ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง 灵媒 (Ling Mei)ของเฟิงหลิวซูไต
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง, ปัญหาในครอบครัว, มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต, การทำร้ายเด็ก, การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ, การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ, การข่มขืน, การฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11 คนที่สาม
รถจอดนิ่งอยู่ในโรงรถเป็นเวลานานมาก มือทั้งสองข้างของไป๋มู่ยังคงจับพวงมาลัยแน่น ปลายลิ้นแนบกดชิดกับเพดานปาก สัมผัสได้ถึงความรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ กลิ่นน้ำมันเครื่องจางๆ ลอยเข้ามาจากทางหน้าต่าง รมปลายจมูกของเขา ขมับเต้นตุบๆ ผ่านไปนานกว่าที่เขาจะหายจากอาการวิงเวียน หัวใจที่ถ่วงหนักมาตลอดทางถูกกระตุ้นด้วยอะดรีนาลินจนเต้นกระหน่ำไม่หยุด มันทรงพลังและมีชีวิตชีวามาก
“แค่ก!” เขาซบหน้าผากลงบนพวงมาลัย หัวเราะเสียงทุ้มต่ำอย่างดีใจ
ไป๋มู่เคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรงเนื่องจากไป๋หลินจงใจแยกตัวออกไป ยังจดจำความรู้สึกตอนที่กระดูกหักได้ดีจนถึงตอนนี้ เดิมทีเขาเข้าใจว่าตัวเองไม่มีวันขับรถคนเดียวได้อีก เพราะความทรงจำเฉียดตายหลายต่อหลายครั้งได้กลายมาเป็นฝันร้ายตลอดกาล มัดมือมัดเท้าของเขา แต่เมื่อครู่พอเขาสลัดความคิดทั้งหมดเพื่อห้อกลับมาเต็มเหยียด ไป๋มู่กลับพบว่านี่เป็นความรู้สึกที่ดีและเป็นอิสระมาก!
ความกระวนกระวาย โศกเศร้า เจ็บปวด เฝ้าโทษตัวเองที่สะสมอยู่ในใจมานานปี บัดนี้ได้ถูกระบายหายไปหมด หลังจากคุณปู่และคุณพ่อคุณแม่จากไป นี่คือวันที่ไป๋มู่มีความสุขมากที่สุด เขาหัวเราะจนขอบตาแดงเรื่อ มือที่จับพวงมาลัยมีเส้นเอ็นปูดโปนเนื่องจากออกแรงมากเกินไป
ชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้รถคันนั้นช้าๆ เขามองคนที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับแล้วเผลอทำหน้าแตกตื่น “เสี่ยวมู่ คุณ…ทำไมคุณถึงขับรถกลับมาเอง ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า”
ไป๋มู่รีบเงยหน้า สีหน้าทั้งโศกและสุขถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ลุงหลี่ ผมโอเค ผมขับรถกลับมาเอง ระหว่างทางไม่มีอะไรเลย” พูดมาถึงตรงนี้ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย เพิ่งรู้สึกว่าความสะดวกราบรื่นแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิดหลังจากแยกกับไป๋หลิน
“จริงหรือครับ คุณรีบลงมาก่อน เร็วๆๆ!” ลุงหลี่ที่เป็นพ่อบ้านเปิดประตูรถอย่างร้อนใจ ด้วยความกลัวว่าถ้าช้าอีกแค่ก้าวเดียวจะเกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้นกับคุณชายน้อยสกุลไป๋ เขาเห็นไป๋มู่มาตั้งแต่เล็กจนโต ย่อมต้องรู้เรื่องดวงชะตาพิสดารของอีกฝ่าย
ไป๋มู่หลบมือที่ยื่นมาของลุงหลี่ น้ำเสียงแหบพร่าขึ้นเพราะความตื่นเต้นดีใจ “ลุงหลี่ครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ อย่าเพิ่งถูกตัวผมนะ เดี๋ยวจะซวย”
“โอเค ผมไม่แตะ แต่คุณรีบลงมาจากรถก่อนดีกว่า” ใบหน้าของลุงหลี่เต็มไปด้วยความปวดใจและจนใจ เพื่อมิให้คนข้างตัวต้องพลอยลำบาก ไป๋มู่จึงมักรักษาระยะห่างจากคนรอบข้างเสมอ การโตมาแบบนี้จะทำให้เขายิ่งกลายเป็นคนอ้างว้างเดียวดายหรือเปล่า หรือเขาต้องมีชีวิตแบบนี้ตลอดไป
ไป๋มู่อยากตบไหล่ลุงหลี่เพื่อบอกว่าเขาโอเค แต่กลับหลีกเลี่ยงสัมผัสจากอีกฝ่ายไปไกล ทันทีที่เท้าเขาก้าวพ้นประตูรถออกมา รถหรูที่มีระบบรักษาความปลอดภัยชั้นยอดจนเป็นที่เลื่องลือก็มีเสียงดังปังและยุบลงครึ่งหนึ่ง พอก้มลงไปดูถึงรู้ว่าล้อทั้งสี่ข้างแตกหมด
ลุงหลี่ตกใจจนขาสั่นพั่บๆ ทว่าไป๋มู่กลับมองภาพนี้อย่างแปลกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ในภายหลังว่าวันนี้เขาคงดวงดีกว่าคนถูกลอตเตอรี่รางวัลหลายพันล้าน เพราะถ้าเขามาถึงบ้านช้ากว่านี้ไม่กี่นาทีย่อมเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก! ระหว่างทางกลับมาบ้านเขาเฉียดผ่านยมทูตหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับรอดพ้นมาได้ทุกคราว ถ้าแบบนี้เรียกว่าซวย บนโลกนี้คงไม่มีใครโชคดีกว่าเขาแล้วกระมัง
“เสี่ยวมู่ ต่อไปคุณอย่าขับรถเองอีกเลยนะ คุณอยากทำให้ลุงหลี่ช็อกตายหรือไง! คุณไม่รู้หรือว่าดวงตัวเองแย่แค่ไหน!” ทันใดนั้นเสียงของลุงหลี่ก็เงียบไป เปลี่ยนเป็นตื่นตกใจ “ไม่สิ ไม่ถูก! เสี่ยวมู่ วันนี้ทำไมคุณดวงดีได้ขนาดนี้ คุณกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้วยางถึงค่อยระเบิด แบบนี้มันผิดปกติเกินไปหรือเปล่า”
หลังไป๋หลินจากไป ไป๋มู่ก็พบเจอกับอุบัติเหตุทุกรูปแบบ ถูกรถชน ถูกของบนที่สูงตกใส่ ถูกปล้น ถูกแทง…เรียกได้ว่าทุกวันเขาต้องเจอกับความเสี่ยงชนิดเก้าตายหนึ่งเป็น* ใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในสมรภูมิ
เขาย่อมรู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ผิดปกติมากจึงเริ่มทบทวนความทรงจำ ไม่ใช่ไป๋หลิน เพราะตอนเขาขับรถไป๋หลินไม่ได้อยู่ด้วย และไม่ใช่พวกลูกน้องเพราะพวกเขาเจอหน้ากันทุกวัน ถ้าดวงของลูกน้องคนใดคนหนึ่งส่งผลต่อดวงชะตาของเขาได้ ก็น่าจะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นนานแล้ว และไม่ใช่ผู้เฒ่าโจว เนื่องจากอีกฝ่ายบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่มีวิธีแก้ไขดวงชะตาของไป๋มู่ และไม่สามารถช่วยไป๋มู่หาเสามนุษย์คนใหม่ให้ได้ เนื่องจากพื้นชะตาของใครก็จะเป็นของคนนั้นคนเดียว พูดอีกอย่างคือบนโลกนี้ไม่มีใครที่สามารถแทนที่ไป๋หลินได้
งั้นยังมีใครที่สามารถส่งผลต่อฉันได้ ไป๋มู่พยายามคิด ใบหน้ากระจ่างใสคล้ายอาบย้อมด้วยแสงจันทร์เผลอแล่นปราดเข้ามาในสมองของเขาก่อนจะเลือนหายไปทันที
ฟั่นจยาหลัวหลับอยู่ในอ่างน้ำสามวันสามคืน และในเวลาเดียวกันนี้ทีมตำรวจหน่วยสืบสวนอาชญากรรมยังคงติดตามความเคลื่อนไหวต่อไปของเขา เนื่องจากคำเตือนเรื่องการตายที่เขาโพสต์ไว้ ผ่านไปเกือบสองสัปดาห์จนถึงเวลานี้ ทั้งซุนอิ่ง ฟั่นลั่วซาน จ้าวเหวินเยี่ยน เฉาเสี่ยวเฟิง คนที่อยู่ในรายชื่อเหยื่อพวกนี้ต่างยังอยู่ดีมีสุข
การอารักขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงของทางตำรวจรบกวนการทำงานและชีวิตประจำวันของคนกลุ่มนี้อย่างมหาศาล พวกเขาเริ่มหงุดหงิดและสงสัยว่าคำเตือนนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่
“ขอร้องล่ะ พวกคุณเลิกตามผมสักที! ถึงผมจะเป็นดาราแต่ก็ต้องการความเป็นส่วนตัวนะครับ! คำเตือนของฟั่นจยาหลัวเป็นแค่เรื่องล้อเล่น! ผ่านมาตั้งหลายวัน ถ้าเขาจะทำก็คงทำไปนานแล้ว!” ซุนอิ่งปัดของบนโต๊ะเครื่องสำอางส่งๆ เพื่อใช้เป็นการแสดงออกบอกถึงความไม่พอใจของตน
“ถ้าเกิดเขาคอยจังหวะนี้อยู่ล่ะ ถ้าพอพวกเราไปแล้วเขาลงมือเลยล่ะ” จวงเจินขวางประตูอย่างไม่ยอมขยับไปไหน
ซุนอิ่งหน้าซีด เห็นได้ว่ากังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่หลังจากหยิบมือถือขึ้นมาสไลด์ดูเวยป๋อครู่หนึ่ง เขาก็ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง “พวกคุณดูนี่สิ! ผมบอกแล้วว่าฟั่นจยาหลัวกำลังปั่นหัวพวกเรา! พวกคุณไปได้แล้ว รีบไปเถอะ ผมไม่ต้องให้พวกคุณมาช่วยอารักขาอีก ผมมีบอดี้การ์ดที่จ้างมาแล้ว!”
จวงเจินก้าวฉับๆ มาดูมือถือของซุนอิ่ง ดวงตาแข็งค้างขึ้นทันที เพราะเมื่อหนึ่งนาทีก่อนบัญชีเวยป๋อของฟั่นจยาหลัวโพสต์ตัวอักษรหนึ่งแถวว่า ‘คนที่สาม’ ทุกคนที่เขาอาฆาตต่างอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำรวจ ยังไม่เห็นคนที่สอง แล้วคนที่สามมาจากไหน
พริบตานั้นสมองที่แสนแยบยลของจวงเจินเปลี่ยนเป็นขาวโพลน แต่สักพักก็กลับมามีความสามารถในการไตร่ตรองได้อย่างเป็นปกติ เขารีบโทรหาทีมย่อยจนรู้ว่าทุกคนที่พวกเขาให้การอารักขาอยู่สบายดีมาก ไม่ได้พบเจอเรื่องร้าย
“หัวหน้าครับ คนที่สาม…คนที่สามคือเป้าหมายการแก้แค้นจริงๆ หรือครับ พวกเราไม่ได้คิดผิดใช่มั้ย” พวกคนในหน่วยเริ่มจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน
“หรือจะมีคนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ”
“สืบหาคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟั่นจยาหลัวต่อ มีความเป็นไปได้มากว่าพวกเราจะพลาดบุคคลสำคัญไป!”
“ไม่หรอก ประวัติชีวิตของเขาเรียบง่ายมาก คนที่คบหาไปมาหาสู่ก็มีอยู่แค่นั้น!”
“หัวหน้าครับ คุณว่าเขาล้อเล่นหรือเปล่า ตอนนี้พวกดาราทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดัง คุณดูสิ ก่อนหน้าที่เขาจะโพสต์เวยป๋อมีแฟนคลับอยู่แค่สิบล้าน แต่ตอนนี้เพิ่มเป็นหกสิบกว่าล้านแล้ว ดังในทางร้ายมันก็ดังเหมือนกัน คุณว่าใช่หรือเปล่า”
“ก็มีความเป็นไปได้!”
