Chapter 2-5
ร้อนชะมัด…
ฮันจุนไม่ใคร่ชอบปิดเทอมภาคฤดูร้อนเลยสักนิด นับวันเขาก็ยิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ กับการฝืนอดทนต่อความร้อนด้วยน้ำเย็นๆ กับพัดลมหนึ่งตัว ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนเราจะต้องทำอย่างนั้นเพื่อควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทว่ายิ่งแดดแรงมากขึ้น ความชื้นก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ทั่วทุกมุมภายในห้องนั้นร้อนอบอ้าวไปหมดอย่างไม่อาจหาวิธีมาบรรเทาได้ สัปดาห์ที่สองของเดือนสิงหาคม วอลล์เปเปอร์ที่เคยทนทานต่อพายุฝนมาตลอด ตอนนี้กลับเกิดรอยยับย่นเต็มไปหมด
ฮันจุนเลิกเรียนพิเศษแล้ว
เขานึกว่าตัวเองคงจะรู้สึกเหงาขึ้นมานิดหน่อย เพราะสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเสียดายหลังจากเลิกเรียนพิเศษไปก็มีแค่เพื่อนฝูง ทว่าหลายสัปดาห์ผ่านมาจนถึงตอนนี้เขากลับยังคงรู้สึกว้าวุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก และจะยิ่งรู้สึกแบบนั้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นเพื่อนๆ คุยกันเรื่องการบ้านในกรุ๊ปแชตที่เขายังอยู่ในนั้น ในกรุ๊ปแชตยังคงเต็มไปด้วยข้อความหลายสิบข้อความที่ถูกส่งมาในหนึ่งวัน แต่ฮันจุนกลับไม่กล้าที่จะส่งข้อความแทรกเข้าไปร่วมพูดคุยด้วยเลยโดยเฉพาะในวันที่ทุกคนไปเรียนพิเศษ เพราะหัวข้อที่คุยกันมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่สถาบันสอนพิเศษในขณะนั้น อย่างเช่น ‘ไปไหนอะ’ ‘เดี๋ยวฉันไปมาร์ตแป๊บนึง’ ‘ตอนนี้ห้องพวกเราบรรยากาศแย่สุดๆ ไปเลย’
เขาคิดถึงห้องอ่านหนังสือที่สถาบันสอนพิเศษที่เคยไปทุกเช้าในวันหยุดสุดสัปดาห์ แม้ที่ผ่านมาจะเข้าไปใช้ได้ไม่กี่ครั้งก็ตาม เขาต้องกลับมาอ่านหนังสือบนโต๊ะแคบๆ อีกครั้งโดยที่มีเหงื่อไหลอาบทั่วทั้งตัวแทนที่จะได้ไปอ่านบนโต๊ะกว้างๆ ในห้องที่มีอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ
ไม่ว่าเขาจะไปเรียนพิเศษหรือไม่ได้ไปแล้วก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปคือโชยูแจที่คอยอยู่เคียงข้างเขา
ฮันจุนมองโชยูแจที่กำลังนั่งแก้โจทย์พลางเคาะปลายดินสอกดกับริมฝีปาก หยาดเหงื่อไหลลงมาเกาะอยู่บนปลายจมูก เสื้อที่เพิ่งจะเปลี่ยนไปเมื่อครู่เองก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแนบไปกับแผ่นหลัง แม้ว่าวันนี้เจ้าตัวจะอาบน้ำไปตั้งสองครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจหลีกหนีจากความร้อนอบอ้าวนี้ไปได้อยู่ดี ในขณะที่เขากำลังนั่งแก้โจทย์มาได้พักหนึ่ง เขาก็เกิดรู้สึกหงุดหงิดกับปลายนิ้วชื้นเหงื่อที่ติดกับกระดาษอยู่บ่อยครั้งจนนึกอยากจะหยิบกระดาษข้อสอบมาฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วยัดมันเข้าปาก
ฮันจุนเตะขายูแจที่นอนคว่ำอยู่ข้างๆ
“นายไปอ่านที่ห้องอ่านหนังสือของสถาบันเถอะ อย่ามาทนลำบากอยู่ที่นี่เลย”
“ไม่เอาอะ ฉันอึดอัดยุนแชยอง”
ฮันจุนพลันหน้าหงิกขึ้นมาทันทีกับชื่อที่ยูแจเอ่ยถึง
“ก็ตกลงเป็นเพื่อนกันไปแล้วไม่ใช่หรือไง”
“นายคิดว่าเรื่องนั้นมันจะเป็นไปได้จริงดิ”
ยูแจแค่นหัวเราะแล้วย้อนเถียงกลับมา ฮันจุนมองไม่ค่อยเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เพราะยูแจกำลังก้มหน้าจดจ่ออยู่กับหนังสือแบบฝึกหัด ฮันจุนจ้องมองด้านข้างใบหน้าที่ดูเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอยู่ด้วยกันกับแชยองมาตลอดช่วงมัธยมปลายปีสามหรือเปล่า เขาถึงได้รู้สึกว่าคำตอบของยูแจมันช่างใจร้ายใจดำเสียเหลือเกิน
แชยองเพียงแค่บอกความรู้สึกชอบภายในใจออกมา แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถเป็นได้แม้แต่เพื่อน
ฮันจุนพยายามควบคุมสติและความคิดที่เริ่มจะคิดอะไรออกทะเลไปเรื่อย ก่อนจะเริ่มเบนไปถามคำถามอื่น ประจวบเหมาะกับที่เขานึกสงสัยถึงชีวิตของจินฮวานที่ไม่ได้เจอกันอีกเลยหลังจากที่เลิกเรียนพิเศษไปขึ้นมาได้พอดี
“แล้วจินฮวานล่ะ สบายดีไหม”
“ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้ได้ไงอะ”
“ก็สอบของเดือนนี้ หมอนั่นถูกลดลงไปอยู่ห้องสองน่ะ ฉันไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันกับหมอนั่นแล้ว นายลองไปถามอินกยูดูสิ”
ยูแจตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจขณะที่ยังคงโฟกัสอยู่กับโจทย์พาร์ตการคำนวณ
นึกว่าจะเปิดใจสนิทกับจินฮวานแล้วแท้ๆ…
พอลองมาคิดดูแล้ว ยูแจเองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทที่คบกันมานานสักเท่าไร ฮันจุนและยูแจสนิทกันมาตั้งแต่ตอนช่วงมัธยมต้น ดังนั้นถ้ายูแจจะมีเพื่อนสนิทมาก่อนหน้า ฮันจุนเองก็ควรจะต้องเคยได้ยินชื่อเพื่อนสนิทคนนั้นผ่านหูมาบ้าง แต่นี่ฮันจุนกลับไม่เคยได้ยินชื่อใครเลย
ทั้งดาราที่เขาชอบ ทั้งเพื่อนที่เขาสนิท ฮันจุนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย
ไม่รับรู้และไม่เคยได้ยินแม้แต่เรื่องที่พ่อของเจ้าตัวได้เงินมากมายมาจากการเล่นหุ้น
ฮันจุนขีดเส้นใต้เนื้อหาภาษาอังกฤษที่อ่านไม่เข้าใจไว้พลางเอ่ยปากถาม
“นายไม่ได้สนิทกับจินฮวานหรอกเหรอ”
“หืม? อืม…ก็สนิทกันอยู่นะ”
เขาจะไม่ติดใจอะไรเลย ถ้าอีกฝ่ายตอบว่าไม่ แต่นี่ยูแจกลับตอบออกมาแบบนั้นโดยที่ดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยสักนิด
ทั้งที่สนิทกับยุนแชยองและพัคจินฮวานขนาดนั้น แต่ยูแจกลับตอบออกมาราวกับว่าต่อให้วันใดวันหนึ่งต้องลาจากกันไกล เจ้าตัวก็จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ฮันจุนไม่อาจเข้าใจยูแจที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านกับการจากลาทั้งที่ความรู้สึกดีๆ ที่มีร่วมกับคนอื่นนั้นมันทำให้เขามีความสุข ฮันจุนเลือกคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำหนึ่งที่เตะตามา ก่อนจะลากเส้นเป็นวงกลมเน้นย้ำคำนั้นไว้
แม้แต่กับฉันเอง สักวันก็จะเป็นแบบนั้นสินะ?…
ถึงตอนนี้เขาทั้งสองคนจะยังคงเป็นนักเรียน แต่ฮันจุนก็เคยได้ยินมาบ้างว่าพอกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากฐานะทางสังคมและการเงินต่างกันมาก มันก็จะทำให้ความสัมพันธ์นั้นไปต่อด้วยกันได้ยาก
กับซอฮันจุนน่ะเหรอ อืม…ก็สนิทกันอยู่นะ
สนิทแบบที่ไม่ได้รู้สึกอะไร
“ซอฮันจุน สนใจอ่านหนังสือหน่อยสิ”
“ก็อ่านอยู่นี่ไง”
แม้ว่ายูแจจะกำลังมองหน้าหนังสือแบบฝึกหัดอยู่ แต่กลับสังเกตเห็นท่าทีเหม่อลอยของเขาได้อย่างกับมีตาทิพย์ ฮันจุนหันพัดลมให้เป่าจ่อไปทางยูแจ ถึงลมจะไม่แรงเพราะเปิดทิ้งเอาไว้ทั้งวัน แต่ฮันจุนก็หวังว่าอย่างน้อยๆ มันก็น่าจะพอช่วยบรรเทาความร้อนได้บ้าง เพราะถึงเจ้าตัวจะเอาเรื่องยุนแชยองมาอ้าง แต่เขาก็พอจะรู้ว่าที่อีกฝ่ายมาอดทนนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นี่แทนที่จะไปอ่านที่ห้องอ่านหนังสือดีๆ นั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายชอบการที่ได้มานั่งติวหนังสือกับเขา
ยูแจปราดมองพัดลมแวบเดียวก่อนจะยู่จมูกที่ชื้นเหงื่อ
“ปรับให้มันส่ายเลย”
“อยู่ตรงนี้ลมมันก็เป่ามาถึงฉันน่า”
ฮันจุนพูดโกหกออกไปแล้วแอบเขยิบเข้าไปใกล้ยูแจจนไหล่แนบชิดกัน ยูแจค่อยๆ ขยับตัวหนีไปด้านข้างเรื่อยๆ พอจะแกล้งเอาขาไปเกี่ยวไม่ให้อีกฝ่ายขยับหนีไปไกล กลับกลายเป็นว่าเขาขยับมาถึงจุดที่พัดลมเป่าใส่หน้าพอดี
ยูแจวางดินสอกดลงก่อนจะฟุบหน้าลงไปกับพื้น ลำคอเรียวยาวเปียกโชก เสื้อยืดบางๆ แนบไปกับผิวกายจนเห็นกล้ามเนื้อชัดเจน เขาเหยียดแขนบิดขี้เกียจพลางครางเสียงต่ำ พร้อมกับกล้ามเนื้อบริเวณหลังที่กำลังสั่นกระตุกระรัว
“โอ๊ย แม่งเอ๊ย ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันสอบซูนึงเลยก็คงจะดีสิ”
“อยากรีบสอบให้เสร็จไวๆ หรือไง”
“แหงสิ อยากรีบลองลงทะเบียนเรียนเองดูน่ะ ฉันว่าระบบมหา’ลัยแบบนั้นมันดีออก ไม่ต้องลงเรียนวิชาที่ไม่อยากเรียน แถมถ้าเป็นระบบมหา’ลัยล่ะก็ จะดร็อปเรียนวิชาของอาจารย์โอแจพิลเป็นร้อยรอบก็ยังได้”
โอแจพิลคือครูสอนภาษาเกาหลีที่โรงเรียน ยูแจเกลียดสำเนียงการพูดเนิบๆ ของเขาเข้าไส้ ฮันจุนยิ้มก่อนจะเอนตัวลงนอนข้างๆ
“ถ้าได้เข้ามหา’ลัยเดียวกันก็คงจะดีเนอะ”
“ฉันต้องเข้าคณะบริหารฯ ของมหา’ลัยฮันกุกให้ได้ ค่าเรียนก็ถูกแถมยังมีชื่อเสียงอีก เพราะงั้นเลิกคิดเรื่องอื่นแล้วมีสมาธิได้แล้ว”
“ก็มันร้อนอ้า”
ฮันจุนบ่นเสียงยานคาง ห้องที่มีแสงแดดส่องถึงในฤดูร้อนแบบนี้นั้นอบอ้าวมาก และอากาศชื้นๆ นี่ก็ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวกว่าเดิมทุกครั้งยามที่สูดหายใจเข้า ทันทีที่เขายกเท้าเปล่าขึ้นไปพาดไว้บนตัวของยูแจ ยูแจก็ทำเป็นดีดดิ้นกลิ้งหนีไปมา และในขณะที่พวกเขากำลังหยอกเล่นกันอย่างหาสาระไม่ได้มานานหลายนาที ยูแจก็หุนหันผุดลุกขึ้นนั่ง
“นี่ เราไปมังงะคาเฟ่*กันดีไหม”
“มังงะคาเฟ่?”
“อื้อ ตรงสี่แยกหน้าสถาบันสอนพิเศษมีมินิมาร์ตร้านใหญ่ๆ อยู่ แถวนั้นมีมังงะคาเฟ่อยู่ร้านนึง ร้านอยู่ชั้นใต้ดิน ใหญ่โคตรๆ เลยล่ะ”
ฮันจุนค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นเพราะข้อเสนอที่แสนกะทันหันนั้น ซึ่งสถานที่ที่ยูแจพูดถึงนั้น เขาเองก็เคยเดินผ่านอยู่เหมือนกัน
“มังงะคาเฟ่มันเป็นที่สำหรับอ่านหนังสือการ์ตูนไม่ใช่เหรอ”
“แต่ที่นั่นห้ามส่งเสียงดังแล้วก็มีโต๊ะด้วยนะ มันเลยเงียบมาก เลยมีเด็กไปอ่านหนังสือที่นั่นกันเยอะ”
ฮันจุนขบเม้มริมฝีปากอย่างนึกกังวลใจ สถานที่แบบนั้นมันต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นรายชั่วโมงแน่ๆ ช่วงนี้การเงินของบ้านก็ค่อนข้างลำบาก และเงินที่เขามีติดตัวก็มีเพียงแค่หมื่นวอนเท่านั้น มันเป็นจำนวนเงินที่เขาสามารถอยู่ได้จนถึงสัปดาห์หน้า ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องใช้มันเกิดขึ้นเสียก่อน
แต่กระนั้นต่อหน้าคนที่บางทีก็อาจจะไม่ต้องมาคอยนั่งกังวลเรื่องเงินเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อีกต่อไปแล้ว…ต่อหน้าโชยูแจที่ยอมอยู่ข้างๆ อ่านหนังสือด้วยกันในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวขนาดนี้ เขากลับพูดไม่ออกเลยว่ารู้สึกเสียดายเงินค่าธรรมเนียมนั่น
“ราคามันหนึ่งพันแปดร้อยวอนต่อหนึ่งชั่วโมง ถ้างั้นไปนั่งสักสามชั่วโมงกันเถอะ”
ยูแจพูดอย่างตื่นเต้น พออีกฝ่ายเปิดปากพูดเรื่องค่าใช้จ่ายขึ้นมาก่อน ฮันจุนจึงรีบพยักหน้าตอบรับไปทันที เพราะเขาไม่อยากแสดงท่าทางลังเลใจในปัญหาเรื่องเงินให้อีกฝ่ายเห็น
“โอเค แล้วเราจะออกไปกันเมื่อไหร่ล่ะ”
“ตอนนี้เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของวัน ถ้างั้นเราออกไปตอนนี้แล้วค่อยกลับมาก่อนมื้อเย็นกัน เย็นนี้เราทำบิบิมมยอน* กินกันดีไหม”
“อื้อ งั้นเดี๋ยวเราต้มไข่กินกันด้วยดีกว่า”
หลังจากตัดสินใจเสร็จสรรพ พวกเขาก็ลุกขึ้นแล้วเก็บกระเป๋า พวกเขาผลัดกันตะโกนคำว่าร้อนพลางวิ่งออกไปยังประตูหน้าห้อง แล้วก็พลันรู้สึกเย็นขึ้นทันทีที่ก้าวออกมาจากห้อง
ฮันจุนเสิร์ชหารีวิวมังงะคาเฟ่ระหว่างเดินไปท่ามกลางแสงแดดจ้า ตัวร้านนั้นเพิ่งสร้างใหม่ได้ไม่นาน เพียงแค่ได้มองดูรูปภาพ เขาก็รู้สึกสบายปลอดโปร่งขึ้นมาก่อนแล้ว ฮันจุนยกมือขึ้นป้องโทรศัพท์ให้เกิดเงาเพราะแสงแดดสว่างจ้าทำให้เห็นหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ชัดยิ่งกว่าบล็อกรีวิวที่เขากำลังเปิดอยู่เสียอีก ยูแจที่แอบมองอยู่ข้างๆ จึงยกฝ่ามือใหญ่สองข้างขึ้นช่วยบังด้านบนโทรศัพท์ ก่อนที่ฮันจุนระเบิดหัวเราะออกมากับคำพูดของอีกฝ่าย
“มือถือยังมีชีวิตสุขสบายกว่าพวกเราอีก”
เมื่อมาถึงสี่แยกหน้าสถาบันสอนพิเศษ ฮันจุนก็สอดส่ายสายตามองไปยังถนนฝั่งตรงข้ามอย่างนึกอะไรขึ้นได้ สมัยที่ติวหนังสืออยู่ที่ห้องอ่านหนังสือในวันหยุดสุดสัปดาห์นั้น ในทุกๆ หนึ่งชั่วโมงจะมีเวลาพักสิบนาที ตอนนี้ตัวเลขบอกนาทีขึ้นเลขห้าสิบห้าซึ่งเป็นเวลาพักพอดี เขาจึงกังวลกลัวว่าจะเจอเพื่อนที่สถาบัน และเขาก็ได้เห็นหลายคนที่มีใบหน้าคุ้นเคยยืนอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามพอดี
ทันใดนั้นจู่ๆ ฮันจุนก็สังเกตเห็นว่าสายตาของยูแจกำลังโฟกัสอยู่ที่ที่หนึ่ง พอเขาหันมองไปยังทิศทางเดียวกัน เขาถึงได้เห็นว่าจินฮวานกำลังยืนอยู่ตรงหน้ามินิมาร์ตที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“ทางนี้”
ยูแจจับต้นคอของเขาดึงเข้าหาตัว ก่อนจะเลื่อนแขนมาโอบไหล่เขา สายตาของเขาพลันพร่าเลือนเมื่อทรงตัวไม่อยู่จนตัวเอนไปด้านหน้า
ไม่เห็นจินฮวานหรือไง หรือเห็นแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น? ถึงแม้ว่าตรงนี้มันจะอยู่ไกลเกินกว่าที่จะต้องแสร้งทำเป็นรู้จักก็เถอะ
ฮันจุนคิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวตลอดเวลาที่เดินตามแรงของอีกฝ่ายไปเงียบๆ คำถามมากมายผุดขึ้นมาและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
พอเปิดประตูร้านมังงะคาเฟ่เข้าไป เขาก็รู้สึกหายใจคล่องขึ้นมาทันทีราวกับอากาศเย็นฉ่ำนั้นกระแทกเข้าที่ใบหน้าเขาอย่างจัง ฮันจุนสูดลมหายใจเข้าลึกจนหน้าอกขยายขึ้น ยูแจเองก็สูดหายใจเข้าลึกตามฮันจุน จากนั้นพวกเขาก็รีบเปลี่ยนรองเท้าแล้วเข้าไปด้านใน
มังงะคาเฟ่กว้างขวางกว่าในรูปภาพมาก เขามองเห็นผู้คนนั่งห่มผ้าห่มเพราะอากาศที่หนาวเย็น ในขณะที่หยาดเหงื่อกำลังค่อยๆ เหือดแห้ง เขาก็เริ่มรู้สึกเย็นยะเยือกจนตัวสั่น ฮันจุนยกหมัดทุบยูแจที่แกล้งทำเป็นตัวสั่นตามเขา
พวกเขาหยุดแหย่แกล้งกันแล้วมาหยุดยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ บนป้ายเมนูมีทั้งเครื่องดื่มและอาหารมากมายหลายอย่างเขียนเอาไว้
“อยากสั่งเครื่องดื่มไรไหม”
ฮันจุนมองป้ายเมนูเมื่อยูแจถามขึ้น นอกจากค่าธรรมเนียมเข้าใช้บริการแล้วยังระบุไว้อีกว่าจำเป็นต้องซื้อเครื่องดื่มหนึ่งแก้วต่อหนึ่งคน
ฮันจุนจ้องมองป้ายเมนูอยู่พักใหญ่ พวกน้ำโซดาผสมน้ำผลไม้หรือน้ำผลไม้ ราคาอยู่ที่ประมาณสามพันวอน ส่วนอเมริกาโน่นั้นราคาถูกสุดอยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยวอน ถ้ารวมค่าธรรมเนียมเข้าใช้บริการแล้วก็จะเป็นเงินเกือบเจ็ดพันวอน ปกติแล้วแม้แต่กาแฟสำเร็จรูปเขาก็ไม่ค่อยดื่ม ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องรสชาติกาแฟสักเท่าไร
หรือจะใช้โอกาสนี้ลองกินดูสักครั้งดีนะ
“เอาเลมอนเนดสองแก้ว สองคน สามชั่วโมงครับ”
ยูแจสั่งโดยไม่รีรออีกต่อไป ฮันจุนชะงักพลันรีบควักธนบัตรที่พับใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาให้
“นี่ นายจ่ายให้ฉันทำไม เอ้านี่ หมื่นวอน”
“ฉันขอข้าวบ้านนายกินทุกวัน แถมวันนี้ยังจะขอกินบิบิมมยอนฟรีๆ อีก ฉันเองก็ต้องมีความละอายใจบ้างไม่ใช่หรือไง”
ยูแจกลับทำเป็นหัวเราะพลางเอ่ยปากขอบคุณ ฮันจุนค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดกันยุ่งเมื่อนึกถึงตอนที่เขาถือไข่สองฟองด้วยมือข้างเดียวที่จะเอาไปต้มกินด้วยกัน
มันคงจะดี หากยูแจใช้โอกาสนี้พูดออกมาว่า ‘ตอนนี้สถานการณ์ที่บ้านฉันเริ่มโอเคขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก’ แล้วก็ตบท้ายด้วยการพูดล้อเล่นว่า ‘เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองสักมื้อน่า’
ทว่ายูแจกลับรับเครื่องดื่มมาแล้วยื่นให้โดยไม่พูดไม่จาอะไรมาก ฮันจุนเดินตามเขาไปท่ามกลางชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูน ที่นี่สามารถอ่านการ์ตูนได้ทั้งในโถงที่เปิดโล่ง และสามารถนอนอ่านได้ในห้องเล็กๆ ที่แบ่งออกเป็นห้องๆ ด้วยฉากกั้น ดูเหมือนว่ายูแจจะอยากได้พื้นที่ที่สามารถนอนเล่นได้ เจ้าตัวจึงได้ไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องที่มีฉากกั้นซึ่งเป็นพื้นต่างระดับที่ถูกยกสูงขึ้นมา
“พวกเราเข้าไปนั่งในนี้กันไหม มันดูอุ่นสบายโคตรๆ เลยอะ”
“แต่ถ้าจะอ่านหนังสือ อ่านที่โต๊ะข้างนอกตรงโน้นมันจะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าจะอ่านตรงนี้พวกเราต้องนอนอ่านอย่างเดียวเลยนะ”
“ก็นอนเล่นสักสามสิบนาทีแล้วค่อยออกมาก็ได้นี่ เอาไง”
“เอางั้นเหรอ”
ผ้าห่มกับเบาะรองที่ถูกเตรียมเอาไว้อย่างครบครันนั้นดูล่อตาล่อใจเป็นอย่างยิ่ง ฮันจุนกับยูแจย่อตัวคลานเข้าไปข้างใน พวกเขาเหยียดตัวนอนในพื้นที่ที่ค่อนข้างคับแคบและไม่สามารถลุกยืนได้เพราะเพดานค่อนข้างต่ำ พวกเขาทั้งคู่เอนตัวลงนอนได้พอดิบพอดีกับห้องเพราะต่างก็ตัวใหญ่ด้วยกันทั้งคู่
เพราะความคับแคบ ยูแจที่นอนอยู่ข้างกันจึงอยู่ใกล้กับเขามาก มันชวนให้เขารู้สึกแปลกๆ ที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายในพื้นที่คับแคบทุกทิศทางมากกว่าอยู่ในห้องกว้างๆ และยิ่งรู้สึกแปลกมากขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาใช้ผ้าห่มร่วมกันเพราะลมจากแอร์ที่เย็นฉ่ำ
“เมื่อก่อนฉันเคยอ่านเว็บตูนอยู่สองสามเรื่อง ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีไหม” ฮันจุนลองหยิบยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดคุย
“ห้ามอ่านการ์ตูน”
“ยังไงตอนนี้ก็ทำได้แค่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่แล้ว ทำไมจะอ่านการ์ตูนไม่ได้อะ”
“อ้า เย็นสบายจัง นายน่ะ มานี่เร็ว”
ยูแจดึงผ้าห่มมาคลุมให้ถึงหน้าท้องของฮันจุนพร้อมกับจัดชายผ้าห่มให้อย่างดี เพราะผ้าห่มนั้นผืนเล็กจึงทำให้เท้าของฮันจุนนั้นเลยออกมา ภายใต้ผ้าห่มที่พวกเขาทั้งสองนอนอยู่เคียงข้างกันนั้นช่างอบอุ่น ยูแจกำลังนอนหลับตานิ่งโดยไม่แม้แต่จะเล่นมือถือ
ฮันจุนทอดสายตามองแพขนตาหนากับคิ้วที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบก่อนจะส่งเสียงบ่นพึมพำขึ้น
“แคบจัง”
“อืม”
ยูแจตอบกลับโดยไม่ลืมตา ฮันจุนไม่สามารถทนนอนอยู่เฉยได้จึงพูดออกไปเรื่อยเปื่อย
“ดาราคนโปรดของนายคือใครงั้นเหรอ”
“อยู่ดีๆ ทำไมถึงถามเนี่ย”
“แล้วมีหรือไม่มีล่ะ”
“อืม…”
ยูแจขมวดคิ้วมุ่นพลางใช้เวลาคิดอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดพอเขานึกออกแล้วก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับทำตาเปล่งประกาย
“ยอจูฮี นักแสดงคนนั้นไง ที่แสดงซีรี่ส์เรื่องที่พวกเราเคยดูด้วยกันตอน ม.ต้น อะ”
“อ๋า นึกออกแล้ว คนที่แสดงเป็นนักเปียโนสินะ?”
“อื้อ นิ้วเรียวยาว ตัวสูง แถมยังสวยอีก”
ยอจูฮีเป็นนักแสดงที่มีรูปร่างผอมสูงและมีหน้าตาพิมพ์นิยมแบบคนเมือง เธอมีสไตล์ที่แตกต่างจากยุนแชยองซึ่งเป็นสไตล์น่ารักๆ โดยสิ้นเชิงจนเขาคาดไม่ถึง ฮันจุนกระดิกนิ้วเท้าไปมาพลางเอ่ยปากถาม
“นายปฏิเสธแชยองไปเพราะเรื่องสอบซูนึงเหรอ”
“อืม”
“แล้วหลังจากสอบเสร็จล่ะ”
ยูแจทำหน้ายุ่งขึ้นทันที
“สอบเสร็จแล้วมันยังไง”
“นายจะรับรักเธอไหม”
“นายไม่คิดว่ามันตลกไปหน่อยเหรอที่ปฏิเสธไปแล้วรอบนึง แต่ดันมารับรักเอาทีหลังน่ะ?”
“งั้นสินะ”
“ปฏิเสธไปแล้วครั้งนึงก็ไม่มีอะไรให้ต้องยืดเยื้อกันอีกแล้ว”
ยูแจหลับตาอีกครั้งพลางพูดขึ้น สีหน้าสบายใจราวกับไม่คิดอะไรของเขาดูไม่เข้ากับคำตอบนั้นเลยสักนิด ฮันจุนนึกถึงแชยองขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนกับว่ายังคงมีเรื่องคาใจอยู่จึงอดถามออกไปไม่ได้
“อย่างน้อยๆ เป็นเพื่อนกันก็ได้นี่”
ยูแจยกมือขึ้นก่ายหน้าผากพลางส่ายศีรษะไปมาน้อยๆ
“ดูท่าแม้แต่สถานะเพื่อนฉันยังเป็นให้เธอไม่ได้เลย”
“ทำไม”
“แชยองอยากเข้าเรียนรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ใช่หรือไง ถึงคณะมันจะเป็นแค่คณะ แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอกับฉันคงจะไม่ได้เรียนมหา’ลัยเดียวกัน เพราะงั้นอีกหน่อยก็คงจะห่างกันไปเองไม่ใช่หรือไง”
“…”
“แถมยัยนั่นก็ทั้งสวยทั้งฮอต เข้ามหา’ลัยไปแล้วเดี๋ยวก็คงจะเจอคนดีๆ เองนั่นแหละ”
แชยองน่ะคงจะสบายดีแน่ๆ อยู่แล้ว ฉันไม่ได้สงสัยเรื่องเธอเลยสักนิด ที่ฉันสงสัยน่ะมันนายต่างหากล่ะ…โชยูแจ ฉันสงสัยที่นายสามารถเปลี่ยนท่าทีและสีหน้าได้ในชั่วพริบตาเดียวขนาดนั้น นายพูดเรื่องนั้นเหมือนกับว่าเป็นเรื่องของใครคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวนายได้อย่างหน้าตาเฉย เพียงเพราะแค่นายไม่ได้รับรักเธอ
ถึงเขาจะคิดแบบนั้น ทว่าคำพูดนั้นมันก็แรงเกินกว่าที่จะพูดมันออกไปได้ ต่อให้พวกเขาจะสนิทกันมากแค่ไหนก็ตาม ฮันจุนเริ่มจินตนาการถึงชีวิตในมหาวิทยาลัยที่เขาคอยวาดฝันไว้ทุกวันอีกครั้ง ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่เขาเคยฝันถึงมานับครั้งไม่ถ้วนนั้น ต่อให้หลับตาลง ก็ยังสามารถจินตนาการภาพภายในหัวได้อย่างชัดเจน
และแล้วคำถามใหม่ๆ ก็ผุดขึ้นมาจากจินตนาการอันแสนคุ้นเคย
แล้วตัวฉันเองจะได้เจอคนดีๆ ในรั้วมหา’ลัยไหมนะ หากได้เจอผู้คนมากมายในโลกใบที่กว้างกว่าเดิม ฉันจะสามารถจัดการกับความรู้สึกนี้ได้หรือเปล่า
“ถ้าเข้ามหา’ลัยแล้วทุกคนก็คงจะมีนัดบอดกัน แล้วในคณะก็คงจะมีคู่รักวัยมหา’ลัยเยอะแยะไปหมดแน่ๆ เห็นเขาว่ากันว่าช่วงเป็นนักศึกษาใหม่ๆ ทุกคนต่างก็แทบจะกินนอนอยู่ที่มหา’ลัยเลยล่ะ”
พอฮันจุนพูดขึ้น ยูแจก็พูดเสริม
“ใช่ ได้ยินมาว่าในวงเหล้าก็สนุก ว่าแต่ฉันจะดื่มเก่งไหมนะ จะดื่มได้มากสุดเท่าไหร่กัน”
“เดี๋ยวปีหน้าก็คงได้รู้เองนั่นแหละ”
“นายว่าฉันกับนายใครจะดื่มเก่งกว่ากัน ดูยังไงก็น่าจะเป็นนายแหละ”
“ใส่ร้ายกันนี่หว่า”
“อะไรกัน นี่นายคิดว่าฉันจะดื่มเก่งกว่าหรือไง”
“เข้ามหา’ลัยแล้วก็ลองมาดื่มด้วยกันดูสิ”
“แหม”
ยูแจหัวเราะคิกคัก เสียงหัวเราะค่อยๆ เบาลง ไม่นานนักเสียงที่เข้ามาแทนที่ก็คือเสียงลมหายใจ ฮันจุนปรับลมหายใจให้สงบนิ่งพลางมองใบหน้าด้านข้างของยูแจ สีหน้าของยูแจยามหลับตาอยู่นั้นดูผ่อนคลายไร้กังวล
เขามองใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น ก่อนจะพิศดูข้อนิ้วแต่ละข้อและมือหนาที่วางอยู่บนหน้าท้อง เรื่อยไปจนถึงเส้นผมสีเข้มนุ่มลื่นที่ความชื้นจากเหงื่อเหือดแห้งไปแล้ว คงเป็นเพราะเขาใช้แขนนอนตะแคงหนุนต่างหมอน หูข้างหนึ่งของเขาจึงถูกทับไว้อยู่ เขาจึงได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นเป็นจังหวะ
เขาสัมผัสได้ถึงความสงบนิ่งจากชีพจรที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาจึงนอนอยู่ท่าเดิมสักพักจนกระทั่งโทรศัพท์ที่อยู่ในมือสั่น
ข้อความสามข้อความถูกส่งเข้ามาในกรุ๊ปแชต และคนที่ส่งมาก็คือแชยอง
ยุนแชยอง
นี่ๆๆ พวกนายมาที่สถาบันสอนพิเศษเหรอ เมื่อกี้จินฮวานบอกว่าเห็นพวกนายอะ (3.35 PM)
ฮันจุน
(3.36 PM) เปล่า ตอนนี้พวกเราแค่มาติวหนังสืออยู่มังงะคาเฟ่แถวๆ นี้
ยุนแชยอง
โห ไอ้พวกคนทรยศ~ ฉันก็อยากไปด้วยอะ (3.36 PM)
ฮันจุน
แต่ตอนนี้พวกเราไม่ได้อ่านหนังสือนะ กำลังนอนเล่นกันอยู่ 555
(3.37 PM) เธอไม่ต้องมาหรอก อ่านหนังสือของเธอไปเถอะ
ยุนแชยอง
พวกนายเล่นกันอยู่แค่สองคนอะㅠㅠ (3.38 PM)
อีอินกยู
โชยูแจ นายกำลังทัวร์เที่ยวสถานที่ฮอตฮิตแถวนี้ก่อนย้ายบ้านหรือไง 555
คราวก่อนก็ร้านพิซซ่า รอบนี้ก็ร้านมังงะคาเฟ่ ร้านดังๆ ทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอนั่นน่ะ (3.38 PM)
ในระหว่างที่กำลังตอบแชตที่คุยกับแชยอง ข้อความของอีอินกยูก็เด้งขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าของฮันจุนค่อยๆ เลือนหายไป เขาอ่านข้อความนั้นใหม่อีกครั้ง แม้จะอ่านมันซ้ำๆ หลายครั้ง แต่เนื้อหาที่เขาเข้าใจในวินาทีแรกที่อ่านนั้นถูกต้องแล้ว
ฮันจุน
(3.42 PM) ย้ายบ้าน?
ทั้งๆ ที่รู้ว่ายูแจจะเห็นข้อความที่เขาส่งเข้าไปในห้องแชตนั้น แต่ฮันจุนก็ไม่สนใจ เพราะความร้อนใจที่เพิ่มมากขึ้นจนรู้สึกปวดแปลบตรงขมับทำให้เขาไม่อาจอดรนทนนอนต่อไปได้อีก เขาลุกขึ้นนั่งแล้วส่งข้อความไปอีกครั้งหนึ่ง
ฮันจุน
(3.43 PM) ยูแจจะย้ายบ้านงั้นเหรอ?
อีอินกยู
ก็ใช่น่ะสิ (3.44 PM)
นายเป็นคนที่หมอนั่นสนิทที่สุดแล้วทำไมไม่รู้อะไรเลยล่ะเนี่ย 555555 ก็บ้านยูแจได้เงินหุ้นมาเยอะเลยจะย้ายบ้าน ได้ข่าวว่าจะย้ายไปอยู่คอนโดที่เพิ่งสร้างใหม่อะ (3.45 PM)
อีอินกยูส่งข้อความนั้นมาเป็นข้อความสุดท้ายแล้วหายเงียบไป ฮันจุนเหม่อมองกรุ๊ปแชตที่ไม่มีใครพิมพ์อะไรส่งมาอีกทั้งที่คนอื่นๆ อ่านข้อความกันหมดแล้ว เว้นเสียแต่ยูแจคนเดียวที่ยังไม่ได้อ่าน
นายเป็นคนที่หมอนั่นสนิทที่สุดแล้วทำไมไม่รู้อะไรเลยล่ะเนี่ย
ฮันจุนลองครุ่นคิดเกี่ยวกับคำตอบของคำถามนั้น ก่อนที่สายตาของเขาจะไปหยุดอยู่ที่แก้วเลมอนเนดซึ่งวางอยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะพยายามทำความเข้าใจ แต่มันกลับไร้ประโยชน์ ความขุ่นเคืองในใจที่พลุ่งพล่านขึ้นมานั้นมันไม่ลดลงไปเลย
“นี่ โชยูแจ”
ฮันจุนเขย่ายูแจอย่างแรงเพื่อปลุกเขา ยูแจที่เผลอหลับไปได้แป๊บเดียวลืมตาตื่นขึ้นทันที ดวงตาที่ยังฉายแววง่วงงุนกะพริบปริบๆ ก่อนจะปรับโฟกัสจนมองเห็นฮันจุนที่กำลังขมวดคิ้วยุ่ง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นอะ”
“นายกำลังจะย้ายบ้านเหรอ”
แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ส่วนลึกในใจของเขาก็ภาวนาหวังให้อีกฝ่ายพูดปฏิเสธออกมา เขาไม่อยากจะยอมรับความจริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมบอกเรื่องที่ไม่ว่าใครก็รู้กับเขาแค่คนเดียว มันเจ็บปวดเกินไปเมื่อเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกกันนั้นมันชัดเจนเสียจนไม่อาจคิดหาข้อแก้ตัวอื่นใดได้
วินาทีนั้นยูแจกลับอ้าปากค้างราวกับพูดไม่ออก
“เฮอะ…”
ฮันจุนฝืนหัวเราะอย่างหน่ายใจพลางใช้ข้อศอกหยัดกายลุกขึ้น สีหน้าของเขาแสดงออกมาว่าไม่อยากจะเชื่อมากกว่าจะรู้สึกสับสนเสียอีก
“ไอ้เวรตัวไหนวะ แม่งเอ๊ย…ทำไมทุกคนถึงได้แหกปากพูดไปทั่วขนาดนั้นวะ”
“คิดจะบอกฉันเมื่อไหร่”
“นายถามว่าฉันคิดจะบอกนายเมื่อไหร่งั้นเหรอ ฉันไม่เคยบอกใครด้วยซ้ำ”
ยูแจถามกลับไปอย่างใจเย็นก่อนจะถอนหายใจ ฮันจุนขบฟันแน่นสะกดกลั้นกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่เขาไม่คาดคิด
นึกว่าจะเอ่ยปากขอโทษแล้วอธิบายออกมาตรงๆ เสียอีก
“ใครบอกนายมา”
ยูแจถามอย่างหงุดหงิด ก่อนที่ข้อความใหม่จะเด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่เพิ่งหยิบมาถือ ขณะที่เขาเสยผมขึ้นแล้วอ่านข้อความนั้น ฮันจุนก็คว้ากระเป๋าแล้วออกไปนอกฉากกั้น
“นี่ ซอฮันจุน!”
แม้ยูแจจะเรียก แต่ฮันจุนก็ไม่หันหลังกลับไป เขาสวมรองเท้าผ้าใบอย่างเร่งรีบแล้ววิ่งขึ้นบันได ก่อนจะก้าวเท้าเดินฉับๆ ออกไปภายใต้แสงอาทิตย์จ้า แสงแดดร้อนระอุสาดส่องลงมาบนต้นคอที่เย็นเฉียบ ฮันจุนพยายามกดความขุ่นเคืองและความร้อนรุ่มในอก โดยฝืนใจโทษว่าเป็นเพราะอุณหภูมิที่สูงลิบนี่
เดินไปได้ไม่นาน ยูแจก็วิ่งตามมาจับตัวเขาไว้ได้ทัน ยูแจถามขึ้นทั้งที่ยังหอบหายใจ
“นี่ เงินก็จ่ายไปแล้ว นายจะไปไหน”
“เอ้านี่ เงินที่นายจ่ายแทนฉัน ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องมาใส่ใจอะไรฉันอีก เชิญอ่านหนังสือในที่ที่เย็นสบายไปคนเดียวเถอะ”
ฮันจุนหยิบเงินหมื่นวอนยัดใส่มือของยูแจ เขารู้สึกเหมือนหัวใจแตกสลายยามสบตากับอีกฝ่ายที่มองมาราวกับว่าไม่เข้าใจอะไรเลย ฮันจุนรีบเร่งฝีเท้าเดินอีกครั้ง ขณะที่ยูแจตะโกนขึ้นมาจากด้านหลัง
“นายเป็นอะไรของนายน่ะ เพราะแค่ฉันไม่ได้บอกว่าจะย้ายบ้านงั้นสินะ? ฉันไม่ได้จะย้ายตอนนี้สักหน่อย แค่วางแผนไว้ก็เท่านั้น ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ!”
ฮันจุนชะงักกึกแล้วหันหลังกลับไป ไม่ว่าแผนที่วางไว้จะชัดเจนหรือไม่ชัดเจน หรืออีกฝ่ายจะย้ายไปวันพรุ่งนี้ นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เขารู้สึกโมโหอย่างมากที่เห็นอีกฝ่ายยืนพักเท้าข้างหนึ่งราวกับไม่รู้เลยว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกแย่อยู่ตอนนี้
ยูแจหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อฮันจุนเดินเข้ามาใกล้ ฮันจุนจ้องมองยูแจเขม็งโดยไม่คิดจะหลบสายตาพลางเปิดปากพูด
“ฉันได้ยินมาว่าหุ้นของพ่อนายไปได้สวย”
ยูแจหลับตาลงอย่างเชื่องช้าก่อนจะลืมตาขึ้น แววตานั้นดูไม่ได้ฉายแววตื่นตระหนกตกใจเลยแม้แต่น้อย ฮันจุนจึงพลอยรู้สึกโกรธกับท่าทางนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านนั้นมากขึ้นไปอีก เขาพยายามควบคุมลมหายใจ เพราะไม่อยากลนลานร้อนใจไปเองคนเดียว
“ทำไมถึงไม่บอกกัน คงกลัวว่าฉันจะอิจฉาสินะ?”
“…”
“ฉันเองก็อยากจะแสดงความยินดีกับนายจากใจจริงเหมือนกันนะ เวลาจะซื้ออะไรสักอย่างกิน นายก็มักจะวุ่นคิดมากคำนวณเรื่องเงินในหัวจนแทบบ้า”
ฮันจุนหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพราะก้อนสะอื้นที่ตีขึ้นมาจุกอก ก่อนจะนึกถึงเลมอนเนดที่ยังไม่ทันได้แตะขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนไข้ขึ้น ความชื้นสูงทำให้หลอดลมตีบ ราวกับว่าความชุ่มชื้นที่ลอยอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเกาะอยู่บนผิวจนรู้สึกเหนอะหนะ
ฮันจุนรู้สึกเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรงภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เขาพูดออกมาเบาๆ ด้วยเสียงแตกพร่า
“…ฉันรู้ดีกว่าใครๆ ว่ามันเป็นเรื่องที่เหนื่อยยากมากแค่ไหน พอได้เห็นว่านายไม่ต้องลำบากแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ฉันก็รู้สึกดีใจอย่างกับว่าตัวเองจะได้สุขสบายไปพร้อมกับนาย”
“แล้วทำไมนายต้องโมโหกันด้วยล่ะ”
“นายควรเป็นคนบอกฉันด้วยตัวเองไม่ใช่หรือไง!”
ยูแจถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ เขาขยับกระเป๋าที่สะพายลวกๆ ไว้ตรงไหล่ข้างหนึ่งและถ่ายน้ำหนักจากขาซ้ายไปขาขวาพลางลอบเลียริมฝีปากบนโดยที่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่อีกพักหนึ่ง
ยูแจถอนหายใจเบาๆ ขณะที่กำลังพยายามคิดหาคำที่จะพูดออกมา หลังจากที่ส่ายศีรษะไปมาด้วยความหงุดหงิด ยูแจก็เงยหน้าขึ้น แววตาของยูแจที่สบกับดวงตาของฮันจุนนั้นพลันเย็นเยียบ
“นายรู้ไหมว่าพ่อแม่ฉันจับมือถือและเอาแต่โทรไปพล่ามโอ้อวดชาวบ้านเขาทั้งวัน และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมข่าวมันถึงกระจายไปทั่ว นอกจากนายแล้ว ฉันเคยไปคุยเล่นอะไรกับใครที่ไหนล่ะ ฉันไม่เคยแง้มปากพูดเรื่องนั้นเลยแม้แต่คำเดียว”
“…”
“ลองมองกลับกันดูบ้างสิ ตอนนั้นแม่นายล้มเลิกอาชีพที่เคยทำมาตลอดค่อนชีวิต นายจะให้ฉันไปพูดจาโอ้อวดแล้วหวังคำยินดีจากนายหรือไง ถ้าเป็นนาย นายจะทำอย่างนั้นกับฉันเหรอ”
ต่อให้บอกว่าลองสลับฝั่งกัน แต่ความคิดของฮันจุนก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ตัวเขาเองก็พร้อมที่แชร์เรื่องราวดีๆ กับยูแจและก็หวังให้อีกฝ่ายดีใจกับเขาด้วยเสมอ เขาไม่ได้คิดว่าการบอกเล่าเพื่อแบ่งปันเรื่องราวดีๆ จะถูกบิดเบือนเป็นการโอ้อวดไปได้ และเขาก็หวังมาเสมอว่ายูแจจะเป็นอย่างนั้น
ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา…
เขาอยากจะร่วมสุขและยินดีกับเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่าที่จะเอาแต่รับคำปลอบโยนยามรู้สึกเหนื่อยยากและลำบากใจ ฮันจุนพยายามสูดลมหายใจที่แสนหนักอึ้งเข้าลึก ก่อนจะพรูมันออกมายาวๆ
“ถ้างั้นแล้วนายคิดจะบอกกันเมื่อไหร่ คิดจะบอกหลังจากที่คนทั้งโรงเรียนรู้กันหมดแล้ว หลังจากย้ายไปแล้ว หรือว่าหลังจากแม่ฉันหางานใหม่ที่มั่นคงได้แล้วกันล่ะ”
“นายกำลังบอกว่าไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องพูดอย่างงั้นสินะ?”
“ยังไงซะตอนนี้ฉันก็รู้แล้วล่ะ แต่นายคงไม่รู้หรอกใช่ไหมว่าคนอื่นเขาพูดถึงฉันว่ายังไงที่คนทั้งโรงเรียนรู้ แต่มีแค่ฉันที่ไม่รู้น่ะ ทุกคนเอาแต่พูดว่าทำไมคนอย่างฉันถึงไม่รู้ แล้วนายคิดบ้างไหมว่าฉันจะรู้สึกยังไง”
“แล้วทำไมนายต้องอารมณ์เสียขนาดนั้น รู้เรื่องน้อยกว่าคนอื่นแล้วมันทำไม รู้น้อยกว่าก็มีเรื่องให้เหนื่อยใจเหนื่อยสมองน้อยกว่าไม่ใช่หรือไง ขนาดฉันยังเบื่อเลยเวลาที่ต้องมาได้ยินอะไรที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะถามน่ะ นายคงคิดว่านั่นคือทั้งหมดที่ฉันไม่ได้บอกนายงั้นสินะ?”
ยูแจขบกรามถามออกไปด้วยเสียงลอดไรฟันในประโยคสุดท้าย เขารู้สึกถึงความร้อนที่พลุ่งพล่านจนขอบตาแดงก่ำกับแรงอารมณ์ที่ค่อยๆ พุ่งสูงขึ้น
“ห้องของฉันมันไม่เก็บเสียง ทั้งเรื่องไร้สาระที่พ่อกับแม่ฉันโทรไปโอ้อวดใครต่อใคร ทั้งเรื่องที่บ้านฉันเริ่มไปทะเลาะกับพวกครอบครัวที่เขามีเงินอยู่แล้ว ไหนจะเรื่องที่แม่ของนายเอามาเล่าให้แม่ฉันฟัง มันละเอียดยิบแม้แต่เรื่องสถานการณ์ภายในบ้าน ฉันต้องทนได้ยินมันทั้งหมดโดยที่ไม่มีสิทธิ์เลือกเลยด้วยซ้ำ”
“…”
“บางทีฉันอาจจะรู้สถานการณ์ในบ้านนายดีมากกว่านายอีก”
‘สถานการณ์ในบ้านนาย’
ฮันจุนกลั้นลมหายใจที่เริ่มไม่เป็นจังหวะ ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องลงมา เขารู้สึกร้อนรุ่มราวกับว่ากำลังมีไฟสุมอยู่ในอก แค่เพียงผ่อนลมหายใจ เขาก็รู้เจ็บแปลบตรงหน้าอกจนไม่อาจขยับกายได้เลย
ถ้าหากวันไหนที่แม่เหนื่อยอ่อนหมดเรี่ยวหมดแรงกลับห้องมา แม่ก็มักจะเอาแต่จับมือถือเป็นชั่วโมงและขังตัวเองไว้ในห้อง เรื่องที่แม่เขาเล่าให้แม่ของยูแจฟังมันละเอียดจนสามารถจินตนาการเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นฉากๆ เขาปลอบใจตัวเองและพยายามแสดงว่าไม่เป็นไรออกมาตลอดเพราะคิดว่านั่นคือความห่วงใยของยูแจ แต่ท้ายที่สุดแล้วเนื้อแท้ของมันก็ยังคงเหมือนเดิม ฮันจุนค่อยๆ ก้มหน้าลงอย่างเชื่องช้า
“สถานการณ์บ้านฉันมันเป็นยังไง”
ลำคอนั้นแห้งผากจนเสียงสั่นพร่า ยูแจที่ยืนมองอยู่เงียบๆ จึงโอนอ่อนยอมถอยออกมาก่อนก้าวหนึ่ง
“เราหยุดพูดเรื่องนี้กันเถอะ”
“ทำไม ไหนๆ จะพูดแล้วก็พูดให้มันจบสิ”
ฮันจุนคว้าแขนแล้วกระชากรั้งยูแจที่กำลังจะหันหลังเดินหนีเอาไว้ เขาอยากฟัง ‘เรื่องที่ต้องมาได้ยินทั้งที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะถาม’ ที่ยูแจไม่เคยเล่ามาก่อนจะแย่อยู่แล้ว
“สถานการณ์บ้านฉันมันน่าสมเพชขนาดที่นายต้องสังเกตท่าทีสีหน้าของฉันก่อนจะเล่าเรื่องน่ายินดีต่อหน้าฉันเลยหรือไง”
“ใช่”
ยูแจกัดฟันตอบกลับไปทันที เขาก้มลงมองดูแขนที่ถูกจับเอาไว้แน่นแล้วก้าวเท้าเดินไปตามทิศที่ถูกฮันจุนออกแรงดึงไป ก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ใกล้ฮันจุนที่กำลังทำหน้าเคร่งเครียดแล้วพ่นคำพูดที่อัดอั้นเอาไว้ออกมาจนหมด
“นายรู้หรือเปล่าว่านายต้องออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกทันทีหลังจากนายสอบซูนึงเสร็จ”
“…”
“แม่นายจะเอาเงินประกันไปหาห้องเช่าให้นายแล้วจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เห็นบอกว่าอาจจะทำงานหาเงินที่ร้านอาหารแถวนั้น”
ฮันจุนพลันฉุกคิดถึงเรื่องออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกที่ยูแจเคยพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฮันจุนเคยจินตนาการภาพที่พวกเขาได้อาศัยอยู่ด้วยกันเพราะคำชวนของอีกฝ่ายอยู่ช่วงหนึ่ง
“แล้วจะให้ฉันบอกนายว่าฉันมีแพลนจะย้ายไปอยู่คอนโดฯ ดีๆ ทั้งที่บ้านฉันเองก็ยังไม่ทันคอนเฟิร์มเลยเนี่ยนะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าถ้านายเป็นฉัน นายจะทำแบบนั้นได้ลงคอไหม แต่สำหรับฉัน ฉันทำไม่ได้แน่ๆ”
ฮันจุนปล่อยแขนยูแจที่คว้าจับเอาไว้แน่น ทว่ายูแจก็ยังไม่ยอมถอยออกไป
“นายคงคิดว่าเรื่องที่ฉันได้ยินมีแค่นี้สินะ? ห้องนายค้างค่าเช่าถึงขนาดที่ดีไม่ดีอาจจะโดนยึดห้อง เห็นแม่นายบอกว่าต่อให้เจียดเงินจากค่ามัดจำมาแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเงินที่เหลือจะพอหาห้องเช่าให้นายได้ไหม ในสถานการณ์แบบนี้นายจะให้ฉันพูดเรื่องหุ้นกับนายได้ยังไง”
“นายคงลำบากมามากเลยสินะ”
ฮันจุนพูดพึมพำออกมาอย่างเลื่อนลอย คำพูดมากมายที่ไม่อาจพูดออกไปได้มันหนักอึ้งจนค่อยๆ จมดิ่งหายไปในใจทีละคำ
จะดีใจก็ดีใจได้ไม่เต็มที่เพราะต้องมัวมาใส่ใจกับสภาพที่น่าสมเพชของฉันสินะ…
ทั้งที่อิ่มท้องจนจะตายอยู่แล้ว แต่ก็ยังยอมมากินรากโกโบที่ไอ้คนน่าเวทนาคนนี้ห่อมาให้โดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวจนเต็มปาก…
ไหนจะยอมทิ้งห้องอ่านหนังสือเย็นสบาย มาติวหนังสืออยู่ในห้องที่ร้อนอย่างกับหม้ออบไอน้ำกับฉัน…
“คงจะลำบากมามากจริงๆ”
ฮันจุนฝืนหัวเราะก่อนจะเดินหลีกหนีออกมาจากตรงนั้น เขาก้าวขายาวๆ เดินตรงไปโดยมองเพียงทางที่อยู่เบื้องหน้า
“ฮันจุนอา”
“…”
“ซอฮันจุน”
“…”
“ซอฮันจุน!”
เมื่อเสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมันมาดังอยู่บริเวณต้นคอ ข้อมือเขาก็ถูกคว้าหมับเอาไว้อย่างแรง
ฮันจุนสะบัดมือออกสุดแรง เขาใช้แรงทั้งหมดเหวี่ยงแขนไปกระแทกกับที่ไหนสักที่จนเกิดเสียงดัง
ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นไปทั่วหลังมือ ฮันจุนเงยใบหน้าขึ้นทั้งที่ดวงตายังคงสั่นไหวระริกจากความเจ็บบนหลังมือที่เริ่มขึ้นสีแดง ยูแจหน้าหันไปด้านข้างพร้อมกับยกมือขึ้นกุมแก้ม แก้มที่โดนมือฟาดนั้นแดงเถือก เขาได้แต่กะพริบตาปริบๆ นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างไร้เสียง
“นี่ ซอฮันจุน”
บนใบหน้าที่หันมามองยังฮันจุนนั้นยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ มันไม่ใช่รอยยิ้มสมเพชหรือเยาะเย้ยแต่อย่างใด ทว่ามันกลับเป็นรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน แต่ก็ดูราวกับกำลังเจ็บปวดอยู่ตรงไหนสักที่ ฮันจุนพลันรู้สึกสะเทือนใจเพราะเขารู้จักใบหน้านั้นเป็นอย่างดี
ฮันจุนเริ่มวิ่ง
เขาวิ่งมาจนถึงห้องโดยไม่หยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า วิ่งอยู่บนถนนที่เคยเดินด้วยกันขณะมองดูมือถือกับยูแจ เขาวิ่งแล้วก็วิ่งอยู่อย่างนั้น วิ่งผ่านรั้วที่ยูแจมักจะมายืนพิงรออยู่ตอนเช้าบ่อยๆ วิ่งจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง
เขาเปิดประตูแล้วเดินเข้าห้องไป เขวี้ยงกระเป๋าทิ้งและขังตัวเองอยู่ในห้อง เขาทรุดตัวนั่งลงบนพื้นทันทีที่เข้ามาในห้องโดยไม่คิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อไปทั้งตัว
หลังจากที่เสียงรอบตัวค่อยๆ เงียบลง ฮันจุนก็เริ่มจะตระหนักถึงความจริงที่ว่าตัวเองกำลังหอบหายใจถี่อยู่ เขาใช้หลังมือที่ยังเจ็บแปลบยกขึ้นเช็ดแก้ม ก่อนจะรู้สึกว่าผิวของเขาเปียกชุ่มไปหมด มันไหลออกมาเยอะมากเกินกว่าที่จะบอกว่าเป็นเหงื่อ ฮันจุนหยิบม้วนกระดาษทิชชูที่กลิ้งระเกะระกะอยู่บนพื้นขึ้นมาเช็ดใบหน้าและสั่งน้ำมูกออกมา ทว่าพอเขาทิ้งทิชชูลงไปในถังขยะ ใบหน้าเขากลับเปียกชุ่มขึ้นมาอีกครั้งและอีกครั้ง
ฮันจุนเอื้อมมือไปลูบวอลล์เปเปอร์ติดผนังที่เขาเคยอิงแอบกาย เรื่องราวต่างๆ มากมายที่เขาเคยคิดว่ามันหนักหนาและสาหัส นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสมเพชมัน
* มังงะคาเฟ่ เป็นคาเฟ่ประเภทหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น โดยผู้ที่ใช้บริการจะต้องจ่ายเงินตามระยะเวลาที่อยู่ในคาเฟ่แล้วสามารถอ่านการ์ตูนได้ ในประเทศเกาหลีส่วนมากจำเป็นต้องจ่ายค่าใช้บริการต่อชั่วโมง และต้องซื้อเครื่องดื่มหนึ่งแก้วต่อหนึ่งคน
* บิบิมมยอน คือบะหมี่เย็นเกาหลีที่นิยมกินแบบแห้ง คลุกซอสรสเผ็ดหวาน
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.