X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7 บทที่ 264 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว

การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่างกาย

การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

บทที่ 264 นกในกรง

ฟั่นจยาหลัวหลุบตามองจางเหวินเฉิงที่หมดสภาพยับเยิน แต่ยังคงไม่สิ้นความเฉิดฉายเปล่งประกาย ดวงตาสีดำสนิทคล้ายห้วงมหรรณพอันปราศจากคลื่นลม นิ่งสงบอย่างยิ่ง

จางเหวินเฉิงถูกฟั่นจยาหลัวมองจนกลัว แต่กลับหัวเราะเบาๆ ไม่หยุด ผ่านไปเป็นร้อยปีคนคนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เวลาที่เขามองคุณ สองตาจะเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทร แต่ถ้าคุณตกหล่มหมดท่า คุณจะไม่ได้รับความเมตตาจากเขา ถึงตอนนั้นคุณจะรู้ว่าเขาแค่มองคุณ แต่ไม่ได้เห็นคุณอยู่ในสายตา และยิ่งไม่ได้เข้าไปอยู่ในหัวใจ

ฟั่นจยาหลัวไม่เคยกลมกลืนกับโลกใบนี้

จางเหวินเฉิงถือกรงนกไหมทองบิดเบี้ยวผิดรูปนั้นไว้ หัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

ฟั่นจยาหลัวโค้งตัวเล็กน้อย น้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวล “คุณชายจาง ไม่เจอกันนานเลย”

เวลาผ่านมาหลายปีฟั่นจยาหลัวยังคงนิ่งเฉย ปราศจากโทสะ ไร้ไอสังหาร ราวกับว่าคนที่หักหลังเขา ทำร้ายเขาเพื่อช่วงชิงทุกสิ่งไปไม่ใช่จางเหวินเฉิงที่อยู่ตรงหน้า

แต่ยิ่งฟั่นจยาหลัวเป็นแบบนี้ ใจของจางเหวินเฉิงยิ่งหนาวเยือก ดวงตาสีแดงฉานเริ่มไร้โฟกัส น้ำเสียงลากยาวว่างเปล่าเหมือนหลุดไปอยู่ในอีกห้วงมิติหนึ่ง “ฟั่นจยาหลัว ไม่เจอกันนาน ฮ่า…ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่ตาย ต่อให้ถูกซ่งเอินฉือแทงทะลุหัวใจและใช้แผนผังที่ว่ากันว่าสามารถสะกดวิญญาณได้เป็นหมื่นปี ข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่มีทางตาย ซ่งเอินฉือจะสังหารเจ้าได้อย่างไร ฮ่าๆๆ…”

ฟั่นจยาหลัวหลุบตามองเขาไม่พูดไม่จา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสีหน้า แม้แต่แววตายังนิ่งสงบดีมาก

จางเหวินเฉิงกลับเป็นฝ่ายตกลงไปในห้วงความทรงจำ เขาตบกรงนกกรงนั้น หัวเราะเสียงขื่น “ยังจำนกตัวที่ถูกแมวคาบไปตัวนั้นได้หรือไม่ แค่เจ้าลูบเบาๆ ตัวที่แข็งเย็นไปแล้วของมันก็กระพือปีก กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เจ้าประคองและปล่อยให้มันได้ขยับปีกบิน ภาพที่เหมือนกับปาฏิหาริย์นั่นข้าไม่มีวันลืมได้ตลอดชาติ ตัวข้าที่ป่วยหนักแทบจะลุกขึ้นยืนไม่ไหวอิจฉานกตัวนั้นมาก! ข้าเข้าใจว่าเจ้าจะช่วยข้าเหมือนที่ช่วยมัน แต่เจ้ากลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ทั้งที่เจ้าทำได้แต่กลับไม่ยอมช่วย เป็นเพราะเหตุใดกัน”

ดวงตาสีแดงฉานของเขาฉายแววแค้นเคืองอย่างรุนแรง “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่สามารถใช้พลังจากป้ายหยกได้โดยง่าย แล้วเหตุใดเจ้าจึงช่วยชีวิตนกตัวหนึ่งต่อหน้าข้า ทำให้ข้าเกิดความปรารถนาบ้าๆ พอตกค่ำนกบินจนเหนื่อยแล้วกลับมาหาเจ้า เจ้ากลับรวบนิ้วทั้งห้าบีบมันให้ตายทั้งเป็น ทำเอาข้ากับซ่งเอินฉือที่แอบดูเจ้าอยู่ในความมืดตกใจมาก

ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าทำเช่นนั้นไปเพื่อสิ่งใด แต่พอร่อนเร่พเนจรได้ร้อยปี อยู่แบบคนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี ข้าถึงเพิ่งเข้าใจว่าเจ้าจงใจทำให้เราเห็นใช่หรือไม่ เจ้าจงใจช่วยนกตัวนั้นต่อหน้าเรา จงใจบีบมันให้ตายต่อหน้าเรา เจ้ามอบความหวังทำให้เรามีความปรารถนา เพราะเจ้ารู้ดีว่าความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าคือการได้มีชีวิตอยู่ต่อ แต่เจ้ากลับวางความหวังที่แค่เอื้อมมือก็ถึงนี้ไว้ในตำแหน่งที่ข้ามองเห็น แต่ไม่ยอมให้ข้าได้มา

เจ้าล่อลวงข้ากับซ่งเอินฉือใช่หรือไม่ เจ้าจงใจ! เจ้าวางขนมรสเลิศไว้บนหน้าผามืดมิดที่ไร้ซึ่งแสงตะวัน

เจ้าโกหกคำโต! เจ้าบอกเราว่าการถือครองป้ายหยกจะช่วยให้เป็นอมตะ แต่กลับไม่บอกว่าราคาของการเป็นอมตะคือการอยู่ในสภาพภูตผี! หลายปีมานี้ความทุกข์ทรมานทุกอย่างที่เราประสบล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของเจ้าใช่หรือไม่ นกในกรงนี้ถูกเจ้าปล่อยให้ออกบินไปเองกับมือ และสังหารมันเองกับมือ เมื่อกรงว่างเจ้าก็ยัดข้ากับซ่งเอินฉือเข้าไปให้กลายเป็นนกในกรงตัวใหม่

เหตุผลนี้ข้าใช้เวลาถึงร้อยกว่าปีกว่าจะรู้ เสียดายที่ซ่งเอินฉือไม่เข้าใจ นางไม่ยอมเชื่อว่าเรื่องทุกอย่างนี้เป็นแผนของเจ้า! ฟั่นจยาหลัว เจ้าจงใจใช่หรือไม่ เจ้ากะเกณฑ์ชะตาชีวิตข้า กะเกณฑ์ชะตาชีวิตซ่งเอินฉือ ถึงขั้นกะเกณฑ์ความตายและการคืนชีพของตัวเอง เจ้ารู้ทุกอย่าง เจ้าต้องรู้ทุกอย่างแน่นอน! เจ้าบอกข้ามาซิว่าเหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงใช้วิธีบ้าบอเช่นนี้มาปั่นหัวพวกเรา ให้เราต้องทนทุกข์ทรมานมาเนิ่นนาน เจ้าช่วยให้ข้าตายแบบรู้แจ้งที!”

ฟั่นจยาหลัวย่อเข่าใช้ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้ว่านจันทรกานต์บนหน้าอกจางเหวินเฉิงผ่านอากาศ เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท “ขโมยป้ายหยก ฆ่าคนปิดปาก หักหลังสำนัก ข้าเป็นคนบีบบังคับพวกท่านหรือ”

จางเหวินเฉิงอ้าปากแต่กลับกระอักฟองเลือดออกมาหนึ่งคำ เขาหาวาจามาโต้แย้งเรื่องนี้ไม่ได้

“ซ่งเอินฉืออยากได้ตำแหน่งเจ้าสำนักเทียนสุ่ย อยากได้ความรักจากอาจารย์ อยากได้ชื่อเสียง อยากสำเร็จเป็นเทพ ส่วนท่านอยากรอดชีวิต อยากเป็นอมตะ อยากครองโลกทั้งใบ สิ่งที่พวกท่านอยากได้มีมากมาย แล้วพวกท่านรู้หรือไม่ว่าข้าอยากได้สิ่งใด”

ฟั่นจยาหลัวดึงปลายนิ้วกลับมา ลุกขึ้นยืนช้าๆ

จางเหวินเฉิงถามเสียงสั่น “เจ้าอยากได้สิ่งใด”

ฟั่นจยาหลัวโค้งริมฝีปาก พูดเสียงเบา “ข้าอยากทำลายทุกคนที่คิดแบบพวกท่าน”

จางเหวินเฉิงถูกตรึงอยู่ที่เดิมเหมือนรูปสลักจากน้ำแข็ง สองตาแดงฉานเบิกกว้างเหมือนมองเห็นภูตผีปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในโลก

ท่ามกลางความมึนงง เขาฉุกคิดถึงแวบแรกที่ได้พบกับคนผู้นี้

ฟั่นจยาหลัวในตอนนั้นสวมชุดนักพรตที่ซักจนขาว เอียงศีรษะหรี่ตามองมาด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าที่ต้องแสงตะวันเจิดจ้าเปล่งรัศมีเรืองรอง ริมฝีปากแดงเผยอเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงกลับใสสะอาดเหมือนน้ำที่ได้จากหิมะเพิ่งละลายในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ‘คุณชายจาง ขอพักที่บ้านท่านสักสองสามวันได้หรือไม่’

จางเหวินเฉิงในตอนนั้นกำลังป่วยใกล้ตาย ตอนที่ได้พบกับคนผู้นี้ พริบตาหนึ่งเขามีความรู้สึกว่าตัวเองพบทางรอด แล้วทำไมเขาถึงอยากฆ่าฟั่นจยาหลัว เพราะเหตุใดเขาถึงร่วมมือกับซ่งเอินฉือเพื่อเดินไปบนเส้นทางที่ไม่สามารถหวนกลับสายนี้

เพราะความปรารถนา! ความปรารถนาที่จะรอดชีวิตเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย จางเหวินเฉิงหลอกล่อให้ซ่งเอินฉือร่วมมือทำเรื่องเลวระยำนั่น แต่ถ้าไม่ใช่เพราะทุกการกระทำทุกคำพูดของฟั่นจยาหลัวกระตุ้นความปรารถนานี้ พวกเขาไม่มีทางก้าวข้ามเส้นแบบนี้

แต่สุดท้ายพวกเขาได้อะไร พวกเขารอดและเป็นอมตะจริง แต่ร่างกายของพวกเขากลับทรุดโทรมลงทุกวัน แก่เฒ่าลงทุกวัน จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ต้องตกใจเพราะเพิ่งพบว่าที่แท้ความเป็นอมตะไม่ได้หมายถึงการเป็นหนุ่มสาวชั่วนิรันดร์ คำอธิษฐานของพวกเขาคือคำสาปมาตั้งแต่ต้น

เพื่อให้พ้นจากคำสาป เขากับซ่งเอินฉือแยกทางกันเดิน นางเป็นเทพธิดาของนาง เขาเป็นปีศาจของเขา…

เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องนี้ จางเหวินเฉิงก็หัวเราะแล้วหัวเราะอีกเหมือนอารมณ์ดีเป็นที่สุด แต่พอสิ้นเสียงหัวเราะ เขากลับเงยหน้าถาม “เส้นทางสองสายที่ข้ากับซ่งเอินฉือเลือก มันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้วใช่หรือไม่”

ฟั่นจยาหลัวตอบเสียงเนิบ “ต่างเส้นทาง แต่มีจุดหมายเดียวกัน”

“ต่างเส้นทาง แต่มีจุดหมายเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จุดจบของข้าในเวลานี้ก็จะเป็นจุดจบของซ่งเอินฉือในอนาคตเช่นกันใช่หรือไม่ ฮ่าๆๆ…เรื่องนี้มันน่าขำมากจริงๆ ฮ่าๆๆ…ฟั่นจยาหลัว เจ้ารู้ทุกสิ่ง ระหว่างเราไม่มีผู้ใดหนีพ้นเงื้อมมือเจ้า เสียดายที่ซ่งเอินฉือเข้าใจว่าตนชนะ ฮ่าๆๆ…”

จางเหวินเฉิงหัวเราะจนเกือบสำลัก เขากระอักเลือดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจยาว “ฟั่นจยาหลัว ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าถ้าซ่งเอินฉือเห็นว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ นางจะมีสีหน้าเช่นไร เสียดายที่นางซ่อนตัวเก่งเกินไป ฟั่นจยาหลัว ข้านึกว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้ง เราจะได้สู้กัน…”

