X
    Categories: everYStar Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 1 Chapter 1-1 #นิยายวาย

Part 1

ณ มุมมืด

 

Chapter 1-1

 

ถึงแม้ตอนนี้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปหลายปีแล้ว ทว่าภาพจำเรื่องราวในวันนั้นยังคงแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ผมยังจำได้ดีว่าตอนที่ได้เจอกับเขาที่สนามเด็กเล่นครั้งแรกนั้นผมรู้สึกอย่างไร เขาใส่เสื้อผ้าแบบไหน และกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ภาพความทรงจำทุกอย่างเหล่านั้นยังคงชัดเจนตั้งแต่ท้องฟ้าขมุกขมัวเพราะอากาศที่มืดครึ้มมาตลอดทั้งวัน กระทั่งบรรยากาศและเสียงที่ดังอยู่รอบตัว

มันเป็นช่วงที่คำพูดที่ว่า ‘หัดเชื่อฟังฉันซะบ้าง ไม่อย่างนั้นฉันทิ้งแกแน่’ ของแม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นคำพูดที่ว่า ‘ฉันคงทิ้งเด็กอย่างแกไม่ลงหรอก’ ซึ่งตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่ผมก้าวเข้าสู่วัยที่เริ่มรู้สึกต่อต้านมากกว่าจะรู้สึกหวาดกลัวเมื่อถูกแม่ดุด่า

ในวันนั้นก็เช่นกัน ผมฟังคำพูดพวกนั้นไปผ่านๆ ไม่รู้ว่ามันเป็นคำขู่หรือคำพูดโอดครวญเฉยๆ กันแน่ ก่อนจะออกมาเดินเล่นในตอนกลางคืน การได้ออกมาดูดาวในช่วงเวลาเดิมทุกวันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นความสุขเล็กๆ ของผม เมื่อเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยที่ทั้งมืดและแคบประมาณยี่สิบนาทีก็จะพบกับหมู่ตึกคอนโดมิเนียมที่ทั้งใหญ่โตโอ่อ่าและมีแสงไฟส่องสว่าง การได้มาดูดาวที่สนามเด็กเล่นในละแวกนี้ มันทำให้ผมมองเห็นภาพทิวทัศน์ยามค่ำคืนได้ชัดยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้ผมรู้สึกเหมือนความหนักอึ้งภายในอกนั้นค่อยๆ จางหายไปด้วย

ที่นั่นผมได้พบเจอกับใครคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคย ใช่ครับ…ผมรู้จักเขา พวกเราเรียนโรงเรียนประถมที่เดียวกัน แถมแม่ของพวกเรายังรู้จักกันและติดต่อหากันอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะเคยได้ยินแม่พูดชื่อของหมอนั่นอยู่บ่อยๆ แต่นอกจากชื่อของเขากับเรื่องที่เขารูปร่างหน้าตาดีจนฮอตในหมู่สาวๆ แล้ว ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย

หมอนั่นนั่งอยู่บนม้านั่งกำลังมองไปบนท้องฟ้า เขามองขึ้นไปบนนั้นนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดท่ามกลางเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่โดยรอบ ผมรู้ว่าหมอนั่นกำลังดูดาวบนฟ้า เพราะคงไม่มีเหตุผลอื่นใดที่อีกฝ่ายจะถ่อมานั่งถึงที่นี่เหมือนกับผม

หมอนั่นเติบโตมาในย่านโกโรโกโส ย่านที่อยู่ห่างออกไปและต้องใช้เวลาเดินมาพักใหญ่กว่าจะมาถึงที่นี่

ผมไม่ได้นึกดูถูกดูแคลนอะไรหมอนั่นหรอกนะ กลับกันผมแค่รู้สึกสนใจในตัวเขาที่มีความเป็นอยู่ไม่ได้ต่างไปจากผม

ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เขาที่ยังคงเหม่อมองท้องฟ้าอย่างล่องลอยไร้จุดหมาย

แสงไฟสาดลงมาบนศีรษะ แม้จะดึกสงัดสักแค่ไหน แต่แสงไฟจากตึกคอนโดมิเนียมที่ตั้งเรียงรายอยู่นั้นก็ยังคงสว่างไสว ทั้งผมและเขาต่างเกิดและเติบโตมาในย่านที่พอตะวันลับฟ้าก็จะมืดมิดไร้ซึ่งแสงจากดวงไฟ เพราะอย่างนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมและเขาจะมาหากันที่นี่ในทุกคืน

ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าผมมาที่นี่เพราะแค่ชอบมานั่งดูดาว หรือจริงๆ แล้วผมปรารถนาอยากเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมหรูนั่นกันแน่

“ไง”

ผมทักเขาไปห้วนๆ ด้วยความที่เราเคยอยู่โรงเรียนประถมที่เดียวกันมาก่อน ฉันเคยเจอนายนะ แม่ฉันเคยเล่าเรื่องนายให้ฟังด้วยล่ะ แม้ผมจะรู้ว่าควรพูดอะไรต่ออีกสักนิดเพื่อไม่ให้เขามองว่าผมเป็นคนประหลาดที่ทักชาวบ้านเขาไปทั่ว แต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม มันรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ผมยังคงนิ่งไม่พูดจาอะไรจนอีกฝ่ายค่อยๆ หันหน้ามาสบตากับผม

เขาจ้องมองมาที่ผมนิ่งด้วยสายตาเดียวกันกับที่เขามองท้องฟ้า เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นทำลายความเงียบ

“ไง”

หมอนั่นยิ้มอย่างสดใสและสว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวไหนๆ ที่ระยิบระยับอยู่ท่ามกลางความมืด

 

“ฉันชอบโชยูแจ เพราะงั้นนายช่วยฉันหน่อยเถอะนะ”

ในวินาทีที่ยุนแชยองสารภาพมันออกมานั้น ซอฮันจุนกำลังนั่งเลียไอศกรีมอยู่ใต้ร่มไม้พลางนึกภาพของคนที่เพื่อนร่วมชั้นของเขาเพิ่งจะสารภาพรักไปเมื่อครู่ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฮันจุนเองก็กำลังเผลอนึกถึงภาพโชยูแจที่กำลังนั่งไกวชิงช้ามองดูดาวอยู่ข้างกันในสนามเด็กเล่นเมื่อคืน

เมื่อวานนี้พวกเขาก็นั่งดูดาวด้วยกันเช่นเคย มันเป็นกิจวัตรของพวกเขามาตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นประถม และมันก็เป็นแบบนั้นเสมอมาแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ในช่วงมัธยมปลายปีสุดท้ายที่แสนจะวุ่นวายแล้วก็ตาม กระทั่งในวันที่เลิกเรียนพิเศษเสร็จมาเหนื่อยๆ ยูแจก็มักจะส่งข้อความมาหาเขาก่อนเสมอ และเมื่อเขาที่กำลังนั่งติวหนังสืออยู่ที่ห้องได้รับข้อความก็จะรีบคว้าเสื้อคลุมมาใส่แล้ววิ่งออกจากห้องไปทันที มันมักจะเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ฝนตกหรือวันที่ต่างคนต่างมีธุระก็ตาม

ถ้าหากถามว่าเขาชอบดูดาวขนาดนั้นเลยเหรอ แน่นอนว่าเขาคงตอบว่าใช่ ตอนเด็กๆ เขาชอบการที่ดาวระยิบระยับงามตาพวกนี้ลอยเด่นอยู่ไกลจนใครก็ไม่อาจเอื้อมถึง มันอาจเป็นเหตุผลที่ไร้เดียงสาตามประสาเด็กของเขา แต่เขากลับรู้สึกว่าการที่ดาวเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อาจเอื้อมมาถือครองได้นี่แหละ ช่วยทำให้ความรู้สึกเหลื่อมล้ำและความโดดเดี่ยวในใจของเขาลดลงไปได้บ้าง

ทว่าในตอนนี้ความรู้สึกว่างเปล่านั้นกลับเลือนหายไปเสียแล้ว ทั้งที่เขาแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าตลอดทั้งคืน แต่เขากลับจำไม่ได้เลยสักนิดว่าดวงดาวบนฟ้าเป็นเช่นไร ภาพที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำมีเพียงแค่ใบหน้าของโชยูแจที่กำลังหัวเราะอย่างสดใส รวมไปถึงรอยยิ้มที่สว่างไสวและสองกายที่นั่งอยู่ใกล้ชิดกัน

เขาอาจจะหูฝาดฟังสิ่งที่ยุนแชยองพูดผิดไป เพราะเมื่อครู่เอาแต่เหม่อลอยคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ฮันจุนจึงถามกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

“เธอว่ายังไงนะ”

“นายสนิทกับยูแจไม่ใช่หรือไง นี่ก็ปีสามแล้วด้วย อีกหน่อยก็จะเรียนจบแล้วอะ เพราะงั้นฉันเลยอยากลองเต็มที่กับความรักครั้งนี้ดูสักตั้ง”

แชยองโพล่งย้ำความตั้งใจของตัวเองออกมาด้วยท่าทีจริงจัง หลังจากกวาดตามองไปรอบๆ จนมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ฮันจุนเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงเพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องตอบกลับไปว่าอย่างไร

เรื่องที่แชยองแอบชอบยูแจนั้นเป็นเรื่องที่ใครๆ ต่างก็รู้กันทั่ว เพราะตัวต้นเหตุอย่างเจ้าตัวดันไม่มีความสามารถในการเก็บความลับและสงวนท่าทีเลยแม้แต่น้อย เธอทุ่มเทกับทุกๆ เรื่องด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนมุ่งมั่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เรื่องการแสดงออก หรือแม้กระทั่งเรื่องการรักใครข้างเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ เธอจะมาขอความช่วยเหลือจากเขา

จริงๆ แล้วฮันจุนไม่มีความคิดอยากจะช่วยเธอเลยแม้แต่น้อย และต่อให้เขาคิดที่จะช่วยจริงๆ ก็ไม่มีเรื่องไหนที่เขาจะสามารถช่วยเธอได้อยู่ดี เพราะขนาดคนอื่นยังมองเธอออก ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่คนอย่างโชยูแจจะดูไม่ออก หมอนั่นเป็นคนที่เซ้นส์แรงและดูคนเก่ง เพราะอย่างนั้นถ้ายูแจสนใจแชยองจริงๆ ก็คงได้คบกันไปนานแล้ว ฮันจุนจึงได้แต่นั่งละเลียดไอศกรีมนิ่งทำทีเป็นไม่สนใจ

“ทำไมไม่ตอบเล่า”

“เธอก็จัดการเอาเองสิ”

“นายนี่มันจริงๆ เลย ไอติมฉันก็ซื้อให้แล้ว ไม่มีน้ำจิตน้ำใจจะช่วยกันเลยนะ เอาคืนมาเลย!”

“เอ้า นี่เป็นสินบนหรอกเหรอ”

ฮันจุนเลิกคิ้วถามพลางยื่นไอศกรีมที่ละลายเกือบจะหมดแล้วไปให้ แชยองจึงได้แต่ถอนหายใจ

“ถ้าจู่ๆ ไปสารภาพรัก ฉันคงได้กินแห้วแหงเลย หมอนั่นคงจะปฏิเสธแล้วบอกว่าต้องอ่านหนังสือเพราะนี่ปีสามแล้วแน่ๆ อะ”

“มันก็ไม่ใช่เวลาที่ควรจะมีแฟนจริงๆ นั่นแหละ”

“เรียนไปมีแฟนไปก็ได้นี่ ทำไมอะ หรือว่ายูแจมีคนที่ชอบอยู่แล้ว? ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น อย่างน้อยๆ ก็ช่วยบอกสเป็กคนที่หมอนั่นชอบมาหน่อยสิ”

แชยองเอาไหล่เบียดฮันจุนพลางกระซิบกระซาบ ฮันจุนจึงเอาแขนโอบไหล่ของเธอหลวมๆ ก่อนจะตอบกลับไป

“สนใจเรื่องเรียนก่อนเถอะ แชยอง”

“เฮอะ! นายนี่มันพึ่งไม่ได้เลยจริงๆ”

แม้จะโดนต่อว่าอย่างแรง แต่ฮันจุนก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด เขามองไปยังเงาของคนที่กำลังเดินข้ามมาจากอีกฝั่งหนึ่งของสนาม

ดูท่าอีกฝ่ายเพิ่งจะเล่นบาสเสร็จ โชยูแจสวมกางเกงพละสีน้ำเงินเข้มกำลังเดินเข้ามาใกล้ พวกเขาทั้งคู่ตัวสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับสมัยที่เพิ่งเข้าเรียนใหม่ๆ ทำให้กางเกงนักเรียนของพวกเขาขาสั้นเต่อจนเห็นข้อเท้า เพราะอย่างนั้นฮันจุนกับยูแจจึงมักจะเปลี่ยนมาสวมกางเกงพละแทนหลังจากมาถึงห้องเรียนเสมอ

ฮันจุนเหยียดขาออกไปข้างหน้าแล้วยกยิ้มพลางลูบกางเกงพละสีเดียวกันเงียบๆ

นับตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ แม้ทั้งสองคนจะอยู่ในสถานะเพื่อนที่สนิทกันที่สุด แต่เขาก็ไม่เคยเห็นยูแจแสดงออกว่าชอบใครเลยสักครั้ง มีคนมากมายเข้ามาชอบยูแจ ทว่ายูแจกลับไม่เคยสนใจเรื่องรักใคร่พวกนั้นเลย ถึงอย่างนั้นยูแจก็ไม่ได้เมินคนพวกนั้น เพียงแค่เขาเลือกที่จะปฏิบัติกับทุกคนเหมือนกันเท่านั้นเอง

เพราะอย่างนั้นเขาจึงเป็นเสมือนดวงดาวสำหรับฮันจุน

“เฮ้! ซอฮันจุน!”

ฮันจุนเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงอันคุ้นเคยที่ตะโกนเรียก ยูแจที่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้กำลังมองมาที่เขา ก่อนจะส่งยิ้มให้แชยองเมื่อเห็นว่าเธอเองก็อยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน

ฮันจุนสบสายตากับยูแจที่เพิ่งเดินเข้ามาใต้ร่มไม้ ก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้ด้วยความเคยชิน ตอนสมัยมัธยมต้น ฮันจุนตัวสูงกว่ายูแจประมาณหนึ่งเซนติเมตร เวลายืนข้างกันทำให้ระดับสายตาไม่ต่างกันมากนัก แต่ตอนนี้ฮันจุนกลับจำต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย

นอกจากเรื่องส่วนสูงแล้วยังมีสิ่งที่เปลี่ยนไปเมื่อเริ่มแตกวัยหนุ่ม นั่นคือกลิ่นกายที่เริ่มเข้มขึ้น โครงหน้าเองก็เริ่มชัดเจนขึ้นเช่นกัน…

ฮันจุนมองสันกรามคมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตาหนี ยูแจย่อตัวทรุดกายลงมานั่งข้างๆ พลางยกแขนกอดคอฮันจุน ร่างกายของยูแจค่อนข้างอุ่นร้อนเพราะเพิ่งเล่นกีฬามาหมาดๆ หยดเหงื่อที่เกาะอยู่บนลำคอเปล่งประกายระยับ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาประดับด้วยรอยยิ้มค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ ในวินาทีที่อีกฝ่ายอ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง หัวใจของฮันจุนก็พลันสั่นไหวระรัวกับสัมผัสจากแขนที่โอบกอดนั้น

“ทำอะไรกันอยู่เหรอ”

“เปล่า ไม่ได้ทำอะไร”

แชยองลุกพรวดขึ้นพลางโพล่งตะโกนเสียงดังราวกับเกรงว่ายูแจจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป พอเห็นปฏิกิริยารุนแรงแบบนั้นที่มีต่อคำถามของยูแจ ฮันจุนก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมข่าวลือเรื่องที่แชยองชอบโชยูแจถึงได้ดังกระฉ่อนไปทั่ว

ยูแจมองท่าทีแบบนั้นของเธอก่อนจะหัวเราะออกมา ในขณะที่ฮันจุนเอาแต่เลียไอศกรีมอยู่เงียบๆ เขาอมไม้ไอศกรีมที่กินเกือบหมดแล้วเอาไว้ในปากนิ่ง แสร้งทำเป็นกินไอศกรีมอยู่จนรับรู้ได้ถึงรสขมเฝื่อนของไม้ไอศกรีม

ในขณะที่แชยองใช้เท้าเขี่ยพื้นสนาม ซุกสองมือลงในกระเป๋ากางเกงพละพลางคิดว่าจะพูดอะไรออกไปดี เส้นผมยาวของเธอปลิวลงมาปรกแก้ม ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นในที่สุด

“โชยูแจ นายทำการบ้านของโรงเรียนสอนพิเศษเสร็จแล้วเหรอ”

และแล้วหัวข้อที่เธอตั้งใจเลือกเฟ้นมาคุยก็คือเรื่องเรียนพิเศษ เพราะยูแจและแชยองต่างก็เรียนพิเศษที่เดียวกัน

“อื้อ ทำเสร็จหมดแล้ว”

“แล้วข้อสอบจำลอง* ล่ะ ทำครบหมดแล้วเหรอ ตรงพาร์ตเติมคำภาษาอังกฤษนั่นไม่ยากหรือไง”

“ก็พอทำได้นะ”

“งั้นเหรอ ถ้างั้นช่วยสอนฉันหน่อยสิ พอดีฉันมีข้อที่ไม่เข้าใจอยู่น่ะ”

“เธอเก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง แล้วจะมาให้ฉันสอนเนี่ยนะ?”

“ฉันไม่ได้เก่งสักหน่อย ที่ทำไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนู้นฉันก็ทำผิดหมดเลยนะ”

“นั่นเพราะเธอเจ็บเท้าไม่ใช่หรือไง”

ยูแจพูดพร้อมกับเงยหน้ามองแชยองที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเหยียดปลายเท้าออกไปแตะเบาๆ ที่หัวรองเท้าแตะของเธอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอไม่คาดคิดมาก่อนว่ายูแจจะพูดแบบนั้นออกมาหรือเปล่า สีหน้าที่ดูขึงเครียดของแชยองถึงได้พลันผ่อนคลายมากขึ้นทันตา เธอก้มหน้าลงมองปลายเท้าที่สัมผัสกันอยู่พลางถามขึ้นมา

“นายรู้ได้ยังไงอะ”

“แค่ดูก็รู้แล้วน่า”

“วันนั้นนายเห็นด้วยเหรอ”

“อื้ม”

ยูแจตอบกลับไปอย่างไม่ได้คิดอะไร รอยยิ้มตาหยีที่ดูเย้าแหย่นั้นดูไม่เข้ากันกับคำตอบที่แสนอ่อนโยนนั่นเลยสักนิด ฮันจุนหายใจเข้าลึกก่อนหันไปมองแชยอง แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้จริงๆ เธอกำลังยกมือจับใบหูซ่อนความรู้สึกประหม่าที่แสดงออกมาอย่างปิดไม่มิด

“…แค่เรื่องสอบก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว ยังจะเอาเวลามาจ้องหน้าคนอื่นอยู่อีก”

ถึงเธอจะพยายามปกปิดอย่างไร แต่ปัญหาก็อยู่ตรงที่เธอเก็บความรู้สึกของตัวเองไม่เป็นนี่แหละ

ยูแจหัวเราะพรวดออกมากับคำพูดตรงไปตรงมาของแชยอง แก้มของเธอค่อยๆ แดงระเรื่อเมื่อเห็นมุมปากของอีกฝ่ายที่ยกขึ้นน้อยๆ กับดวงตาที่แย้มยิ้มจนตาปิด

ยูแจเป็นคนที่สามารถซื้อใจคนอื่นได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าใครต่างก็ตกหลุมรักเขา เพราะเขามักจะเลือกพูดแค่สิ่งที่คนฟังอยากฟังเสมอ

“แค่มองหน้าเธอนี่ฉันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ ก็แค่อยากมองอะ ไม่ได้หรือไง”

“พูดบ้าอะไรของนายเนี่ย! เอาเป็นว่าไว้เจอกันที่โรงเรียนสอนพิเศษละกัน ฉันไปละ”

แชยองส่งซิกทางสายตาให้ฮันจุนทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ เธอน่าจะเขินเลยทำเป็นส่งเสียงดังโวยวายกลบเกลื่อน ก่อนจะวิ่งกลับห้องเรียนไป

ฮันจุนรอจนกระทั่งเธอลับหายไปจากระยะสายตาจึงค่อยเอาไม้ไอศกรีมออกจากปาก ไม่รู้เป็นเพราะว่าเขากัดมันไว้นานหรือเปล่า ในโพรงปากของเขามันถึงได้รู้สึกขมปร่า

ยูแจเลื่อนมือที่พาดอยู่บนไหล่มาหยิกแก้มฮันจุนเล่น

“ว่าจะขอกินสักคำ นี่เล่นกินหมดเลยเหรอ”

“นายรู้เรื่องนั้นเพราะอินกยูบอกนายสินะ”

ฮันจุนพูดเสียงเรียบ อีอินกยูคือเพื่อนที่เรียนพิเศษที่เดียวกันกับยูแจและแชยอง หมอนั่นไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่ก็เป็นคนที่ค่อนข้างยึดติดและหมกมุ่นแต่กับเรื่องผลสอบมากไปสักหน่อย เขามักจะชอบคุยโวเรื่องคะแนนสอบอยู่เรื่อย และยังรู้คะแนนสอบของทุกคน รู้กระทั่งคะแนนของฮันจุนที่ไม่ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เพราะอย่างนั้นกับแค่เรื่องคะแนนสอบแบ่งห้องของสถาบันสอนพิเศษจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนอย่างอินกยูจะรู้เรื่อง

“เรื่องที่แชยองเจ็บเท้าน่ะ หมอนั่นกลัวแชยองทำข้อสอบออกมาดีแล้วได้เลื่อนห้องจะตาย พอแชยองป่วยแล้วสอบไม่ผ่านเลยไม่ได้เลื่อนห้องก็เอาไปป่าวประกาศซะทั่ว”

เจ็บเท้างั้นเหรอ

ยูแจถามตัวเองในใจพร้อมกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าแชยองป่วย แต่เขาดันไปพูดจาชวนเขิน ทำเหมือนคอยเฝ้ามองดูเธออยู่ตลอดเอาเสียได้

ยูแจทอดสายตามองเหมือนยังรู้สึกสับสน ก่อนที่เขาจะพยักหน้าหงึกๆ “อ๋า…” เขาเดาะลิ้นพลางเลื่อนมือออกจากไหล่ของฮันจุน

“หมอนั่นมันตัวปัญหาจริงๆ เลย ช่วงนี้ฉันเองก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ สงสัยคงต้องเก็บอาการหน่อยแล้วแฮะ ขืนหมอนั่นรู้เข้าคงได้เอาไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านเขารู้แน่ๆ”

ยูแจคิดว่าคำว่า ‘ป่วย’ สำหรับตัวเขาและแชยองนั้นใช้กับเรื่องของสภาพร่างกายเหมือนกัน ทว่าคำว่า ‘ป่วย’ สำหรับอินกยูนั้นดูจะใช้กับสมองเสียมากกว่า เพราะอย่างนั้นเขาจึงมองอินกยูเป็นแค่ตัวตลก ในขณะที่ฮันจุนด่าหมอนั่นเป็นประจำจนไม่รู้จะด่าอย่างไรแล้ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าหมอนั่นเป็นคนอย่างไร แต่ฮันจุนก็อดไม่ได้เลยสักครั้ง

ฮันจุนแค่นหัวเราะออกมาก่อนจะถามขึ้น

“แล้วนี่นายไม่สบายตรงไหนกัน”

“ก็ภาวะปวดขาจากการเจริญเติบโต* น่ะสิ”

ยูแจเอนตัวพิงลงมาพลางทำตัวออดอ้อนเป็นเด็ก ฮันจุนที่เป็นห่วงได้ครู่เดียวสะบัดแขนข้างที่ยูแจพิงออกอย่างนึกหมั่นไส้ แต่ยูแจกลับไม่ได้สะทกสะท้านพลางแกล้งทำเป็นงอนกอดอกแน่นเหมือนเด็ก

“นี่ฉันปวดจริงๆ นะ แถมช่วงนี้ก็นอนไม่ค่อยหลับด้วย”

“เจ็บที่ขาสินะ”

“ก็ใช่น่ะสิ…เฮ้อ ไม่อยากโตไปมากกว่านี้เลยอะ ถ้าหยุดโตได้ก็คงดีสิเนอะ ขากางเกงมันเต่อขึ้นเรื่อยๆ จนสีกับข้อเท้า แสบเป็นบ้าเลยเนี่ย”

“ฉันก็เหมือนกันแหละน่า พี่ที่รู้จักเองก็บอกว่าคงเอากางเกงมาให้ฉันใส่ไม่ได้แล้ว เพราะเขาตัวเตี้ยกว่าฉัน”

“นายนวดขาให้ฉันหน่อยดิ”

“ไอ้…จะไปไหนก็ไปเลยไป”

ยูแจหัวเราะตัวโยนจนกลิ่นแชมพูลอยออกมาจากตัวของอีกฝ่าย มันเป็นกลิ่นแอปเปิ้ลหอมๆ ที่ยูแจใช้เป็นประจำทุกวัน ลมที่พัดผ่านมาอบอวลไปด้วยกลิ่นกายของเขากับกลิ่นแชมพูหอมสดชื่น ฮันจุนชำเลืองมองยูแจที่นั่งอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาหนี ใบหน้าที่กระทบกับแสงของดวงดาวยังคงดูสดใสไม่เปลี่ยนเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ฮันจุนใช้เท้าสะกิดเท้าของอีกฝ่าย ยูแจจึงเงยหน้าขึ้น ก่อนที่ฮันจุนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“นายก็รู้ดีว่าแชยองชอบนาย ในเมื่อนายเองก็ไม่ได้มีใจให้เธอ เพราะงั้นก็อย่าไปพูดอะไรแบบนั้น”

ยูแจยกยิ้มนิ่งๆ โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขามักจะรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ฮันจุนปริปากบ่นอุบอิบแบบนี้ แล้วจู่ๆ ฮันจุนก็เปลี่ยนเรื่องคุย

“ฉันว่าจะลองไปเรียนพิเศษที่เดียวกับที่พวกนายเรียนสักสามเดือน…แต่ถ้าเรียนแค่สามเดือน เขาจะรับสอนให้ไหมนะ”

“รับอยู่แล้วแหละน่า ว่าแต่แม่นายจะจ่ายให้เหรอ”

“เปล่าหรอก บ้านฉันมีเงินซะที่ไหนล่ะ เงินเก็บที่ฉันสะสมไว้ช่วงไปทำงานที่บ็อกซิ่งคลับน่าจะจ่ายค่าเรียนได้สักสามเดือนพอดีน่ะ”

ฮันจุนทำงานพิเศษที่บ็อกซิ่งคลับแถวบ้านมานาน พี่ชายแถวบ้านเอ็นดูแล้วก็เข้าใจสถานะทางบ้านของฮันจุนเป็นอย่างดี เขาจึงฝากงานให้ทันทีที่ฮันจุนขึ้นมัธยมปลาย งานที่ทำก็ไม่ได้เหนื่อยเลยสักนิด เพราะรุ่นพี่ให้เขาทำแต่งานเบาๆ แล้วก็เอาแต่บอกว่าต้องการให้เงินเป็นค่าขนมเล็กน้อยก็เท่านั้น ฮันจุนทำงานปัดกวาดเช็ดถูฆ่าเวลามาตลอดสองปี แต่เงินที่เก็บได้นั้นก็ถือว่าเยอะมากพอดู

ไหนๆ เขาก็กำลังจะเรียนจบมัธยมปลายแล้ว เขาจึงอยากจะลองลงเรียนพิเศษดูสักครั้ง เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมาเขายังไม่เคยเรียนพิเศษเลย ถือเสียว่าได้ทบทวนบทเรียนทั้งหมดที่เคยเรียนมาไปในตัวด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะมีผลการเรียนที่ดีอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด แต่มันคงจะดีกว่า ถ้าหากได้ลงเรียนพิเศษแล้วมีคนคอยช่วยทบทวนบทเรียนให้ในระหว่างปิดเทอม และมันก็คงจะสนุกมากแน่ๆ ถ้าได้เรียนกับโชยูแจ อีกอย่างหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เขากับยูแจก็คงจะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนในตอนนี้

“สุดยอดไปเลยนะนายเนี่ย เก่งไปซะทุกเรื่องเลยจริงๆ”

ยูแจเอ่ยปากชมเปาะพลางเลื่อนมือขึ้นมาลูบศีรษะเขาเล่น ถึงเขาจะแค่นหัวเราะอย่างเอือมๆ กับท่าทางที่แสนโอเวอร์นั่น แต่กลับรู้สึกดีเสียอย่างนั้น สำหรับโชยูแจแล้วมันอาจจะเป็นเพียงคำพูดที่พูดออกไปอย่างนั้น ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร เพียงเดี๋ยวเดียวก็คงหลงลืมไป หรือไม่นั่นอาจจะเป็นเพียงคำพูดที่พูดให้คนฟังรู้สึกดีเท่านั้น ทว่าในตอนนี้เขาก็มีความสุขไปกับมัน

พอคิดว่าจะต้องไปบอกเรื่องเรียนพิเศษกับแม่ที่กำลังกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่แทบจะไม่พอใช้สอย เขาเองก็รู้สึกหนักใจไม่น้อย แต่คงต้องขอบคุณคำชมชวนเขินนั้นของยูแจที่ช่วยทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย

จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ยัยแชยองคงจะอารมณ์ดีอยู่แน่ๆ

ฮันจุนหัวเราะเบาๆ ก่อนลุกยืนขึ้น ทันทีที่เขาสลัดเรื่องกลุ้มใจออกไปจากหัวและเงยหน้าขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าเวลาพักเที่ยงได้หมดลงแล้ว ทว่าพอฮันจุนลุกขึ้นยืน ยูแจกลับคว้าตัวเขาไปโอบไหล่ทันที

“งั้นนายก็จะมาสอบวัดระดับใช่ไหม ถ้าเราได้อยู่ห้องเดียวกันก็คงจะดี”

“นายอยู่ห้องหนึ่งสินะ?”

“ไม่ใช่ สองต่างหากล่ะ แชยองกับอินกยูก็อยู่ห้องเดียวกับฉันด้วยนะ”

“งั้นฉันจะไปอยู่ห้องหนึ่ง”

ฮันจุนเชิดหน้าตอบพลางปรายตามองอีกฝ่าย ยูแจจึงกระซิบปรามข้างใบหูของฮันจุนว่าห้ามไปพูดแบบนี้ต่อหน้าอินกยูเด็ดขาด ก่อนจะหัวเราะออกมา เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่ริมฝีปากของยูแจเฉียดผ่านใบหู ฮันจุนพลันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวบริเวณลำคอแกร่งหลังจากที่หยาดเหงื่อได้แห้งเหือดไปแล้วเพราะสายลมเย็น

“รีบวิ่งสิ เดี๋ยวก็สายหรอก”

ยูแจวิ่งนำหน้าออกไปก่อนที่ฮันจุนจะเริ่มออกตัววิ่งตามไป หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น ความอุ่นร้อนที่ชวนให้รู้สึกดีพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

 

“ขอบคุณนะครับพี่”

หลังจากฮยอนแบเดินออกมาส่งถึงข้างนอก ฮันจุนก็รับเงินมาก่อนจะโค้งขอบคุณฮยอนแบที่ยิ้มให้อย่างใจดี ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด หากเงยหน้าขึ้นมองก็จะเห็นป้ายเก่าๆ ที่เขียนว่า ‘พัคฮยอนแบ บ็อกซิ่งคลับ’

มันก็นานมากแล้ว เขาเห็นที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น มันเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่คนละแวกนี้มักจะมาชกมวยและกระชับสัมพันธ์กัน สำหรับฮันจุนแล้วงานทำความสะอาดก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนื่อยอะไรนัก ฮยอนแบมักจะให้เขาทำความสะอาดพื้นให้เพื่อแลกกับค่าขนม แถมช่วงที่เขาทำงานพิเศษอยู่ที่นี่ เขาเองก็ได้เรียนรู้การชกมวยจากฮยอนแบไปด้วย

วันนี้เองก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะชกมวยไปได้แค่ครู่เดียว แต่ก็เล่นเอาหอบจับโดยที่เขายังไม่ทันได้เริ่มหยิบจับทำความสะอาดอะไรเลย เมื่อมองไปยังรุ่นพี่ฮยอนแบที่ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับบอกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้แรงหมัดเขาดีขึ้นเยอะ ฮันจุนก็รู้สึกเก้อเขินจนทำอะไรไม่ถูก ถึงแม้เวลาจะผ่านมาหลายปีจนเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว ทว่าร่างกายของเขากลับไม่ได้โตขึ้นเลยสักนิดราวกับว่ามันโตได้มากสุดเท่านี้ เขายืนมองป้ายคลับเก่าๆ นั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเท้าเดินออกมา

ฮันจุนแวะเข้าร้านสะดวกซื้อระหว่างทางไปย่านคอนโดมิเนียม ถึงแม้ว่าหลังจากจ่ายค่าเรียนพิเศษไปแล้วเขาจะเหลือเงินอยู่แค่ไม่กี่หมื่นวอน* แต่มันก็ยังพอให้เขาซื้อของกินเล่นได้อีกนิดหน่อย ฮันจุนจึงซื้อขนมปังสองก้อนกับน้ำอัดลมยี่ห้อที่ยูแจชอบมาสองกระป๋อง แล้วเร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อคิดถึงคนที่น่าจะออกมาก่อนและกำลังรอเขาอยู่

เมื่อมาถึงสนามเด็กเล่น เขาเห็นโชยูแจกำลังนั่งอยู่บนชิงช้า หมอนั่นนั่งเหยียดขาทั้งสองข้างพลางจ้องมองพื้นโดยที่ยังมีกระเป๋าสะพายอยู่บนหลัง พอเห็นดังนั้นฮันจุนจึงรีบก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้

“ไง”

“มาแล้วเหรอ”

ยูแจเงยหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้ ก่อนจะลุกพรวดยืนขึ้นจนผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากปลิวไหวเล็กน้อย จากนั้นฮันจุนจึงยื่นขนมปังที่ซื้อมาให้อีกฝ่าย

“ไปซื้ออะไรมาอีกล่ะ”

“พอดีว่าฉันหิวน่ะ ไหนๆ ก็ซื้อของตัวเองมาแล้ว ฉันก็เลยซื้อมาเผื่อนายด้วย”

“นายนี่ก็ขยันซื้อเวลช์มาให้ฉันทุกวันเลยนะ”

“ก็นายชอบไม่ใช่หรือไง”

“ถึงจะชอบก็เถอะ แต่นายกะจะซื้อมาแต่ยี่ห้อนี้เนี่ยนะ นายคงเป็นพวกอยู่ในกรอบ ไม่ค่อยชอบอะไรที่มันท้าทายสินะ ขนาดเรื่องแต่งงานนายยังบอกว่าอยากรีบแต่งงาน รีบสร้างครอบครัวเลยนี่”

ฮันจุนเม้มปากปิดสนิทกับคำบ่นของอีกฝ่าย ยูแจยังจำคำพูดในวัยที่ยังไม่รู้ประสีประสาของเขาที่เคยพูดเมื่อสมัยมัธยมต้นได้ดี อย่าว่าแต่จะคิดเรื่องแต่งงานอย่างจริงจังเลย ตัวเขาเองยังไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งเขาจะหันมาชอบผู้ชายด้วยกัน และด้วยหัวใจที่ขลาดกลัวของเขาในตอนนั้น เขาจึงนึกอยากรีบแต่งงานเพียงเพราะแค่ต้องการใครสักคนมาแบ่งเบาภาระต่างๆ ของชีวิตในวัยที่ยังไม่อาจหางานทำเลี้ยงชีพตัวเองได้มากกว่าที่จะอยากรีบแต่งงานเพื่อจะได้รีบสร้างครอบครัวให้มั่นคง

หากคนเราสามารถจดจำคำพูดอันโง่เขลาในอดีตพวกนั้นไว้เตือนใจทุกคำได้ก็คงจะดี ทว่าคำพูดแบบนั้นในช่วงวัยแรกแย้มที่กำลังเบ่งบานของคนเรามันกลับมีเยอะเสียจนจดจำไว้ได้ไม่หมด คิดได้ดังนั้นฮันจุนจึงเบ้หน้าก่อนจะตอบกลับ

“ถ้าไม่อยากกินก็เอาคืนมานี่มา”

“กินสิครับ จะกินให้อร่อยเลย”

พวกเขานั่งกินขนมปังพลางพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ฮันจุนกลืนขนมปังไส้ครีมเลี่ยนๆ พร้อมกับน้ำอัดลมไปรวดเดียวจนรู้สึกแน่นท้อง

ฮันจุนพรูลมหายใจออกอย่างพอใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มองไม่เห็นดวงดาวเลยแม้แต่ดวงเดียว

“เดี๋ยวนี้แทบมองไม่เห็นดาวสักดวงเลยเนอะ คงเป็นเพราะมลภาวะทางอากาศสินะ”

“นายเองก็รู้อยู่แล้วนี่”

“ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่นายก็ยังมาดูดาวที่นี่อยู่ทุกวี่ทุกวันเนี่ยนะ?”

สิ้นเสียงนั้นยูแจก็หัวเราะออกมา ก่อนที่คิ้วหนาจะขมวดเข้าหากันราวกับกำลังจะพูดเรื่องจริงจัง

“ฮันจุนอา*

ฮันจุนรู้สึกคุ้นเคยกับภาพของยูแจในเวลานี้ราวกับว่ามันเป็นเดจาวู

“เรื่องดาวน่ะ…ฉันไม่เคยเห็นมันชัดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะ”

ยูแจยื่นหน้าไปกระซิบกระซาบข้างใบหูของฮันจุนในระยะห่างที่ใกล้กันมากจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ฮันจุนกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับร่างกายที่พลันแข็งทื่อไม่ไหวติง ยูแจคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะขยับถอยออกมาโดยที่สายตายังคงไม่ละไปจากฮันจุน

ฮันจุนพยายามเพ่งสายตามองหาดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิทอยู่พักใหญ่จนยูแจต้องสะกิดแก้มของเขา

“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย นายจะมองอะไรขนาดนั้น”

“จริงๆ แล้วมันก็มีดาวอยู่นะ”

“เฮ้อ…ยังไม่อยากกลับบ้านเลยแฮะ”

ยูแจบ่นพึมพำเบาๆ แม้ปากจะบอกว่ายังไม่อยากกลับ ทว่าริมฝีปากของเขาก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ เขามักจะยิ้มแบบนี้อยู่เสมอเวลามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ฮันจุนจึงถามกลับไป

“ทำไมอะ บรรยากาศที่บ้านนายไม่ค่อยดีหรือไง”

“ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ น่าเบื่อชะมัด”

“…”

“ไว้ครบสามเดือนแล้วฉันจะเลิกเรียนพิเศษพร้อมนาย หลังจากนั้นเราค่อยไปติวที่โรงเรียนด้วยกันดีกว่า”

ถึงยูแจจะไม่ได้พูดมันออกมาตรงๆ แต่ฮันจุนก็เข้าใจสถานการณ์ของอีกฝ่ายได้ในทันที พ่อแม่ของยูแจมักจะพูดเรื่องเงินทองต่อหน้ายูแจเป็นประจำ เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อปีก่อนหลังจากที่ยูแจขอเงินพ่อแม่มาเรียนพิเศษที่ทั้งชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีโอกาสได้เรียนเลยสักครั้ง นับแต่นั้นมาพวกเขาก็มักจะบ่นเรื่องเงินค่าเรียนพิเศษให้ยูแจอึดอัดอยู่เป็นประจำ

“แล้วแต่นายเลย”

แทนที่จะหยิบยกเรื่องนั้นมาซักถามว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยพูดปลอบ ฮันจุนกลับเลือกที่จะทำตัวปกติและคอยอยู่เคียงข้างยูแจเงียบๆ แบบนี้เสมอ เพราะเขาปลอบใครไม่เป็นเลยสักนิด ฮันจุนลุกขึ้นคว้าจับสายชิงช้าของยูแจ ก่อนจะเริ่มออกแรงไกวมัน พลันดวงตาของยูแจก็เบิกกว้างแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเขา

“ทำอะไรของนายน่ะ”

“อยู่เฉยๆ เถอะน่า”

พอพูดจบฮันจุนก็ไกวชิงช้าอย่างเต็มแรงจนเกิดเสียงยามตัวชิงช้าไกวฝ่าสายลม ยูแจพลันคว้าสายชิงช้าเอาไว้แน่นพลางยกขาขึ้นเหยียดไปด้านหน้า ฮันจุนจึงหัวเราะลั่นออกมาจนดังก้องไปทั่วสนามเด็กเล่น

“นี่! หยุดแกว่งได้แล้ว ไอ้บ้า!!”

“ไง? เห็นดาวยัง”

ยูแจส่ายศีรษะไปมาอย่างนึกระอาก่อนจะหัวเราะออกมา ต่อให้ลอยสูงขึ้นไปใกล้ท้องฟ้ามากกว่านี้ก็คงมองไม่เห็นดาวอยู่ดี ทันทีที่ความเครียดมลายหายไป รอยยิ้มอันแสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกครั้ง ฮันจุนคว้าสายชิงช้าเอาไว้ข้างหนึ่งเพื่อหยุดชิงช้าจากนั้นก็ก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย เท้าของยูแจเหยียบลงบนพื้นทรายทันทีที่ชิงช้าหยุดนิ่งอย่างกะทันหัน ก่อนใบหน้าที่ถูกเงาทาบทับของยูแจจะเงยขึ้นสบตากับฮันจุน

สีหน้าผ่อนคลายของยูแจพลอยทำให้คนมองรู้สึกผ่อนคลายขึ้นตามไปด้วย ฮันจุนจึงลูบศีรษะยูแจอย่างเบามือก่อนจะพูดขึ้น

“วันนี้ฉันเพิ่งได้เงินจากพี่ฮยอนแบมา นายอยากกินอะไรไหม”

“แหม ทำเป็นรวยเลยน้า”

ยูแจลุกพรวดขึ้นมาก่อนจะคว้าคอของฮันจุนเข้ามากอดแน่น ทั้งคู่ต่างผลักกันไปมาอย่างหยอกล้อพลางหัวเราะคิกคัก ฮันจุนเดินโซเซไปมาเพราะน้ำหนักตัวของอีกคนที่โถมตัวลงมาพลางคิดว่าทำไมเขาต้องซื้อขนมปังมาให้คนแบบหมอนี่ด้วยนะ

พออีกฝ่ายคว้าคอของเขาเข้าไปกอดไว้แน่น สองกายแนบชิดกันจนลมหายใจของยูแจรินรดลงบนแก้มของเขา ริมฝีปากที่ยังคงมีกลิ่นหอมหวานของน้ำอัดลมยี่ห้อโปรดของเจ้าตัวระเรื่อขึ้นเป็นสีแดงราวกับผลองุ่น

พวกเขาทั้งสองต่างเดินกลับบ้านโดยพยายามก้าวเท้าให้ช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ กว่าจะได้บอกลากัน เงาที่เคยทอดยาวจากปลายเท้าของพวกเขาก็ได้กลืนหายไปกับความมืดมิดในยามค่ำคืนเสียแล้ว

 

* การสอบจำลอง คือการสอบที่ดำเนินการตามรูปแบบของการสอบจริงทุกประการเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม

* ภาวะปวดขาจากการเจริญเติบโต คือภาวะที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดขาที่บริเวณหน้าแข้ง น่องหรือหลังหัวเข่า มักเกิดขึ้นกับขาทั้งสองข้าง โดยพบมากในเด็กเล็กหรือเด็กวัยเรียน

* วอน เป็นสกุลเงินของประเทศเกาหลีใต้

* อา หรือยา เป็นคำลงท้ายเวลาเรียกขานชื่อ ใช้สำหรับคนที่สนิทใจกันเท่านั้น ทั้งนี้โดยปกติทั่วไปแล้วจะไม่มีการแปลคำนี้ออกมาเป็นภาษาไทย เนื่องจากเป็นคำที่ไม่ได้มีความหมายในตัว เป็นเพียงหน่วยคำที่เติมเข้ามาเพื่อบ่งบอกความสนิทสนมระหว่างผู้พูดและคู่สนทนาเท่านั้น เพียงแต่ในเนื้อหาของต้นฉบับเล่มนี้มีจุดที่จำเป็นต้องถอดความโดยทับศัพท์ออกมาเพื่อความเข้าใจในเนื้อหา บริบททางภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีหลักการใช้คือหากท้ายชื่อมีตัวสะกดใช้ อา หากท้ายชื่อไม่มีตัวสะกดใช้ ยา

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: