ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว
การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่
การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 258 สภาพน่าสมเพชของจางหยาง
ทันทีที่หลักฐานยืนยันว่าฟั่นจยาหลัวไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุถูกเผยแพร่ออกไปก็เรียกปฏิกิริยาตอบสนองได้อย่างรุนแรง ไม่ว่าทุกคนจะยอมรับหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวแล้วพวกเขาต่างมองว่าฟั่นจยาหลัวเป็นอมนุษย์มาตลอด ด้วยนิสัยเงียบๆ ไม่ค่อยพูดกับความสามารถแปลกประหลาดและแข็งแกร่งทำให้เขาผิดแผกไปจากสังคมนี้
ทันทีที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับอมนุษย์ ขอแค่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟั่นจยาหลัวเพียงน้อยนิด ความคิดแรกของทุกคนคือ…อ้า! ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ปกติ!
ด้วยเหตุนี้แผนของจางหยางจึงประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เขาได้รับแรงบันดาลใจจากคดีของหม่าโยวจึงพยายามสร้างภาพลักษณ์ศัตรูของมหาชนให้ฟั่นจยาหลัว แต่จางหยางคิดไม่ถึงว่าฟั่นจยาหลัวจะมีเซ้นส์เรื่องนี้ แผนยังไม่ทันเริ่มฟั่นจยาหลัวก็เดินแผนป้องกันตัวตามสัญชาตญาณแล้ว
คลิปที่ซ่งรุ่ยโพสต์ทำให้ทุกคนได้เห็นโฉมหน้าอีกด้านของฟั่นจยาหลัวว่านอกเหนือจากความเย็นชา ห่างเหิน และแข็งแกร่งแล้ว ในเวลาดึกสงัดเขาก็มีอารมณ์สับสน ไม่สบายใจ และเวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อนสนิทเขาก็ยิ้มอย่างไร้ทุกข์กังวลเหมือนเด็กหนุ่มอ่อนวัยใสซื่อคนหนึ่ง
ไม่มีใครสามารถปฏิเสธอำนาจสังหารที่มาพร้อมใบหน้างดงามเหนือมนุษย์ของเขา และยิ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าความโดดเด่นของซ่งรุ่ยนั้นเหมาะเจาะกับความลึกลับของฟั่นจยาหลัว เวลาพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันดูเหมือนบรรยากาศรอบตัวจะเปลี่ยนเป็นอบอุ่น หวานชื่น ความรู้สึกนี้ท่วมท้นออกมาจากจอ หลอมละลายหัวใจของผู้คนจำนวนมาก
‘awsl ภาพที่อาจารย์ฟั่นกับด็อกเตอร์ซ่งอยู่ด้วยกันมันสวยงามมาก! ตอนแรกฉันจะเข้ามาด่า ผลคือตอนนี้ตกหลุม CP นี้จนปีนไม่ขึ้นแล้ว!’
‘คุณภาพคลิปจากกล้องวงจรปิดธรรมดามาก แต่ทำเอาฉันเลียปากหลายร้อยรอบแล้ว’
‘พวกเธอยังมีใครจำคลิปฆาตกรรมสามคลิปนั้นได้มั้ย ก่อนหน้าที่ตำรวจจะลบพวกมันออกไป ฉันเชื่อจริงๆ ว่าคนร้ายคือฟั่นจยาหลัว แต่พอเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดนี่ ฉันนึกภาพอาจารย์ฟั่นที่ยิ้มร่าเริงเหมือนเด็กคนนี้เทียบกับหน้าตาน่ากลัวนั่นไม่ได้เลยจริงๆ! พวกเขาไม่ใช่คนคนเดียวกัน!’
‘ฉันก็รู้สึกแบบนี้! ทั้งที่หน้าตาเหมือนกัน แต่แววตา สีหน้า ออร่าเทียบกันไม่ได้เลย! พอดูคลิปจากกล้องวงจรปิดนี้แล้ว ฉันมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าอาจารย์ฟั่นไม่ใช่ฆาตกร!’
‘เหลวไหล! ไม่เคยเห็นคนแฮปปี้เวลาอยู่กับแฟนหรือไง มีแฟนนอนกอดในคืนอากาศเย็นๆ ใครมันจะว่างออกไปอาละวาดฆ่าคน!’
‘คดีนี้มีประเด็นน่าสงสัยเยอะ ฉันรู้สึกว่าหลายคนที่มาบอกให้เผาอาจารย์ฟั่นเมื่อตอนก่อนหน้านี้เป็นมือโพสต์รับจ้างที่ฉวยโอกาสเข้ามา!’
‘อาจารย์ฟั่นในคลิปจากกล้องวงจรปิดนี่ถึงจะเป็นอาจารย์ฟั่นที่ฉันชอบ คลิปฆาตกรรมสามคลิปนั่นเป็นของปลอมแน่นอน!’
ความรักและความอบอุ่นคือพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดบนโลก อาจเป็นเพราะด้านอ่อนโยนที่สุดที่ฟั่นจยาหลัวไม่เคยแสดงให้ใครเห็นไปกระทบใจของผู้คนเข้า อาจเพราะใบหน้างดงามเหนือธรรมดาของเขามีเสน่ห์มาก ประกอบกับทางการทยอยออกมายืนยันในความบริสุทธิ์ของเขาทำให้ ‘กิจกรรมคว่ำฟั่น’ ที่เพิ่งจะเริ่มขึ้นมาไม่กี่ชั่วโมงก็ลดธงเงียบเสียงกลอง
จางหยางมองแผนของตัวเองพังพินาศคาตา ความโกรธเกรี้ยวและอัดอั้นในใจจึงยากที่จะบรรยาย
เขาทุ่มแท็บเลตลงทันที แล้วด่ายับ “ฉันสั่งให้พวกนายไปหาแฮกเกอร์มาแฮกระบบรักษาความปลอดภัยบ้านเขาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังมีหลักฐานยืนยันว่าเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุอีก”
“แฮกเกอร์บอกว่าพอเจาะเข้าระบบบ้านเขาก็ถูกสนามแม่เหล็กรุนแรงก่อกวน แม้แต่คลังข้อมูลก็เจาะเข้าไปไม่ได้ บอสครับ เราเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านปากมา พบว่าฟั่นจยาหลัวใช้จิตสัมผัสถึงแผนเราได้ตั้งแต่ต้น เขาถึงโทรหาซ่งรุ่ยเพื่อบอกว่าตัวเองมีลางสังหรณ์ และใช้สนามแม่เหล็กห่อหุ้มบ้านเก่าสกุลฟั่นไว้ทั้งหลัง”
ลูกน้องของจางหยางก้มหน้าเพื่อซ่อนความหวาดกลัวที่ตนมีต่อฟั่นจยาหลัว “เขาเป็นร่างทรงวิญญาณที่เก่งที่สุดของประเทศ การคิดคำนวณย่อมเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา”
จางหยางเตะโต๊ะน้ำชาทีเดียวพัง “แม่ง! ทำไมภาครัฐถึงออกมาพูดให้ฟั่นจยาหลัว นี่มันคดีฆาตกรรม ตราบใดที่ความจริงยังไม่ปรากฏพวกเขาน่าจะระวังท่าทีไม่ใช่เหรอ เส้นสายของฟั่นจยาหลัวยิ่งใหญ่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้างในต้องมีเรื่องที่ฉันไม่รู้อยู่แน่ๆ”
เขาคิดแล้วคิดอีกก็ยังคิดไม่ออก “เหยียนเฉวียนหลิงคนนี้เพิ่งจะคลี่คลายคดีฆาตกรรมของหม่าโยวได้ ตามหลักเขาน่าจะเป็นคนที่ต่อต้านอมนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษถึงขั้นฆ่าคนตายอย่างหม่าโยวไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงปกป้องฟั่นจยาหลัวขนาดนี้ ทำไมเขาถึงกล้าแทงเรื่องนี้ขึ้นไปหาเบื้องบน แถมยังเอาคำสั่งปล่อยตัวมาจริงๆ”
เรื่องพวกนี้ยิ่งคิดยิ่งงง ไม่นานจางหยางก็ตระหนักได้ว่าตนอาจจะพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป ฟั่นจยาหลัวกับหัวหน้าเหยียน รวมไปถึงเบื้องบน ไม่ใช่แค่มีความสัมพันธ์เรื่องการทำงานร่วมกัน แต่น่าจะมีการเชื่อมโยงเรื่องผลประโยชน์ที่แน่นแฟ้นกว่านั้น
แต่การเชื่อมโยงแบบไหนที่เหนือกว่ายาที่ฉันวิจัย จางหยางคิดไม่ออกจึงรู้สึกอึดอัดมากขึ้น
เขากล้าการันตีร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าคลิปทั้งสามเป็นของจริง เบื้องบนไม่มีทางหาพิรุธและจับฆาตกรตัวจริงได้ เนื่องจากฆาตกรตัวจริงคือ ‘ฟั่นจยาหลัว’ ในคลิปมีหน้าเด่นหราแบบนั้น ทั้งชาติฟั่นจยาหลัวก็ไม่มีทางล้างมลทินเรื่องนี้สำเร็จ
ขอเพียงฟั่นจยาหลัวมีชนักปักหลัง ไม่ช้าก็เร็วย่อมมีสักวันที่เบื้องบนจะหวาดกลัวเขา ถึงขั้นหาวิธีมาจัดการเขา คนที่แข็งแกร่ง รับมือยาก ไร้จุดอ่อน และมีมลทินหนึ่งคน ย่อมอยู่ในโลกของปุถุชนได้ยาก
พอคิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าของจางหยางก็บิดเบี้ยว หัวเราะออกมาอย่างน่ากลัว
จังหวะนี้เองเมิ่งจ้งได้นำตำรวจหนึ่งกลุ่มบุกเข้ามาทางประตูบ้านเขาและแสดงหมายเพื่อให้จางหยางเดินทางไปกรมตำรวจ
เวลานี้จางหยางถือว่าเป็นคนของภาครัฐ เขาย่อมไม่สามารถมีเรื่องกับตำรวจได้ ชายหนุ่มสวมโค้ตพลางฉีกยิ้มเสแสร้ง “รองผู้อำนวยการเมิ่ง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ได้ยินว่าช่วงนี้คุณลมพัดน้ำขึ้น ใช่มั้ย รอบนี้พวกคุณจะเรียกผมไปทำอะไร ผมไม่ได้ทำความผิดเสียหน่อย”
เมิ่งจ้งกวาดตามองไปรอบห้องรับแขกเห็นว่าพวกฉางฉีไม่เพียงหนีออกจากสถาบันวิจัยลวี่เหอมาได้อย่างปลอดภัย แต่ยังทำงานเป็นบอดี้การ์ดของจางหยางด้วย เมิ่งจ้งแอบยิ้มเยาะ ว่ากันว่าคนเรามีความตั้งใจที่แตกต่างกัน จนถึงตอนนี้เขาถึงเพิ่งเข้าใจว่าคำพูดประโยคนี้มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง ใครจะไปคิดว่าพี่น้องที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาจะผิดใจกันเพื่อยาขวดเล็กๆ ขวดหนึ่ง
“คุณทำความผิดหรือไม่ตัวคุณเองย่อมรู้ดี ครั้งนี้เรามาขอความร่วมมือเพื่อดำเนินการสืบสวนจากคุณ พอไปถึงคุณจะรู้เรื่องทั้งหมดเอง” เมิ่งจ้งผลักจางหยางหนึ่งครั้ง แต่อีกฝ่ายไม่ขยับ
พวกฉางฉีก้มหน้า โค้งมุมปากอย่างเยาะหยัน นักรบที่เคยแข็งแกร่งที่สุด มนุษย์ผู้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์และความพิเศษ บัดนี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา
เมิ่งจ้ง “…”
แม่งเอ๊ย! จางหยางกรอกยาเข้าไปมากแค่ไหน กินอมนุษย์ไปเยอะเท่าไร ทำไมเหมือนแตะถูกหอคอยเหล็กแบบนี้ล่ะ
จางหยางหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าเหมือนเหนื่อยใจแล้วก้าวยาวๆ ไปที่ประตู ไม่ว่าคนกลุ่มนี้จะตามเขาไปทำอะไร เขาก็ไม่กลัว เพราะถ้าพวกเขาจับจุดอ่อนของตนได้ ย่อมไม่แสดงสีหน้าอยากกำจัดเขาแต่ทำอะไรเขาไม่ได้แบบนี้
หม้อดำใบนี้ฟั่นจยาหลัวต้องแบกไว้ ต่อให้เขามีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่หลังจากนี้จางหยางยังสามารถใช้แผนเดิมในช่วงที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวได้อีก ถึงมุกจะซ้ำก็ไม่เป็นไร แค่ใช้งานได้เป็นพอ
เมื่อข้อกังขาที่ผู้คนมีต่อฟั่นจยาหลัวยังไม่หาย นั่นย่อมเป็นการเพาะเมล็ดแห่งความแคลงใจเอาไว้หนึ่งเมล็ด ต่อไปถ้าเกิดเรื่องที่คล้ายคลึงกันขึ้น เมล็ดนี้ย่อมแตกหน่องอกราก เติบโตเป็นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าอย่างรวดเร็ว ภายหน้าโอกาสวางแผนฆ่าฟั่นจยาหลัวยังมีอีกมาก
ความคิดนี้ทำให้จางหยางสบายใจขึ้นเยอะ
พวกเขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในสำนักงานของทีมสืบสวน เจ้าหน้าที่เทคนิคคนหนึ่งก็หอบรายงานหนึ่งปึกวิ่งเข้ามา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแตกตื่น “คราบเลือดที่ฆาตกรทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุไม่ใช่เลือดของมนุษย์ และไม่ใช่เลือดของสัตว์ แต่เป็นของเหลวที่มีคุณสมบัติในการระเหยและกัดกร่อนแรงมาก เราไม่พบข้อมูลทางดีเอ็นเอเลยครับ”
ผู้รับผิดชอบลอบมองจางหยางแวบหนึ่ง พูดเสียงเย็น “ไปเก็บตัวอย่างจากฟั่นจยาหลัว โลหิตพิเศษแบบนี้ต้องมีการเปรียบเทียบดีเอ็นเอถึงจะหาต้นตอเจอ”
“ครับ พวกเราจะไปเก็บตัวอย่างเดี๋ยวนี้” เจ้าหน้าที่เทคนิควิ่งกลับไปเอาอุปกรณ์ที่แล็บ
จางหยางมองผู้รับผิดชอบด้วยท่าทางเป็นปกติ ก่อนหลุบตาลงเพื่อซ่อนรอยยิ้มในดวงตา เพราะเขารู้ว่าคนอย่างพวกเขา เลือดในตัวไม่นับว่าเป็นเลือด ย่อมไม่สามารถตรวจหาข้อมูลทางดีเอ็นเอได้ ขอเพียงคนกลุ่มนี้ไปเก็บเลือดของฟั่นจยาหลัวมา ลักษณะพิเศษของเลือดที่เขาทิ้งไว้ย่อมตรงกับเลือดของฟั่นจยาหลัว
ใครจะคิดได้ว่าเลือดที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้จะมีอยู่ในตัวคนอีกกลุ่มด้วย นี่จะเป็นหลักฐานที่ใช้มัดตัวฟั่นจยาหลัวอย่างแน่นหนา
จางหยางเดินตามเมิ่งจ้งเข้าไปในห้องสอบสวนห้องหนึ่ง ในใจเต็มไปด้วยความฮึกเหิมลำพองต่อแผนที่กำลังจะเป็นจริง ไหนเลยจะสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ตอนที่เขาสะดุ้งได้สติเพราะเสียงปิดประตูและเงยหน้าขึ้นมองก็เจอฟั่นจยาหลัวนั่งอยู่ด้านในสุดของห้อง กำลังพินิจพิจารณาตนด้วยแววตามืดทะมึน
เหนือศีรษะของฟั่นจยาหลัวมีดวงไฟสว่างไสวทอดแสงลงมาหนึ่งลำ ในขณะที่รอบตัวปกคลุมไปด้วยเงามืดทำให้ผิวของเขาขาวจนเกือบโปร่งแสง ผิดกับดวงตาที่เป็นเหมือนหุบเหวดำมืด
“นั่ง” ฟั่นจยาหลัวออกคำสั่ง
จางหยางเหมือนหัวทิ่มลงไปในหุบเหว เขาเดินมึนๆ งงๆ ไปนั่งตรงกันข้ามกับฟั่นจยาหลัว พอก้นแตะเก้าอี้เย็นจัด ชายหนุ่มถึงรู้ตัว ถามเสียงกร้าว “ทำไมถึงเป็นคุณ”
“แล้วทำไมถึงจะไม่ใช่ผม” ฟั่นจยาหลัวขยับปลายนิ้วเล็กน้อย สนามแม่เหล็กที่โหมกระหน่ำรุนแรงเหมือนสัตว์ป่าแสยะเขี้ยวสยายกรงเล็บ ค่อยๆ แยกตัวออกมาจากร่างเขา ซุ่มอยู่ในแสงไฟ ดักอยู่ในความมืด ถึงขั้นหมอบอยู่ในใจของจางหยาง แยกเขี้ยว เลียปาก จดจ้องเตรียมเล่นงาน
ความน่าสะพรึงอันไร้รูปนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการหันมีดจริงปืนจริงใส่กันเสียอีก ขาทั้งสองข้างของจางหยางดีดตัวลุกขึ้นยืน ก้าวยาวๆ ไปที่ประตู ปากร้องตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เมิ่งจ้งขังผมไว้กับคุณแบบนี้มันหมายความว่าอะไร เอาเรื่องงานมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวเหรอ ผมจะร้องเรียน! ผมมาให้ความร่วมมือในการสอบสวนของทางตำรวจ ไม่ได้มาเจอกับฆาตกรโรคจิต!”
จังหวะที่หมุนตัวจางหยางถึงเพิ่งรู้ว่าภายในห้องสอบสวนแคบยาวแห่งนี้มีตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติรูปการ์ตูนสีสันสดใสวางอยู่หนึ่งเครื่อง มันดูไม่เข้ากับความมืดมิดน่าอึดอัดของที่นี่อย่างสิ้นเชิง บนหน้าจอที่ส่องสว่างมีกรอบหน้าคนฉายวูบวาบ ด้านข้างมีตัวอักษรหนึ่งแถวเขียนว่า…‘ผู้ซื้อกรุณาสแกนใบหน้า’
จางหยางมองอย่างอึ้งๆ แต่กลับไม่ได้หยุดเท้า เขามองผ่านตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเครื่องนั้นไปอย่างรวดเร็ว มือแตะลูกบิดของประตู แต่ตัวกลับถูกกำแพงล่องหนสกัดไว้ กำแพงล่องหนกระแทกจนจมูกจางหยางแดงและใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บ
ฟั่นจยาหลัวหันไปมองผนังด้านซ้าย บนนั้นมีนาฬิกาแขวนรูปวงกลมหนึ่งเรือน เข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีเดินไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า ชี้บอกเวลาสามโมงครึ่งพอดี
ในเวลาเดียวกันนี้ห้องไลฟ์หมายเลข 6752 ทางแพลตฟอร์ม XX มีคนเฮกันเข้ามาหลายแสนคน และทุกวินาทีที่ผ่านไปคนจะเพิ่มจำนวนขึ้นไปอีกหลายพันถึงขั้นหลายหมื่นคน โชคดีที่ทางแพลตฟอร์มมีการเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีจึงไม่มีปัญหาเรื่องเซิร์ฟเวอร์ล่ม
ทุกคนต่างอยากรู้ว่าใครเป็นคนก่อคดีสังหารโหดสามคดีนั่น และทำไมบนโลกถึงมีฟั่นจยาหลัวสองคน
ทันทีที่ถึงเวลาสามโมงครึ่งหน้าจอที่เคยมืดดำก็ปรากฏภาพของคนสองคน คนหนึ่งนั่งแบบมีมาด ส่วนอีกคนกำลังทุบตีอากาศอย่างแรง ท่าทางคลุ้มคลั่ง
‘คนที่เป็นบ้านั่นใช่จางหยางหรือเปล่า ลูกเศรษฐีสุดหล่อ?’
มีชาวเน็ตจำจางหยางได้ทันที
‘ใช่เขาเลย! ทำไมเขาถึงมาอยู่ในห้องไลฟ์กับฟั่นจยาหลัว แล้วฆาตกรล่ะ’
คาดว่าทุกคนอยากถามคำถามนี้
และเหมือนฟั่นจยาหลัวจะได้ยินคำถามของทุกคน เขาจึงพูดเสียงเนิบ “ฆาตกรคือคุณ”
ชาวเน็ตในห้องไลฟ์ “!!!”
ตำรวจที่ยืนอยู่ภายในห้องสังเกตการณ์ “!!!”
ผู้รับผิดชอบรับรู้ได้ว่าจางหยางติดกับแล้วจึงรีบสั่งให้คนเปิดประตูห้องสอบสวนเพื่อปล่อยอีกฝ่ายออกมา แต่กลับพบว่าพวกเขาเองก็ถูกกั้นไว้ด้วยห้วงมิติแข็งแกร่งหนึ่งชั้น ทำได้แค่มองดูจางหยางอาละวาดเหมือนสัตว์ป่าอยู่ในห้องแคบยาวแห่งนี้
จางหยางตะโกนโวยวาย เตะ ถีบ ทุบ ตี แต่ทุกอย่างกลับไม่มีประโยชน์ แถมยังเป็นการทำร้ายตัวเอง เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาคือคุณชายเจ้าสำอางแต่งตัวดี แต่แค่ไม่กี่นาทีให้หลังเสื้อเชิ้ตเขาก็ยับยุ่ง เหงื่อแตกเต็มตัว สภาพยับเยินเหมือนกลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ
ผู้รับผิดชอบปล่อยพลังพิเศษไปปะทะกับห้วงมิติ แต่กลับถูกสนามแม่เหล็กที่ดีดกลับมาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บภายใน
กรามของเขาผ่อนคลายลงเกือบจะกระอักเลือดออกมา จังหวะที่เงยหน้าผู้รับผิดชอบเห็นว่าฟั่นจยาหลัวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางชิลมาก สำหรับฟั่นจยาหลัวแล้วการสร้างห้วงมิติอันแข็งแกร่งเพื่อกันทุกคนออกไปนี้เป็นเรื่องง่ายพอๆ กับการยกมือ
จนถึงตอนนี้ผู้รับผิดชอบถึงเริ่มตระหนักได้ว่าแม้ตัวเองจะมีพลังพิเศษล่วงเข้าไปอีกระดับหนึ่ง มีร่างกายสมรรถภาพเหนือกว่าปุถุชนคนอื่น แต่เขายังคงเป็นชนชั้นล่างสุดในห่วงโซ่อาหาร
ผู้รับผิดชอบมองจางหยางที่หมดสภาพยับเยินอยู่ตรงหน้าแล้วนึกย้อนกลับไปถึงซูเฟิงซีที่ตายดับ หม่าโยวที่คุกเข่ารับผิดกับประชาชนทั้งประเทศ ศิษย์สำนักเทียนสุ่ยที่ถูกโค่นทั้งสำนัก…ดูเหมือนแค่ได้เจอกับฟั่นจยาหลัว คนที่หยิ่งผยองจนมองไม่เห็นหัวใครอย่างพวกเขาล้วนถูกฟาดจนร่วงลงเหวหมด
ผู้รับผิดชอบกลืนเลือดสดๆ เต็มปากลงไป ล้มเลิกความคิดที่จะช่วยจางหยาง
เห็นคนกลุ่มนี้ถอยหลังไปเพราะทำอะไรไม่ได้และก้มหน้าอย่างท้อแท้ใจแล้ว จางหยางถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนไม่มีทางหนีรอด ชายหนุ่มเช็ดมุมปาก จัดทรงผม หมุนตัวไปยิ้มเหยียด “คุณบอกว่าผมเป็นฆาตกร? คุณมีหลักฐานหรือเปล่า”
“หลักฐานน่ะมีอยู่แล้ว แค่ต้องใช้เวลาหน่อย” ฟั่นจยาหลัวยื่นมือออกไปเชิญอย่างสุภาพ “นั่งก่อนสิ เรามาคอยด้วยกัน”
“ได้ ผมจะอยู่คอยเป็นเพื่อนคุณ” จางหยางเข้าใจว่าการที่ตนถูกขังอยู่ที่นี่ก็เพื่อให้พวกเมิ่งจ้งออกไปหาหลักฐานข้างนอก เขาจึงสบายใจขึ้น
หลักฐานที่แน่นหนาที่สุดคือใบหน้าของฟั่นจยาหลัว ถ้าแก้ต่างเรื่องนี้ไม่ได้ ต่อให้พวกเมิ่งจ้งลงแรงไปเท่าไหร่ก็เปล่าประโยชน์
จางหยางนั่งลงอย่างมีมาด ไขว่ห้าง ปลายเท้ากระดิก ท่าทางชิลมาก เสียดายที่เมื่อกี้เขาออกแรงเตะถีบห้วงมิติจนปลายรองเท้าถลอก พอมาวางท่าแบบนี้เลยกลายเป็นการเผยให้เห็นความหมดท่าและความน่าสมเพชของเขาแทน
สายตาของฟั่นจยาหลัวไล่จากกางเกงเปื้อนฝุ่นของจางหยางไปยังปลายรองเท้าที่หนังถลอกของอีกฝ่าย ฟั่นจยาหลัวไม่พูดเลยสักประโยค แค่เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาแสดงความโดดเด่นแบบผู้ดีมีการอบรมออกมาอย่างเป็นธรรมชาติทำให้มองเห็นมาดหลอกๆ ของจางหยางได้อย่างชัดเจน
ปลายเท้าที่แกว่งอยู่ของจางหยางชะงักค้างกลางอากาศ
ซ่งรุ่ยที่ยืนอยู่ในห้องสังเกตการณ์กำหมัดปิดปาก กระแอมเบาๆ
เมิ่งจ้งกลับไม่รู้จักวางมาดเหมือนเขา ชายหนุ่มชี้ไปที่กล้อง ด่าเสียงกลั้วหัวเราะ “นายดูไอ้โง่นี่สิ!”
ผู้ชมในห้องไลฟ์ดูเพลินแต่ยังคงคาใจ
‘จางหยางเป็นฆาตกรเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไง! เห็นๆ อยู่ว่าใบหน้าที่กล้องวงจรปิดจับภาพได้คือหน้าของฟั่นจยาหลัว!’
‘อาจารย์ฟั่นไม่เคยพูดโกหก เราคอยดูกันไปก่อน’
การรอคอยนี้กินเวลาห้าวันห้าคืน คนในห้องไลฟ์มาแล้วไป ไปแล้วมา แต่กลับเห็นแต่สองหนุ่มนั่งเผชิญหน้ากัน ไม่พูดไม่จา เหมือนกลายเป็นรูปสลักสองรูปไปแล้ว แต่เรื่องที่น่ากลัวกว่านั้นคือช่วงที่ผ่านมาพวกเขาไม่กินอาหารและไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักหยด แต่กลับยังคงครองสติกันอยู่ได้
ทว่าทั้งสองยังคงมีความแตกต่างกันอยู่ และต่างกันแบบลิบลับ
ฟั่นจยาหลัวยังคงงดงามโดดเด่นและชิลมาก ในขณะที่แก้มทั้งสองข้างของจางหยางตอบลง ผิวเปลี่ยนเป็นแห้งหยาบอย่างเห็นได้ชัด แนบติดอยู่บนโครงกระดูก จางหยางผอมลงไปมาก เวลานี้ชุดสูทที่เคยพอดีตัวหลวมโพรกเหมือนจะหลุดร่วงจากตัวได้ตลอดเวลา
ฟั่นจยาหลัวกางมือตรงหน้าจางหยาง ใช้จิตสัมผัส พูดเสียงเบาว่า “ยานั่นทำให้เซลล์ในร่างกายของคุณมีการเผาผลาญและเกิดใหม่เพื่อเปลี่ยนรูปถอดร่างไม่หยุด อัตราเมตาบอลิซึ่ม ของคุณเร็วกว่าคนธรรมดาเป็นหลายสิบถึงหลายร้อยเท่า ถ้าไม่ได้รับพลังงานที่เพียงพอมาทดแทนได้ทันเวลา คุณจะแก่จนเหลือแต่กระดูก แต่ร่างอมนุษย์จะทำให้คุณยังคงมีลมหายใจ คุณจะตายก็ตายไม่ได้ จะอยู่ก็อยู่ไม่ไหว จะบรรยายถึงตัวคุณในตอนนั้นยังไงดีนะ ขอผมคิดก่อน…”
ฟั่นจยาหลัวดึงมือกลับมา เขาหลุบตายิ้มบางๆ “ปีศาจเฒ่า ชื่อนี้เหมาะกับคุณดีมั้ย”
‘ปีศาจเฒ่า’ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสามคำนี้คือจุดเจ็บของจางหยาง เหมือนลูกธนูคมกริบที่แทงทะลุเส้นประสาทอันอ่อนไหวของเขา สิ่งที่เขากลัวและพยายามอยู่ให้ห่างที่สุดคือการเปลี่ยนไปเป็นปีศาจเฒ่า จางหยางลุกพรวดขึ้นไปเพื่อเล่นงานฟั่นจยาหลัว แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นตัวเองในกระจก
เบ้าตากับสองแก้มที่เว้าลึกทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขากลายเป็นหัวกะโหลก แขนที่ยื่นพ้นแขนเสื้อออกมาเรียวบางเหมือนท่อนกระดูกสองท่อน ผิวเปลี่ยนเป็นแห้งผาก สีเหลืองเหมือนขี้ผึ้งและเป็นรอยยับย่นคล้ายปีศาจเฒ่าที่เขาชิงชังที่สุด! ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แค่ห้าวันจางหยางผ่ายผอมจนกลายเป็นโครงกระดูก!
เขาตกใจมาก ร่างกายที่อ่อนแรงยังไม่ทันยืนได้มั่นก็ล้มกลับไปนั่งเหมือนเดิม
เขาจำเป็นต้องได้พลัง พลังจำนวนมาก…มากๆ!
ชาวเน็ตที่เฝ้ารอจนรำคาญใจเห็นท่าทางน่ากลัวของจางหยางแล้วตกใจจนอึ้ง ผ่านไปนานกว่าจะใช้สองมือสั่นๆ พิมพ์ข้อความที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกออกมาได้หนึ่งบรรทัดว่า
‘พวกเธอรีบมาดูสิ! จางหยางที่ผอมจนผิดรูปแบบนี้เหมือนเงาผีที่ก่อคดีฆ่าล้างครัวสุดโหดสามคดีนั่นหรือเปล่า ตอนนี้ฉันชักเชื่อฟั่นจยาหลัวแล้วจริงๆ!’
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 03 พ.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.