันวาคม ปี 5713 ตอนนั้นฉันกำลังพาคุณคาเบลไปที่ป่าสนซีดาร์ดำ ก็คือเจาะจงไปดูนายในช่วงที่นายพักฟื้น ข่าวนั้นได้มาจากเมลลาร์ด ซึ่งข่าวที่เขาสืบได้คือเที่ยงวันนั้น เรื่องราวหลังจากนั้นนายก็รู้แล้ว พวกเราตั้งตัวกันไม่ทันด้วยซ้ำ ดาวทั้งดวงก็ถูกดึงเข้าสู่ฝันร้าย”
พลบค่ำของวันที่ 27 เดือนธันวาคม ปี 5713 สัญญาณเตือนดังขึ้นทั่วดาว ทุกคนใช้เวลาสามนาทีนั้นเข้าไปนอนในแคปซูลแช่แข็งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดด้วยความตระหนกลนลาน หลังจากนั้นก็คือม่านฟ้าอนธการที่เนิ่นนานจนแทบมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“เพราะฉะนั้นสุดท้ายนครซิลเวอร์ก็หาวิธีการโอนถ่ายได้…” ฉู่ซือว่า
“ใช่” จินพยักหน้า “หลังฉันกับคุณคาเบลตื่นจากแคปซูลแช่แข็งก็พบว่าแคปซูลแช่แข็งที่อยู่ในป่าสนซีดาร์ดำถูกปรับเปลี่ยนการตั้งค่า คนที่นอนอยู่ในนั้นจะตื่นช้ากว่าคนอื่นๆ ฉันคิดว่าตัวตนของฉันกับคุณคาเบลอาจจะถูกเปิดเผยโดยไม่รู้ตัวแล้ว อีกฝ่ายจับทางเวลาที่พวกเราจะไปที่ป่าสนซีดาร์ดำทุกปีได้แล้ว เลยทำอะไรตุกติกไปนิดหน่อย แต่บังเอิญมากที่เวลาส่วนบุคคลของพวกเรามันวุ่นวายอยู่แล้ว การทดลองเรื่องเวลาที่ทำให้พลังงานทั้งดาวเกิดความวุ่นวายและปะทะกันในชั่วพริบตาจนทำให้ดวงดาวระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งในระหว่างนั้นตัวของพวกเราสองคนก็ส่งผลถึงเวลาของเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ผืนนั้น เพราะอย่างนั้น…ก็เลยเกิดผลกระทบทำให้เวลายุ่งเหยิงขนาดนั้นด้วย”
จินไหวไหล่ “พวกเราเดาว่าเหตุการณ์ระส่ำระสายและการแตกทลายครั้งใหญ่รอบนี้สร้างผลกระทบถึงคนในปราการบาร์นีพวกนั้น…ตอนนั้นทีมทดลองที่เหมือนพวกเสียสติยัดคนกลุ่มนั้นเข้าไปในแคปซูลทดลองทั้งหมดโดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการไม่สิ้นเปลือง คงจะเอามาเป็นตัวหารไอ้เปอร์เซ็นต์สำเร็จที่น้อยจนน่าสงสารนั่น…แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้ผล คนกลุ่มนั้นจับพลัดจับผลูตื่นขึ้นมา เพียงแต่สภาวะในตอนนี้ของพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่และไม่ได้ตายแล้ว แต่ถูกหยุดชะงักไว้ที่จุดใดจุดหนึ่ง”
จินที่ตื่นขึ้นมาลองติดต่อคนอื่นๆ ซึ่งก็มีสัญญาณตอบกลับเพียงไม่กี่ราย เขาสงสัยว่าแคปซูลแช่แข็งของทุกคนอาจถูกทำอะไรบางอย่าง ฉะนั้นไม่ว่าตื่นแล้วหรือไม่ก็จะส่งข้อความแจ้งเตือนให้พวกเขาทั้งนั้น
จนกระทั่งเขาได้รับคลื่นสัญญาณที่มาจากเจี่ยงชี
หลังดวงดาวระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ทีมที่บาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัสสากรรจ์นี้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
“เจี่ยงชีเจอเบาะแสใหม่ในเอกสารข้อมูลฉบับร่างชุดหนึ่งที่ลูกศิษย์ของคุณคาเบลให้เขาไว้ก่อนตาย และเบาะแสนี้แหละที่ทำให้พวกเราเจอเครื่องมือเปิดกล่องแพนโดร่าที่แท้จริง” จินเล่า
“เอกสารข้อมูลฉบับร่าง?”
ฉู่ซือเชื่อมต่อเครื่องสื่อสารของตัวเองกับแผงปฏิบัติการของศูนย์บัญชาการทันที จากนั้นเปิดเอกสารที่เขากับซ่าเอ้อ หยางถอดรหัสในตอนนั้น เอกสารข้อมูลวิจัยฉบับร่างกับคลิปเสียงเรียงบนหน้าจอ
“ชุดนี้หรือเปล่า”
“เหมือนจะใช่จริงด้วย” จินเคาะแป้นสองทีไฟล์คลิปเสียงก็ทำงาน เสียงแปลกๆ นั้นพูดประโยคที่ฉู่ซือฟังครั้งก่อนซ้ำไปซ้ำมา
“ความอมตะสร้างปีศาจ ความตายสร้างพระเจ้า”
“เวลาของพวกนายกระชั้นกว่าพวกเรา เพราะงั้นเลยไม่เจอ นายจัดการไฟล์เสียงแบบนี้ดู…” จินขบปลายลิ้นพลางจ้องหน้าจอพร้อมเคาะแป้นอย่างรวดเร็ว ฉู่ซือไม่เคยเห็นท่าทางแบบนั้นมาก่อนจากการคลุกคลีกันก่อนหน้านี้
เขาแบ่งไฟล์เสียงทั้งหมดแล้วเปิดอีกรอบ กลายเป็นเสียงพยางค์เดียว
“แล้วใช้รหัสเบเน่ อ้อใช่ พวกนายไม่รู้จักรหัสเบเน่ นี่เป็นชุดรหัสที่พวกเราใช้กันภายในตอนนั้น” จินใช้กุญแจลับ* ของรหัสเบเน่ที่ว่าถอดรหัสเสียงพยางค์เดียวเหล่านั้น สุดท้ายก็ได้คำพูดประโยคหนึ่ง
“พวกมันสร้างปีศาจ ฉันเตรียมพระเจ้าไว้”
‘พระเจ้า’ ที่ว่านั้นคาดว่าก็คือการออกแบบ ‘การฟอร์แมต’ ที่เอสเธอร์ทิ้งไว้ให้พวกเขาตอนนั้น และท้ายที่สุดก็ถูกเจี่ยงชีติดตั้งไว้ที่ใต้ดินปราการบาร์นี
จินชี้ที่หน้าจอ “ตอนนั้นพวกเรานึกว่ามีแค่ข้อมูลนี้ชั้นเดียว แต่ความจริงยังมีอีกชั้น”
เขาแบ่งคำว่า ‘พวกมันสร้างปีศาจ ฉันเตรียมพระเจ้าไว้’ ออกมาเป็นตัวอักษรแถวหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นกุญแจลับอย่างหนึ่ง แปรตัวอักษรให้เป็นตัวเลขหลายกลุ่ม
ฉู่ซือเห็นแล้วเข้าใจทันที ตัวเลขแต่ละกลุ่มล้วนเป็นสัญลักษณ์แทน ‘แถวที่ x ตัวที่ y’
หลังจากนั้นจึงค้นในเอกสารฉบับร่างที่เหมือนไดอารี่นั้นตามตัวเลขกลุ่มนั้นจนได้คำตอบ คำตอบนั้นรวมตัวกันเป็นชื่อหนึ่ง…มอนด์ ฮอลลิส
วินาทีที่คนทั้งศูนย์บัญชาการเห็นชื่อนั้นก็เงียบกริบทันที
ระหว่างการออกแบบแคปซูลแช่แข็ง ทุกครั้งที่เกิดการเห็นต่างหรือขัดแย้งกัน มักมีคนตะคอกว่า ‘ต้องยกโลงศพของศาสตราจารย์มอนด์ ฮอลลิสออกมาข่ม พวกหน้าโง่อย่างพวกนายถึงจะหยุดใช่ไหม!’
ชื่อนี้ปรากฏน้อยมากในชีวิตประจำวัน แต่ทุกครั้งที่ปรากฏจะผูกติดกับอีกคำหนึ่งเสมอ…นั่นคือเสามังกร
มอนด์ ฮอลลิสคือหัวหน้านักออกแบบและเป็นผู้กุมบังเหียนเสามังกร
จินชี้ไปที่ชื่อนี้แล้วกล่าวกับทุกคนที่กำลังมีเหงื่อเย็นๆ ผุดพราย “มอนด์ ฮอลลิสเป็นผู้เข้าร่วมการทดลองเรื่องเวลาที่ซ่อนตัวได้มิดชิดที่สุด ตอนนี้พวกนายน่าจะรู้แล้วใช่ไหมว่านครซิลเวอร์ย้ายผลกระทบการทำลายล้างมาที่ดาวของพวกเรายังไง โอนถ่ายผ่านเสามังกรที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมของดาว น่ากลัวมากใช่ไหม”
น่ากลัวจริง…
ดูสีหน้าของทุกคนในนี้ก็รู้แล้ว
“เพราะฉะนั้น…ความหมายของคุณคือ…การทดลองเรื่องเวลาก็คือแผนชั่วที่มีนครซิลเวอร์คอยบงการอยู่เบื้องหลัง พวกเขาใช้ดาวของพวกเราเป็นหนึ่งในสถานที่ทดลอง วิจัยว่าจะสลัดข้อจำกัดของเวลายังไง พร้อมๆ กับอาศัยระบบเสามังกรที่กระจายอยู่ทั่วดาวโอนถ่ายผลกระทบการทำลายล้างที่เกิดจากการทดลองบ้าๆ ของนครซิลเวอร์มาทางเราโดยตรง?!”
เซ่าเหิงมึนตึ้บไปหมด เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้ายน้ำเสียงก็ลากขึ้นสูงอย่างควบคุมไม่อยู่ แผดจนเสียงหลง
“ใช่”
“เพราะงั้นที่ดาวของพวกเราระเบิดเป็นสภาพนี้ก็คือผลความเสียหายที่นครซิลเวอร์โอนถ่ายมา?”
“น่าจะใช่ นายลองจินตนาการดู ถ้ามีลูกโป่งหนึ่งใบ…” จินยกมือขึ้นวาดเป็นวงกลม “พลังงานที่ยุ่งเหยิงสุดขั้วมีคลื่นปะทะกัน ในเวลาเดียวกันกาลอวกาศมีแนวโน้มจะพังทลายและวุ่นวาย ส่วนนี้อาจจะเดินหน้า ส่วนนี้อาจจะยังดึงถอยหลัง เนื่องจากผลสะท้อนมาเร็วเกินไป ไม่มีเวลาให้ปรับตัว ผลของการที่ต่างไม่ยอมประนีประนอมกันคืออะไร” เขากางแขนทั้งสองข้างออกแล้วส่งเสียงว่า “บูม!”
ดวงดาวจึงระเบิดเป็นเสี่ยงภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
ไม่แปลกที่ตอนนั้นพลังงานแกนโลกมีปฏิกิริยาเร็วขึ้นกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้หลุดจากการควบคุม อัตราความเร็วในการขยายตัวเกินขีดจำกัดสูงสุด ดวงดาวที่มีวิวัฒนาการปกติย่อมไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้อย่างกะทันหัน แต่เกิดจากการถูกมนุษย์กระทำการรบกวนอย่างที่คิดไว้จริงๆ…
ตอนที่พวกเขาเห็นแผนที่ยุทธศาสตร์ดวงดาวของกองทัพก่อนหน้านี้ยังสงสัยว่าเพราะอะไรกองทัพของนครซิลเวอร์ถึงล้อมอยู่บริเวณเส้นระวังภัยส่วนนอกด้วยรูปแบบนั้น คล้ายกำลังคุ้มกันเขตช่วยเหลือไม่ให้กลุ่มอำนาจจากดาวอื่นรบกวน และอีกนัยหนึ่งก็เหมือนกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง
เวลานั้นพวกเขาไม่เข้าใจว่าสถานะพิลึกนี้คืออะไรกันแน่ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว…นั่นก็เหมือนนักทดลองผู้ละเมิดกฎลับๆ ล่อๆ กลุ่มหนึ่งกำลังล้อมจานเพาะเชื้อเพื่อสังเกตบันทึกความเป็นไปและผลลัพธ์ของการทดลอง
เผลอๆ ยังอยากจะเติมตัวทำปฏิกิริยาสักหน่อยเพื่อดูว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือไม่
ทั้งบ้าบิ่นและน่าสะอิดสะเอียน
“แต่ถ้าเป็นเสามังกร แล้วแม่งควรทำยังไงดี!” โรเจอร์เริ่มทึ้งผมตัวเองอีกแล้ว ปัญหาครั้งนี้น่าปวดหัวยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเป็นหมื่นเท่า
เทียบเท่ากับศัตรูโยนความเสียหายตรงเข้าหัวใจ หากไม่จัดการระบบเลือดทั้งตัวก็จะผิดปกติพร้อมกัน หรืออาจผิดปกติไปแล้ว ซ้ำยิ่งอยู่ยิ่งอาการหนัก แต่หากจัดการ…นั่นก็ต้องตัดหัวใจออก เปลี่ยนเลือดทั้งหมด
ทว่าหัวใจเสียหายแล้วยังเปลี่ยนได้ แต่เสามังกรไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้แล้ว
โปรเจ็กต์เสามังกรดำเนินการมานานหลายปี เป้าหมายก็คือการดำรงอยู่ต่อไปของมนุษย์หลังเกิดภัยพิบัติทั้งดาว ระบบทั้งระบบครอบคลุมไปทุกด้าน โดยทั่วไปขอเพียงเสามังกรเปิดโหมดภัยพิบัติจะรักษาสภาพแวดล้อมพื้นฐานที่มนุษย์ต้องการต่อการดำรงชีวิตเอาไว้ได้ เรียกได้ว่าการที่คนที่ตื่นบนเศษเสี้ยวดาวเคราะห์แต่ละแห่งมีชีวิตยืนอยู่บนพื้นที่นั้นได้ ทั้งหมดทั้งมวลเพราะการปกป้องของระบบเสามังกร
เมื่อไหร่ที่บังคับปิดเสามังกร เศษเสี้ยวดาวเคราะห์ที่ลอยอยู่ก็จะเปิดเผยอยู่กลางอวกาศเวิ้งว้างโดยปราศจากเกราะกำบัง ปัญหาทุกอย่างทั้งด้านแรงดึงดูด การหมุน แรงโน้มถ่วง รังสี ชั้นบรรยากาศ หรืออุณหภูมิจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง ผลก็คือต้องตายอย่างแน่นอน!
“เรื่องที่พวกเราทำสองวันมานี้ก็คือเรื่องนี้” จินกลับไม่รีบร้อน เขาอธิบาย “เริ่มแรกความจริงพวกเราติดตั้งระบบอัตโนมัติชุดหนึ่งไว้ แล้วแอบเชื่อมต่อกับปราการบาร์นีที่ถูกทิ้งร้าง ตั้งใจว่าถ้าเกิดสถานการณ์เชิงภัยพิบัติอะไรขึ้น ขอแค่พวกเราส่งคำสั่งไปที่ปราการบาร์นี มันก็จะสตาร์ตระบบใต้ดินนั้นให้ทำงานโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็เริ่มทำการฟอร์แมต ตอนนั้นตั้งค่าการยืนยันตัวเองไว้บางส่วน หลักๆ เป็นของพวกเราไม่กี่คน ตอนหลังเพื่อเป็นการกันไว้ก่อนก็เพิ่มของพวกนายเข้าไปด้วย”
จู่ๆ ฉู่ซือก็นึกถึงตอนที่พวกเขาเข้าไปในอาณาเขตของปราการบาร์นี ระบบของปราการบาร์นีก็ทำงานอัตโนมัติ เอาแต่ตรวจสอบที่มาของคำสั่ง S001 ตอนนั้นเล่นเอาพวกเขามึนงงไปหมด
ที่แท้ที่มาของคำสั่ง S001 นั้นก็มาจากพวกเขาเองอย่างนั้นเหรอ
ทันใดนั้นฉู่ซือก็เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรปราการบาร์นีถึงถูกปิดตาย อาจเพราะอำนาจฝ่ายศัตรูพบว่าพวกเขาอาจจะแอบทำตุกติกในปราการบาร์นี จึงใช้ข้ออ้างตรวจสอบรายชื่อผู้ก่อความไม่สงบในการตรวจปราการบาร์นีให้ชัดเจน แต่กลับตรวจค้นปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายในไม่พบ ด้วยความที่ถือคติยอมฆ่าพันคนแบบผิดๆ ไม่ปล่อยให้รอดแม้แต่คนเดียวจึงปิดตายปราการบาร์นีไปเลย
