ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว
การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่
การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 265 อี้เจียงหนานผู้รังสรรค์ความมหัศจรรย์
เรื่องน่ากลัวมากมายที่พบเจอมาด้วยกันแล้วได้อาจารย์ฟั่นช่วยคลี่คลายในตอนสุดท้าย ส่งผลให้หัวหน้าเหยียนให้ความสำคัญและเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ฟั่นอย่างที่สุด
ทันทีที่หัวหน้าเหยียนเห็นอาจารย์ฟั่นหลุบตา เม้มริมฝีปากบางแน่นเหมือนกำลังลังเล หัวใจเขาก็กระตุกตามสัญชาตญาณ
จังหวะนี้เองเขารีบเดินเข้าไปหาแล้วกระซิบถามอย่างรวดเร็ว “อาจารย์ฟั่นครับ หยกสลักนี่มีปัญหาอะไรหรือครับ”
ฟั่นจยาหลัวกะพริบตาทำให้ดวงตาสีดำกลับมามีโฟกัสอีกครั้ง ชายหนุ่มส่ายหน้า “เปล่าครับ ไม่มีปัญหาอะไร ส่งวัตถุโบราณพวกนี้ไปตรวจพิสูจน์ที่แล็บก่อนเถอะ”
หัวหน้าเหยียนถึงค่อยสบายใจ รีบให้นักสะสมทั้งสี่เซ็นหนังสือมอบอำนาจก่อนเอาสมบัติพวกนี้จากไป เศรษฐีนักธุรกิจที่ฮ่องกงส่วนใหญ่นิยมสะสมวัตถุโบราณ หลายชิ้นเป็นงานฝีมือมูลค่าสูงลิบ หลายชิ้นเป็นของที่พวกเขาต่างซื้อมาขายไป แล็บของที่นี่จึงไม่แพ้แล็บที่แผ่นดินใหญ่ เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยทุกอย่างที่ควรมีล้วนมีครบครัน
สีหน้าท่าทางของนักสะสมทั้งสี่เรียกได้ว่าเหวอสุดๆ หลังเข้าไปในแล็บก็เอาแต่จดจ้องสมบัติของตัวเองแบบไม่ยอมให้คลาดสายตา บนหน้าผากมีเหงื่อพราวเหมือนกลัวว่าผลการตรวจพิสูจน์จะทำให้ตนต้องผิดหวัง
ซ่งรุ่ยมองพวกเขาอยู่พักหนึ่งก่อนหันไปส่ายหน้าบอกหัวหน้าเหยียน “ครึ่งจริงครึ่งปลอม”
บนโลกไม่มีอะไรที่เป็นครึ่งจริงครึ่งปลอม แค่การลวงหลอกเพียงเล็กน้อยก็มีค่าเท่ากับปลอม หัวหน้าเหยียนเข้าใจดีว่าคนพวกนี้กำลังเล่นละครใส่ตน! แต่ข้อสรุปของ ดร. ซ่งยังไม่ถือว่าเป็นหลักฐาน ถ้านักสะสมสี่คนนี้ยืนกรานว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไร ระหว่างที่ยังหาพิรุธไม่พบ หัวหน้าเหยียนย่อมทำอะไรพวกเขาไม่ได้
การตรวจพิสูจน์กินเวลาสองถึงสามวันกว่าผลจะออกว่าสมบัติมูลค่าสูงลิบพวกนี้เป็นของปลอมทั้งหมดจริงๆ
นักสะสมทั้งสี่จมจ่อมอยู่ที่แล็บนี่ทุกวัน วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง เพื่อจ้องมองเจ้าหน้าที่เทคนิคชนิดตาไม่กะพริบ พวกเขาย่อมไม่มีคำให้ค้าน บางคนแหงนหน้าร้องไห้โฮ บางคนทุบหัวกระทืบเท้า บางคนไม่กล้ายอมรับ ท่าทางเศร้าเสียใจกันมาก
ว่ากันว่าเหล็กดีต้องใช้ตีคมดาบ เมื่อได้ผลออกมาตามคาด การแสดงของพวกเขาเลยจัดเต็ม
หัวหน้าเหยียนขี้เกียจสนใจการแสดงของพวกเขาเลยพูดส่งๆ สองสามประโยคเพื่อไล่คนออกไป แต่กลับแอบให้เจ้าหน้าที่สืบสวนคอยจับตาดูผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดเวลา การที่พวกเขาสามารถยื่นมือเข้าไปในพิพิธภัณฑ์จงยางได้ แสดงว่าเครือข่ายของผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องยากเกินจินตนาการ
ทว่าฟั่นจยาหลัวกลับขวางหน้านักสะสมพวกนี้ไว้ ถามว่า “พวกคุณจะจัดการของปลอมพวกนี้ยังไง”
ทั้งสี่โบกมืออย่างชอกช้ำ “สุดแล้วแต่พวกคุณเถอะ เก็บไว้ในบ้านก็รังแต่จะทำให้เราปวดใจเปล่าๆ” จบคำก็เดินโซซัดโซเซจากไป เงาแผ่นหลังฟ้องถึงความสลดรันทดใจอย่างยิ่ง
ฟั่นจยาหลัวไม่มีอารมณ์ชื่นชมการแสดงอันเยี่ยมยอดของพวกเขา เพียงเอาหยกตู๋ซานที่แกะสลักเป็นดอกบัวนั้นใส่เซฟเพื่อนำกลับเมืองหลวง
หลังไปถึงแล็บ เขาเอาดอกบัวหยกแกะสลักวางบนโต๊ะยาวแล้ววางพวกของปลอมอย่างหยกดำขุนเขาท้องทะเล พระพุทธรูปงาช้าง รูปปั้นเทพมหากาลหกกร เรียงเป็นแถวยาวตามลำดับหน้าหลังหนึ่งแถว ก่อนวาดฝ่ามือผ่านอากาศ
เห็นท่าทางแปลกๆ ของเขาแล้วหัวหน้าเหยียนก็เริ่มเครียด รีบวิ่งเหยาะๆ ไปถามเสียงแห้ง “อาจารย์ฟั่นครับ ของปลอมพวกนี้ทำไมเหรอ มันผ่านการตรวจพิสูจน์แล้วไม่ใช่หรือครับ ยังมีปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า หรือพวกมันมีชิ้นไหนกลายเป็นปีศาจไปแล้ว?”
ไม่แปลกที่หัวหน้าเหยียนคิดแบบนี้ เพราะเขาช็อกเรื่องเถาวัลย์กินคนต้นนั้นจริงๆ ระยะนี้เขาฝันว่าตัวเองถูกเถาวัลย์รัด สูบเลือดไปจนแห้งแล้วโยนขึ้นไปบนกองภูเขากระดูกสีขาวโพลนทุกคืน เงาดำในใจหนักหนาจนไม่สามารถถอนออก
จนถึงตอนนี้เขาถึงเพิ่งรู้ว่าคำสั่งของภาครัฐที่ประกาศออกมาเป็นเรื่องที่มีเหตุผลดีมาก เพราะหลังก่อตั้งประเทศ ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ชนิดไหนก็ไม่ควรกลายเป็นปีศาจอีก ไม่อย่างนั้นโลกไม่โกลาหลไปหมดหรือ!
ตอนแรกหัวหน้าเหยียนแค่อยากหาเรื่องมาเล่นในช่วงที่กำลังเครียดกัน เลยพูดเย้าหนึ่งประโยค คิดไม่ถึงว่าคำตอบของฟั่นจยาหลัวจะทำเอาเขาเกือบได้แสดงบทล้มลงไปนอนกับพื้นเดี๋ยวนั้น
“คุณพูดไม่ผิด ในบรรดาของปลอมพวกนี้มีชิ้นหนึ่งกลายเป็นปีศาจแล้วจริงๆ”
เหงื่อเย็นๆ ของหัวหน้าเหยียนไหลลงมาในพริบตา เขาถอยหลังกรูด ไม่กล้าเข้าใกล้โต๊ะยาวอีก
ผิดกับซ่งรุ่ยที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม ในมือถือแว่นขยายเพื่อสำรวจตรวจตราของทุกชิ้นอย่างละเอียด ใส่ถุงมือเพื่อลูบคลำของปลอมเหล่านั้นหนึ่งรอบ
หัวหน้าเหยียนนับถือในความกล้าของ ดร. ซ่งจริงๆ จะว่าไปเขากับอาจารย์ฟั่นเหมือนจะเป็นคนประเภทใจกล้าเทียมฟ้า ปราศจากความหวาดเกรง มิน่า ไปๆ มาๆ ถึงอยู่ด้วยกันได้
หลังสำรวจของปลอมทั้งหมดแล้ว ซ่งรุ่ยชี้ไปที่ดอกบัวหยกแกะสลักชิ้นนั้น “ของปลอมที่กลายเป็นปีศาจใช่ชิ้นนี้หรือเปล่า”
ฟั่นจยาหลัวยิ้มออกมาทันที เขารู้ว่า ดร. ซ่งเป็นคนช่างสังเกต เขาจะต้องมองเห็นความผิดปกติแน่นอน
“ชิ้นนี้แหละครับ พูดให้ถูกคือมันไม่ได้กลายเป็นปีศาจ แต่มีพลังวิเศษ ตอนนี้ของชิ้นนี้ไม่ใช่ของปลอม แต่เป็นมรดกโลกที่มีความงดงามเทียบเท่ากับสมบัติสยบแคว้น”
คำพูดประโยคนี้ทำให้หัวหน้าเหยียนอึ้ง เขาเข้ามาใกล้โต๊ะยาวเพื่อจ้องดูดอกบัวหยกแกะสลักอย่างละเอียดแล้วพลันรู้สึกได้ว่างานศิลปะชิ้นนี้มีเอกลักษณ์มากจริงๆ
มันแกะขึ้นมาจากหยกสีชมพูแซมเขียวของเขาตู๋ซาน ทั้งสองสีมีความเข้มอ่อนไล่เรียงกันไปเหมือนแสงสายัณห์ช่วงสุดท้าย ณ เส้นขอบฟ้า คล้ายไอหมอกหนึ่งกลุ่มกลางหุบเขาลึก ประดุจภาพฝัน สีสันกับเนื้อหยกก้อนนี้มีแค่หนึ่งในหมื่น หายากมาก แต่ยังสู้ความโดดเด่นทางจิตวิญญาณของช่างผู้แกะสลักไม่ได้
เขาแกะหยกสีชมพูที่มีเนื้ออ่อนเหมือนจะคั้นน้ำออกมาได้ให้กลายเป็นดอกบัวบานหนึ่งดอกกับดอกตูมที่หุบกลีบแน่นหนึ่งดอก แกะหยกสีแดงไล่ไปขาวให้กลายเป็นผืนน้ำที่มีประกายคลื่น หยกสีเขียวอ่อนเป็นก้าน หยกสีเขียวเข้มเป็นใบบัว เมื่อเอาทุกเฉดสีมารวมกันจะได้งานแกะสลักอันละเมียดละไม มีความกลมกลืนกันอย่างที่สุด พอเอามาวางจะเหมือนวาดภาพสีน้ำมันแบบสามมิติ มีความประณีตงดงามแบบของจริงแฝงไว้ด้วยความโรแมนติกราวภาพมายา
ถ้าไม่มองว่ามันเป็นวัตถุโบราณ แต่มองมันในฐานะงานศิลปะอย่างเดียว มันย่อมเป็นชิ้นงานที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ควรค่าแก่การเก็บสะสมอย่างที่สุด
การได้ชมดูอย่างละเอียดทำให้หัวหน้าเหยียนตกตะลึงในความงามของหยกสลักชิ้นนี้ พูดกันจริงๆ คือเขาไม่ใช่คนที่มีอารมณ์สุนทรีย์มาก แต่กลับหวั่นไหวไปกับความวิจิตร มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอย่างยากจะหลีกหนีนี้
“มันพิเศษมากจริงๆ” หัวหน้าเหยียนชื่นชมจากใจ
ฟั่นจยาหลัววางมืออยู่เหนือของปลอมพวกนี้ ไล่จากซ้ายไปขวาเพื่อใช้จิตสัมผัสไปทีละชิ้น พูดเสียงเนิบ “ถูกต้อง มันพิเศษสุด ของปลอมพวกนี้เป็นผลงานของคนคนเดียว ผมจัดวางพวกมันตามช่วงเวลาการถือกำเนิด รูปปั้นเทพมหากาลหกกรเป็นแค่ของที่ทำเลียนแบบ ถึงมันจะเป็นของปลอม แต่กลับเต็มไปด้วยความเป็นช่างฝีมือ”
เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ ฝ่ามือหยุดนิ่งอยู่เหนือหยกดำขุนเขาท้องทะเล ถอนหายใจเอ่ย “แต่ฝีมือในการเลียนแบบนี้ของเขารุดหน้าไปเร็วมาก ผมสัมผัสได้ว่าแม้เขาจะแตกฉานทั้งเรื่องตัวอักษร ภาพวาด แกะสลัก เผาเครื่องกระเบื้องทุกอย่าง แต่สิ่งที่เขารักและชำนาญมากที่สุดคือการแกะสลัก พอมาถึงหยกดำขุนเขาท้องทะเลชิ้นนี้ ความเป็นช่างฝีมือได้ผนึกรวมเป็นจิตวิญญาณของช่างฝีมือ
เมื่อมีจิตผลงานที่เกิดจากมือเขาย่อมมีเสน่ห์ ผมสัมผัสถึงความอบอุ่นจนร้อนที่แผ่ออกมาจากหยกดำที่แกะสลักเป็นรูปขุนเขา ท้องทะเลเทพแห่งป่า และสัตว์ประหลาดชิ้นนี้ได้อย่างต่อเนื่อง มันคือความหลงใหลและตั้งอกตั้งใจที่คนแกะสลักใส่เข้าไปในชิ้นงาน ขณะที่กำลังทำของเลียนแบบ เขาก็เติบโตขึ้นในเวลาเดียวกัน”
ฟั่นจยาหลัวเดินต่อไปข้างหน้า พูดเสียงเนิบ “งานศิลปะที่เกิดจากมือของเขามีเสน่ห์ตราตรึงใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดพีคที่เรื่องของจำนวนเปลี่ยนเป็นเรื่องของคุณภาพ รู้มั้ยว่าจิตวิญญาณของช่างฝีมือเป็นแบบไหน”
สุดท้ายเขาเดินไปที่หน้าหยกแกะสลัก หยุดยืนนิ่งนาน
หัวหน้าเหยียนส่ายหน้าเป็นการบอกว่าไม่รู้
ซ่งรุ่ยเองก็ยังหาข้อสรุปออกมาไม่ได้
ฟั่นจยาหลัวหลุบตามองดอกบัวสวยสดดอกนี้ ยิ้มน้อยๆ พูดเสียงเบา “เป็นการผสมผสานระหว่างทักษะการแกะสลักที่ยอดเยี่ยม ความรักในงานศิลปะ และจินตนาการที่เหนือชั้น เขาลอกคราบไปอีกขั้น มีอำนาจที่จะมอบพลังชีวิตให้แก่หยก ก้อนหิน หรือแม้แต่ก้อนดินได้”
ฟั่นจยาหลัวยื่นนิ้วเรียวยาวไปวาดเหนือพวกของปลอม ถอนหายใจ “ผมมองเห็นการเจริญเติบโตทุกขั้นตอนของเขาจากตัวพวกมัน และยิ่งตระหนักได้ว่าทำไมมนุษย์ถึงถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งจิตวิญญาณของสรรพชีวิต เพราะบนโลกนี้มีเพียงสองมือของมนุษย์ที่สามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์แบบนี้ได้ พอเอาพวกมันมาวางไว้ตรงนี้ หลักฐานการกระทำผิดกลับกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่แสนงดงาม”
หัวหน้าเหยียนตะลึง พูดไม่ออกเป็นเวลานาน
ฟั่นจยาหลัวหยิบภาพของผู้ต้องสงสัยที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา สองมือประกบภาพเพื่อใช้จิตสัมผัส เขาผงกศีรษะ “เขาชื่ออี้เจียงหนานใช่มั้ย เป็นชื่อที่ดีจริงๆ เขาน่าจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ตอนเจอตัวเขา พยายามปกป้องดูแลมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้นะครับ การส่งต่อมรดกของชาติต้องอาศัยผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยคนทุกรุ่นสืบกันไป เขามีความผิดจริง แต่เขาสามารถใช้การสืบสานมรดกของชาติชดเชยความผิดได้”
หัวหน้าเหยียนพยักหน้ารับคำ ในใจเต็มไปด้วยความตื้นตัน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเบื้องหลังคดีใหญ่สะท้านฟ้านี้จะมีอัจฉริยชนแอบซ่อนอยู่ ถ้าไม่สามารถเอาสมบัติของชาติกลับคืนมาได้ ก็ควรจะปกป้องคนที่สามารถสร้างสมบัติของชาติขึ้นมาใหม่ได้คนนี้ไว้ให้ดี
หัวหน้าเหยียนแอบจำเรื่องนี้ไว้ แต่กลับได้ยินอาจารย์ฟั่นบอกว่า “แต่คุณต้องเร็วหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะหายตัวไปตลอดกาล”
หัวหน้าเหยียนเข่าอ่อนทันที เกือบลงไปคุกเข่า อาจารย์ฟั่นไม่แกล้งคนสักวันไม่ได้เหรอ
“ความสามารถของเขาซ่อนไว้ไม่อยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วย่อมมีสักวันที่คนที่พาตัวเขาไปจะพบว่าสองมือของเขาได้รับพรจากสวรรค์ วัตถุโบราณที่มีพลังบนโลกถูกสูบหายไปทีละชิ้นๆ แต่ถ้ามีเขา คนที่อยู่เบื้องหลังจะไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดแคลนพลังวิเศษอีก คนคนนั้นจะต้องซ่อนอี้เจียงหนานไว้อย่างมิดชิดเพื่อครอบครองไว้คนเดียว”
ฟั่นจยาหลัวชี้ไปที่ดอกบัวหยกแกะสลัก “ผมสัมผัสได้ว่านี่เป็นของที่เขาเพิ่งแกะสลักขึ้นมาเมื่อเร็วๆ นี้ แต่มันกลับถูกเอาไปสลับกับของจริง เห็นได้ว่าคนพวกนั้นยังไม่รู้ความพิเศษของเขา เราต้องรีบหาตัวเขา”
“ครับ ผมจะส่งคนไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้” หัวหน้าเหยียนรีบร้อนเดินจากไป ผลคือไม่ทันไรเขาก็ย้อนกลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ผมต้องเอาหยกสลักชิ้นนี้ไปให้ท่านผู้นำดูด้วย! พวกนายมาช่วยฉันเอามันใส่ตู้กระจกกันกระสุนที ระวังหน่อยนะ นี่คือมรดกโลก!”
เจ้าหน้าที่เทคนิครีบล้อมวงกันเข้ามาจัดการรูปสลักอย่างระมัดระวัง
ฟั่นจยาหลัวยื่นมือออกไปใช้จิตสัมผัสกลิ่นหอมหวานสดชื่นของดอกบัวสีชมพูงดงามหยาดฟ้าชิ้นนี้ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
“มนุษย์มีความย้อนแย้งกันจริงๆ พวกเขาเก่งเรื่องทำลายล้าง แต่พวกเขาก็เก่งเรื่องสร้างสรรค์” ฟั่นจยาหลัวเดินออกจากแล็บด้วยอารมณ์สะท้อนใจ
“ยังมีมนุษย์บางคนที่เก่งเรื่องย้ายบ้าน” ซ่งรุ่ยเตือนอ้อมๆ หนึ่งประโยค
ฟั่นจยาหลัวหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที เขาโบกมือ “ไปครับ ย้ายบ้านกัน”
ซ่งรุ่ยรีบหาบริษัทขนย้ายแห่งหนึ่งมาจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในระยะเวลาสองชั่วโมง จากนั้นเขาพาฟั่นจยาหลัวไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
ฟั่นจยาหลัวที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตแบบปกติถึงเพิ่งรู้ว่า ดร. ซ่งเป็นมนุษย์มีเลือดมีเนื้อ รู้จักหิว รู้จักกระหาย ต้องกินอาหาร ตอนถูกอีกฝ่ายพาไปโซนของสดในซูเปอร์มาร์เก็ต ฟั่นจยาหลัวอึ้งไปนานมากจริงๆ กว่าจะดึงสติกลับมาได้ เขาถูกสะกดด้วยกลิ่นอายแห่งชีวิตที่ถาโถมเข้ามา
“คุณทำครัวเป็นหรือครับ” เขาหยิบผักขึ้นฉ่ายมากำหนึ่ง ถามด้วยน้ำเสียงสนอกสนใจ
“เก่งมาก” เวลาอยู่ต่อหน้าฟั่นจยาหลัว ซ่งรุ่ยไม่เคยใช้การถ่อมตัวและเสแสร้งมาปกปิดตัวเอง แถมยังอวดข้อดีกับประโยชน์ของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
ฟั่นจยาหลัวเผลอทำหน้าใฝ่ฝัน
หัวใจของซ่งรุ่ยปวดหนึบ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “อีกหน่อยคุณจะเปลี่ยนเป็นมนุษย์ธรรมดาได้มั้ย”
แววตาของฟั่นจยาหลัวหม่นลงเล็กน้อย เขาผงกศีรษะ “ถ้าทุกอย่างราบรื่นก็น่าจะได้”
ซ่งรุ่ยจับมือเขา “ถึงตอนนั้นผมจะทำอาหารให้คุณกินทุกวัน”
ดวงตาของฟั่นจยาหลัวโค้งขึ้นทันที แววตาเป็นประกาย เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ฟั่นจยาหลัวจะใจเย็น เก็บตัว คาดเดาไม่ได้ แต่เวลาอยู่ต่อหน้า ดร. ซ่ง เขาจะเป็นแค่ชายหนุ่มอายุสิบเก้าปีคนหนึ่ง ฟั่นจยาหลัวจะทิ้งภาระหน้าที่กับพันธนาการทุกอย่างเพื่อเป็นตัวเองจริงๆ
“ผมชอบฟักเขียว เนื้อไก่ เนื้อปลา แล้วก็เต้าหู้” ในน้ำเสียงฟั่นจยาหลัวเต็มไปด้วยความทรงจำ การได้ถือข้าวหนึ่งชามนั่งคีบกับอยู่หน้าโต๊ะเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ
ซ่งรุ่ยหยิบฟักเขียวลูกหนึ่ง ไก่ครึ่งตัว ปลาหนึ่งตัว และเต้าหู้หนึ่งก้อนมาใส่รถเข็นทันที ด็อกเตอร์หนุ่มยิ้มอ่อนโยน เป็นธรรมชาติ “บังเอิญจัง ของที่ผมชอบกินเหมือนของคุณเป๊ะ” อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบหรอก แต่ไม่เป็นไร เพราะก่อนฟั่นจยาหลัวจะปรากฏตัว เขาไม่ชอบแม้แต่โลกใบนี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ
แค่เปลี่ยนความเคยชินเรื่องการกินอยู่นิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ทั้งสองคนเดินดูผักผลไม้ไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีเด็กสาวหนึ่งกลุ่มมาขวางไว้
“พวกคุณคืออาจารย์ฟั่นกับด็อกเตอร์ซ่งหรือเปล่าคะ” พวกเธอทำตาโตเป็นประกาย เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่ครับ มีธุระอะไรเหรอ” ซ่งรุ่ยดึงฟั่นจยาหลัวไปอยู่ด้านหลังของตัวเองตามสัญชาตญาณ แต่ฟั่นจยาหลัวกลับดึงเขาไว้อัตโนมัติ แรงของทั้งคู่พอๆ กันเลยกลายเป็นการพุ่งเข้าไปในอกของอีกฝ่าย เปลี่ยนจากการเดินเคียงเป็นยืนกอดกัน
พวกสาวๆ ส่งเสียงกรี๊ด
ฟั่นจยาหลัวมีอาการน้ำเต็มสมอง ในขณะที่ซ่งรุ่ยรู้ว่าพวกเธอตื่นเต้นเรื่องอะไร เขาจึงใช้มือข้างหนึ่งเข็นรถและใช้มืออีกข้างโอบชายหนุ่มไว้แน่น พูดเสียงนุ่ม “ขอบคุณแรงเชียร์ของพวกคุณนะครับ แต่ที่นี่เป็นที่สาธารณะ พวกคุณอย่ารบกวนคนอื่นเลย ได้หรือเปล่าครับ”
“ได้ค่ะ ได้ๆ เราไม่กวน เราแค่มาทักน่ะค่ะ” พวกสาวๆ โค้งตัวอย่างสุภาพมาก
เด็กสาวคนหนึ่งในกลุ่มตาเป็นประกาย ขอร้องว่า “อาจารย์ฟั่นคะ คุณช่วยฉันเลือกส้มที่หวานที่สุดในนี้ได้หรือเปล่า ขอร้องล่ะค่ะ ตอนนี้ส้มเพิ่งวางขาย บางลูกหวานมาก บางลูกเปรี้ยวมาก ฉันกลัวกินถูกส้มเปรี้ยวเข็ดฟันที่สุด แบบนั้นมันแย่มาก อาจารย์ฟั่นคะ คุณเป็นร่างทรงวิญญาณ คุณน่าจะใช้จิตสัมผัสได้ใช่หรือเปล่าคะ”
คำพูดของเธอทำให้ดวงตาของเด็กสาวทุกคนเป็นประกายมากขึ้น
ฟั่นจยาหลัวยังไม่ตอบ เขาหันไปมองซ่งรุ่ย “คุณชอบกินส้มหรือเปล่าครับ”
“ชอบ” ซ่งรุ่ยพยักหน้า
ฟั่นจยาหลัวม้วนแขนเสื้อ “งั้นผมจะช่วยคุณเลือกส้มที่หวานที่สุด” ฟั่นจยาหลัวหันไปมองพวกสาวๆ ยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะ “จะได้ถือโอกาสเลือกให้คุณสักสองสามลูกด้วย”
ท่าทางของเขาไม่ถึงกับเป็นมิตรมาก เนื่องจากยังคงจัดวาง ดร. ซ่งไว้ในอันดับหนึ่ง ไม่ได้โอนอ่อนตามคำขอของคนรอบตัว แต่พวกสาวๆ กลับกรี๊ดกร๊าดด้วยความเซอร์ไพรส์ กุมอกร้องคราง “งื้อๆๆ นี่มันคู่รักเทพเซียนชัดๆ! อาจารย์ฟั่นเอาใจด็อกเตอร์ซ่งมากเลย!”
ซ่งรุ่ยผู้โดนเอาใจไม่พูด แต่กลับเม้มริมฝีปากหัวเราะเบาๆ
ฟั่นจยาหลัวใช้ฝ่ามือวางเหนือส้มลูกกลมเกลี้ยงพวกนั้นด้วยสีหน้าสบายๆ ทว่าเพียงไม่กี่นาทีต่อจากนั้นเขากลับขมวดหัวคิ้วแน่น แสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมา
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7 (เล่มจบ)
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่ Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.