“เกาอี้เจ๋ออาจจะไม่ได้ถูกฆ่า แต่เผลอเหยียบโดนอะไรทำให้พลัดตกลงไปเอง พวกเราจะให้หน่วยพิสูจน์หลักฐานไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอีกครั้งดีมั้ยครับ”
ทุกคนต่างมีความรู้สึกว่าฟั่นจยาหลัวจงใจเล่นใหญ่ จวงเจินเอาแต่นิ่วหน้า ไม่ได้ตอบรับใคร คอยจนหมดเสียงวิพากษ์วิจารณ์แล้วเขาจึงพูดเสียงหนักว่า “คำเตือนเรื่องการตายอาจพูดว่าเป็นเรื่องตลกร้ายได้ แต่จะอธิบายเรื่องภาพวาดยังไง ถ้าไม่มีการวางแผน ฟั่นจยาหลัวไม่มีทางสเก็ตช์ภาพสถานที่ตายของเกาอี้เจ๋อได้ละเอียดขนาดนั้น พวกนายส่งคนอีกสองคนไปคอยจับตาดูฟั่นจยาหลัว คอยดูทุกความเคลื่อนไหว ส่วนคนอื่นสืบหาคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาต่อไป ดูซิว่ามีอะไรลอดหูลอดตาพวกเราไปหรือเปล่า คดีนี้ไม่ชัดเจนเอามากๆ ฟั่นจยาหลัวเป็นเบาะแสและช่องทางเดียวของเรา ทุกอย่างเป๋เพราะพฤติกรรมแปลกๆ ของเขา ควรตรวจสอบยังไงก็ให้ทำไปตามนั้น และขอผลการตรวจสอบภูมิหลังของเกาอี้เจ๋อให้ผมด้วย เราต้องมีเบาะแสมากกว่านี้”
“ครับหัวหน้า!”
“ทราบแล้วครับหัวหน้า!”
“รับทราบ!”
ทุกคนเลิกคุย แยกย้ายกันไปทำงาน
จวงเจินไม่สนใจการต่อต้านอย่างสุดแรงของซุนอิ่ง เขาล็อกตัวอีกฝ่ายขึ้นไปบนรถพี่เลี้ยง* เพื่อส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน ตกดึกเมื่อทุกคนเงียบกันไปหมดแล้ว จวงเจินยังคงเฝ้าอยู่ที่ชั้นล่างของคอนโดฯ ไม่ได้ออกเวรเพราะไม่กล้าคลาดสายตา เขานั่งอยู่บนเบาะหลังของรถ หยิบมือถือขึ้นมาอ่านเวยป๋อทุกอันที่ฟั่นจยาหลัวโพสต์
ในอดีตฟั่นจยาหลัวเคยเป็นสมาชิกวงบอยแบนด์ที่เป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ฐานะทางครอบครัวมั่งคั่ง ทำให้บางครั้งเขาได้รับความนิยมมากกว่าเกาอี้เจ๋อ บรรดาแฟนคลับที่เข้ามาคอมเมนต์อ้าปากหุบปากก็พูดคำสารภาพรักประเภทว่า ‘พี่ขา ฉันรักพี่ พี่น่ารักจัง หนูโอเค** เลย’
แต่ตอนนี้พื้นที่คอมเมนต์ในเวยป๋อของฟั่นจยาหลัวกลับเต็มไปด้วยคำสาปแช่งชนิดสาดเสียเทเสีย ด่ากราดจนทนฟังไม่ได้ และเหยียบย่ำจนจมดิน จริงๆ แล้วมนุษย์เราสามารถร้ายกาจได้ถึงขั้นไหน ไม่จำเป็นต้องไปหาคำตอบสำหรับคำถามข้อนี้ แค่ดูบัญชีโซเชียลของฟั่นจยาหลัวก็รู้แล้ว
จวงเจินเคยผ่านป่าปืนห่ากระสุน มีประสบการณ์ชนิดเก้าตายหนึ่งเป็น สามารถคุยโวได้ว่าตนจิตใจแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก แต่ตอนเห็นข้อความและคอมเมนต์พวกนี้เขาถึงกับหยุดหายใจไปสองวินาที หยิบบุหรี่หนึ่งมวนออกจากกล่อง และยืมไฟแช็กจากคนในทีมเพื่อจุดไฟ สูดลมหายใจลึกๆ เพื่ออัดควันเข้าทางลำคอและจมูกจนสำลักเพราะความแสบร้อน กว่าจะกำจัดความเน่าเหม็นร้ายกาจในคำด่า คำสาปแช่ง และคำดูหมิ่นพวกนั้นได้
คนในทีมปรายตามองมือถือของจวงเจินแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ฟั่นจยาหลัวคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถ้าเปลี่ยนให้ผมเป็นเขาแล้วมาเจอข้อความพวกนี้ ผมคงพังไปนานแล้ว”
“วาจาคนเหมือนคมดาบ” จวงเจินพ่นลมหายใจออกช้าๆ ไม่รู้ทำไมเขาจึงค่อนข้างนับถือฟั่นจยาหลัว เพราะคงมีแต่คนที่มีจิตใจเข้มแข็งขนาดนี้ถึงจะวางแผนฆาตกรรมแบบภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ* ออกมาได้
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ฟั่นจยาหลัวตื่นจากการหลับใหล และกำลังเล่นมือถืออยู่ในอ่างอาบน้ำ แสงจันทร์เย็นใสส่องลอดลงมาจากทางหน้าต่าง กระทบดวงตาอ่อนโยนของเขาและร่างกายที่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นอิ่มเอิบนุ่มนวลตั้งแต่เมื่อไหร่ รอยช้ำสีม่วงเป็นปื้นใหญ่หายไป แขนเรียวบางที่แค่งอก็หักได้กลับมามีเนื้อมีหนังบางๆ และเป็นเส้นโค้งมน งดงามเหมือนรูปสลัก ซี่โครงที่มองเห็นชัดพวกนั้นถูกห่อหุ้มด้วยกล้ามเนื้อเนียนสวย ร่างนี้ไม่ได้ผอมแห้งอีกต่อไป แต่กลับมีทรวดทรงอย่างหาได้ยาก
ฟั่นจยาหลัวยื่นนิ้วเรียวไปแตะที่หน้าคอมเมนต์แล้วหัวเราะเบาๆ อย่างสดใส การโจมตีหรือข้อความที่คนอื่นมองว่าเป็นพายุลูกเห็บฝนหิมะ คมดาบเปล่งประกายแวววับ ฝนซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง สำหรับเขาเป็นแค่เรื่องขำขัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสูบเอาสิ่งเหล่านี้มาหล่อเลี้ยงร่างกายให้อิ่มเอมได้อีกไม่น้อย
‘ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ เลิกด่าได้แล้ว ฉันเพิ่งได้ข่าวมาว่าตอนนี้พวกคู่แค้นของฟั่นจยาหลัวยังอยู่ดี ไม่ได้เจอเรื่องร้าย ข้อความแปลกๆ ที่เขาโพสต์น่าจะเพื่อสร้างกระแส ยิ่งพวกเราแห่มาด่ายิ่งเข้าแผนเขา! เขาแค่อยากดัง อยากเป็นบ้า พวกเธอก็อย่าไปสนใจ! ฉันว่าคำเตือนเรื่องการตายเป็นของเก๊ทั้งนั้น!’
‘จริง ฉันก็รู้สึกว่ามันตอแหลมาก เขาไม่กล้าไปฆ่าคนจริงๆ หรอก!’
‘ไปกันๆ อย่าไปเพิ่มยอดวิวให้ไอ้กร๊วกนี่เลย’
‘หมากัดมักไม่เห่า ประโยคนี้คือฟั่นจยาหลัวชัดๆ เขาเป็นแค่หมาบ้าที่ชอบเห่า ถึงจะดูดุ แต่แค่โดนตีทีเดียวก็ตาย’
คนที่พอมีไอคิวต่างแยกย้ายกันไป ที่เหลืออยู่คือพวกเกรียนที่ต้องการสาดอารมณ์เพียวๆ ฟั่นจยาหลัวเลียริมฝีปาก สั่นศีรษะ สีหน้าฉายแววเสียดายอย่างมากที่ไม่มีเรื่องสนุกให้ดู เขาวางมือถือเพื่อหลับในอ่างต่อ ไอสีดำหนาทึบรวมตัวกันมาจากทุกทิศทุกทาง ค่อยๆ กรูเข้าไปที่น้ำในอ่างไม่ขาดสาย เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายที่งดงามและแข็งแกร่งขึ้นทุกวันของเขาอย่างเงียบๆ
สามวันต่อมาเขาจึงตื่นขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าที่เคยมองเห็นกระดูกชัดบัดนี้อิ่มเอิบสดใสคล้ายหยกมันแพะสีขาว ความคมและโอหังในดวงตาเลือนหายไป กลายเป็นความนุ่มนวลแสนซึ้งและความนิ่งสงบงดงามชื่นตาชื่นใจที่แผ่ออกมาจากสายตากับรอยยิ้มของเขา
เขาล็อกอินเข้าเวยป๋อ พิมพ์ตัวอักษรหนึ่งประโยคช้าๆ…
‘คนที่สี่’
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 12 ได้ในวันที่ 27 ก.ย. 64
Comments
comments
No tags for this post.