X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1 บทที่ 7 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 1

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง 灵媒 (Ling Mei)ของเฟิงหลิวซูไต

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง, ปัญหาในครอบครัว, มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต, การทำร้ายเด็ก, การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ, การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ, การข่มขืน, การฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด

※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 7 วิเคราะห์คดี

เดิมทีบัญชีเวยป๋อของฟั่นจยาหลัวมีผู้ติดตามอยู่สิบล้านคน หลังเกิดข่าวฉาวได้เพิ่มขึ้นเป็นยี่สิบล้าน และพอเกิดคดีฆาตกรรมก็แซงหน้าศิลปินระดับเอลิสต์ไปมากด้วยจำนวนห้าสิบแปดล้านคน นี่เป็นตัวเลขสุทธิหรือพูดได้ว่าถ้านับกันจริงๆ ความนิยมในตัวเขาแซงหน้าศิลปินในกระแสสุดฮอตในวงการไปไกลแล้ว

ทว่าผู้ติดตามของคนอื่นบางคนก็เป็นสแตนด์* รอยัลแฟน** เบรนเลสแฟน*** แต่ผู้ติดตามของเขาทั้งหมดกลับเป็นแอนตี้ ในจำนวนกว่าห้าสิบแปดล้านนั้น มีอย่างน้อยห้าสิบล้านคนมาเพื่อเล่นงานเขา ส่วนอีกหลายล้านคนนั้นแค่มาคอยดูเรื่องสนุก ไม่ได้มาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขา ยิ่งเห็นการแสดงออกของเขา ชาวเน็ตอารมณ์รุนแรงยิ่งกลุ้มรุมเข้ามาดื่มเลือดกินเนื้อเขา กัดแทะกระดูกเขาเหมือนไฮยีน่าที่อดโซมาหลายวันหลายคืน ถ้าคำพูดสามารถฆ่าคนได้ เขาน่าจะตายไปหลายพันหลายหมื่นครั้งแล้ว

แอนตี้กลุ่มนี้หมุนเวียนกันเข้ามาในบัญชีเวยป๋อของฟั่นจยาหลัวหลายรอบ เชือดเฉือนกันจนเลือดท่วมจอ ก่อนจะค่อยๆ ได้สติ จับประเด็นสำคัญได้ว่า

 

‘คนที่สอง? หมายความว่าอะไร หรือคนเดียวไม่พอ เขายังเตรียมจะผลักคนที่สองตกตึกอีก? คนคนนี้เป็นบ้าไปแล้วใช่มั้ย’

 

ตำรวจที่เฝ้าดูบัญชีทางโซเชียลของฟั่นจยาหลัวพบเห็นการเคลื่อนไหวนี้เหมือนกัน จึงรีบแคปหน้าจอส่งไปให้จวงเจิน น้ำเสียงเคร่งเครียด “หัวหน้าดูสิครับ ฟั่นจยาหลัวโพสต์ลงเน็ตอีกแล้ว!” ก่อนเกาอี้เจ๋อประสบเหตุร้าย ฟั่นจยาหลัวเคยมีคำเตือนเรื่องตาย ดังนั้นจึงมีเหตุผลให้สงสัยได้ว่าโพสต์นี้ก็มีความนัยแบบเดียวกัน

“คนที่สอง?” จวงเจินพึมพำเสียงเบาก่อนเปลี่ยนเป็นเครียดจัด “เขาอาจกำลังบอกพวกเราว่ายังจะมีคนที่สองถูกทำร้าย ถ้าเป็นแบบนี้ คนคนนี้อาจจะเคยทำให้ฟั่นจยาหลัวโกรธเหมือนเกาอี้เจ๋อ และเป็นคู่แค้นของเขา ตอนนี้ตัวฟั่นจยาหลัวเองก็เสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่มีอะไรเหลือ เพื่อเป็นการแก้แค้นสังคม มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะทำเรื่องบ้าๆ เสี่ยวหลัว ตรวจสอบคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟั่นจยาหลัว ดูซิว่านอกจากเกาอี้เจ๋อแล้วยังมีใครที่เขาผูกใจเจ็บอย่างที่สุดอีก พวกเราต้องทำรายชื่อออกมาให้ได้ก่อนและคอยคุ้มครองคนที่อาจเป็นผู้เสียหาย”

“ได้ครับหัวหน้า ผมจะตรวจสอบเดี๋ยวนี้!” ตำรวจที่ชื่อหลัวหงขมวดคิ้ว “ฟั่นจยาหลัวคนนี้เป็นบ้าไปแล้วหรือไง ถึงได้เตรียมจะฆ่าคนที่เคยทำผิดต่อเขาให้เหี้ยน? ตอนแรกพวกเราไม่น่าปล่อยเขาไปเลย!”

สีหน้าของจวงเจินเคร่งเครียดแต่ไม่พูด หลิวเทาผู้เป็นรองหัวหน้าหน่วยซึ่งนั่งอยู่ข้างเขาได้ตั้งประเด็นขึ้นมาว่า “หัวหน้าปล่อยสายยาวเพื่อตกปลาใหญ่* ขอเพียงปล่อยเขาให้ไปทำอะไรๆ ข้างนอกต่อได้อย่างอิสระ พวกเราถึงจะจับพิรุธของเขาได้ง่ายจนได้หลักฐานที่เขาจ้างวานฆ่า นายดูสิ เขาเข้าใจว่าตำรวจทำอะไรเขาไม่ได้เลยอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาแล้วไม่ใช่หรือ ถึงขั้นโพสต์คำเตือนเรื่องตาย ยโสจริงๆ! มีวลีดังอันหนึ่งพูดถูกว่าหากพระเจ้าต้องการทำลายใคร พระองค์จะทำให้คนคนนั้นเป็นบ้าก่อน**

“พูดแบบนี้ก็ไม่ผิด แต่ผมแค่คิดว่าการปล่อยให้เขาวิ่งพล่านอยู่ข้างนอก เที่ยววางแผนฆ่าใครต่อใครมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง หัวหน้าครับ ผมจะไปสืบหาคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเดี๋ยวนี้ จะไม่ยอมปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ถูกทำร้ายอีก!” หลัวหงเดินจากไปอย่างรีบร้อน

ตำรวจหญิงแสนสวยที่รับหน้าที่จดบันทึกให้ฟั่นจยาหลัวอย่างเลี่ยวฟางซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมชูมือขึ้นข้างหนึ่งอย่างลังเล พูดเสียงติดๆ ขัดๆ ว่า “หัวหน้าคะ ฉันเคยเรียนวิชาจิตวิทยาอาชญากรรม มีความรู้สึกว่าฟั่นจยาหลัวไม่เหมือนคนที่กลายเป็นฆาตกรโรคจิต ถ้าวิเคราะห์พฤติกรรมของเขา สภาพจิตใจของเขาเวลานี้นิ่งสงบดีมาก”

“พวกสาวๆ มักถูกหน้าตาล่อลวง ฉันอยู่ในทีมคดีอาญามาทั้งชีวิต มีฆาตกรโรคจิตแบบไหนที่ไม่เคยเจอบ้าง พวกที่ดูนิ่งๆ นี่แหละก่อคดีได้ร้ายกว่าใคร” หลิวเทาประคองแก้วเก็บความร้อนพลางผงกศีรษะ

เลี่ยวฟางหน้าแดง แต่กลับมองจวงเจินด้วยสายตาคาดหวัง หวังว่าเขาจะเห็นด้วยกับเธอ

“ฟั่นจยาหลัวเป็นบุคคลอันตราย ดูจากภาพที่เขาวาดกับเวยป๋อที่เขาโพสต์ เขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าลืมสิว่าเขาเป็นผู้ป่วยโรคหลายบุคลิก เขาคนที่เธอคิดว่าไม่มีความผิดอาจเป็นหนึ่งในบุคลิกของเขา ส่วนบุคลิกที่มือเปื้อนเลือดกลับยังแอบซ่อนเพื่อหลบหลีกการสืบหาของพวกเรา ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อเขาฆ่าคน เราก็มีหน้าที่จับกุมเขาตามกฎหมาย ส่วนเขาจะได้รับโทษหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของศาล เราไม่เกี่ยว เลิกคิดโน่นคิดนี่ได้แล้ว ไปสืบเรื่องคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาต่อ เร็วหน่อย ฉันสงสัยว่าเขาน่าจะวางแผนฆาตกรรมทั้งหมดไว้แล้ว ถ้าเราช้าหนึ่งก้าว ราคาที่ต้องจ่ายย่อมมีมากกว่าหนึ่งชีวิต” จวงเจินมองเลี่ยวฟางด้วยสายตามืดครึ้มพลางพูดเตือน “อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับงาน”

เลี่ยวฟางห่อเหี่ยวเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม เธอพูดด้วยน้ำเสียงสุดเซ็งว่า “เข้าใจแล้วค่ะหัวหน้า ฉันจะตรวจสอบเรื่องคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟั่นจยาหลัวเดี๋ยวนี้”

ฟั่นจยาหลัวเป็นบุคคลสาธารณะ ข้อมูลจึงเยอะมาก หน่วยเฉพาะกิจต้องใช้เวลาครึ่งวันกว่าจะตรวจสอบคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟั่นจยาหลัวได้หมด

จวงเจินแปะรูปทุกใบไว้บนกระดานจัดเรียงข้อมูลพลางอธิบายว่า “คนนี้คือฟั่นลั่วซาน นายใหญ่สกุลฟั่น เพื่อรับลูกนอกสมรสกลับมาเขาจึงสละลูกเลี้ยงอย่างฟั่นจยาหลัว ทั้งสองคนมีความแค้นต่อกันอย่างลึกซึ้ง คนนี้คือฟั่นข่ายเสวียน ลูกนอกสมรสของฟั่นลั่วซาน เวลานี้อยู่ต่างประเทศ คนนี้คือซุนอิ่ง เพื่อนร่วมวงของฟั่นจยาหลัว เคยใช้เงินสร้างกระแสเล่นงานฟั่นจยาหลัวหลายครั้งเพื่อทำลายชื่อเสียงและปล่อยข่าวฉาวของเขา ทั้งสองคนเคยมีเรื่องชกต่อยกัน ครั้งที่รุนแรงที่สุดฟั่นจยาหลัวอัดซุนอิ่งจนต้องเข้าโรงพยาบาล ทั้งคู่มีความแค้นฝังรากลึกมาก คนนี้คือเฉาเสี่ยวเฟิง ผู้จัดการของฟั่นจยาหลัว เขาเคยทะเลาะกับฟั่นจยาหลัวเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ ตอนฟั่นจยาหลัวถูกครอบครัวทอดทิ้งเขายังทิ้งหินลงบ่อ คอยกดฟั่นจยาหลัวอีกหลายครั้ง คนนี้คือจ้าวเหวินเยี่ยน เขาปฏิเสธการสารภาพรักของฟั่นจยาหลัว คนสุดท้ายคือซูเฟิงซี แฟนสาวของจ้าวเหวินเยี่ยน และเป็นศัตรูหัวใจของฟั่นจยาหลัว เวลานี้กำลังถ่ายละครอยู่ที่ประเทศอังกฤษ”

จวงเจินเพิ่งอธิบายจบ รองหัวหน้าหลิวเทาก็เริ่มวิเคราะห์ “ถ้าดูจากระดับความแค้น คนที่ฟั่นจยาหลัวแค้นใจมากที่สุดคือฟั่นลั่วซาน รองลงมาคือซุนอิ่ง แต่ฟั่นลั่วซานเป็นนายใหญ่สกุลฟั่น มีบอดี้การ์ดคุ้มกันตลอดเวลา ลงมือได้ไม่ง่าย ซุนอิ่งไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น และฟั่นจยาหลัวรู้วิถีชีวิตของอีกฝ่ายดีพอๆ กับรู้จักฝ่ามือตัวเอง สามารถวางแผนสังหารโดยพุ่งเป้าไปที่เขาได้อย่างเต็มที่ ความเห็นของผมคือให้เน้นคุ้มครองซุนอิ่ง”

คนในหน่วยเฉพาะกิจบางคนผงกศีรษะสนับสนุน บางคนนิ่วหน้าคิดหนัก บางคนยกมือขอแสดงความคิดเห็น

จวงเจินชี้ไปที่ตำรวจนายหนึ่ง คนนั้นเอ่ยว่า “ผมรู้สึกว่าคิดแบบนี้ไม่ถูก สองคนที่อยู่ต่างประเทศสามารถตัดทิ้งไปได้ เพราะมือของฟั่นจยาหลัวเอื้อมไปไม่ถึง ฝั่งฟั่นลั่วซาน จะทำอะไรเขาเป็นเรื่องยากมาก ถ้าไม่มีความมั่นใจเต็มที่ฟั่นจยาหลัวน่าจะไม่บุ่มบ่าม ที่เหลืออีกสามคน ผมรู้สึกว่าคนที่เขาเกลียดมากที่สุดน่าจะเป็นจ้าวเหวินเยี่ยน รองลงมาคือซุนอิ่ง จากนั้นจึงเป็นเฉาเสี่ยวเฟิง ใครต่อใครบอกว่ารักมากก็แค้นมาก ฟั่นจยาหลัวฆ่าตัวตายเพื่อจ้าวเหวินเยี่ยนติดต่อกันถึงสองครั้งแต่กลับถูกปฏิเสธ เขาย่อมอยากลากอีกฝ่ายให้ตายตกไปตามกัน”

ตำรวจหญิงที่ค่อนข้างอารมณ์อ่อนไหวหลายนายรีบผงกศีรษะสนับสนุน มีเพียงเลี่ยวฟางที่ย่นหัวคิ้วอย่างไม่อยากพูดเลยสักประโยค เธอไม่สามารถเชื่อมโยงคนที่สุภาพนุ่มนวลแบบนั้นเข้ากับคดีฆาตกรรมอะไรได้เลย แต่เขาเป็นผู้ป่วยโรคหลายบุคลิก เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะฆ่าคนโดยที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้? เฮ้อ ทำไมคนดีๆ คนหนึ่งถึงเป็นโรคนี้ได้นะ

เลี่ยวฟางก้มหน้า ลอบถอนหายใจ

จวงเจินชี้ให้คนในหน่วยอีกสองสามคนแสดงความคิดเห็นก่อนสรุป “จ้าวเหวินเยี่ยนอาจจะเป็นคนที่ฟั่นจยาหลัวเคียดแค้นที่สุด แต่การฆ่าจ้าวเหวินเยี่ยนมีความยากมากพอๆ กับการฆ่าฟั่นลั่วซาน ดังนั้นถ้าฟั่นจยาหลัวไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย เขาไม่น่าจะลงมือง่ายๆ ความเห็นของฉันคือให้เน้นไปที่การคุ้มครองซุนอิ่ง เพราะเขากับฟั่นจยาหลัวเคยใช้ชีวิตด้วยกันหลายเดือน ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันอย่างที่สุด จัดการได้ง่ายที่สุด ซุนอิ่งกับเกาอี้เจ๋อต่างเป็นสมาชิกวงสตาร์เหมือนกัน แผนของฟั่นจยาหลัวอาจต้องการลบวงสตาร์ออกจากวงการบันเทิงก็ได้”

“ไม่ผิด ซุนอิ่งกับเกาอี้เจ๋อต่างเป็นตัวการที่ทำลายชื่อเสียงของฟั่นจยาหลัว ถ้าพวกเขาไม่ได้ปล่อยข่าวเสียหายลับหลังฟั่นจยาหลัว ฟั่นจยาหลัวไม่มีทางที่จะไม่เหลือพื้นที่ให้คืนวงการเลยแบบนี้ จุดนี้ผมคิดว่าฟั่นจยาหลัวเองก็น่าจะรู้ว่าใครที่ทำร้ายเขา” ตำรวจทุกนายพยักหน้าเห็นด้วย

จวงเจินรวบรวมเอกสารที่กระจัดกระจายพลางออกคำสั่ง “หลายวันนี้พวกเราต้องคอยจับตาดูฟั่นจยาหลัวกับคนในรายชื่อไว้ จะต้องยับยั้งการเกิดคดีฆาตกรรมคดีที่สอง และเน้นให้การคุ้มครองซุนอิ่ง”

“รับทราบครับหัวหน้า!” ตำรวจทุกนายรับคำอย่างพร้อมเพรียงก่อนแยกย้ายกันไปทำงาน

 

คนยุคปัจจุบันมีความรู้กว้างขวาง ความคิดจึงกว้างไกล ปัญหาที่ตำรวจคิดได้ พวกที่ชื่นชอบการสืบสวนสอบสวนจำนวนไม่น้อยก็คิดได้เหมือนกัน ‘คนที่สอง’ ที่ฟั่นจยาหลัวว่าจะต้องหมายถึงการปรากฏตัวของเหยื่อรายที่สองแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์! เขายังคิดจะฆ่าคนอีกหรือ แล้วเป้าหมายของเขาจะเป็นใคร

เวลานี้บนอินเตอร์เน็ตมีการคาดเดาต่างๆ มากมาย และยังมีคนจินตนาการถึงกระบวนการสังหารคนของฟั่นจยาหลัวแล้วเขียนออกมาด้วย รายละเอียดน่ากลัวแต่ละอย่างแปะอยู่เต็มบอร์ด อ่านแล้วขนพองสยองเกล้า ตำรวจไซเบอร์ต้องคอยลบเรื่องทำนองนี้อย่างต่อเนื่อง และระงับบัญชีเวยป๋อของฟั่นจยาหลัว แต่กลับได้รับแจ้งจากกรมคดีอาญาว่าขอให้พวกเขาอย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น

ด้วยเหตุนี้ แม้เวยป๋อของฟั่นจยาหลัวจะโดนเลือดสาดระลอกแล้วระลอกเล่า แต่กลับยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ วาจาร้ายกาจพวกนั้นอาจทำให้คนปกติสักคนเป็นบ้า ทว่ามันกลับไม่มีผลต่อจิตใจของฟั่นจยาหลัวแม้แต่น้อย เขาออนไลน์ตลอด ไม่ได้ปิดพื้นที่คอมเมนต์ใดๆ ความเข้มแข็งของจิตใจเช่นนี้ทำให้พวกเกรียนมืออาชีพต้องยอมแพ้

ชาวเน็ตที่อยากกำจัดฟั่นจยาหลัวแต่ไม่มีปัญญาทำได้เพียงเตือนซุนอิ่งให้เขาคอยระวัง เพราะมีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะตกเป็นเป้าหมายรายต่อไปของฟั่นจยาหลัว

ซุนอิ่งกลัวจนไม่กล้ากลับบ้าน วิ่งไปหาเฉาเสี่ยวเฟิงที่บริษัทให้ช่วยคิดหาวิธี

เฉาเสี่ยวเฟิงคิดได้วิธีหนึ่งคือให้ซุนอิ่งอยู่หน้ากล้องนานๆ เพื่อไม่ให้ฟั่นจยาหลัวมีโอกาสลงมือ ในหนึ่งวันเขาช่วยซุนอิ่งรับงานสัมภาษณ์กับงานแสดงต่างๆ ในระหว่างนั้นมีเวลาพักแค่สองสามชั่วโมง ยุ่งจนเท้าไม่แตะพื้น

ถ้าเปลี่ยนเป็นเวลาปกติ การที่ผู้จัดการทรมานเขาแบบนี้ ซุนอิ่งคงระเบิดแล้ว แต่นี่เขากลับอยากเริ่มงานเดี๋ยวนี้ ขอเพียงได้อยู่หน้ากล้องหรือท่ามกลางฝูงชน เขาก็จะรู้สึกปลอดภัย ซุนอิ่งกลัวคนบ้าอย่างฟั่นจยาหลัวจริงๆ!

ตอนสัมภาษณ์นักข่าวถามคำถามที่เป็นประเด็นอ่อนไหวหลายเรื่อง ซุนอิ่งเรียกคะแนนสงสารด้วยการสรรเสริญเยินยอเกาอี้เจ๋อและหลั่งน้ำตามากมาย เสร็จแล้วก็เล่าเรื่องพิลึกพิลั่นหลายเรื่องที่ฟั่นจยาหลัวทำ อย่างจู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์แล้วมาซ้อมเขาระหว่างการฝึก ระหว่างอัดเสียงเสียงเกิดเปลี่ยนเป็นแหลมขึ้นกะทันหันเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ไล่เกาอี้เจ๋อออกจากหอพัก และห้ามเกาอี้เจ๋อกับเขาไปอยู่ร่วมกับอีกฝ่าย เป็นต้น

“นิสัยเขาเพี้ยนมากจริงๆ ยิ่งพี่เจ๋อแสนดีเท่าไหร่เขายิ่งอิจฉามากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงวันนี้มันไม่ใช่ความผิดของพี่เจ๋อเลย ต้องโทษที่ใจคนมันน่ากลัวเกินไป ผมหวังว่าเขาจะไม่ทำผิดซ้ำอีก คิดถึงช่วงที่ฟอร์มทีมกันใหม่ๆ พวกเราสามคนมีความสุขกันมาก” ซุนอิ่งขอบตาแดง พอพูดจบประโยคการสัมภาษณ์ก็เสร็จสิ้น เขาต้องขึ้นเครื่องบินเดินทางออกจากเมืองหลวง

ทันทีที่คลิปนี้ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตก็เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้มาก กระแสความนิยมของซุนอิ่งเพิ่มสูงขึ้น เมื่อแฟนคลับของเกาอี้เจ๋อย้ายมาที่เวยป๋อของเขา เชียร์เขา ปลอบใจเขา หวังว่าเขาจะก้าวต่อไปในฐานะของตัวแทนวงสตาร์ นี่เป็นผลลัพธ์ที่ซุนอิ่งคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว เขารู้ว่าตนไม่มีแบ็ก ไม่มีความสามารถ หน้าตาไม่โดดเด่น ถ้าอยากดังก็มีแต่ต้องกินหมั่นโถวเลือดคน* ของเกาอี้เจ๋อ ในวงการนี้มีเพียงการยอมทำทุกอย่างแบบไม่เลือกวิธีจึงจะสามารถปีนได้สูงขึ้น

บทสัมภาษณ์ของซุนอิ่งเพิ่งจบ บทสัมภาษณ์ของพ่อแม่เกาอี้เจ๋อก็ถูกปล่อยออกมา แม่ของเกาอี้เจ๋อหยิบภาพสเก็ตช์หนึ่งแผ่นออกมาโชว์กล้องพลางบริภาษ “ภาพนี้ซุนอิ่งเอาให้แม่ ของจริงอยู่กับตำรวจ ใบนี้ที่อยู่กับแม่เป็นสำเนา ซุนอิ่งเล่าว่าก่อนหน้าที่ลูกชายแม่จะตกตึกเจ็ดแปดวัน ฟั่นจยาหลัววาดภาพนี้ให้ลูกชายแม่ พวกคุณดูสิ ภาพนี้เหมือนภาพเหตุการณ์ตอนที่ลูกชายแม่ตกตึกลงมาตายไม่มีผิด! ทั้งร้านค้าทั้งตึกสูงตามทาง ยังมีไฟนีออนนี่อีก ถ้าไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อนว่าจะผลักลูกชายแม่ให้ตกตึก ฟั่นจยาหลัวจะวาดได้ละเอียดขนาดนี้เชียวเหรอ เขาจะต้องเป็นฆาตกรที่ฆ่าลูกชายแม่แน่ๆ แม่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไม ทั้งที่มีหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้แล้วทำไมตำรวจถึงยังไม่จับเขาอีก! แบบนี้เท่ากับบกพร่องต่อหน้าที่ แม่จะฟ้องพวกเขา แม่จะให้ฟั่นจยาหลัวชดใช้ให้ลูกชายของแม่ด้วยชีวิต!”

เสียงโวยวายของคุณแม่เกากระตุ้นต่อมความโกรธแค้นของผู้คนรอบข้าง คุณพ่อเกาตบหลังภรรยาเบาๆ ปลอบให้เธอเชื่อมั่นในตำรวจ เชื่อมั่นในรัฐ แสดงบทคนดีได้อย่างแนบเนียน เรียกความรู้สึกที่ดีได้จากทุกคน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มจาระไนถึงเรื่องของเกาอี้เจ๋อตั้งแต่เล็กจนโตอยู่หน้ากล้อง พร้อมหยิบประกาศนียบัตร โล่รางวัล ถ้วยรางวัล ออกมายืนยันคุณงามความดีของเขา

นักข่าวแสดงความชื่นชมแต่ไม่ได้ให้ความสนใจ กลับถ่ายรูปภาพสเก็ตช์แผ่นนั้นอย่างบ้าคลั่ง

พอเห็นรายละเอียดของภาพ พวกคนที่มุงดูต่างตื่นตะลึง ที่แท้คำเตือนเรื่องตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือภาพสเก็ตช์ตอนตายต่างหาก! แค่ความสมจริงในภาพก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าฟั่นจยาหลัวเป็นฆาตกรที่มีการวางแผนล่วงหน้าได้แล้ว ทั้งที่ทางตำรวจมีหลักฐานแน่ชัดขนาดนี้ แต่ยังไม่สามารถจับกุมเขาได้ หรือพวกตำรวจไปกินมูลกันหมดแล้ว?

กินแต่ตำแหน่งกับเงินหลวงเปล่าๆ กันทั้งนั้น!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 8 ได้ในวันที่ 17 .. 64

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: