X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2 บทที่ 56 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

 เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด

 นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 56 เดินบนคมกระบี่คมดาบ

ขอบฟ้ามืดหม่นเริ่มมีแสงทองปรากฏให้เห็น ปุยเมฆโดยรอบค่อยๆ กลายเป็นสีขาวและถูกอาบไล้ด้วยแสงสีแดงทอง เมื่อเสิ่นโหย่วเฉวียนที่ไม่ได้หลับตานอนเลยทั้งคืนเจอกับแสงยามเช้า น้ำตาก็ไหลรินลงมาสองสาย ตำรวจหญิงที่นั่งอยู่ข้างเขาพูดปลอบเสียงเบาหลายประโยค เสิ่นโหย่วเฉวียนรีบก้มหน้าเช็ดน้ำตา พูดเสียงแหบแห้ง “น้ำตามันไหลออกมาเองเพราะไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ตาแห้งมาก ทนแสงแยงตาไม่ไหวน่ะครับ”

ทุกคนผงกศีรษะเงียบๆ ไม่ได้ถามมาก แต่รู้ว่าความรู้สึกของเขาจะต้องย่ำแย่แน่นอน

ที่บ้านสกุลเสิ่นมีรถหลายคันมาถึงที่นี่ติดๆ กัน เมื่อได้ยินเสียง คุณพ่อเสิ่นคุณแม่เสิ่นก็รีบวิ่งออกมาดู สีหน้าของพวกท่านเหลืองเหมือนเทียนเก่า เห็นได้ว่าไม่ได้นอนทั้งคืนเหมือนกัน ผิดกับจงฮุ่ยลู่ที่ยังคงสวยงาม ดูแจ่มใสเป็นปกติ ไม่มีการปล่อยเนื้อปล่อยตัว

หลงเฉิงเซิงเห็นกลุ่มคนที่เดินตามเสิ่นโหย่วเฉวียนมาแล้วรีบเอ่ยถาม “คุณเสิ่นครับ พวกเขา…”

“พวกเขาเป็นนักบัญชีกับผู้จัดการการเงินของฉัน ยังมีการ์ดที่ทำหน้าที่ส่งเงินสด นายน่าจะรู้จักคุณหลันฉี่ ฉันเตรียมขายทรัพย์สินที่พอขายได้ โดยเขาจะช่วยดูแลเรื่องการถ่ายโอน” เสิ่นโหย่วเฉวียนชี้ไปที่ชายสูงวัยผมขาวโพลนทั้งศีรษะ

หลงเฉิงเซิงย่อมต้องรู้จักหลันฉี่ คนผู้นี้รับผิดชอบดูแลทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเสิ่นโหย่วเฉวียน เป็นตัวแทนของเขา ขณะนี้ริมฝีปากบางของหลันฉี่กำลังเม้มแน่น สีหน้าวิตกกังวล ท่าทางทุกข์ใจมาก ผู้ชายสองคนกับผู้หญิงหนึ่งคนที่ตามหลังหลันฉี่ก็แต่งตัวดี มีมารยาท กระเป๋าเซฟที่นำมาวางเรียงกันอยู่ที่ท้ายรถมองเห็นจำนวนได้ชัด ชายร่างกำยำสองคนคอยจดจ้องกระเป๋าเซฟอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา เหมือนกลัวว่าจะมีผู้ก่อการร้ายโผล่พรวดออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งเพื่อแย่งกระเป๋าไป

ดวงตาของหลงเฉิงเซิงล็อกเป้าอยู่ที่กระเป๋า ผ่านไปสองสามวินาทีเขาถึงเลื่อนสายตาจากไปอย่างยากลำบาก พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “คุณเสิ่นครับ หลังคุณออกไป ทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยดี”

“งั้นก็ดี ขอบใจนายมาก! วันนี้ฉันกับคุณหลันยุ่งมาก คงต้องให้นายช่วยดูบ้าน สุขภาพของพ่อแม่ฉันไม่ค่อยดี นายต้องคอยดูแลหน่อยนะ” เสิ่นโหย่วเฉวียนเดินพลางสั่งพลาง ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเคราขึ้นเป็นตอ ขอบตาแดงเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้ ดูสมกับเป็นพ่อที่เป็นห่วงสวัสดิภาพของลูกชายจนอวัยวะภายในทั้งห้าราวกับถูกเผา

หลงเฉิงเซิงพยักหน้าหงึกๆ รับคำ คุณพ่อเสิ่นคุณแม่เสิ่นคอยถามไม่หยุดว่าลูกชายรวบรวมเงินได้แล้วหรือยัง

ทุกคนทยอยกันขึ้นไปบนชั้นสอง บันไดทางขึ้นค่อนข้างแคบ จังหวะที่ ‘นักบัญชี’ หน้าตาละอ่อนคนนั้นเดินผ่านหลงเฉิงเซิงกับจงฮุ่ยลู่ก็ชนถูกพวกเขาเล็กน้อย แต่ไม่ได้รับความสนใจจากทั้งคู่ ส่วนตำรวจหญิงที่แต่งตัวเป็นผู้จัดการการเงินแสร้งทำเป็นมองหาห้องน้ำ แต่กลับเดินตรงเข้าไปในห้องนอนใหญ่ เธอพิจารณาสภาพภายในห้องอย่างรวดเร็วก่อนเดินไปยังจุดต่างๆ เพื่อมองหาของที่ถูกทิ้งในถังขยะ

จงฮุ่ยลู่เซ้นส์ดีมาก รีบเดินตามมาทันที

ตำรวจหญิงจึงขออภัย เดินออกจากห้องนอนใหญ่เข้าไปในห้องหนังสือ ลดเสียงให้เบาลง “ด็อกเตอร์ซ่งคะ เมื่อคืนจงฮุ่ยลู่มาสก์หน้า”

“ผมรู้แล้ว” ดวงตาของซ่งรุ่ยหรี่ลงเล็กน้อย เหมือนคาดการณ์ได้ตั้งแต่ต้น

ต่อให้เสิ่นโหย่วเฉวียนโง่กว่านี้ก็ยังรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เขากัดฟัน “ลูกชายถูกลักพาตัวแต่ยังมีกะจิตกะใจมาสก์หน้าอีกเหรอ ที่แท้ความเดือดเนื้อร้อนใจของเธอมันก็จอมปลอม” จบคำ เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าเลย เขาเที่ยววิ่งพล่านเพื่อลูกคนอื่นทั้งคืน กังวลไปหมดเพราะไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน นี่ถ้าเขาให้หลันฉี่ช่วยขายหุ้นตัวดีๆ ออกไปจริงๆ ไม่ขาดทุนมหาศาลเลยหรือ

“ผมจะไปดูลูกสาว ด็อกเตอร์ซ่งครับ พวกคุณทำงานกันไปก่อนนะ” เสิ่นโหย่วเฉวียนลูบหน้า เดินจากไปอย่างรีบร้อน ตอนเผชิญหน้ากับจงฮุ่ยลู่และหลงเฉิงเซิง เขาต้องใช้พลังทั้งหมดในตัวเพื่อสะกดความเดือดดาลและเคียดแค้นเอาไว้ ถ้าไม่มีลูกสาว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะทนต่อไปได้อย่างไร

“คุณไปเถอะ” ซ่งรุ่ยพลิกอ่านรายงานการเงินเป็นปึกพลางโบกมือทั้งที่ไม่ได้หันหน้ามามอง

เสิ่นโหย่วเฉวียนเดินเข้าไปในห้องของลูกสาวอย่างอดรนทนไม่ไหว เขาจูบใบหน้ารูปไข่อวบอิ่มของเธอ สูดหายใจตรงซอกคอน้อยๆ ที่หอมกลิ่นนมของเธอ น้ำตาที่ตอนแรกกล้ำกลืนลงไปก่อนหน้าไหลรินลงมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง

เสิ่นอวี้หลิงถูกตอหนวดของพ่อรบกวนจนตื่น แต่เด็กหญิงกลับไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย เธอกอดคอพ่อแน่นแล้วกระซิบถาม “พ่อร้องไห้ทำไมคะ แม่ว่าพ่อเหรอ ไม่ร้องนะไม่ร้อง เดี๋ยวนานนานให้พ่อกินลูกอม” เธอมุดเข้าไปในผ้าห่ม คลำหาตั้งแต่หัวเตียงถึงปลายเตียง ไม่รู้ว่าไปเจอลูกอมหนึ่งเม็ดจากตรงไหนแล้วเอามายัดใส่ปากเสิ่นโหย่วเฉวียน

“กินแล้วเลิกร้องไห้นะคะ” เสิ่นอวี้หลิงใช้มือเล็กๆ ลูบท้ายทอยของพ่อเบาๆ และหอมปลายคางที่เต็มไปด้วยตอหนวดของเขา ท่าทางเอาใจใส่เหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยๆ

การที่เด็กหญิงว่าง่ายรู้ความแบบนี้ทำให้น้ำตาของเสิ่นโหย่วเฉวียนไหลหนักกว่าเดิม ทำไมลูกสาวถึงซ่อนลูกอมเอาไว้เยอะแบบนี้ ทำไมถึงรู้ว่าการกินของหวานจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น เพราะเธอร้องไห้มาหลายครั้ง และทุกครั้ง นอกจากของหวานกับตัวเธอเองก็ไม่มีใครมอบอ้อมกอดและการปลอบใจให้เธอเลย แต่หัวใจของเธอกลับไร้เงาดำ พอเห็นพ่อเศร้า เธอก็ลืมความหมางเมินและเย็นชาของเขา เอาความลับที่ซ่อนไว้เป็นอย่างดีออกมาแบ่งให้ เพียงเพราะต้องการปลอบใจเขาอย่างเต็มกำลังความสามารถ

ใครบอกว่าลูกสาวนิสัยเสียต้องได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างหนัก ใครบอกว่าลูกสาวซุกซนเห็นแก่ตัว อคติกันทั้งนั้น! เสิ่นโหย่วเฉวียนกอดลูกสาวแน่น เขาให้คำมั่นด้วยเสียงสะอื้น “นานนาน แก้วตาดวงใจของพ่อ ต่อไปแม่เขาจะไม่ว่าหนูอีกแล้ว มีพ่ออยู่ จะไม่มีใครทำให้หนูร้องไห้แล้ว”

ระหว่างที่พ่อกับลูกสาวกำลังปลอบใจซึ่งกันและกัน หลงเฉิงเซิงยกชาร้อนหนึ่งกาขึ้นไปบนชั้นสอง เขาเคาะประตูห้องหนังสือ สายตากวาดมองใบหน้าของคนแปลกหน้าทุกคนและแอบสังเกตดูพฤติกรรมของพวกเขาอย่างรวดเร็ว การ์ดสองคนคอยเฝ้ากระเป๋าอย่างขึงขัง ผู้หญิงที่สวมชุดยูนิฟอร์มของธนาคารใช้เครื่องนับธนบัตรนับจำนวนเงินสดที่รวบรวมมาอย่างรวดเร็ว

ธนบัตรที่ถูกมัดด้วยแถบคาดสีขาวปึกแล้วปึกเล่าถูกวางลงบนโต๊ะตัวใหญ่ แถบสะท้อนแสงสีแดงสะท้อนเข้าตาของหลงเฉิงเซิง มือที่ถือถาดของเขาสั่นน้อยๆ ก่อนสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว เขาเปลี่ยนไปพิศดูผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ข้างหลันฉี่

ชายที่หน้าตาค่อนข้างอ่อนเยาว์กำลังพิมพ์คำสั่งเข้าไปในคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งด้วยความรวดเร็ว บนหน้าจอเต็มไปด้วยโค้ดทุกรูปแบบ ดูสับสนวุ่นวายอย่างที่สุด ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่และสุขุมกว่าหยิบแฟ้มหนึ่งเล่มมาอธิบายให้หลันฉี่ฟังว่าจะทำการซื้อขายทรัพย์สินแต่ละแบบที่มีอยู่อย่างไร ขาดทุนและกำไรเท่าไหร่ ต้องทำแบบไหนถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด พวกเขาดูเป็นมืออาชีพมาก หน้าตาและท่าทางราวมังกรหงส์ในหมู่มนุษย์ ไม่ดูคล้ายตำรวจเลยสักนิด

หลันฉี่ถูกเสิ่นโหย่วเฉวียนปกปิดความจริงไว้อย่างมิดชิด เขาไม่รู้เลยว่าคนที่เดินทางกลับมาพร้อมตัวเองคือตำรวจทั้งทีม หลันฉี่ถอนหายใจ “มิน่าคุณเสิ่นถึงได้ทิ้งทีมที่ทำงานด้วยกันมานานเพื่อใช้คนใหม่อย่างคุณ ทักษะการทำงานของคุณยอดเยี่ยมจริงๆ! ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้คุณประจำอยู่ที่ไหน ทำไมผมถึงไม่เคยเห็นคุณมาก่อน”

หลงเฉิงเซิงหูผึ่ง มองไปก็เห็นว่าคนกลุ่มนี้ นอกจากหลันฉี่แล้ว เขาไม่รู้จักคนอื่นอีก หลงเฉิงเซิงย่อมต้องรู้สึกสงสัย

“ก่อนหน้านี้ผมทำงานเป็นที่ปรึกษาชั่วคราวที่แลมป์สันครับ นี่นามบัตรของผม” ซ่งรุ่ยยื่นนามบัตรที่จัดทำขึ้นอย่างประณีตให้

หลันฉี่ทำตาโต สีหน้างงงัน “ที่แท้คุณก็คือด็อกเตอร์ซ่งรุ่ยที่ทำดีลให้เรโนลต์กับ ABC ได้เป็นผลสำเร็จเองเหรอ ผมได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน! ศึกนั้นน่าดูชมจริงๆ คุณเก็งแผนของ ABC ได้ทุกอย่างและโต้กลับได้อย่างสวยงามทันเวลา ตอนนั้นในวงการต่างพูดถึงชั้นเชิงอันยอดเยี่ยมของคุณกันให้แซ่ดว่าเหมือนอ่านใจคนได้ คุณไม่เคยแพ้ในการเจรจาบนโต๊ะ! ปีที่แล้วผมยังเอาเคสของคุณไปเป็นตัวอย่างบรรยายให้นักศึกษาฟัง คิดไม่ถึงเลยว่าปีนี้ผมจะได้มาพบคุณ! ไอ้หยา เป็นเกียรติของผมจริงๆ!”

ซ่งรุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมมีมารยาท “คุณหลันชมเกินไป คุณเป็นรุ่นใหญ่กว่าผมอีกครับ”

หลันฉี่โบกมือ “ที่ไหนกัน ในสายงานเรายึดคนทำงานสำเร็จเป็นครู เมื่อกี้ผมเอาหน้าแก่ๆ มาขายแท้ๆ คุณเสิ่นสามารถเชิญคุณมาช่วยได้ถือเป็นโชคของเขาจริงๆ แบบนี้เราก็สบายใจได้ร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย!”

“คุณเสิ่นยอมเทหมดหน้าตักเพื่อช่วยลูก ถึงผมจะเป็นคนนอกแต่ถ้าช่วยได้ผมก็อยากช่วย ความปลอดภัยของเด็กคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เราต้องรีบขายทรัพย์สินพวกนี้ออกไป เพราะเรื่องเด็กรอไม่ได้” ตั้งแต่ต้นจนจบ ท่าทางของซ่งรุ่ยดูเยือกเย็นมาก และมันส่งผลต่อหลันฉี่ด้วย ทั้งคู่จมอยู่กับงานที่แสนวุ่นวายทำให้หลงเฉิงเซิงหมดความสงสัย เขาวางถาดน้ำชาแล้วเดินออกไป หลงเฉิงเซิงติดตามอยู่ข้างกายเสิ่นโหย่วเฉวียนมาหลายปีจึงพอจะผ่านหูผ่านตาเรื่องความน่าดูชมของดีลเรโนลต์กับ ABC มาบ้าง ที่แท้คนคนนี้ก็คือ ดร. ซ่งรุ่ยที่เล่าลือกันว่าเป็นเทพเหนือเทพ มิน่าถึงได้ดูมีออร่าเหนือคนทั่วไป

ตอนเดินไปถึงมุมเลี้ยวของบันได เขายิ้มเยาะพลางคิดในใจว่าดูท่าเสิ่นโหย่วเฉวียนจะรักเสิ่นอวี้เหรามากจริงๆ ถึงได้เชิญผู้จัดการที่เก่งที่สุดมาช่วยเขารวบรวมเงิน

 

เที่ยงวัน เวลาสิบสองนาฬิกาตรง เสิ่นโหย่วเฉวียนรวบรวมเงินสดได้สิบล้านแล้ว เวลานี้เงินสดจำนวนมากวางอยู่ในห้องหนังสือ ระหว่างนั้นคนร้ายโทรมาเร่งเรื่องเงินสองครั้ง แค่พูดไม่กี่ประโยคก็วางทำให้เสี่ยวหลี่ไม่สามารถแกะรอยที่อยู่ของอีกฝ่ายได้ แต่พอจะเห็นเค้าโครงเส้นทางการหลบหนีของคนร้ายที่เป็นผู้หญิงได้บ้าง

คุณพ่อเสิ่นกับคุณแม่เสิ่นไม่มีใจจะกินข้าว จงฮุ่ยลู่เอนตัวน้ำตาไหลอยู่บนโซฟา ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เสิ่นโหย่วเฉวียนให้พี่เลี้ยงพาลูกสาวมาเล่นอยู่ตรงมุมในห้องหนังสือ ไม่ยอมให้คลาดสายตาแม้แต่ก้าวเดียว หลงเฉิงเซิงเลยต้องรับผิดชอบวิ่งงานให้ทุกคน

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง จู่ๆ พนักงานส่งพัสดุด่วนคนหนึ่งก็เอาพัสดุชิ้นหนึ่งมาส่งให้ ระบุชื่อจงฮุ่ยลู่เป็นผู้รับ

“คุณยังมีอารมณ์ช็อปออนไลน์อีกเหรอ” เสิ่นโหย่วเฉวียนถามเสียงแหบ

“ฉันไม่ได้ช็อปนะ” จงฮุ่ยลู่เปิดพัสดุแบบคนน้ำเต็มสมอง แต่กลับเห็นกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งวางอยู่ข้างใน เมื่อเปิดกล่องออก ภาพของนิ้วที่มีเลือดท่วมนิ้วหนึ่งก็สะท้อนเข้าตาเธอ พรากเอาลมหายใจและการเต้นของหัวใจของเธอไป

“กรี๊ดดด!” เสียงกรีดร้องแหลมแทงทะลุโสตประสาทของทุกคน จงฮุ่ยลู่โยนนิ้วเล็กๆ ออกไป มันกลิ้งไปบนพรม

“นี่มันอะไร นะ…นี่นิ้วเหราเหราเหรอ” เสิ่นโหย่วเฉวียนให้พี่เลี้ยงพาเสิ่นอวี้หลิงออกไป ภาพอันน่าสยองนี้จึงมีแต่ผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นได้เห็น เขาวิ่งโซซัดโซเซออกไป ไม่สนใจเลือดเหนียวเหนอะและความสกปรกบนพื้น เก็บนิ้วนั้นขึ้นมาด้วยมือสั่นเทา กดแนบที่หัวใจ ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ

“นี่มันนิ้วของเหราเหรา พวกมันตัดนิ้วเหราเหรา! พวกมันโหดเกินไปแล้วจริงๆ ฉันรวมเงินแล้ว คอยหน่อยไม่ได้เหรอ”

การแสดงของเขาไม่มีที่ติ เพราะแค่จินตนาการว่าถ้าเสิ่นอวี้หลิงต้องเจอสิ่งที่เสิ่นอวี้เหราเจอ เขาก็ปวดร้าวใจจนทนไม่ไหว

พี่เลี้ยงกับคนรับใช้ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเห็นภาพนี้ถึงกับขอบตาแดงเรื่อ และคิดขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายว่าคุณเสิ่นช่างน่าสงสารจริงๆ!

เสียงเอะอะที่ชั้นล่างเรียกความสนใจจากพวกหลันฉี่ พวกเขาวิ่งออกจากห้องหนังสือมาดูเหตุการณ์ หลังซักถามต้นสายปลายเหตุ ซ่งรุ่ยก็พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “คุณเสิ่นครับ ดูจากลักษณะ นิ้วนี้คงเพิ่งถูกตัด คุณรีบเอาไปให้ทางโรงพยาบาลเก็บรักษาสภาพไว้ก่อน เผื่อว่าพอช่วยเด็กกลับมาสำเร็จแล้วอาจยังพอต่อได้”

“ใช่ๆๆ ต้องส่งไปให้ทางโรงพยาบาลเก็บรักษา” เสิ่นโหย่วเฉวียนเหมือนเพิ่งตื่นจากอาการขวัญกระเจิง

หลงเฉิงเซิงหน้าซีดเผือด จังหวะที่เขาเตรียมจะอาสาเอานิ้วไปส่งให้นั้น คุณแม่เสิ่นก็เกิดเป็นลมล้มกระแทกพื้นอย่างแรงเพราะทนรับความสะเทือนใจไม่ไหว คุณพ่อเสิ่นเอามือกดหน้าอก หอบหายใจ พูดเสียงฮื้อฮ้าฟังไม่ได้ศัพท์ จงฮุ่ยลู่เหม่อมองเพดาน ร้องไห้ไม่ออก เทียบกับตัวเธอที่มีสีหน้าแจ่มใสเมื่อตอนเช้า หญิงสาวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง แววตาเลื่อนลอย ริมฝีปากแห้งผากคนนี้ต่างหากที่เหมือนแม่ที่สูญเสียลูกไปอย่างไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยจริงๆ

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้!” เธอพึมพำเสียงเบาจนเกือบไม่ได้ยิน จึงไม่เห็นว่าหลงเฉิงเซิงกำลังถลึงตามองเธออย่างดุดัน

เสิ่นโหย่วเฉวียนไม่ได้หยุดคิด เขาให้หลงเฉิงเซิงไปประคองคุณแม่เสิ่น ส่วนตัวเองวิ่งขึ้นไปหายาความดันของคุณพ่อเสิ่นที่ชั้นบน ‘นักบัญชี’ หนุ่มคนนั้นเห็นทุกคนกำลังวุ่นก็เสนอตัวอย่างห้าวหาญ “คุณเสิ่นครับ เอานิ้วให้ผมเถอะครับ ผมจะเอาไปส่งโรงพยาบาลให้เอง คุณวางใจได้ พี่ชายผมเป็นวิสัญญีแพทย์อยู่ในโรงพยาบาลกลาง เขารู้ว่าต้องจัดการกับนิ้วนี้ยังไง”

“ให้ผมไปดีกว่าครับ” หลงเฉิงเซิงอยากดูนิ้วนั้นให้ละเอียดจึงพยายามยื้อแย่งโอกาสนี้ไว้

ทว่าเสิ่นโหย่วเฉวียนกลับไม่สนใจหลงเฉิงเซิง เขาป้อนยาให้คุณพ่อเสิ่นพลางกำชับ “จำไว้ว่าต้องให้พี่ชายคุณเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามแจ้งตำรวจเด็ดขาด ไม่งั้นจะมีอันตราย!”

โดยทั่วไปเวลาทางโรงพยาบาลได้รับชิ้นส่วนของมนุษย์จะต้องแจ้งตำรวจ ถ้าไม่มีคนรู้จักช่วยเก็บความลับ พอเอานิ้วไปส่งย่อมปิดเรื่องเด็กถูกลักพาตัวไม่ได้ หลงเฉิงเซิงเป็นจอกแหนไร้ราก* อยู่ในเมืองหลวง ไม่มีทางรับมือกับการซักถามจากทางโรงพยาบาลได้ จึงต้องกล้ำกลืนคำขอเมื่อครู่ลงไป

นักบัญชีหนุ่มเอานิ้วจากไป ทว่าบ้านสกุลเสิ่นกลับยิ่งโกลาหล คุณแม่เสิ่นหมดสติไปสองนาทีก็ฟื้น เธอร้องไห้โวยวาย “โหย่วเฉวียน ยังมัวโอ้เอ้อะไร รีบรวมเงินเข้าสิ! ขายบ้านขายรถให้หมด! แม่ยังมีเงินเก็บอีกเป็นล้าน ยกให้แกหมดเลย!” เธอรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องนอนเพื่อหยิบเอาสมุดเงินฝาก ก่อนหน้านี้เธอหยิบเงินออกมาหลายแสน เงินแสนก้อนนี้คือเงินซื้อโลงของเธอกับสามี

กว่าคุณพ่อเสิ่นจะกลืนยาความดันลงไปก็ไม่ง่ายเลย เขาพูดเสียงขาดห้วงด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ขายบ้านเดิมของพ่อกับแม่ด้วย โฉนดอยู่ในแฟ้มในตู้เสื้อผ้าพ่อ ถ้าเหราเหราเป็นอะไรไป พ่อกับแม่ก็ไม่ต้องแก่แล้ว ขอตายตามเขาไปเลยดีกว่า!”

ขอบตาของเสิ่นโหย่วเฉวียนแดงเรื่อ “พ่อ พ่อพูดอะไรน่ะ! ผมจะหาวิธีรวบรวมเงิน ไม่ต้องใช้เงินซื้อโลงของพ่อกับแม่หรอก”

เขายัดสมุดบัญชีเงินฝากกลับไป แต่เป็นตายอย่างไรสองผู้เฒ่าก็ไม่ยอม ยังคงรื้อของมีค่าในมือออกมาให้ลูกชายเปลี่ยนเป็นเงินสด ทุกคนต่างพยายามพาเสิ่นอวี้เหรากลับมาโดยสวัสดิภาพ มีเพียงจงฮุ่ยลู่ที่ขยับปากอยู่สองสามครั้ง แต่กลับต้องปิดปากทุกครั้งเพราะสายตาของหลงเฉิงเซิงที่ถลึงมองมา จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่ได้พูดเรื่องช่วยรวมเงินด้วยเลย

ท่าทีของเธอกับหลงเฉิงเซิงทำให้ซ่งรุ่ยกับตำรวจหญิงมองตากัน เพราะมั่นใจว่าใครคือผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุคดีของพวกเขาแล้ว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 5 .. 64

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: