ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว
การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่
การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 262 ปีศาจเฒ่า
หัวหน้าเหยียนรู้ว่าการสู้กับพวกอมนุษย์เป็นเรื่องยากมาก แต่ไม่รู้เลยว่าจะได้ต่อกรกับพวกเขาถึงขั้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นกระสุนปืนหรือปืนใหญ่ พอไปโดนตัวคนคนนั้นก็ไม่ต่างจากโดนแผ่นเหล็ก ไม่สามารถชะลอการหนีของอีกฝ่ายลงได้เลย
ก่อนเข้าไปในป่าทึบมืดมิด คนคนนั้นหันมามองแวบหนึ่ง
ท่ามกลางแสงจากห่ากระสุนที่ดังสนั่นหวั่นไหวทำให้หัวหน้าเหยียนมองเห็นใบหน้าที่ยากจะลืมไปตลอดกาลใบหน้านั้น พูดให้ถูกคือมันไม่ใช่หน้าคน แต่เป็นหัวกะโหลกที่หุ้มด้วยหนังมนุษย์ ไม่มีริมฝีปาก เผยให้เห็นฟันคมกริบสีดำๆ เหลืองๆ สองแถว น้ำลายเหนียวหนืดยืดเป็นสาย ส่ายสะบัดเป็นเส้นสีเงินอยู่กลางอากาศ ท่าทางเหมือนจะกินคน ดวงตาสองข้างของเขาฝังอยู่ในเบ้าตาลึก ลูกตาเป็นสีแดงฉาน เต็มไปด้วยประกายมืดดำอำมหิต ไร้ความปรานี
เสี้ยวนาทีที่เขาหายตัวไป หัวหน้าเหยียนไม่มีทางพลาดจิตสังหารรุนแรงในดวงตาของเขา ถ้าวันนี้ปล่อยให้หนีไปได้ ต่อไปเขาจะต้องก่อคดีเลือดขึ้นแน่นอน
“ล้อมภูเขาลูกนี้ไว้ ปูพรมค้น! เร็วๆๆ!” หัวหน้าเหยียนเพิ่งออกคำสั่งเสร็จ เขาก็โบกมือแล้วเอ่ยกลับคำทันที “อย่าไป กลับมา! อย่าแยกกัน ล้อมภูเขาลูกนี้ไว้พอ!”
ขนาดยิงปืนใหญ่กันถี่ยิบขนาดนั้นยังทำอะไรปีศาจตนนี้ไม่ได้ การให้ทหารแยกย้ายกันค้นหาย่อมเป็นการส่งพวกเขาไปตาย หัวหน้าเหยียนรู้ว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังในการต่อสู้สูงมาก ต่อให้ตัวคนเดียวก็สามารถสยบทหารทั้งกองได้ หัวหน้าเหยียนจึงนำเรื่องขึ้นไปขอให้เบื้องบนส่งทหารมาอีกหนึ่งกอง
ถนนบนภูเขากับละแวกใกล้เคียงถูกปิดอย่างรวดเร็ว ไม่อนุญาตให้ใครผ่านเข้าไป
โดรนหลายตัวถูกปล่อยให้บินเข้าไปสะกดรอยศพแห้งตนนั้นในป่า เขาหนีเร็วมาก อาศัยความมืดพรางตัวทำให้ดูวูบไหวเหมือนผี ดวงตาของมนุษย์ไม่มีทางจับตำแหน่งของเขาได้ นอกจากจะเห็นกิ่งไม้ที่ไหวโยนหลังเขาผ่านไป
แค่ครึ่งชั่วโมงเขาก็ข้ามภูเขาสูงสองลูก วิ่งตรงไปยังรอยต่อระหว่างมณฑล
หัวหน้าเหยียนตามเขาไม่ทันและเอาชนะเรื่องความอยู่ยงคงกระพันของอีกฝ่ายไม่ได้ ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าพละกำลังในการต่อสู้ของเขาสูงแค่ไหน
แต่ไม่นานข้อกังขาของหัวหน้าเหยียนก็ได้รับคำอธิบายจากเจ้าผีตนนั้นเอง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหนีจนเหนื่อยแล้ว ความเร็วจึงค่อยๆ ลดลงและเปลี่ยนรูปแบบเส้นทางการหนีเป็นรูปตัว S เพื่อตรงไปยังที่แห่งหนึ่ง
มีหินยักษ์ปิดทางไว้ แต่แค่เขาเขย่งขาทั้งสองข้างก็กระโดดข้ามได้ แรงดีดนั้นทรงพลังอย่างน่าตกใจ เหมือนหลุดพ้นไปจากแรงดึงดูดของโลก ตอนเขาทิ้งตัวลงพื้น บนพื้นปรากฏหลุมลึก แต่ตัวคนกลับไม่เป็นอะไร พอเจอหน้าผาที่ต้องปีนขึ้น เขาใช้เล็บคมๆ จิกลึกเข้าไปในหินผา ปีนสองสามครั้งก็ถึงยอด เร็วเหมือนอยู่บนพื้นราบ…
ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถชะลอฝีเท้าของเขาลงได้ ในป่าที่เต็มไปด้วยเภทภัย เขาทำได้ทุกสิ่งเหมือนปลาในน้ำ
ภาพที่โดรนส่งกลับมาทำให้หัวหน้าเหยียนเผลอสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด
แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ เมื่อหัวหน้าเหยียนสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าเป้าหมายของปีศาจตนนี้คือฟาร์มแห่งหนึ่งที่เลี้ยงวัวนมไว้หลายพันตัว เขากระชากตาข่ายเหล็กด้วยมือเปล่า วิ่งตรงไปยังคอกวัวขนาดใหญ่ ลิ้นสีแดงสดยื่นออกมาจากแนวฟัน น้ำลายเหนียวหนืดแตกกระจาย ท่าทางหิวกระหายนี้เหมือนผีร้ายที่กำลังหิวโหย
คอกวัวถูกสร้างไว้ทั้งสูงใหญ่และกว้างขวาง โดรนตัวหนึ่งบินตามเข้าไปถ่ายภาพที่จะกลายเป็นฝันร้ายต่อเนื่องยาวนานถึงครึ่งเดือนของหัวหน้าเหยียน
เห็นเพียงศพแห้งนั่นเข้าไปชิดที่ท้องวัวนมตัวหนึ่ง กัดไปสองสามครั้งก็ปรากฏเป็นรอยเลือดขนาดใหญ่สีดำทะมึน เป็นการเจาะแบบเดียวกับที่เห็บใช้ปากเจาะเข้าไปในร่างกายมนุษย์ จะดึงก็ดึงไม่หลุด การกินกลายเป็นความปรารถนาและพลังในการเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งเดียวของเขา
วัวนมตัวนั้นร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด วัวนมตัวอื่นที่อยู่รอบๆ พากันดีดเท้าอย่างแตกตื่น พวกมันทุกตัวถูกเลี้ยงจนอ้วนพีแข็งแรง น้ำหนักอย่างน้อยสามสี่ร้อยจิน อย่างมากเจ็ดแปดร้อยไปจนถึงพันจิน แต่พอเตะถูกตัวปีศาจ ปีศาจตนนั้นกลับไม่เจ็บไม่คัน เหมือนถูกยุงกัด
ปีศาจกินวัวนมตัวนั้นอย่างตะกละตะกลามด้วยความรวดเร็วเป็นพิเศษ เขากินและกินจนมุดหายเข้าไปในท้องวัวนมครึ่งตัว ล้วงเอาเครื่องในของวัวออกมาจนหมด ความเร็วและวิธีการกินนี้มันไม่อยู่ในขอบข่ายพฤติกรรมของมนุษย์โดยสิ้นเชิง และน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ป่าประเภทกินเนื้อมาก
โดรนที่ลอยอยู่กลางอากาศส่งภาพสยองไร้มนุษยธรรมนี้ไปยังศูนย์บัญชาการเคลื่อนที่ ทำเอาหัวหน้าเหยียนรวมไปถึงทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันทำเสียงอาเจียนแห้ง ทันใดนั้นพวกเขาก็คิดไปถึงว่าการกินวัวคือตัวเลือกในยามไร้หนทางของปีศาจตนนี้ แล้วถ้าเขามีตัวเลือกล่ะ เขาจะกินอะไร
เสียงอาเจียนแห้งค่อยๆ หยุดลง สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูเอามากๆ
ปีศาจตนนั้นกินวัวหนึ่งตัวหมดภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาที แล้วเจาะเข้าไปในท้องของวัวอีกตัวและอีกตัว ราวกับทำตามสูตรสำเร็จ
ทั้งคอกเต็มไปด้วยเลือดสดๆ สีแดงและกลิ่นคาวคละคลุ้ง ปีศาจตนนั้นเหมือนฉลามคลั่งที่ว่ายอยู่ในท้องทะเลเลือดอย่างบ้าคลั่ง หาอาหารแบบเสียสติ
“หัวหน้าครับ ดูตัวเขาสิ!” รองผู้บัญชาการคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
หัวหน้าเหยียนมองนิ่ง เหงื่อเย็นๆ แตกพลั่ก
ร่างกายของปีศาจตนนั้นเริ่มมีกล้ามเนื้อบางๆ หนึ่งชั้น ยิ่งกินวัวเยอะ เขาก็ยิ่งแข็งแรงขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยลึก ผิวพรรณแก่ชราอย่างที่สุด ผมขาวหร็อมแหร็มจะหลุดมิหลุดแหล่อยู่บนหนังศีรษะ เขาดูแก่เฒ่าเหมือนท่อนไม้แห้งๆ แต่ร่างกายกลับแข็งแรงจนต่อยวัวตายได้ในหมัดเดียว
หลังกินวัวหมดไปหลายสิบตัว เขาเช็ดเลือดสดๆ ที่อยู่บนฟันคมๆ วิ่งตรงไปยังที่พักของคนงานในฟาร์ม
โดรนบินตามไปทันที
เหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของหัวหน้าเหยียนไหลพรูลงมามากขึ้น เขาพูดเสียงเฉียบ “แย่แล้ว เขาจะกินคน!” นี่คือข้อสรุปที่ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ได้ ในเมื่อปีศาจตนนี้มีความสัมพันธ์บางอย่างกับจางหยาง และจางหยางกินหัวใจคนเป็นๆ แล้วปีศาจตนนี้จะกินเจได้ยังไง!
“รีบยิง!” หัวหน้าเหยียนออกคำสั่งทันที
เขาคิดไม่ถึงว่าปีศาจตนนี้จะวิ่งไวขนาดนี้เลยไม่ทันได้อพยพคนที่อยู่ตามชายขอบมณฑล นี่คือความผิดพลาดของเขา
โดรนหลายตัวตามปีศาจนั่นไปทันที และเริ่มสาดกระสุนใส่เขา แต่การทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เมื่อตอนเป็นศพแห้งเขายังอยู่ยงคงกระพัน แล้วตอนนี้เขาแข็งแรงขนาดนี้ มีหรือจะถูกกระสุนไม่กี่นัดทำร้ายได้ เขาดีดตัวสูงขึ้นจากพื้น ใช้กรงเล็บคมตวัดใส่โดรนที่ทำจากเหล็กจนขาดเป็นสองท่อน ตกลงพื้นราวใบไม้ร่วง
โดรนอีกสองสามตัวถ่ายทอดภาพน่าสะพรึงนี้กลับไป
“พละกำลังในการต่อสู้ของเขาสูงมาก ถ้าเขาหนีออกจากวงล้อมของเราออกไปได้ เขาจะต้องทำเรื่องแบบเดียวกับคอกวัวที่เลือดเจิ่งนองเป็นสายน้ำนั่นอีกหลายครั้ง ในทุกที่ที่เขาผ่านขอแค่เป็นเนื้อ เขากินหมด รวมถึงมนุษย์!” ตอนได้ข้อสรุปนี้หัวหน้าเหยียนรู้สึกสิ้นหวังอย่างมาก
ลูกน้องเขามองการแพร่ภาพนี้ด้วยอาการปากอ้าตาค้าง หวาดหวั่นพรั่นพรึง
ต่อให้ทหารทุกนายในกองทัพมีปีกบินไปช่วยคนงานที่ฟาร์มตอนนี้ก็ไม่มีทางทัน
ปีศาจตนนั้นพังหน้าต่าง บุกเข้าไปในห้อง เปิดฉากการฆ่าอย่างบ้าคลั่ง
โดรนไม่สามารถบินเข้าไปถ่ายภาพได้ เพียงแต่บันทึกเสียงร้องโหยหวนพวกนั้นแล้วส่งกลับไปแบบชัดๆ
ไม่นานปีศาจที่เปื้อนเลือดเต็มตัวก็เดินออกมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า สภาพของเขาตอนนี้ทำให้พวกหัวหน้าเหยียนตื่นตระหนกและหวาดกลัวมากกว่าเดิม
การกินวัวติดต่อกันหลายตัวทำให้เขาแค่มีกล้ามเนื้อบางๆ ผุดขึ้นมาหนึ่งชั้น แต่หลังเข้าอาละวาดในบ้านพักคนงาน กล้ามเนื้อทั้งตัวเขากลับฟื้นตัว ดูหนั่นแน่นทรงพลัง แข็งแกร่งปานเหล็ก สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือใบหน้าแก่ชราเหมือนขอนไม้แห้งของเขา รอยย่นบนหน้าเขายังคงลึกมาก ซับซ้อนมาก พาดพันกันไปมาทำให้หน้าเดิมที่ดูอัปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอำมหิต
จากความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเขา สามารถสรุปได้ว่ามนุษย์คืออาหารที่เขาชื่นชอบที่สุดและช่วยเพิ่มพลังให้เขาได้มากที่สุด หลังหนีออกจากภูเขาลูกนี้ไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องเปิดฉากประหัตประหารขนานใหญ่เพื่อหาอาหารอย่างบ้าคลั่ง
โดรนซูมภาพของเขาส่งไปให้เจ้าหน้าที่เทคนิคประจำศูนย์บัญชาการเพื่อใช้ภาพนี้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขาจากคลังข้อมูล คนแรกที่ถูกนำไปเปรียบเทียบด้วยคือคนที่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลจาง เจ้าหน้าที่เทคนิคเข้าใจว่าคงต้องใช้เวลาสักพัก แต่คิดไม่ถึงว่ารูปนี้เพิ่งจะถูกสแกนเข้าโปรแกรมจดจำใบหน้าทีเดียวก็ได้ผลออกมาแล้ว
หัวหน้าเหยียนก้มลงไปดูก่อนสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอดหนึ่งเฮือก
คนอื่นๆ ก็มุงเข้ามาดู แต่ละคนปากอ้าตาค้างอย่างไม่อยากเชื่อ
เพราะใครจะไปคิดได้ว่าปีศาจหน้าตาอัปลักษณ์ดุร้ายตนนี้จะเป็นจางเหวินเฉิง นายผู้เฒ่าที่เสียชีวิตไปเมื่อยี่สิบถึงสามสิบปีก่อนของสกุลจาง เป็นทวดของจางหยาง ว่ากันว่าจางเหวินเฉิงคนนี้เป็นบุคคลในตำนาน ในช่วงสงครามเขาบริจาคทรัพย์สินของตระกูลครึ่งหนึ่งให้ประเทศ หลังสงครามจึงได้รับการเชิดชูเกียรติให้เป็น ‘เสาหลักของชาติ’ และเพื่อหลบหลีกช่วงเวลาสิบปีที่ระส่ำระสายที่สุดในชีวิต เขากลับสละทุกอย่างเพื่อพาครอบครัวย้ายไปอยู่ต่างประเทศ จากนั้นก็กลับมาทำให้สกุลจางที่รากฐานเปราะบางกลับมายิ่งใหญ่
ตอนเขาตายผู้นำประเทศเคยไปวางดอกไม้ที่สุสานของเขา คิดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่! คำนวณดูตอนนี้เขาจะอายุเท่าไหร่ หนึ่งร้อยหรือหนึ่งร้อยยี่สิบปี?
หัวหน้าเหยียนแอบคำนวณในใจแล้วพลันรู้สึกสยอง คนที่ควรตายไปนานแล้วยังไม่ตาย ซ้ำกลายเป็นผี ถ้าอย่างนั้นหลายปีมานี้เขาใช้อะไรช่วยให้อยู่รอด
หัวหน้าเหยียนนึกถึงวัวนมที่ถูกกินจนเหลือแต่โครงกับบ้านพักคนงานที่จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใบหน้าที่ตึงเครียดก็ถูกไอดำปกคลุมหนึ่งชั้น
จะปล่อยคนคนนี้ไว้ไม่ได้!
“ไม่จับเป็นแล้ว จับตาย! ส่งภาพพวกนี้ไปให้ท่านผู้นำ ทำเรื่องขอปิดพื้นที่นี้แล้วส่งหน่วยปืนใหญ่มา” หัวหน้าเหยียนตบโต๊ะเร่ง น้ำเสียงครั่นคร้ามเดือดเนื้อร้อนใจเปลี่ยนเป็นแหบพร่าอย่างยิ่ง
“ดูเหมือนปืนใหญ่จะไม่มีประโยชน์” รองผู้บัญชาการคนหนึ่งยกมือปิดหน้าอย่างท้อแท้ใจ
ตอนที่เขาพูดคำนี้ เฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในสงครามลำหนึ่งได้บินไปถึงฟาร์มแล้วยิงปืนใหญ่ใส่ปีศาจที่เปื้อนเลือดเต็มตัว เขาโดนยิงแบบจังๆ แต่กลับปีนออกมาจากหลุมกระสุนที่ฝุ่นตลบฟุ้งได้ กระโดดสองสามครั้งก็หายวับเข้าไปในป่า
หัวหน้าเหยียนทิ้งก้นนั่งแปะบนเก้าอี้ เส้นผมกับเครื่องแบบชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
ปืนใหญ่ขวางปีศาจตนนี้ไม่ได้ แล้วใครจะขวางได้
ตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ในสมองของหัวหน้าเหยียนมีแสงสีขาววาดผ่านเหมือนสายฟ้า เขาผุดลุกขึ้นมายืนทันที รีบตะโกน “รีบไปบอกอาจารย์ฟั่น เร็วๆๆ!”
ตอนแรกเขาเข้าใจว่าแค่ส่งกองทัพหลายพันคนไปจับคนคนเดียวก็เหลือจะพอเลยไม่ได้ไปรบกวนอาจารย์ฟั่น เนื่องจากอีกฝ่ายเพิ่งจะคลี่คลายคดีสังหารโหดสามคดี และก่อนหน้านี้ก็ตรวจพิสูจน์วัตถุโบราณแบบไม่มีหยุด เป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุด
แต่ตอนนี้ไม่หาอาจารย์ฟั่นไม่ได้ เพราะถ้าบนโลกจะมีใครสักคนที่ต่อกรกับปีศาจแบบนี้ได้ นอกจากอาจารย์ฟั่น หัวหน้าเหยียนก็คิดถึงคนที่สองไม่ได้อีก
แค่พูดว่า ‘อาจารย์ฟั่น’ สามคำ ศูนย์บัญชาการที่มีกลิ่นอายแห่งความสิ้นหวังฟุ้งกระจายก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ทุกคนต่างมีสีหน้ากระตือรือร้น ต่อสายหาเบอร์ที่เป็นความหวังเดี๋ยวนั้น
จังหวะนี้เองโดรนก็บินตามปีศาจตนนั้นได้ทัน
พอกินอิ่มเขาก็ไม่รีบอีก เอาแต่เผ่นโผนกระโจนอยู่ในภูเขาลึกเหมือนลิงลมที่โลดแล่นอยู่กลางป่าทึบ ผ่านไปหลายสิบนาทีเขาเข้าไปในหุบเขาที่ปราศจากร่องรอยมนุษย์แห่งหนึ่ง กระโดดลงไปในหน้าผาที่มีหมอกหนา
โดรนรีบร่อนลงไป ใช้เครื่องสแกนอินฟราเรดค้นหาเงาร่างของเขา
อุณหภูมิร่างกายของเขาต่ำมาก หลังเป็นรูปเป็นร่าง มีเพียงหัวใจที่เป็นสีแดงอมส้ม ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายกลืนไปกับหมอกหนาจนแยกไม่ออก โดรนทำได้เพียงตามหัวใจสีแดงอมส้มดวงนี้ไปหาเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็เกือบคลาดกันหลายครั้ง
ในที่สุดเขาก็หยุดวิ่ง เดินช้าๆ สองสามก้าว
โดรนสองสามตัวบินตามมาทางด้านหลัง หลบหลีกเล็บสีดำที่ตวัดมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว หยุดนิ่งอยู่ในความสูงระดับที่เขาเอื้อมไม่ถึง พอมุมมองขยายกว้าง ภาพที่กล้องถ่ายได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นและชัดเจนยิ่งขึ้น
พอเห็นภาพที่โดรนถ่ายกลับมาชัดๆ หัวหน้าเหยียนก็กุมหน้าอก ตัวโงนเงนลงไปนั่ง
เจ้าหน้าที่เทคนิคอีกสองสามคนที่อยู่หน้าจอตกใจจนรีบถอยกรูดไปชนเก้าอี้ล้ม
พวกเขาต่างเป็นทหารที่เคยผ่านสมรภูมิและการเข่นฆ่า หัวใจจึงแกร่งกว่าคนธรรมดามาก แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้พวกเขาห้ามอารมณ์ขนพองสยองเกล้าที่ถาโถมขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจไว้ไม่อยู่
ปีศาจตนนั้นกำลังยืนอยู่หน้าภูเขาลูกย่อมๆ ที่ก่อขึ้นจากซากกระดูกมนุษย์
ถูกต้อง ซากกระดูกมนุษย์กองสูงลิบ น้ำหนักยี่สิบถึงสามสิบตัน กระดูกที่นับจำนวนได้ไม่ถ้วนและไม่กล้ามอง หุบลึกร้างที่ถูกทิ้งแห่งนี้ถูกแวดล้อมด้วยหมอกกลิ่นเหม็นคาว แต่เรื่องน่าสยองกว่านั้นคือซากกระดูกมนุษย์ที่อยู่ด้านบนขึ้นไปจะยิ่งมีขนาดเรียวเล็กลง บางชิ้นเป็นก้อนใหญ่แค่ฝ่ามือ ฟ้องว่าเป็นทารกที่เพิ่งเกิดหนึ่งคน
ภาพที่เหมือนนรกนี้ทำให้ทุกคนฝันร้ายติดต่อกันไปถึงสองสามเดือน!
พอปีศาจตนนั้นเดินมาถึงสถานที่อันมืดมิดน่ากลัวแห่งนี้ก็ทำเหมือนกลับมาถึงบ้าน ตัวเกร็งๆ ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขาปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่ก่อขึ้นจากซากกระดูกมนุษย์แล้วนั่ง เงยหน้ายิ้มให้โดรนที่บินวนอยู่สองสามตัวนั้น
ใบหน้าเปื้อนน้ำลายเลอะเลือดฉายแววสังหารของเขาทำให้หัวใจของหัวหน้าเหยียนปวดหนึบขึ้นมาอย่างรุนแรง หัวหน้าเหยียนรู้ว่าปีศาจตนนี้กำลังท้าทายตน ท้าทายกองทหารติดอาวุธกลุ่มนี้ เขามีความมั่นใจและเก่งมากพอจะหนีออกจากภูเขาลูกนี้ได้ เขาเลยไม่รีบ
เมื่อกลับถึงรังตัวเองแล้ว เขาก็เลยนั่งหอบหายใจ ท่าทางชิลมาก
ปีศาจตนนี้ทำให้พวกรองผู้บัญชาการเอ่ยถามเสียงพรั่นพรึงอย่างอดไม่อยู่ “อาจารย์ฟั่นจะสู้เขาได้หรือเปล่าครับ”
ฟั่นจยาหลัวมาถึงพอดี เขามองภาพบนจอแล้วส่ายหน้า “ผมสู้เขาไม่ได้”
หัวหน้าเหยียนพูดเสียงสั่น “ไม่ได้นะครับ! ถ้าแม้แต่คุณยังสู้เขาไม่ได้ แล้วบนโลกนี้ยังจะมีใครฆ่าเขาได้อีก”
“ท่านปรมาจารย์สำนักเทียนสุ่ยทำได้ แต่ท่านเข้าฌานอยู่” ฟั่นจยาหลัวตอบตามความจริง
หัวหน้าเหยียนที่เพิ่งสั่งประหารสำนักเทียนสุ่ยเกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาวูบหนึ่ง
จังหวะนี้เองไม่รู้ว่าปีศาจตนนั้นควานหาผลไม้สีฟ้าลูกหนึ่งออกมาจากที่ไหน เขายัดมันใส่ปากที่เรียงรายไปด้วยฟันคม เคี้ยวหยับๆ แล้วกลืน ผิวพรรณค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเปล่งปลั่งขาวใส กลับมามีหน้าตาแบบมนุษย์ รูปโฉมงดงามมาก ราวกับจันทร์สุกสกาวบนท้องฟ้า ทรงเสน่ห์สะกดใจ ดวงตาเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางสีแดงสดของเขาราวกับผลงานชิ้นประณีตที่สุดของพระเจ้า
เทียบกับฟั่นจยาหลัว ดวงหน้าของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
นี่…นี่มันจางหลิงซวน ดาราใหญ่ในแวดวงโทรทัศน์ หนัง และเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีนเมื่อศตวรรษที่แล้วไม่ใช่เหรอ จางหลิงซวนคนที่ทุกเพลงที่เขาร้องจะบดขยี้หัวใจของสาวๆ ทั่วประเทศและหนังทุกเรื่องที่เขาแสดงจะช่วงชิงความรักจากสาวน้อยนับจำนวนไม่ถ้วน หลังเสียชีวิตคนนับหมื่นปิดถนนเพื่อส่งศพเขา จนถึงตอนนี้ยังมีเวยป๋อที่มีแฟนคลับเป็นสิบล้านและได้รับการพูดถึงนับจำนวนไม่ถ้วน!
จางเหวินเฉิง จางหลิงซวน พวกเขาคือคนคนเดียวกัน?
สมองของหัวหน้าเหยียนปั่นป่วนมาก หัวใจเต้นตุบๆ ราวกับจะระเบิดในวินาทีต่อไป
“อาจารย์ฟั่น เราควรทำยังไงดีครับ ถ้าผมไปคุกเข่าหน้าประตูสำนักเทียนสุ่ยเพื่อขอให้ท่านปรมาจารย์ออกจากเขามาตอนนี้ยังจะทันอยู่มั้ย” เพื่อปกป้องมวลชน หัวหน้าเหยียนสามารถละทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างได้
ฟั่นจยาหลัวตบโถกระเบื้องที่ตนถือไว้ในมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท “เรื่องที่ผมทำไม่ได้ พวกเขาทำได้ ทุกกรรมดีและกรรมชั่วย่อมมีเหตุและผล ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ”
พวกเขา? พวกเขาคือใคร หัวหน้าเหยียนมองไปทางด้านหลังอันว่างเปล่าของอาจารย์ฟั่นแล้วยิ่งงุนงงหวั่นหวาด
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 พ.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.