X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 97 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 97 หน่วยพิเศษกระทรวงความมั่นคง

เพื่อจับสัตว์ประหลาดตัวนี้ ทุกคนต่างทุ่มกันสุดชีวิต แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายอีกฝ่ายจะตกอยู่ในตาข่ายของฟั่นจยาหลัวแบบง่ายๆ ซุนเจิ้งชี่อยู่บนพื้น ยังไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกที่แสนวุ่นวาย แต่ทัศนะที่มีต่อโลกและความมั่นใจทั้งหมดที่เขาเฝ้าเพาะบ่มมายี่สิบกว่าปีได้ถูกทำลายลงด้วยมือของคนคนนี้ในวันนี้ แต่เขาก็ยอม ยอมแล้วจริงๆ เพราะฟั่นจยาหลัวไม่ใช่มนุษย์!

ทีแรกซุนเจิ้งชี่ตั้งใจจะนั่งหอบหายใจอยู่ที่พื้น เพราะการวิ่งจากชั้นเจ็ดลงมาชั้นหนึ่งภายในสามนาทีแล้ววิ่งมาที่ลานจอดรถที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรนี้ทำเอาปอดเขาแทบระเบิด แต่เขายังพักไม่ได้ เนื่องจากสัตว์ประหลาดตัวนั้นกำลังดิ้นพราดๆ ใช้เล็บกรีดตาข่ายเหล็กเสียงดังเคร้งๆ ที่ทำให้คนขนลุกซู่

แบบนี้มันใช่เล็บของมนุษย์ที่ไหน นี่มันมีดเล่มเล็กชัดๆ!

“แย่แล้ว ดูเหมือนตาข่ายจะถูกเขาทำพัง คุณฟั่น รีบออกจากที่นั่น อันตราย!” เสียงเคร้งๆ ที่ได้ยินทำให้ความรู้สึกของซุนเจิ้งชี่ด้านชา สัตว์ประหลาดตัวนี้ทำลายความรู้เรื่องขีดจำกัดของมนุษย์ของเขา ถ้าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์จริงๆ น่ะนะ

ไม่คอยให้เขาวิ่งไปใกล้ ฟั่นจยาหลัวก็เดินไปหาสัตว์ประหลาดแบบไม่เร็วไม่ช้า ยื่นมือออกไปทาบหน้าผากของอีกฝ่าย ท่าทางแบบนี้เหมือนเป็นการปลอบให้สงบลงได้อย่างชะงัด ไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดที่กำลังดิ้นพราดตัวนั้นนิ่งลงไปได้อย่างไร ท้ายที่สุดก็ค่อยๆ นอนนิ่ง

คอยจนซุนเจิ้งชี่ไปถึง ฟั่นจยาหลัวก็ดึงมือกลับเรียบร้อย ยืนหลุบตาอยู่

ไม่รู้ว่าซุนเจิ้งชี่ตาฝาดไปหรือเปล่า เหมือนเขาจะเห็นว่าตอนที่มือของฟั่นจยาหลัวออกห่างจากหน้าผากสัตว์ประหลาดมีแสงสีเทาอ่อนๆ ทว่าแสงสะท้อนจากตาข่ายเหล็กก็เป็นสีแบบเดียวกัน ทำให้ความสงสัยของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มไม่ได้คิดมาก ค้นได้เชือกขดหนึ่งมาจากรถตำรวจก็เตรียมมัดเจ้าสัตว์ประหลาดอย่างจริงจัง มือประหลาดทรงพลังจำนวนหลายคู่พวกนี้จำเป็นต้องได้รับการป้องกันหลายต่อหลายชั้น ถ้าไม่มีตาข่ายห่อตัว ยิ่งต้องไม่ให้มันไปโดนคนอื่น เขายังอยากใส่กุญแจมือเจ้าสัตว์ประหลาดอีกสักหลายสิบคู่ด้วย

น้ำเสียงอ่อนโยนของฟั่นจยาหลัวทำให้ลมหายใจหอบๆ ด้วยความร้อนใจของเขาสงบลงได้ไม่น้อย “ไม่ต้องมัดหรอก ตอนนี้เขาอ่อนแรงมากแล้ว”

“แรงเขาไม่อ่อนเลยสักนิด เมื่อกี้เขาบิดเหล็กดัดจนผิดรูปด้วยมือเปล่า และไต่ดิ่งลงมาจากชั้นเจ็ดถึงชั้นหนึ่ง โดนกระสุนไปอีกสามนัดแต่ก็ยังคะนองเป็นมังกรพยัคฆ์…” ซุนเจิ้งชี่เล่าพลางแงะตัวที่ขดเป็นก้อนกลมของสัตว์ประหลาด ที่เขาตกใจจนต้องอุทานเบาๆ ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่น แต่เป็นเพราะตอนนี้เจ้าสัตว์ประหลาดตัวอ่อนปวกเปียกเป็นก้อนแป้งหนึ่งก้อน จะทำอะไรก็ได้ ชิ้นส่วนร่างกายถูกดึงทึ้งออกไปอย่างง่ายดาย

ใช่แล้ว ซุนเจิ้งชี่หักแขนเรียวหนึ่งข้างของเขาออกมา นาทีนี้ชายหนุ่มตกใจจนพูดไม่ออก

ฟั่นจยาหลัวเบือนหน้าไปทางอื่น ริมฝีปากสีแดงแอบยกโค้งอยู่เงียบๆ ในความมืด

บรรดาตำรวจที่แรงน้อยกว่าหน่อยเพิ่งมาถึง พวกเขากรูกันเข้ามากดตัวสัตว์ประหลาด ร้องเสียงโหยหวน “แว้ก! เหมือนผมจะหักแขนเขาแล้ว!”

“ผมก็หักแขนได้หนึ่งข้าง!”

“นี่แม่งตัวอะไรวะ แงะเม็ดข้าวโพดหรือไง ทำไมแค่จับก็หักเลย”

หลิวเทาที่อายุเยอะแล้วมาถึงเป็นคนสุดท้าย แต่กลับหนักแน่น พึ่งพาได้ เขาเตะก้นซุนเจิ้งชี่หนึ่งครั้ง ตวาด “พูดจาส่งเดชอะไร ไม่เห็นหรือว่าตึกข้างๆ ยังเปิดไฟสว่างอยู่ รีบยกเจ้าตัวนี้ขึ้นรถไปเลยนะ อย่าให้คนอื่นเห็น! เร็วๆๆ!”

ซุนเจิ้งชี่ไม่ถือสาเรื่องที่โดนคนอื่นเตะก้นเลยสักนิด เพราะเรื่องนี้ทำให้ความเย่อหยิ่งจองหองของเขาไม่เหลือเลยแม้แต่น้อย ตรงข้ามเขากลับเต็มไปด้วยความเลื่อมใสในตัวเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ และความยำเกรงต่อสิ่งที่เป็นปริศนา เขากับต้วนเสี่ยวโจวอาวุโสน้อยที่สุด ย่อมต้องรับงานหนักด้วยการหิ้วปลายตาข่ายเหล็ก ยกขึ้นไปบนรถตู้เสียงดังเคร้งคร้าง ก่อนปิดประตูดังปัง

ไม่นาน เลี่ยวฟางกับหูเหวินเหวินก็ประคองกันวิ่งมา จากนั้นก็นั่งก้นจ้ำเบ้าลงไปบนพื้น หอบหายใจแรงๆ

“ให้เราช้า ก็ช้าให้ก่อนสิ!” ความเหนื่อย ความตกใจ ความกลัว ทำให้หัวใจของพวกเธอปวดหนึบเหมือนถูกกระตุกครั้งแล้วครั้งเล่า

“มีคนได้รับบาดเจ็บมั้ย” หลิวเทาถามเสียงดัง

“แขนผมโดนเล็บเขากรีดไป แต่เจ็บไม่มากครับ”

“เหมือนขาผมจะถูกมีดกรีด แต่ผมคงต้องดูก่อนว่าแผลอยู่ตรงไหน” เหมือนคนคนนี้จะลืมไปแล้วว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ

“แขนผมก็โดนเล็บเขากรีดเหมือนกัน”

“เหมือนฉันจะเห็นซุนเจิ้งชี่กับหยางเกอถูกแทง ไม่เป็นไรใช่มั้ย” ใครบางคนถามมาด้วยความเป็นห่วง

ซุนเจิ้งชี่กับหยางเกอรีบถอดเสื้อเกราะออก สำรวจตำแหน่งที่ถูกแทง แขนนั่นดูเปราะแต่เรี่ยวแรงกลับเยอะผิดธรรมดา ตำแหน่งที่ถูกมันเอามีดแทงกลายเป็นรอยช้ำปื้นใหญ่ แค่แตะเบาๆ ก็เจ็บจนต้องสูดหายใจ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าวันนี้ทุกคนไม่ได้สวมเสื้อเกราะจะได้รับบาดเจ็บกันแค่ไหน ซุนเจิ้งชี่กับหยางเกอต้องตายแน่ และคนอื่นๆ ไม่มีทางหยุดอยู่ที่มือเท้าถูกกรีดเป็นแผล

เมื่อเห็นว่าทุกคนปลอดภัย หลิวเทาถึงค่อยๆ รู้สึกเสียวไส้ขึ้นมา

ซุนเจิ้งชี่แอบมองฟั่นจยาหลัวที่ยืนอยู่นอกกลุ่ม ในใจรู้สึกเลื่อมใสอย่างมาก เขาจำได้ว่าก่อนออกเดินทาง เลี่ยวฟางย้ำแล้วย้ำอีกว่า ‘คุณฟั่นให้พวกเราสวมเสื้อเกราะ ทุกคนต้องสวมเสื้อเกราะ’ เพราะแบบนั้นเขาถึงยอมทนกับความร้อนอบอ้าวในหน้าร้อนแบบนี้เพื่อสวมเสื้อเกราะตัวหนาที่ไม่ระบายอากาศ ถ้าเลี่ยวฟางไม่พูด รับรองว่าเขาต้องไม่ยอมเตรียมการป้องกันใดๆ เพราะเขามีความมั่นใจในฝีไม้ลายมือของตัวเองมาก

นี่แหละคือร่างทรงวิญญาณ เขาหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ก่อนคนอื่นหนึ่งก้าวเหมือนกับเทพ

ระหว่างที่ซุนเจิ้งชี่กำลังครุ่นคิด ทางเลี่ยวฟางก็พูดเสียงปนสะอื้นว่า “คุณฟั่นคะ วันนี้ต้องขอบคุณคุณมาก ไม่งั้นการปฏิบัติการของพวกเราวันนี้คงต้องมีการเจ็บหนักหรือล้มตายแน่นอน”

หลิวเทาพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “เมื่อกี้ผมยังกลัวว่าคุณจะเป็นอุปสรรคกับงานของเรา คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายคุณจะจับสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้”

ฟั่นจยาหลัวโบกมือ แสดงสีหน้าไม่ใส่ใจ

ต้วนเสี่ยวโจวเปิดหน้าต่างรถออกมาพูดเบาๆ “หัวหน้าหลิวครับ มือเขาหักหมดแล้ว เลือดไหลเยอะเลย จะจัดการยังไงดีครับ ผมเอาเสื้อพันแผลให้เขาแล้ว แต่เหมือนจะช่วยไม่ค่อยได้!”

“ส่งไปโรงพยาบาล! ฉันจะโทรหาผู้อำนวยการดูว่าท่านจะจัดการยังไง” หลิวเทาโบกมือ “ทุกคนขึ้นรถ พวกเราไป!”

ทุกคนเฮโลกันขึ้นรถ ทว่าฟั่นจยาหลัวกลับถอยหลังไปสองก้าว เขายิ้มพลางผงกศีรษะ “ผมไม่ไปกับพวกคุณนะ ที่บ้านยังมีเด็กเล็กต้องดูแล”

เมื่อนึกถึงสวี่อี้หยางที่อยู่บ้านคนเดียว เลี่ยวฟางก็รีบบอกว่า “คุณฟั่นกลับไปก่อนได้เลยค่ะ วันนี้ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ! ไว้ว่างเมื่อไหร่ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณนะคะ!”

“จะเลี้ยงก็ต้องเลี้ยงทุกคนเลยสิ คุณฟั่นครับ ถึงตอนนั้นคุณอย่ารังเกียจที่พวกเราไปวุ่นวายด้วยนะ!” หลิวเทาสตาร์ตรถพลางยื่นหน้าไปเอ่ยปากเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น เขาเลื่อมใสคนคนนี้มากจริงๆ และอยากคบหาอีกฝ่ายเป็นเพื่อน คุณลองคิดดูสิว่าคนอย่างฟั่นจยาหลัวจะเป็นเพื่อนระดับสุดยอดแค่ไหน นายกเทศมนตรี ผู้ว่ามณฑลสู้ได้หรือเปล่า สู้ไม่ได้ เทียบไม่ได้ด้วย! เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดา!

ฟั่นจยาหลัวตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน บนตัวไม่มีความเย่อหยิ่งจองหองแบบดาราใหญ่หรือผู้สูงส่งที่อยู่เหนือโลกเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นขบวนรถแล่นห่างไปไกลแล้ว เขาถึงแบมือ หลุบตามองรัศมีสีเทาหนึ่งดวงที่กำลังส่องแสงมลังเมลืองอยู่บนผิวขาวผ่องของเขา เมื่อดูดีๆ จะเห็นว่ามันเป็นป้ายหยกรูปปลาหนึ่งชิ้น เหมือนชิ้นที่อยู่ในตัวของฉงหมิง แต่มีขนาดเล็กกว่าหน่อย มันมีขนาดประมาณเมล็ดงาเท่านั้น แต่ฝีมือการแกะสลักละเอียด ประณีต สวยยิ่งกว่าสวย ต่อให้เป็นช่างแกะสลักฝีมือดีที่สุดก็อาจไม่มีฝีมือขนาดนี้

เรื่องที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าคือถึงป้ายหยกจะมีขนาดเท่าเมล็ดงา แต่ตรงปากปลากลับมีรูเล็กๆ หนึ่งรู เหมือนมีไว้สำหรับร้อยเชือก แต่ต้องถามว่าป้ายหยกจิ๋วแบบนี้ นอกจากถือไว้ดูแล้วยังจะทำอะไรได้อีก รูสำหรับร้อยเชือกหนึ่งรูมีความจำเป็นด้วยหรือ แล้วเชือกแบบไหนถึงจะสอดเข้าไปได้

ข้อสงสัยที่เกิดได้กับคนทั่วไปไม่เคยปรากฏกับฟั่นจยาหลัว เขามองมันแวบหนึ่งแล้วรวบมือ เดินไปที่ยานพาหนะของตน หลังขึ้นรถ เขาแตะแสงเรืองๆ เหมือนดาวนั่นด้วยปลายนิ้ว กดมันเข้าที่หว่างคิ้ว ให้มันเลือนหายไป…

 

ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาลเขตทหารประจำเมือง คนหน้าตาเคร่งขรึมหนึ่งกลุ่มกำลังมุงดูอยู่รอบเตียงหนึ่งเตียงเพื่อพิจารณาอะไรบางอย่างอย่างละเอียด บนอินทรธนูของพวกเขาแสดงถึงตำแหน่งที่มีความโดดเด่น ในขณะที่ผู้อำนวยการสำนักย่อยเขตใต้ทำได้เพียงยืนกระสับกระส่ายอยู่นอกห้องระหว่างที่คอยถูกเรียก

สักพัก ชายหน้าตาดีมีออร่าไม่ธรรมดาคนหนึ่งก็เดินนำออกมา เขาอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม แต่กลับมีตำแหน่งสูงที่สุดในกลุ่ม คนอายุสี่สิบห้าสิบปีทั้งกลุ่มเจอเขายังต้องก้มศีรษะ เรียกเขาว่าหัวหน้า เขาสวมหมวกทหาร ออกคำสั่งสั้นกระชับแต่ชัดเจนว่า “รวบรวมบันทึกการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมด ลบคลิปทุกคลิป ส่งสำนวนคดีนี้ให้หน่วยพิเศษกระทรวงความมั่นคงเราอย่างเป็นทางการ”

“ครับ ผมจะให้พวกเขานำของไปส่งเดี๋ยวนี้” ผู้อำนวยการปรายตามองไปทางห้องผู้ป่วยเป็นระยะ แต่ไม่กล้าถามมาก

ผู้ต้องสงสัยที่ถูกพันแผลห้ามเลือดทั้งตัวกำลังนอนอยู่บนเตียง ตามองเพดานอย่างทึ่มทื่อ ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไร แขนหลายสิบข้างที่เป็นเหมือนต้นอ่อนต้นไม้นั้นหักหลุดออกจากตัวเขาไปนานแล้ว ทิ้งไว้เพียงแผลโชกเลือดมากมาย สถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถให้คำอธิบายได้

ผู้อำนวยการสำนักย่อยเขตใต้เดินจากไปด้วยความรู้สึกอาลัย เขาเข้าใจว่าตัวเองจะได้รู้ความจริง แต่ตอนนี้เห็นได้แล้วว่าไม่มีหวัง เวลานี้เขาเข้าใจความรู้สึกอัดอั้นเหมือนถูกกักอยู่ในกะลาของซุนเจิ้งชี่แล้วว่ามันทำให้อยากอาละวาดต่อยตีคนมากแค่ไหน

เขาเพิ่งจะเดินจากไป ซ่งรุ่ยก็มาถึง ต่อให้เป็นเวลาดึกสงัด แต่ชายหนุ่มก็ยังสวมชุดสูทสุดหรูและทำผมเนี้ยบไม่กระดิกสักเส้น บนตัวยังมีกลิ่นน้ำหอมโรสแมรี่ให้ความรู้สึกหรูหราจางๆ

“เรียกหาฉัน มีเรื่องอะไร” เขาเดินมาที่หน้าห้องผู้ป่วยพิเศษ มองผ่านหน้าต่างเข้าไป

ชายคนที่สวมเครื่องแบบทหารโบกมือ คนหน้าตาเคร่งขรึมพวกนั้นก็จากไปกันเงียบๆ เหลือแต่ชายที่หน้าตาเหมือนบอดี้การ์ดรูปร่างสูงใหญ่ คอยเฝ้าอยู่ด้านข้างเพียงคนเดียว

“ทำไมวันนี้ไม่มีกลิ่นเลือด นายไม่ได้ลงโทษตัวเองเหรอ” ชายคนนั้นสูดกลิ่นบางเบาในอากาศ พูดเย้า “ดูท่าวันนี้นายจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษถึงพรมน้ำหอม แต่งตัวจัดเต็มแบบนี้จะทำอะไร มีเดตหรือไง คงไม่ใช่แค่มาเจอฉันหรอกมั้ง เวินหน่วนบอกว่าช่วงนี้นายย้ายสายไปทางนายแบบ ตอนแรกฉันไม่เชื่อ แต่พอได้มาเห็นเองตอนนี้ นายไปโดนอะไรมา”

“เมิ่งจ้ง นายคิดเยอะเกินไป แค่ช่วงนี้ฉันแต่งตัวแบบนี้เอง” ซ่งรุ่ยปรายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง พูดด้วยอย่างตรงไปตรงมา “นายอยากให้ฉันทำอะไร”

สีหน้าของเมิ่งจ้งเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาชี้ไปที่คนที่อยู่ด้านในของหน้าต่าง “เขาชื่อหลี่โหย่วเต๋อ เป็นผู้ช่วยเชฟในร้านอาหารสี่มงคล นายน่าจะรู้จักเขา เพราะเมื่อวานนายบอกเองว่าเขาคือผู้ต้องสงสัย วันนี้เขาถูกจับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอบอกว่าอวัยวะภายในของเขาล้มเหลวหมด ตายได้ตลอดเวลา เวลานี้สติเขายังแจ่มใสดีมาก แต่ไม่ว่าเราจะถามอะไรเขา เขาก็ไม่ยอมตอบ ฉันเลยอยากให้นายมาสอบปากคำเขาหน่อย เราจะได้รู้สาเหตุที่เขากลายเป็นแบบนี้”

“งั้นอย่างน้อยนายต้องให้ฉันรู้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา” ซ่งรุ่ยพูดเสียงเรียบ

“นายตามฉันมา” ชายที่สวมชุดทหารคือหัวหน้าหน่วยพิเศษกระทรวงความมั่นคง เขาชี้ไปที่ห้องผู้ป่วยซึ่งอยู่ติดกัน ด้านในติดตั้งอุปกรณ์กล้องวงจรปิดไว้แบบครบชุด นักวิเคราะห์หลายคนกำลังนั่งมองมอนิเตอร์กันด้วยสีหน้าจริงจัง

ซ่งรุ่ยเดินเข้ามาใกล้ถึงเพิ่งรู้ว่านี่คือคลิปตอนที่สำนักย่อยเขตใต้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัย หน้าจอเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแรงมาก แต่กลับถ่ายภาพได้ชัดดี ทำให้ภาพอันน่าทึ่งและเหนือจินตนาการหลุดออกมาสู่โลกภายนอก สร้างความตื่นตะลึงให้แก่สายตาของทุกคน

ตอนจบของคลิป ใบหน้างดงามอย่างที่สุดของใครคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา ความมืดช่วยอำพรางแสงมลังเมลือง มือของเขาทาบลงบนหน้าผากของผู้ต้องสงสัยเบาๆ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามที่กำลังคลุ้มคลั่งหมดสติไปในชั่วพริบตา ท่าทางนุ่มนวลแตกต่างจากบรรดาตำรวจที่สะบักสะบอมอย่างสิ้นเชิง และในเวลาเดียวกันนี้ นักวิเคราะห์คนหนึ่งก็ชี้ไปที่ฝ่ามือของเขา “ตรงนี้ เขาเอาอะไรบางอย่างออกมาจากหน้าผากของหลี่โหย่วเต๋อ!”

คลิปถูกกดหยุด แสงสีเทาหนึ่งดวงเปล่งประกายอยู่กลางฝ่ามือชายหนุ่มหน้าหล่อออกสวย

เมิ่งจ้งจ้องจอ เอ่ยถาม “ซูมได้มั้ย”

“ซูมแล้วจะเห็นไม่ชัด มันเป็นรัศมีหนึ่งดวง” นักวิเคราะห์ทำตามคำสั่ง แต่กลับต้องโบกมืออย่างไม่สามารถทำอะไรได้

ซ่งรุ่ยจดจ้องใบหน้าที่คุ้นจนไม่สามารถคุ้นได้มากกว่านี้อีกบนหน้าจอ ถามเสียงหนัก “พวกนายคิดจะทำอะไร จับตาดูฟั่นจยาหลัวหรือ ถ้างั้นคงต้องเสียใจด้วยอย่างมากที่ฉันคงช่วยพวกนายไม่ได้”

เมิ่งจ้งย่นหัวคิ้ว “นายไม่อยากรู้หรือว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันแปรสภาพได้ยังไง ฉันจำได้ว่านายอยากรู้อยากเห็นเรื่องที่เป็นปริศนาแบบนี้มากนี่นา”

“ตอนนี้ฉันไม่อยากรู้” ซ่งรุ่ยหัวเราะเสียงเย็น “ตรงกันข้าม ฉันหวังว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะตายทันที และเอาความลับทั้งหมดนี้ลงนรกไปด้วย บางคนไม่ใช่คนที่นายจะไปยุ่งด้วยได้”

เมิ่งจ้งยกมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงจนปัญญา “เวินหน่วนบอกว่าช่วงนี้นายแคร์ฟั่นจยาหลัวมาก ฉันยังนึกว่าเธอล้อเล่น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง นายวางใจเถอะ ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อฟั่นจยาหลัว ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากร่วมงานกับเขา หน่วยพิเศษกระทรวงความมั่นคงอยากได้ตัวเขาเป็นพิเศษ เราย่อมต้องรับประกันความปลอดภัยของเขา พอเกิดเรื่องทำนองนี้ เราเลยมาสอบปากคำคนใกล้ตายมากกว่าจะไปจับตัวเขามาสอบ นี่ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรของพวกเราแล้ว อย่างอื่นฉันจะไม่พูดถึงเพราะมันเป็นความลับ และความลับของฟั่นจยาหลัวจะเป็นความลับไปตลอดกาล เราจะไม่ขุดคุ้ย ตอนนี้เราแค่อยากรู้สาเหตุที่หลี่โหย่วเต๋อแปรสภาพได้เท่านั้น”

ซ่งรุ่ยจ้องชายหนุ่มบนหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่พูดสักคำ

เมิ่งจ้งเอ่ยต่อว่า “ถ้าเราอยากเป็นศัตรูกับฟั่นจยาหลัวจริง ไหนเลยจะรอคอย ไม่เคลื่อนไหวจนกระทั่งตอนนี้ เขาทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ พลังต้องห้ามแบบนี้เราคงไปยุ่งด้วยไม่ได้หรอก ใช่มั้ย”

ทันใดนั้น ซ่งรุ่ยหันไปมองจ้องอีกฝ่ายตรงๆ สายตาคมของทั้งคู่ปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างมีจิตสังหาร

สักพัก คนทั้งสองก็ก้าวถอยไปข้างหลัง

“ได้ ฉันจะช่วยนายหาความจริง”

“ดี ฉันจะไม่แอบแตะฟั่นจยาหลัวเด็ดขาด”

ซ่งรุ่ยดูวิดีโอบันทึกการปฏิบัติการตามกฎหมายซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ พลิกคำให้การและบันทึกต่างๆ กว่าจะผลักประตูห้องผู้ป่วยเข้าไป เมิ่งจ้งเดินตามหลังเขามาเงียบๆ เตรียมตัวเป็นผู้ชมที่ไม่มีปากเสียง

หลี่โหย่วเต๋อยังตื่นอยู่ แต่ระบบต่างๆ ในร่างกายของเขากลับทะลุเส้นตายอย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์การรักษาส่งเสียงเตือนติ๊ดๆ รายงานการตรวจร่างกายที่แพทย์เขียนระบุว่าเขาน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ชั่วโมง เขาไม่ได้ป่วยและแผลพวกนั้นสมานตัวนานแล้ว แต่อวัยวะภายในของเขาเกิดล้มเหลวอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหมือนถูกคนคอยดึงเอาพลังชีวิตไปแบบไม่มียั้ง

เขาเริ่มจ้องมองเพดาน ไม่สนใจทุกอย่างรอบตัว

“ของที่ฟั่นจยาหลัวเอาไปคืออะไร นายถามเขาหน่อยสิ” เมิ่งจ้งกระซิบที่ข้างหู แน่นอนว่าเขาพยายามเลียบเคียงถามคำถามทำนองนี้มาหลายร้อยรอบแล้ว แต่คนคนนี้ไม่เคยตอบ เอาแต่แกล้งบ้า คนที่มีความลับมักไม่มีทางยอมแพร่งพรายมันให้คนนอกรู้แม้แต่ครึ่งคำ

ไม่เสียทีที่ซ่งรุ่ยเรียนจิตวิทยา เพราะทันทีที่เขาอ้าปากก็สามารถดึงดูดความสนใจของหลี่โหย่วเต๋อได้ทันที “คุณมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงสี่ชั่วโมง”

หลี่โหย่วเต๋อ “!!!”

ซ่งรุ่ยดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูดใหม่ “ไม่สิ เมื่อกี้เราคุยกันที่ห้องข้างๆ ไปแล้วพักหนึ่ง เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณเหลือเวลาแค่สามชั่วโมงครึ่ง ถ้าคุณตอบคำถามผมตามความจริง เราจะให้คุณได้เจอกับคนคนนั้นก่อนตาย”

หลี่โหย่วเต๋อจ้องเขาแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่มีปฏิกิริยา เหมือนไม่รู้ว่าคนคนนั้นที่พูดถึงคือใคร

ซ่งรุ่ยหยิบมือถือของตัวเองออกมากด หน้าจอที่ถูกแตะฉายภาพใบหน้าหลุบตายิ้มบางๆ ของใครคนหนึ่ง ชายหนุ่มหน้าตางดงาม อ่อนโยน แต่กลับนิ่งสงบ เย็นใส คนที่ชิงเอาของวิเศษไปคนนั้น! จนตาย หลี่โหย่วเต๋อก็จำใบหน้านี้ได้ ลมหายใจเขาค่อยๆ หอบหนักขึ้น และในเวลาเดียวกันนี้ เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจเขาก็กรีดเสียงร้องแหลม เห็นได้ว่าอัตราการเต้นของหัวใจเขากำลังสับสนมาก

แค่สองประโยค ซ่งรุ่ยก็แทงทะลุจุดตายของเขาได้

“พวกคุณอยากถามเรื่องอะไร”

เข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังเดินไปดังติ๊กๆๆ ไม่นาน หลี่โหย่วเต๋อก็ยอมประนีประนอม การมีแขนมากมายงอกออกมาในครั้งเดียว ดึงเอาโทสะในตัวเขาออกไปนานแล้ว ถ้าไม่มีของวิเศษ เขาก็ต้องตายแน่นอน!

เขารู้เรื่องนี้ดี และซ่งรุ่ยเหมือนจะเดาได้ ดังนั้นจึงโค้งริมฝีปากเป็นรอยยิ้มบางๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 6 .. 64 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: