ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว
การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่
การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 218 การสื่อวิญญาณของฟั่นจยาหลัว
ถ้าบอกว่าการสื่อวิญญาณของหลินเนี่ยนฉือทำให้หมอโจวกับผู้จัดการคอนโดฯ แตกตื่น ตกตะลึง ถ้าอย่างนั้นการสื่อวิญญาณของฟั่นจยาหลัวก็เท่ากับทำลายสามทัศนะของพวกเขาแล้ว
ทั้งคู่กระโดดออกมาโต้แย้งคำพูดของชายหนุ่มทันที อารมณ์พลุ่งพล่านมาก
หมอโจวเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่วางอยู่ด้านข้างเพื่อดึงภาพที่ทางตำรวจส่งมาให้ตนออกมาทั้งหมด เขาชี้ไปที่หน้าจอ “คุณบอกผมทีสิว่าลิฟต์สะอาดๆ แบบนี้จะเป็นสถานที่ที่ขังเธอจนตายได้ยังไง คุณดูประตู ผนัง มีคราบเลือดที่เกิดจากปลายเล็บข่วนหรือเปล่า”
ผู้จัดการคอนโดฯ เขย่าแขนเสื้อหมอโจว ตะโกนอย่างร้อนรน “นี่มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องที่ว่าลิฟต์สะอาดหรือไม่สะอาด มีคราบเลือดหรือเปล่า แต่ทีมตำรวจของพวกคุณเอาคลิปจากกล้องวงจรปิดในลิฟต์ไปเช็กแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอติดอยู่ในลิฟต์สี่วันสี่คืนจริง แล้วคนที่เข้าออกลิฟต์ทุกวันคืออะไร ผีเหรอ คำพูดของคุณฟั่นคนนี้เหลวไหลทั้งเพ!”
ซุนเจิ้งชี่ไม่ไหวแล้ว เขาชี้ศพผู้หญิงในจอ “การที่จู่ๆ ก็มีศพหญิงสาวที่ตายแล้วหนึ่งถึงสองวันโผล่ขึ้นมาในลิฟต์ที่สะอาดและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมันเหลวไหลกว่าอีก ถ้าพวกคุณไม่เชื่อคำพูดของอาจารย์ฟั่น งั้นพวกคุณอธิบายให้เราฟังหน่อยซิว่าศพผู้หญิงคนนี้มาได้ยังไง!”
“เรื่องนี้…เรื่องนี้…” ผู้จัดการคอนโดฯ อับจนคำพูด
หมอโจวลูบคาง เข้าสู่ห้วงแห่งความคิด
ฟั่นจยาหลัวไม่สนใจการถกเถียงของคนอื่น เขายังคงยื่นมืออยู่เหนือใบหน้าศพผู้หญิง น้ำเสียงเครียดขรึม “ถึงเธอจะอยู่ในลิฟต์คนเดียว แต่กลับมีสายตาคู่หนึ่งคอยจดจ้องเธอ เฝ้าดูทุกการกระทำของเธอ สายตาเย็นชาเฝ้าดูเธอตั้งแต่เป็นจนตาย ตั้งแต่ดีใจเพราะมีหวังกระทั่งเสียใจเพราะสิ้นหวัง นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการฆาตกรรม”
ซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด ถ้าเป็นอย่างที่อาจารย์ฟั่นบรรยาย ตอนเจียงเข่อเข่อตายเธอจะเจ็บปวดมากแค่ไหนนะ คนที่ขังเธอจนตายต้องเกลียดแค้นเธอมากเพียงใด มิน่า ขนาดเธอตายแล้วสีหน้ายังคงดุร้ายบิดเบี้ยวแบบนี้!
ทั้งคู่มองไปที่ศพผู้หญิงบนเตียงชันสูตร กล้ามเนื้อหน้าบิดเบี้ยวจนดูอัปลักษณ์อย่างที่สุด เห็นแล้วรู้สึกขนลุกขนพอง คนที่ฆ่าเธอใช้วิธีเหี้ยมมาก ใจดำอำมหิตอย่างน่ากลัว! เขามองเห็นเจียงเข่อเข่อร่วงลงสู่ความสิ้นหวังกับตา แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่ทำอะไร หรือหัวใจของเขาทำมาจากก้อนหิน?
หมอโจวไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธข้อสรุปของฟั่นจยาหลัว แต่ผู้จัดการคอนโดฯ เป็นเดือดเป็นแค้นในคำพูดของชายหนุ่มมาก แบบนี้มันเท่ากับสาดน้ำสกปรกใส่บริษัทพวกเขาชัดๆ! ไม่ได้ คดีนี้จะปล่อยให้ตำรวจสืบอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แล้ว เพราะดูเหมือนพวกตำรวจจะเชื่อถือคำพูดของดารากระจอกคนนี้มาก ถ้าพวกตำรวจผลักความรับผิดชอบมาให้บริษัทจริง ต่อไปคอนโดฯ ของพวกเขาจะยังปล่อยเช่าได้อีกหรือ
คิดมาถึงตรงนี้ผู้จัดการคอนโดฯ ก็รีบวิ่งไปประคองหลินเนี่ยนฉือ พูดเสียงเบา “ต้าซือครับ ผมเชื่อคำพูดของคุณ คนต้องไม่ได้ถูกฆ่าที่คอนโดฯ เราแน่ ผมจะเพิ่มเงินให้ ขอให้คุณช่วยสืบคดีนี้ให้กระจ่างด้วย!”
“เมื่อตอบรับการไหว้วานของคุณแล้วเราย่อมต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุดค่ะ” หลินเนี่ยนฉือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา พูดเสียงแหบแห้ง “ฉันอยากไปดูลิฟต์ตัวนั้น ไม่ทราบว่าสะดวกหรือเปล่าคะ”
“สะดวกครับ สะดวก ผมจะพาคุณไป” ผู้จัดการคอนโดฯ อยากเขี่ยตำรวจกลุ่มนี้ออกจากการสืบคดีนี้ไวๆ คอนโดฯ ของพวกเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นห้องคงปล่อยออกเช่าไม่ได้
ทันใดนั้นเมิ่งจ้งก็เอ่ยขึ้นมา “อาจารย์ฟั่นครับ เราไปดูที่เกิดเหตุกันเถอะ”
ทว่าฟั่นจยาหลัวเอาแต่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่ตอบ ดวงตาหลุบต่ำมองศพผู้หญิงตาไม่กะพริบราวกับกำลังสื่อสารแบบไร้เสียงกับอีกฝ่าย
หมอโจวเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาก ข้อสรุปของฟั่นจยาหลัวจึงเป็นเหมือนก้างปลาติดคอสำหรับเขา อดบ่นออกมาหนึ่งประโยคไม่ได้ “คนไม่มีความรู้ทั่วไป ความคิดไม่มีตรรกะยังจะคลี่คลายคดีอะไรได้!”
ระหว่างที่หมอโจวพูดจาเสียดสี ฟั่นจยาหลัวก็หลับตาลงพลางสวดมนต์เสียงเนิบ “เวิง เป้ยหม่า ต๋าเลี่ย ฮง เวิง เป้ยหม่า ต๋าเลี่ย ฮง…”* พอครบเจ็ดรอบน้ำเสียงก็กดต่ำเนิบช้า “เวิง ปู้หลิน”
ไม่รู้ทำไมตอนเขาสวดมนต์เสียงเบา ภายในห้องเก็บศพเย็นจัดจึงมีลมโชยมาวูบหนึ่ง ลมนี้ไม่มีกลิ่นคาว ไม่ทำให้ตัวสั่น แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่น พัดผ่านผิวแก้มไป ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมาก และในขณะเดียวกัน สิ่งมหัศจรรย์ยิ่งกว่าก็ได้ปรากฏขึ้น เมื่อใบหน้าที่บิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความทุกข์ทนและอาฆาตของหญิงสาวผ่อนคลายลง กลับคืนสู่สภาพเดิมท่ามกลางเสียงสวดเบาๆ
เห็นได้ว่าเธอกลับไปเป็นเหมือนภาพถ่ายที่มีรอยยิ้มสวยที่ทางตำรวจใช้ตามหาคน ทั้งที่เจียงเข่อเข่อจากไปนานแล้ว แต่หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของเธอกลับผ่อนคลายลงทันตา มุมปากที่ตึงแน่นค่อยๆ คลายออกและยกสูงขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบางๆ อย่างคนหลุดพ้น
เธอตายแล้ว แต่กลับเหมือนคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงสวดมนต์ของชายหนุ่ม
หลังสายลมอ่อนเบาพัดผ่านไป ท่าทางของศพผู้หญิงที่อยู่บนเตียงชันสูตรก็เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล! ภาพนี้ทำให้หมอโจวผู้เชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์มองจ้องจนลูกตาเกือบหลุดออกจากเบ้า ผู้จัดการคอนโดฯ ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
ซุนเจิ้งชี่อดรนทนไม่ไหว เขาถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “อาจารย์ฟั่นครับ คุณทำอะไรเธอเหรอ ทำไมเธอถึงยิ้ม”
“ผมส่งเธอไปสู่สุคติ” ฟั่นจยาหลัวเก็บมือ พูดเสียงเรียบ “ไปเถอะ ไปดูสถานที่เกิดเหตุกัน”
“ครับๆ!” ซุนเจิ้งชี่พยักหน้าโง่ๆ ในใจสั่นไหว พูดได้ว่าจิตวิญญาณที่ตกอยู่ในทางตันของเจียงเข่อเข่อเพิ่งจะหลุดพ้นอย่างแท้จริงเมื่อครู่นี้เองใช่ไหม หลินเนี่ยนฉือคนนั้นเป็นผู้สืบทอดของสำนักเต๋าเก่าแก่ แต่กลับไม่ยอมปลอบประโลมวิญญาณตายโหงของผู้ตาย เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ เทียบกับอาจารย์ฟั่นแล้ว เธอไม่ได้แค่ด้อยกว่าในเรื่องความสามารถ แต่ยังด้อยกว่าในเรื่องของจิตใจด้วย บนโลกไม่มีคนอย่างอาจารย์ฟั่นอีกแล้วจริงๆ!
พอคิดมาถึงตรงนี้ซุนเจิ้งชี่ก็เผลอแสดงสีหน้าเลื่อมใสออกมา
ซ่งรุ่ยที่ยืนอยู่ข้างฟั่นจยาหลัวตลอดพูดเสียงนุ่ม “ในเมื่อทุกคนไม่รีบ งั้นเรามาอธิษฐานให้คุณเจียงเข่อเข่อกันหน่อยเถอะ” เขาหลับตาเป็นคนแรก สวดมนต์ในใจ ก่อนหน้านี้เขานึกภาพตัวเองซึ่งจิตใจเต็มไปด้วยความมืดดำเอ่ยปากเสนอเรื่องที่แสนอ่อนโยนแบบนี้ไม่ออกเลย
เมิ่งจ้งที่เดินไปถึงประตูแล้วเดินกลับมาทันที เขายืนสงบนิ่งอยู่ข้างเตียงชันสูตร ตำรวจนายอื่นๆ ก็หลับตาลงโดยอัตโนมัติเพื่ออธิษฐานให้เจียงเข่อเข่อด้วยความจริงใจ
ส่วนหมอโจวก่อนทำการผ่าชันสูตรทุกครั้งเขาจะประกอบพิธีแบบเดียวกันนี้ต่อหน้าศพเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ตาย แต่กลับถูกเพื่อนร่วมงานหัวเราะเยาะเป็นประจำ ตอนนี้พอเขาได้มาเห็นทุกคนทำแบบนี้ มันทำให้ความรู้สึกที่เขามีต่อฟั่นจยาหลัวยกระดับสูงขึ้นมากในชั่วพริบตา เพราะหมอโจวแน่ใจว่าคนที่มีความเคารพต่อสรรพชีวิตและมีจิตใจเมตตาแบบนี้ไม่มีทางเป็นคนเลว
หมอโจวจึงเดินเข้ามาร่วมกลุ่มอธิษฐานด้วย สองขาของผู้จัดการคอนโดฯ ที่ตอนแรกเอาแต่บ่นเผลอเดินมาด้วย เขาหลับตา ท่องบทสวดเลียนแบบฟั่นจยาหลัวตอนก่อนหน้าเพื่อส่งผู้ตายไปสู่สุคติ เขาไม่รู้ว่าการทำแบบนี้มีประโยชน์หรือไม่ จะช้าเกินไปหรือเปล่า แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกระวนกระวายใจของเขาได้รับการปลอบประโลมอย่างแท้จริง
หลินเนี่ยนเอินกับหลินเนี่ยนฉือกลายเป็นคนที่ประดักประเดิดที่สุด พวกเขาไม่อยากเข้าร่วมวงกับฟั่นจยาหลัว แต่ก็มีความรู้สึกว่าถ้าไม่เข้าร่วมตอนนี้จะแสดงให้เห็นถึงความใจแคบและเห็นแก่ตัวของตน
ทั้งคู่มองตากัน บนหน้ามีประโยคหนึ่งเขียนว่า…‘ไปมั้ย’ แต่ระหว่างที่พวกเขากำลังลังเล พิธีไว้อาลัยก็เสร็จสิ้นลง ทุกคนต่างทยอยเดินออกไปข้างนอก พอเห็นคนสองคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงประตู ในดวงตาของแต่ละคนฉายแววดูแคลน
ไม่รู้จักให้เกียรติและเคารพวิญญาณตายโหงของผู้ตายแล้วยังจะเป็นผู้สืบทอดของสำนักเต๋าเก่าแก่ได้อีกหรือ!
สีหน้าของหลินเนี่ยนฉือกับหลินเนี่ยนเอินเปลี่ยนเป็นดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ทั้งคู่หมุนตัวเดินไปอย่างรวดเร็ว จนออกห่างจากทุกคนมากพอแล้วถึงค่อยพูดคุยกันเบาๆ
หลินเนี่ยนเอินเอ่ย “ผมมีความรู้สึกว่าวิธีสวดส่งวิญญาณตายโหงของฟั่นจยาหลัวมีความเหนือชั้นเป็นพิเศษ บทสวดที่เขาใช้คืออมิตาภพุทธหฤทัยสูตร มีประสิทธิภาพในการส่งวิญญาณอยู่ในระดับธรรมดามาก แค่ปลอบประโลมวิญญาณคนตายแบบทั่วๆ ไปได้ แต่ดูเหมือนคำพูดคำจาของเขาจะมีน้ำหนักมาก”
หลินเนี่ยนฉือส่ายหน้า “ฉันฟังไม่ออกว่าเขาท่องอะไร ศิษย์น้องรอบรู้กว่า”
หลินเนี่ยนเอินโบกมืออย่างรู้สึกไม่ค่อยดี “ไม่เลยครับ ผมแค่ศึกษาเรื่องศาสนาพุทธเล็กๆ น้อยๆ ในเวลาว่าง ฟั่นจยาหลัวค่อนข้างต่างไปจากที่ผมจินตนาการไว้” ส่วนไม่เหมือนตรงไหนเขาไม่กล้าพูดว่าคนที่สามารถสวดส่งวิญญาณให้กลายเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างง่ายดาย ตัวคนสวดจะต้องมีจิตใจที่ใสสะอาด แล้วฟั่นจยาหลัวจะเป็นคนเลวจริงหรือ ดูไม่เหมือนเลยจริงๆ
คิดมาถึงตรงนี้หลินเนี่ยนเอินก็อดนึกแคลงใจในเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาในสำนักไม่ได้ แต่พอคิดถึงท่านป้าที่ตายอย่างอนาถกับท่านปรมาจารย์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าต้องกำจัดฟั่นจยาหลัว
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าทั้งคณะเดินทางมาถึงคอนโดฯ โรสโกลด์ เข้าไปยังตึกเอเพื่อเดินไปหน้าลิฟต์ตัวที่ยังคงถูกปิดไว้
“ต้าซือทั้งสองครับ นี่คือสถานที่พบศพ” ผู้จัดการคอนโดฯ พูดผ่านเทปกั้นสีเหลืองของทางตำรวจ
เวลานี้ประตูลิฟต์ตัวซึ่งถูกกั้นด้วยเทปกั้นเขตกำลังเปิดอ้า เจ้าหน้าที่เทคนิคจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ข้างในกำลังใช้แปรงอันเล็กทาผงละเอียดสีดำชนิดหนึ่งลงตามผนังด้านใน ปุ่มกด ซอกมุมเพื่อเก็บลายนิ้วมือ นี่เป็นสถานที่ที่มีคนเข้าออกตลอดเวลา ลายนิ้วมือจึงเยอะเป็นพิเศษ การนำกลับไปพิสูจน์ทีละรอยๆ เป็นงานใหญ่มาก
เห็นผู้จัดการคอนโดฯ กับชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคนยื่นหน้าจากเทปกั้นเขตมาดู เจ้าหน้าที่เทคนิคตั้งใจจะไล่คน แต่กลับเห็นเมิ่งจ้งก้าวยาวๆ เดินมา เขาเลยรีบวางแปรงเพื่อทำความเคารพ “รองผู้อำนวยการเมิ่งมาแล้ว หัวหน้าจวงยังอยู่ข้างบนเพื่อสอบปากคำผู้พักอาศัย คุณจะไปดูหรือเปล่าครับ ทางนี้ผมยังเก็บลายนิ้วมืออยู่ ต้องอย่างน้อยอีกหนึ่งหรือสองชั่วโมงกว่าจะเสร็จ”
เมิ่งจ้งโบกมือ “คุณทำงานไปเถอะ ผมแค่พาอาจารย์ฟั่นกับด็อกเตอร์ซ่งมาดูที่เกิดเหตุ”
“งั้นพวกคุณระวังหน่อยนะครับ ไปยืนกันทางซ้าย ลายนิ้วมือทางซ้ายเก็บหมดแล้ว ไม่เป็นไร แน่นอนว่าถ้าพวกคุณไม่เข้ามาเลยจะเป็นการดีที่สุด” เจ้าหน้าที่เทคนิคกำชับแล้วนั่งยองๆ เพื่อทำงานต่อ
เมิ่งจ้งผงกศีรษะรับคำ เขาพูดด้วยน้ำเสียงขอความเห็น “อาจารย์ฟั่นครับ เราต้องเข้าไปดูหรือเปล่า”
“ไม่จำเป็นครับ” ฟั่นจยาหลัวกับซ่งรุ่ยยืนกันคนละด้าน มองเข้าไปด้านใน
หมอโจวที่สะกดความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวเลยตามมา ชี้ไปที่ลิฟต์สะอาดสะอ้านเป็นมันวับ “พวกคุณดูสิ ที่นี่เหมือนสถานที่เกิดเหตุแห่งแรกเหรอ”
เจ้าหน้าที่เทคนิคขำมุกตลกนี้ เขาพูดเสียงดัง “ที่นี่ไม่ใช่ที่เกิดเหตุแห่งแรกอยู่แล้ว! พวกคุณดูสิ ที่นี่มีแต่ลายนิ้วมือ มีร่องรอยคนถูกขังที่ไหน พวกคุณดูภาพจากกล้องวงจรปิดตรงนั้นก็ได้ มันโชว์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้ามีคนติดอยู่ในลิฟต์จริง ยามจะไม่เห็นได้เหรอ”
ผู้จัดการคอนโดฯ รีบรับคำ “จริงครับ จริงๆ มาตรการรักษาความปลอดภัยของคอนโดฯ เราดีเยี่ยม ถ้ามีคนติดอยู่ในลิฟต์กริ่งต้องดังแน่ และยามก็จะมาช่วยทันที ถ้าพวกคุณอยากตรวจสอบคดีนี้ต้องไปหาเบาะแสที่อื่น อย่ามาเดินวนอยู่ในคอนโดฯ เราเลย มันเสียเวลาเปล่าๆ”
เพื่อไล่พวกตำรวจออกไปไวๆ ให้ผู้พักอาศัยอยู่ในคอนโดฯ สบายใจ ผู้จัดการคอนโดฯ ต้องเค้นสมองสุดชีวิต
เสียดายที่เมิ่งจ้งไม่สนใจเขา เอาแต่มองฟั่นจยาหลัว เอ่ยถาม “อาจารย์ฟั่นครับ คุณมองปัญหาออกมั้ย”
ฟั่นจยาหลัวยกมือขึ้นกลางอากาศ ไม่พูดไม่จา
หลินเนี่ยนฉือยื่นมือออกไปอย่างไม่ยอมแพ้ ใช้จิตสัมผัสอย่างเต็มที่
หนึ่งนาทีผ่านไป สองนาทีผ่านไป…ระหว่างที่ทุกคนเริ่มกระวนกระวาย หลินเนี่ยนฉือที่หลับตาแน่นส่ายหน้า “ไม่ใช่ ที่ที่ขังเจียงเข่อเข่อไว้จนตายไม่ใช่ที่นี่ ฉันสัมผัสความหวาดกลัวและสิ้นหวังที่เธอทิ้งไว้ไม่ได้เลย สองอย่างเป็นอารมณ์ด้านลบที่มีความรุนแรงที่สุดของมนุษย์ พวกมันสามารถวนเวียนอยู่ในอากาศโดยไม่สลายได้นานเป็นสิบปี ยี่สิบปี ถึงร้อยปี ที่ที่ขังเธอไว้จนตายไม่ใช่ที่นี่”
ผู้จัดการคอนโดฯ ปรบมือ พูดเสียงดัง “ผมบอกแล้วว่าคอนโดฯ เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม!”
เมิ่งจ้งมองหลินเนี่ยนฉือด้วยสายตาลึกซึ้ง ไม่พูด เขายังคงคอยข้อสรุปจากอาจารย์ฟั่น
พวกซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินต่างมองไปที่ฟั่นจยาหลัวโดยไม่เลื่อนสายตาไปทางอื่น ไม่ได้เก็บเอาคำพูดของหลินเนี่ยนฉือมาใส่ใจ
ท่าทางมองเมินของพวกเขาทำให้หลินเนี่ยนเอินโกรธ เขาดึงแขนเสื้อศิษย์พี่หญิง ยิ้มเย็นพลางเอ่ย “เราไปกันเถอะ การคุยกับคนโง่ไม่มีอะไรดีหรอก”
แต่หลินเนี่ยนฉือส่ายหน้า “ไม่ ฉันอยากใช้จิตสัมผัสดูอีกครั้ง เผื่อจะช่วยพวกเขาหาที่คุมขังคุณเจียงได้”
หลินเนี่ยนเอินถลึงตาใส่พวกตำรวจปราดหนึ่ง แอบด่าพวกเขาว่าช่างไม่รู้จักดีชั่วเสียเลย แต่ยังคงผงกศีรษะตอบศิษย์พี่หญิงของตน “ก็ได้ แต่ศิษย์พี่ใจดีเกินไป คนใจดีมักถูกรังแก พี่รู้หรือเปล่า”
หลินเนี่ยนฉือยิ้ม ส่ายหน้า หลับตาเพื่อใช้จิตสัมผัสต่อ