“แต่พวกเราคิดไม่ถึงว่าเสามังกรเองก็มีปัญหาด้วย เพราะงั้นโปรแกรมอัตโนมัติในตอนแรกก็ใช้ไม่ได้แล้ว ต้องเข้าไปใต้ดินใหม่แล้วปรับการตั้งค่าก่อนหน้านี้อีกครั้ง” จินพูดต่อ “ฉันกับคุณคาเบลมีตัวตนให้อำพรางได้ อยู่ที่ปราการบาร์นีได้อย่างเปิดเผย ฉันจึงรับหน้าที่รับผิดชอบพัฒนายานบินหงส์ดำให้พวกเขาจากระยะไกล คุณคาเบลมีข้อได้เปรียบทางธรรมชาติ จึงรับหน้าที่ติดต่อคนอื่นใต้จมูกของทุกคน ซิงก์ข้อมูลความคืบหน้าล่าสุดอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเปิดช่องทางโค้งกาลอวกาศที่ซ่อนอยู่ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้คนอื่นๆ เข้าสู่ใต้ดินของปราการบาร์นีได้สะดวก
ในกลุ่มคนที่อยู่ใต้ดินตอนนี้มีทั้งบุคลากรด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ด้านเครื่องกลอัจฉริยะ ด้านเครื่องมือความแม่นยำสูง แล้วยังมีคนที่เคยเข้าร่วมการออกแบบเสามังกรช่วงระยะแรกด้วย เดิมทีที่โปรแกรมชุดนั้นผูกติดกับระบบของฐานบัญชาการการทดลองเรื่องเวลา ตอนนี้ต้องเพิ่มระบบเสามังกรไปด้วย ผ่านการฟอร์แมตระยะไกล ตัดการเชื่อมต่อของนครซิลเวอร์กับเราให้ขาดแล้วคืนค่าเริ่มต้นอีกครั้ง หรือก็คือโปรแกรมเชื่อมต่อซึ่งคนออกแบบเสามังกรแอบซ่อนเข้าไปในระยะหลังจะถูกลบออกทั้งหมด เหลือแค่โปรแกรมจำลองสภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาสำหรับการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานของมนุษย์ในตอนแรกสุดเท่านั้น”
“แล้วอันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นล่ะ”
ด้วยความเคยชินพอฉู่ซือได้ยินแผนการแก้ปัญหาทุกอย่างแล้วก็จะให้อีกฝ่ายแจกแจงภัยแฝงทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นออกมาก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะใช้แผนนั้นหรือไม่
แน่นอนสถานการณ์ในเวลานี้พวกเขาน่าจะไม่มีทางเลือก มีวิธีคืนสภาพแค่วิธีนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จะต้องตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ เป็นผักปลาบนเขียงของนครซิลเวอร์ไปตลอด การโอนถ่ายผลการทำลายล้างครั้งเดียวก็ทำให้ดาวระเบิดเป็นเสี่ยงอย่างทุกวันนี้ได้ ถ้ามีอีกครั้งล่ะ? ถ้าอีกฝ่ายเห็นที่นี่เป็นจุดทิ้งขยะไปเลย แล้วนำผลลัพธ์ทุกอย่างหลังจากนี้มาทิ้งที่นี่โดยไม่สนใจอะไรเลยล่ะ
ผู้สนับสนุนการทดลองเรื่องเวลาทำเรื่องที่บ้าบิ่นอย่างนี้ได้ โดยธาตุแท้ก็คือคนเห็นแก่ตัว พวกเขาไม่สนใจชะตากรรมของดาวดวงนี้และไม่แยแสชะตากรรมของคนอื่นๆ บนดาวด้วย พวกเขาก็เหมือนกลุ่มนายทุนบางกลุ่มที่อพยพเพราะผลประโยชน์ที่มากกว่า ถ้าดาวที่อาศัยอยู่ยังคงมีผลประโยชน์ให้แสวงหาพวกเขาก็จะเลือกวางแผนต่อ เมื่อไหร่ที่หมดประโยชน์ก็จะทอดทิ้งที่นี่แล้วเปลี่ยนจุดหมายใหม่อย่างไม่ลังเล
แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกฉู่ซือก็ยังอยากรู้เหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในแผนการนี้ให้แน่ชัด
จินยังไม่ทันพูดอะไรก็ชะงักหยุดเคลื่อนไหว ฉู่ซือหันไปมองตามสายตาของเขากับเอสเธอร์ คาเบลก็เห็นหน้าจอใหญ่ที่มืดไปแล้วกลับมาสว่างอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
เสียงหนึ่งดังมาจากหน้าจอ ตอบคำถามเมื่อครู่ของฉู่ซืออย่างสุขุมและนุ่มนวล
“ประมาณการต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง คำนวณอย่างจริงจังคือขั้นตอนการฟอร์แมตทั้งหมดใช้เวลาห้าสิบแปดนาที สิบสองวินาที อัตราความสำเร็จคือเก้าสิบเจ็ดจุดหนึ่งสองเปอร์เซ็นต์ ปัจจัยผลกระทบคือพวกเราที่ฟื้นคืนชีพเพราะกาลอวกาศยุ่งเหยิงอย่าง ‘ไม่คาดฝัน’ เวลาของพวกเราที่ยุ่งเหยิงอาจส่งผลถึงกระบวนการนี้ด้วยหรือได้รับผลกระทบจากกระบวนการ แต่ด้วยอานิสงส์ของเหล่าเซ่า แคปซูลเดี่ยวของที่นี่ผ่านการแก้บั๊กมาแล้ว หลังเริ่มกระบวนการแล้วพวกเราจะเข้าไปในแคปซูลนั้น มันมีประสิทธิภาพกักกันระดับหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคือ…ระหว่างกระบวนการอาจเกิดสภาวะกาลอวกาศผันผวนชั่วคราวขึ้นได้ นี่เป็นการปรับสภาพตัวเองของกาลเวลา เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้นแล้วก็จะอยู่ในสภาวะที่เสถียรที่สุด”
คนพูดคือเจี่ยงชี
เขายืนอยู่ในภาพวิดีโอ หันมากล่าวคำเหล่านี้กับหน้าจอด้วยสีหน้าอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกายเหมือนกับตอนที่จากกันเมื่อไม่นานมานี้
ฉู่ซือร่างแข็งทื่อทันที บอกไม่ถูกว่าประหม่าหรืออะไร เขาขยับริมฝีปากเหมือนอยากส่งเสียงเรียกอีกฝ่าย
สมัยเด็กเขาเรียกเจี่ยงชีว่า ‘พ่อ’ ต่อหน้าไปไม่กี่ครั้ง เวลาพูดคุยยามปกติก็เอ่ยปากเข้าประเด็นเลย ไม่เคยใช้คำเรียกเป็นพิเศษ ช่วงเวลาสิบกว่าปีหลังจากนั้นเจี่ยงชีไม่อยู่ เขาก็ไม่มีใครให้เรียก ฉะนั้นคำเรียกนี้จึงค่อนข้างฝืดจนยากจะเอ่ยปากสำหรับฉู่ซือ
พยายามอยู่หลายวินาที สุดท้ายเขาก็ข้ามคำเรียกไป “คุณ…เห็นทางนี้ด้วยเหรอ”
เจี่ยงชีหัวเราะ สีหน้าอ่อนโยนทว่าซับซ้อนเช่นนั้นเบาบางลง มีส่วนเหมือนตัวเขาในอดีตที่มักลอยชายสุมไฟก่อเรื่องไปทั่ว
“ไม่เห็นหรือว่าฉันพูดกับอากาศอยู่”
ซ่าเอ้อ หยางไม่ได้ปรากฏในวิดีโอแต่กลับเสียงดังฟังชัดที่สุด เห็นได้ว่ากล้องยังอยู่บนตัวเขา
“ฉันคิดว่าพวกนายสองคนควรจะคุยต่อหน้ากันหน่อยเลยตั้งใจเป็นฝ่ายเผยตัวเอง เมื่อกี้ยังไม่ทันปรับภาพดีๆ เสียงก็ดังมาก่อนแล้ว ดูท่าการสอบปากคำน่าจะราบรื่นใช่ไหม”
ฉู่ซือไม่รู้จะพูดอะไร จึงตอบ ‘อืม’ คำหนึ่ง “ประมาณนั้น”
จินน่าจะติดต่อกับเจี่ยงชีก่อนหน้านี้ ฉะนั้นเมื่อเจอกันอีกครั้งผ่านหน้าจอปฏิกิริยาจึงเป็นธรรมชาติกว่าฉู่ซือมาก เขาโน้มเข้าไปหาฉู่ซือ โบกมือเหมือนจะเบียดเข้าจอ
“เจี่ยงชี นายรู้ว่าฉันไม่ใช่คนใจกล้ามาแต่ไหนแต่ไร ลูกชายนายข่มขวัญคนอื่นเก่งอีกต่างหากนายก็รู้ เพราะงั้น…ฉันก็เลยสารภาพไป โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”
เจี่ยงชี “ไม่แปลกใจเลยจริงๆ”
“…” จินพูดอีก “เห็นแก่ที่ฉันช่วยสอดส่องลูกชายนายมาตั้งหลายปี แล้วก็เห็นแก่ที่ฉันดูแลคุณคาเบลมาหลายปี…ถึงตอนแรกสุดฉันจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใครก็เถอะ…หวังว่ามิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของพวกเราจะยังคงเหนียวแน่น”
“นี่ก็เหมือนนายพูดกับชายเร่ร่อนคนหนึ่งว่า ‘เห็นแก่ที่ฉันกินอาหารมื้อหรูแทนนายมาหลายปี’ นายทายซิว่าจะมีผลยังไง” เจี่ยงชีกล่าวอย่างสุขุม
จิน “…”
เขาคิดแล้วก็หดตัวกลับไปนั่งที่ ยกมุมกล้องให้ฉู่ซือแล้วทำท่าเชิญ “ต่อเลย ฉันคุยกับพ่อนายต่อไม่ไหวแล้ว”
ฉู่ซือ “…”
ชั่ววูบหนึ่งที่เขาก็ตั้งสติไม่ทัน…อะไรที่เรียกว่า ‘เห็นแก่ที่ฉันดูแลคุณคาเบลมาหลายปี’
เขาหันไปมองเอสเธอร์ คาเบลโดยอัตโนมัติ แต่กลับเห็นสาวน้อยย้ายไปยังที่นั่งที่ห่างออกไปหลายที่นั่ง ตัดโอกาสที่ตัวเองจะเผลอเข้ากล้องโดยไม่ตั้งใจ
เธอสบสายตากับฉู่ซือ ยกมือขึ้นเคาะจังหวะชุดหนึ่งบนแผงปฏิบัติการข้างๆ เมื่อถอดความหมายแล้วก็เป็นคำพูดประโยคนี้…
‘ฉันไม่เข้าไป เทียบกับรูปลักษณ์เด็กกะโปโลตอนนี้ ฉันอยากให้เขาจดจำรูปลักษณ์เดิมของฉันมากกว่า’
รหัสที่มีจังหวะลักษณะนี้ถอดความหมายไม่ยากสำหรับคนในศูนย์บัญชาการรวมถึงคนอีกมากมายทางอีกฝั่งของหน้าจอ เจี่ยงชีที่อยู่อีกด้านหนึ่งของจอชะงักกึก ฉู่ซือถึงขั้นมองเห็นคนมากมายทางนั้นโผล่ศีรษะเข้ามาที่ขอบจอก่อนจะหดกลับไปอย่างรวดเร็ว เสียงกระซิบกระซาบดังสลับเบา…
“คาเบลเหรอ”
“ไม่เจอกันนานเลย คาเบล”
“เป็นเด็กก็ไม่เป็นไร บอกตรงๆ พวกเรายังไม่เคยเห็นเธอตอนเด็กๆ เลย”
เจี่ยงชีเหมือนจะพูดอะไร แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากจินก็หันไปพูดกับเอสเธอร์ “เลิกขัดขืนเถอะน่าคุณคาเบล ไม่เจอตอนนี้อีกเดี๋ยวไปทางโน้นแล้วก็ต้องเจออยู่ดี หนีไม่พ้นหรอก”
เอสเธอร์เคาะคำตอบด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ ‘ก็ต้องขัดขืนสักหน่อย’
แม้เธอจะพูดจาล้อเล่นอยู่จริง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเข้ามา น่าจะตัดสินใจขัดขืนถึงที่สุด
ทว่า…
“ไอ้คำว่า ‘อีกเดี๋ยวไปทางโน้น’ นี่หมายความว่าอะไร” ฉู่ซือย่นคิ้วถาม
“ยังหนุ่มยังแน่นอย่าเอาแต่ขมวดคิ้ว” เสียงของเจี่ยงชีดังมาจากทางนั้นทันที ฉู่ซือได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้ง
ตอนเด็กๆ เขามักได้ยินคำพูดทำนองนี้เสมอ เจี่ยงชีจะพูดกับเขาบ่อยๆ ว่า ‘นายเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง ขมวดคิ้วนิ่วหน้าไปทำไมกัน’ เขาไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ยินคำพูดประโยคนี้อีก เพียงแต่พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่สิบกว่าปีแล้ว
ตลอดชีวิตจะมีสี่สิบปีสักกี่รอบ
เจี่ยงชีพูดจบก็อธิบายกับเขา “พวกเอสเธอร์จำเป็นต้องมาทางนี้ พวกเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุไม่คาดฝันเหมือนกับพวกเรา เป็นไปไม่ได้ที่เราจะตามหาทุกปัจจัยของผลกระทบได้ครบทั้งหมด แต่ลดผลกระทบให้น้อยลงหน่อยก็เป็นเรื่องดี”
จินกล่าวเสริม “เดิมทีพวกเราตั้งใจหาโอกาสแวบไปที่เขตพรมแดนของปราการบาร์นี รอพวกเขาขับยานบินหงส์ดำมารับเสียหน่อย แต่ในเมื่อตอนนี้เปิดอกกันแล้วก็รบกวนพวกนายไปส่งหน่อยละกัน”
ทางซ่าเอ้อ หยางพูดขึ้น “พอดีเลย ฉันออกไปเจอพวกนายละกัน แล้วเปลี่ยนยานบินหงส์ดำให้”
“ตาแก่บ้านผมล่ะ” ในที่สุดเซ่าเหิงก็มีโอกาสถามแทรก
เซ่าตุนยังคงปั้นหน้าเคร่งขรึมเหมือนอย่างที่เคยเป็น พูดกับเซ่าเหิงผ่านหน้าจอ “ฉันต้องดูแคปซูลแบบนั่งพวกนี้อยู่ทางนี้เผื่อเกิดปัญหากลางคัน”
“พ่อคนเดียวไหวเหรอ” เซ่าเหิงนึกภาพไม่ค่อยออกว่าหลังจากโปรแกรมฟอร์แมตที่ว่าทำงานอย่างเป็นทางการแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร คนทางนั้นจะเข้าไปนั่งในแคปซูลแบบนั่งแทบทั้งหมด คนที่อยู่ข้างนอกจริงๆ มีแค่เซ่าตุนคนเดียว เขาไม่วางใจนัก “ผมพาคนทีมหนึ่งไปไหม”
เซ่าตุนส่ายหน้า “คราวนี้แกอยู่เฉยๆ”
สมัยที่เซ่าเหิงยังเด็ก พ่อก็มักสอนเขาโดยยึดมาตรฐานของนายทหาร สอนให้เขารู้จักแบกรับสิ่งที่ควรรับผิดชอบ บางครั้งยังต้องอาสาไปรับผิดชอบสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา ฟังแล้วมีส่วนเหมือนพ่อพระ แต่นี่ก็คือทหาร
เซ่าเหิงชินกับเรื่องนี้แล้ว ฉะนั้นทุกครั้งที่เขาอาสาจะรับผิดชอบอะไร ต่อให้ต้องเสี่ยงอันตรายมากมาย เซ่าตุนก็จะไม่ห้าม เพียงกำชับแค่ว่า ‘ระวังตัวด้วย’
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เป็นพ่อเปลี่ยนคำพูด
เขาบอกว่า ‘ยังไม่ต้องให้คนหนุ่มอย่างพวกนายยื่นมือเข้ามาสอด’
เขาบอกว่า ‘อยู่เฉยๆ’
ผู้อาวุโสที่บ้างก็เข้มงวดเคร่งขรึม บ้างก็ขี้เล่นมีอารมณ์ขัน สวมบทบาทต่างๆ ท่ามกลางกาลเวลาที่เงียบสงบ…ผู้นำทาง ผู้จับตา เพื่อน อาจารย์ ด้านดี ด้านไม่ดี เป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่พรั่นพรึง แต่จะมีช่วงเวลาที่พวกเขาจะถอดหัวโขนทุกอย่างออกไปเป็นเพียงพ่อคนหนึ่งที่จะบดบังขวางกั้นอุปสรรคทุกอย่างไว้
เซ่าเหิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “งั้นพวกพ่อเปิดเครื่องสื่อสารได้ไหม”
ในเมื่อซ่าเอ้อ หยางเปิดวิดีโอใหม่ได้ก็น่าจะทำได้แล้วเหมือนกัน
“เมื่อกี้กลัวสนามคลื่นสัญญาณจะส่งผลกับการแก้บั๊กเครื่องมือทางนี้ ตอนนี้เปิดได้แล้ว เปิดได้จนถึงก่อนสตาร์ตการทำงานเลย” เซ่าตุนว่า
“งั้นก็เปิดไว้เถอะ เกิดมีเรื่องอะไร…เพ้ย!” พูดได้ครึ่งเดียวเซ่าเหิงก็ตบปากตัวเองก่อนทีหนึ่งด้วยน้ำหนักมือที่ไม่เบาไม่หนัก “เอาเป็นว่าเปิดไว้ละกัน ผมก็จะได้สบายใจหน่อย”
การสนทนากลุ่มผ่านหน้าจอไม่ได้ดำเนินต่อนานนักก็ถูกวางสายไป
เนื่องจากเอสเธอร์กับจินออกจากยานหมาป่าขาวแล้วโดยมีทีมหน่วยฝึกไปส่งที่ช่องทางโค้งกาลอวกาศ ส่วนซ่าเอ้อ หยางก็น่าจะออกจากพื้นที่ใต้ดินนั้นแล้ว
ต่อให้เหล่าผู้อาวุโสรุ่นพ่อเหล่านั้นจะรั้งทุกอย่างไว้กับตัว ไม่ให้คนรุ่นหลังสอดมือ แต่เมื่อหน้าจอดับลงฉู่ซือกับเซ่าเหิงก็โยนคำกำชับที่ว่า ‘อย่าสอดมือ’ ออกนอกอวกาศทันที!
ไม่สอดมือให้โง่น่ะสิ!
ชิลด์ เฝิงถูกฉู่ซือเรียกตัวมา ทิ้งให้รองผู้บัญชาการสองคนแกล้งโง่กะล่อมกะแล่มในที่ประชุมสามฝ่ายต่อไป เขาวิ่งหน้าระรื่นออกมา พูดเอาความดีความชอบกับฉู่ซือ
“หัวหน้า ผมมีเรื่องจะบอก! เมื่อกี้ผมพูดเรื่อง ‘สามสิบนาที’ แบบตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง สบายใจได้! หัวข้อการสนทนาปกติทุกอย่าง มีแต่คนที่เข้าใจเท่านั้นถึงจะประสาทไวกับคำนี้เป็นพิเศษ แล้วไงต่อคุณรู้ไหม พลโทเฮ่อซิวเหวิน พลโทจอยส์มองผมพร้อมกันเลย! นี่หมายถึงอะไรคุณก็เข้าใจ!”
ฉู่ซือย่อมเข้าใจแน่นอน
คนที่รู้เรื่อง ‘เวลาเตรียมรบสามสิบนาที’ มีแต่คนของพวกเจี่ยงชีเท่านั้น จินเคยเล่าว่าพลเอกเมลลาร์ดส่งสายลับไปแฝงตัวอยู่ในกองทัพของฝ่ายตรงข้าม ผนวกกับท่าทีก่อนหน้านี้กับเวลานี้แล้วแทบมั่นใจได้ว่าเฮ่อซิวเหวินกับจอยส์น่าจะเป็นคนที่เมลลาร์ดส่งตัวแฝงเข้ามา
เพียงแต่ปัจจุบันเฮ่อซิวเหวินกับจอยส์เป็นผู้กุมอำนาจในกองทัพ ตามสถานการณ์ปกติพวกเขาไม่ต้องอดทนแสร้งทำตัวเป็นพวกเดียวกับอีกฝ่ายต่อไปแล้ว กระชากหน้ากากแล้วดึงกองทัพไปทางเจี่ยงชีได้เลย
แต่ในเมื่อพวกเขายังคงจงใจแฝงตัว นั่นก็บ่งบอกได้เพียงอย่างเดียวว่า…ผู้กุมอำนาจในทางพฤตินัยของกองทัพคือคนอื่น
มีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขา นอกจากเมลลาร์ดก็คือพลเอกเมอร์ตันกับพลเอกเซียว
ฉู่ซือถึงบางอ้อทันทีว่าเมอร์ตันกับเซียวอาจจะตื่นนานแล้ว เพียงแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่ได้ปรากฏตัวในกองทัพ แต่พวกเขาคอยจับตาทุกความเคลื่อนไหวของเฮ่อซิวเหวินกับจอยส์อยู่ตลอด
ในสถานการณ์เช่นนี้ใครกุมกำลังกองทัพมากกว่าคนนั้นย่อมเหนือกว่า
แต่เมอร์ตันกับเซียวมีความได้เปรียบโดยธรรมชาติ…นั่นคือกองกำลังใหญ่ของนครซิลเวอร์อยู่ข้างพวกเขาและกำลังจ้องตาเป็นมันอยู่นอกเขตช่วยเหลือ เมื่อไหร่ที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงพวกเขาย่อมไม่มีทางนิ่งดูดาย
ฉะนั้นต่อให้ทหารทั้งหมดที่ตื่นแล้วของกองทัพจะอยู่ในมือเฮ่อซิวเหวินกับจอยส์ แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ในสถานการณ์เช่นนี้ใครจะปฏิเสธกำลังหนุนจากกองทัพพันธมิตรเล่า
ไม่มีทาง
ฉู่ซือมองนาฬิกาในศูนย์บัญชาการ ยังเหลือเวลาเตรียมรบอีกเจ็ดนาทีจากสามสิบนาที
“เซ่าเหิง”
“ครับ”
“ยานบินประจำกองกำลังรักษาความมั่นคงซิงก์การขับได้พร้อมกันได้มากที่สุดกี่ลำ” ฉู่ซือถาม
เซ่าเหิงคำนวณ “ห้าสิบลำ มากกว่านี้จะคุมคนเดียวยากและมีปัญหาง่าย”
“งั้นพวกเราก็ยังไม่นับว่าอ่อนเกินไป” ฉู่ซือว่า “คนเดียวบังคับยานรบเดี่ยวพร้อมกันได้ห้าสิบลำ สองพันกว่าคนก็หนึ่งแสนลำ รวมพลตบตาเป็นกองทัพใหญ่ได้แล้ว”
“แม่งจริงด้วย!” เซ่าเหิงตาลุกวาวทันที “เล่นไม้นี้ได้ด้วยนี่หว่า!”
ถ้าเป็นหน่วยรบสองพันคน ขับออกไปก็ใช่ว่าจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามชายตาแลได้ บอกว่าเป็นกองกำลังหนุนก็หน้าไม่อายไปเสียหน่อยก็เสมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
แต่ถ้าเป็นหนึ่งแสนก็ไม่เหมือนกันแล้ว!
ฉู่ซือพยักหน้าแล้วกล่าวกับชิลด์ เฝิง “หน่วยคุ้มกันทั้งหมดอยู่ดูแลความปลอดภัยบนยานหมาป่าขาว อำนาจบัญชาการบนยานโอนให้คุณ”
ชิลด์ เฝิงนิ่งอึ้ง “แล้วหัวหน้าล่ะ”
“ออกไปข่มขวัญคน” ฉู่ซือตบไหล่เขา “คนวัยฉกรรจ์ที่ร่างกายแข็งแรงไม่ไป จะให้คนวัยกลางคนอ้วนๆ ไปแบกหามอาวุธหรือไง ตั้งใจทำงานดีๆ ไปจนเกษียณเถอะ” พูดจบเขาก็หันไปบอกเซ่าเหิงอีก “กองกำลังรักษาความมั่นคงรวมพล”
“ครับ!”
“โรเจอร์ เตรียมเปิดประตูยานทั้งหมด”
“ครับ!”
สองนาทีหลังจากนั้นฉู่ซือสวมถุงมือนิรภัยสีดำมุดเข้าไปในยานรบ ด้านหลังเขายานบินหลายสิบลำที่เขาซิงก์การบังคับตั้งขบวนเป็นรูปปลายมีด ส่งเสียงสตาร์ตดังอื้ออึงด้วยระบบปฏิบัติการซิงโครไนซ์
อินเตอร์เน็ตสื่อสารภายในยานบินเปิดใช้งานแล้ว เสียงสุขุมของฉู่ซือดังขึ้นในช่องสัญญาณสื่อสารสาธารณะ
“กางเกราะล่องหน ระบุจุดวาร์ปแต่ละแห่งแล้ว ยกเขตใหญ่ B ให้กองทัพ สถานที่พวกนั้นพวกเขาน่าจะดูแลได้ พวกเราไปปิดล้อมเขต A กับ C”
ไม่ว่าเฮ่อซิวเหวินกับจอยส์จะดึงกำลังพลในกองทัพได้มากน้อยแค่ไหน แต่ทางกองอำนวยการความมั่นคงตั้งใจจะกุมสิทธิ์ขาดสองส่วน เมื่อปิดล้อมสามด้านลำพังแค่กำแพงพลังทำลายล้างก็จะขวางได้ระยะเวลาหนึ่ง
ฉู่ซือไม่ได้เพ้อฝันว่าจะรบชนะอีกฝ่ายได้ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะฝืนรวมพลอย่างไรก็เป็นทัพใหญ่ไม่เกินหนึ่งแสนคน ทว่าอีกฝ่ายคือนครซิลเวอร์
พวกเขากระโดดออกมาภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงเพื่อประวิงเวลาให้กับโปรแกรมฟอร์แมตมากที่สุด สำหรับพวกเขานั้นขอแค่ยืนหยัดไว้ได้ห้าสิบแปดนาทีสิบสองวินาทีก็นับเป็นชัยชนะแล้ว
ยังเหลืออีกสี่นาที
“ไปได้!”
เมื่อคำสั่งการดังขึ้นประตูยานร้อยกว่าแห่งของยานหมาป่าขาวก็เปิดออกพร้อมกัน ยานรบกลุ่มทะมึนพุ่งทะยานออกไปราวกับเมฆหมอกพร้อมเสียงดังกระหึ่มดุจอสนีบาตราวกับคลื่นมหาสมุทรที่ไพศาลที่สุดของเกาะมิลลา
วินาทีที่กองทัพหนึ่งแสนกำลังพลบินสู่ทะเลดาวก็เร้นหายไปในเกราะล่องหนทันที ปรากฏอย่างเกรียงไกร หายลับอย่างเงียบเชียบ ราวกับวิญญาณที่สัญจรในทะเลดาวอันเวิ้งว้าง
ฉู่ซือกับเซ่าเหิงต่างคนต่างนำทัพยานบินห้าหมื่นลำมุ่งหน้าสู่เขตสงคราม
เชื่อมต่อพิกัดและความเคลื่อนไหวของกันและกันอย่างไม่ขาดสาย พร้อมกับจดจ้องเวลาที่น้อยลงเรื่อยๆ ราวกับเม็ดทรายที่ไหลร่วง
ฉู่ซือนำกองกำลังทัพใหญ่วาร์ปติดต่อกันสองครั้งจนถึงเขต A ในเวลาที่มองแผนที่ยุทธศาสตร์ดวงดาว หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นทะเลดาวนอกช่องหน้าต่างด้านข้าง
อวกาศกว้างใหญ่ไพศาลไร้พรมแดนไม่ได้มืดมิดไปเสียหมด มีดวงดาวนับไม่ถ้วนที่อยู่ใกล้บ้างไกลบ้างส่องแสงสว่างบ้างเลือนรางบ้าง บางครั้งยังมองเห็นทัศนียภาพที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่า แต่เพราะมันกว้างใหญ่เกินไป ไม่ว่าคนจะลอยนิ่งอยู่ส่วนไหนก็จะเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวด้วยสัญชาตญาณ
น่าจะเป็นเพราะดาวแม่ที่พวกเขาเคยพึ่งพิงอาศัยแทบจะล่มสลายไปแล้ว
ถ้าเบื้องหลังมีดินแดนที่กลับไปได้ทุกเมื่อ บางทีตอนที่มองทะเลดาวผืนนี้ก็จะมีเพียงความตกตะลึงและตื้นตันกับความวิจิตรงดงามของมันเท่านั้น
เหลือเวลาหนึ่งนาที
ฉู่ซือหลุบตาลง ล้วงเครื่องสื่อสารออกมา แล้วกดช่องสัญญาณสื่อสารที่แสนจะคุ้นเคยนั้น
ตอนที่ส่งสัญญาณหยั่งเชิงในฐานบัญชาการชั่วคราวในป่าครั้งก่อนมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไรเขาแทบจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าตัวเองนั่งรออยู่หน้าจอนานแสนนาน…
ทว่าครั้งนี้แทบจะทันทีที่คำขอถูกส่งออกไป อีกฝ่ายก็กดรับแล้ว แล้วยังเปิดจอโฮโลแกรมด้วย
ฉู่ซือวางเครื่องสื่อสารไว้บนชั้นใกล้มือ เขานั่งอยู่ตรงที่นั่งนักบิน บริหารนิ้วพลางมองเจี่ยงชีบนหน้าจอ
เขาครุ่นคิดแล้วกล่าว “สัญญาณที่ส่งคราวก่อนไม่ได้รับการตอบรับ จู่ๆ ผมก็อยากลองอีกครั้ง”
อีกด้านของหน้าจอเจี่ยงชีนั่งอยู่ในแคปซูลเดี่ยวแล้ว ข้างๆ เหมือนเห็นเงาของแคปซูลเดี่ยวเครื่องอื่นๆ ได้รางๆ
เขาแย้มยิ้มกับหน้าจอ ท่าทางลอยชายไม่จริงจังเป็นปกตินั้นมีความตื้นตันและห่วงหาอาลัยซ่อนอยู่เหมือนตอนเจอกันอีกครั้งที่อพาร์ตเมนต์นั้น
“ลูกชาย มีเวลาไม่เยอะแล้ว…”
“อืม”
เหลือเวลาอีกสามสิบสองวินาที
“คราวก่อนเหมือนฉันจะพูดกับนายแล้ว แต่ครั้งนั้นไม่ได้เรียกนายแบบนี้ ฉันเสียดายนิดหน่อย” เจี่ยงชีมองฉู่ซือตั้งแต่หัวจรดเท้าผ่านหน้าจอ ก่อนพูดพลางกลั้วหัวเราะ “เจ้าหนูผีที่เหยียบหน้าฉันตอนนั้นโตขนาดนี้แล้ว รู้สึกเหลือเชื่อชะมัด เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ…ได้เห็นนายในตอนนี้ฉันดีใจมาก”
ตอนนั้นด้านนอกกำแพงของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเย็นเฉียบและลื่นแค่ไหน ไฟในซอยเป็นสีนวลอุ่นหรือเย็นตาฉู่ซือยังคงจดจำได้ตราตรึง
เหมือนกับว่าเขาร่วงตกลงพื้นอย่างนั้น เมื่อลุกขึ้นมาอีกครั้งก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว
ส่วนเจี่ยงชีกลับยังคงไร้ความเปลี่ยนแปลง ยังคงมีรูปลักษณ์เดียวกับตอนที่สวมเสื้อโค้ตยืนอยู่ในซอยท่ามกลางลมหนาว
ราวกับว่าถ้ารอยยิ้มของเขาทะเล้นกว่านี้อีกหน่อยก็จะกล่าวถ้อยคำในตอนนั้นอีกครั้งว่า ‘นายควรขอบคุณฉันสักคำไหม’
เหลือเวลาสิบสามวินาที
ฉู่ซือ “ตอนที่เหยียบหน้าคุณ คุณให้ผมขอบคุณคุณ ผมยังติดค้างอยู่เลย”
เจี่ยงชีหลุดหัวเราะ “นายนี่เข้าใจตัดส่วนสำคัญซะจริง พ่อลูกกันพูดเรื่องขอบคุณอะไรกัน สู้นายเรียกฉันสักคำดีกว่า ฉันไม่ได้ยินมานานมากแล้ว”
“เดิมทีผมก็เคยเรียกคุณอยู่ไม่กี่ครั้ง”
“เหลือไม่กี่วินาทีแล้ว เลิกเขินได้แล้ว ลูกชาย”
ฉู่ซือขานรับ ‘อืม’ เสียงหนึ่งแล้วเรียก “พ่อ”
เจี่ยงชียักคิ้วคลี่ยิ้ม
เหลือเวลาสองวินาที
ภาพบนจอเริ่มขาดๆ หายๆ
ในช่วงจังหวะสุดท้ายฉู่ซือเห็นเจี่ยงชีพูดกับเขาประโยคหนึ่ง ก่อนหันไปมองคนข้างกายและระบายรอยยิ้มละมุนอ่อนโยน
เสียงของคำพูดประโยคนั้นส่งมาไม่ถึง ถูกพัดหายไปกับกาลเวลาอันห่างไกล แต่ฉู่ซืออ่านริมฝีปากได้
เจี่ยงชีพูดว่า “ไว้เจอกันใหม่ ลูกชาย”
* กุญแจลับ (Secret Key) เป็นการเข้ารหัสและถอดรหัสโดยใช้กุญแจรหัสตัวเดียวกัน ผู้ส่งและผู้รับจะต้องมีกุญแจรหัสที่เหมือนกันเพื่อใช้ในการเข้ารหัสและถอดรหัส
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.