X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 100 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 100 Episode 4

หลังออกจากโรงพยาบาลซ่งรุ่ยก็ตรงกลับบ้าน เขาถอดชุดสูทออกแล้วลูบรอยยับให้เรียบทีละชิ้นๆ ก่อนเอาไปแขวนในห้องแต่งตัว จากนั้นก็พาร่างที่ท่อนบนเปลือยเปล่าเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ เขาอาจดูผอมมาก แต่ความจริงพอถอดเสื้อผ้าออก สิ่งที่เผยออกมาคือเรือนร่างแข็งแกร่งอย่างที่สุด กล้ามเนื้อแข็งแรงทรงพลัง แม้จะไม่ได้ดูหนั่นแน่นอย่างจวงเจิน แต่ก็ได้สัดส่วนสวยงาม

เวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน เขาจะอ่อนโยน สุภาพ มีมารยาท แต่ในเวลานี้ นาทีนี้ ตัวเขาที่สะท้อนอยู่บนกระจกกลับดูเหี้ยมเกรียม เย่อหยิ่ง เป็นขบถ ชายหนุ่มหมุนตัวอวดแผ่นหลังกว้าง บนนั้นเต็มไปด้วยรอยแส้มากมายพาดสลับกันไปมา บางรอยตกสะเก็ดแล้ว บางรอยยังบวมแดง เป็นภาพที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

ทว่าซ่งรุ่ยกลับดูเหมือนไม่รู้สึกเจ็บ เขาเดินเข้าไปใต้ฝักบัวเพื่อรับการปะทะจากสายน้ำเย็นจัด อันที่จริงแบบนี้ถือว่าดีมากแล้ว เพราะก่อนหน้าที่จะได้รู้จักกับฟั่นจยาหลัว เขาแทบไม่เคยหยุดโบยตัวเองเลย ดังนั้นขณะที่แผลเก่ายังไม่ทันหายก็มีแผลใหม่เข้ามาเติมเป็นชั้นๆ พาดทับสลับกัน สร้างความเจ็บปวดให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความเจ็บนี้คอยกระตุ้นเตือนเขาอยู่ตลอดเวลาว่าอย่าล้ำเส้นข้อห้ามทางกฎหมาย

สิ่งเดียวที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้ป่วยโรคต่อต้านสังคม คือไอคิวของเขาสูงกว่าคนพวกนั้นมาก เขารู้ว่าจะตอบสนองความต้องการมืดดำของตัวเองแบบไหน และจัดการกับอารมณ์ปรารถนาของตัวเองอย่างไร จึงพยายามกลมกลืนไปกับชีวิตของคนทั่วไปอย่างสมบูรณ์ หลังอาบน้ำเสร็จ เขาหยิบยาหลอดหนึ่งออกมารักษาตัวเองแบบง่ายๆ แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน

วันนี้เป็นวันที่สามสิบที่เขาหยุดโบยตัวเอง แผลกำลังสมานตัว และดูเหมือนช่องว่างในใจของเขาจะมีบางสิ่งเข้ามาเติมเต็มอย่างช้าๆ ทีละเล็กทีละน้อย ตอนนี้เองมือถือที่วางอยู่บนชั้นวางของก็เริ่มส่งเสียงดัง ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ่งรุ่ยย่นหัวคิ้ว สีหน้ารำคาญใจอย่างที่สุด แต่พอกดรับสาย น้ำเสียงที่พูดออกมากลับอ่อนโยน มีมารยาทมาก “เสี่ยวเลี่ยว ดึกดื่นป่านนี้แล้วคุณยังไม่นอนอีกเหรอ”

น้ำเสียงกระตือรือร้นของเลี่ยวฟางดังมาจากลำโพง “ด็อกเตอร์ซ่งคะ เมื่อกี้ฉันสไลด์ดูเวยป๋อแล้วเห็นข่าวเม้าท์ข่าวหนึ่ง เลยอยากถามคุณว่ามันจริงหรือเปล่าน่ะค่ะ”

“เม้าท์เรื่องอะไรครับ” ซ่งรุ่ยที่มีผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวก้าวยาวๆ ออกจากห้องอาบน้ำ เดินมาที่ระเบียง มองเขตเหนือที่ถูกม่านราตรีปกคลุมพลางคิดว่าตอนนี้คนคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่

“ด็อกเตอร์ซ่งคะ ฉันดูรายการโลกของผู้วิเศษที่ออกอากาศวันนี้ คุณฟั่นอ่านใจยายากับพี่สาวจอมแหกใช่มั้ยคะ ซึ้งมากเลย! ฉันเกือบจะร้องไห้เป็นหมา…”

ซ่งรุ่ยทำหน้าเหี้ยม แต่น้ำเสียงกลับมีกระแสขบขัน ถ้าไม่เห็นตัวจริง คุณไม่มีทางวาดภาพได้เลยว่าเขากำลังรำคาญใจมากแค่ไหน “เสี่ยวเลี่ยว คุณจะเข้าประเด็นได้หรือยัง”

“อ๋อๆๆ ฉันจะบอกเดี๋ยวนี้แหละค่ะ! เมื่อกี้ฉันสไลด์ดูเวยป๋อ มีคนบอกว่าจริงๆ แล้ววันนั้นคนที่ถูกอ่านใจมีทั้งหมดสามคน หนึ่งในนั้นคืออวี๋อวิ๋นเทียน แฟนเก่าของซ่งเวินหน่วน คุณฟั่นมองออกเดี๋ยวนั้นว่าเขาเป็นโรคใคร่เด็กแล้วแฉโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา ซ่งเวินหน่วนถึงได้เลิกกับเขาอย่างไวและส่งตัวเขาให้ไปถูกจับที่อเมริกา ด็อกเตอร์ซ่งคะ คุณเป็นกรรมการในรายการ ตอนนั้นคุณน่าจะอยู่ด้วยใช่หรือเปล่า เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่าคะ ตอนนี้ในเน็ตเขาลือกันให้แซ่ด หลายคนบอกว่านี่เป็นข้อมูลเท็จที่ทีมคุณฟั่นสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์เก่งกาจราวเทพให้เขา แต่ฉันรู้สึกว่าเรื่องจริงจะต้องไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน ทำไมพวกเขาถึงชอบมองคุณฟั่นด้วยอคติกันอยู่เรื่อย ไม่ยุติธรรมเลย พวกเขาไม่รู้หรอกว่าคุณฟั่นแสนดีแค่ไหน!”

เลี่ยวฟางพูดจนลากประเด็นไปไกลสุดขอบฟ้าแล้วถึงค่อยลดเสียงลง พูดต่อด้วยน้ำเสียงลับๆ ล่อๆ “ด็อกเตอร์ซ่งคะ ฉันเล่าให้คุณฟังคนเดียว คุณอย่าไปบอกใครต่อนะ! คุณรู้มั้ยคะว่าเมื่อคืนตอนพวกเราไปจับหัวขโมย คนคนนั้นมีมืองอกออกมาหลายสิบคู่ จนกลายเป็นมนุษย์ตะขาบ! ภาพนั้นน่ากลัวมาก ฉันไม่รู้ว่าจะบรรยายให้คุณฟังยังไง แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่พอจับเขาได้แล้ว คดีนี้ถูกเบื้องบนรับไปจัดการและสั่งปิดข่าว ไม่ให้พวกเราถามมาก ตอนนั้นพวกเราโมโหจนระเบิด ความรู้สึกที่อยู่ห่างจากความจริงแค่ก้าวเดียวแต่ไม่มีวันไปถึงมันแย่มากแค่ไหน คุณพอจะเข้าใจหรือเปล่าคะ”

ซ่งรุ่ยรินไวน์แดงให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ดื่มช้าๆ อย่างสำรวม เขารับคำแบบขอไปทีว่า “เข้าใจครับ”

เลี่ยวฟางพูดแบบใส่อารมณ์มากกว่าเดิม “หัวใจของพวกเราถูกบิดเหมือนขนมหมาฮวา ซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินโมโหจนร้องไห้ อ้อ ซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินคือผู้ชายกับผู้หญิงคนที่ท่าทางไม่เป็นมิตรกับคุณฟั่นมากๆ ตอนประชุมกันวันนั้นน่ะค่ะ เราทำงานกันมาตั้งเดือนกว่า แต่พอถึงที่สุดกลับได้มาแค่ก้อนปริศนาที่ไม่มีวันได้คำตอบ เป็นเงาดำที่ไม่มีวันจางไปตลอดชีวิต คุณพอจะนึกภาพอารมณ์อัดอั้นตันใจ โกรธเคือง ไม่อยากยอมของพวกเราได้หรือเปล่าคะ”

ซ่งรุ่ยตอบรับเสียงเนิบ “ครับ”

เลี่ยวฟางพูดต่อ “คุณฟั่นก็เหมือนกันค่ะ ดังนั้นตอนที่ฉันโทรไปหาเขา เขาเลยบอกความจริงเรา…”

ซ่งรุ่ยที่เอนตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านลุกขึ้นมานั่งตัวตรงทันที เขาวางแก้วไวน์อย่างเบามือ พูดเสียงหนัก “ฟั่นจยาหลัวบอกว่ายังไงบ้าง” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเข้มงวด จริงจัง ตั้งอกตั้งใจขึ้นแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว

เลี่ยวฟางได้ยินเสียงที่เปลี่ยนไปของเขา เธอจึงรีบบอก “ด็อกเตอร์ซ่งคะ คุณก็อยากรู้ความจริงเหมือนกันใช่มั้ย คุณฟั่นบอกแบบนี้ค่ะ ว่า…” เวลาเล่าถึงฟั่นจยาหลัว เลี่ยวฟางไม่เคยกล้าเติมน้ำมันใส่น้ำส้ม และยิ่งไม่กล้าใส่ความเข้าใจของตัวเองลงไป

“…ดังนั้นผู้ต้องหารายนั้นเลยไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไร แต่เป็นมนุษย์ที่บังเอิญได้พลังมหัศจรรย์มาหนึ่งคน คุณฟั่นเอาของที่ทำให้เขาแปรสภาพได้ออกไปแล้ว สภาพเขาตอนนี้น่าจะแย่มาก คุณฟั่นบอกว่าเขาอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปสอบปากคำเขา เมื่อเขาถือกำเนิดจากความโลภ สุดท้ายก็ต้องตายเพราะความโลภ นี่คือความจริงทั้งหมดของเรื่องนี้ มันค่อนข้างแฟนตาซีไปหน่อย แต่ไม่ได้ทำให้คนแปลกใจมาก เป็นยังไงคะด็อกเตอร์ซ่ง ฟังจบแล้วคุณพอใจมั้ย”

เลี่ยวฟางหัวเราะอารมณ์ดี “เบื้องบนไร้สาระอะไรนั่นจำเป็นต้องทำเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติด้วยเหรอ แค่พวกเราถามคุณฟั่นก็จบแล้ว!”

ซ่งรุ่ยหัวเราะตามเบาๆ น้ำเสียงมีกระแสของความอารมณ์ดี “อืม ตอนนี้ผมรู้สึกพอใจมาก ขอบคุณที่คุณอุตส่าห์โทรมาแชร์ให้ผมฟัง ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็จะบอกความลับคุณหนึ่งข้อว่าเรื่องของอวี๋อวิ๋นเทียนเป็นเรื่องจริง ฟั่นจยาหลัวมีบทบาทสำคัญในเรื่องที่เขาถูกจับ แต่ภาพในช่วงนั้นมีการตัดออก ผมเชื่อว่าคนที่ปล่อยข่าวลงอินเตอร์เน็ตไม่น่าจะเป็นฟั่นจยาหลัว เพราะตอนอัดรายการ เขาเป็นคนขอให้พวกเราตัดช่วงนี้ทิ้งไปเอง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของเด็ก”

เลี่ยวฟางพอใจมาก เธอถอนหายใจ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าความจริงต้องไม่ใช่อย่างที่คนเขาเดากัน คุณฟั่นเยี่ยมมาก! ตอนนี้ซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเขาไปแล้ว อา ดึกแล้ว ด็อกเตอร์ซ่งรีบนอนเถอะค่ะ” หญิงสาวรีบวางสาย แต่ดูท่าเธอน่าจะไปเม้าท์มอยกับคนอื่นต่อ

ทว่าซ่งรุ่ยกลับกดปุ่มล็อกบนหน้าจอค้าง เขาจ้องมองภาพล็อกหน้าจอที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไร ลมร้อนพัดผมของเขาจนแห้ง ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มเดินกลับไปที่ห้องรับแขกเพื่อต่อสายหาเมิ่งจ้ง พอเปิดปากก็พูดเยาะ “ฉันเสียใจที่ต้องบอกนายว่าข่าวที่นายเพียรปิดนั่นฟั่นจยาหลัวเขาเอาไปบอกหน่วยปฏิบัติการหลักประจำสำนักย่อยเขตใต้หมดแล้ว ทั้งสาเหตุที่หลี่โหย่วเต๋อแปรสภาพ ทั้งของที่เขาเอาไปจากตัวหลี่โหย่วเต๋อ”

เมิ่งจ้งที่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเป็นนานสองนาน “…”

ซ่งรุ่ยเย้ยต่อ “สิ่งที่นายคิดว่าเป็นความลับ คนอื่นกลับเอาไปเล่าให้คนธรรมดาฟังแบบไม่ได้คิดอะไร ทำให้พวกเขาตระหนักถึงความน่ากลัวของการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความโลภ นายคิดว่าพวกนายเป็นอะไร เผด็จการ? เทพผู้คุ้มครอง? ผู้กอบกู้โลก? เทียบกับฟั่นจยาหลัว นายไม่รู้สึกว่าภาพลักษณ์อันสูงส่งของพวกนายมันตลกสุดๆ หรือไง

ฉันเคยบอกนายแล้วว่าเส้นทางของเขาคือเส้นทางของมวลชน เขาวางตัวเองอยู่ในมวลชน ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมโศกร่วมยินดีไปกับทุกคน เขามองตัวเองต้อยต่ำมาก ในขณะที่พวกนายกลับบงการใครต่อใครและทำเรื่องโง่เง่าแบบสุดโต่ง นายขังคนไว้ที่โรงพยาบาล พยายามอ้อมนั่นอ้อมนี่เพื่อใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ เปลืองแรงคน แรงของ แรงเงิน แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้มาคือคำตอบกำกวม คนธรรมดาที่ถูกนายกันไว้นอกแสงสว่างแค่โทรศัพท์กริ๊งเดียวเพื่อถามคำถามง่ายๆ ก็ได้ความจริงทั้งหมด ไหนนายลองบอกมาซิว่าที่นายเล่นใหญ่ขนาดนี้เพราะมีแผนอะไร”

ซ่งรุ่ยหัวเราะเบาๆ “เมิ่งจ้ง ในสายตานาย หน่วยของตัวเองร้ายกาจมาก แต่ในสายตาคนอื่น พวกนายอาจเป็นแค่ไอ้โง่ที่สำคัญตัวเองผิด ที่จริงวันนี้ฉันอารมณ์แย่มาก แต่ตอนนี้ฉันแทบจะดื่มไวน์แดงได้รวดเดียวหมดขวด ไม่คุยแล้ว ฉันไปดื่มฉลองอีกแก้วดีกว่า นายก็ทำคดีพวกนั้นของนายต่อเถอะนะ”

สายถูกตัดไป แต่น้ำเสียงอารมณ์ดีและวาจาเยาะหยันอย่างที่สุดของซ่งรุ่ยคล้ายยังคงวนเวียนอยู่ที่ข้างหู เมิ่งจ้งพยายามสงบสติระงับความงุนงงสับสนของตัวเองลง แต่สุดท้ายเขากลับต้องหัวเราะเบาๆ ออกมาอีกคน “คุณฟั่น คุณนี่เดาทางได้ยากจริงๆ ผมแทบจะอดใจรอเจอคุณไม่ไหวแล้ว” เขาบ่นกับตัวเองพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจยาวเหยียดออกมาครั้งหนึ่งด้วยความรู้สึกปลง

 

ระยะนี้ชีวิตของฟั่นจยาหลัวมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไม่น้อย อย่างแรกคือสิ่งของที่อยู่ในบ้านเขาเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีอ่างอาบน้ำสองอ่าง เก้าอี้นอนสองตัว ตู้เสื้อผ้าก็มีมากกว่าสองแถว อะไรก็ตามที่เขาเคยมีล้วนต้องเพิ่มแบบเดียวกันเข้ามาให้สวี่อี้หยางหนึ่งชุด อย่างที่สองคือบ้านที่เงียบเหงาของเขามักจะมีเสียงอ๊บๆ อ๊บๆ ดังเป็นระยะ ทั้งกลางวันและกลางคืน เสียงดังครึกครื้นอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดความนิยมในตัวเขาก็เพิ่มสูงขึ้น แม้จะมีเสียงกังขามากกว่าเสียงชื่นชม แต่ ‘ทักษะทางการแสดง’ ของเขากลับได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไป ตอนเฉาเสี่ยวเฟิงโทรมาคุยเรื่องงาน อีกฝ่ายทำเสียงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก บอกว่ามีผู้กำกับหลายคนเสนอบทมาให้ฟั่นจยาหลัว เพื่อเชิญอาจารย์ฟั่นไปถ่ายซีรี่ส์ บทส่วนใหญ่เป็นพวกราชครู นักบวช นักพรต

ฟั่นจยาหลัวปฏิเสธทุกอย่าง นอกจากรายการโลกของผู้วิเศษก็ไม่รับงานอื่นอีก แม้เฉาเสี่ยวเฟิงจะเสียดาย แต่ก็ไม่ได้บ่นสักครึ่งคำ เพราะคนที่เขาดูแลไม่ใช่ศิลปิน แต่เป็นเทพเซียน เขาไหนเลยจะกล้าก้าวล่วง!

เวลาของฟั่นจยาหลัวผ่านไปอย่างเรียบเรื่อย ในขณะที่ทางฝั่งของซูเฟิงซีกำลังเกิดลมซัดฝนกระหน่ำ เมื่อบริษัทที่เพิ่งตั้งของเธอมีปัญหาเรื่องภาษีทำให้ถูกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แผ่นเสียงที่เพิ่งออกวางตลาดของเธอถึงได้ถูกปลดลงจากเชลฟ์ และเพลงที่ปล่อยลงอินเตอร์เน็ตก็ถูกลบหายเกลี้ยงภายในชั่วข้ามคืน เห็นได้ชัดว่าเธอถูกแบนจากวงการ

พวกแฟนเพลงอาละวาดอย่างรุนแรงแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อการตัดสินใจของฝ่ายลิขสิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถพลิกกลับได้ ซูเฟิงซีหายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน

แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับฟั่นจยาหลัว หลังได้พักผ่อนติดกันหลายวัน เขาก็เริ่มถ่ายทำรายการโลกของผู้วิเศษอีพีสี่ แต่ตอนห้าโมงเขาต้องขับรถไปรับเด็กที่โรงเรียนก่อน

ครูประจำชั้นจูงมือสวี่อี้หยางมา พูดยิ้มๆ “คุณฟั่นคะ ตั้งแต่ไปอยู่กับคุณ หยางหยางเปลี่ยนไปมากจริงๆ วันนี้เขาท่องกลอนสมัยราชวงศ์ถังในห้องเรียนหนึ่งบท ออกเสียงได้ตรงตามหลักไวยากรณ์ดีมาก ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะพูดได้เหมือนเด็กคนอื่นๆ พอเลิกเรียน เขาก็เอาแต่จ้องนาฬิกาบนผนังเหมือนอยากกลับบ้านมาก ผิดไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ตอนพ่อแม่ของเขายังอยู่ สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือตอนเลิกเรียน เป็นตายยังไงก็จะขออยู่ที่ห้องเรียนให้ได้ แต่ตอนนี้เขากลับอยากเจอคุณจนแทบรอไม่ไหว เขาเปลี่ยนไปเยอะมากและดีขึ้นเรื่อยๆ คุณฟั่นคะ ขอบคุณที่คุณช่วยดูแลเขานะคะ คุณได้ช่วยชีวิตของเด็กคนนี้ไว้”

ครูประจำชั้นโค้งตัวลงต่ำเพื่อแสดงความขอบคุณแทนสวี่อี้หยาง แต่เธอไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้ตายไปแล้ว และเขาถูกพ่อแม่ของตัวเองฆ่าตาย

ฟั่นจยาหลัวโค้งขอบคุณแบบเดียวกัน ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนมาก หลังออกจากโรงเรียน เขาแตะหัวคิ้วของสวี่อี้หยางเพื่อดูดซับกลิ่นอายมฤตยูที่มีอยู่เต็มตัวเด็กชาย เสร็จแล้วจึงเอ่ยถาม “เธออยากกลับไปคอยที่บ้าน หรืออยากตามฉันไปทำงาน?”

“ทำ…งาน!” สวี่อี้หยางพูดหนึ่งคำ ผงกศีรษะหนึ่งครั้ง

“ได้ งั้นตามฉันไปสถานีโทรทัศน์นะ ตอนฉันอัดรายการ ให้เธอทำการบ้านคอยอยู่ในห้องพัก ทำเสร็จแล้วฉันจะมาตรวจ” ฟั่นจยาหลัวสั่งนั่นนี่เหมือนผู้ปกครองธรรมดาคนหนึ่ง

สวี่อี้หยางทำเสียงอืมๆ พลางผงกศีรษะ มือสั้นๆ กอดกระเป๋าหนังสือใบโตไว้ ท่าทางน่ารักมาก

หลังจัดการเจ้าหางน้อย ตัวนี้เรียบร้อย ข้างกายฟั่นจยาหลัวก็มีเจ้าหางน้อยเพิ่มมาอีกสองหาง นับตั้งแต่โดนซูเฟิงซีหลอก เหอจิ้งเหลียนกับอาหั่วก็ไม่กล้าออกห่างจากฟั่นจยาหลัวเลย เพราะกลัวว่าจะมีอึเคลือบน้ำตาลมาให้พวกเขากินแบบไม่ทันได้ตั้งตัวอีก

ภายในห้องสังเกตการณ์ ซ่งเวินหน่วนกำลังสาธยายเนื้อหาการทดสอบในครั้งนี้ ซ่งรุ่ยเลิกคิ้ว มองแขกวีไอพีสองคนที่ได้รับคำเชิญให้มาร่วมรายการอย่างแปลกใจ

“พวกนายกลับมาตอนไหน” เขาถามพลางจัดเนกไทตัวเอง ย้ายไท-คลิปฝังมรกตราคาแพงไปติดตรงจุดที่เหมาะกว่า ก็เหมือนอย่างที่ซ่งเวินหน่วนว่า ช่วงนี้เขาเริ่มทำตัวเป็นนายแบบ แต่งตัวดูดีขึ้นทุกวัน ไม่มีความเรียบและเป็นตามพิมพ์นิยมเหมือนเมื่อก่อน

จวงเจินตอบ “กลับมาเมื่อคืน” เขาปรายตามองซ่งรุ่ย ย่นหัวคิ้ว “ช่วงนี้นายทำตัวเหมือนนกยูงเลยนะ วงการบันเทิงนี่เป็นถังย้อมสีใบใหญ่จริงๆ”

ซ่งรุ่ยจัดกระดุมข้อมือต่อ หัวเราะเบาๆ “นกยูงเป็นสัตว์ปีกที่สวยที่สุดตามธรรมชาติ เรื่องนี้นายต้องยอมรับนะ”

จวงเจินเมินหน้าไปทางอื่น ไม่สบอารมณ์อย่างมาก

ซ่งรุ่ยมองไปทางหยางเซิ่งเฟย พูดเสียงจริงจัง “ไปรอบนี้พวกนายไม่ได้อะไรเลยเหรอ”

หน้าหยางเซิ่งเฟยซีดมาก เขาลอบมองหัวหน้าพลางตอบเสียงอ้ำอึ้ง “ครับ ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตำรวจที่อยู่กรมตำรวจโม่เป่ยถูกย้ายไปหมดแล้ว ตำรวจใหม่ที่มาไม่มีใครรู้เรื่องคดีนี้ ช่วยอะไรเราไม่ได้ ถึงหลักฐานจะยังอยู่ และมีตัวอย่างดีเอ็นเอของฆาตกร แต่ถ้าหาตัวผู้ต้องสงสัยมาเปรียบเทียบไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ เวลายี่สิบปี ของไม่เปลี่ยนแต่คนเปลี่ยน คดีที่ไม่ได้รับการสะสางในตอนนั้น ถึงตอนนี้ยิ่งสางไม่ได้ พอผมดูรายการของพวกคุณเลยรีบกลับมา”

จวงเจินพูดเสียงเย็น “ฉันบอกแล้วว่าภูตผีปีศาจช่วยอะไรนายไม่ได้”

“หัวหน้าครับ ให้ผมลองสักครั้งเถอะนะครับ เราไม่มีทางไปต่อแล้วจริงๆ” ขอบตาของหยางเซิ่งเฟยแดงเพราะเหนื่อยหนักติดกันหลายวัน อันที่จริงเขาแอบหนีกลับมา แต่ตอนที่กำลังจะขึ้นรถไฟเกิดถูกหัวหน้าจับได้ เขาเพียรอ้อนวอนขอร้องจนได้มารายการนี้

จวงเจินหลับตา พูดเสียงอ่อนใจ “งั้นก็ลองดูสักครั้ง แต่ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรจากที่นี่หรอกนะ”

สิ่งตอบรับเขาคือคำขอบคุณและขอโทษจากหยางเซิ่งเฟย และเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ไม่บอกอารมณ์ของซ่งรุ่ย

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 13 .. 64 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: