X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6 บทที่ 217 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว

การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่างกาย

การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 217 การสื่อวิญญาณของหลินเนี่ยนฉือ

ผลการพิสูจน์หลักฐานแวดล้อมจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานกับรายงานการชันสูตรจากแพทย์นิติเวชแสดงให้เห็นว่าข้อสันนิษฐานของ ดร. ซ่งถูกต้อง ตอนผู้หญิงคนนี้ยังมีชีวิตอยู่เธอถูกขังไว้ในที่ที่ไม่มีทั้งอาหารและน้ำจึงหิวกระหายจนตายทั้งเป็น

แต่ที่นั่นมันคือที่ไหน เธอไม่ระวังเลยหลุดเข้าไปที่นั่นหรือถูกคนจำกัดอิสรภาพ? เพราะอะไรศพของเธอถึงโผล่ไปอยู่ในลิฟต์ ปัญหานี้ทางตำรวจต้องหาคำตอบที่ชัดเจนก่อน

เมิ่งจ้งตบหน้าผาก พูดเสียงเฉียบขาด “อาจารย์ฟั่นครับ ผมจะพาคุณไปดูศพ”

ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะรับคำ ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เดินออกจากสำนักงาน จวงเจินที่รับหน้าที่สอบปากคำผู้อยู่อาศัยในตึกก็โทรมา “รองผู้อำนวยการเมิ่ง เรายืนยันตัวตนของผู้ตายได้แล้ว เธอเป็นผู้พักอาศัยในคอนโดฯ ชื่อเจียงเข่อเข่อ ปีนี้อายุยี่สิบแปด เป็นนักแปลภาษากฎหมาย สถานภาพโสด พ่อแม่อยู่เมืองหลวงแต่ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน เวลาทำงานแปลเธอจะปลีกวิเวกและปิดสัญญาณมือถือจนเป็นนิสัย พ่อแม่เธอเลยไม่รู้ว่าเธอเกิดเรื่อง ทางกองบรรณาธิการก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อกี้ผมโทรหาพ่อแม่ของเจียงเข่อเข่อ พวกเขาน่าจะไปชี้ศพแล้ว คุณจำไว้ว่าต้องบอกหมอโจวด้วยนะครับ”

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ตอนนี้เราเตรียมจะไปดูศพเหมือนกัน” เมิ่งจ้งตัดสาย เขาหันไปมองซ่งรุ่ยแวบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ ประกายตามีแววเลื่อมใส

“ยืนยันตัวตนของผู้ตายได้แล้ว ชื่อเจียงเข่อเข่อ เป็นผู้พักอาศัยในคอนโดฯ ถ้าเธอกำลังหิ้วผ้าอนามัยห่อนี้กลับบ้าน คลิปในกล้องวงจรปิดของลิฟต์น่าจะมีภาพของเธออยู่ เสี่ยวหลี่ นายอยู่ที่กรมเพื่อเช็กกล้องวงจรปิดในช่วงหลายวันก่อนหน้านั้นต่อนะ เน้นไปที่สามหรือสี่วันก่อน ดูซิว่าเธอได้กลับมาหรือเปล่า” เมิ่งจ้งสวมเสื้อโค้ตพลางสั่ง

เสี่ยวหลี่รีบยกมือรับคำ ตั้งใจจะไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ แต่ ดร. ซ่งยังยึดตำแหน่งนั้นไว้ ถึงทุกคนจะเตรียมออกไปกันแล้วแต่สายตาของเขากลับเอาแต่จดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนคาใจอะไรบางอย่าง

“คุณเจออะไรหรือครับ” ฟั่นจยาหลัวถามเสียงเบา

“ผมพบว่าสายตาของเธอไม่ค่อยถูกต้อง” ซ่งรุ่ยชี้สองตาที่เบิกกว้างอย่างที่สุดของผู้ตาย “ถ้าเธอถูกขังจนตาย ในพื้นที่ที่ขังเธอไว้ก็ไม่น่าจะมีบุคคลที่สอง แต่คุณดูสายตาของเธอสิ มันมีโฟกัสมีทิศทาง ผมรู้สึกว่าเธอกำลังมองใครบางคน”

ฟั่นจยาหลัวพิศดูอย่างละเอียดแล้วรับคำ “จริงด้วย สายตาเธอมีเป้าหมาย”

“หรือเธอมองฆาตกร?” เมิ่งจ้งเดา “หรือที่ที่ขังเธออยู่มีหน้าต่างบานเล็ก เธอเลยมองผ่านหน้าต่างออกไปข้างนอกได้”

“น่าจะ ไว้ดูศพเสร็จแล้วฉันอยากไปดูลิฟต์ตัวที่เจอศพด้วย เรามาทำแบบจำลองสถานการณ์กัน” ซ่งรุ่ยสั่ง “เตรียมของที่เหมือนกับของผู้ตายไว้หนึ่งชุด เราจะเอาไปที่เกิดเหตุด้วย”

หูเหวินเหวินรีบหยิบรูปถ่ายสถานที่เกิดเหตุเพื่อไปซื้อของที่เกี่ยวข้อง การทำแบบจำลองสถานการณ์จริงคือการจำลองรูปแบบให้เหมือนกันชนิด 1 : 1 เพื่อทำการวิเคราะห์สถานการณ์ ซึ่งขั้นตอนนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ที่ทำคดีได้ไอเดียอย่างมาก

ทั้งคณะเดินทางไปถึงห้องเก็บศพของฌาปนสถานแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ห้องชันสูตรของแพทย์นิติเวชก็ตั้งอยู่ที่นี่

พวกเขายังไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากช่องประตูที่แง้มไว้ ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อเจียงเข่อเข่อด้วยความเศร้าโศกแทบขาดใจ และมีเสียงแหบๆ ของผู้ชายอีกคนคอยปลอบเธอไม่หยุด แต่ตัวเองก็สะอื้นหนักเหมือนกัน ดูท่าพ่อแม่ของเจียงเข่อเข่อจะมาถึงแล้วและยืนยันตัวตนผู้ตายเรียบร้อย

พวกเขาเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไป จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแปลกใจ เนื่องจากภายในห้องชันสูตรไม่ได้มีแค่หมอโจว ผู้ช่วยแพทย์นิติเวช พ่อแม่ของเจียงเข่อเข่อ และผู้จัดการคอนโดฯ ยังมีชายหญิงที่สวมชุดนักพรตอีกอย่างละคน ทั้งสองคนดูเด็กและรูปร่างหน้าตาโดดเด่นมาก เลยดูไม่เข้ากับห้องและทุกคนที่อยู่ในห้อง

“พวกเขาเป็นใคร” เมิ่งจ้งถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

ซ่งรุ่ยกับฟั่นจยาหลัวกลับทำหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม บังเอิญเหลือเกินที่สองคนนี้คือหลินเนี่ยนเอินกับหลินเนี่ยนฉือที่เคยประมือกับพวกเขาก่อนหน้านี้

ผู้จัดการคอนโดฯ รีบเข้ามาอธิบาย “รองผู้อำนวยการเมิ่งครับ นี่เป็นต้าซือที่ผมเชิญมา คดีนี้ประหลาดมาก และตอนนี้มีข่าวแพร่ออกไปในกลุ่มผู้พักอาศัยแล้ว ส่งผลกระทบในด้านลบต่อบริษัทเรา ตอนนี้ทุกคนต่างบอกว่าในคอนโดฯ เรามีผีจนไม่กล้าอยู่ หลายคนร่ำร้องขอยกเลิกสัญญาเช่า”

ผู้จัดการคอนโดฯ ปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก เขาแบมือพลางเอ่ย “เราไม่มีทางอื่น ได้แต่เชิญต้าซือสองท่านมาปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย แต่การปัดเป่าต้องรู้ว่าควรปัดเป่าที่ไหน ต้าซือเลยบอกว่าต้องมาดูที่ตัวผู้ตาย ผมเลยพาพวกเขามาครับ”

ผู้จัดการคอนโดฯ พูดเสียงเบา “ต้าซือสองท่านนี้เป็นคนที่สมาคมลัทธิเต๋าแนะนำมา เป็นผู้สืบทอดของสำนักเต๋าเก่าแก่และเก่งมาก คุณขอคำชี้แนะจากพวกเขาได้ ไม่แน่ว่าอาจมีส่วนช่วยในการคลี่คลายคดี” เขาชูนิ้วโป้งสองนิ้ว ท่าทางเลื่อมใสหลินเนี่ยนเอินกับหลินเนี่ยนฉือเต็มที่

เมิ่งจ้งส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ที่ปรึกษาของทางตำรวจเราก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ขอบคุณในความหวังดีของคุณ”

ผู้จัดการคอนโดฯ กวาดตามองคนทั้งกลุ่มแวบหนึ่งแล้วค่อยเห็นฟั่นจยาหลัวที่มีสีหน้านิ่งๆ ออร่าเปล่งประกาย เขาเลยเข้าใจว่าที่แท้ตำรวจก็เชิญร่างทรงวิญญาณมาเหมือนกัน เพียงแต่ระหว่างคนคนนี้กับต้าซือสองคนของสมาคมลัทธิเต๋าใครจะเก่งกว่า น่าจะเป็นต้าซือ โดยเฉพาะต้าซือหญิงคนนั้น แค่อ้าปากก็บอกเรื่องบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเขาได้ แถมยังรู้เรื่องสำคัญๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนจุดหักเหในชีวิตของเขาตั้งแต่เด็กจนโต เก่งอย่างน่าอัศจรรย์! แต่คนของสมาคมลัทธิเต๋าไม่ทำอะไรโฉ่งฉ่างและไม่ชอบความเด่นดัง ไม่อย่างนั้นคนดังในตอนนี้ไม่น่าเป็นดารากระจอกรายนี้

พอคิดมาถึงตรงนี้สายตาที่ผู้จัดการคอนโดฯ มองฟั่นจยาหลัวก็เปลี่ยนเป็นดูแคลนแบบไม่รู้ตัว แต่เขากลับหันไปยิ้มประจบให้หลินเนี่ยนฉืออย่างที่สุด

ฟั่นจยาหลัวไม่เคยสนใจความคิดของคนอื่น และยิ่งไม่เห็นหลินเนี่ยนฉือกับหลินเนี่ยนเอินอยู่ในสายตา เพียงเดินตรงไปที่ข้างเตียงชันสูตรมองดูผู้ตายเงียบๆ

หลินเนี่ยนฉือเม้มริมฝีปากทันที เธอเดินตามไป ในดวงตามีเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นและไม่ยอมแพ้ลุกโชน

คุณแม่เจียงร้องไห้เสร็จก็ฝืนข่มความเสียใจเพื่อเอ่ยถาม “หมอคะ ตกลงว่าลูกสาวฉันเป็นอะไรตาย”

หมอโจวยังไม่ทันได้ตอบ ผู้ช่วยของเขาก็รับเอาหน้าที่นี้ไปอย่างเข้าอกเข้าใจ “คุณอาคุณน้าครับ ผมจะพาพวกคุณออกไปดื่มน้ำอุ่นๆ ให้สบายก่อน แล้วค่อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณเจียงของพวกคุณให้ฟัง แบบนี้ดีหรือเปล่าครับ”

อุณหภูมิในห้องชันสูตรต่ำมากและกลิ่นไม่ดี การเห็นใบหน้าไร้ชีวิตของลูกสาวมันเสียดแทงใจของคุณพ่อเจียงกับคุณแม่เจียงมาก พวกเขาเริ่มยืนไม่อยู่ ผู้ช่วยจึงประคองพวกเขาออกจากห้องชันสูตรไปเพื่อให้พื้นที่แก่พวกเมิ่งจ้งที่มาทำงาน

“ทำไมพวกคุณไม่ไป” หมอโจวชี้ไปที่ผู้จัดการคอนโดฯ กับต้าซือสองคน

หลินเนี่ยนฉือปรายตามองฟั่นจยาหลัวแวบหนึ่ง ชิงพูดขึ้นก่อน “ฉันสามารถใช้จิตสัมผัสได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”

“ที่นี่เรากำลังทำคดี ขอเชิญผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปด้วยครับ” หมอโจวคร้านจะฟังคำพูดงมงาย

ทว่าหลินเนี่ยนฉือกลับทำเหมือนไม่ได้ยินคำไล่ของเขา เธอวางสองมืออยู่เหนือศพ เริ่มหลับตาใช้จิตสัมผัส

หมอโจวเตรียมก้าวออกไปดึงหญิงสาว แต่กลับถูกผู้จัดการคอนโดฯ รั้งตัวไว้ อีกฝ่ายเอ่ยรับประกันไม่หยุด “หมอโจวคอยเดี๋ยวก่อนเถอะครับ ไว้ฟังต้าซือพูดก่อน เธอเก่งมากจริงๆ คุณเชื่อผม!”

ระหว่างที่ทั้งสองคนยื้อยุดกัน หลินเนี่ยนฉือก็เดินวนรอบเตียงชันสูตรได้ครึ่งรอบ สองมือลอยอยู่เหนือใบหน้าศพ พูดเสียงเนิบ “เธอถูกขังไว้ในที่แห่งหนึ่ง แคบมาก มืดมาก ไม่มีอาหารและน้ำ ไม่มีอะไรเลย เธอร้องขอความช่วยเหลือ มีเสียงหนึ่งตอบเธอมาทำให้เธอดีใจแทบบ้า แต่ไม่นานเสียงนั้นก็หายไป เธอตกลงสู่ห้วงแห่งความมืดมิดและเดียวดายอีกครั้ง วันแรกเธอกลัวมาก คลำหาไปรอบๆ ไม่หยุดเพื่อหาทางออก สองมือเธอเป็นแผลลายพร้อยเพราะการตะกุยตะกายอย่างคลุ้มคลั่งจนเล็บลอกหลุดเป็นแผ่นๆ ปลายนิ้วเละเทะจนเห็นกระดูก แต่ที่นั่นไม่มีทางออก ความพยายามทุกอย่างของเธอเลยสูญเปล่า”

ศพถูกคลุมด้วยผ้าขาวเผยให้เห็นเพียงใบหน้า นอกจากหมอโจวกับผู้ช่วยแล้วเวลานี้ไม่มีใครรู้ผลการชันสูตร แต่สาวสวยที่สวมชุดนักพรตคนนี้กลับบอกความจริงส่วนหนึ่งออกมาได้

คำสาธยายของเธอทำให้หมอโจวที่ตั้งใจจะไล่คนไปต้องหยุดชะงัก นิ่งค้าง ผู้จัดการคอนโดฯ เห็นสีหน้าตื่นตกใจของอีกฝ่ายดวงตาก็ทอประกายอย่างภาคภูมิ เขารู้อยู่แล้วว่าหลินเนี่ยนฉือสามารถทำให้คนกลุ่มนี้เปลี่ยนความคิดใหม่ได้ เธอเป็นต้าซือที่มีความสามารถจริงๆ!

หลินเนี่ยนฉือเดินวนหนึ่งรอบ จังหวะที่เธอเดินไปใกล้ฟั่นจยาหลัว เขาก็ถอยไปสองก้าวเพื่อเปิดทางให้เธอ

หลินเนี่ยนฉือเดินวนช้าๆ พลางบรรยาย “เธอเหนื่อยจนแน่นิ่ง ล้มลง หลังหายเจ็บที่ปลายนิ้ว เธอตระหนักถึงความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า” มือที่ลอยอยู่เหนือศพของหลินเนี่ยนฉือเริ่มสั่น “นั่นคือความกระหายและหิวโหย!”

หมอโจวลูบคาง งึมงำเสียงเบา “น่าสนใจ”

ผู้จัดการคอนโดฯ กระแอม ใบหน้าเต็มไปด้วยความผยอง

ทันใดนั้นเสียงหวานใสของหลินเนี่ยนฉือเปลี่ยนเป็นแหบพร่า “เธอทรมานมาก ความหิวโหยกับความกระหายทรมานเธอไม่หยุดหย่อนทำให้เธอตกอยู่ในความหวาดกลัวและสิ้นหวังมากขึ้น เธอเริ่มรื้อกระเป๋าสะพายของตัวเองเพื่อหาอาหารและน้ำ เททุกอย่างลงบนพื้น ปัดป่ายอย่างบ้าคลั่ง เธอหิวจนเสียสติเลยกินลิปสติกของตัวเองและลองกัดของสีเหลืองๆ”

ตอนเธอเล่ามาถึงช่วงนี้ ไม่เพียงหมอโจวที่แตกตื่น แม้แต่เมิ่งจ้งที่พบเจอเรื่องประหลาดมามากยังเผลอปรายตามอง ความสามารถของผู้หญิงคนนี้สูสีกับอาจารย์ฟั่น!

ผู้จัดการคอนโดฯ แอบมองรายงานการชันสูตรที่อยู่ในมือหมอโจว พบว่าสาเหตุการตายคือไตล้มเหลวเนื่องจากขาดน้ำจริงๆ ต้าซือหลินเนี่ยนฉือเทพมาก!

หลินเนี่ยนฉือยื่นสองมืออยู่เหนือใบหน้าของผู้ตายอีกครั้ง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนล้า “ของสีเหลืองๆ นั่นไม่ใช่อาหาร พอเธอกัดไปได้สองคำก็ต้องทิ้งและเริ่มร้องไห้อย่างสิ้นหวังจนน้ำตาเข้าปาก ทันใดนั้นมันก็จุดประกายไอเดียให้เธอ เธอ…”

หลินเนี่ยนฉือนิ่งไปนานมาก “…เธอดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเอง เธอพยายามช่วยเหลือตัวเองแล้วแต่สติเลอะเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทันรู้ตัววันที่สองก็ผ่านไป เธอยังคงตกอยู่ในความสิ้นหวัง วันที่สามเธอยืนขึ้นไม่ได้ ข้างหน้ามีแต่ความมืด ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในห้องแคบๆ ช่วยปลุกสติเธอ ความหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือทำให้เธอดิ้นรนเพื่อตื่นขึ้นมามองคนที่พูดกับตัวเอง เธอตะโกนบอกเขาซ้ำๆ ว่า ‘ช่วยฉันด้วย’ ”

หลินเนี่ยนฉือส่ายหน้า น้ำเสียงสะอื้น “เธอเอาแต่ร้องว่าช่วยฉันด้วย แต่คนคนนั้นกลับไม่ยอมคุยกับเธอ และยิ่งไม่ยื่นมือมาช่วยเธอ วันที่สี่เธอยังคงพูดคำว่า ‘ช่วยฉันด้วย’ จนหมดสติและค่อยๆ ตายจากไปในช่วงที่ไม่ได้สตินั้น”

สิ้นคำสุดท้ายหลินเนี่ยนฉือก็นั่งแปะลงกับพื้น ไม่สามารถยันตัวเองเอาไว้ได้ แขนสองข้างกอดเข่าตัวเองแน่น ร้องไห้ออกมาอย่างกดดัน การสื่อวิญญาณคือการร่วมอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ของผู้ตายจะถูกส่งมายังผู้สื่อวิญญาณ ความทุกข์ทรมานที่พวกเขาได้รับจะคงอยู่ในใจของผู้สื่อวิญญาณเป็นเวลานาน

คนที่จิตไม่แข็งพอย่อมไม่อาจเป็นร่างทรงวิญญาณได้ ความสามารถมหัศจรรย์นี้เป็นดาบสองคม บางครั้งก็ไม่เป็นอะไร และบางครั้งก็ทำร้ายทั้งคนอื่นและตัวเอง

หลินเนี่ยนเอินรีบถอดเสื้อโค้ตออกมาห่มให้ศิษย์พี่หญิง และพูดปลอบที่ข้างหูเธอไม่หยุด

หมอโจวมองหญิงสาวที่ร้องไห้จนตัวสั่นแล้วมองรายงานการชันสูตรในมือ สีหน้าแปลกใจระคนสงสัย ทั้งยังแฝงด้วยความกระตือรือร้น

“รองผู้อำนวยการเมิ่งครับ คุณดูรายงานได้ เรื่องมันตรงตามที่เธอพูดทุกอย่าง” หมอโจวส่งรายงานการชันสูตรให้เมิ่งจ้ง ส่วนตัวเองไปเปิดผ้าคลุมสีขาวเพื่อประคองมือข้างหนึ่งของผู้ตายขึ้นมาอธิบายว่า “ปลายนิ้วของเธอปอกเปิก เล็บลอกหลุด ถ้าพวกคุณหาสถานที่เกิดเหตุพบน่าจะเจอคราบเลือดที่เกิดจากการตะกุยผนัง ในกระเพาะของเธอไม่มีอาหาร มีแต่เนื้อของลิปสติกสีแดงเล็กน้อย การที่ร่างกายขาดน้ำส่งผลให้อวัยวะภายในล้มเหลว สุดท้ายจึงเสียชีวิตเนื่องจากไตวาย ผมยืนยันได้…”

หมอโจวมองหลินเนี่ยนฉือแล้วพูดต่อ “ก็เหมือนอย่างที่คุณผู้หญิงคนนี้บอก ผู้ตายน่าจะถูกขังอยู่ในที่ที่ไม่มีอาหารและน้ำ ถ้าที่นั่นมีคนอยู่จริงอย่างที่เธอบอก คดีนี้น่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการฆาตกรรม แน่นอนว่าพวกคุณต้องไปหาหลักฐานเชื่อมโยงเอาเอง ผมทำได้แค่ชันสูตรเพื่อให้ข้อสรุปอย่างเป็นเหตุเป็นผล”

เมิ่งจ้งฟังหมอโจวพูดพลางพลิกรายงานการชันสูตรอ่านเร็วๆ ก่อนส่งต่อ

ซุนเจิ้งชี่สงสัย “ตกลงเธอถูกขังที่ไหน”

หลินเนี่ยนฉือเงยหน้า น้ำเสียงอ่อนล้า “ที่นั่นถูกปกคลุมด้วยหมอกดำ ฉันเห็นไม่ชัด รู้แต่ว่ามันแคบมาก ขนาดพอๆ กับลิฟต์ มีพลังงานขุมหนึ่งสกัดกั้นการสืบค้นของฉัน แต่ฉันมั่นใจว่าเธอถูกฆาตกรรม! ฉันสัมผัสได้ถึงความประสงค์ร้ายของคนคนนั้นตอนที่พูดคุยกับเธอ! มันเป็นความประสงค์ร้ายที่รุนแรงมาก!”

พูดถึงตรงนี้หญิงสาวก็กอดตัวเองแน่นขึ้น แก้มที่แดงจากการร้องไห้ปราศจากสีเลือดภายในชั่วพริบตา

“มีคนอยู่ในห้องนั้น?” เมิ่งจ้งเชื่อคำพูดของหลินเนี่ยนฉือจึงเริ่มสอบถาม

“ค่ะ มีคนและคอยมองเธออยู่ตลอด ตอนเธอดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ความประสงค์ร้ายของคนคนนั้นทวีความรุนแรงไม่หยุด เขาอยู่กับเธอตลอด” หลินเนี่ยนฉือยืนยัน

เมิ่งจ้งนึกถึงเนื้อหาในรายงานการชันสูตรก็รู้สึกถึงความเย็นเยือกที่แล่นปราดจากกระดูกสันหลังขึ้นมาถึงหนังศีรษะ วิธีฆ่าแบบนี้เหี้ยมมาก มันต่างจากการฝังทั้งเป็นตรงไหน ฆาตกรต้องมีความเกลียดแค้นถึงขั้นไหนถึงทำแบบนี้

ผู้จัดการคอนโดฯ เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของตำรวจก็พูดด้วยน้ำเสียงอวดโอ่ “ผมบอกแล้วว่าต้าซือหลินเนี่ยนฉือเก่งมาก!”

“ไม่หรอก เธอพูดผิดแล้ว ที่นั่นไม่มีคน มีแค่คุณเจียงคนเดียว” อยู่ดีๆ ฟั่นจยาหลัวที่เงียบมาตลอดก็ปฏิเสธคำบอกเล่าของหลินเนี่ยนฉือ เขายื่นมือไล่ไปตามปลายนิ้วเละเทะของผู้ตายเพื่อใช้จิตสัมผัสช้าๆ

พวกเมิ่งจ้งมองเขาตาเป็นประกายทันที เทียบกับนักพรตที่ไม่รู้ที่มาที่ไป พวกเขาย่อมเชื่อถือข้อสรุปของอาจารย์ฟั่นมากกว่า

สุดท้ายมือของฟั่นจยาหลัวไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของผู้ตาย น้ำเสียงนิ่งสนิท แต่วาจาที่เปล่งออกมากลับสะเทือนขวัญ “เธออยู่คนเดียว ถูกขังอยู่ในลิฟต์ตัวนั้นจนตาย ไม่ผิด มันคือที่ที่พวกคุณพบศพเธอ การตะโกน การขอความช่วยเหลือ การดิ้นรนของเธอล้วนเกิดขึ้นที่นั่น ไม่มีที่อื่น เธออยู่แต่ในลิฟต์ สี่วันสี่คืนไม่ได้ไปไหน”

พวกเมิ่งจ้ง “!!!”

ผู้จัดการคอนโดฯ กับหมอโจวตะโกนออกมาพร้อมกัน “เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 22 มี.. 65

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: