X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7 บทที่ 256 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว

การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่างกาย

การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 256 โลกภายในใจของด็อกเตอร์ซ่ง

ในใจของซ่งรุ่ยมีข้อสันนิษฐานมากมาย แต่ก่อนจะได้พบฟั่นจยาหลัว เขาไม่มีทางแชร์ข้อสันนิษฐานพวกนี้ให้คนของทีมสืบสวนฟัง เขาค่อยๆ ตระหนักได้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้พยายามค้นหาความจริง ยิ่งพูดมากอาจยิ่งสร้างความยุ่งยากให้ฟั่นจยาหลัว

“สิ่งที่ผมจะให้ไม่ได้มีแค่คำให้การ แต่มีหลักฐานด้วย” ซ่งรุ่ยหยิบมือถือออกมาหาคลิปจากกล้องวงจรปิดเมื่อคืน “นี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านเก่าสกุลฟั่น คุณจะเห็นได้ว่าช่วงที่เกิดโศกนาฏกรรมครั้งแรกฟั่นจยาหลัวอยู่กับผม”

ผู้รับผิดชอบรับมือถือเขาไปดูอยู่พักหนึ่งก่อนยิ้มแบบเสแสร้ง “ด็อกเตอร์ซ่งครับ คลิปจากกล้องวงจรปิดที่คุณบอกอยู่ไหน ทำไมผมไม่เห็นอะไรเลย”

ซ่งรุ่ยแย่งมือถือมา แต่กลับเห็นหน้าจอดำมืดเพราะเกิดข้อขัดข้องอย่างน่าอัศจรรย์ หลังรีบูตเครื่องใหม่ ข้อมูลในมือถือกับซิมก็หายไปหมด หรือพูดได้ว่าคลิปจากกล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าฟั่นจยาหลัวไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุถูกทำลาย ยิ่งไปกว่านั้นระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านเก่าสกุลฟั่นที่เชื่อมต่อกับมือถือเครื่องนี้ก็พลอยถูกแฮกทำให้ภาพข้างในหายเกลี้ยง

ซ่งรุ่ยสไลด์เพื่อตรวจสอบมือถืออย่างรวดเร็ว เขาเชื่อมต่อระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านเก่าสกุลฟั่นอีกครั้งเพื่อค้นคลิปคลิปนั้นกลับมา แต่ก็ไม่สำเร็จ

ตอนเขาเอามือถือให้ผู้รับผิดชอบกระทั่งอีกฝ่ายส่งมือถือกลับมาใช้เวลาแค่ห้าถึงหกวินาที เวลาห้าถึงหกวินาทีนั้นจะทำอะไรได้ ต่อให้เป็นแฮกเกอร์ที่เก่งที่สุดในโลกก็น่ากลัวว่าจะเจาะเข้ามือถือหนึ่งเครื่องกับระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงหนึ่งระบบไม่ได้ แถมยังมีการลบข้อมูลข้างในทั้งหมดอีก

แต่ผู้รับผิดชอบคนนี้ทำได้ชนิดเทพไท้ไม่รู้ ภูตผีไม่เห็น ทั้งที่เขาไม่ได้แตะถูกปุ่มอะไรบนมือถือเลย แค่แนบฝ่ามือกับเคสโทรศัพท์เท่านั้น

ดวงตาของซ่งรุ่ยเปล่งประกายอย่างเข้าใจ “คุณเป็นพิชาน”

นอกจากพิชานยังจะมีใครทำเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้ได้อีก

ผู้รับผิดชอบกอดอก พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ด็อกเตอร์ซ่ง คุณกำลังพูดอะไรหรือครับ”

ซ่งรุ่ยกำมือถือที่ปราศจากข้อมูลไว้แน่น น้ำเสียงเรียบสนิท “เปล่า ผมไม่ได้พูดอะไร”

“ในเมื่อคุณไม่มีหลักฐาน คำให้การก็ปราศจากความน่าเชื่อถือ อย่างนั้นคุณก็ไปเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ถึงคุณเข้ามาแจมด้วยก็ไม่มีประโยชน์ เชิญ” ผู้รับผิดชอบลุกขึ้นยืน เปิดประตูห้องรับแขกแสดงท่าทีไล่ส่ง

แต่ซ่งรุ่ยกลับนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม พูดเสียงแข็ง “ผมต้องการพบฟั่นจยาหลัว”

“ที่นี่คือกรมตำรวจ ไม่ใช่สำนักย่อยเขตใต้ ไม่ใช่ว่าคุณอยากเจอใครก็เจอได้” ผู้รับผิดชอบแสดงความรำคาญใจ

“เหรอ แต่ผมว่าหลักฐานที่ยืนยันว่าฟั่นจยาหลัวไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุมันชัดเจนมาก และผมเป็นทนายความของฟั่นจยาหลัว ผมย่อมมีสิทธิ์ที่จะพบเขา”

“หลักฐานยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุชัดเจน? อยู่ไหนเหรอ” ผู้รับผิดชอบถูกทำให้ขำ มุมปากโค้งขึ้น แสดงความหมิ่นแคลนออกมาแบบร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์

“หลักฐานน่ะผมส่งไปให้ท่านผู้นำแล้ว นี่คือคำสั่งปล่อยตัวจากท่านผู้นำ เราพบฟั่นจยาหลัวได้แล้วใช่มั้ย” ทันใดนั้นหัวหน้าเหยียนกับเมิ่งจ้งก็เอาเอกสารหนึ่งฉบับมาปรากฏตัวที่ประตู ตราประทับสีแดงที่แสดงถึงอำนาจบนหัวเอกสารแทงเข้าตาผู้รับผิดชอบอย่างจัง

ผู้รับผิดชอบคิดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าเหยียนจะแทงเรื่องนี้ขึ้นไปถึงเบื้องบน หรือเขาไม่กลัวเบื้องบนจะมองว่าเขาทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากนี้คนตัวเล็กตัวน้อยอย่างฟั่นจยาหลัวมีค่าอะไรให้เบื้องบนออกคำสั่งปล่อยตัว

เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของผู้รับผิดชอบ ซ่งรุ่ยก็ครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มจัดชุดสูทและลูบรอยยับบนแขนเสื้อ พูดเสียงเนิบ “ผมเดาว่าปกติคุณคงไม่ชอบเรียนหนังสือ?”

ผู้รับผิดชอบหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ และโกรธเคือง

“เพราะถ้าคุณเป็นคนชอบเรียนรู้ คุณน่าจะรู้ว่ายุคนี้มีวิธีเก็บรักษาข้อมูลที่เรียกว่าคลาวด์สตอเรจ ต่อให้คุณลบข้อมูลในมือถือผมและลบข้อมูลในระบบรักษาความปลอดภัยไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผมมอบหมายให้เซิร์ฟเวอร์ของบุคคลที่สามเก็บรักษาคลิปพวกนี้ไว้แทน จากนั้นก็ส่งมันไปให้คนที่มีค่าน่าไว้ใจได้”

ซ่งรุ่ยเดินเฉียดไหล่ผู้รับผิดชอบ ใช้ปลายนิ้วแตะขมับตัวเองพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมิ่นแคลน “คนคนหนึ่งเก่งจริงหรือไม่ สิ่งที่ต้องดูคือสมองกับบุคลิก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้คุณไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง”

ผู้รับผิดชอบโมโหจนเกือบจะเป็นลม แต่ข้างตัวของซ่งรุ่ยคือหัวหน้าเหยียนกับเมิ่งจ้ง ยศของทั้งคู่สูงกว่าตน และในมือยังถือคำสั่งปล่อยตัวที่ออกโดยท่านผู้นำทำให้เขาไม่กล้าส่งเสียง

การที่ท่านผู้นำให้ความสนใจกับคดีนี้ ตัวเขาที่เป็นผู้รับผิดชอบย่อมถูกรายงานเรื่องความเคลื่อนไหวและคำพูดทุกอย่าง ถ้ามีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวเขาย่อมมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาท่านผู้นำ แบบนั้นเส้นทางของเขาย่อมถูกทำลาย

กว่าเขาจะได้เป็นพิชาน มีความสามารถในการแสวงหาความก้าวหน้าก็ไม่ง่าย แล้วจะให้ยอมร่วงลงไปที่จุดเริ่มต้นได้ยังไง

พอคิดแบบนี้ผู้รับผิดชอบก็ล้มเลิกแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น เตรียมปรับตัวไปตามสถานการณ์

 

ภายในห้องสอบสวน ตำรวจสองนายกำลังสอบปากคำฟั่นจยาหลัว แม้ท่าทีจะยังไม่ถึงกับเลวร้ายแต่ก็นับว่าใกล้เคียง พวกเขาไม่เอาน้ำให้ฟั่นจยาหลัวดื่ม ไม่เอาเก้าอี้สบายๆ ให้ฟั่นจยาหลัวนั่ง แถมยังเอาแสงไฟสีขาวจ้าส่องตาเขา สองมือและสองขาของฟั่นจยาหลัวถูกพันธนาการด้วยตุ้มเหล็กหนักอึ้ง

“บอกมา! เมื่อคืนตอนสามทุ่มครึ่งคุณอยู่ที่ไหน” ตำรวจนายหนึ่งตบโต๊ะอย่างแรง

ไฟขาวอยู่ใกล้หน้าฟั่นจยาหลัวมาก ใกล้จนความร้อนที่สาดออกมาจากดวงไฟเกือบจะเผาปลายผมของเขา แต่ฟั่นจยาหลัวกลับลืมตามองตรงไปยังแสงจ้านั้นได้โดยไม่มีน้ำตาปริ่มออกมาตามหลักชีววิทยา และยิ่งไม่มีอารมณ์ลนลาน หวาดผวา หรือมึนงง

เขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็นและสงบนิ่ง แม้สองมือจะถูกล่ามอยู่กับตุ้มเหล็กหนักอึ้งทว่าเขาก็ยังคงประสานมือไว้บนหัวเข่าได้อย่างสบาย ชายหนุ่มถึงขั้นนั่งไขว่ห้างแกว่งขาอย่างไม่ใส่ใจ เหมือนวัตถุถ่วงหนักเต็มตัวเหล่านั้นเป็นอากาศธาตุ

“เมื่อคืนตอนสามทุ่มครึ่งผมอยู่บ้าน” เขาเล่าด้วยเสียงนุ่มแบบไม่สะทกสะท้าน

“โกหก! เมื่อคืนตอนสามทุ่มครึ่งคุณฆ่าคนอยู่ที่ถนน XX กล้องวงจรปิดจับภาพตอนคุณก่อคดีได้ชัดเจน บอกมา คุณทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร การกินหัวใจคนเป็นมันมีประโยชน์ต่อคุณตรงไหน” ตำรวจสองนายมาถึงก็ยัดเยียดข้อหาให้เขาทันที จากนั้นก็โยงไปถึงแรงจูงใจ

น้ำเสียงของฟั่นจยาหลัวยังคงทุ้มนุ่ม “พวกคุณให้ผมดูคลิปฆ่าคนพวกนั้นหน่อยได้มั้ย”

“คุณแค่สารภาพมาตามตรงก็พอ จะดูคลิปไปทำไม คุณจะไม่รู้เรื่องคดีที่ตัวเองก่ออีกเหรอ” ตำรวจสองนายเอาแต่เค้นถาม ไม่ได้ให้ความสนใจกับคำขอของฟั่นจยาหลัวเลย

ฟั่นจยาหลัวรับรู้ได้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาสอบปากคำ แต่มาเพื่อยัดข้อหาให้เขา คนพวกนี้แค่อยากให้ฟั่นจยาหลัวเซ็นเอกสารรับสารภาพ ไม่มีทางรับฟังคำพูดของเขา ฟั่นจยาหลัวไม่รู้รายละเอียดของคดีทั้งสามซ้ำยังสูญสิ้นอิสรภาพ เวลานี้สองตาจึงมืดบอด ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ปลายนิ้วของชายหนุ่มขยับ อยากจะแผ่สนามแม่เหล็กออกไปเพื่อหยิบยืมความทรงจำกับสองตาของตำรวจทั้งสองไปทำความเข้าใจโลกข้างนอก แต่ทันใดนั้นเขากลับล้มเลิกความคิดนี้

สนามแม่เหล็กที่ก่อหวอดอยู่ตรงปลายนิ้วเขาหายกลับเข้าไปในตัวอย่างเงียบๆ สองตาหลุบมองโต๊ะสอบสวนอย่างตั้งอกตั้งใจ โต๊ะตัวนี้ผ่านอะไรมามาก หน้าโต๊ะเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน และในรอยขีดข่วนยังมีคราบสีน้ำตาลเกือบดำเหมือนเลือดแห้งๆ แล้วก็คล้ายน้ำหมึกกระเซ็น ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทิ้งไว้

ตำรวจที่ของขึ้นจนสติหลุด หรือนักโทษดวงกุดคนไหน

จู่ๆ ฟั่นจยาหลัวก็เกิดความสนใจในโต๊ะตัวนี้ขึ้นมาจึงแผ่สนามแม่เหล็กไปคลุมหน้าโต๊ะ เพื่ออาศัยรอยที่พาดพันกันพวกนี้ไปทำความเข้าใจ ‘ประสบการณ์ในอดีต’ ที่มันพบเจอมามากมาย

สีหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นจนไม่ได้ยินคำถามที่เต็มไปด้วยอคติของตำรวจทั้งสองอีก ทั้งที่พวกเขาทั้งตะโกน ตวาด แผดเสียงอยู่ข้างหูฟั่นจยาหลัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นรอยยิ้มน้อยๆ อย่างอารมณ์ดีและสงบนิ่ง

ฟั่นจยาหลัวไม่ได้รับรู้เลยว่าภายในห้องนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเขากับโต๊ะตัวนี้ แต่ยังมีคนเป็นๆ อีกสองคน และไม่ต้องสงสัยเลยว่าการแสดงออกนี้ของเขาย่อมเป็นการยั่วโทสะอย่างที่สุด

ตอนซ่งรุ่ยนำคำสั่งปล่อยตัวเดินเข้ามาในห้องสอบสวน ตำรวจสองนายเดือดดาลจนบ้าไปแล้ว พวกเขาปัดถ้วย เตะเก้าอี้ และเกือบจะทำร้ายคน ถ้าโต๊ะสอบสวนตัวนั้นไม่มีสกรูสี่ตัวยึดมันไว้กับพื้น สิ่งที่พวกเขาอยากทำมากที่สุดคงเป็นการคว่ำโต๊ะ

พอเห็นคำสั่งปล่อยตัว ต่อให้พวกเขาโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงกันมากกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปิดประตูแรงๆ เพื่อไปทำเรื่องประกันตัวให้ฟั่นจยาหลัว

เสียงปังดังสนั่นเรียกสติของฟั่นจยาหลัวจาก ‘ประสบการณ์รันทด’ ของโต๊ะตัวนี้ ชายหนุ่มช้อนตามองเห็น ดร. ซ่ง ริมฝีปากบางสีแดงสดยิ้มน้อยๆ

“ผมรู้ว่าคุณต้องมา” เขาแบมือขาวผุดผาดไว้บนโต๊ะ น้ำเสียงอารมณ์ดีอย่างที่สุด “ผมเลยรอคุณอยู่ที่นี่”

ซ่งรุ่ยวางสองมือลงบนฝ่ามือของฟั่นจยาหลัวอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงทั้งหนักแน่นทั้งมั่นคง “ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่ ผมย่อมต้องมาที่นี่”

ทั้งสองมองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน หัวเราะออกมาเบาๆ

“ผมส่งหลักฐานที่ยืนยันว่าคุณไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมยังแก้ต่างเรื่องคลิปการฆาตกรรมสามคลิปนั้นไม่ได้ เลยได้มาแค่คำสั่งปล่อยตัว ไม่ใช่คำสั่งนิรโทษกรรม”

ฟั่นจยาหลัวย่อมเข้าใจความแตกต่างระหว่างคำสั่งปล่อยตัวกับคำสั่งนิรโทษกรรม

“ผมอยากดูคลิปสามคลิปนั้น” ฟั่นจยาหลัวพูดเสียงเบา

ซ่งรุ่ยหยิบมือถือออกมาตามสัญชาตญาณแล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “มือถือผมโดนผู้รับผิดชอบในทีมสืบสวนทำพังไปแล้ว ข้อมูลข้างในหายเกลี้ยง”

“เขาเป็นพิชาน” ฟั่นจยาหลัวยืนยัน

“คุณสัมผัสได้เหรอ” ซ่งรุ่ยวางมือถือไว้บนโต๊ะ

“ตอนคุณเข้ามาเมื่อกี้ผมเห็นสนามแม่เหล็กของเขาที่เหลืออยู่บนตัวคุณ เป็นสีฟ้าอ่อน กลิ่นอายแบบเดียวกับยานั่น เขาน่าจะเข้าร่วมการทดลองของจางหยาง”

“ถ้างั้นคนที่ลอบทำร้ายคุณคือจางหยาง?” ซ่งรุ่ยเดา

“คาดว่าครับ ผมต้องดูคลิปก่อนถึงจะสรุปได้ ถ้าเป็นเขา เขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหายของวัตถุโบราณ” ฟั่นจยาหลัวบอกการคาดเดาของตัวเอง

“ไม่ใช่ สกุลจางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหายของวัตถุโบราณ” ซ่งรุ่ยปฏิเสธ

“เพราะอะไรหรือครับ”

“เพราะตอนที่หัวหน้าเหยียนเอาคำสั่งปล่อยตัวมาจากท่านผู้นำ เห็นได้ชัดว่าผู้รับผิดชอบคนนั้นตกใจมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคดีของคุณถึงได้รับความสนใจจากเบื้องบน ทั้งที่หน่วยเฉพาะกิจกำลังดำเนินการตรวจสอบคนของสำนักวิชาลึกลับกับสี่สกุลอย่างเอิกเกริก ถ้าเขาเป็นมือมืดหลังม่านจริงจะต้องรู้ตัวแล้วว่ามีคนรู้เรื่องความผิดที่เขาก่อ และต้องรู้ว่าคุณมีสถานะเป็นที่ปรึกษาพิเศษของคดีนี้ ได้รับความเอาใจใส่จากเบื้องบนเป็นพิเศษ การเล่นงานคุณช่วงนี้คือการเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการคลี่คลายคดี ต้องเจอกับการขัดขวางและกดดันอย่างหนักจากเบื้องบน”

ฟั่นจยาหลัวคิดตามแล้วเข้าใจ เอ่ยต่อ “แต่ผู้รับผิดชอบไม่รู้ เขาตกใจเรื่องเส้นสายของผม ฉะนั้นเท่ากับเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหายของวัตถุโบราณ เขาเป็นคนของจางหยาง การที่จางหยางให้เขาเล่นงานผมในเวลานี้แสดงว่าสกุลจางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการสูญหายของวัตถุโบราณ”

“ถูกต้อง คนที่เล่นงานคุณตอนนี้คือจางหยาง” ซ่งรุ่ยผงกศีรษะสนับสนุน

“ใช่เขาหรือเปล่า ผมดูคลิปก็รู้แล้ว” ฟั่นจยาหลัวพูดเสียงหนัก

“คลิปการก่อคดีถูกลบออกจากเว็บไซต์ทั้งหมดแล้ว ผมจะให้เมิ่งจ้งส่งมาให้ใหม่” ซ่งรุ่ยหยิบมือถือขึ้นมา

ทว่าฟั่นจยาหลัวกลับกระดิกนิ้วแล้วเอ่ย “ไม่จำเป็น ผมเข้าไปดูในสมองของคุณเลยก็ได้”

ซ่งรุ่ยชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผงกศีรษะพลางเม้มริมฝีปาก ถอดแว่นกรอบบางสีทองออก สองตาเรียวยาวโค้งเป็นเส้นอย่างมีความสุข เขาจำคำที่ฟั่นจยาหลัวเคยพูดไว้ได้…การเข้าไปในสมองของคนที่ไม่ไว้ใจกัน ไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย

ตอนนี้ฟั่นจยาหลัวกลับเป็นฝ่ายเสนอเข้าไปในสมองของตนเอง เป็นเพราะอะไรกัน

เพราะเชื่อมั่นในตัวกันและกันอย่างสนิทใจ เพราะหัวใจสองดวงหลอมรวมเป็นหนึ่ง เพราะในตัวผมมีคุณ ในตัวคุณมีผม แม้ร่างกายจะแยกจากกัน แต่กลับมีจิตวิญญาณที่มีความถี่เดียวกัน

ซ่งรุ่ยพยายามเหยียดริมฝีปาก แต่ไม่อาจปกปิดความปลื้มปริ่มในดวงตาได้

ฟั่นจยาหลัวได้รับผลกระทบทางอารมณ์จากเขา พลอยหัวเราะตามอย่างอดไม่อยู่ “พร้อมแล้วหรือยังครับ”

“พร้อมแล้ว”

ทั้งคู่จับมือเอาหน้าผากชนกัน หลับตาทั้งสองข้างลงพร้อมกัน

จิตสำนึกของฟั่นจยาหลัวเดินเข้าไปในสถานที่มืดมิดอย่างราบรื่น มันทั้งมืด ทั้งหนาว และเปียกชื้นมาก ทุกแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นตลบฟุ้งเหมือนดินเลนชุ่มเลือดสดๆ มันคับแคบและยาวมาก เหมือนถนนหนึ่งสายที่ทอดยาวจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ฟั่นจยาหลัวคุ้นชินกับการสร้างคลื่นลมและแรงกระแทกเพื่อกวนความทรงจำของคนอื่นขึ้นมายังเยื่อหุ้มสมองก่อนสูบกลืน แต่พอเจอ ดร. ซ่ง เขากลับเดินทอดน่องไปตามทางเดินมืดมิดนี้โดยไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ

พูดกันตามความจริงคือสภาพแวดล้อมของที่นี่มันไม่ได้สวยงาม ถึงขั้นเลวร้าย แต่ฟั่นจยาหลัวกลับไม่มีความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์สักนิด แค่คิดว่านี่คือโลกภายในใจของ ดร. ซ่ง เขาก็เผลอยิ้มน้อยๆ ออกมา ระหว่างที่เดินอยู่ ทางเดินมืดมิดเปียกชื้นเส้นนี้ก็ปรากฏแสงกะพริบวิบวับ เริ่มมีภาพสีผุดขึ้นมาภาพแล้วภาพเล่า

ฟั่นจยาหลัวอาศัยแสงกะพริบนี้พิศดู ม่านตาหดตัวลงอย่างห้ามไม่อยู่

เนื่องจากภาพที่ถูกบันทึกไว้พวกนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ตั้งแต่เล็กจนโตของ ดร. ซ่ง แต่เป็นใบหน้าของตัวฟั่นจยาหลัวเอง เป็นภาพของเขาตอนยิ้มน้อยๆ ตอนนิ่วหน้า ตอนครุ่นคิด รวมไปถึงตอนโมโหเดือดดาล ทุกภาพล้วนถูกบันทึกไว้

พวกมันลอยอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ของโถงทางเดิน ตัวกรอบเปล่งแสงสว่างเรืองรองเหมือนเกล็ดดาว ให้แสงสว่างแก่โลกที่มีแต่ความมืดมิดแห่งนี้

ฝีเท้าของฟั่นจยาหลัวผ่อนช้าลงเรื่อยๆ หัวใจที่เดิมทีตายไปแล้วเหมือนจะเต้นเร็วขึ้น แต่ฟั่นจยาหลัวรู้ดีว่าร่างที่ตายไปนานแล้วนี้ไม่สามารถคืนชีพได้ เรื่องหัวใจเต้นเป็นแค่การรู้สึกไปเอง ถึงจะเป็นแบบนี้เขาก็ยังคงจมจ่อมอยู่ในช่วงเวลานี้ เหมือน ดร. ซ่งทำให้เขาสัมผัสได้ว่าการมีชีวิตอยู่มันสวยงามมากแค่ไหน

เขาเดินตรงไปเรื่อยๆ ปลายนิ้วสำรวจไปในอากาศ วาดผ่านหมู่ดาวที่อ่อนแสงแต่กลับไม่อาจมองผ่านไปได้เหล่านั้น สุดท้ายเขาก็เดินมาถึงสุดทางเดิน เห็นภาพขาวดำขนาดใหญ่สองภาพ นั่นคือพ่อกับแม่ของ ดร. ซ่ง ที่แท้อีกฝ่ายก็ซ่อนพวกท่านไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ

ฟั่นจยาหลัวแอบนึกดีใจ เพราะถ้าเขาใช้พลังปลุกปั่นความทรงจำพวกนี้ เกรงว่าภาพล้ำค่าสองภาพนี้จะถูกทำลาย

ปลายทางเดินมีลูกบอลแสงสว่างพร่างพราว

ฟั่นจยาหลัวเดินผ่านภาพขนาดใหญ่สองภาพนั้นไปหาลูกบอลแสง พบว่าข้างในบรรจุภาพภาพหนึ่ง เป็นภาพการเจอกันครั้งแรกระหว่างเขากับ ดร. ซ่ง ฟั่นจยาหลัวนั่งอยู่กลางแสงสีขาว ในขณะที่อีกฝ่ายเร้นตัวอยู่ในเงามืด ต่างฝ่ายต่างจดจ้องกันราวกับเป็นศัตรู

วันนี้พอนึกย้อนถึงภาพการคุมเชิงกันในอดีต มันเหมือนจะเป็นการพบกันตามพรหมลิขิต

ฟั่นจยาหลัวหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ เขาหันกลับไปมองยังทิศทางที่ตัวเองเดินมา จุดนั้นมีแสงสว่างเปล่งออกมา มันคือจุดที่เชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึกของเขา จากนั้นฟั่นจยาหลัวก็หันกลับมามองลูกบอลแสงที่ด้านในบรรจุความทรงจำตอนพบกับตนครั้งแรกไว้ แสงทั้งสองเชื่อมกันเป็นเส้นเดียว ทอดยาวมาจากที่แสนไกลราวกับพุ่งผ่านประสบการณ์ทั้งชีวิตของ ดร. ซ่งไปอย่างไรอย่างนั้น

นี่มันหมายความว่าตนกับ ดร. ซ่งมีชะตากรรมร่วมกันอย่างนั้นเหรอ

ฟั่นจยาหลัวยกมือปิดหน้าเพื่อหยุดความคิดฟุ้งซ่านนี้ แต่กลับไม่รู้เลยว่ามุมปากของตัวเองแย้มยิ้มน้อยๆ อย่างอารมณ์ดีมากแค่ไหน

จังหวะนี้เองเสียงของ ดร. ซ่งก็ดังแว่วมา “คุณเห็นแล้วหรือยัง”

ฟั่นจยาหลัวรีบลดมือลง ถามเสียงแหบแห้ง “ยังไม่เห็นเลยครับ วันๆ คุณคิดอะไรน่ะ”

ซ่งรุ่ยตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ขอโทษที ในสมองของผมมีแต่คุณ”

ฟั่นจยาหลัวที่ตั้งใจหาเรื่องแหย่ ดร. ซ่งเล่นนิดๆ หน่อยๆ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกเขาหยอกกลับ ทำเอาชายหนุ่มวางตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ ก่อนหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ แบบนี้แหละดีแล้ว”

ซ่งรุ่ยที่ถูกเกี้ยวตอบอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งแล้วยิ้มตาม

คนทั้งสองกุมมือกัน หน้าผากชนกัน มุมปากมีรอยยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนกัน ท่าทางดูไม่อยากออกจากห้องสอบสวน

เมิ่งจ้งกับหัวหน้าเหยียนที่ยืนคอยพวกเขาอยู่ที่ห้องสังเกตการณ์ “…”

ผ่านไปหลายสิบวินาทีซ่งรุ่ยถึงขุดเอาคลิปทั้งสามออกมาจากความทรงจำได้

ฟั่นจยาหลัวจ้องเงาร่างผอมแห้งเหลือแต่โครงกระดูก พูดเสียงหนัก “เป็นจางหยาง ผมมองเห็นใบหน้าหลายร้อยหน้าที่ซ้อนกันบนหน้าเขา ดูเหมือนเขาจะมีความสามารถในการแปลงโฉม ดูท่าช่วงนี้เขาจะกลืนกินอมนุษย์ตนอื่นไปไม่น้อย และเจอวิธีควักป้ายหยกออกมาแล้ว”

“คลิปทั้งสามคลิปนี้เป็นที่รู้จักไปทั่ว ถ้าเราจะทำลายแผนเขา ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย” ซ่งรุ่ยพูดอยู่ในสมอง

“ผมมีวิธี” ฟั่นจยาหลัวคิดแล้วโค้งมุมปากด้วยสีหน้าสบายๆ

เป็นครั้งแรกที่ซ่งรุ่ยได้สื่อสารกับความคิดของฟั่นจยาหลัวผ่านทางจิตใต้สำนึก เขาดำเนินการวางแผนทุกอย่างทันที พอพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 26 เม.. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: