ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง 灵媒 (Ling Mei)ของเฟิงหลิวซูไต
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง, ปัญหาในครอบครัว, มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต, การทำร้ายเด็ก, การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ, การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ, การข่มขืน, การฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 12 บุกใหญ่อีกครั้ง
“หัวหน้าครับ ฟั่นจยาหลัวโพสต์เวยป๋ออีกแล้ว!” หลัวหงชูมือถือขึ้น ตะโกนเสียงดัง
“อะไรนะ อีกแล้วเหรอ” คนในหน่วยเฉพาะกิจกรูกันเข้ามา ตาจ้องมือถือของหลัวหงแล้วส่ายหน้า ยังคงเป็นรูปแบบประโยคเดิมๆ ให้ความรู้สึกแบบเดิม แค่นับเลขสอง สาม ไปจนถึงสี่ เหมือนจะไม่ยอมให้ความหวาดกลัวของปวงชนเลือนหาย แต่คนที่อยู่ในรายชื่อเหยื่อทุกคนกลับยังอยู่ดี ไม่ได้เกิดคดีฆาตกรรมใดๆ
ตอนฟั่นจยาหลัวโพสต์คำเตือนอันที่สอง ชาวเน็ตเรียกร้องให้ตำรวจเร่งจับกุมฆาตกรโรคจิต แต่พอถึงคนที่สาม สี่ พวกเขาก็หมดอารมณ์ เพราะคิดว่ามองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฟั่นจยาหลัวกันแล้ว คนคนนี้ใช่ฆาตกรจอมโหดเสียที่ไหน ก็แค่ผู้ป่วยจิตหลอนสมองหลุดคนหนึ่ง ทุกอย่างที่ฟั่นจยาหลัวทำก็เพื่อความดัง!
ไม่เพียงแค่ชาวเน็ตที่เข้าใจแบบนี้ แม้แต่คนในหน่วยเฉพาะกิจก็เริ่มไม่แน่ใจในการวินิจฉัยในตอนต้นเหมือนกัน
หลิวเทาที่วิ่งกลับมาจากข้างนอกพร้อมฝุ่นเต็มตัวลูบศีรษะที่ล้านไปครึ่งหนึ่งของตนพลางด่ากราด “แม่งเอ๊ย ฟั่นจยาหลัวจะต้องแกล้งพวกเราแน่ๆ! ขนาดผู้เสียหายรายที่สองยังไม่มี แล้วจะไปเอาคนที่สามคนที่สี่มาจากไหน! ฉันวิ่งตามคุ้มกันซุนอิ่งจนขาแทบหักแล้ว เขายังไม่เข้าใจหาโอกาสดอดหนี กว่าจะตามทันฉันเกือบตกระเบียงชั้นหกตายในหน้าที่! นี่เขายังมาชี้หน้าด่าฉันอีกว่าจุ้นไม่เข้าเรื่อง นายบอกมาซิว่าที่ฉันต้องเป็นแบบนี้เพราะใคร”
ตำรวจที่รับผิดชอบดูแลฟั่นลั่วซานยิ่งของขึ้น “รองหัวหน้า ของคุณยังดี ผมถูกบอดี้การ์ดของฟั่นลั่วซานหิ้วตัวไปทดสอบที่ห้องฟิตเนส ถูกอัดจนลุกไม่ขึ้น บอดี้การ์ดที่เขาจ้างมาเป็นทหารรับจ้างที่ผ่านสงครามมามาก ผมเป็นตำรวจตัวเล็กๆ คนเดียวจะเป็นคู่มือของเขาได้เหรอ ฟั่นลั่วซานดูถูกผม ไม่ยอมเชื่อว่าผมเป็นตำรวจด้วยซ้ำ!”
ตำรวจนายนั้นเพิ่งพูดขาดคำ ผู้ช่วยของฟั่นลั่วซานก็โทรหาเขาเพื่อบอกเรื่องที่ฟั่นจยาหลัวโพสต์คำเตือนเรื่องการตายอีกแล้ว และทิ้งท้ายอย่างเจ็บแสบว่า “ดูท่าท่านประธานฟั่นของเราจะประเมินศักยภาพการทำงานของพวกคุณสูงเกินไป ตำรวจเก่งๆ มีกันเป็นฝูง แต่กลับถูกผู้ป่วยจิตหลอนคนหนึ่งจูงจมูก ถ้าพวกคุณมีเวลาก็พาฟั่นจยาหลัวไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลดีกว่า”
หลังวางสาย ตำรวจนายนั้นโกรธจนหน้าแดงคอแดง รู้สึกอยากเอาหน้ามุดดินเหลือเกิน
พวกกลุ่มย่อยที่รับผิดชอบดูแลจ้าวเหวินเยี่ยนกับเฉาเสี่ยวเฟิงก็ถูกส่งกลับแบบตรงๆ และแบบอ้อมๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องจมูกถูฝุ่น* หลายวันมานี้พวกเขาทั้งโดนดูถูก โดนเอาเปรียบ ความภูมิใจในตัวเองถูกทำร้ายเป็นแผลฉกรรจ์ ตอนแรกที่ไปขอความร่วมมือในการสอบสวนจากคนกลุ่มนี้พวกเขาต่างบอกว่านี่เป็นเรื่องซีเรียสแค่ไหน ทว่าตอนนี้ได้แต่ทำตัวหน้าไม่อายเท่านั้น
ขณะนี้ทุกคนในหน่วยเฉพาะกิจต่างหดหู่ บางคนก็ยังคงแคลงใจจึงไม่มีใครสนใจไปกินข้าวกล่องหอบใหญ่ที่เลี่ยวฟางซื้อมา จะให้กินอะไรล่ะ ตราบใดที่ยังคลี่คลายคดีไม่ได้ พวกเขาก็ต้องแบกชื่อเป็นพวกเลี้ยงเสียข้าวสุก เป็นความอัปยศของหน่วยสืบสวนอาชญากรรม!
จวงเจินมองเวยป๋อของฟั่นจยาหลัวด้วยสีหน้าเครียดจัด ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ พวกคนในหน่วยต่างไปล้อมวงดูกระดานการวิเคราะห์คดี แต่ละคนทำตาโตเหมือนลูกกระพรวนมองดูเบาะแสพวกนั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้อะไร ถ้าสายตาของพวกเขามองทะลุสิ่งของได้ กระดานอันนั้นมีหวังโดนมองจนเป็นรอยพรุนไปแล้ว
ตอนนี้เองผู้อำนวยการกับรองผู้อำนวยการได้วิ่งมาเรียกทุกคนมาด่ายกหนึ่ง บอกตรงๆ ว่าพวกเขาผิดหวังมาก พร้อมชี้ให้เห็นว่าภาพลักษณ์ทางสังคมที่เกิดจากคดีนี้เลวร้ายมากแค่ไหน สรุปได้หนึ่งประโยคคือถ้าคลี่คลายคดีนี้ไม่ได้ ทั้งแผนกจะกลายเป็นเรื่องชวนหัวของชาวเมือง!
หลังเพิ่มแรงกดดันให้หน่วยเฉพาะกิจแล้วทั้งคู่ก็เดินจากไป ทุกคนต่างรวมตัวกันไปส่งก่อนอยู่ในความร้อนรนและมึนงงอย่างไม่เคยเป็น
“ภาพร่างของฆาตกรออกมาแล้ว มือมืดที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร ทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ แต่ทำไมยังหาหลักฐานไม่ได้ สรุปคือใครเป็นคนฆ่าเกาอี้เจ๋อ ขึ้นไปบนตึกยังไง ก่อคดียังไง คำเตือนเรื่องการตายหลายต่อหลายครั้งที่ฟั่นจยาหลัวโพสต์เป็นแค่การเล่นใหญ่หรือเปล่า หรือจงใจสร้างความสับสนให้พวกเรา ดึงความสนใจของพวกเราออกไปเพื่อเป็นอุปสรรคต่อการสืบคดีของพวกเรา? ถ้าไม่แบ่งคนจำนวนมากออกไปคุ้มครองคนที่สงสัยว่าจะตกเป็นเหยื่อ ป่านนี้พวกเราคงคว้าหางของฟั่นจยาหลัวได้แล้วมั้ง” หลิวเทาตบโต๊ะเสียงดัง “แม่งเอ๊ย ฉันไม่เคยเจอผู้ต้องสงสัยที่ทั้งโอหัง เจ้าเล่ห์ แถมยังรับมือได้ยากสะบัดแบบนี้มาก่อน!”
“จริงด้วย ฟั่นจยาหลัวใจกล้ามาก! เขาแน่ใจว่าพวกเราไม่มีทางจับจุดอ่อนของเขาสำเร็จหรือไง”
“แล้วเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน”
“น่าจะมาจากฆาตกรที่เขาจ้างวาน วิธีฆาตกรรมของฝ่ายนั้นพิสดารมาก!”
“ถ้าเขาเก่งพอจะปั่นหัวพวกเราไปตลอดชาติ มันก็ต้องมีสักวันที่พวกเราจะจับเขาได้!”
ทุกคนในหน่วยทยอยเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ฟั่นจยาหลัว ในขณะที่จวงเจินนิ่งคิดอย่างหนัก เขามองกระดานการวิเคราะห์คดีที่ขีดโยงเอาไว้จนยุ่งเหยิง แต่ไม่มีเบาะแสที่เป็นประโยชน์เลยสักอัน เวลานี้หน่วยเฉพาะกิจได้เดินเข้ามาถึงทางตัน หากมีเบาะแสใหม่ก็น่าจะได้เปลี่ยนวิธีคิด
ก็อย่างที่คนข้างนอกบอกว่าตอนนี้หน่วยเฉพาะกิจถูกฟั่นจยาหลัวจูงจมูก ภาพสเก็ตช์ของเขา คำเตือนเรื่องการตายของเขา ทำให้สายตาทุกคู่ของตำรวจถูกดึงไปที่เขา แต่เขามีแผนอะไร อยากดังจริงหรือ เขาเป็นพวกที่อยากดังจนเป็นบ้าจริงหรือ ยอมถูกด่าถูกแช่งทุกวัน แต่ไม่ยอมถูกคนลืม?
ไม่รู้เพราะอะไรในสมองของจวงเจินถึงมีภาพของฟั่นจยาหลัวเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางๆ ให้เขา ช่วงที่อีกฝ่ายเข้ามารับการสอบปากคำ ตอนแรกชายหนุ่มนั่งย้อนแสงทำให้ทั้งร่างตกอยู่ในเงามืด เงียบจนเหมือนไม่มีตัวตน แต่ตอนที่จวงเจินขยับไฟส่องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย หัวคิ้วของชายหนุ่มก็นิ่วเล็กน้อยเพราะแสงจ้าบาดตาที่ส่องเข้ามาอย่างกะทันหัน แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด ตอนถูกสอบปากคำ ฟั่นจยาหลัวก็ไม่มีอาการแตกตื่น และตอนถูกซักถามก็ไม่มีอาการลนลาน
วินาทีนั้นจวงเจินได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่าคนที่มีความคิดอ่านลึกล้ำยิ่งกว่ามหาสมุทรย่อมมีอำนาจในการควบคุมร่างกายและจิตใจของตัวเอง คนแบบนี้จะเหมือนผู้ป่วยซ้ำซ้อนที่ออกมาแสดงละครอย่างร่าเริงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้คนหรือเปล่า จริงๆ แล้วฟั่นจยาหลัวกำลังคิดอะไร หรือพวกตนถูกอีกฝ่ายชักนำให้ไปผิดทางมาตั้งแต่ต้น ทั้งที่จริงๆ แล้วคดีนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแต่เกาอี้เจ๋อตายเพราะสาเหตุอื่น?
จวงเจินมองไปที่มือถืออีกครั้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความมึนงงและพ่ายแพ้ ที่ผ่านมาคำเตือนที่ฟั่นจยาหลัวประกาศออกมาดูง่ายมาก คนที่หนึ่ง คนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ ไม่เขียนมากกว่านั้นสักคำ และไม่น้อยกว่านั้นสักตัว เป็นแพตเทิร์นแบบนี้
เป็นครั้งแรกที่จวงเจินรู้สึกว่าไอคิวของตัวเองมีไม่พอ เขาเคยคลุกคลีอยู่กับพ่อค้ายาที่เจ้าเล่ห์ที่สุดในโลกกับบริวารที่แสนน่ากลัว แต่รูปแบบความคิดของคนพวกนั้นยังซับซ้อนได้ไม่ถึงหนึ่งในหมื่นส่วนของฟั่นจยาหลัว จวงเจินเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร หรือทำอะไร
“เสี่ยวหลัว แจ้งสำนักย่อยทั้งหมดในเมืองหลวง ให้พวกเขาส่งข้อมูลคดีฆาตกรรมทั้งก่อนและหลังมีคำเตือนเรื่องการตายมาให้พวกเรา” จวงเจินต้องยอมรับว่าตัวเองสู้ฟั่นจยาหลัวไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจปล่อยอีกฝ่ายไปเพื่อสืบคดีนี้ก่อน สัญชาตญาณของเขาบอกว่าคำเตือนของฟั่นจยาหลัวจะต้องไม่ใช่การล้อเล่น จิตใจของคนคนนี้มั่นคงยิ่งกว่าขุนเขา แล้วอีกฝ่ายจะเพ้อบ้าบอบนอินเตอร์เน็ตเหมือนคนโรคจิตได้ยังไง
“หัวหน้าครับ คุณคิดว่าคำเตือนพวกนั้นเป็นเรื่องจริงเหรอ” หลัวหงกังขาในข้อสรุปอันนี้หนักขึ้น
“พวกนายแบ่งทีมกันไปหา ฉันคิดว่าคำเตือนพวกนั้นเป็นของจริง แต่อาจจะเข้าใจกันผิดเรื่องผู้ที่มีสิทธิ์เป็นผู้เสียหาย ถ้าฟั่นจยาหลัวไม่ใช่มือมืดที่อยู่หลังม่านล่ะ ถ้าการตายของเกาอี้เจ๋อไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา แต่เขาแค่บังเอิญไปรู้เรื่องภายในเข้าล่ะ ไปตรวจดูว่าในช่วงที่มีโพสต์คำเตือนทั้งสี่โพสต์มีคดีฆาตกรรมที่ค่อนข้างน่าสงสัยเกิดขึ้นหรือเปล่า ดูด้วยว่าคดีฆาตกรรมพวกนี้มีจุดร่วมอะไรมั้ย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับเกาอี้เจ๋อ พวกเราควรเปลี่ยนวิธีคิดดู”
“ครับผม พวกเราจะไปดูตามสำนักย่อยแห่งอื่น มาๆๆ ทุกคนแบ่งทีมกันไปทำงาน”
สามวันต่อมาคนในหน่วยเฉพาะกิจก็กลับมารวมตัวกันที่ห้องประชุมอีกครั้ง พวกเขาต่างจดจ้องกระดานไวท์บอร์ดที่เต็มไปด้วยภาพถ่าย เส้นโยงมากมาย และสัญลักษณ์ที่เต็มไปหมดด้วยสายตาเปล่งประกาย
จวงเจินที่สองตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดหยิบปากกาเมจิกมาชี้ภาพถ่ายของผู้เสียหายรายหนึ่ง พูดเสียงเนิบ “ผู้ตาย หวังเหว่ย เพศชาย อายุยี่สิบเอ็ดปี อาชีพช่างประปา ตายในวันที่สองหลังจากที่ฟั่นจยาหลัวโพสต์คำเตือนอันที่สาม สถานที่เสียชีวิตคือในเกสต์เฮ้าส์ราคาถูกที่เป็นบ้านหลังเล็กๆ ให้เช่าในเขตหงเติง สาเหตุการตายคือช่องอกถูกกดทับทำให้ไม่สามารถหายใจได้ ตอนตายอยู่ในสภาพเปลือย ไม่มีร่องรอยถูกล่วงละเมิดทางเพศ นิ้วถูกคีมที่เป็นอุปกรณ์ซึ่งเขาพกติดตัวตัดจนขาดสองนิ้ว แต่ไม่รู้ว่านิ้วที่ขาดหายไปไหน เขตผู้รับผิดชอบไม่พบเบาะแสที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรในสถานที่เกิดเหตุ สุดท้ายจึงสรุปว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์
จะเห็นว่าเขาจบจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยซือต้ารุ่นที่สองร้อยห้าสิบหก ส่วนเกาอี้เจ๋อจบรุ่นที่สองร้อยห้าสิบสาม ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียน น่าจะเคยรู้จักกัน และเพราะเหตุนี้เขาจึงเข้าข่ายการพิจารณาของเรา”
จวงเจินวาดลูกศรเชื่อมระหว่างรูปถ่ายของหวังเหว่ยกับคำเตือนครั้งที่สาม
ต่อจากนั้นเขาชี้ไปที่รูปถ่ายอีกสองใบ “คนนี้ชื่อจ้าวไค เพศชาย อายุยี่สิบเอ็ดปี พอจบมัธยมต้นก็ออกมาทำงาน ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ตายในวันที่สามหลังจากมีคำเตือนอันที่สอง สาเหตุการตายคือถูกของมีคมแทงเข้าที่ท้อง ทุกคนเห็นรายงานคดีนี้แล้วรู้สึกว่ามันคุ้นๆ มั้ย ใช่ เรื่องนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ของเรา และสุดท้ายถูกสรุปว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์”
จวงเจินกวาดตามองรอบๆ ทุกคนต่างก้มหน้าหลบสายตาเขา สีหน้าฉายแววละอายใจ
จวงเจินไม่มีอารมณ์จะซักไซ้ไล่เลียง เพราะแม้แต่เขายังคิดไม่ออกว่าจะเชื่อมโยงคดีฆ่าชิงทรัพย์ที่ไม่มีอะไรพิเศษเข้ากับการตกตึกของเกาอี้เจ๋อได้อย่างไร เขาจึงชี้ไปที่รูปข้างๆ แล้วพูดต่อ “คนนี้เหมาเสี่ยวหมิง เพศชาย อายุยี่สิบปี ประวัติการศึกษาเหมือนกันคือจบแค่มัธยมต้น ตายเพราะเสพยาเกินขนาด ศพถูกพบอยู่ในบ้าน เวลาเสียชีวิตคือวันที่สองหลังจากมีคำเตือนที่สี่ ฉากหน้าของเขากับจ้าวไคไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเกาอี้เจ๋อ แต่ที่เข้าตาพวกเราคือประการแรก พวกเขาสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันในชีวิตจริง หรือพูดให้ชัดขึ้นอีกคือเหมาเสี่ยวหมิงเป็นลูกกระจ๊อกของจ้าวไค พวกเขาสองคนต่างตายด้วยสาเหตุที่ผิดธรรมชาติ แสดงว่าสาเหตุการตายของพวกเขามีส่วนเกี่ยวพันกันหรือไม่ สามารถนับว่าเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องได้หรือเปล่า”
จวงเจินทำเครื่องหมายคำถามไว้ข้างรูปถ่ายของทั้งคู่ วิเคราะห์ต่อว่า “ประการที่สอง การตายของพวกเขาตรงกับคำเตือนที่ฟั่นจยาหลัวโพสต์ ประการที่สาม โซนที่พวกเขาอาศัยอยู่อยู่ในละแวกมหาวิทยาลัยซือต้า แบบนี้พวกเขาจะรู้จักกับเกาอี้เจ๋อและหวังเหว่ยสมัยที่เป็นนักเรียนหรือเปล่า ประการที่สี่ พวกเขา…”
จวงเจินพูดยังไม่ทันจบ ตำรวจนายหนึ่งก็เดินถือบันทึกการแชตในเวยป๋อที่เพิ่งพริ้นต์เข้ามาหนึ่งฉบับ น้ำเสียงตื่นเต้นมาก “หัวหน้าครับ จากการสืบค้นพวกเราพบว่ามีความเป็นไปได้ว่าจ้าวไคกับเหมาเสี่ยวหมิงจะรู้จักกับเกาอี้เจ๋อ คุณดูสิ!”
จวงเจินรับสำเนาไปดู ดวงตามีประกายคมปลาบวาดผ่าน
บันทึกการแชตมีอยู่ไม่กี่บรรทัด
‘เกาอี้เจ๋อน่ะเหรอ ฉันรู้จัก เขามีชื่อเดิมว่าเกาเฟย ชื่อนี้มาเปลี่ยนเอาตอนหลัง’
‘เขาต้องไปทำหน้ามาแน่ๆ! จมูกก็เสริมเอา ของเดิมไม่ค่อยสวย น่าเกลียดจะตาย!’
‘หมอนี่น่ะนะเป็นคนดี? ฮ่าๆๆๆ นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลย!’
‘หมอนี่มันเลว มันไม่ใช่คน!’
‘เปล่าๆๆ ฉันเมาเลยพูดไปเรื่อย ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น คนที่ไม่จบมัธยมต้นอย่างฉันจะไปรู้จักเกาอี้เจ๋อได้ไง’
จากนั้นไม่ว่าเพื่อนอีกคนจะซักยังไงจ้าวไคกับเหมาเสี่ยวหมิงก็ไม่ยอมเล่าเรื่องของเกาอี้เจ๋อ และเลิกพูดมาก เพื่อนของพวกเขาเข้าใจว่าทั้งคู่แค่โม้เลยไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจัง แต่พอได้บันทึกการแชตมา หน่วยเฉพาะกิจกลับไม่คิดแบบนั้น ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาแค่สงสัย ตอนนี้พวกเขาก็แน่ใจแล้วว่าการตายของหวังเหว่ย จ้าวไค และเหมาเสี่ยวหมิงจะต้องเกี่ยวพันกับเรื่องที่เกาอี้เจ๋อตกตึกแน่ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง!
“ไปคุมตัวฟั่นจยาหลัวมา เขาจะต้องรู้เบื้องลึกแน่ๆ!” จวงเจินพูดด้วยน้ำเสียงตัดตะปูเฉือนเหล็ก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 13 ได้ในวันที่ 29 ก.ย. 64
Comments
comments
No tags for this post.