X
    Categories: everYNights ยามดาราสิ้นสูญทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 1 บทที่ 1 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 1 

ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)

แปลโดย : Luna

ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การฆ่าตัวตาย การก่อการร้าย

ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก

มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้อรังและอาการป่วยทางจิต

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Part 1

ฝุ่นละออง

 

บทที่ 1 แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ

 

พระเจ้าเคยจ้องมองสมุทรดาราผืนนี้ พระองค์นิทรายาวนาน ณ ที่แห่งนี้ และตื่นขึ้นอีกครั้ง ณ ที่แห่งนี้ – ‘ดินแดนแห่งความว่างเปล่า’ โดยเอสเธอร์

 

ป่าสนซีดาร์ดำผืนนี้กระเสือกกระสนจากความตายมาสักพักแล้ว ใบเรียวเล็กแห้งเฉา ทิ้งตัวห้อยเหี่ยว ที่น่าแปลกคือไม่ได้ส่งกลิ่นเปรี้ยวฝาดของต้นไม้ใบหญ้าที่ผุเน่า

กลิ่นหอมของไม้ที่รายล้อมอยู่ในป่ามานานปีสายนั้นยังคงลอยอวลเงียบๆ และซ่อนแคปซูลแช่แข็งยี่สิบห้าเครื่องไว้ในส่วนลึกของป่าสน

แคปซูลแช่แข็งเรียงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างเป็นระเบียบ กระจกครอบถูกเกาะพราวไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง

หนึ่งในแคปซูลแช่แข็งส่งสัญญาณเตือนแหลมสูงจนชวนให้ใจหวิว กรีดผ่านป่าลึกอันเงียบสงัด

“พลังงานไม่เพียงพอ พบข้อขัดข้อง”

“คำเตือน แคปซูลแช่แข็งกำลังจะหยุดทำงาน กรุณาชาร์จพลังงานภายในห้าวินาที”

“นับเวลาถอยหลัง ห้า”

“สี่”

“สาม”

“สอง”

“หนึ่ง”

“ไม่พบแหล่งพลังงานใหม่ แคปซูลแช่แข็งทำการ…”

คำว่า ‘ปิด’ ยังพูดไม่จบ เสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่ปราศจากน้ำเสียงก็หยุดชะงัก

ฟู่…

เสียงฐานโลหะหยุดเคลื่อนไหวฟังดูคล้ายอากาศรั่ว ผลจากการที่ระบบเพิ่มอุณหภูมิฉุกเฉินทำให้เกล็ดน้ำแข็งที่จับตัวบนกระจกครอบระเหยไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตา ก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาทว่าขาวซีดที่อยู่ภายในแคปซูลแช่แข็ง

เกล็ดน้ำแข็งบางๆ ที่เกาะบนโหนกคิ้วทำให้เขาดูเย็นยะเยือกจนน่าตกใจ ปราศจากชีวิตชีวา ราวกับหลับใหลอยู่ในที่แห่งนี้มานานและจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกต่อไป

ทว่าแทบจะในวินาทีถัดไปที่เกล็ดน้ำแข็งสลาย ดวงตาได้รูปสวยงามคู่นั้นก็ลืมขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางใดๆ

บอกตามตรงว่าแม้กล่องโลหะที่เอาไว้แช่แข็งมนุษย์พวกนั้นจะมีชื่อว่าแคปซูลแช่แข็ง แต่รูปร่างของมันกลับไม่เหมือนแคปซูลเลยสักนิด

พวกมันมีรูปร่างที่ไม่เข้าตาใครต่อใคร ข้างบนกว้างข้างล่างแคบ เป็นรูปทรงหกเหลี่ยมที่ดูหน้ายาวยิ่งกว่าหน้าของม้า เมื่อคนเข้าไปนอนข้างในก็คือโลงศพที่ถูกผลิตอย่างได้มาตรฐานและประณีตชัดๆ

ตอนที่ภาพออกแบบเพิ่งปล่อยออกมานั้น ฉู่ซือกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการเหตุจลาจลในเรือนจำอวกาศ แทบไม่ได้หลับได้นอนสามวัน ง่วงจนสีหน้าถมึงทึง

นักออกแบบผู้โชคร้ายคนนั้นเคาะประตูห้องทำงานของเขาแล้ววางกระดาษออกแบบปึกหนาลงบนโต๊ะทำงาน

ตามกฎแล้วเอกสารทุกอย่างของแคปซูลแช่แข็งรวมถึงรูปลักษณ์ของมันต้องผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบจากหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการกองอำนวยการความมั่นคง หลังเซ็นชื่อแล้วจึงจะดำเนินการต่อได้

ซึ่งบังเอิญว่าฉู่ซือก็คือหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการประจำสำนักงานหมายเลขห้าคนนั้น

เขาเห็นความหนาของกระดาษปึกนั้นแล้วหลับตาลง ท่ามกลางเสียงโฆษณาชวนเชื่อของนักออกแบบ เขาตัดสินใจพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้วเซ็นชื่อเสียเลย

วันที่ผลิตภัณฑ์เสร็จสมบูรณ์ เขาสวมเสื้อเชิ้ตที่ตัดเย็บอย่างประณีต นั่งอยู่ในห้องประชุมชั้นบนสุดของกองอำนวยการความมั่นคง พร้อมกับฟังพวกตาเฒ่าสาดคำด่าทอเรื่องการดีไซน์ด้วยท่าทางสง่างามพร้อมกับสีหน้าสงบนิ่ง

คนอื่นเขาอุตส่าห์พ่นคำด่าถึงสองชั่วโมงเต็ม แต่เจ้าตัวแสบฟังแล้วสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ไม่ใช่แค่ไม่สำนึกเลยสักน้อย เขายังเคาะโต๊ะเบาๆ พลางพูดยิ้มๆ

‘อายุขัยของดวงดาวยังอีกยาว ยังไงแคปซูลแช่แข็งนี่ก็ยังไม่ถึงเวลาให้พวกเราลงไปนอนหรอกน่า ขี้เหร่ก็ขี้เหร่ไปเถอะ’

เล่นเอาบรรดาผู้สูงวัยเหล่านั้นโกรธจนควันออกหู

ผลคือพูดคำนั้นถูกพูดได้ไม่ถึงห้าปี ดาวก็ระเบิดเสียแล้ว

ตัวฉู่ซือเองก็ได้ลงไปนอนในโลงศพแช่แข็งรูปทรงอัปลักษณ์นั้นจริงๆ ชัดว่าก่อกรรมทำชั่วไว้มากเกินไปจนสวรรค์ก็ทนดูไม่ไหว นี่น่าจะเรียกว่ากรรมตามสนอง

ฉู่ซือกระแอมกระไออยู่ในกระจกครอบ เอาไอเย็นเยือกในปอดออกมาจนหมด ก่อนจะลองขยับนิ้วมือแล้วบิดตัวล็อกนิรภัยด้านในออก

เส้นเอ็นและกระดูกของเขายังคงแข็งทื่อทั้งตัว ลำพังแค่เปิดประตูแคปซูลแช่แข็งก็ต้องออกแรงอยู่นานสองนาน

ห่างหายจากความรู้สึกที่เท้าเหยียบพื้นไปนาน เขาเซไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะนั่งพิงข้างแคปซูลแช่แข็งแทน

ห่างออกไปครึ่งก้าวแคปซูลแช่แข็งอีกเครื่องยังคงทำงานปกติ บนกระจกครอบแสดงตัวอักษรสองแถว

 

‘เวลากาล 13:20:07

อุณหภูมิในแคปซูล -206 องศาเซลเซียสใหม่

 

เวลาสิบสามนาฬิกาควรเป็นช่วงเวลาหลังเที่ยงที่แดดกำลังแรงที่สุด แต่เหนือศีรษะขึ้นไปกลับเป็นผืนทะเลดาว บริเวณโดยรอบเงียบสงัดราวกับยามวิกาลกลางดึก

ฉู่ซือเหลียวมองรอบๆ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง

อากาศอุดอู้มาก ทั้งที่ออกมาจากแคปซูลแช่แข็งแล้วแท้ๆ กลับเหมือนยังถูกอะไรบางอย่างครอบอยู่ เขาหายใจได้ไม่ทั่วท้องนัก ไม่รู้ว่าปอดบาดเจ็บจากการถูกแช่แข็งไปแล้วหรือเปล่า

 

กร๊อบ…

ทันใดนั้นก็มีเสียงใบสนคล้ายถูกอะไรเหยียบดังมาจากด้านหลัง

“ใคร!” ฉู่ซือหันขวับ

ไม่ได้เอ่ยปากพูดมานาน เสียงของเขาจึงแหบเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกับที่ส่งเสียงนิ้วมือของเขาก็เลื่อนไปจับที่เอวด้วยความเคยชิน

ขอบคุณฟ้าดิน ตอนที่เข้าไปอยู่ในแคปซูลแช่แข็งนั้นค่อนข้างฉุกละหุกรีบร้อน จึงไม่ได้ถอดปืนออก

เขาปลดเซฟตี้ล็อก ท่ามกลางความเงียบสงบเสียง ‘แกร๊ก’ ดังกังวานเป็นพิเศษ

“อย่าๆๆ! ผมออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ! อย่ายิง!” วัตถุสีดำทะมึนก้อนหนึ่งชะโงกออกมาจากหลังแคปซูลแช่แข็งเครื่องหนึ่งพร้อมเสียง รูปร่างเหมือนไม้ถูพื้นหัวกลม…แบบที่หมักอยู่ในโคลนมาสองปี

ฉู่ซือหรี่ตาพินิจมองครู่หนึ่ง ค้นหาดวงตาคู่หนึ่งจากหัวไม้ถูพื้นนั้นจนเจออย่างยากลำบาก…นั่นเป็นคนที่ไม่ได้จัดการผมเผ้าและหนวดเครามาไม่รู้นานเท่าไหร่

“มีใครอีก” นิ้วของฉู่ซือยังคงอยู่บนไกปืน

ไม้ถูพื้นลังเลครู่หนึ่ง ยังคงอยู่ในท่ายอมแพ้ด้วยการยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูง หันไปพึมพำอะไรประโยคหนึ่ง

ไม้ถูพื้นเบอร์เล็กก็ชะโงกศีรษะออกมาอย่างระมัดระวัง

ไม้ถูพื้นเล็กมองไม้ถูพื้นใหญ่แวบหนึ่ง ก่อนจะเอาอย่างด้วยการชูมือขึ้นสูงเช่นกัน

“ใจเย็นๆ หน่อย ใจเย็น มีแค่พวกเราสองคน ไม่มีคนอื่นแล้ว” ไม้ถูพื้นใหญ่บอกพลางจ้องปืนของอีกฝ่าย

“ฉันใจเย็นมาก” ฉู่ซือตอบ

“บอกตามตรง ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เพราะตอนที่ผมเพิ่งปีนออกจากแคปซูลแช่แข็งนั่นก็หิวโซจนอยากจะกินคนเลย” น้ำเสียงของไม้ถูพื้นฉายแววสงสัย

ฉู่ซือมีสีหน้าเย็นชา “ถ้าหาคนที่สะอาดกว่าพวกนายสองคนไม่ได้ ฉันอาจยอมอดตายดีกว่า”

ไม้ถูพื้นถูกย้อนจนอึ้ง แต่เขาดันรู้สึกเสียใจนิดหน่อย “ความจริงพวกเราก็ไม่ได้รักษาความสะอาดมาครึ่งปีเอง คุณช่วยเลื่อนปากกระบอกปืนออกไปหน่อยได้ไหม”

อันที่จริงปืนกระบอกนั้นถูกแช่อยู่ในแคปซูลแช่แข็งมานาน ผีที่ไหนจะไปรู้ว่ายังใช้การได้ไหม แต่ฉู่ซือเป็นคนนิสัยดีบัดซบอยู่แล้ว เขาไม่ถือสาหากต้องข่มขวัญคนร่างโตที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนนี้อีกสักหน่อย ดังนั้นจึงตอบว่า

“ขอดูอารมณ์ก่อนละกัน”

“งั้นตอนนี้อารมณ์คุณเป็นยังไง” ไม้ถูพื้นถาม

“ไม่ค่อยดี ที่นี่อุดอู้เกินไป” ฉู่ซือตอบเสียงเรียบ

พูดให้ถูกคืออากาศที่นี่อุดอู้จนชวนหงุดหงิด ซึ่งนี่เป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติของร่างกาย

ไม้ถูพื้นลากเสียง ‘อ้อ’ ยาวคำหนึ่ง พลันถอดใจทันที “น่าเสียดาย งั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว เพราะพวกเราก็อุดอู้มานานมากแล้ว”

เขาหันมามองข้อมือตัวเอง

ฉู่ซือจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนข้อมือเขามีอะไรบางอย่างที่มีแสงสีฟ้ากำลังกะพริบ เหมือนเป็นหน้าปัดนาฬิกาอัจฉริยะ

“คุณจะถือไหมถ้าผมขอแตะมันหน่อย” ไม้ถูพื้นจ้องปืนของฉู่ซือตาไม่กะพริบ กลัวปืนลั่นจับใจ

ฉู่ซือไม่หือไม่อือ ไม้ถูพื้นทำใจดีสู้เสือก่อนแตะหน้าปัดอย่างระมัดระวังทีหนึ่ง

เสียงเย็นๆ ของอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นทันที ดังพอให้ฉู่ซือได้ยินชัดเจน

“อุณหภูมิพื้นดินห้าองศาเซลเซียสใหม่”

“ระดับความชื้น แห้ง”

“คำเตือน ปริมาณออกซิเจนต่ำกว่ามาตรฐานอย่างรุนแรง ห่างจากค่าวิกฤตอีกสามสิบสองนาที ห้าสิบเจ็ดวินาที”

การแจ้งเตือนลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับฉู่ซือ เขาเคยได้ยินคำเหล่านี้จากรายงานการทดสอบความปลอดภัยต่างๆ นานา ค่าวิกฤตปริมาณออกซิเจนที่ว่านั้นสอดคล้องกับขีดจำกัดการมีชีวิตอยู่ เมื่อไหร่ที่ต่ำกว่าค่าวิกฤต มนุษย์ก็จะตายเพราะขาดอากาศหายใจอย่างรวดเร็ว

น้ำเสียงของไม้ถูพื้นสะท้อนความหมดอาลัยตายอยาก “คุณดูสิ ต่อให้คุณไม่ลั่นไก พวกเราก็มีชีวิตไม่ถึงสามสิบสามนาทีอยู่ดี”

ฉู่ซือได้ยินแล้วประกายตาไหววูบ

ไม่น่าเป็นอย่างนั้น

แนวคิดการออกแบบแคปซูลแช่แข็งเหล่านี้ค่อนข้างพิเศษ แหล่งพลังงานล้วนแปรสภาพมาจากอากาศเสีย ส่วนอากาศที่ถ่ายออกมามีออกซิเจนอยู่ด้วย การออกแบบเช่นนี้ก็เพื่อรักษาการมีชีวิตในระยะหนึ่ง

หลักการและระบบการทำงานเหล่านี้ล้วนเคยเปิดเผยต่อสาธารณชนมาแล้ว

ไม้ถูพื้นสังเกตเห็นสายตาของฉู่ซือ เขาเบนสายตาไปมองแคปซูลแช่แข็งซึ่งตั้งอยู่บนพื้นพวกนั้น “ผมรู้ว่าคุณคิดอะไร แต่ไม่มีประโยชน์หรอก นี่ก็ห้าสิบปีมาแล้ว เสียภาวะสมดุลไปนานแล้ว”

ในที่สุดใบหน้าของฉู่ซือก็มีอารมณ์ฉายขึ้นมาวูบหนึ่ง “กี่ปีนะ”

ไม้ถูพื้นเหมือนเจอช่องให้แทรก จึงแตะหน้าปัดนาฬิกาอย่างไม่ลังเล เสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งทื่อดังขึ้นอีกครั้ง

“ปัจจุบันคือปี 5763 วันที่ 29 เดือนเมษายน ตามปฏิทินนิวกริกอเรียน เวลากาล…”

ยังรายงานไม่จบไม้ถูพื้นก็ปิดการรายงานแล้วพึมพำ “ช่วยเข้าใจด้วย ต้องประหยัดแบตฯ ไว้หน่อย”

ทว่าฉู่ซือไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายพูดอะไร

 

ปี 5763?!

เขาจำได้ชัดเจนว่าพลบค่ำของวันที่ 27 เดือนธันวาคม ปี 5713 เป็นอย่างไร แสงยามอาทิตย์ตกนั้นเป็นสีแดงอมทอง ขับให้ป่าสนซีดาร์ดำที่เย็นเยียบดูอบอุ่นนวลตาขึ้นมา เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง กำลังพูดคุยกับแพทย์แผนกพักฟื้นพลางค้นช่องสัญญาณสื่อสารส่วนตัวของเขา

วินาทีก่อนเขายังดูข้อความที่บุคคลอันตรายคนหนึ่งในเรือนจำอวกาศยัดเยียดส่งมา วินาทีต่อมาก็ได้รับแจ้งสัญญาณเตือน…

‘พลังงานแกนดาวเร่งพุ่งขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้หลุดการควบคุม อัตราการขยายตัวสูงกว่าขีดจำกัดสูงสุด คำนวณเวลาอพยพสามนาที สิบเอ็ดวินาที’

พูดด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายก็คือดาวกำลังจะระเบิด ทุกคนรีบหนีเร็ว

เขาไม่มีวันลืมสามนาทีที่โกลาหลวุ่นวายถึงขีดสุดนั้น พื้นดินสั่นสะเทือนแตกร้าวสภาพไหน พวกเขาทำงานแข่งกับเวลาอย่างไร และอพยพออกจากคฤหาสน์ไปยังแคปซูลแช่แข็งในป่าสนซีดาร์ดำอย่างไร…

ทุกอย่างยังแจ่มชัดเสมือนอยู่ตรงหน้าราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เหมือนกับเขาแค่นอนในแคปซูลแช่แข็งไปเพียงคืนเดียวเท่านั้น

ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมา เวลากลับผ่านไปห้าสิบปีแล้ว?!

อาจเพราะความประหลาดใจชั่วพริบตาทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจเปลี่ยนไป จนมีอัตราการใช้ออกซิเจนสูงขึ้น หลังจากหายตะลึงพรึงเพริดแล้วฉู่ซือก็รู้สึกเพียงว่าอากาศโดยรอบยิ่งอุดอู้มากขึ้น

ไม้ถูพื้นเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็บอกด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดี “อย่าหายใจเข้าลึกสิ! อย่าหายใจเข้าลึกเด็ดขาด! เดิมทีก็เหลือไม่กี่เฮือกแล้ว! อย่าลืมนะ พวกเราเหลือเวลาแค่สามสิบกว่านาทีเท่านั้น…คุณมีหนทางอะไรไหม ผมค่อนข้างหัวทึบ ตื่นมาแล้วสามปีก็ยังหาวิธีไม่ได้ ผมยังไม่อยากตายเร็วแบบนี้ การตายแบบขาดอากาศหายใจมันทรมานเกินไป”

คนคนนี้เป็นคนช่างพูดช่างเจรจา พูดฉอดๆ จนฉู่ซือปวดศีรษะ ทำให้เขาเรียบเรียงสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้ และยังคิดหาหนทางอะไรไม่ออกอีกด้วย

“เงียบ” ขณะที่เขากล่าวคำอย่างเย็นชาก็มีอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงสั่นกึกทีหนึ่ง

ฉู่ซือชะงักก่อนจะล้วงมือไปจับ แล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าตอนที่อพยพเข้าไปในแคปซูลแช่แข็ง เขายัดเครื่องสื่อสารที่ถืออยู่นี้เข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วย

เครื่องสื่อสารไม่เหมือนนาฬิกาข้อมือ ใช้พลังงานมากกว่า ต่อให้เป็นโหมดที่ประหยัดพลังงานแค่ไหน อยู่มาได้ห้าสิบปีก็ถือว่าปาฏิหาริย์แล้ว

ที่สั่นไปทีหนึ่งเมื่อครู่ก็คือแจ้งเตือน

 

‘แบตเตอรี่ไม่เพียงพอ กรุณาปิดเครื่อง’

 

ขณะที่เขากำลังจะปิดเครื่องแล้วยัดกลับลงในกระเป๋ากางเกงก็เห็นแจ้งเตือนข้อความที่ยังไม่ได้อ่านหนึ่งข้อความบนหน้าจอ

ทันใดนั้นหัวคิ้วของฉู่ซือก็กระตุกทีหนึ่ง

ไม่ต้องดูข้อความเขาก็เดาได้ว่าข้อความนี้มาจากใคร เพราะคนที่กล้าแวะเวียนเข้ามาในช่องสัญญาณสื่อสารส่วนตัวของเขาราวกับสวนดอกไม้บ้านตัวเองก็มีแต่ไอ้ประสาทกินนั่นคนเดียว

เป็นไปตามคาด ข้อความถูกส่งมาจากเรือนจำอวกาศ

 

‘หัวหน้าที่รักของฉัน จะบอกข่าวใหญ่ข่าวดีกับนายเรื่องหนึ่ง

ฉันแหกคุกแล้ว

– ซ่าเอ้อ หยาง

 

ฉู่ซือ “…”

ข่าวใหญ่ข่าวดีบ้านแกสิ

 

ข้อความเรียบง่ายนี้หากพวกสูงอายุในเก้าสำนักงานใหญ่ของอาคารเห็นเข้า คงได้เข้าแถวอัดยารักษาโรคหัวใจกันแล้ว ถ้ายาออกฤทธิ์ช้าเสียหน่อยก็วูบคาที่ไปได้ครึ่งคณะเลยทีเดียว

ก็มีแต่ฉู่ซือที่เห็นถ้อยคำสองประโยคนั้นแล้วยังยืนตัวตรงอยู่กับที่ได้

แต่ต่อให้เป็นเขาก็ยังรู้สึกหน้ามืด อาการขาดอากาศหายใจก็ยิ่งสาหัสขึ้นไปอีก

เรือนจำอวกาศซึ่งถูกเนรเทศอยู่นอกระบบมานานนับร้อยปีนั้นอยู่ในการควบคุมดูแลของสำนักงานหมายเลขห้าแห่งกองอำนวยการความมั่นคงมาตลอดนับตั้งแต่เริ่มสร้าง ในนั้นคุมขังกลุ่มคนที่อันตรายที่สุดของดาว หากบอกว่าเป็นศูนย์รวมปีศาจก็ไม่เกินจริง หลับตาจิ้มออกมาคนหนึ่ง ต่างก็เป็นเหมือนระเบิดเวลาทั้งสิ้น

ส่วนซ่าเอ้อ หยางนั้นเป็นคนที่ปัญหาเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ ประเภทที่ประเมินค่าการระเบิดไม่ได้ด้วย

ตอนนั้นลำพังแค่จับเขาเข้าคุกก็ใช้เวลาถึงสิบเจ็ดปี ซึ่งสุดท้ายเขาถูกคุมตัวอย่างไรนั้นก็เป็นปริศนาสำหรับโลกภายนอกมาตลอด

แม้บุคคลอันตรายคนนี้จะถูกคุมตัวในอวกาศก็เป็นมนุษย์เจ้าปัญหา ตั้งแต่มีเขาอยู่ในเรือนจำก็ไม่มีปีที่สงบสุขอีกเลย หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการประจำสำนักงานหมายเลขห้าจึงกลายเป็นตำแหน่งสุดหิน แทบจะต้องเปลี่ยนทุกสามปี

จนกระทั่งฉู่ซือมา ผลจากคำสาปนี้จึงยุติลง

ถ้าไม่ใช่เพราะคนก่อนหน้าลงจากตำแหน่งเร็วเกินไป ด้วยอายุของฉู่ซืออย่างไรก็ไม่มีทางได้นั่งตำแหน่งสูงขนาดนี้แน่

อาจเพราะสีหน้าของเขาย่ำแย่ถึงขีดสุด ไม้ถูพื้นมองนิ้วของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนไกปืน กลืนน้ำลายดังเอื๊อก ก่อนจะขยับใบหน้าไปข้างๆ อย่างแนบเนียน

“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ได้รับข่าวร้ายอะไรเหรอ”

ฉู่ซือเหลือบตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง “ข่าวร้ายแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยล่ะ รู้จักเรือนจำอวกาศไหม”

ไม้ถูพื้นหัวเราะแห้งๆ “แน่นอน เพื่อนซี้ผมยังเป็นผู้คุมในนั้นเลย สีหน้าคุณดูเหมือนเห็นพวกปีศาจกลุ่มนั้นจับมือกันแหกคุกเลย”

ฉู่ซือโบกเครื่องสื่อสารในมือพร้อมพูดด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ “ฉันยินดีเห็นคนอื่นๆ แหกคุกหมู่ยังดีกว่าเห็นคนนี้”

“…” มุมปากของไม้ถูพื้นกระตุก “ฟังแล้วน่ากลัวชะมัด ถ้ายังไงพวกเรามาขาดอากาศตายกันเถอะ”

ฉู่ซือแค่นเสียงเย็น “นายนี่มันมีประโยชน์จริงๆ นะ”

ไม้ถูพื้นแอบยื่นมือไปรั้งไม้ถูพื้นเล็กข้างกายแล้วเอ่ยว่า “ผมรู้ข่าวร้ายน่ากลัวขนาดนี้เป็นเพื่อนคุณแล้ว ชั่วดียังไงก็ถือว่าฝ่าฟันเรื่องทุกข์ยากด้วยกันแล้ว คุณเอาปืนลงก่อนได้ไหม พวกเราไม่มีเจตนาร้ายจริงๆ”

ฉู่ซือเอาปืนกลับมาเหน็บที่เอวอีกครั้ง ไม้ถูพื้นถอนใจโล่งอกทันที กุลีกุจอคว้าตัวไม้ถูพื้นเล็กเดินเข้าไปใกล้ฉู่ซืออีกหลายก้าว

สมกับเป็นสองคนที่ไม่ได้รักษาความสะอาดมาครึ่งปี ทุกอิริยาบถล้วนส่ง ‘กลิ่นหอมแตะจมูก’ เหมือนอาวุธชีวภาพในร่างมนุษย์ที่สวรรค์ส่งมาทรมานเขาชัดๆ

กลิ่นนั้นกระตุ้นสมองให้ตื่นเกินเหตุ ฉุนจนฉู่ซือหัวใจกระตุกวูบ แล้วจึงนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้…เขาลืมดูเวลาที่ได้รับข้อความนั้น

“ขืนยังเข้ามาใกล้อีกก้าวเดียว นายก็บอกลานิ้วเท้าตัวเองได้เลย” ฉู่ซือแกว่งปืนอย่างลอยชาย เอ่ยปากหยุดไม้ถูพื้นที่อยากเขยิบเข้ามาใกล้พลางหลุบตามองและปัดหน้าจอเครื่องสื่อสารสองที

บนหน้าจอ ใต้ข้อความของซ่าเอ้อ หยางแสดงเวลาอย่างชัดเจน

 

‘วันที่ 18 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 5736’

 

ฉู่ซือหลับตาแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง “…”

สีหน้าของเขายิ่งแย่หนักกว่าเดิม

ถูกต้อง เขาไม่ได้อ่านกลับหัวกลับหาง เป็น 36 ไม่ใช่ 63

เยี่ยมไปเลย เวลาที่ได้รับข้อความนี้ห่างจากตอนนี้ยี่สิบเจ็ดปีแล้ว เวลายี่สิบเจ็ดปีสร้างยานอวกาศบินออกจากกาแล็กซี่ได้เหลือเฟือ ยังกับจับผี!

บางครั้งเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายจนกู่ไม่กลับก็ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวลอีกแล้ว…

ดาวระเบิดเป็นเศษเล็กเศษน้อย พวกเขาพลอยกลายเป็นเถ้าธุลีในทะเลดาวเวิ้งว้างแห่งนี้ไปด้วย เรือนจำอวกาศอยู่ไกลเกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้ในเวลานี้ บุคคลอันตรายตัวปัญหาหนีไปแล้วยี่สิบเจ็ดปี ยังมีสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้อีกเหรอ

ไม่มีแล้ว

ไม้ถูพื้นดูไม่ออกว่าฉู่ซือกำลังใจลอยคิดอะไรอยู่ ได้แต่โบกนาฬิกาข้อมือไปมาตรงหน้าเขา

ลมจากการเคลื่อนไหวโชยมาปะทะจมูก ‘หอม’ จนขนหัวลุก

“…” ฉู่ซือว่า “ถ้านายรู้สึกว่ามือสองข้างเกะกะ ฉันยินดีช่วยหักมันข้างหนึ่ง”

ไม้ถูพื้นชักมือกลับฟึ่บ “ไม่ ผมแค่อยากเตือนสติคุณเฉยๆ ผ่านไปอีกสองนาทีแล้ว พวกเราเหลืออีกแค่สามสิบนาที คุณไม่รู้สึกเวียนหัวเหรอ”

ฉู่ซือขมวดคิ้ว “กลิ่นนายตลบอบอวลจนฉันเวียนหัว”

แม้เขาจะรังเกียจกลิ่นตัวของไม้ถูพื้น แต่ก็ไม่ได้เพิกเฉยกับคำพูดของอีกฝ่าย ถ้าต้องมาหัวหมุนกับเรื่องจะตามจับระเบิดที่หนีไปแล้วยี่สิบเจ็ดปีกลับมาอย่างไรในเวลานี้ สู้หาทางให้ตัวเองได้เห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ก่อนดีกว่า

…ดวงดาวก็ได้

 

เขาหันหน้าเหลียวมองรอบๆ ในป่าสนซีดาร์ดำ นอกจากดินโคลนเก่าๆ ใบสนเน่าๆ แล้วก็มีแต่แคปซูลแช่แข็งยี่สิบห้าเครื่อง

มองลอดผ่านกิ่งไม้ที่แห้งเฉาจะเห็นว่าไกลออกไปมีเงาดำเวิ้งว้างผืนหนึ่งทอดตัวอยู่ใต้ทะเลดาวอย่างเงียบเชียบ

“เอ้อ จริงสิ ทางนั้นมีคฤหาสน์อยู่หลังหนึ่ง” เพราะออกซิเจนเบาบางเกินไป ทำให้ไม้ถูพื้นที่พูดมากไปนิดถึงกับเริ่มหอบ เขาจับแคปซูลแช่แข็งที่อยู่ใกล้ๆ ช่วยประคองตัวนั่งลง แล้วโน้มเข้าไปใกล้ช่องระบายอากาศบริเวณตัวฐานของแคปซูล หวังให้ตัวเองสบายขึ้นอีกนิด “ก่อนระเบิด มีเบื้องบนของรัฐบาลมาพักร้อนเป็นครั้งคราว ไม่รู้เป็นของหน่วยงานไหน”

เรื่องที่เขาบอกมาฉู่ซือย่อมรู้อยู่แล้ว เพราะเขาก็คือเบื้องบนที่มาพักร้อนคนนั้น เนื่องด้วยเหตุผลจำเป็นบางอย่าง ทุกครึ่งปีเขาจะมาพักที่นี่หนึ่งสัปดาห์พร้อมกับแพทย์ นักกำหนดอาหาร รวมถึงเจ้าหน้าที่คุ้มกันส่วนหนึ่ง

เวลานี้คนเหล่านี้ล้วนนอนอยู่ในแคปซูลแช่แข็งข้างๆ เขา ดวงดีกว่าเขาอยู่หน่อยตรงที่พลังงานยังไม่หมด ดังนั้นจึงยังหลับใหลต่อไปได้

เรียกได้ว่าคนที่มีชีวิตอยู่ ณ บริเวณนี้ล้วนเป็นคนของเขา แต่ไม้ถูพื้นทั้งใหญ่เล็กสองคนนี้เขากลับไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

“ถ้าฉันจำไม่ผิด ที่นี่ไม่มีผู้พักอาศัยคนอื่น” ฉู่ซือบอก

ไม้ถูพื้นแทบยัดจมูกตัวเองเข้าไปในช่องระบายอากาศ เขากึ่งอุ้มไม้ถูพื้นเล็กพลางอธิบาย

“คุณก็รู้ แต่ละปีมีคนพักอาศัยที่นี่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ทิวทัศน์สวย อากาศก็ดี เพราะฉะนั้นบางครั้งพวกเราก็จะแอบมาตั้งแคมป์ที่นี่หลายวัน”

ฉู่ซือ “อ้อ” ไปเสียงหนึ่ง “มาตั้งแคมป์กันในเดือนธันวาคมน่ะหนาวจนกระดูกยังแข็งได้”

ไม้ถูพื้นหงุดหงิดปนกลุ้มใจ “ก็ใช่น่ะสิ นี่น่าจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตผมเลย เจอคนอยู่ในคฤหาสน์ไม่พอ ยังเจอวันโลกาวินาศอีก”

พูดจบเขาก็เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “เหลืออีกยี่สิบเจ็ดนาที…คุณแน่ใจเหรอว่าเราจะถกเรื่องผมมาตั้งแคมป์ยังไง ตอนนี้ผมเวียนหัวจนใกล้จะใช้ความคิดไม่ได้แล้ว คุณหาทางอะไรไม่ได้จริงเหรอ”

ฉู่ซือยกเท้าถีบอีกฝ่ายไปสองที “วิธีน่ะมีแน่” เพียงแต่เขาต้องการมั่นใจว่าสองคนนี้ไม่มีพิษไม่มีภัยจริงไหม

“ยี่สิบเจ็ดนาทีพอไหม” ไม้ถูพื้นเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อนัก

ฉู่ซือตอบ “เหลือเฟือ ขอแค่นายยังขยับขาทั้งสองข้างได้”

ตอนที่เตรียมโปรเจ็กต์เศษเสี้ยวดาวเคราะห์ ที่นี่ก็ถูกขีดให้เป็นหนึ่งในเขตปฏิบัติการ คำนึงถึงเวลาที่ดาวเกิดการระเบิด คฤหาสน์อาจเกิดรอยแตกร้าวบางส่วนได้ ฉะนั้นแคปซูลแช่แข็งส่วนใหญ่จึงถูกลำเลียงมาไว้ในป่าสนซีดาร์แห่งนี้ ห่างจากคฤหาสน์ไม่ไกล เวลาอพยพก็นับว่าสะดวก

แต่ในความเป็นจริงคือในคฤหาสน์ยังมีแคปซูลแช่แข็งสำรองอีกเก้าเครื่องซึ่งตั้งอยู่ในห้องเก็บของชั้นใต้ดินตรงทิศตะวันตก

ในห้องเก็บของยังมีแท่งพลังงานสำรองจำนวนหนึ่ง พื้นที่ในนั้นคับแคบ หากแคปซูลแช่แข็งเก้าเครื่องทำงานขึ้นมา ออกซิเจนที่ถูกลำเลียงออกมาแม้จะมากไม่เท่าอีกยี่สิบสี่แคปซูลที่กำลังทำงานอยู่ด้านนอก แต่ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบและมิดชิดเช่นนั้น ความหนาแน่นของออกซิเจนก็จะสูงขึ้น

ประวิงเวลาชั่วคราวไม่น่าเป็นปัญหา

ยิ่งไปกว่านั้น…

ฉู่ซือมองเครื่องสื่อสารในมือที่มีการสั่นแจ้งเตือนเด้งไม่หยุดว่า ‘แบตเตอรี่ไม่เพียงพอ’ แล้วคิดอย่างหัวเสียว่าต่อให้ยังใช้ทำอะไรตอนนี้ไม่ได้ แต่หาทางชาร์จไฟเสียหน่อยดีกว่า

ไม้ถูพื้นในฐานะคนธรรมดา เขาไม่เคยเข้ารับการฝึกในสภาพแวดล้อมที่หนักหน่วง ความทรหดที่มีต่อภาวะขาดออกซิเจนนั้นเทียบกับฉู่ซือไม่ได้ เวลานี้สมองของเขาก็ไม่ต่างจากปลาทองเท่าไหร่ แทบจะเคลื่อนไหวติดๆ ขัดๆ

เขาได้ยินว่าฉู่ซือมีวิธีก็ลุกพรวดทันทีโดยไม่คิด โอบร่างไม้ถูพื้นเล็กที่สูงประมาณเอวของเขาแล้วเดินตุปัดตุเป๋ตามหลังฉู่ซือ

 

ฉู่ซือพาพวกเขาเดินไปบนถนนสายหนึ่งกลางป่าในความมืดอย่างคล่องแคล่ว จากถนนสายนี้ถึงคฤหาสน์ใช้เวลาเพียงแปดนาที เมื่อเปิดห้องเก็บของแล้วเปิดให้แคปซูลแช่แข็งทำงานอย่างมากก็ใช้เวลาห้านาที ยังเหลือเวลาสิบกว่านาทีให้พวกเขาพักเหนื่อย

เวลาไม่ถือว่ากระชั้นชิด ดังนั้นสภาพจิตใจอันย่ำแย่ของฉู่ซือก่อนหน้านี้จึงดีขึ้นเล็กน้อย

แต่ในขณะที่ยังไม่ถึงห้านาที ด้วยระยะทางที่ห่างจากคฤหาสน์ไม่ถึงห้าสิบเมตร จู่ๆ เครื่องสื่อสารที่ร่อแร่ของฉู่ซือก็ส่งเสียงดัง ‘ตึ๊ง’ เสียงหนึ่ง

ฉู่ซือชะงักฝีเท้า มองเครื่องสื่อสารด้วยความฉงนแวบหนึ่ง

การสั่นแจ้งเตือนว่าแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ แต่เสียงเบาๆ สั้นๆ ลักษณะนี้คงไม่ใช่…นี่เป็นเสียงแจ้งเตือนข้อความ!

เนื่องจากแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ แสงหน้าจอจึงค่อนข้างมืด แต่ยังคงทำให้เขาเห็นแจ้งเตือนได้ชัดเจน มีข้อความใหม่หนึ่งข้อความจริงๆ

ฉู่ซือขมวดคิ้วปัดหน้าจอ อ่านรายละเอียดข้อความ

 

‘หัวหน้าปากร้ายของฉันไม่ด่ากลับมาด้วย น่าตกใจจริงๆ

ที่รัก ไม่ได้รับข้อความตอบกลับจากนายสักที ฉันเริ่มเบื่อแล้วสิ

– ซ่าเอ้อ หยาง

 

ฉู่ซือ “…” ไอ้ประสาทกลับที่ไหนจะรอจนยี่สิบเจ็ดปีแล้วถึงมาบอกว่า ‘ทำไมนายถึงไม่ตอบข้อความฉัน’ กันวะ!

ทว่านี่ยังไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือ…ซ่าเอ้อ หยางเริ่มรู้สึกเบื่อแล้วต่างหาก

ทุกครั้งที่ซ่าเอ้อ หยางรู้สึกเบื่อก็จะมีเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยการความมั่นคงอยากปาดคอตัวเองหรือไม่ก็ผูกคอตายกันเป็นขบวน

 

ฉู่ซือหน้าตึงก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา แล้วพิมพ์ข้อความบนเครื่องสื่อสารว่าถ้าเบื่อจริงๆ ฉันแนะนำให้นายเล่นกับตัวเองก่อน หรือไม่ก็เล่นกับเครื่องควบคุมที่ยังไม่ได้ถอดออกจากต้นแขนนั่น

ถ้อยคำนี้เป็นการท้าทายอย่างชัดเจน

ทุกคนรู้กันว่าเรือนจำอวกาศเป็นที่คุมขังวัตถุระเบิดเดินได้ ไม่มีสักคนที่จะควบคุมกันได้ง่ายๆ

ต่อให้ระบบทั้งหมดของเรือนจำแทบจะไม่มีช่องโหว่ให้มุด มิดชิดแน่นหนา ทั้งยังตั้งอย่างโดดเดี่ยวห่างไกลอยู่นอกกาแล็กซี่ แต่ก็ยังไม่มีใครกล้ารับประกันว่าเหล่าระเบิดเดินได้พวกนั้นจะไม่มีโอกาสแหกคุกออกมา

ฉะนั้นในเวลาเดียวกันกับที่คุมตัวเข้าเรือนจำ พวกเขาทุกคนจะถูกติดตั้งเครื่องควบคุมไว้บนต้นแขน

การถอดเครื่องควบคุมออกนั้นยากยิ่งกว่าการแหกคุกอวกาศเป็นร้อยเท่า

ปรากฏว่าหลังจากที่ฉู่ซือพิมพ์ข้อความทิ่มแทงใจนี้เสร็จ ขณะกำลังจะกดส่งหน้าจอเครื่องสื่อสารก็สว่างวาบขึ้น จากนั้นก็ดับสนิทไป

แบตเตอรี่หมดแล้ว!

ข้อความยังไม่ได้ตอบกลับ ไอ้ของเฮงซวยไม่ได้เรื่องนี่ก็ดันมาแบตเตอรี่หมดได้ถูกเวลาจริงๆ!

ฉู่ซือ “…”

เมื่อครู่เขายังหัวเราะได้ ตอนนี้คือขำไม่ออกแล้ว

ไม้ถูพื้นงงงวยกับการหยุดชะงักกะทันหันของเขา มองฉู่ซือที่ดึงคอเสื้อเชิ้ตทีหนึ่งด้วยท่าทีหงุดหงิด จากนั้นก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ฉู่ซือสูงยาวเข่าดี นอกจากเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดพรายบริเวณหน้าผากก็แทบไม่มีปฏิกิริยาจากภาวะพร่องออกซิเจน เพียงไม่กี่ก้าวก็ทิ้งห่างจากไม้ถูพื้นเล็กใหญ่ที่ฝีเท้าเริ่มหนัก

“เฮ้?! คุณ…” ไม้ถูพื้นหอบไปสองเฮือก แข็งใจไล่ตามไป “ทำไมจู่ๆ คุณก็รีบ…รีบร้อนขึ้นมาล่ะ”

ฉู่ซือไม่ตอบ เพียงแต่สาวเท้าเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม

หากไม่ใช่เพราะเขาพูดเสริมทิ้งท้ายไว้ว่า ‘ขานายถูกเลื่อยออกหรือไง’ ล่ะก็ ไม้ถูพื้นคงได้สงสัยว่าฉู่ซือคิดจะสลัดพวกเขาทิ้งแล้วด้วยซ้ำ

ระยะทางห้าสิบเมตรสุดท้ายไม่ถือว่าไกลแล้ว ฉู่ซือเร่งความเร็วของทั้งสามคนให้เร็วขึ้นเป็นเท่าตัวด้วยกำลังของเขาเพียงคนเดียว ตอนที่พวกเขายืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์ ยังเหลือเวลาอีกยี่สิบสองนาที

ทว่าไม้ถูพื้นนั้นแทบจะสิ้นชีพ

เขาลิ้นห้อย ตัวไหลลงจากผนังในสภาพจะตายมิตายแหล่ จ้องกุญแจประตูจนตาเหล่แล้ว

“สวรรค์ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ มาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ประตูนี่…ประตูนี่พวกเราเปิดไม่ได้ ต้องสแกนม่านตา นานมาแล้วผม…ช่างเถอะ ไม่พูดถึงมันแล้ว เอาเป็นว่าต้องสแกนม่านตาของหัวหน้าคนนั้น” ไม้ถูพื้นกวาดตามองฉู่ซือลวกๆ รอบหนึ่ง “คุณดูหนุ่มขนาดนี้ เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มกันของที่นี่เหรอ…ก็ไม่ค่อยเหมือน หรือเลขาฯ? ฮึ่ย…ช่างแม่งเถอะ ยังไงพวกเราก็ต้องวิ่งรอกอีกรอบ ไปลากหัวหน้าของพวกคุณออกจากแคปซูลแช่แข็ง…”

คำว่า ‘มา’ ยังไม่ทันออกจากปาก ฉู่ซือก็ไปยืนหน้าเครื่องสแกนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนกดปุ่มทีหนึ่ง

ความโชคดีในความโชคร้าย ระบบพลังงานของคฤหาสน์เป็นไปตามที่คะเนไว้ ยังสามารถทำงานได้ปกติอีกระยะหนึ่ง เครื่องสแกนส่งเสียงดัง ‘ติ๊ด…’ แล้วสแกนผ่านม่านตาของฉู่ซือ

ประตูใหญ่ส่งเสียงดังกรอกแกรกจากด้านในแล้วเปิดออกช้าๆ

ไม้ถูพื้น “ให้ตาย…เถอะ?”

“นายจะยืนบื้ออยู่ตรงนี้จนตายฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่รบกวนอย่าขวางประตู เปลืองไฟ” ฉู่ซือยกเท้าเดินก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินของลานด้านใน

ไม้ถูพื้นยังอยู่ในท่าอ้าปากค้าง เบี่ยงตัวออกโดยอัตโนมัติ ก่อนฉุดตัวไม้ถูพื้นเล็กแล้วกระวีกระวาดตามไป

 

ประตูใหญ่ปิดตัวลงอัตโนมัติตามหลังพวกเขา มันส่งเสียงล็อกแบบไฟฟ้า จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีก

แต่ลานสวนด้านในไม่ถือว่าเงียบ มีเสียงทุ้มต่ำบางอย่างดังแว่วอยู่ตลอด ไม่ได้สร้างความรำคาญ แต่มันดังอย่างต่อเนื่อง

เสียงนั้นมาจากเสาโลหะทรงกลมที่อยู่หัวมุมต้นหนึ่ง

เสากลมสูงประมาณคน ด้านบนมีรูทรงกลมรอบเสา เปล่งแสงสีฟ้าสดใส มีเข็มโลหะขนาดเรียวเล็กนับไม่ถ้วนยื่นออกจากรู กระจายราวกับขนเม่น

หน้าตาของมันดูค่อนข้างตลก แต่กลับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในสหัสวรรษของดาว

ส่วนที่อยู่บนพื้นแม้จะมีเพียงเสาโลหะรูปทรงเรียบง่าย ทว่าใต้พื้นกลับเชื่อมต่อกับบ่อสสารขนาดใหญ่ที่มีการออกแบบซับซ้อน มันสามารถยิงเกราะคุ้มกันขณะฟ้าถล่มดินทลายและกางหุ้มวัตถุทุกอย่างภายในกรอบไว้ได้

ด้วยความที่มีมันอยู่ดาวจึงไม่ได้แตกสลายท่ามกลางการระเบิดที่เกิดขึ้นกะทันหัน แต่แตกเป็นเศษเสี้ยวขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน แล้วกระจัดกระจายไปในอวกาศตามแรงดันกระแทก กลายเป็นผู้พเนจรท่ามกลางทะเลดาวเวิ้งว้าง เหมือนกับป่าสนซีดาร์ดำแห่งนี้รวมถึงคฤหาสน์หลังนี้ด้วย

ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่

“นั่นก็คือเสามังกรเหรอ” แววตาของไม้ถูพื้นที่มองไปทางเสาโลหะเต็มไปด้วยความยำเกรงและตกตะลึง “ผมยังไม่เคยเห็นตอนกำลังทำงานเลย…”

อาจเพราะแสงสีฟ้าใสนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดมากเกินไป ตอนที่เขาพูด จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป จิตใต้สำนึกสั่งให้ก้าวไปทางนั้นด้วย

ฉู่ซือเดาะลิ้น “คุยกันหน่อย ช่วยสงบเสงี่ยมสักหนึ่งนาที อย่ารนหาที่ตาย หืม?”

อันที่จริงไม้ถูพื้นยังไม่ได้เข้าไปใกล้เสามังกรก็สัมผัสถึงพลังฉีกกระชากสายหนึ่งได้รางๆ ทำเอาเขาตกใจจนถอยหลังสองก้าว กลับไปหาฉู่ซืออย่างเก้อเขิน

กุญแจของประตูคฤหาสน์ต้องใช้วิธียืนยันตัวตน สำหรับฉู่ซือแล้วไม่มีอุปสรรคใดๆ เพราะนี่เป็นบ้านของเขา

เขาพาไม้ถูพื้นทั้งเล็กใหญ่ไปยังห้องเก็บของชั้นใต้ดินอย่างชำนาญทาง

เพื่อประหยัดพลังงานพวกเขาจึงใช้บันได

 

ห้องเก็บของเป็นสถานที่ที่มิดชิดจนน่าตกใจ ทันทีที่เข้าไปก็ได้กลิ่นแผงวงจรหลักของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ผสมกับกลิ่นโลหะ เนื่องจากปล่อยทิ้งไว้นานถึงห้าสิบปี ฉู่ซือเปิดไฟฉุกเฉินที่เล็กที่สุดดวงหนึ่ง ทำให้ทั้งสองพอมองเห็นโครงร่างของอุปกรณ์ภายในห้องได้ชัดเจน…

แคปซูลแช่แข็งเก้าเครื่องตั้งเป็นระเบียบกินพื้นที่ส่วนใหญ่ในห้อง ส่วนผนังอีกสามด้านนั้นมีสองด้านที่มีตู้บรรจุสิ่งของต่างๆ ตั้งเรียงราย ยังมีอีกด้านที่เป็นแผงปฏิบัติการเชื่อมเรียงกับจอขนาดเล็กใหญ่หลายจอ และไม่รู้ว่ากำลังเฝ้าสังเกตการณ์หรืออะไร

“ไฟในห้องนี้ยังใช้ได้อีกนานเท่าไหร่” ไม้ถูพื้นถาม “เอาเถอะ รีบให้แคปซูลแช่แข็งปริศนาพวกนี้ทำงานเสียที ผมจะขาดอากาศหายใจตายอยู่แล้ว!”

อาจเพราะมองเห็นความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป น้ำเสียงของเขาจึงเรียกได้ว่าฉะฉานทีเดียว

ปรากฏว่าฉู่ซือกลับเดินอ้อมแคปซูลแช่แข็งที่อยู่บนพื้นตรงไปยังตู้เก็บของหนึ่งในนั้น แล้วค้นอะไรบางอย่างที่ชั้นบนสุดของตู้

“อะไร ยังต้องหาอะไรถึงจะเปิดเครื่องได้เหรอ” ไม้ถูพื้นตามไปด้วยความสงสัยพลางมองนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่ง

ฉู่ซือคลำวัตถุโลหะทรงสี่เหลี่ยมได้อันหนึ่งจากตู้ที่สี่ ชายหนุ่มตอบโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง

“เรื่องแคปซูลแช่แข็งไม่รีบ ฉันขอชาร์จแบตฯ เครื่องสื่อสารก่อน”

“เครื่องสื่อสาร?” ไม้ถูพื้นยังตั้งตัวไม่ทัน กะพริบตาปริบๆ สองที “คุณชาร์จแบตฯ เครื่องสื่อสารทำไม การเปิดเครื่องแคปซูลแช่แข็งต้องใช้เครื่องสื่อสารเหรอ”

ฉู่ซือตอบ “เปล่า ใช้ตอบข้อความ”

ไม้ถูพื้น “…” เขาทรุดลงไปคุกเข่าให้ฉู่ซือ “เอาชีวิตรอดก่อนค่อยคุยไม่ได้เหรอ”

ฉู่ซือนำโลหะสี่เหลี่ยมในมือแตะกับด้านหลังของเครื่องสื่อสารแล้วกดปุ่มบนโลหะทรงสี่เหลี่ยม

มันส่งเสียงดังตึ๊ง เครื่องสื่อสารทำให้นิ้วของเขาชาไปวูบหนึ่ง จากนั้นหน้าจอก็สว่าง เป็นการเปิดเครื่องอีกครั้ง

ฉู่ซือจึงชำเลืองมองไม้ถูพื้นที่คุกเข่าร้องไห้แวบหนึ่ง ก่อนหยิบสายไฟขึ้นจากพื้นแล้วเสียบเข้าที่เต้าเสียบข้างผนัง

“ระบบอัจฉริยะทำงาน เปิดการทดลองใช้งานแคปซูลแช่แข็งอีกครั้ง มีการตรวจจับนอกป่าได้ว่าครั้งล่าสุดมีการปิดการใช้งานแบบไม่ปกติ ระบบจะทำการกำหนดพิกัดให้ท่านอีกครั้ง…กำหนดพิกัดเรียบร้อย การตรวจตราดำเนินการต่อ”

ไม้ถูพื้นมองอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำงานอีกครั้งด้วยท่าทีนิ่งอึ้ง แคปซูลแช่แข็งเก้าเครื่องส่งเสียงวื้ดทีหนึ่ง ในที่สุดก็เริ่มทำงาน

“แคปซูลแช่แข็งในนี้ปกติจะใช้สำหรับการทดสอบ วิธีการทำงานต่างจากพวกที่อยู่ในป่า” ฉู่ซือนั่งพิงข้างแผงปฏิบัติการ มือข้างหนึ่งยันกับขอบโต๊ะ อีกข้างหนึ่งแตะหน้าจอเครื่องสื่อสารอย่างรวดเร็ว

ข้อความที่ซ่าเอ้อ หยางบ่นว่าเบื่อยังนอนอยู่ในช่องรับข้อความของเขา ผ่านไปแล้วเจ็ดนาที

ครั้งนี้ฉู่ซือไม่ได้พิมพ์ข้อความที่มีเนื้อหาท้าทายอะไร เพื่อเป็นการประหยัดเวลาเขาไม่ได้พิมพ์ตัวอักษรด้วยซ้ำ พิมพ์แค่จุดจุดเดียวแล้วก็ส่งไปเลย

ไม่ว่าอย่างไรชั่วดีก็ถือว่าเป็นการตอบกลับแล้ว

 

แคปซูลแช่แข็งทำงาน ออกซิเจนค่อยๆ ถ่ายเทออกจากช่องระบายบริเวณตัวฐาน ไม้ถูพื้นเล็กใหญ่กอดกัน ร่างลื่นยวบลงไปพิงข้างแคปซูลแช่แข็งราวกับเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก

เมื่อเครื่องทำงานปกติแล้ว เสียงดังวื้ดของเครื่องจักรก็หายไป ห้องเก็บของค่อยๆ กลับสู่ความสงบ

“ฮู่…” ไม้ถูพื้นผ่อนลมหายใจเฮือกยาว หรี่ตาพูดกับฉู่ซือ “ในที่สุดก็ค่อยยังชั่ว”

เขารู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายจนสามารถนอนกอดแคปซูลแช่แข็งได้ทั้งคืนเลยทีเดียว

ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเขาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงถามขึ้น “เมื่อกี้คุณรีบร้อนชาร์จแบตฯ คือจะตอบข้อความอะไรเหรอ พวกเรากลายเป็นฝุ่นในจักรวาลไปแล้ว ยังมีคนว่างส่งข้อความให้คุณอีกเหรอ”

เกินจะเข้าใจได้จริงๆ!

ฉู่ซือขยับเปลือกตาขึ้นมอง “ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่ง”

ไม้ถูพื้นถาม “…ร้ายแค่ไหน ชนิดที่ไม่ตอบข้อความก็ระเบิดคุณแบบนั้นเลยหรือเปล่า”

ฉู่ซือโยนเครื่องสื่อสารลงบนแผงปฏิบัติการที่อยู่ข้างๆ “แน่นอนว่าไม่ใช่ ถ้าจะระเบิดเขาก็จะระเบิดดาวไปเลย”

“…?”

ไม้ถูพื้นแคะหู “ไม่สิ เดี๋ยวก่อน เหมือนผมจะได้ยินอะไรที่เรื่องใหญ่มาก…คุณล้อเล่นใช่ไหม”

ฉู่ซือหันไปมองหน้าจอขนาดเล็กใหญ่ด้านหลังเขาแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

“…” ไม้ถูพื้นจ้องเขาด้วยความหวาดผวาครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเรื่องที่ชวนขวัญผวาขนาดนี้ไม่มีทางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงลักษณะนี้ได้

เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็สูดออกซิเจนอย่างวางใจอีกครั้ง “ต้องล้อเล่นแหงๆ”

จอบนแผงปฏิบัติการอิเล็กทรอนิกส์ยังคงสว่าง ทุกจอล้วนแสดงภาพของคฤหาสน์รวมถึงบางจุดนอกป่าสนซีดาร์ดำ ก่อนจะเปลี่ยนภาพเองอัตโนมัติตามความถี่ที่กำหนด

แต่สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน การมอนิเตอร์ที่ว่าย่อมไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเศษเสี้ยวดาวเคราะห์แห่งนี้อาจมีแค่พวกเขาสามคนเท่านั้น

ในนั้นมีอาณาเขตการมอนิเตอร์ของสองหน้าจอไปถึงพรมแดนเศษเสี้ยวดาวเคราะห์แล้ว สามารถมองเห็นหน้าผาชัน นอกหน้าผาเป็นอวกาศที่สุดลูกหูลูกตา

ทะเลดาวอยู่เหนือศีรษะและอยู่ใต้เท้าด้วย

อันที่จริงนี่เป็นทัศนียภาพที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ทว่าฉู่ซือมองเงียบๆ อยู่สองวินาทีก็เลื่อนนิ้วไปที่ปุ่มพาวเวอร์

เครื่องมอนิเตอร์ขนาดใหญ่เช่นนี้เปิดทำงานอยู่ตลอดเวลา ถือเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานอย่างหนึ่ง

ขณะที่ฉู่ซือตัดสินใจกดปุ่มพาวเวอร์ ระบบอัจฉริยะก็ส่งเสียง

“คำเตือน มีผู้บุกรุกเขตเฝ้าสังเกตที่สอง! คำเตือน มีผู้บุกรุกเขตเฝ้าสังเกตที่สอง!”

เขตเฝ้าสังเกตที่สองไม่ใช่ที่อื่น ก็คือหน้าผาที่ยื่นออกไปเชื่อมกับทะเลดาวแห่งนั้น เป็นพรมแดนของอาณาเขตผืนนี้

ไม้ถูพื้นตระหนกตกใจกับเสียงเตือนนั้น ลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วถลาเข้าไปทันที

ฉู่ซือนิ่วหน้า ตามองไปที่หน้าจอก็เห็นเงาร่างของคนคนหนึ่งพลิกลอยเข้ามาจากนอกหน้าผาแล้วร่อนลงบนหินสีดำก้อนหนึ่งอย่างปราดเปรียวแม่นยำ

เขามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ขณะแตะพื้นแขนของเขาเกร็งให้เห็นมัดกล้ามสวยงาม สวมหน้ากากออกซิเจนบดบังหน้าตาอย่างมิดชิด มองเห็นเพียงแนวกรามที่คมสันในเวลาที่เขาหันหน้าเท่านั้น

ไม้ถูพื้นเห็นกำไลสีดำทองที่สวมอยู่บนต้นแขนของคนคนนั้นตั้งแต่แวบแรก เขาร้องเสียงหลงทันที

“ให้ตายเถอะแม่ง คนของเรือนจำอวกาศ!”

คนคนนั้นยืนหันมองไปรอบๆ บนหินสีดำ ทันใดนั้นก็หยุดชะงักเมื่อหันมาทางจอ

อีกฝ่ายยักไหล่ ยกเท้าเดินเข้าหาหน้าจอ เมื่อเดินเข้ามาถึงจุดที่ใกล้ที่สุดก็ยกมือถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าสุดหล่อเหลา ดวงตาของเขามีสีอ่อนจาง ยามหรี่ตาลงฉายแววหยิ่งทะนง ทว่าพริบตาเดียวแววตานั้นก็เจือจางไปด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

คนคนนั้นใช้นิ้วโป้งลูบบนเลนส์กล้องทีหนึ่ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างคนที่เหนือกว่า “ที่รัก ไม่ได้รับข้อความตอบกลับจากนายเสียที เพราะงั้นฉันมาหานายแล้ว”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 18 มี.. 66

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: