ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 5
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 184 คำทำนายบ้าบอของอาจารย์ฟั่น
ด้านจ้าวเหวินเยี่ยนที่รับมือกับคลื่นการยกเลิกสัญญาของดาราดังไปแล้วหนึ่งระลอกค่อนข้างเครียดมาก แต่ด้านของซูเฟิงซีที่จ่ายเงินค่าผิดสัญญาไปก้อนโตกลับยิ้มกริ่ม
จางหยางนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเธอ สีหน้าเคร่งขรึม “อย่าเปิดคอนเสิร์ตเลยดีกว่า อันตราย” ประโยคที่เขาใช้ฟังดูแข็งกระด้างมาก ทว่าน้ำเสียงกลับมีความระแวดระวัง
“ทำไมจะไม่เปิด นี่เป็นแผนที่เราวางไว้ตั้งแต่ต้นแล้วไม่ใช่เหรอ” ซูเฟิงซีหมอบอยู่บนโต๊ะ แขนเรียวขาวทั้งสองข้างวางหนุนใบหน้าไว้ เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างใฝ่ฝัน “ด้วยเสน่ห์ของฉันตอนนี้ต้องได้คนมาเป็นแสน คุณคิดดูสิ คนมากมายยืนอยู่ด้านล่างเวที ชูสองมือไชโยโห่ร้อง มอบความศรัทธากับพลังชีวิตให้ฉันอย่างต่อเนื่องมันอลังการแค่ไหน! ถ้าฉันเปิดคอนเสิร์ตที่มีคนเป็นแสนติดกันสิบกว่าครั้ง ถึงตอนนั้นฉันจะกลายเป็นอะไร ฉันสามารถท่องไปในท้องฟ้าและทะเลลึก กลายเป็นวาฬยักษ์ที่แค่หายใจครั้งเดียวก็สามารถสร้างคลื่นลมได้”
ซูเฟิงซีกลับไปนั่งพิงโซฟา จับผมหนึ่งปอยมาปัดริมฝีปากอิ่มสีแดง ยิ้มอย่างโง่งม
จางหยางมองสองตาที่เลื่อนลอยของเธอแล้วสั่นศีรษะ “นับตั้งแต่เจอฟั่นจยาหลัว คุณก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนคุณแค่อยากสาว อยากสวย ไม่เคยสนใจเรื่องอื่น แต่ตอนนี้กลับเอาแต่เสาะหาพลัง ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นการดื่มเหล้าพิษดับกระหาย! หรือคุณไม่ขยะแขยงตอนกลับไปเจอกับสัตว์ประหลาดเฒ่าตัวนั้น?”
สีหน้าภาคภูมิของซูเฟิงซีแข็งค้างในพริบตา เธอพูดเสียงเย็น “คุณจะเข้าใจอะไร ถ้าเปลือกนอกสวยๆ สามารถป้องกันฉันไม่ให้รับอันตรายได้ ฉันไม่มีทางเสาะหาพลังแน่! คุณเข้าใจความรู้สึกที่ถูกคนผลักไปปากเหวหรือเปล่า คุณไม่เคย! แต่ฉันเคย ตอนนั้นปลายเท้าฉันยื่นออกไปแล้ว ฉันอยู่ห่างจากความตายแค่นิดเดียว ถ้าคุณไม่โทรหาฉันแบบปุบปับฉันคงกระโดด! ฉันจะหล่นลงไปกลายเป็นเศษเนื้อกองหนึ่ง ตายแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย! ฉันลืมอารมณ์สิ้นหวังในวันนั้นไม่ลง ลืมไม่ลงจริงๆ” ซูเฟิงซีปิดหน้า ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด
จางหยางไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาตบไหล่สั่นๆ ของเธอเบาๆ กัดฟันรับคำ “ผมจะช่วยคุณฆ่าฟั่นจยาหลัว ผมทำได้แน่ แต่คุณอย่าเปิดคอนเสิร์ตเลย หลังได้มุกมัจฉาไปมากขนาดนั้น อำนาจของฟั่นจยาหลัวก็แข็งแกร่งขึ้น คุณอาจไม่ใช่คู่มือของเขา”
ซูเฟิงซีเงยหน้าขึ้น สีหน้าเศร้าแต่เหมือนคนที่ตัดสินใจแน่แล้วว่าจะไปตาย “งั้นฉันแค่กลับไปบ้านเก่าสักครั้งก็ได้แล้ว ขอเพียงแข็งแกร่งขึ้น ฉันยอมแลกทุกอย่าง!”
“ซูเฟิงซี พอ!” จางหยางบีบแขนเธออย่างแรง อยากพูดห้ามมากกว่านี้แต่รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ เมื่อคนคนนี้ลุ่มหลงในอำนาจไปเรียบร้อยแล้ว
ซูเฟิงซีไม่คิดที่จะฟังเขาจริงๆ เธอสลัดแขนเขาทิ้งเดินก้าวยาวๆ ออกจากห้องทำงาน ก่อนออกประตูหญิงสาวโทรหาพวกเจี่ยนหย่า สั่งการด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ในเมื่อยกเลิกสัญญากับบริษัทที่ใกล้ล้มละลายแล้วก็ประกาศข่าวดีนี้ในเวยป๋อเลยสิ ให้แฟนคลับได้ร่วมยินดีด้วย”
พวกเจี่ยนหย่ารู้ว่าซูเฟิงซีต้องการเล่นงานบริษัทสเตลล่าร์ แต่ก็ยังให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เลยทยอยโพสต์เวยป๋อเรื่องที่ยกเลิกสัญญากับบริษัทเดิม การทำเช่นนี้มีค่าเท่ากับทิ้งหินลงบ่อ ไม่นานก็มีดาราอีกสิบกว่าคนทำตาม ทุกคนต่างกำลังมีชื่อเสียง มีทั้งชายและหญิง มีทั้งนักแสดงชายหญิงหน้าใหม่ ทั้งยังมีไอดอลที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและหน้าตา บริษัทสเตลล่าร์เจอปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ในโลกอินเตอร์เน็ตถึงกับระเบิด หุ้นของบริษัทสเตลล่าร์ได้รับผลกระทบและร่วงดิ่งลงจนเกิดเซอร์กิตเบรกเกอร์* ชาวเน็ตย่อมต้องผลักความผิดทั้งหมดไปที่ฟั่นจยาหลัว ยิ้มเยาะว่าเขาเป็นผู้ชายที่สามารถล้มบริษัทหนึ่งแห่งได้ด้วยตัวคนเดียว แถมยังทยอยเข้าไปในเวยป๋อของจ้าวเหวินเยี่ยน ถามว่าเสียใจไหมที่วันนี้ตกต่ำได้ถึงจุดนี้
จ้าวเหวินเยี่ยนปักหมุดคำตอบของตัวเอง
‘@ฟั่นจยาหลัว ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้รู้จักนาย และจะซัพพอร์ตนายเหมือนที่ผ่านมา’
การแสดงออกแบบนี้ของเขาดูดื้อด้านมากจริงๆ หลายคนเดาว่าเขาจะต้องถูกขับออกจากการประชุมผู้ถือหุ้นและเสียตำแหน่งประธานบอร์ด แต่ทุกคนในสกุลจ้าวรวมไปถึงผู้เฒ่าจ้าวกั๋วอันกลับทยอยมากดไลค์โพสต์นี้เพื่อแสดงถึงจุดยืนของพวกเขาอย่างชัดเจนว่าสกุลจ้าวไม่มีทางก้มหัวให้ใคร
ชาวเน็ตมองกันตาค้าง อดคาดเดากันไม่ได้
‘ฟั่นจยาหลัวทำคุณไสยใส่ทุกคนในสกุลจ้าวเหรอ บริษัทใกล้ล้มแล้วทำไมพวกเขายังปกป้องฟั่นจยาหลัวอยู่อีก’
ไม่คอยให้ทุกคนกินแตงลูกนี้เสร็จ คนที่ดื้อด้านกว่าจ้าวเหวินเยี่ยนก็ปรากฏตัว นั่นคือฟั่นจยาหลัวที่กำลังอยู่กลางพายุ เขาโพสต์เวยป๋อหลายอันติดๆ กัน ข่าวสารแต่ละอันล้วนหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ เวยป๋อโพสต์แรกคือการประกาศเรื่องที่เขายกเลิกสัญญากับบริษัทสเตลล่าร์แล้ว
ชาวเน็ตเห็นแล้วขำ ยิ้มเยาะว่าจ้าวเหวินเยี่ยนตบหน้าตัวเอง เมื่อหนึ่งวินาทีก่อนจ้าวเหวินเยี่ยนยังบอกว่าจะสนับสนุนฟั่นจยาหลัวตลอดไป แต่อีกหนึ่งวินาทีต่อมากลับยกเลิกสัญญากับฟั่นจยาหลัว แบบนี้มันคือโสเภณีอยากตั้งอนุสรณ์ หรือไง ฟั่นจยาหลัวเองก็ไม่มีค่าคู่ควรกับความเห็นใจ เมื่อเขาไม่มีอะไรดี เอาแต่วางแผนโกหกไปวันๆ เห็นคนอื่นโง่งั่ง ดูพวกต้าซือที่เคยมีชื่อเสียงอยู่ชั่วขณะหนึ่งสิว่าสุดท้ายพวกเขามีจุดจบแบบไหน บางคนหมดตัว เสียชื่อ บางคนถูกกีดกันออกจากสังคม บางคนถึงขั้นได้กินลูกปืน! ถ้าฟั่นจยาหลัวยังไม่ตื่นอีก จุดจบของคนพวกนั้นอาจเป็นชะตากรรมในภายหน้าของเขา
แม้จะเจอกับการโจมตีและหัวเราะเยาะของชาวเน็ต แต่ฟั่นจยาหลัวกลับไม่สำนึกหรือเสียใจอยากแก้ไขแม้แต่น้อย เขาโพสต์เวยป๋อที่สองต่อทันที เป็นการประกาศสงครามกับซูเฟิงซีโดยตรง
‘@ซูเฟิงซี ผมจะกระชากหนังหน้าคุณในคอนเสิร์ต’
นี่เป็นการแหย่รังแตนชัดๆ แฟนคลับของซูเฟิงซีกระโดดออกมาด่าทอเขาเดี๋ยวนั้น พวกเขาใช้ถ้อยคำรุนแรงที่สุดมาด่าฟั่นจยาหลัว ประโยคที่บอกว่า ‘ไปตายซะ’ ปรากฏเต็มหน้าคอมเมนต์ทำให้ประโยคนี้ติดเทรนด์ภายในระยะเวลาแค่ห้านาที
ซูเฟิงซีตอบกลับทันที
‘ได้สิ ฉันจะคอย ฉันส่งบัตรคอนเสิร์ตไปให้คุณแล้ว เจอกันวันนั้นนะ’
แฟนคลับของเธอกับชาวเน็ตทั่วไปเกือบขำกลิ้ง และถามกันเต็มหน้าเวยป๋อของฟั่นจยาหลัวว่าเขารู้สึกอย่างไร เหมือนโดนตบหน้ามากหรือไม่
‘โอ๊ย ฉันอยากไปดูคอนเสิร์ตใจจะขาดอยู่แล้ว! ฟั่นจยาหลัวจะกระชากหนังหน้าซีซีแบบไหน จะวิ่งขึ้นเวทีไปฉีกเลยหรือเปล่านะ’
‘น่าจะมีแต่วิธีนี้ล่ะมั้ง จากนั้นพวกเราจะได้เห็นเขาถูกการ์ดทั้งกลุ่มยกตัวออกจากสนามกีฬาโยนไปบนถนนใหญ่ ฮ่าๆๆ สมองฉันหยุดคิดไม่ได้เลย!’
‘นี่ๆๆ พวกเธอไม่คิดถึงเรื่องที่น่ากลัวกว่านั้นเลยหรือ เห็นอยู่ว่าสภาพจิตใจของฟั่นจยาหลัวบิดเบี้ยว ฉันกลัวว่าถึงตอนนั้นเขาจะสาดน้ำกรดใส่ซีซี! ไม่ได้ ฉันต้องแจ้งตำรวจ!’
‘ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน! ตอนนี้ฉันสับสนมาก อยากฆ่าเขาทิ้งเหลือเกิน!’
‘ถ้าเขากล้าทำร้ายซีซีแม้แต่ผมเส้นเดียว ฉันจะทำให้เขารู้ว่าคำว่า ‘ตาย’ เขียนยังไง!’
‘ใจเย็นก่อน ใจเย็นก่อนค่า ฉันรู้จักคนแบบนี้ดี เขาแค่มาปั่นเพราะอยากได้ยอดวิวในเวยป๋อ อย่าว่าแต่จะสาดน้ำกรดเลย แม้แต่หน้าเขาคงไม่กล้าเอาออกมาให้เห็น พวกเราเยอะขนาดนี้เขาจะกล้ามาปรากฏตัวในคอนเสิร์ตหรือ ไม่กลัวถูกเหยียบเป็นเศษเนื้อหรือไง’
‘ก็จริง! นั่นมันคอนเสิร์ตขนาดแสนที่นั่งนะ! ทั้งแสนคนเป็นแฟนคลับของซีซี ฟั่นจยาหลัวจะเอาความกล้าที่ไหนมาปรากฏตัวที่นั่น! เขาพร้อมจะเป็นศัตรูกับคนหลักแสนหรือไง’
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าฟั่นจยาหลัวไม่ได้แค่กล้าเป็นศัตรูกับคนหลักแสน แต่กล้าเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก หลังเตือนซูเฟิงซี เขาก็โพสต์เวยป๋ออันที่สาม แท็กชื่อพวกศิลปินที่ออกจากบริษัทสเตลล่าร์ไปอย่างเจี่ยนหย่า ผู่ลี่อวี้ หนีซินไห่ วั่นซือซู จำนวนสิบกว่าคน
‘เปลือกนอกที่สวยงามเป็นแค่ถุงหนังลวงตา กายเนื้อที่ซ่อนอยู่ใต้ถุงหนังคือความเหี่ยวย่น เน่าเฟะ สักวันหนึ่งพวกคุณจะเปลี่ยนไปไม่ใช่ตัวพวกคุณอีก แต่เป็นวิญญาณที่ตายทั้งเป็น ความรุ่งโรจน์ทั้งหลายจะคืนกลับสู่ผืนดิน’
ดาราที่ถูกเขาชี้เป้าบางคนไม่ตอบ บางคนทำหน้าขำ บางคนโพสต์ข้อความเป็นนัยเพื่อแสดงถึงความไม่แคร์ของตัวเอง พวกเขาต่างทำเหมือนฟั่นจยาหลัวเป็นตัวตลกไต่คาน ตัวหนึ่ง
เห็นปฏิกิริยาของคนกลุ่มนี้แล้วฟั่นจยาหลัวทำได้แค่ส่ายหน้า ล็อกเอาต์ออกจากเวยป๋อ
พวกดาราดังพากันนิ่ง แต่แฟนคลับของพวกเขากลับระเบิดด่าแบบสาดเสียเทเสีย
‘เล่นบ้าอะไร ฟั่นจยาหลัวเพี้ยนไปแล้วเหรอ เขาไม่รู้เหรอว่าจำนวนแฟนคลับอย่างพวกเรามีกันกี่ร้อยล้าน เขาคิดจะเป็นศัตรูกับคนทั้งสาธารณรัฐหรือไง’
‘ไม่เห็นต้องถาม เขาบ้าไปแล้วแน่ๆ อยากดังจนบ้า เขาเป็นดาราที่โปรโมตตัวเองได้พิลึกที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น คำไหนยั่วให้คนเกลียดได้เป็นเลือกใช้คำนั้น ใครกำลังฮอตอยู่ เขาก็ไปยั่วคนนั้น วิธีดาร์กสุดๆ! ขนาดคนเฉยๆ กับทุกอย่างแบบฉันยังอยากต่อยปากเขาให้แตกสักหมัด!’
‘ตกลงที่เขาพูดมันหมายความว่าอะไร ถุงหนัง เหี่ยวย่น เน่าเปื่อยอะไร ฉันเห็นแล้วไม่เข้าใจเลย! เขากำลังทำนายเรื่องอะไรหรือเปล่า ก่อนหน้านี้คำทำนายของเขาแม่นมากนะ!’
‘แม่นบ้านเธอสิ นั่นมันการจัดฉาก ความจริงคือผู้ชนะย่อมรู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะชนะ คนที่คลี่คลายคดีได้ก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องคลี่คลายคดีได้ แค่ให้เงินมากหน่อย พวกเขาก็ยินดียกผลงานให้ฟั่นจยาหลัวครึ่งหนึ่ง ที่เขาพูดแบบนี้เพราะต้องการแช่งไอดอลของเรา! แช่งให้พวกเขาเสียโฉม! จิตใจของฟั่นจยาหลัวบิดเบี้ยวไปแล้ว เขาชั่วมาก!’
‘อย่าไปสนใจคนบ้านี่เลย ยิ่งเราสนใจคำพูดของเขา เขายิ่งได้ใจ’
‘โพสต์ก่อนหน้านี้พูดผิดแล้ว เราไม่ได้สนใจคำพูดของเขา เราแค่อยากฉีกเขาเป็นชิ้นๆ!’
‘ไม่ๆๆ ฉันแค่อยากฉีกปากเขาให้เละเท่านั้น!’
การฟาดฟันทำนองนี้ปรากฏขึ้นเต็มโลกโซเชียล ทว่าตัวเจ้าของเรื่องกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรอีก
หลังออกจากบริษัทสเตลล่าร์ ฟั่นจยาหลัวกลับไปที่คอนโดฯ มูนไลต์เบย์การ์เด้นเพื่อเตรียมย้ายของไปที่บ้านเก่า
ซ่งรุ่ยกวาดตามองรอบๆ แล้วชี้ไปที่พวกโซฟาบีนแบ็ก “ย้ายพวกมันก่อนเถอะ พวกมันค่อนข้างกินที่”
“ได้ครับ” ฟั่นจยาหลัวย้ายกบเขียวใส่ตู้ปลา ถอนหายใจ “ถึงเวลาปล่อยมันแล้ว”
“ปล่อยไปเถอะ ภูเขาที่บ้านสกุลฟั่นใหญ่มาก” ซ่งรุ่ยถอดเสื้อสูทสีเทาเงิน ม้วนแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้น
พอเห็นเขาปลดกระดุมที่ทำจากเพชรสีดำทีละเม็ดๆ แล้วฟั่นจยาหลัวก็ย่นหัวคิ้ว “ไม่งั้นคุณดูอยู่ข้างๆ ดีกว่า ผมย้ายเอง ระวังจะเปื้อนเสื้อผ้า” การคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงระยะหนึ่งทำให้ฟั่นจยาหลัวพอจะดูออกว่าเสื้อผ้าแต่ละชุดมีราคาถูกหรือแพง
ซ่งรุ่ยโยนเสื้อสูทลงไปในอ่างอาบน้ำที่ชายหนุ่มใช้นอน มือหนึ่งหิ้วบีนแบ็ก อีกมือแบกตู้ปลา ถามไปคนละเรื่อง “วันนี้ผมดูเป็นไง”
แม้ฟั่นจยาหลัวจะแปลกใจ แต่ยังคงมองเขาอย่างจริงจัง สักพักก็ตอบเสียงหนักแน่น “หล่อมากครับ”
ซ่งรุ่ยหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที พยักหน้า “คุณมองเห็นค่าของมันแล้ว ต่อให้เปื้อนก็ไม่เป็นไร”
“สรุปที่คุณใส่เสื้อผ้าดีๆ แบบนี้เพื่ออวดรวยเหรอครับ” ฟั่นจยาหลัวอดขำไม่ได้
“เปล่า เพื่อดึงดูดความสนใจของคุณต่างหาก การที่คุณสังเกตเห็นคือความคุ้มค่าของมัน ไม่ใช่ป้ายยี่ห้อแพงๆ ที่ติดอยู่บนเสื้อ” ซ่งรุ่ยอธิบายอย่างเป็นงานเป็นการ
ฟั่นจยาหลัวยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดประโยคนี้ ดร. ซ่งก็แบกของที่แบกได้เดินไปแล้ว ไม่นานเสื้อเชิ้ตสีขาวหิมะก็เต็มไปด้วยรอยเปื้อนเป็นดวงๆ ไม่เหมือนคนเป็นมายโซโฟเบียเลย
พอทั้งคู่ไปถึงบ้านเก่าสกุลฟั่นก็ปล่อยกบเขียว เสร็จแล้วค่อยเริ่มสะสางข้าวของ ทำความสะอาด ยุ่งกันจนพระอาทิตย์ใกล้ลับเหลี่ยมเขาถึงค่อยได้นั่งพัก ฟั่นจยาหลัวแตะแขน ดร. ซ่ง พูดเสียงนุ่ม “ผมไปเอาของก่อน คุณนั่งคอยอยู่นี่นะครับ เดี๋ยวผมมา”
“โอเค” ซ่งรุ่ยไม่ได้ตามไปและไม่ได้ถามถึงความลับของป้อมปราการโบราณแห่งนี้ เขานั่งอยู่ข้างหน้าต่างมองอาทิตย์อัสดงที่สีเหมือนเลือดอยู่เงียบๆ เวลาไหนควรรุก เวลาไหนควรถอย เขาเข้าใจดีว่าต้องมีการรักษาระยะ
ฟั่นจยาหลัวเดินเข้าไปในห้องใต้ดินคนเดียว เขาก้าวเข้าไปในค่ายกลรูปวงกลมเดินไปตรงจุดศูนย์กลางช้าๆ มังกรดำที่เป็นรูปสลักบนพื้นหินเหมือนจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของเขา ดวงตาจึงมีแววดำวาดผ่าน หนึ่งมนุษย์หนึ่งมังกรเผชิญหน้ากัน หนึ่งอยู่บนหนึ่งอยู่ล่างคล้ายกำลังจดจ้องกันเงียบๆ และเหมือนแค่กำลังเหม่ออยู่ ไม่นานฟั่นจยาหลัวก็ย่อตัวลงวางฝ่ามือไว้ที่ปากมังกร สอดเข้าไปช้าๆ
ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเขาหยิบหัวกะโหลกหนึ่งหัวออกมาจากปากมังกร พิศดูมันอย่างละเอียด ไอมรณะพรั่งพรูวนเวียนอยู่ใต้เท้าเขา ลมเย็นที่เกิดขึ้นพัดเป่าชายเสื้อของเขาทำให้ผมเขายุ่ง และยิ่งพัดผ่านทางโพรงสมองและกระบอกตาของหัวกะโหลกเกิดเป็นเสียงร้องแหลมเหมือนผีร้องไห้ ถ้าฟังดูดีๆ เสียงกรีดร้องนี้เหมือนจะบอกว่าฆ่า…ฆ่า…ฆ่า…
ฟั่นจยาหลัวไม่สนใจพลังจิตที่หัวกะโหลกปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาวางมันไว้ด้านข้างและล้วงเข้าไปในปากมังกรอีกครั้ง สักพักตุ๊กตาสีเหลืองตัวหนึ่งก็ถูกเขาหยิบออกมา ดวงตาแวววับกลิ้งวนดูมีชีวิตชีวามาก
ตอนที่ตุ๊กตาสีเหลืองปรากฏ หัวกะโหลกก็หันมาหาเอง กระบอกตาว่างเปล่าสองข้างจดจ้องมาที่มัน
ฟั่นจยาหลัวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ปากมังกร มือหนึ่งถือหัวกะโหลก อีกมือถือตุ๊กตาสีเหลือง พูดงึมงำด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ดูท่าพวกเธอจะสัมผัสถึงกันและกันได้ แบบนั้นก็เหมาะ” เขาดึงลูกตาของตุ๊กตาสีเหลืองออกมาใส่เข้าไปในกระบอกตาของหัวกะโหลกเบาๆ จากนั้นก็ใส่พลังจิตของตัวเองเข้าไปในโพรงสมองของหัวกะโหลกทำให้สนามแม่เหล็กที่แหลมคมและไม่กลมกลืนกันประสานตัวเข้าด้วยกัน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาชายหนุ่มลืมตาที่มีประกายเยียบเย็นขึ้นอย่างรวดเร็ว เอ่ยคำที่เต็มไปด้วยไอสังหาร “ข้าเห็น ข้ารู้ ข้าพิชิต” สนามแม่เหล็กที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างพรวดพราดของเขาสั่นสะเทือน พุ่งทะยาน และระเบิดอยู่ภายในห้องใต้ดินอันว่างเปล่าแห่งนี้ เหมือนทางช้างเผือกที่ทอดตัวลงมาจากท้องฟ้า คล้ายภัยพิบัติที่ไม่สามารถต้านทานได้
เมื่อพลังทำลายล้างแบบวินาศสันตะโรนี้เคลื่อนไปถึงขอบค่ายกลรูปวงกลมก็ถูกสนามพลังที่แข็งแกร่งกว่าแต่มองไม่เห็นหนึ่งชั้นกั้นขวางไว้ ก่อนกรูเข้าไปในปากของมังกรดำอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางความมึนงง เสียงร้องที่ดังแหวกอากาศมาของมังกรส่งผลกระทบต่อโสตประสาท ปลุกฟั่นจยาหลัวที่ดวงตามีแต่ความมืดดำ เขาได้รับผลจากไอสังหารที่หัวกะโหลกปล่อยออกมาจนปล่อยพลังของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งครั้งใช้มือปิดสองตาแพรวพราวของหัวกะโหลก บดบังอำนาจจิตของมันไว้ แค่พริบตาไอสังหารเข้มข้นเหมือนท้องทะเลลึก คมปลาบประดุจภูเขาดาบก็หายไป เช่นเดียวกับเสียงร้องของมังกรที่ค่อยๆ จางหาย ภายในห้องกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
เขาถือกะโหลกคริสตัลเดินกลับมาที่ห้องรับแขกอย่างไม่มีการปิดบัง ดร. ซ่งเองก็แค่มองของประหลาดนี้แล้วเฉลยที่มาของพวกมัน
“หัวกะโหลกนี้ถูกปรับแต่งมาจากสมองของเสิ่นถูใช่มั้ย ผมรู้สึกคุ้นมาก มันกลับไปมีขนาดเดิมแล้วนี่ แถมเส้นผมกับเนื้อเน่าก็โกนออกไปหมดแล้ว? เดี๋ยวนะ ลูกตาสองข้างนี่เหมือนจะเป็นลูกตาของหลีว์ชิวซื่อ ฟั่นจยาหลัว คุณกำลังทำของเล่นอยู่เหรอ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 21 ก.พ. 65
Comments
comments
No tags for this post.