ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 1
ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)
แปลโดย : Luna
ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3 เรือนจำอวกาศ
เปลวไฟจากระเบิดอันแสนสะเทือนขวัญเป็นดั่งบทเพลงสรรเสริญของปีศาจ ปีศาจตนนั้นคว้านครหนึ่งท่ามกลางสมุทรดารา มอบให้แก่พระเจ้าแทนดอกไม้ – ‘ดินแดนแห่งความว่างเปล่า’ โดยเอสเธอร์
ฉู่ซือย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ชำเลืองไปทาง ‘ว่าว’ สุดซวยแวบหนึ่ง พลันรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา
สิ่งนั้นถูกตรึงอยู่กับเสามังกร เนื่องจากพลังงานของมันถูกเสามังกรหลอมรวม ด้วยผลจากแรงดูดจึงค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้จากไกลๆ…
ว่าไปแล้วก็ดูเหมือนว่าวที่กำลังม้วนเก็บเชือกจริงๆ
ฉู่ซือยิ่งปวดกบาลเข้าไปใหญ่
ปุบปับเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ก็เปลี่ยนจากใหญ่กลายเป็นเล็ก ไม่ว่าจะขนาดพื้นที่หรือคุณภาพก็ตาม ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เดิมทีระบบจำลองแรงโน้มถ่วงกับระบบสมดุลในการหมุนรอบวงโคจรของเสามังกรก็อยู่ในขั้นตอนปรับตัวให้เข้ากับสภาวะอยู่แล้ว
จู่ๆ ก็มีคนมือบอนอย่างซ่าเอ้อ หยางโผล่มาผูกวัตถุต่อเติมให้มันอีก ทำให้มันตกอยู่ในภาวะวุ่นวายและต้องจัดการตัวเองรอบใหม่อีกครั้ง
ฉู่ซือสัมผัสได้ชัดเจนว่าใต้ฝ่าเท้าของตัวเองไม่มั่นคง สภาวะไร้น้ำหนักเดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบา ในเวลาเดียวกันยังรู้สึกได้ว่าการโคจรของเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ก็เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งเป็นแบบที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของคนทั่วไป
ประหนึ่งเรายืนอยู่บนแท่นหมุน มีคนถือหัวใจเราแล้วเขย่าขึ้นลงด้วยความต่ำช้า…
ความรู้สึกนี้ชวนคลื่นไส้อย่างหนักหนาสาหัส
เวลานั้นระบบของเสามังกรยังอยู่ในขั้นตอนการค้นคว้าวิจัยและดีบั๊ก* ฉู่ซือในฐานะหนึ่งในหัวหน้าผู้รับผิดชอบหลักได้เข้าร่วมการทดลองจำลองอยู่หลายครั้ง การทดลองนั้นมีการจำลองถึงสถานการณ์ที่ระบบจำลองแรงโน้มถ่วงกับระบบสมดุลในการหมุนรอบวงโคจรเสียสมดุลไปชั่วคราวด้วย สำหรับภาวะวิงเวียนตาลายจนใจสั่นลักษณะนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เขาจึงพอจะอดทนกับมันได้
แต่สองไม้ถูพื้นเล็กใหญ่นั้นทนไม่ได้ ท่าทางวิงเวียนอย่างไม่หวาดไม่ไหว
“ไม่ไหว คุณหลบไปหน่อย ผมจะอ้วกแล้ว!” ไม้ถูพื้นส่งเสียงอาเจียนไปหนึ่งรอบ ทรุดลงคลานกับพื้น “ผมว่าสีหน้าผมต้องแย่มากแน่ๆ ผมจะตายแล้ว”
กระดูกโหนกแก้มของฉู่ซือขยับเบาๆ คล้ายกำลังขบกราม ข่มกลั้นอาการวิงเวียนนั้นแล้วตอบ “คราบขี้ไคลเก่าเก็บของนายน่าจะหนาสามชั้นได้ แสงรังสีเอ็กซ์ยังส่องไม่ทะลุ ใครจะไปมองเห็นสีหน้าของนายกัน”
ปากคอเราะรายแสนชั่วช้านี่ก็ไม่เห็นแก่ความเป็นความตาย ไม่ดูกาลเทศะ ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่แค่อ้าปากก็จะอาเจียนอย่างนี้ เขาก็ยังไม่ลืมถากถางคนอื่น
เพิ่งพูดจบประโยคเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำสั้นๆ ดังมาจากข้างๆ
ว่ากันตามตรง เสียงนั้นไพเราะเสนาะหู ทว่ามันถูกเปล่งออกจากลำคอของซ่าเอ้อ จึงทำให้คนฟังจินตนาการไปถึงอารมณ์ที่ไม่ได้บริสุทธิ์ใจอย่างพวก ‘เยาะเย้ย’ ‘มีนัยแฝงลึกซึ้ง’ อย่างน่าประหลาด
“ที่รัก ฉันชอบสภาพจิตใจแบบนี้ของนายมากขึ้นๆ ทุกที” ซ่าเอ้อบอก
ตอนที่วิงเวียนศีรษะ การหลับตาช่วยบรรเทาอาการคลื่นเหียนได้พอประมาณ ฉะนั้นฉู่ซือที่ได้ยินคำนั้นก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น เพียงแค่ใช้นิ้วคลึงขมับพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“อ้อ เกรงว่าต่อไปนายจะได้เห็นเป็นบุญตามากกว่านี้”
เขาเงียบเพื่อผ่อนอารมณ์ครู่หนึ่ง คิดแล้วก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง แม้เขาจะมองไม่เห็นสีหน้าของซ่าเอ้อ ทว่าแค่ฟังน้ำเสียงและการพูดจาแล้ว อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ได้ทรมานเพราะภาวะไร้น้ำหนักและหมุนเหวี่ยงแบบนี้
หัวหน้าฉู่ผู้มีจิตใจคับแคบหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็อดขยับเปลือกตาขึ้นมองซ่าเอ้อแวบหนึ่งไม่ได้ แล้วก็เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่ข้างเสามังกร มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า มองเสามังกรในระยะห่างที่พอจะถือว่าเป็นระยะปลอดภัย
“นึกไม่ถึงว่านายจะไม่อ้วก” ฉู่ซือว่าก่อนหลับตาอีกครั้ง พร้อมข่มอาการคลื่นเหียนที่พุ่งขึ้นมาระลอกใหม่
“ข้อเสียนิดๆ หน่อยๆ เมื่อหลายปีมาแล้วนายก็ยังจำอีก ถือว่าฉันได้รับเกียรติจริงๆ” ซ่าเอ้อตอบ “ว่าแต่ถ้าตอนที่ถามเรื่องนี้ น้ำเสียงฟังแล้วเสียดายน้อยกว่านี้หน่อยก็คงจะดี”
ฉู่ซือรู้สึกเสียดายอย่างไม่คิดปิดบัง “อยู่ในเรือนจำอวกาศมาเก้าปี ชินกับความรู้สึกแบบนี้แล้วสิ?”
“ได้อานิสงส์จากนายไง” ก่อนหน้านี้เสียงของซ่าเอ้อยังห่างจากเขาหลายเมตร จู่ๆ เวลานี้กลับใกล้เข้ามาตรงหน้าแล้ว ราวกับกำลังยืนประจันหน้ากับเขา
ฉู่ซือลืมตาขึ้นทันที พลันเห็นใบหน้าของซ่าเอ้ออยู่ใกล้เพียงปลายตา ก่อนที่อีกฝ่ายจะโน้มตัวเล็กน้อยเข้ามามองเขาเหมือนเวลาพินิจมองเสามังกร ปลายจมูกแทบจะแตะกันรอมร่อ
ไม่รอให้ฉู่ซือตั้งตัว จู่ๆ ซ่าเอ้อก็เป่าลมใส่ตาข้างซ้ายของเขาทีหนึ่ง
เปลือกตาของฉู่ซือถูกเป่าจนสะท้าน ย่นคิ้วแหงนหน้าไปด้านหลัง “นาย…”
“แต่เรือนจำอวกาศฝึกเรื่องนี้ไม่ได้” ซ่าเอ้อคลี่ยิ้มพร้อมกับยืดตัวตรง ถอยหลังไปสองก้าว “นายลองไปอยู่ในบริเวณขอบแรงดึงดูดของหลุมดำสักหลายๆ วันดู ก็จะรู้ว่าอาการวิงเวียนระดับนี้เทียบไม่ติดเลย”
“หลุมดำเหรอ” ฉู่ซือคิดไม่ทันไปชั่วขณะ “ทำไมนายถึงเกือบถูกหลุมดำดูด”
ซ่าเอ้อเอียงหน้า ขยิบตาข้างขวาให้เขาทีหนึ่ง “ให้ทาย”
ฉู่ซือ “…”
คนประสาทที่มีพฤติกรรมยากจะคาดเดาแบบนี้ ที่ฉู่ซือเจอมามีแค่คนนี้คนแรกและคนเดียว
แล้วคนคนนี้ดันรู้จักกับเขามานาน นานจนแทบจะกินเวลาถึงสามในสี่ของชีวิตเขาเลยทีเดียว
สองคนที่รู้จักกันมานานขนาดนี้ ความสัมพันธ์กลับอยู่ในสภาพนี้ จำต้องบอกว่าล้มเหลวน่าดู
ปีที่ซ่าเอ้อเพิ่งเข้าไปอยู่ในเรือนจำอวกาศ ฉู่ซือยังเคยคิดอยู่ครั้งสองครั้งว่าถ้าพวกเขาสองคนเจอกันอีกครั้งจะเป็นสถานการณ์แบบใด แต่ก็แค่คิดเล่นๆ ในเวลาที่ว่างไม่ได้ทำอะไรเท่านั้น…
ไม่มีทางที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงคนไหนของเรือนจำรวมถึงรัฐบาลยินดีจะเห็นพวกเขาสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน นั่นอาจเป็นภัยพิบัติและวันโลกาวินาศของสิ่งก่อสร้างนั้น
แต่ภายหลังเขาก็ไม่เคยคิดถึงคำถามนี้อีกเลย เนื่องจากระยะเวลาการจองจำของซ่าเอ้อ หยางนั้นนานจนน่าตะลึง บนหนังสือพิจารณาคดีระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ‘จนกว่าจะสิ้นอายุขัยของดวงดาว’
ในฤดูร้อนของปีหนึ่ง ซ่าเอ้อ หยางบุกรุกเข้าไปในช่องสัญญาณสื่อสารของสำนักงานเขา แล้วฝากข้อความไว้ให้เขาหลายข้อความ ถามเขาว่า ‘ถ้าได้เจอกันอีกครั้ง นายจะยิ้มต้อนรับฉันหรือยิงฉันทิ้งทันที’
เวลานั้นฉู่ซือยังตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจว่า ‘ไม่มีวันนั้น’
ผลปรากฏว่าเหมือนสวรรค์จะเห็นฉู่ซือขวางหูขวางตา เพิ่งทิ้งท้ายคำพูดนี้ได้สองปี ดาวก็ระเบิดเสียอย่างนั้น
ซึ่งดาวระเบิดไปเพียงห้าสิบปี พวกเขาก็ย้อนกลับมาเจอกันแล้ว…
สวรรค์เองก็คงประสาทไม่ดี ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียแล้ว
การจัดการตัวเองของระบบเสามังกรหนนี้นานจนน่าอกสั่นขวัญแขวน สุดท้ายไม้ถูพื้นแทบจะถามฉู่ซือด้วยน้ำตา
“นี่แม่งจะไม่จบไม่สิ้นแล้วใช่ไหม ผมถอดเครื่องแปลงอากาศเลยดีกว่า จะได้จบๆ”
แม้ฉู่ซือจะเคยผ่านการจำลองสถานการณ์มาหลากหลายรูปแบบ ทว่าอย่างไรการทดลองก็เทียบกับความจริงไม่ได้ เวลาในการทดลองล้วนมีการตั้งค่ากำหนดเรียบร้อย แต่ชีวิตจริงย่อมไม่มีการทักทายบอกกล่าวกันเช่นนั้น
ดีว่านานแค่ไหนก็มีเวลาสิ้นสุด หลังจากไม้ถูพื้นสลบแล้วฟื้นสลับไปมาสามรอบ เสามังกรจึงสงบลงในที่สุด ระบบจำลองแรงโน้มถ่วงปรับสภาพให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ระบบสมดุลในการหมุนรอบวงโคจรก็ทำงานเป็นปกติ สสารล่องหนส่วนนอกค่อยๆ หมุนตัวด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ บวกกับการผ่อนแรงของส่วนกลาง ความเร็วในการหมุนรอบตัวของเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ที่อยู่ส่วนในก็ช้าลงจนต่ำกว่าขีดที่ประสาทสัมผัสของคนทั่วไปรับรู้แล้ว
สำหรับพวกฉู่ซือนั้นในที่สุดเท้าก็ติดพื้น ไม่มีอาการวิงเวียนคลื่นเหียนอีกแล้ว
ทว่า…
“ว่าวอับโชคนี่ใหญ่กว่าที่ดินผืนนี้ถึงสองเท่า ห้อยติดอยู่อีกฝั่งแบบนั้นจะไม่พลิกจริงเหรอ” ไม้ถูพื้นอดเอ่ยปากไม่ได้
หากไม่ใช่ว่ามีฉู่ซือกับซ่าเอ้อ หยางยืนปักหลักอยู่ข้างๆ ประหนึ่งไททัน* ไม้ถูพื้นคงได้อาเจียนจนเต็มพื้นไปนานแล้ว แต่สองคนนี้ดันชำเลืองมองเขาเป็นระยะ มองจนกระเพาะปัสสาวะของเขาขยายตัว อ้าปากอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่กล้าอาเจียนออกมา เวลานี้ได้แต่นอนยวบอยู่บนพื้นพลางลูบหน้าอกครั้งแล้วครั้งเล่า
ตั้งแต่เขาตื่นมา เวลากว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนจะอยู่ในอิริยาบถนี้ตลอด…
ไม่ว่าอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น เขาจึงปล่อยไปตามยถากรรมให้สิ้นเรื่องสิ้นราว สู้กับสายตาจดจ้องของไททันสองคนนี้ แล้วแข็งใจยกมือชี้ไปทางวัตถุขนาดใหญ่อีกทาง
นั่นเป็นเคบินกลมที่ซ่าเอ้อซึ่งมืออยู่ไม่สุขไปดึงเอาไว้ แล้วถูกเสามังกรเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ จนใช้กำลังลากมันเข้ามาในอาณาเขตคุ้มกันราวกับลากสุนัขใกล้ตายตัวหนึ่ง
ตอนที่สร้างเรือนจำอวกาศ เทคโนโลยีที่ใช้ก็คือเทคโนโลยีจำลองหุ่นยนต์รบขนาดใหญ่ ฉะนั้นเรือนจำอวกาศจึงมีสติปัญญาของตัวเองในระดับหนึ่ง หากนำเรือนจำอวกาศที่สภาพสมบูรณ์ไปวัดระดับเชาวน์ปัญญาก็เทียบเท่ากับเยาวชนที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง
เรือนจำอวกาศที่ถูกหักขาก็คงเทียบเท่ากับเยาวชนที่ล้มป่วยคนหนึ่ง
ส่วนเคบินกลมที่ถูกเสามังกรลากเข้ามาก็คือขาของเรือนจำอวกาศข้างที่ถูกหักมา เทียบเท่ากับเยาวชนที่บกพร่องทางสติปัญญาคนหนึ่ง
ด้วยการทำงานของสนามพลังงานของเสามังกร เยาวชนที่บกพร่องทางสติปัญญาโขกกับขอบแผ่นดินจนหน้าบวมตุ่ย ด้วยอารมณ์เดือดดาลจึงยื่นนิ้วเท้าออกไปนิ้วหนึ่ง…คือสายเชื่อมต่อฉุกเฉินที่มีจุดเชื่อมต่อคล้ายตัวหนีบ
ในสถานการณ์ปกติสายเชื่อมต่อฉุกเฉินนี้มีไว้สำหรับใช้เชื่อมต่อกับยานบินหรือหุ่นยนต์รบที่มาเยือนเรือนจำอวกาศชั่วคราว แต่เคบินกลมที่บกพร่องทางสติปัญญาแล้วไม่สามารถทำการวิเคราะห์ได้ จึงเข้าใจผิดว่าเศษเสี้ยวดาวเคราะห์เป็นยานบินอีกลำหนึ่ง
ได้ยินเสียงแกร๊กดังติดต่อกันหลายครั้ง สายเชื่อมต่อฉุกเฉินง้างออก แสยะคมเขี้ยวงับพรมแดนผืนดินแล้วบังคับเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับเศษเสี้ยวดาวเคราะห์
วัตถุพิศวงจึงได้ถือกำเนิดขึ้น
ฉู่ซือหน้าตึง จ้องเคบินกลมนั้นอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็ก้าวเท้าเดินไปหามัน
“หัวหน้าฉู่ผู้หัวหนักเท้าเบา** นายจะทำอะไรกับว่าวที่ฉันให้ไม่ทราบ” ซ่าเอ้อพูดกับแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างเรื่อยเฉื่อย ก่อนจะก้าวขาตามไปด้วย
นายยังมีหน้ามาถามอีก?!
ฉู่ซือหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ “สัดส่วนของฉันจะหัวหนักเท้าเบาได้ยังไง ในเมื่อนายตาบอดขนาดนี้แล้ว ฉันขอแนะนำด้วยใจจริงว่านายไปอยู่ทางโน้นไป ฉันจะเข้าไปดูว่ามีของที่เป็นประโยชน์อะไรให้หยิบฉวยบ้าง”
ซ่าเอ้อไม่ถือสากับความปากร้ายของเขาแม้แต่น้อย เดินตามอย่างสบายอารมณ์ต่อไป “หัวหน้าฉู่คนขายาว ถ้าค้นของมีประโยชน์เจอจำนวนไม่น้อย ก็ช่วยจดไว้เป็นความดีความชอบของฉันสักหนึ่งครั้งได้ไหม”
ฉู่ซือ “…” ทำไมนายยังไม่ไสหัวไปอีก
เวลาที่ไททันสองคนนี้ยืนอยู่ข้างๆ ไม้ถูพื้นรู้สึกไม่กล้าขยับแข้งขา แม้กระทั่งเวียนศีรษะคลื่นไส้ก็ยังต้องคอยระมัดระวัง กลัวจะไปสะกิดโทสะของพวกเขา โดยเฉพาะซ่าเอ้อ หยาง
แต่พอเห็นพวกเขาทิ้งตัวเองไว้แล้วก้าวไปหน้าประตูเคบินกลม เขาก็รู้สึกเหมือนไร้ที่พึ่ง
ไม้ถูพื้นอดทนอยู่ครู่หนึ่งก็ทนไม่ไหว จูงไม้ถูพื้นเล็กเดินโซซัดโซเซตามหลังสองคนนั้นไป
ฉู่ซือได้ยินเสียงฝีเท้าลนลานก็เลิกคิ้วขึ้นหันไปมอง “มีผีไล่ตามนายอยู่หรือไง” รวมทั้งหมดก็แค่ระยะทางหกเจ็ดเมตร ต้องรีบขนาดนี้เชียว?
ย่อมไม่มีผีจริงๆ อยู่แล้ว ทว่าทั่วทั้งบริเวณเศษเสี้ยวดาวเคราะห์นี้มีแหล่งกำเนิดแสงแค่เสามังกรเท่านั้น อีกทั้งแสงที่ฉายออกมายังเป็นสีฟ้าสลัว ต่อให้เป็นคนหน้าตาดีแค่ไหน เมื่อถูกมันส่องสะท้อนก็ล้วนดูสยองขวัญทั้งนั้น
แม้แต่มองหน้าของไม้ถูพื้นเล็กเกินห้าวินาที เขาก็ยังรู้สึกกลัวเล็กๆ
เรื่องทำนองนี้บอกกับคนอื่นก็แล้วไป แต่บอกกับคนอย่างฉู่ซือนั้นเรียกได้ว่าถลาไปให้อีกฝ่ายถากถางถึงที่ ด้วยเหตุนี้ไม้ถูพื้นจึงเชิดคางขึ้นอย่างดื้อรั้นแล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่มีอะไร ผมแค่อยากบอกว่าส่วนหนึ่งของเรือนจำอวกาศก็ถือว่าเป็นยานบินอัจฉริยะในความหมายกว้างๆ อยู่ในขอบข่ายอาชีพของผม การเปิดประตูยานบินลักษณะนี้ค่อนข้างพิถีพิถัน โดยเฉพาะ…”
ยังไม่รอให้เขาพูดจบ ฉู่ซือก็กดปุ่มข้างประตูอย่างช่ำชองอีกครั้ง
โลหะสองบานเลื่อนออกอัตโนมัติ เผยให้เห็นเครื่องสแกนที่ซ่อนอยู่ด้านใน
เพียงแต่ครั้งนี้ค่อนข้างยุ่งยากอยู่บ้าง ไม่เพียงต้องสแกนม่านตาเท่านั้น แสงสีแดงสแกนฉู่ซือตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าจอแสดงภาพโครงสร้างกระดูกกับลำดับ DNA อย่างรวดเร็ว ค่าตัวเลขเป็นพรวนวิ่งผ่านหน้าจออย่างรวดเร็ว บนหน้าจอก็ปรากฏตัวอักษรขึ้นสองแถว
‘ยืนยันตัวตนเรียบร้อย
สิทธิ์การเข้าถึงถูกต้อง’
ไม้ถูพื้น “…ถือเสียว่าผมไม่ได้พูด”
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่นี่ก็บังเอิญอยู่ในขอบข่ายอำนาจของฉันพอดี” ฉู่ซือยักไหล่
ไม้ถูพื้นหมดกำลังใจ ในใจคิดว่าในเมื่อตัวเองยังทำประโยชน์ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่เป็นตัวภาระอย่างว่าง่ายแล้วกัน
“ในนั้นจะมีอะไรล่ะ จะมีอาหารไหม สวรรค์รู้ว่าผมหิวจนแทบอยากกินคนแล้ว”
ทันใดนั้นซ่าเอ้อก็หันมาคลี่ยิ้มบางๆ ให้เขา “บังเอิญจัง ฉันก็ด้วย”
“…” ไม้ถูพื้นลอบขนลุกเกรียวจนปัสสาวะแทบราด
ถึงลูกพี่คนนี้จะยิ้มแล้วหล่อบาดใจก็จริง แต่น่ากลัวยิ่งกว่าปั้นหน้าบึ้งตึงเสียอีก!
ต่อให้ระบบอัจฉริยะของเคบินกลมนั้นมีภาวะบกพร่อง แต่ชั่วดีอย่างไรก็เป็นส่วนหนึ่งของเรือนจำอวกาศ ประตูของที่นี่ลำพังแค่จำนวนชั้นก็มีมากกว่าที่อื่นมาก ขั้นตอนการเปิดประตูก็ซับซ้อนกว่ามาก
เสียงโลหะทำงานดังวึ้ง ระหว่างพูดคุยได้เปิดไปแล้วสองชั้น
ซ่าเอ้อมั่นใจกับของเล่นที่ตัวเองฉวยติดมือมาได้เป็นอย่างมาก เขาเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างชี้ไปที่ประตูโลหะชั้นที่สามที่กำลังจะเลื่อนเปิด
“หัวหน้าฉู่ผู้มีอำนาจสูงลิ่ว อีกเดี๋ยวก็จะได้เจออาหารสดใหม่เต็มโต๊ะ มีไวน์หรือแม้กระทั่งมีซิการ์ด้วยซ้ำ ควรขอบคุณฉันหน่อยไหม”
เขาพูดเช่นนี้ได้ย่อมมีหลักฐานเป็นธรรมดา
รูปแบบแผนผังเรือนจำอวกาศทั้งหมดนั้นฉู่ซือหลับตาก็วาดได้แล้ว ก่อนหน้านี้สถานการณ์วุ่นวาย เขาจึงไม่ทันคิด เวลานี้สงบสติแล้ว เขาก็เทียบเคบินกลมกับภาพผังออกแบบในหัวแล้วก็นึกขึ้นได้
ข้างในเคบินกลมนี้ด้านตะวันออกเป็นห้องขังพิเศษแถวหนึ่ง บริเวณส่วนนอกเป็นศูนย์มอนิเตอร์หมายเลขสอง ด้านตะวันตกเป็นห้องประจำการของผู้คุมเรือนจำกับโกดังเชื้อเพลิงหมายเลขสี่ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นกับฉู่ซือในเวลานี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือบริเวณส่วนกลางของเคบินกลมนี้ นั่นก็คือโรงอาหาร
‘โรงอาหาร’ ช่างเป็นคำที่สวยงามอะไรอย่างนี้
สำหรับเวลานี้บอกว่าเป็นสรวงสวรรค์ก็ไม่เกินจริง
ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวออกจากแคปซูลแช่แข็ง ฉู่ซือก็หิวโซจนแทบอยากกินคนแล้ว จนปัญญาที่เขากินไม้ถูพื้นเล็กใหญ่ไม่ลง ส่วนซ่าเอ้อ หยาง…เขากลัวกินแล้วอาหารจะไม่ย่อย
ที่เขาบอกว่าจะค้นหาของที่ใช้ประโยชน์ได้สักหน่อย ความจริงแล้วโกหกทั้งเพ หาอะไรกินให้อิ่มก่อนต่างหากที่สำคัญ
ในที่สุดประตูโลหะห้าชั้นก็เปิดออกทั้งหมดแล้ว
หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย พวกเขาจะเห็นโถงทางเดินของห้องประจำการของผู้คุมเรือนจำ บางทีอาจยังมีผู้คุมเรือนจำสีหน้ามึนงงที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ด้านใน แต่ตามกระบวนการปกติแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ระเบิดแยกเคบินกลมนี้พวกเขาน่าจะถอนกำลังฉุกเฉินกันแล้ว
แต่หลังจากฉู่ซือก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่กลับขมวดคิ้วมุ่น
ตำแหน่งที่เขารับหน้าที่จำเป็นต้องเสี่ยงกับภยันตรายต่างๆ เป็นเวลานาน จึงมีประสาทสัมผัสที่ว่องไวกับเรื่องบางอย่าง…
โถงทางเดินนี้ไม่ชอบมาพากล!
ห้องประจำการแปดห้องของผู้คุมเรือนจำล้วนปิดประตูสนิท แม้กระทั่งหน้าต่างบานเล็กด้านบนก็ยังปิดมิดชิด สายตาของฉู่ซือมองผ่านประตูแต่ละบาน แต่ฝีเท้ากลับไม่ได้หยุดนิ่ง เขาลองยกมือไปจับลูกบิดประตูอันหนึ่ง ได้ยินเสียงอิเล็กทรอนิกส์ทุ้มๆ ดังมาจากด้านใน
นี่เป็นการตอบสนองเมื่อถูกปิดตายด้วยระบบอัจฉริยะ
“ทำไมถึงมืดแบบนี้ ผมนึกว่าไฟจะสว่างโร่เสียอีก ก่อนที่ส่วนนี้จะถูกระเบิดลงมา มันไม่ได้กำลังใช้การอยู่หรอกเหรอ” เสียงของไม้ถูพื้นเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย น้ำเสียงเองก็ดูตระหนกเล็กน้อย
ซ่าเอ้อตามอยู่ด้านหลังฉู่ซือ ดูสนอกสนใจกับห้องประจำการของผู้คุมเรือนจำมาก สายตาพินิจมองประตูแต่ละบานตั้งแต่บนลงล่าง
“ปิดตายกันหมดเลยเหรอ น่าเสียดายจัง ฉันว่าจะยืมห้องหนึ่งเพื่ออาบน้ำสักหน่อย”
ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ สมาธิของฉู่ซือมักตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว เขาจับตาทุกความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ในบริเวณโดยรอบ ละเลยเฉพาะเสียงพูดคุย
โดยเฉพาะคำพูดที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ แถมยังกวนโทโสของซ่าเอ้อ หยางก็ยิ่งมองข้ามไปเลย
ครู่เดียวก็เดินผ่านห้องประจำการของผู้คุมเรือนจำแปดห้องไป ฉู่ซือที่นำหน้าเดินไปสุดโถงทางเดิน แค่เพียงเลี้ยวผ่านหัวมุม ทะลุผ่านประตูกั้นอีกชั้นก็จะเห็นโรงอาหารแล้ว
ฉู่ซือไม่ได้รีบร้อนไปเปิดประตูกั้น เขายืนเหลียวมองรอบหนึ่งตรงสุดโถงทางเดิน…
“ตอนนี้พวกเราจะทำอะไรกัน” ไม้ถูพื้นเห็นฉู่ซือไม่ได้ขยับเท้าจึงเอ่ยถาม
ฉู่ซือตอบ “กินข้าว”
ไม้ถูพื้นชะงักงัน “แต่ที่นี่มันแปลกๆ นะ ไม่ต้องตรวจก่อนสักรอบหนึ่งเพื่อความปลอดภัยเหรอ”
ฉู่ซือดึงสายตากลับจากโถงทางเดินหลายสายด้านหลัง “กินข้าวก่อน”
ไม้ถูพื้น “…” เอาเถอะ ดูออกว่าพี่ท่านเองก็หิวโซไม่เบาแล้ว
อันที่จริงระหว่างพูดคุยฉู่ซือมองเห็นจุดที่อาจมีคนซ่อนตัวได้หลายแห่งทางด้านหลังแล้ว ซึ่งล้วนว่างเปล่า อย่างน้อยก็ไม่มีภัยคุกคามแบบกะทันหัน
“เว้นแต่จะมีอันตรายที่ไม่สามารถหยุดฝีเท้าได้อย่าง ‘วินาทีต่อไปจะถูกระเบิดสมองจนเละ’ ไม่มีอะไรหยุดหัวหน้าฉู่ของพวกเรากินข้าวได้หรอก” ซ่าเอ้อบอกอย่างสบายอารมณ์ เขาเอี้ยวร่างกายช่วงบน เหยียดแขนผ่านฉู่ซือไปผลักประตูกั้นที่จะไปโรงอาหารแทนอีกฝ่าย “ใช่ไหมครับ ที่รัก”
ประตูกั้นบานนี้ไม่ได้ถูกปิดตาย แค่ผลักก็เปิดได้แล้ว
มันเลื่อนไปกระแทกกับผนัง ส่งเสียงดังสนั่นจนชวนสะดุ้งโหยง
ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียงกระทบ ‘โคร้งเคร้งครืดคราด’ ดังขึ้น เหมือนเสียงเลื่อนกล่องไม้เก่าๆ ฝุ่นจึงฟุ้งกระจาย ตลบอบอวล สับสนวุ่นวาย
โรงอาหารที่ฉู่ซือนึกภาพเอาไว้ในหัวน่าจะว่างเปล่าไม่มีคน โต๊ะเก้าอี้อาจถูกชนระเนระนาดระหว่างอพยพเร่งด่วน บนพื้นอาจยังมีรองเท้าแตะที่คนซุ่มซ่ามบางคนทำตกไว้ ทว่าอาหารหยิบเองที่ตรงด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์น่าจะยังอยู่ครบและไม่สึกหรอ
เอาเถอะ บางทีอาจมีจานหลายใบหล่นแตกที่พื้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนไม่มีทางที่จะมีสภาพอย่างตรงหน้า…
โต๊ะอาหารกับเก้าอี้เบียดเสียดกองทับอยู่ข้างผนัง เว้นตรงกลางให้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง และเต็มไปด้วยกรง แต่ละกรงล้วนมีคนนอนฟุบราวกับสุนัขตาย บนต้นแขนของพวกเขาสวมกำไลแบล็กโกลด์ซึ่งเป็นเครื่องควบคุม ใบหน้ามอมแมม ผมเผ้ารุงรังชี้โด่เด่ลอดออกจากกรงดูราวกับไก่ขนพอง
ลำพังแค่ดูจากสารรูปก็รู้ว่าพวกเขาถูกขังอยู่ในกรงมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว
เห็นประตูกั้นถูกเปิดออกกะทันหัน พวกเขาจึงฟื้นคืนชีพทันที ใช้ตรวนบนมือและเท้าเคาะลูกกรงโลหะที่ปรับขนาดได้อย่างอัจฉริยะแต่ละซี่นั้น
“อ้าว…” ซ่าเอ้อสูดจมูกฟุดฟิด “ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าโรงอาหารกลายเป็นโรงเลี้ยงไก่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ วัตถุดิบไม่น้อย แต่กลิ่นบูดไปหน่อย”
คนในกรงเหล่านั้นชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากฟังคำพูดของเขาแล้วก็ยิ่งแตกตื่น เคาะกรงจนดังสนั่นหวั่นไหว
ฉู่ซือเลือกมองข้ามกรงที่ไม่ควรปรากฏที่นี่เหล่านั้นไปก่อน แต่มองไปที่ชั้นวางหลังเคาน์เตอร์บาร์ที่ควรมีอาหารวางอยู่
ปรากฏว่าบนนั้นว่างเปล่า อย่าว่าแต่อาหารสดใหม่ แม้แต่หญ้าสักใบก็ยังไม่มี!
หัวหน้าฉู่ผู้หิวโซถึงกับหน้ามืด อารมณ์บูดขึ้นมาทันที
เขาขมวดคิ้ว สีหน้าบึ้งตึง จำต้องเบนสายตาไปมองกรงพวกนั้นอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้น “มีเรื่องน่าสงสัยสองจุด”
ซ่าเอ้อเลิกคิ้ว “ว่ามา”
“จุดแรกตอนนายแหกคุกนายก่อเรื่องอะไรไว้กันแน่ ทำไมเรือนจำอวกาศถึงกลายเป็นสภาพนี้! จุดที่สองเนื้อที่บูดแล้วพวกนี้เราจะแบ่งกันยังไง ห้าสิบ-ห้าสิบ?”
เสียงโคร้งเคร้งในกรงหยุดชะงัก เหล่าเนื้อบูดเงียบเป็นเป่าสาก
ไม้ถูพื้น “…” หัวหน้า ตอนนี้คุณดูไม่เหมือนหัวหน้าเลยสักนิดรู้ตัวไหม คุณเหมือนผู้ก่อการร้ายหมายเลขสองชัดๆ!
ฉู่ซือถามประโยคนั้นโดยไม่ได้มองไปทางซ่าเอ้อ แต่ก้าวเท้าเดินไปยังกรงที่อยู่ใกล้ที่สุด
ขณะที่ห่างจากกรงเพียงครึ่งเมตร เขาก็ย่นคิ้วแล้วถอยหลัง น่าจะเป็นเพราะกลิ่นเหม็นๆ ของนักโทษคละคลุ้งจนเวียนศีรษะ
“หึ…ขอโทษที่ถาม นายหมักหมมมานานเท่าไหร่ถึงบ่มจนได้กลิ่นแบบนี้”
นักโทษคนนั้น “…”
คนที่ถูกส่งมาเรือนจำอวกาศ หลับตาลากออกมาคนหนึ่งก็เป็นพวกมีชื่อในรายชื่อกลุ่มบุคคลเฝ้าระวังขั้นสูงของรัฐบาล ในบางความหมายก็ถือเป็นบุคคลเลื่องชื่อในแวดวงนี้ อย่าว่าแต่ทำให้เด็กร้องไห้ บอกชื่อแล้วทำให้ผู้ใหญ่ผวาจนร้องไห้ได้ก็ไม่เป็นปัญหา
แม้เวลานี้พวกเขาจะถูกขังอยู่ในกรง สภาพสะบักสะบอมจนถึงขั้นน่าขบขัน แต่ในสายตาของคนทั่วไปก็ยังเป็นหมาป่าที่พลิกกลับมาจู่โจมได้ทุกเมื่อ อย่างไม้ถูพื้นที่เดินอ้อมกรงออกไปอยู่ห่างๆ อีกทาง นั่นถึงจะเป็นปฏิกิริยาของคนทั่วไป
นักโทษที่อยู่ในกรงคงเพิ่งเคยเจอคนที่มาท้าทายถึงที่อย่างฉู่ซือ ปุบปับก็ถูกเหน็บแนมจนเถียงไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่ถลึงตานิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
ไม้ถูพื้นขดตัวหลบมุม อดพูดแทรกไม่ได้ “ถ้าผมจำไม่ผิด คุณเคยพูดตอนที่เอาปืนจ่อผมว่าถ้าไม่เจอเนื้อที่สะอาดกว่าผม คุณยอมอดตาย…ตอนนี้ไม่พิถีพิถันแล้วเหรอ”
ฉู่ซือหันไปมองเขา “นายดูเสียใจมากนะเนี่ย”
“ไม่! ผมเปล่า! คุณเอาเลย ผมจะหุบปาก”
เขาแย้งพร้อมยกมือขึ้นทำท่ากากบาทตรงปากตัวเอง
ซ่าเอ้อกลับเหลียวมองรอบหนึ่ง “ที่นี่มีน้ำมีไฟ ขัดถูซักล้างสักเจ็ดแปดรอบก็พอเอาเข้าปากได้”
นักโทษ “…”
อีกฝ่ายดิ้นขืนทีหนึ่ง กระแทกกำปั้นใส่ข้างกรง อ้าปากสบถด่าอะไรสักอย่าง ดูจากเส้นเลือดข้างลำคอที่ปูดโปนแล้วก็แสดงว่าใช้เรี่ยวแรงไปไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ต่อให้เป็นฉู่ซือที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมก็ยังไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว
นักโทษด่าคนโดยไม่เปล่งเสียงแล้วก็จ้องฉู่ซือเขม็ง อ้าปากพูดประโยคหนึ่ง
ยังคงใช้เรี่ยวแรงไปมากมายแต่กลับไม่มีเสียงเหมือนเดิม
ฉู่ซือกำมือหลวมๆ ไปจรดใต้ปลายจมูก พอจะบังกลิ่นเหม็นบูดได้บ้าง เขามองริมฝีปากของนักโทษคนนั้นและอ่านถ้อยคำของอีกฝ่ายได้
“นายบอกว่ารู้จักฉันเหรอ”
พูดเป็นเล่น! ไม่รู้จักก็บ้าแล้ว!
นักโทษยังคงพูดอย่างไร้เสียงด้วยท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่าผมรู้จักคุณ คุณคือหัวหน้าฉู่ที่เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการคนนั้น ลูกน้องตาแก่อ้วนคนนั้นของคุณไม่ตามคุณมาด้วยเรอะ หืม?
พูดถึงเรื่องงี่เง่านี้แล้วฉู่ซือก็อารมณ์เสีย
นักโทษของเรือนจำอวกาศกลุ่มนี้ไม่ได้เอาแต่นั่งเหม่อหันหน้าเข้าหาผนังโลหะทั้งวัน เพราะถ้าบีบให้คนกลุ่มนี้เสียสติขึ้นมาก็ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น
ทุกๆ วันพวกเขาจะมีเวลากำหนดให้ใช้อุปกรณ์ง่ายๆ บางส่วนได้ แต่ละเขตคุมขังล้วนมีจอขนาดใหญ่ ฉายสิ่งที่รัฐบาลวาดหวังว่าพวกเขาดูแล้วจะซึมซับ สลับกับสอดแทรกรายการวาไรตี้ซึ่งไม่ได้สลักสำคัญอะไร
เรียกกันทั่วไปว่า…การล้างสมองแบบตบหัวแล้วลูบหลังอย่างต่อเนื่องในทุกสภาพอากาศ
การคัดเลือกและจัดการรายการเหล่านี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่โฆษกประจำสำนักงานหมายเลขห้าแห่งกองอำนวยการความมั่นคง เจ้าหน้าที่โฆษกชื่อชิลด์ เฝิง เป็นตาแก่ลูกครึ่งคนหนึ่ง แม้จะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉู่ซือ แต่อายุของตาลุงนั่นมากกว่าฉู่ซือเกินสองเท่าด้วยซ้ำ ทั้งยังช่วยเหลือฉู่ซือไปสองครั้งตอนที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในกองอำนวยการความมั่นคง ฉะนั้นฉู่ซือจึงมีความอดทนกับเขาอยู่บ้าง
ปรากฏว่าตาแก่หัวล้านได้คืบจะเอาศอก มักทำเรื่องที่ทำให้ฉู่ซืออารมณ์เสียเป็นประจำ…
อย่างเช่นวันสถาปนาครบรอบร้อยห้าสิบปีเรือนจำอวกาศ ชายชราเสนอว่าจะอัดวิดีโอเป็นที่ระลึก พร้อมถือโอกาสส่งสัญญาณเตือนให้พวกอยู่ไม่สุขในเรือนจำด้วย เขาอ้างว่า ‘คนหน้าตาดีจะไม่ถูกเกลียดง่ายๆ’ แล้วแอบยัดคลิปการอภิปรายในที่ประชุมความมั่นคงของฉู่ซือลงไปในวิดีโอห่วยๆ นั้นด้วยจนได้
คลิปกากๆ นั่นมีความยาวถึงหนึ่งชั่วโมง กินเวลาไปสี่ในห้าของวิดีโอทั้งหมด ส่วนเวลาหนึ่งในห้าที่เหลือก็เป็นต้นคลิปครึ่งหนึ่ง ท้ายคลิปครึ่งหนึ่งพอดี
ตาแก่ให้ฉายวิดีโอนี้บนหน้าจอออกอากาศของเรือนจำอวกาศถึงหนึ่งวันเต็มโดยไม่มีการบอกกล่าวใดๆ แล้วเนื้อหาการอภิปรายช่วงนั้นของฉู่ซือดันเกี่ยวกับ ‘การปรับปรุงระบบการเข้ารหัสข้อมูลของเครื่องควบคุมนักโทษ’
นั่นก็เหมือนกับการสนับสนุนให้เพิ่มความทนทานกับปลอกคอและโซ่ล่ามต่อหน้าหมาป่าฝูงหนึ่งที่ถูกจับมา ถ้านี่ไม่ใช่การยั่วโทสะแล้วมันคืออะไร
แถมตาแก่นี่ยังมีหน้ามาขอคำชมที่ห้องทำงานของฉู่ซือ ปรากฏว่าเขาเพิ่งก้าวเข้าไป ซ่าเอ้อ หยางก็ถูกยั่วยุจนบุกเข้าช่องสัญญาณสื่อสารในสำนักงานของฉู่ซือ
ฉู่ซือจึงได้แต่ขอบใจไปถึงบรรพบุรุษแปดรุ่นของตาแก่นี่ ก่อนจะไล่ตะเพิดอีกฝ่ายไปให้พ้นประตู
แม้ฉู่ซือจะเป็นผู้ดูแลเรือนจำอวกาศ แต่เหล่านักโทษคุ้นชินเฉพาะชื่อเสียงเรียงนามของเขาเท่านั้น คนที่เคยเห็นหน้าค่าตาเขานั้นมีไม่กี่คน
นับตั้งแต่คลิปวิดีโอนั้นถูกฉายจนครบหนึ่งวัน ด้วยผลบุญหนุนนำจากชิลด์ หัวล้าน เฝิง ผู้ก่อการร้ายทั้งเรือนจำล้วนจดจำใบหน้าของเขาได้ขึ้นใจ คาดว่าชาติหน้าก็คงไม่ลืม
หัวหน้าฉู่ผู้ไม่มีเหตุผลได้ยึดหลักการหนึ่งว่าตัวเขาอยู่ไม่สุขแล้วสร้างศัตรูนั้นย่อมได้ คนอื่นสร้างศัตรูให้เขามั่วซั่วนั้นก็รอถูกเล่นงานแล้วกัน
เนื่องจากหัวหน้าฉู่ไม่ใช่คนดีเด่อะไรอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้วันที่สอง ชิลด์ หัวล้าน เฝิงก็ได้รับหนังสือคำสั่งย้าย ถูกจับยัดเข้าเรือนจำอวกาศ ใบหน้าอ้วนยาวยับย่นถมึงทึง ขลุกอยู่กับบรรดาผู้ก่อการร้ายอย่าง ‘มีความสุข’ ถึงสิบวันเต็ม จนถูกทุกคนจดจำใบหน้าได้แล้วจึงถูกย้ายกลับมาทั้งน้ำตา
เพียงหลับตาและลืมตานี่ก็เป็นเรื่องเมื่อห้าสิบสองปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ตาเฒ่าจอมก่อเรื่องคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
กองอำนวยการความมั่นคงที่พวกเขาทำงานอยู่ก็อยู่ในรัศมีคุ้มกันของเสามังกรต้นใดต้นหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าลอยไปอยู่มุมไหนของทะเลดาวแล้ว ห่างจากที่นี่เท่าไหร่ ยังมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่…
เรื่องที่ไม่แน่นอนอย่างนี้ฉู่ซือยังไม่มีเวลาคิด เขายักคิ้วใส่นักโทษคนนั้นแล้วเอ่ย “ขอบคุณที่เป็นห่วง ฉันเองก็ไม่ได้เจอตาเฒ่าตัวกลมนั่นนานมากแล้วเหมือนกัน แต่เขาน่าจะสบายดี อย่างน้อยก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในกรงน่ะนะ”
นักโทษ “…”
“ฉันว่านะที่รัก ขืนนายยังค่อนขอดอีกสักสองคำ ที่นี่คงได้ล้มตายกันไปครึ่ง” ซ่าเอ้อพิงโต๊ะอาหารตัวหนึ่ง มือทั้งสองข้างเท้ากับขอบโต๊ะ ดูเรื่องสนุกด้วยอิริยาบถผ่อนคลายอยู่พักใหญ่ “ปลาตายกุ้งตายจะกระเดือกลงยังไงล่ะ”
หาได้ยากที่ฉู่ซือจะรู้สึกว่าซ่าเอ้อพูดมีเหตุผล จึงยอมลดตัวตามคำแนะนำแสนจริงใจนี้ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วยื่นมือเข้าไปในกรงอย่างไม่ใส่ใจ
นักโทษถลึงตาทันที อ้าปากโวยวายแบบไม่มีเสียงว่าขืนแกเข้ามาใกล้อีกเซ็นต์เดียว ฉันจะทำให้แกเสียใจที่เดินเข้ามา
ฉู่ซือทนอยู่ครู่หนึ่งก็ทนไม่ไหว กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้ามือนายไม่ได้ถูกล่ามอยู่ข้างกรง เข่าก็ไม่ได้ถูกล่ามติดกับฐานกรง ฉันก็คงถือว่านี่เป็นคำขู่ได้อยู่หรอก”
นักโทษถูกเขายั่วโทสะจนแทบความดันขึ้น
ฉู่ซือไม่ได้คิดจะทำอะไรอีกฝ่าย เพียงแค่เกลี่ยผมยาวที่พันกันจนเป็นก้อนของเขาออกด้วยสีหน้ารังเกียจ เผยให้เห็นลำคอครึ่งส่วน แล้วก็มองเห็นสายโลหะเส้นเล็กที่สวมรัดอยู่บนนั้นราวกับสร้อยคอเรียบง่ายเส้นหนึ่ง
เพียงแต่รอยต่อของสร้อยคอมีแผ่นโลหะขนาดเล็กชิ้นหนึ่ง บริเวณขอบของมันมีแสงสีแดงกะพริบอยู่เงียบๆ
วัตถุนี้เป็นอุปกรณ์ที่มีการจัดสรรในเรือนจำอวกาศ เรียกว่าปลอกดูดเสียง ใช้สำหรับจัดการนักโทษที่คลุ้มคลั่งโวยวายกะทันหัน
ทว่าตามกฎแล้วปลอกดูดเสียงเป็นเพียงอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนสถานการณ์อย่างหนึ่งในสถานการณ์จำเป็นเท่านั้น การสวมให้นักโทษเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุจลาจลขนาดใหญ่เพราะเสียงโหวกเหวกที่ไม่มีสิ้นสุด เมื่อไหร่ที่นักโทษถูกสวมปลอกดูดเสียงก็ควรนำตัวนักโทษไปห้องขังพิเศษทันที โดยอาศัยอุปกรณ์รักษาด้านการแพทย์หรืออุปกรณ์ด้านจิตวิทยา ปกติแล้วครึ่งชั่วโมงก็สามารถถอดออกได้แล้ว
สถานการณ์ตรงหน้าชัดเจนว่าไม่ถูกต้องตามกฎ
ฉู่ซือใช้นิ้วโป้งลูบบนแผ่นโลหะทีหนึ่ง แสงสีแดงดับไปสามวินาทีก็พลันเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียว จุดรอยต่อส่งเสียงแกร๊กก่อนปลดล็อกอัตโนมัติ
นักโทษคิดไม่ถึงว่าฉู่ซือจะปลดล็อกให้ตัวเอง จึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากด้วยสีหน้าระแวง
“คุณจะทำอะไร”
ก่อนหน้านี้ตะเบ็งเสียงอยู่นาน เสียงของนักโทษจึงแหบราวกับกระดาษทราย
ฉู่ซือเองก็ไม่ได้ดึงมือกลับ เขายันมือกับขอบกรง “วางใจ ถ้านายยังไม่ขจัดกลิ่นบูดๆ บนตัวก่อนฉันก็กลืนไม่ลงหรอก แค่เหลือคนที่พูดได้ไว้จะได้เข้าใจเหตุการณ์สะดวก” ว่าแล้วเขาก็หันไปพยักพเยิดกับซ่าเอ้อ “มา ขอสอบปากคำผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งก่อน บอกฉันซิว่าตอนนายแหกคุก นายก่อเรื่องใหญ่แค่ไหน”
ซ่าเอ้อไม่ได้ถือสาน้ำเสียงของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย กลับหัวเราะเสียงหนึ่ง เขาไม่สำนึกเลยสักนิดว่ากำลังถูกสอบสวน นั่งบนขอบโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ เอ่ยลากเสียงยาว
“เรียนหัวหน้า นายปรักปรำฉันแล้ว ฉันไปแบบเงียบๆ แม้แต่ผู้คุมเรือนจำก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ แค่เอายานวาร์ปลำหนึ่งมาด้วยเฉยๆ”
เขาชอบหรี่ตาลงเวลาพูด นิ้วเรียวเคาะขอบโต๊ะราวกับกำลังบรรเลงเปียโน คล้ายกำลังนึกย้อนเหตุการณ์
ฉู่ซือไม่เชื่อนัก “หมดแล้ว?”
ซ่าเอ้อครุ่นคิด หยุดนิ้วที่เคาะ “หมดแล้ว”
ฉู่ซือเลิกคิ้ว “หมดแล้วจริงเหรอ”
ซ่าเอ้อพยักหน้าตาใส “จริง”
ฉู่ซือสีหน้าปราศจากอารมณ์ “…ต้มฉันเหรอ”
พลันซ่าเอ้อก็หัวเราะอีก ยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขึ้นทำช่องว่างเล็กๆ ก่อนหรี่ตาข้างหนึ่งแล้วกล่าว “ก่อนไปเกิดอารมณ์ชั่ววูบ เลยเล่นพิเรนทร์…เล็กๆ ไปนิดหน่อย”
“เล่นพิเรนทร์อะไร”
“เจาะระบบเข้าโกดังเชื้อเพลิง แล้วปิดวาล์วหลักกับมอเตอร์” ซ่าเอ้อตอบ
ฉู่ซือ “…” นายเรียกเรื่องแบบนี้ว่าเรื่องพิเรนทร์เล็กๆ งั้นเรอะ!
“แน่นอน หลังจากฉันออกมาพวกเขาก็รู้ตัวแล้ว” ซ่าเอ้อผายมือ “เรื่องหลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะฉันก็ออกมาได้ไม่กี่วัน”
ฉู่ซือฟังจบก็ตั้งใจจะสอบสวนผู้ต้องสงสัยหมายเลขสองที่อยู่ในกรงต่อทันที จู่ๆ เขาก็นึกถึงข้อความที่ตัวเองได้รับจึงอดถามอีกประโยคไม่ได้
“ไม่ใช่สิ เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ ออกมาได้ไม่กี่วัน? อะไรเรียกว่าออกมาได้ไม่กี่วัน นายไม่ได้แหกคุกเมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อนเหรอ”
“ยี่สิบเจ็ดปี?”
ความประหลาดใจที่ฉายอยู่บนใบหน้าของซ่าเอ้อไม่ใช่การเสแสร้ง จนทำให้ฉู่ซือหยิบเครื่องสื่อสารออกมาเปิดข้อความแล้วตรวจดูวันเวลาอย่างจริงจังอีกครั้ง
สายตาของเขากวาดมองวันเดือนปีซ้ำถึงสามรอบ ก่อนยืดตัวตรง คลึงเครื่องสื่อสารในมือเล่นพลางเดินไปทางซ่าเอ้อ
ฉู่ซือยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าซ่าเอ้อ เครื่องสื่อสารลื่นวืดบนร่องนิ้วเปลี่ยนทิศทาง เขาหมุนจอที่แสดงข้อความไปทางซ่าเอ้อแล้วเอ่ยบอก
“ข้อความประกาศแหกคุกของนายข้อความนี้ได้รับเมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อนจริงๆ ซึ่งวันนี้ในอีกยี่สิบเจ็ดปีให้หลังนายก็ส่งข้อความถึงฉันอีก ถามฉันว่าทำไมถึงไม่ตอบ”
ซ่าเอ้อย้อนอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันประสาทหรือไง”
“แล้วนายไม่ได้ประสาทเหรอ”
ซ่าเอ้อ “…”
ไม้ถูพื้นที่ยกมือทำท่ากากบาทเห็นทั้งสองตั้งท่าจะตีกันอีกแล้วจึงขดตัวไปทางมุมผนัง แล้วหมุนเก้าอี้ตรงหน้าให้พนักเก้าอี้บังตัวเองไว้แล้วทำตัวให้ลีบที่สุด
ซ่าเอ้อหัวเราะสั้นๆ แล้วส่ายหน้าเอ่ย “เอาเถอะ หัวหน้าว่าไงก็ตามนั้น ฉันอาจจะประสาทนิดหน่อย แต่เวลาส่งข้อความสองข้อความนั้นห่างกันแค่สองวัน อาจจะครึ่งวันด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าไม่มีทางเกินสองวัน”
“งั้นเห็นทีสัญญาณอวกาศไม่ได้แค่ไม่ชอบนาย มันคงมีความแค้นถึงขั้นฆ่าพ่อกับนายด้วยล่ะมั้ง”
“ฉันขอดูหน่อย” ซ่าเอ้อยกมือจะแตะเครื่องสื่อสารของฉู่ซือ
ก่อนที่อีกฝ่ายจะแตะมัน ฉู่ซือกลับยักคิ้วแล้วโยนมันกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง
“ขี้ระแวงเกินไปแล้วที่รัก” นิ้วของซ่าเอ้อชะงักกึก ก่อนเลื่อนกลับไปวางบนขอบโต๊ะอีกครั้ง เคาะสองทีด้วยท่วงท่าราวกับดีดเปียโนก่อนพูด “ตอนที่ส่งข้อความให้นาย ฉันเพิ่งวาร์ปไปสองครั้ง หาจุดพักเหนื่อยได้ที่หนึ่ง ปรากฏว่าเพิ่งเก็บเครื่องสื่อสารก็พบว่าจุดพักเหนื่อยจุดนั้นกำลังมุ่งไปทางหลุมดำอย่างบ้าคลั่ง เห็นทีเวลาในละแวกนั้นกับทางนายค่อนข้างจะ…” เขาอธิบายถึงกลางเรื่อง ปุบปับก็ย่นคิ้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เพียงพริบตาเดียวก็กลับมามีสีหน้าปกติแล้วกล่าวต่อ “ต่างกันมากไปหน่อย”
อันที่จริงก่อนที่ซ่าเอ้อจะเล่า ฉู่ซือก็เดาได้ว่าเป็นผลกระทบจากหลุมดำ
แม้ความต่างจะมากเกินกว่าที่คาดไว้ แต่ตอนนี้ก็หาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลกว่านี้ไม่ได้แล้ว กระแสเวลาที่แตกต่างเป็นเรื่องปกติในห้วงเอกภพ ฉู่ซือไม่ได้ใส่ใจนัก เขาเดินไปข้างกรงพลางเอ่ยปากถาม
“เพราะฉะนั้นนายแหกคุกเมื่อไหร่กันแน่”
ซ่าเอ้อยังไม่ทันตอบ นักโทษในกรงก็ตอบแทนแล้ว “หนึ่งวันก่อนดาวจะระเบิด”
ฉู่ซืออดหันไปมองเขาไม่ได้
ซ่าเอ้อผายมือ “รังเก่าระเบิดแล้วอารมณ์ไม่ดี ออกมาเที่ยวเล่นหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ”
ฉู่ซือ “…”
ไม้ถูพื้น “…” ออกมาเที่ยวเล่น?! ลูกพี่ครับ ยังจำได้ไหมว่าตัวเองเป็นนักโทษ
คนที่พูดจาเพ้อเจ้อได้หน้าตาเฉยอย่างซ่าเอ้อ ทำให้การสนทนากับเขาเท่ากับการทารุณตัวเองทันที
ฉู่ซือโบกมือ คร้านจะสนใจเขา หันไปเคาะขอบกรง “ขอบใจที่แย่งตอบ แต่ถ้านายบอกฉันได้ว่าเกิดเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นในเรือนจำอวกาศกันแน่ แบบนั้นจะยิ่งน่าตื้นตัน”
เขาพูดพลางยื่นมือไปแตะกำไลแบล็กโกลด์บนท่อนแขนของนักโทษคนนั้นทีหนึ่ง
กำไลแบล็กโกลด์ถูกเขาสัมผัสจนสว่างพึ่บ บริเวณขอบค่อยๆ ปรากฏชื่อของนักโทษ
ฉู่ซือกวาดตามองแวบหนึ่งก่อนพูดต่อ “เคอร์ตัน เลสเตอร์ อ้อ…นายก็คืออีกาทองแห่งเมืองซีซีคนนั้นนี่เอง”
‘อีกาทองแห่งเมืองซีซี’ ฉายานี้เปรียบเสมือนเงามืดในใจเหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนยอดพีระมิดของอำนาจทางการเมืองของดาวมาโดยตลอด เขาเคยสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่หลายแห่งทั้งในสหพันธ์การปกครอง สถานพักฟื้นอินทรีขาวที่อยู่ในการดูแลของกองทัพ รวมถึงย่านธนาคาร มีนายทหารระดับพลเอกและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของวุฒิสภาที่กำลังรุ่งโรจน์อีกสี่คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับกลางไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนเสียชีวิต
เหตุจลาจลครั้งใหญ่หลายครั้งนั้นเกิดขึ้นในสัปดาห์เดียว ทำให้รับมือไม่ทัน
หลังจากสัปดาห์นั้นก็มีการล้างไพ่โครงสร้างการปกครองดาวแบบไม่เล็กไม่ใหญ่ไปครั้งหนึ่ง เนื่องจากขาดแคลนเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล โครงการทั่วดวงดาวหลายโครงการที่กำลังดำเนินการจึงถูกชะลอหรือไม่ก็ต้องยุติลง จนทำให้สองปีนั้นเกิดสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายที่สุด
มีคนเล่ากันว่านั่นเป็นจุดจบของแผนร้ายอย่างหนึ่งและเป็นจุดเริ่มต้นของกลอุบายอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากภายหลังข้อมูลที่เกี่ยวกับคดี ‘อีกาทอง’ กลายเป็นเอกสารเข้ารหัสระดับเก้า เหล่าพลเมืองเสียศูนย์ท่ามกลางข้อมูลรายงานที่มากมายทว่าแตกต่างกัน ยังไม่ทันไขความกระจ่างของสถานการณ์ก็ถูกเหตุการณ์อื่นดึงความสนใจไปอีก
สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือหลังจาก ‘คดีอีกาทอง’ มีเจ้าหน้าที่อายุน้อยชุดหนึ่งถูกเลื่อนขั้นขึ้นมา
ฉู่ซือเข้าไปประจำการในกองอำนวยการความมั่นคงในปีนั้น
นักโทษคนนั้นมีปฏิกิริยาที่ซับซ้อนกับฉายา ‘อีกาทอง’ ทั้งขมวดคิ้วดูไม่สบอารมณ์ ทั้งเชิดคางขึ้นอย่างเคยชิน แสดงถึงความทระนงอย่างหนึ่ง
เขากัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วบนมุมปากที่แห้งแตกครู่หนึ่ง อ้าปากเปล่งเสียงแห้งผาก แต่กลับไม่ได้ตอบคำถามของฉู่ซือ
“อย่าเรียกฉายานั้นต่อหน้าผม น่ารำคาญ”
ฉู่ซือมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นกดปลอกดูดเสียงบนคออีกฝ่ายอีกครั้ง “ขอโทษด้วย ฉันชอบการตอบให้ตรงคำถามมากกว่า ไม่ค่อยชอบฟังคนอื่นบ่นเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
พูดจบเขาก็ใช้นิ้วโป้งลูบบนปลายแผ่นโลหะทีหนึ่ง ไฟสีเขียวบนปลอกดูดเสียงก็กลับไปเป็นสีแดง ถูกล็อกอีกครั้ง
อีกาทอง “…”
เขาถลึงตาคำรามใส่ฉู่ซือแบบไม่มีเสียงว่า ‘พ่องตาย!’
ฉู่ซือโน้มเข้าไปใกล้มากขึ้น ยกมือปิดจมูก ดวงตาสีอ่อนจ้องอีกาทองตั้งแต่หัวจรดเท้า ยังคงสุขุมเกินเหตุ
“น่าเสียดาย พ่อฉันตายไปแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่านายจะทำให้ความคิดเมื่อกี้เป็นจริงได้ไหม แต่ฉันไม่ถือสาที่จะส่งนายไปเจอเขานะ”
อีกาทอง “…”
เมื่อได้ลิ้มรสการปลดปล่อยแล้วถูกจองจำอีกครั้งก็จะร้อนรนทุรนทุราย
อีกาทองด่าไปถึงบรรพบุรุษแปดรุ่นของฉู่ซือแบบไม่มีเสียงเสร็จแล้ว ในที่สุดก็ยอมจำนน กลอกตาแล้วเคาะกรงกับฉู่ซือเป็นเชิงว่าผมผิดไปแล้ว
ฉู่ซือคลี่ยิ้มก่อนปลดล็อกปลอกดูดเสียงของอีกาทองอีกครั้ง
อีกาทองคิดจะสาดคำหยาบกระแทกหน้าอีกฝ่าย ครั้นนึกได้ว่าจะถูกจำกัดเสียงก็จำต้องกลั้นใจทนไว้
“วันรุ่งขึ้นหลังจากที่คุณ…หยางคนนั้นออกจากเรือนจำ ที่นี่ก็เกิดจลาจล รองหัวหน้ากับผู้คุมที่อยู่เวรถูกคนลอบจู่โจม ถูกจับขังในเขตคุมขังที่หนึ่ง ส่วนพวกเราก็ถูกพวกสารเลวนั่นบังคับให้ร่างกายเกิดภาวะช็อก ตอนที่ลืมตาอีกครั้งก็อยู่ในกรงแล้ว”
ฉู่ซือขมวดคิ้ว “เขตคุมขังที่หนึ่งมีนักโทษเต็มจำนวน ยัดเข้าไปได้เหรอ”
“ยัดได้ เพราะคนที่ถูกขังในนั้นถูกปล่อยออกมาแล้ว หมาป่าเซทกับลูกหลานของเขา” อีกาทองเยาะหยัน “การลอบจู่โจมกับปล่อยเขตคุมขังที่หนึ่งล้วนเป็นคำสั่งจากคนคนเดียว…”
“ใคร” ฉู่ซือถาม
อีกาทองตอบ “คุณ”
ฉู่ซือจับติ่งหูก่อนหรี่ตาลง “ฉันน่าจะฟังผิด นายว่าใครนะ”
“ฟังไม่ผิดหรอก คือคุณ ตอนนั้นผมยังไม่ถูกขังอยู่ในที่บ้าๆ นี่ กำลังขโมย…ค้นหาสัญญาณอย่างมีมารยาท ก็เจอคำสั่งที่พวกเขาได้รับพอดี ต้นตอสัญญาณมาจากคุณ ไม่มีทางผิดแน่ นอกจากผมจะตาบอด” อีกาทองเบะปาก จับตาดูสีหน้าของฉู่ซือครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่ดูจากท่าทางของคุณ ผมก็เริ่มสงสัยแล้วว่าตอนนั้นผมตาบอดจริงๆ หรือเปล่า”
ฉู่ซือยังคงใคร่ครวญเรื่องประหลาดนี้ในใจ ปากก็โพล่งออกไป “เห็นได้ชัดว่าใช่”
อีกาทอง “…ไอ้นี่ ผมก็แค่เกรงใจตามมารยาท!”
ฉู่ซือ “ไม่ต้องเกรงใจ”
อีกาทอง “…”
เขาสะบัดหน้าล้มนอนลงบนฐานกรงราวกับสุนัขตาย ท่าทางไม่อยากเสวนากับฉู่ซืออีกต่อไป
ซ่าเอ้อถูกฉู่ซือถากถางเป็นประจำ และมีความสุขกับการเห็นคนอื่นถูกฉู่ซือถากถางด้วย เขาหัวเราะเสียงหนึ่งก่อนเอ่ยแนะ
“ที่รัก ฉันมีข้อเสนออย่างหนึ่ง”
“ข้อเสนออะไร” ฉู่ซือหันไปถาม
ซ่าเอ้อชี้ขึ้นข้างบน
โต๊ะอาหารตัวที่เขาพิงอยู่ใกล้หัวมุม เหนือศีรษะเป็นไฟสีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารที่ส่องกะพริบตรงมุมผนัง โดยสองสามวินาทีจะกะพริบทีหนึ่ง ในเรือนจำอวกาศมีไฟสีแดงลักษณะนี้อยู่ทั่วทุกบริเวณ เป็นอุปกรณ์บันทึกระบบอัจฉริยะของเรือนจำ คล้ายกับกล้องวงจรปิดทั่วไป แต่มีคุณสมบัติครอบคลุมกว่ามาก
นอกจากบันทึกภาพแล้ว ยังสามารถบันทึกสิ่งที่เลนส์ไม่สามารถแสดงผลได้อย่างอุณหภูมิและระดับความชื้น รวมถึงสัญญาณสื่อสารเวลานั้นๆ ได้ ทั้งยังสามารถทำการวิเคราะห์อย่างง่ายได้ด้วย
เพียงแต่ความฉลาดและความละเอียดจะมีข้อแตกต่างตามระดับสูงต่ำของระบบอัจฉริยะ
ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน หากต้องการซ่อนอุปกรณ์ลักษณะนี้ สามารถหลอมเป็นเนื้อเดียวกับวัตถุใดๆ ก็ได้ ซึ่งไม่สามารถแยกออกได้แน่นอน ทว่าอุปกรณ์หนึ่งร้อยสามสิบแปดตัวนี้ในเรือนจำอวกาศกลับมีเจตนาทำให้โดดเด่นสะดุดตา
สาเหตุหลักเป็นเพราะเหล่านักโทษในเรือนจำมีปัญหาตั้งแต่สมองยันกระดูกดำ
ตอนที่เพิ่งสร้างเรือนจำอวกาศ นักออกแบบยังคาดเดานิสัยของเหล่านักโทษไม่ได้ จึงซ่อนอุปกรณ์บันทึกไว้อย่างมิดชิด ปรากฏว่าพวกประสาทกินกลุ่มนั้นวันๆ ไม่เป็นอันทำอะไร เอาแต่สรรหาสารพัดวิธีขุดรูเจาะช่องไปทั่ว สำแดงจิตสำนึกของการเป็นทหารเก็บกู้ระเบิดอย่างเต็มที่ ใช้วิธีปูพรมค้นหา ตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะหาอุปกรณ์บันทึกออกมาทั้งหมด ไม่ให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว
ทางนี้เพิ่งทำลายไปชุดหนึ่ง ทางนั้นก็ติดตั้งใหม่อีกชุด ทางนั้นติดตั้งชุดหนึ่ง ทางนี้ก็ทำลายไปอีกชุด
ประสบการณ์การพิชิตพื้นที่สรุปออกมาชุดแล้วชุดเล่า จนแทบจะกลายเป็นโซ่ธุรกิจที่เติบโตเต็มที่แล้ว
ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันมาถึงห้าสิบปีเต็ม ในที่สุดทีมออกแบบก็ด่าแม่พร้อมกับยอมแพ้เปลี่ยนไปใช้อีกกลยุทธ์หนึ่ง…
พวกเขาสร้างอุปกรณ์บันทึกทุกตัวให้เหมือนกับไฟสปอตไลต์ ติดตั้งไว้ทั่วทุกมุมอย่างโจ่งแจ้ง ไฟสีแดงกะพริบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่มีวันหยุด ประกาศศักดากับใต้หล้าด้วยไฟที่เหมือนสว่างจนตาจะบอดว่ามาสิ มาระเบิดฉันสิ!!
ด้วยวิธีการที่แข่งกันเกรียนกลับทำให้พวกนักโทษสงบลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์
อาจเพราะรู้สึกว่าความท้าทายต่ำไป จู่ๆ เหล่านักโทษก็หมดอารมณ์สนุกกับการทำลายอุปกรณ์บันทึก นอกจากนึกครึ้มใจชูนิ้วกลางกับอุปกรณ์บันทึกแล้ว พวกเขาแทบจะเห็นอุปกรณ์หนึ่งร้อยสามสิบแปดตัวนั้นเป็นอากาศธาตุ เปลี่ยนไปสนใจเรื่องอื่นแทน
นั่นจึงทำให้เหล่าอุปกรณ์บันทึกอยู่รอดจนเสมือนเต่าน้อยอายุยืน
เมื่อซ่าเอ้อสะกิดเตือนเช่นนี้ ฉู่ซือจึงนึกถึงพวกเต่าน้อยที่มีอยู่ทุกที่เหล่านี้ขึ้นมาได้
เขาทิ้งอีกาทองที่นอนเป็นศพอยู่ในกรงทันที ก้าวยาวๆ ไปทางประตูกั้นอีกด้านหนึ่งของโรงอาหาร ผ่านประตูนั้นไปก็คือศูนย์มอนิเตอร์หมายเลขสอง
จุดประสานของเคบินกลมนี้กับพื้นที่ส่วนอื่นของเรือนจำอวกาศอยู่ทางทิศเหนือซึ่งเป็นตำแหน่งตรงข้าม พื้นที่ส่วนใหญ่ซ้อนกับเกราะหุ้มด้านนอกของศูนย์มอนิเตอร์หมายเลขสอง ก่อนหน้านี้ที่จุดประสานขาดจากกัน ถูกโจมตีไปไม่น้อย จนทำให้ศูนย์มอนิเตอร์ในเวลานี้มีสภาพราวกับพายุไต้ฝุ่นกระหน่ำผ่าน มีผนังทรงโค้งด้านหนึ่งถูกระเบิดไปทั้งหมด
ผนังโลหะไม่ได้ถูกระเบิดจนพรุน แต่นูนเข้ามาด้านใน ถูกดันไปเบียดทับกับแผงควบคุม ซึ่งก็แสนซวยที่เป็นส่วนที่ติดตั้งแผงควบคุมระบบอัจฉริยะอีกเครื่องพอดี
ซ่าเอ้อตามหลังฉู่ซือเข้าประตูไปก็ผิวปากเสียงหนึ่ง “พวกเขาก็เข้าใจเลือกตำแหน่งระเบิดได้สุดจริงๆ”
ฉู่ซือยกมือจัดแจงแผงควบคุม เชื่อมพอร์ตที่ถูกระเบิดจนหลุดเข้าอีกครั้ง ก่อนตอบโดยไม่หันไปมอง “รบกวนคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปห่างๆ ฉันหน่อย”
“อ้อ เกือบลืม ปกติหัวหน้าของพวกเราเกลียดการเก็บกวาดสภาพขยะที่สุด คาดว่าตอนนี้อารมณ์คงไม่ดีมากๆ แน่เลย” ซ่าเอ้อทำสีหน้าท่าทางเข้าอกเข้าใจคนอื่น หันไปยักคิ้วกับสองคนด้านหลัง “คนไม่เกี่ยวข้องออกไปเถอะ ฉันจะปิดประตูแล้ว”
ไม้ถูพื้น “…” ฉันมีคำว่าหน้าไม่อาย ไม่รู้ว่าควรพูดไหม
เขาเกือบหลุดปากด่า แต่เมื่อนึกได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครก็กลืนกลับลงคอ เปลี่ยนน้ำเสียงอย่างยากลำบาก
“ผม…ยืนติดผนัง ไม่พูดไม่วุ่นวาย อย่าให้ผมออกไปเลย ข้างนอกมีหมาป่าเต็มไปหมด”
ซ่าเอ้อสูงกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะกว่าๆ ยามหลุบตามองลง ท่าทางฉายความหย่อนอารมณ์ปนเย่อหยิ่ง
“ฉันควรเตือนสตินายด้วยความหวังดีไหมว่าพวกที่อยู่ด้านนอกนั่นชั่วดียังไงก็ยังอยู่ในกรง ส่วนที่อยู่ตรงหน้านายนี่แหกคุกมาแล้ว ไม่มีพันธะใดๆ”
ไม้ถูพื้น “…”
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก หันขวับเผ่นแน่บทันที
ซ่าเอ้อมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ลากไม้ถูพื้นเล็กวิ่งชิดผนังออกไปอย่างพอใจ ก่อนจะปิดประตูดังปังพร้อมล็อกเรียบร้อย
ฉู่ซือแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ซ่าเอ้อ ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ ฉันโตป่านนี้ยังไม่เคยเจอใครหน้าด้านเท่านายมาก่อน”
ซ่าเอ้อเลิกคิ้ว “ฉันเคยเจอ”
ฉู่ซือถามกลับทันที “ใคร”
ยังไม่ทันที่ซ่าเอ้อจะเอ่ยปาก เขาก็ได้สติ จบการสนทนาได้ทันท่วงที “เอาล่ะ นายหุบปากไปเถอะ”
ซ่าเอ้อหัวเราะ
ฉู่ซือขมวดคิ้วเชื่อมพอร์ตสิบกว่าพอร์ตจนเสร็จเรียบร้อย แล้วค้นสายไฟที่ขาดเส้นหนึ่งจากบรรดาสายไฟที่พันกันรุงรังราวกับใยแมงมุม เนื่องจากตำแหน่งใกล้ผนังมากเกินไป จึงถูกความร้อนหลอมขาดทันทีในวินาทีที่ถูกระเบิด ส่วนที่ขาดสามารถมองเห็นสายเชื่อมต่อนับร้อยเส้นที่เล็กราวกับเส้นผม
หัวหน้าฉู่มองสายเชื่อมต่อนับร้อยเส้นนั้นอยู่สองวินาทีด้วยสีหน้าสุขุม และกลอกตาอย่างอดทนทีหนึ่งอย่างสงบนิ่ง ก่อนโยนสายไฟเส้นที่ขาดลงไปบนเคาน์เตอร์
เขาไม่เชี่ยวชาญของพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไร เทียบกับการนั่งปฏิสัมพันธ์กับสัญญาณข้อมูลไมโครชิปของพอร์ตอยู่ตรงนี้ เขายอมมุดเข้าไปก่อเรื่องในเขตพื้นที่จัดเก็บปฏิสสารที่อาจเกิดการระเบิดได้ทุกเมื่อดีกว่า
หัวหน้าฉู่เท้ามือทั้งสองข้างกับเคาน์เตอร์ นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ปุบปับก็คลี่ยิ้มอย่างงดงามมีมารยาท หันไปพูดกับซ่าเอ้อ
“เรามาเจรจากันหน่อยดีไหม”
ขณะพูดมือทั้งสองข้างของเขายังคงเท้าอยู่บนเคาน์เตอร์ ขายาวเรียวตรงข้างหนึ่งงอเล็กน้อย บวกกับรอยยิ้มนั้นช่างดูสง่าและผ่อนคลาย
ซ่าเอ้อชูนิ้วหนึ่งขึ้นข้างริมฝีปาก “เลิกเสแสร้งได้แล้วหัวหน้า ไม่นับเวลาที่ไม่ตรงกันหลังจากดาวระเบิด พวกเรารู้จักกันมาสี่สิบห้าปีเจ็ดเดือนกับอีกสามวันแล้ว นายคิดอะไรอยู่ฉันมองแวบเดียวก็รู้ บอกตรงๆ มาเลยดีกว่า”
คราวนี้ฉู่ซือนิ่งงันไปครู่หนึ่งจริงๆ เขาคิดไม่ถึงว่าซ่าเอ้อจะจำเวลาที่พวกเขารู้จักกันละเอียดจนถึง ‘วัน’ อาจเพราะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย อาจเพราะมีเรื่องขอร้อง หัวหน้าฉู่ผู้ปากคอเราะรายจึงเม้มปาก เป็นครั้งแรกที่ไม่อ้อมค้อม เอ่ยอย่างฝืนๆ
“สายเชื่อมต่อถูกละลายขาดไปเส้นหนึ่ง พวกสายเชื่อมต่อน่าปวดหัวด้านในมีอย่างน้อยเป็นกำเลย”
หากเชื่อมผิดไปเส้นหนึ่ง ระบบอัจฉริยะก็ไม่สามารถทำงานตามปกติได้
ถ้าจะให้เขาต่อเข้าด้วยกันทั้งหมด เขาคงได้นั่งอยู่ตรงนี้จนถึงวันสิ้นสุดของเอกภพ
ซ่าเอ้อหัวเราะเสียงใส เขาเชิดคางฉู่ซือ ก่อนพูดเย้าหยอก “ปกติแล้วฉันจะให้อีกฝ่ายคุกเข่าขอร้องฉัน”
ฉู่ซือเองก็หัวเราะ “ปกติแล้วฉันจะคุกเข่าต่อเมื่อลงหลุมแล้ว แล้วก็คุกเข่าข้างเดียวด้วย”
“การคุกเข่าข้างเดียวเนี่ย ใช้สำหรับขอแต่งงานเหมาะกว่า” ซ่าเอ้อกล่าว
ฉู่ซือว่า “การคุกเข่าข้างเดียว ฉันใช้สำหรับวางของเซ่นไหว้เท่านั้น”
ซ่าเอ้อ “…”
ต่อให้ลับฝีปากกันอีกครั้ง ซ่าเอ้อก็ยังเดินเข้าไป ฉู่ซือยอมอ่อนข้ออย่างหาได้ยาก ขยับถอยไปข้างๆ หนึ่งก้าวอย่างว่าง่าย เขายืนพิงอยู่ข้างๆ ซ่าเอ้อ ก้มมองอีกฝ่ายใช้นิ้วเขี่ยสายเชื่อมต่อที่ถูกละลายขาดไปเส้นนั้น
นิ้วของซ่าเอ้อสวยเรียวยาว ยามเขี่ยสายเชื่อมต่อเส้นเล็กเหล่านั้นราวกับกำลังบรรเลงเปียโน
อันที่จริงพูดไปแล้วอาจไม่มีใครเชื่อ ซ่าเอ้อ หยางที่เป็นผู้ก่อการร้ายเบอร์ต้นๆ ของเรือนจำอวกาศเล่นเปียโนเป็นจริงๆ เพียงแต่คนที่เคยเห็นนั้นน้อยจนนับได้ บางทีอาจไม่ต้องนับเสียด้วยซ้ำเพราะมีฉู่ซือแค่คนเดียว
แน่นอนว่าเป็นความผิดพลาดแบบบังเอิญเท่านั้น
แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสถานพักฟื้นอินทรีขาวเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน หากนับเวลาห้าสิบปีที่หลับใหลในแคปซูลแช่แข็งด้วยก็เกือบร้อยปีมาแล้ว
หนึ่งร้อยปีก็เป็นเพียงชั่วขณะที่หลับตาและลืมตาเท่านั้น
ซ่าเอ้อจัดเรียงสายเชื่อมต่อเหล่านั้นอย่างพิถีพิถัน ดูแล้วมีสมาธิจดจ่อ ดวงตาสีอ่อนจนแทบโปร่งใสมองนิ่ง เปลือกตาหลุบลง ดูเงียบสงบ ซ้ำยังมีกลิ่นอายสุขุมลุ่มลึก
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอียงร่างพิงเคาน์เตอร์ เหลือบตาขึ้นมองฉู่ซือ ยกมุมปากกล่าว “บอกตรงๆ บางครั้งฉันรู้สึกว่านาย…” เขาพูดแล้วจู่ๆ ก็ยักไหล่ หลุบตาลงต่อสายที่ขาดนั้น “ช่างเถอะ เห็นแก่ที่หัวหน้าไม่กระแหนะกระแหนคนอื่น ฉันไม่หยอกนายแล้ว”
ฉู่ซือฉงน “รู้สึกว่าฉันทำไม”
ซ่าเอ้อต่อสายสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยพอดีพร้อมกับบิดเปลือกหุ้มภายนอกของสายเชื่อมต่ออีกสองรอบเพื่อความทนทาน แล้วเขาก็ถือหัวต่อสายเชื่อมต่อเส้นนั้นอย่างลอยชาย ยกขึ้นแตะที่มุมปากทีหนึ่งด้วยท่าทางเจ้าสำราญ ก่อนยื่นให้ฉู่ซือ
“มา ส่งจูบให้นายหนึ่งจูบ หัวหน้าที่รักของฉัน”
ฉู่ซือ “…”
เจ้าโรคจิตอารมณ์แปรปรวน แถมยังพูดจากำกวมคลุมเครือแบบนี้ ควรยัดเข้าไปช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าในห้องคุมขังพิเศษทั้งคืนเพื่อให้สมองโล่ง
ฉู่ซือตวัดมือคว้าสายเชื่อมต่อแล้วต่อเข้ากับพอร์ตที่ถูกต้อง
ตึ๊ง…
“ดวงตาสวรรค์ ระบบอัจฉริยะเรือนจำอวกาศ ยินดีให้ๆๆ ให้บริการ”
ฉู่ซือ “…” ไอ้สิ่งที่พูดแค่ประโยคเดียวยังขัดข้องถึงสี่ครั้งนี่ยังใช้ได้จริงเรอะ!
ฉู่ซือมุมปากกระตุก เคาะแป้นบนโต๊ะปฏิบัติการไปหลายที จากนั้นก็ลองออกคำสั่ง “บันทึกวันที่ดาวระเบิดยังอยู่ไหม ค้นออกมาดูหน่อย”
“รับทราบ การค้นหาในฐานข้อมูลต้องใช้เวลาสามวินาที นับเวลาถอยหลัง สาม…สอง…สอง…สอง…สอง…”
ฉู่ซือ “…” นี่มันจะสองถึงศตวรรษหน้าเลยไหม
ซ่าเอ้อเลิกคิ้ว ทุบกำปั้นใส่เกราะหุ้มสมองส่วนกลางของระบบอัจฉริยะ
“โอ๊ย!…สอง…หนึ่ง…ค้นข้อมูลออกมาเรียบร้อย”
ฉู่ซือ “…”
เขาอยากบอกเหลือเกินว่าถ้าอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เห็นเจ้าระบบนี่ติดอ่างแล้วก็ปวดตับ
ปรากฏว่าภาพกับข้อมูลตัวอักษรด้านข้างที่ฉายออกมาในวินาทีต่อมาก็ทำให้สีหน้าของเขาหนักอึ้ง…
ระบบดวงตาสวรรค์จอมติดอ่างนี่ก็ช่างบังเอิญ บันทึกวิดีโอคลิปแรกที่ค้นออกมาก็คือช่วงที่ช่องสัญญาณสื่อสารได้รับข้อมูลคำสั่ง และเห็นว่าบนภาพแผนที่ดาวที่ทำการซิงก์ข้อมูลมามีช็อตโค้ดประจำตัวของข้อมูลคำสั่งคือ 50001
ที่มาถูกทำเครื่องหมายเป็นสีแดงที่เด่นสะดุดตา
50001 คือช็อตโค้ดช่องสัญญาณสื่อสารสาธารณะของฉู่ซือ เป็นเสมือนสมาชิกคนหนึ่งของสำนักงานหมายเลขห้าแห่งกองอำนวยการความมั่นคง
เครื่องหมายสีแดงเป็นสัญลักษณ์ต้นทางของสัญญาณฉู่ซือโดยเฉพาะ
* ดีบั๊ก (Debug) หมายถึงการแก้ไขจุดบกพร่องหรือข้อผิดพลาดในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นอกจากปัญหาเกี่ยวกับโปรแกรมแล้ว อาจเป็นปัญหาเกี่ยวกับตัวเครื่องด้วยก็ได้
* ไททัน หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายใหญ่โต
** หัวหนักเท้าเบา เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงร่างกายที่ไม่มั่นคง มีอาการที่ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 มี.ค. 66
Comments
comments
No tags for this post.