“การสู้กับท่าน มันเปื้อนมือข้า” ฟั่นจยาหลัวถอยห่างออกไปสองก้าวเพื่อไม่ให้ฝอยเลือดที่กระเซ็นออกมาตอนอีกฝ่ายพูดเปื้อนปลายรองเท้ากับขากางเกงของตน

จางเหวินเฉิง “…”

อารมณ์ไม่ยอมแพ้และเคืองโกรธในใจจางเหวินเฉิงถูกถล่มเป็นผุยผงเพราะคำพูดประโยคนี้

“แม้แต่บทสรุปสุดท้ายของข้า เจ้าก็วางแผนเอาไว้นานแล้ว? ข้าพลาดสินะ ข้าน่าจะรู้แต่แรกว่าไม่มีทางสู้เจ้าได้” ขอบตาของจางเหวินเฉิงมีน้ำตาโลหิตไหลออกมา น้ำเสียงมีกระแสวิปโยคโศกศัลย์ “ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ข้าขอไม่พบเจอเจ้าเลยดีกว่า ข้ายินดีตายอย่างสงบและยินดีจะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง”

จางเหวินเฉิงใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายพลิกศีรษะที่หนักอึ้งเหมือนมีน้ำหนักสักพันจินไปด้านข้าง กระอักเลือดออกมาอย่างแรงคำหนึ่ง เบิกดวงตากว้างแทบฉีกขาด สิ้นใจไปเดี๋ยวนั้น ในเมื่อฟั่นจยาหลัวรังเกียจว่าเขาสกปรก เขาก็จะมอบความสะอาดสุดท้ายให้ด้วยการไม่ให้โลหิตที่เต็มไปด้วยบาปเวรนี้ไปกระเซ็นถูกตัวอีกฝ่าย

จางเหวินเฉิงมีร่างอมตะ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะบาปที่ก่อขึ้นได้ ไม่ว่าอำนาจในการฟื้นตัวของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ตุ๊กตาดินพวกนั้นสามารถใช้ความเร็วที่มากกว่ากัดกินอวัยวะห้าตันหกกลวงของเขาได้เรียบวุธ ถ้าคนคนหนึ่งไม่เหลือเครื่องใน มีแต่โครงเปล่าๆ จะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ

ย่อมไม่มีทางอยู่ได้ ผิวหนังอันเลิศเลอของจางเหวินเฉิงค่อยๆ แฟบลง ฟั่นจยาหลัวฉวยโอกาสตอนที่จางเหวินเฉิงและเหล่าตุ๊กตาดินยังไม่สลายกลายเป็นเลือดกางสนามแม่เหล็กเพื่อควานในอกอีกฝ่าย ลองเรียกเอาป้ายหยกนั้นออกมา

คิดไม่ถึงว่าจังหวะนี้จะมีเถาวัลย์สีเขียวหลายสิบเส้นแทงทะลุเข้าไปในหน้าอกของจางเหวินเฉิงเพื่อชิงเอาป้ายหยกที่ส่องประกายเรืองรองก่อน เถาวัลย์แทรกเข้าไปในร่างจางเหวินเฉิง ลากตัวเขาให้จมเข้าไปในภูเขาซากกระดูกมนุษย์

เถาวัลย์พวกนั้นคมกริบเหมือนใบมีด ตัดโครงกระดูกทั้งหมดให้แยกออกจากกัน ทะลุดินที่มีกลิ่นคาวเลือดขึ้นมาพาจางเหวินเฉิงเข้าไปในก้นลึกสุดหยั่ง ฟั่นจยาหลัวรีบกระโดดเข้าไปในโพรงซึ่งเกิดตอนเถาวัลย์กระแทกตัวออกมา ไม่ได้ตามเข้าไปในจุดที่ลึกกว่านี้

เขาสัมผัสได้ว่าเถาวัลย์พวกนี้มีพลังมหาศาลแอบซ่อนอยู่ มันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาในเวลานี้จะต่อกรด้วยได้