เจ้าหน้าที่จากหน่วยพิสูจน์หลักฐานพูดด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น “พวกคุณมัวทำอะไรอยู่ที่นี่ พิธีสื่อวิญญาณเหรอ รองผู้อำนวยการเมิ่งครับ รูปแบบการปรากฏตัวของศพพิสดารมากก็จริง แต่ผมรับประกันได้ว่าเธอไม่ได้ตายที่นี่แน่นอน คุณ…”
เขาพูดยังไม่ทันจบคำ ฟั่นจยาหลัวก็พูดเสียงเนิบ “เธอตายที่นี่…”
เจ้าหน้าที่เทคนิค “…”
เมิ่งจ้งรีบมองไปทางอาจารย์ฟั่นด้วยหวังว่าจะได้รับคำตอบจากปากเขา พวกซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินรีบหยิบสมุดโน้ตกับปากกาลูกลื่นออกจากกระเป๋า เฝ้ารออย่างเอาจริงเอาจัง
ฟั่นจยาหลัวนิ่งไปสักพักก่อนเอ่ย “…แต่ก็ไม่ได้ตายที่นี่”
เจ้าหน้าที่เทคนิค “…”
เมิ่งจ้ง “…”
ซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวิน “…”
คำพูดประโยคนี้ย้อนแย้งกันเกินไปทำเอาหลินเนี่ยนฉือต้องหยุดการใช้จิตสัมผัส ทำหน้าแบบพูดไม่ถูก
หลินเนี่ยนเอินขำพรืด บนหน้ามีคำว่า ‘เพ้อเจ้อ’ เขียนไว้เด่นหรา
ผู้จัดการคอนโดฯ ที่ตอนแรกเริ่มซูฮกฟั่นจยาหลัวส่ายหน้า นึกด่าในใจว่าพวกต้มตุ๋น เพราะถ้าไม่ใช่พวกต้มตุ๋น ใครมันจะพูดจาประเภทเดี๋ยวใช่เดี๋ยวไม่ใช่ ตีความได้สองนัย ไร้ตรรกะแบบนี้
มีเพียงซ่งรุ่ยที่ซักต่ออย่างสนอกสนใจ “ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ”
ฟั่นจยาหลัวเดินไปที่กลางประตูลิฟต์ พูดกับเจ้าหน้าที่เทคนิค “รบกวนคุณออกมาข้างนอกสักครู่ได้หรือเปล่าครับ”
ไม่รู้ทำไมเจ้าหน้าที่เทคนิคถึงเดินออกมาอย่างว่าง่าย
ฟั่นจยาหลัวกางสองแขนยันสองด้านของประตูลิฟต์เพื่อถ่ายเทสนามแม่เหล็กมหาศาลดุจท้องทะเลของตัวเองเข้าไปในลิฟต์ซึ่งเป็นพื้นที่ปิดและคับแคบอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีไฟที่ติดตั้งอยู่บนเพดานลิฟต์ก็เริ่มติดๆ ดับๆ ทำให้รอบด้านเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด แสงสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเขียวหม่นทำให้บรรยากาศภายในลิฟต์เต็มไปด้วยความน่ากลัว
พอเห็นภาพนี้เจ้าหน้าที่เทคนิคที่นั่งยองๆ อยู่ในลิฟต์เมื่อครู่ก็หลุดทำหน้าแตกตื่น แล้วสิ่งที่น่าหวาดผวายิ่งกว่าก็เกิดขึ้น เมื่อไฟสีเขียวหม่นติดๆ ดับๆ นั่นนิ่งลง แสงหม่นๆ สาดไปทั่วภายในลิฟต์ แต่ผนังลิฟต์ที่เคยสะอาดเป็นเงาวับกลับเหมือนภาพวาดด้วยหมึกดำที่ตกลงไปในทะเลสาบ มันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นลายพร้อยและมืดสลัว
ภายในลิฟต์เหมือนผ่านการถูกสาดน้ำกรด มีหมอกดำตลบฟุ้ง ผนังโลหะสีทองของลิฟต์สึกกร่อนและมีรอยเลือดที่เกิดจากห้านิ้วตะกุยตะกายผุดขึ้นมาทีละรอยๆ มากมายละลานตา พาดผ่านกันไปมาเห็นแล้วสะเทือนขวัญ แม้แต่บนเพดานยังมีรอยแต้มสองสามจุด ทุกที่บนพื้นมีแผ่นเล็กๆ เปื้อนเลือดกระจัดกระจาย เมื่อดูให้ดีๆ จะเห็นว่ามันคือแผ่นเล็บที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์
ร่องรอยเหล่านี้ทำให้ทุกคนจินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าเจียงเข่อเข่อที่ถูกขังอยู่ที่นี่ดิ้นรนอย่างหนักแค่ไหน เนื่องจากตอนนี้ประตูลิฟต์เปิดอยู่ พวกเขาจึงยังไม่เห็นภาพด้านใน ถ้ามันปิดผนังด้านในของประตูจะต้องเต็มไปด้วยคราบเลือดของเธอแน่ เจียงเข่อเข่อเรียกฟ้า ฟ้าไม่ตอบ เรียกดิน ดินไม่ขาน เสียงเดียวที่ตอบเธอกลับมองเธอเดินไปสู่ความตายด้วยความกระตือรือร้นถึงขั้นเบิกบาน
การปรากฏของมิตินี้เป็นเรื่องอัศจรรย์และพิสดารเกินไป ถึงขั้นทำให้ทุกคนสูญสิ้นความสามารถในการใช้ถ้อยคำและการแสดงสีหน้า
พวกคนที่เมื่อครู่ยังตีให้ตายก็ไม่ยอมเชื่อฟั่นจยาหลัว ตอนนี้ทำได้เพียงมองลิฟต์ที่มีคราบเลือดเป็นดวงๆ ด้วยอาการปากอ้าตาค้าง นอกจากความตื่นตระหนกแล้วในสมองก็มีแต่ความว่างเปล่า ต่อให้เป็นหลินเนี่ยนเอินกับหลินเนี่ยนฉือที่พบเจอเรื่องอะไรมามากยังตกใจจนถอยกรูด สีหน้าเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง
สองตาของเมิ่งจ้งเบิกโพลง อึ้งอยู่กับที่ ปากกาลูกลื่นในมือของซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินตกลงพื้นดังแก๊ก แต่พวกเขาลืมเก็บ
ซ่งรุ่ยมองซ้ายมองขวา ถอนหายใจเงียบๆ แล้วหยิบกล้องของเจ้าหน้าที่เทคนิคที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมา ก่อนเดินไปที่ด้านหลังของฟั่นจยาหลัวเพื่อถ่ายภาพที่เกิดเหตุภายในลิฟต์ข้ามไหล่เขา
พอเห็นท่าไม่ตื่นไม่กลัว นิ่งเฉยเป็นปกติของซ่งรุ่ยก็ทำให้ทุกคนค่อยๆ ได้สติ
ฟั่นจยาหลัวพูดเสียงเนิบ “คุณเจียงเข่อเข่อถูกขังอยู่ในมิติทับซ้อนจนตาย”
หมอโจวผู้เชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์เกือบล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งบนพื้น ที่แท้มิติทับซ้อนก็มีจริง! มันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครเป็นคนทำ ฆาตกรที่สร้างอีกมิติหนึ่งขึ้นมาขังคนไว้จนตายได้ต้องเป็นตัวอะไร และคนที่สามารถเสาะหามิตินี้ออกมาได้อย่างฟั่นจยาหลัวคือตัวอะไรกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 24 มี.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.