ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 59 โลกของผู้วิเศษ
หลังเรื่องวุ่นวายในบ้านจบลง เสิ่นโหย่วเฉวียนก็จัดการเรื่องยื่นฟ้องฟั่นจยาหลัวสองคดีอย่างเร็วที่สุด เดิมเขาเป็นคนตัดสินเรื่องตัวเลขค่าละเมิดสัญญาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้มาตรฐานตามกฎหมายเพื่อกดตัวเลขให้ต่ำที่สุดคือสามสิบเปอร์เซ็นต์ของค่าตอบแทน รวมกันแล้วเท่ากับสิบหกล้าน ก่อนหน้านี้เสิ่นโหย่วเฉวียนขายหุ้นไปหลายตัว เขาจึงเอาเงินมาโปะตรงส่วนนี้ได้พอดี
ทว่าฟั่นจยาหลัวกลับปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขาด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท “ผมเพิ่งขายบ้านไปหนึ่งหลัง ผมจะคืนเงินก้อนนี้เอง คุณเสิ่นครับ ผมขอเสนอให้คุณเอาเงินก้อนนี้ไปสร้างกุศล แบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวคุณมากกว่า”
“ครับๆๆ ผมจะเอาเงินก้อนนี้ไปบริจาค คุณฟั่นครับ ช่วงนี้คุณพอมีเวลาว่างบ้างหรือเปล่า ผมอยากพานานนานไปหาคุณ เรากินข้าวกันหน่อยดีมั้ย” เสิ่นโหย่วเฉวียนพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ยามนี้ในความรู้สึกของเขา คำพูดของฟั่นจยาหลัวก็ไม่ต่างอะไรกับพระราชโองการ
“อย่าดีกว่าครับ วาสนาของเราสิ้นสุดกันแค่นี้ ต่อไปลูกสาวของคุณจะไปได้ดีมาก” ฟั่นจยาหลัวตัดสาย เขาโอนเงินค่าละเมิดสัญญาเข้าบัญชีของบริษัทเคเอ็น กรุ๊ป ชายหนุ่มขายบ้านที่ฟั่นข่ายเสวียนยกให้ และเอาเช็คห้าล้านใบนั้นไปเคลียร์คดีฟ้องร้องอื่นอีกสิบกว่าคดีเรียบร้อย เวลานี้เขาเป็นอิสระจากพันธะทั้งหมด
เสิ่นโหย่วเฉวียนจ้องมือถือ รู้สึกผิดหวังเต็มหัวใจ แต่พอคิดถึงสารที่ฟั่นจยาหลัวพูดถึงลูกสาว เขาก็ยิ้มอย่างโล่งอก
ฟั่นจยาหลัวชำระเงินค่าละเมิดสัญญาสูงถึงหนึ่งร้อยสามสิบล้านหมดภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน เขาเปลี่ยนไปสวมชุดที่ค่อนข้างเป็นทางการ ตรงไปยังฝ่ายบริหารของบริษัทสเตลล่าร์ ในเวลาเดียวกันนี้เองจ้าวเหวินเยี่ยนยังคงทำสงครามคอมเมนต์กับซูเฟิงซี
หลังถูกบริษัทสเตลล่าร์ดำเนินการฟ้องร้อง ทนายของซูเฟิงซีบอกเธออย่างชัดเจนว่า “คุณไม่มีทางชนะคดีนี้เลย เพราะหลักฐานในมือของอีกฝ่ายแน่นมาก ถ้าคุณไม่อยากติดคุก ทางที่ดีที่สุดคือหาเส้นสาย เข้าทางผู้ใหญ่ เพื่อขอเจรจายอมความกันนอกรอบดีกว่า”
ซูเฟิงซีค่อยๆ แบไพ่ของตัวเองออกมา คนแรกที่เธอไปหาคือประธานกลุ่มบริษัทสกุลจาง เขาส่งข้อความไปให้จ้าวเหวินเยี่ยนเพื่อขอให้อีกฝ่ายทำอะไรแต่พอดี สกุลจ้าวเป็นผู้กุมบังเหียนวงการบันเทิง แต่สกุลจางก็เป็นยักษ์ใหญ่ในสายธุรกิจบันเทิงเหมือนกัน ประมุขสกุลจางมีสายสัมพันธ์กับผู้บัญชาการทหารถึงสองรุ่น โดยเฉพาะนายผู้เฒ่าของพวกเขา ซึ่งเป็นคนรอบรู้ทุกอย่าง ไม่ใช่คนที่ควรจะไปมีเรื่องด้วย
จ้าวเหวินเยี่ยนถูกอิทธิพลที่ลึกเกินหยั่งของสกุลจางทำให้ต้องยอมเจรจานอกรอบ
ยกนี้ซูเฟิงซีชนะ
แต่การเจรจานอกรอบไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องเดินเข้าไปสู่การฟ้องร้องเช่นเดิม จ้าวเหวินเยี่ยนเรียกร้องให้ซูเฟิงซีชดเชยการขาดทุนของบริษัทสเตลล่าร์เป็นจำนวนสิบเท่า เท่ากับสามพันกว่าล้าน เวลานี้ซูเฟิงซีอยู่ในสภาวะจวนเจียนล้มละลาย ไหนเลยจะเอาเงินออกมาได้มากมายขนาดนั้น โชคดีที่เธอมีคนใหญ่คนโตที่ติดหนี้กรรมอยู่ข้างตัวไม่น้อย และหนึ่งในนั้นมีพาวเวอร์พอ เขาจึงเสนอตัวช่วยใช้หนี้แทนซูเฟิงซีถึงที่
จ้าวเหวินเยี่ยนโกรธจนขำ บังเอิญว่าเขารู้จักกับภรรยาของคนคนนี้ และชายหนุ่มมีภาพบนเตียงของอีกฝ่ายกับซูเฟิงซี เขาจึงแอบส่งภาพนี้ไปให้ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของฝ่ายตรงข้าม อิทธิพลของครอบครัวภรรยามีมากกว่าคนใหญ่คนโตที่ติดหนี้กรรมคนนั้นเยอะ ค่าชดเชยสามพันกว่าล้านจึงถูกแช่แข็งทันที
ศึกนี้จ้าวเหวินเยี่ยนชนะ
ซูเฟิงซีโกรธจนคลั่ง เธอทำทุกทางจนได้คลิปที่ผู้ช่วยแอบถ่ายไว้ในวันที่ถูกจ้าวเหวินเยี่ยนฉีกหน้ามาตัดช่วงต้นช่วงท้ายและเสียงออก ก่อนโพสต์ลงอินเตอร์เน็ต เผยภาพสวีตในอดีตของตนกับจ้าวเหวินเยี่ยน พร้อมคลิปการสนทนา ตัดพ้อว่า
‘เมื่อไม่รักแล้วก็อย่าทำร้ายกัน ปล่อยให้ฉันได้เดินจากไปเงียบๆ ได้มั้ย’
ในคลิปซูเฟิงซียืนหันข้าง สีหน้าหม่นหมอง ในขณะที่ฟั่นจยาหลัวกอดคอจ้าวเหวินเยี่ยนอยู่หลวมๆ แนบตัวติดกับแผ่นหลังของชายหนุ่ม กระซิบพูดที่ข้างหูเขา ท่าทางสนิทสนมกันมาก เมื่อภาพนี้ขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงอ่อนหวานที่จ้าวเหวินเยี่ยนเคยส่งให้ซูเฟิงซี ก็กลายเป็นเรื่องน่าเย้ยหยันอย่างที่สุด
แฟนคลับของซูเฟิงซีฟันธงทันทีว่าจ้าวเหวินเยี่ยนเป็นคนไม่ดี และฟั่นจยาหลัวคือมือที่สาม เปิดห้องถกเรื่องของทั้งคู่ แม้แต่คนนอกยังทนดูไม่ได้ ด่าว่าจ้าวเหวินเยี่ยนเป็นพวกไร้น้ำใจ ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน ทำให้ชื่อเสียงที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวของฟั่นจยาหลัวต้องแปดเปื้อนอีกครั้ง
จ้าวเหวินเยี่ยนไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ เขาโพสต์ภาพที่ซูเฟิงซีนัดเดตกับอวี๋อี ศิลปินที่กำลังดังเปรี้ยงปร้างที่ร้านกาแฟ พร้อมข้อความ
‘นี่คือการเดินจากไปเงียบๆ ของคุณเหรอ’
ในภาพ ซูเฟิงซีหลบเข้ามุมไปคุยอะไรกับอีกฝ่ายแบบหัวชนกัน สายตาที่สบประสาน สีหน้าสวีตหวาน ท่าทางแบบมีนัย ทุกรายละเอียดล้วนแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์พิเศษของพวกเขา
พวกกินแตง ยังไม่ทันย่อยจำนวนข้อมูลของรูปถ่ายใบนี้ ซูเฟิงซีก็โพสต์ภาพเต็มออกมา ที่แท้ข้างพวกเขายังมีเจียงกานอยู่อีกคน ทั้งสามคนถือโทรศัพท์ของตัวเอง เหมือนกำลังเล่นเกมและสนุกสนานอย่างมาก การพูดและการกระทำจึงดูสนิทสนม
ซูเฟิงซีเยาะอย่างไม่เกรงใจ
‘คนใจสกปรกก็เห็นอะไรสกปรกไปหมด!’
อวี๋อีกับเจียงกานต่างลุกขึ้นมาปกป้องซูเฟิงซีทันที เขาพร่ำบอกว่าตนเห็นซูเฟิงซีเป็นรุ่นพี่ จ้าวเหวินเยี่ยนมีเจตนาไม่ดีถึงได้ตีความไปในทางลบว่าการพบกันของคนสามคนคือการแอบเป็นชู้กัน เขาหูตาสว่างแล้วจริงๆ!
พวกกินแตงต่างเตรียมคีย์บอร์ด กะว่าจะลุยจ้าวเหวินเยี่ยนสักยก แต่จ้าวเหวินเยี่ยนกลับโพสต์ภาพอีกสามภาพ สถานที่คือห้องคาราโอเกะส่วนตัวที่เต็มไปด้วยแสงไฟดิสโก้และเงาคนวุ่นวาย ดูจากเสื้อผ้าของนักแสดงทั้งสามและเวลาที่ฟ้องว่าเป็นช่วงเดียวกัน ภาพแรก ซูเฟิงซีดึงคอเสื้อของอวี๋อีมาจูบอย่างร้อนแรง ภาพที่สอง ซูเฟิงซีกอดคอของเจียงกานจูบอย่างดุเดือด และภาพที่สาม ซูเฟิงซีนอนอยู่บนโซฟา ปากแดงๆ กำลังจูบกับอวี๋อี แต่มือกลับกอดคอเจียงกานเพื่อรั้งเขาไว้ข้างตัว คาดว่าพอจูบอวี๋อีเสร็จ เธอคงให้รางวัลเจียงกานเป็นคนต่อไป สีหน้าคาดหวังและเขินอายของเจียงกานซ่อนอยู่ภายใต้แสงไฟดิสโก้
จ้าวเหวินเยี่ยน : ใครกันแน่ที่สกปรก
พวกกินแตง : ไอ้หยา! มั่วจนสางไม่ถูกแล้ว!
ภาพลักษณ์นางฟ้าผู้สูงส่งเกินเอื้อมของซูเฟิงซีหายวับไปทันที จังหวะนี้เองที่เธอตระหนักได้ว่าจ้าวเหวินเยี่ยนจงใจปล่อยภาพนัดเดตแบบไม่เต็มใบออกมา จุดประสงค์คือล่อให้เธอโต้กลับเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ เรียกความสงสารและการปกป้องจากชาวเน็ต จากนั้นเขาค่อยปล่อยภาพจูบนัวเนียอีกสามใบออกมาเพื่อพลิกสถานการณ์อย่างน่าตกใจ ฆ่าเธอให้ตาย และเธอก็เดินเข้าสู่กับดักของเขาทีละก้าวๆ โดยไม่รู้ตัว อย่าว่าแต่จะถอนตัวออกมาจากวังวนเลย เธอมีแต่จะแปดเปื้อนหนักไปทั้งตัว เลิกคิดเรื่องจะล้างมลทินไปได้เลย
อวี๋อีกับเจียงกานหายหัวเงียบ ไม่มีใครออกมายืนพูดให้เธออีก เพราะตัวพวกเขาเองก็ลำบากเหมือนกัน
ศึกนี้จ้าวเหวินเยี่ยนชนะ
ไม่มีความเคลื่อนไหวจากฝั่งของซูเฟิงซี เพราะเธอไม่รู้ว่าในมือของจ้าวเหวินเยี่ยนยังมีภาพลับอยู่อีกมากน้อยแค่ไหน หญิงสาวจึงไม่กล้าเปิดศึก หลายปีมานี้เธออาศัยเสน่ห์ของตัวเองเรียกลมเรียกฝน ทำตัวกร่างไปทั่ว แต่กลับไม่เคยคิดว่าผู้ชายที่เคยคล้อยตามตัวเองทุกอย่างเป็นคนปราดเปรื่องและเหี้ยมโหดแค่ไหน ด้านหนึ่งเขายอมลงให้เธอ แต่อีกด้านหนึ่งกลับเก็บหลักฐานที่พร้อมจะฆ่าเธอได้ไว้ทีหลัง แผนของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
เมื่อซูเฟิงซีถอย จ้าวเหวินเยี่ยนก็หยุดเล่นต่อ แน่นอนว่าการค่อยๆ แบไพ่ทีละใบจะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ชายหนุ่มเพิ่งจะระบายลมหายใจก็ได้ยินผู้ช่วยบอกว่าฟั่นจยาหลัวมา เขาจึงจัดเนกไทของตัวเองอย่างตื่นเต้น
“จยาหลัว อยากดื่มอะไรมั้ย” จ้าวเหวินเยี่ยนหยิบถุงชาหนึ่งถุง กาแฟหนึ่งซอง และน้ำผลไม้หนึ่งขวดมาจากห้องแพนทรี่
“ผมไม่รับเครื่องดื่ม ขอบคุณ” ฟั่นจยาหลัวนั่งตรงมุมที่แสงอาทิตย์จ้าที่สุด ทำให้ผิวขาวใสเหมือนจะเปล่งประกายออกมา เมื่อสีหน้านิ่งๆ ของเขาถูกแสงอาทิตย์อาบย้อมให้มีสีสันมากขึ้น ดวงตาสีดำสนิทก็หลุบลงเล็กน้อย พูดเสียงงึมงำว่า “เซ้นส์ของผมบอกว่ามีงานหนึ่งเหมาะกับผม ผมเลยมาที่นี่”
“งานอะไร” จ้าวเหวินเยี่ยนลากเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แสงตะวันเผาผิวของจ้าวเหวินเยี่ยน แต่เขากลับไม่รู้สึกไม่สบายตัวแม้แต่น้อย
“คุณเรียกเฉาเสี่ยวเฟิงมาดู เขาน่าจะรู้” ฟั่นจยาหลัวกางนิ้วทั้งห้าเหมือนต้องการคว้าแสงอาทิตย์ แต่กลับคว้าไม่สำเร็จ
จ้าวเหวินเยี่ยนโทรเรียกเฉาเสี่ยวเฟิงขึ้นมาข้างบนทันที และให้ผู้ช่วยพิเศษเอาโปรเจ็กต์ที่ดีที่สุดมาด้วย ทั้งหนัง ซีรี่ส์ วาไรตี้โชว์ พิธีกร และโฆษณา
ตอนเฉาเสี่ยวเฟิงเข้ามาเห็นท่านประธานของตัวเองนั่งติดกับฟั่นจยาหลัว ในมือถือสัญญาฉบับหนึ่ง ท่านประธานอธิบายเงื่อนไขในสัญญาอย่างละเอียดและจริงจัง พร้อมวิเคราะห์ข้อดีของโปรเจ็กต์นี้ว่าอยู่ตรงไหน มีผู้กำกับและนักแสดงแบบไหน เงินลงทุนเท่าไหร่ บทไหนที่ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบ ค่าตอบแทนเท่าไหร่ เป็นต้น
จ้าวเหวินเยี่ยนทำงานที่เป็นหน้าที่ของผู้จัดการไปหมดแล้ว แถมยังไม่มีท่าทีรำคาญใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับฟั่นจยาหลัวที่นั่งเท้าคางอยู่ใต้แสงตะวันสว่างไสว ดวงตาหรี่ปรือ เขาเคาะปลายคางอย่างเกียจคร้าน เหมือนกำลังงีบหลับ
นักแสดงกับท่านประธานที่ไหนกัน นี่มันบรรพบุรุษน้อยกับขันทีชัดๆ เฉาเสี่ยวเฟิงแอบคิดอกุศล เผลอเพิ่มความระมัดระวังในท่าทีระวังตัวที่มีอยู่แล้วแต่เดิม เขาเดินซอยเท้าเข้าไปพูดเสียงประจบ “ประธานจ้าว เรียกหาผมหรือครับ”
“ระยะนี้นายมีโปรเจ็กต์ดีๆ อะไรบ้าง เอามาให้จยาหลัวเลือกหน่อยสิ” ถึงจะพูดแบบนี้ แต่จ้าวเหวินเยี่ยนไม่คิดว่าโปรเจ็กต์ที่เฉาเสี่ยวเฟิงหาได้จะดีกว่าของตน
เฉาเสี่ยวเฟิงเกือบกอดขาจ้าวเหวินเยี่ยนร้องไห้ โปรเจ็กต์อันน้อยนิดของเขาจะไปสู้ของท่านประธานบริษัทได้ยังไง เมื่อกี้อย่านึกว่าเขาไม่เห็นนะ สัญญาที่ท่านประธานถืออยู่ในมือคือโปรเจ็กต์ใหญ่แนวจอมยุทธ์ที่ผู้กำกับจางกำลังวางแผนถ่ายทำเพื่อเอารางวัลออสการ์ มีโปรเจ็กต์แบบนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว ฟั่นจยาหลัวจะมองของจิ๊บจ๊อยในมือเขาหรือ
เฉาเสี่ยวเฟิงเตรียมจะพูดจาประจบประแจงสักสองสามประโยค แต่ฟั่นจยาหลัวกลับลืมตาพรึบมองตรงมา แสงอาทิตย์ร้อนแรงลุกโชนอยู่ในดวงตาสีดำของเขา ทำให้สายตาของเขามีอำนาจในการมองทะลุอย่างยากที่จะบรรยาย น้ำเสียงของชายหนุ่มเย็นชื่นใจเหมือนสายฝน เขาพูดเสียงเบาแบบง่ายๆ แต่ได้ใจคน สะกดความคิดของพวกเขา “คุณลองคิดดูดีๆ มันเกี่ยวกับผม เกี่ยวกับร่างทรงวิญญาณ”
ร่างทรงวิญญาณ? เหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่สมองของเฉาเสี่ยวเฟิง “ฉันนึกออกแล้ว มีอยู่งานนึง!” เขาตบมือฉาด “ช่องเลมอนกำลังเตรียมถ่ายรายการเกี่ยวกับการเฟ้นหาเจินเหริน ชื่อ ‘โลกของผู้วิเศษ’ เชิญผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงในด้านต่างๆ มาร่วมการคัดเลือก ผู้วิเศษที่ชนะในรอบสุดท้ายจะได้เงินรางวัลหนึ่งล้าน โปรเจ็กต์ที่นายอยากได้คืออันนี้ใช่มั้ย พวกเขาอยากเชิญนายไปร่วมด้วย แต่ฉันคิดว่าในมือนายน่าจะมีงานดีๆ อยู่แล้ว คงไม่อยากไปวุ่นวายกับพวกมือสมัครเล่นท่าทางแปลกๆ พวกนั้นเลยปฏิเสธไป”
มุมปากของฟั่นจยาหลัวโค้งขึ้นเล็กน้อย ปลายนิ้วเคาะโต๊ะ “ผมอยากไปร่วมรายการนี้ คุณช่วยจัดการให้ผมด้วย”
ไหนเลยที่เฉาเสี่ยวเฟิงจะกล้าขัดคำสั่งของอีกฝ่าย เขาย่อมต้องตอบรับอย่างเดียว
อีกด้านหนึ่ง จ้าวเหวินเยี่ยนเช็กทีมงานของรายการนี้แล้ว เขาเอ่ยห้ามว่า “จยาหลัว ฉันรู้สึกว่างานนี้มันไม่เหมาะกับนาย นายรู้มั้ยว่าอะไรคือจุดประสงค์ที่ผู้กำกับรายการนี้ต้องการถ่ายทำ จริงๆ แล้วเธอเป็นพวกไม่มีศาสนา ที่เชิญผู้วิเศษมาเยอะแยะก็เพราะต้องการจับผิดพวกเขาเพื่อเรียกกระแสกับเรตติ้ง เธอจะต้องสรรหาโจทย์ยากมาให้ผู้เข้าแข่งขันเพื่อให้พวกเขาพลาด อับอาย และถูกจับไต๋ได้ สิ่งที่ผู้ชมชอบดูที่สุดคือเรื่องนี้ คนอื่นเป็นมือสมัครเล่น ต่อให้ภาพลักษณ์เสียก็ไม่เป็นไร ขอแค่ได้เงินก็พอ แต่นายเป็นดารา นายจะต้องเจอแรงกดดันมหาศาลกับคำนินทา ภูมิหลังของเธอแข็งมาก ถ้าเธอมีเจตนาตัดภาพของนายเพื่อทำให้นายกลายเป็นตัวตลก ฉันคงไม่มีปัญญาทำให้เธอเปลี่ยนใจ ฉันจึงไม่แนะนำให้นายรับงานนี้ ถ้านายขาดเงิน เราไปถ่ายหนังถ่ายซีรี่ส์ก็ได้ ทำไมต้องลดตัวด้วย ความสามารถของนายไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนยอมรับหรอก”
ฟั่นจยาหลัวเดินช้าๆ ไปที่ข้างประตู ท่ามกลางแสงตะวันเจิดจ้า ชายหนุ่มหันกลับมา สองตามีแสงสว่างและเปลวไฟ ความแข็งแกร่งนี้แตกต่างจากความเฉื่อยเนือยตามปกติของเขาอย่างสิ้นเชิง “จ้าวเหวินเยี่ยน คุณไม่เข้าใจ ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินหรือชื่อเสียง แต่ที่ยืนอยู่ในแสงสว่างก็เพื่อให้คนที่ควรเห็นได้เห็น”
“นายอยากให้ใครเห็น หรือการถ่ายหนังไม่ช่วยให้มองเห็น?” จ้าวเหวินเยี่ยนไม่เข้าใจว่าฟั่นจยาหลัวกำลังคิดอะไร
ฟั่นจยาหลัวโบกมือโดยไม่ได้หันมามอง “ในเมื่อเป็นโลกของผู้วิเศษ ย่อมต้องให้ผู้วิเศษมองเห็น ช่วยจัดการงานนี้ให้ผมด้วย ขอบคุณ”
ประโยคสุดท้ายเห็นได้ชัดว่าพูดกับเฉาเสี่ยวเฟิง อีกฝ่ายรีบโค้งตัวเก้าสิบองศา รับคำอย่างตื่นๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 12 พ.ย. 64
Comments
comments
No tags for this post.