ตอนนี้ฟั่นจยาหลัวยืนอยู่ด้านในภูเขาที่ก่อตัวขึ้นมาจากซากกระดูกมนุษย์ พบว่ามันเป็นโพรงว่าง ชั้นนอกห่อหุ้มด้วยกระดูก แต่ชั้นในกลับมีกองอัฐิสีดำมากมาย กับถ้ำหลายแห่งหน้าตาเหมือนรูหนอนซึ่งเกิดจากบางสิ่งที่มีลักษณะเป็นเสากลม

ถ้าจะให้หาของที่คล้ายกันมาบรรยาย ฟั่นจยาหลัวรู้สึกว่าภูเขาลูกนี้หน้าตาเหมือนรังมดมาก ทว่าสิ่งที่ผ่านทางและทำให้กระดูกพวกนี้ผุกร่อนเป็นเถ้าเพื่อกลืนกินกลับไม่ใช่มด แต่เป็นรากต้นไม้ รากที่เหมือนเถาวัลย์มีชีวิตพวกนั้น

การที่จางเหวินเฉิงเอาพวกกระดูกมากองไว้ที่นี่ไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่เขาใช้กระดูกพวกนี้มาบำรุงดูแลต้นไม้ต้นหนึ่ง เกรงว่าโถอัฐิกับขวดแก้วบรรจุเลือดที่ซูเฟิงซีเก็บไว้ในคฤหาสน์ก็มีไว้เพื่อใช้งานแบบเดียวกับจางเหวินเฉิง

พอคิดถึงตรงนี้ฟั่นจยาหลัวก็กุมท้องตัวเองเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ห้วงมิติที่ห่อหุ้มเมล็ดพันธุ์นั้น เขานึกเชื่อมโยงไปถึงผลไม้สีฟ้าที่จางเหวินเฉิงกินตอนฟื้นฟูร่างมนุษย์ ความลับที่ช่วยซูเฟิงซีรักษาความอ่อนเยาว์ไว้ในช่วงระยะเวลาหลายปีมานี้ เครื่องสำอางที่ทำให้หน้าของพวกเจี่ยนหย่าเป็นคนไม่ใช่คน เป็นผีไม่ใช่ผีพวกนั้น ยังมียาสีฟ้าที่กระตุ้นศักยภาพภายในของมนุษย์ ถึงขั้นเพาะเลี้ยงพิชานขึ้นมาได้นั้นอีก

ในที่สุดเรื่องราวพิลึกพิลั่น ปริศนาแสนยาก ความลับมากมายพวกนี้ บัดนี้ก็ได้เผยมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งออกมาแล้ว ทุกอย่างที่เกิดล้วนเป็นฝีมือของต้นไม้ต้นนี้ มันเหมือนจะสูบกินความผิดบาป อกุศลกรรม พลังชีวิต ไอมรณะเพื่อออกผลทำให้คนที่กินดำรงความเป็นหนุ่มสาวไว้ได้ชั่วนิรันดร์หรือได้รับพลังแกร่งกล้ามหาศาล

ผลของมันมีความคล้ายคลึงกับป้ายหยกที่ช่วยให้ความปรารถนาเป็นจริง

ฟั่นจยาหลัวแหงนหน้าขึ้นมองปากถ้ำ ถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่ เพราะดูเหมือนปีศาจที่แอบซุ่มอยู่ในความมืดจะตื่นขึ้นมากันหมดและแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดมาก

ระหว่างที่เขากำลังพยายามใช้จิตไปสัมผัสถึงอนาคต น้ำเสียงร้อนรนของใครคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านบน “อาจารย์ฟั่น คุณยังโอเคดีหรือเปล่าครับ”

“ผมอยู่นี่” ฟั่นจยาหลัวตอบทันที

“คุณบาดเจ็บหรือเปล่าครับ” ศีรษะของหัวหน้าเหยียนโผล่มาตรงปากถ้ำ จากนั้นก็มีลำแสงสาดลงมา

ดวงตาของฟั่นจยาหลัวเจอกับแสงแรงนั้นจังๆ ทว่าแม้แต่ขนตาของเขาก็ยังไม่สั่นไหว “ผมโอเคดีครับ”

“คุณคอยก่อนนะครับ เราจะดึงคุณขึ้นมาเดี๋ยวนี้” พอเห็นว่าข้างล่างมีอาจารย์ฟั่นอยู่คนเดียว และมีถ้ำสีดำลึกลงไปในพื้น หัวหน้าเหยียนก็รีบปล่อยเชือกหนึ่งเส้นลงไปทันที

ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นฟั่นจยาหลัวก็ขึ้นมาอยู่บนยอดเขา เขาเก็บดอกว่านจันทรกานต์ที่โปร่งแสงงดงามเหมือนน้ำค้างแข็งดอกนั้นขึ้นมา หลุบตามองอย่างละเอียด พบว่ามันไร้มลทินเลยโยนลงไปในถ้ำกระดูกที่มืดดำ

“อาจารย์ฟั่นครับ ปีศาจตนนั้นล่ะครับ เขาตายแล้วหรือยัง ทำไมถึงมีเถาวัลย์โผล่ออกมาจากหน้าอกเขาได้” หัวหน้าเหยียนถามอย่างวิตกกังวล

“พูดกันตามเหตุผลคือการถูกบ่วงของบาปโลหิตทำให้เขาต้องตายแบบไม่ต้องสงสัย แต่เถาวัลย์ที่พาเขาไปนั้นแปลกมาก ผมเลยไม่กล้ายืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาจะตาย จริงสิ พวกคุณหาสารตั้งต้นที่ทำยาสีฟ้าพวกนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอ ผมเดาว่าเป็นเถาวัลย์พวกนั้นแหละ ที่นี่เคยมีรากของมันงอกเต็มไปหมด”

ฟั่นจยาหลัวชี้ไปยังถ้ำในภูเขากระดูก เดาว่า “ที่นี่น่าจะเป็นที่ที่จางเหวินเฉิงปลูกผลพวกนั้น”

น้ำเสียงของหัวหน้าเหยียนยังคงหวั่นหวาด “ดูเหมือนเถาวัลย์นั่นจะมีชีวิตนะครับ!”

“ไม่ใช่เหมือน แต่มันมีชีวิตและมีปัญญาด้วย” ฟั่นจยาหลัวเดินลงจากภูเขาช้าๆ

“คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร คุณจะบอกว่ามันกลายเป็นปีศาจแล้วหรือครับ” หัวหน้าเหยียนเดินหกล้มหกลุกตามมาถาม

“ใช่ครับ”

การได้ยินคำตอบนี้ทำให้หัวหน้าเหยียนสะดุดล้มลง

“เถาวัลย์นั่นอันตรายมั้ยครับ แล้วมันคิดจะทำอะไร” หัวหน้าเหยียนไม่สนใจดินที่เปื้อนเต็มปาก รีบซักถาม

“คุณยังไม่รู้อีกเหรอ” ฟั่นจยาหลัวยืนอยู่ด้านล่างของภูเขากระดูกสูงลิบ ปลายนิ้ววาดไปตามไอหมอกที่ปกคลุมกับหุบเขาลึกที่เต็มไปด้วยซากแห่งนี้ “มันใช้กระดูก เนื้อ และเลือดคนเป็นปุ๋ย ถ้ามันอยากเติบโตต่อไปอีกก็ต้องฆ่าคน และต้องฆ่าเยอะมาก”

หัวหน้าเหยียนหันไปมองซากกระดูกมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนพวกนั้น น้ำเสียงสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ “ฆ่าเยอะมาก…มากแค่ไหนครับ”

“คาดว่าคงต้องฆ่าจนเกลี้ยงถึงจะหยุด” ฟั่นจยาหลัวให้คำตอบสุดสยองด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท

สมองของหัวหน้าเหยียนมีเสียงดังวิ้งๆ จากนั้นเขาก็นั่งแปะบนกองกระดูกทันที

ต่อมาเจ้าหน้าที่เทคนิคคนหนึ่งปีนออกมาจากตัวภูเขา ตะโกนเสียงดัง “หัวหน้าครับ ที่นี่มีร่องรอยงอกของรากไม้ จากการวิเคราะห์ของเรา ลำต้นของต้นไม้ต้นนี้จะต้องใหญ่มาก แต่มันหายไปแล้ว เหมือนมันมีขาวิ่งหายไปในดิน! หัวหน้าเหยียนครับ ผมไม่ได้โกหกคุณจริงๆ นะครับ!”

“ผมรู้!” หัวหน้าเหยียนตวาด ทำเอาทุกคนหน้าซีด

“ทำไมชีวิตผมถึงได้ยากขนาดนี้ พอผมเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยป้องกันพิเศษก็มีคดีพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นเต็มไปหมด! หัวหน้าหน่วยป้องกันพิเศษคนก่อนอย่างมากก็แค่จับผีดุสองสามตน ทำไมของผมถึงกลายเป็นปีศาจล้วน! อาจารย์ฟั่นครับ คดีนี้จะคลี่คลายยังไง เราจะไปจับเถาวัลย์นี้ได้ที่ไหน มันหนีอยู่ในดิน เราไม่มีทางไล่ตามได้เลย!” หัวหน้าเหยียนทุบหัวตัวเองอย่างเศร้ารันทด

“มันหนีไปแล้ว ยังจับไม่ได้หรอกครับ ไปหาตัวมือมืดหลังม่านที่สับเปลี่ยนสมบัติชาติก่อนดีกว่า” ฟั่นจยาหลัวพูดอย่างใจเย็น

หัวหน้าเหยียนที่ยังมีคดีใหญ่กว่าซึ่งยังไม่ได้คลี่คลายล้มลงนอนอย่างหมดสภาพ เขามีความรู้สึกว่าตัวเองคงอยู่ได้ไม่พ้นวันนี้แล้ว!

 

ฟั่นจยาหลัวกลับถึงบ้านเก่าของสกุลฟั่นตอนดึก เขาเดินเข้าไปในห้องใต้ดินกอดสวี่อี้หยางที่ยังคงหลับลึกไว้ เหมือนตัวเองไม่เคยจากไปไหน

ในเวลาเดียวกันนี้ซ่งรุ่ยที่ตื่นขึ้นมาดื่มน้ำตอนเช้ามืดพบว่าในวีแชตของตัวเองมีเมสเสจที่ยังไม่ได้อ่านส่งมาจากฟั่นจยาหลัว เขาจึงรีบเปิดอ่านแล้วพ่นน้ำในปากออกมา สำลักจนไอก่อนหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เขาใช้มือกุมหน้าผาก แต่ไม่สามารถซ่อนความสุขและความอารมณ์ดีที่ท่วมท้นอยู่ในดวงตาพราวระยับได้

ปลายนิ้วของซ่งรุ่ยแตะๆ หน้าจอ พิมพ์คำว่า ‘โอเค’ กลับไปอย่างรวดเร็ว

ในกล่องข้อความ ฟั่นจยาหลัวถามแบบง่ายๆ ว่า

 

ย้ายมาอยู่ด้วยกันดีมั้ยครับ

 

วันต่อมาซ่งรุ่ยกับฟั่นจยาหลัวนัดว่าจะช่วยกันย้ายบ้าน แต่ระหว่างทางกลับถูกหัวหน้าเหยียนที่ใจร้อนเป็นไฟพาตัวไปฮ่องกงเพื่อพบกับนักสะสมสี่คนและตรวจพิสูจน์สมบัติในมือของพวกเขา

นักสะสมสี่คนให้ความร่วมมือเต็มที่ด้วยการเอาวัตถุโบราณที่ตัวเองสะสมในช่วงหลายปีมานี้ออกมาทั้งหมด

ฟั่นจยาหลัวใช้จิตสัมผัสไปทีละชิ้นๆ ส่ายหน้าปฏิเสธไม่หยุด “ปลอม ปลอม ปลอม…”

หน้าของนักสะสมทั้งสี่คนเขียวหมดแล้ว เหมือนไม่กล้าเชื่อและเหมือนเจอปัญหาใหญ่ ปวดหัวใจแทบเป็นแทบตาย

สุดท้ายฝ่ามือของฟั่นจยาหลัววางอยู่เหนืองานแกะสลักรูปดอกบัวกลางแดดซึ่งทำจากหยกตู๋ซานสีชมพู ชายหนุ่มสั่นศีรษะ “ปลอมเหมือนกัน” แต่เขากลับไม่ขยับเท้าเป็นเวลานานเหมือนพบเจอปัญหาบางอย่างที่ใหญ่กว่า

หัวหน้าเหยียนที่ถูกเขาทำให้ตกใจเริ่มเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 24 .. 65

 

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: