Chapter 2-2
และแล้วหนึ่งสัปดาห์ต่อมา โชยูแจก็ได้เลื่อนห้องขึ้นมาอยู่ห้องหนึ่ง
ใบประกาศผลคะแนนสอบของการสอบจำลองประจำเดือนมิถุนายนประกาศออกมาแล้ว ในระหว่างทางที่เดินไปเรียนพิเศษด้วยกันนั้น ฮันจุนกับยูแจก็พากันคุยเรื่องผลสอบจำลอง
“โธ่เอ๊ย วิชาภาษาอังกฤษ”
ยูแจจ้องใบเกรดพลางบ่นพึมพำออกมา เขาได้ที่หนึ่งด้วยคะแนนเก้าสิบสามคะแนน ทว่าเขากลับหงุดหงิดตรงที่ทำข้อสอบในส่วนของการฟังผิดไปหนึ่งข้อด้วยความผิดพลาดที่ไม่น่าเกิดขึ้น
“ฉันมัวแต่นั่งเหม่ออยู่เลยพลาดไม่ได้ยินตอนที่โจทย์พูดถึงเรื่องคูปอง ฉันนึกว่าคูปองนั่นถูกใช้ไปแล้ว แต่กลายเป็นว่ามันหมดอายุซะงั้น”
“แค่ดูก็รู้ว่าต้องมีช้อยส์ผิดไม่ใช่หรือไง”
“ก็ใช่ไง”
ยูแจยามทำหน้าบูดบึ้งบ่นประท้วงความไม่ยุติธรรมนั้นช่างดูน่ารัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกว่าข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษรอบนี้ยากกว่าปกติอยู่เหมือนกัน ตอนสมัยอยู่มัธยมต้นพวกเขามักจะท่องจำและผลัดกันทายคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยกันทุกวัน น่าแปลกที่คนท่องจำศัพท์เก่งอย่างยูแจกลับทำผิดพลาดด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้
“ทีหลังวิชาภาษาอังกฤษนายก็ทำให้มันรอบคอบหน่อย”
“โชคดีนะเนี่ยที่คะแนนอิงเกณฑ์”
หากไม่นับข้อผิดพลาดจุดนั้นแล้ว อย่างไรเสียโดยรวมก็ถือว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างทำคะแนนสอบออกมาได้ดี หากเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกเขาก็คงจะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติเกาหลีได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ด้วยกัน การสอบซูนึงกำลังใกล้เข้ามา ซึ่งยูแจนั้นก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาอย่างปิดไม่มิด เขามักจะชอบฮัมเพลงว่าอยากเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ตอนมัธยมต้นที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก
ไม่รู้ว่ายูแจกำลังอารมณ์ดีหรือเปล่าถึงได้เดินแกว่งแขนไปมาขณะที่พูดเรื่องความผิดพลาดของตัวเอง เมื่อฮันจุนแอบเหลือบตาไปมองใบหน้าด้านข้างของเขา ก็เห็นว่าริมฝีปากภายใต้จมูกโด่งนั้นกำลังขบกัดกันพร้อมด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น ฮันจุนนึกอยากให้รอยยิ้มนั้นยกสูงขึ้นอีกหน่อยจึงหยิบยกเรื่องที่มักจะคุยกันบ่อยๆ ขึ้นมา
“ถ้าเข้ามหา’ลัยแล้วพวกเราไปเที่ยวช่วงปิดเทอมหน้าร้อนด้วยกันนะ”
“เอาสิ ไปพูซานกัน ช่วงปีหนึ่งก็เก็บเงิน พอปิดเทอมปีสอง เราต้องไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันให้ได้”
“นายอยากไปที่ไหนเหรอ ฉันอยากไปยุโรป”
“ฉันอยากไปนิวซีแลนด์น่ะ ฉันจะไปว่ายน้ำแล้วก็ไปดูเพนกวินด้วย”
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่พวกเขาเคยพูดคุยกันมาแล้วมากกว่าสิบครั้ง แต่มันก็ยังคงสนุกทุกครั้งยามที่ได้พูดถึง ต่อให้พวกเขาจะพูดเหมือนเดิมซ้ำๆ ทุกครั้ง ทว่ามันก็ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นช่วงปิดเทอมหรือช่วงวันหยุดเทศกาลไหนๆ ทั้งยูแจและฮันจุนต่างก็ไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลยสักครั้ง เพราะอย่างนั้นพวกเขาเลยไม่เคยนึกอะไรไปมากกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างยูแจกับพ่อไม่ค่อยดี ส่วนแม่ก็ไม่ชอบไปทำงานบ้านญาติฝั่งพ่อ ช่วงวันหยุดเลยมักจะออกไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งคนเดียวเสมอ ในขณะที่แม่ของเขาวันๆ ก็เอาแต่เอนหลังนอนเพราะร่างกายที่ปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว ทุกช่วงเทศกาล พวกเขาสองคนจึงมักจะนัดกันไปเที่ยวเล่น เดินไปตามถนนโล่งๆ ไปเล่นที่สนามเด็กเล่น ในขณะที่บ้านของพวกเขาทั้งคู่ต่างก็ต้มรามยอนกินกัน
พวกเขามักจะเก็บตัวอยู่ด้วยกันแล้วพากันพูดคุยเรื่องมหาวิทยาลัยตลอดทั้งวัน ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ที่อวดเงินแต๊ะเอียกันในวันปีใหม่ ไปเที่ยวต่างประเทศแลกเปลี่ยนของที่ระลึกกันในวันคริสต์มาส และพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเรื่องไปเยี่ยมญาติในวันไหว้พระจันทร์ ในขณะที่เรื่องที่พวกเขาคุยกันนั้นมีแต่เรื่องที่จะสามารถทำได้ถ้าหากว่าโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีทั้งเงินและอิสระแล้วเท่านั้น
การได้วาดฝันถึงอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามาด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมนั้นสนุกกว่าความเป็นจริงที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายนี่ตั้งเยอะ และมันก็ทำให้พวกเขารู้ถึงความปรารถนาเล็กๆ ที่อยู่ในใจของกันและกัน
ยูแจใฝ่ฝันที่จะไปนิวซีแลนด์ หลังจากที่ยูแจเห็นรูปเพนกวินที่นิวซีแลนด์ นับแต่นั้นมาเขาก็มักจะชมว่ามันน่ารักเสมอ และเขาก็จริงจังกับมันมากถึงขั้นที่พูดว่าถ้าไปด้วยโครงการเวิร์กแอนด์ทราเวลก็คงไม่จำเป็นต้องมีเงินสำรองก้อนใหญ่ๆ
ฮันจุนยิ้มพลางมองดูยูแจพูดเรื่องนิวซีแลนด์อย่างสนุกสนาน
ฤดูหนาวนี้…หลังจากสอบซูนึงเสร็จแล้วไปซื้อตุ๊กตาเพนกวินให้หมอนี่สักตัวเป็นที่ระลึกดีไหมนะ
หลังจากสอบซูนึงเสร็จแล้วทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้น เขารู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งยามได้เห็นตัวเลขนับถอยหลังบนกระดานที่เปลี่ยนไปทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาถึงห้องเรียนในตอนเช้า ฝีเท้าของฮันจุนเริ่มก้าวอย่างกระฉับกระเฉงขึ้นยามจินตนาการถึงทะเลสีฟ้าที่นิวซีแลนด์ ก่อนที่ยูแจจะหันตัวมาแล้วพูดขึ้น
“จะว่าไปแล้วสำเนียงภาษาอังกฤษที่นิวซีแลนด์มันก็ค่อนข้างมีเอกลักษณ์อยู่หน่อยๆ แฮะ ถ้าฟังผิดขึ้นมาจะทำยังไงดีนะ ขนาดตอนทำข้อสอบจำลองฉันก็ฟังผิดตลอดเลย”
“ถ้างั้นก่อนไปเที่ยวสักหนึ่งเดือนพวกเราก็มาตั้งใจเรียน…เฮ้ย! ระวัง!”
ฮันจุนรีบเอื้อมมือไปดึงแขนของยูแจ ในระหว่างที่กำลังเดินข้ามทางม้าลายที่ไฟจราจรเป็นสีเขียว เขาเกือบจะโดนรถที่เลี้ยวโค้งมาโดยไม่ยอมหยุดชนเข้าแล้ว ฮันจุนดึงตัวยูแจที่กำลังตกใจจนแข้งขาอ่อนมาอยู่ข้างหลังตัวเองแล้วจ้องไปยังผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยนั่น ก่อนที่ชายคนนั้นจะบีบแตรเสียงดังลั่น
ไอ้เวรนี่ รอหน่อยก็ไม่ได้เหรอวะ
“เฮ้ ซอฮันจุน”
แม้ว่ายูแจจะคว้าจับข้อมือของฮันจุนเอาไว้แน่น ทว่าฮันจุนก็ยังคงไม่หันกลับมามอง เขาจ้องไฟจราจรสีเขียวเขม็งทั้งที่ยังยืนตระหง่านอยู่หน้ารถคันนั้น
15, 14, 13…
ฮันจุนมองตัวเลขที่กำลังลดลงเรื่อยๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปมองผู้ชายคนนั้นผ่านทางหน้าต่างรถ ถึงชายคนนั้นจะยังบีบแตรอยู่เรื่อยๆ แต่เขาก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
จนกระทั่งไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงฮันจุนถึงได้เริ่มขยับตัวคว้าต้นแขนของยูแจแล้วรีบเดินข้ามถนนที่เหลืออยู่อีกหนึ่งเลน ยูแจหัวเราะคิกคักพลางวิ่งตามมา
“เวลานายจ้องใครนิ่งๆ แล้วดูนิสัยต่างไปจากปกติเลยแฮะ”
“ไม่เป็นไรนะ?”
ฮันจุนดึงไหล่ของยูแจให้หันมามองหน้ากันพลางคิดว่าเกือบจะโดนรถชนเข้าเสียแล้ว ถ้าหากดึงมาไม่ทันล่ะก็คงจะโดนชนไปแล้วแน่ๆ เขาขบกรามแน่นพลางคิด
ไอ้เวรเอ๊ย นั่งบีบแตรให้ตาย คิดว่าเวลามันจะเดินเร็วขึ้นสักกี่วิกันเชียว
รอยยิ้มของยูแจค่อยๆ จางหายไปก่อนจะลดสายตาลงมองอีกคน ฮันจุนถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก เมื่อสรุปได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน เขาก็ปล่อยมือออกจากไหล่ของยูแจ
“เอาเถอะ เมื่อกี้เราคุยถึงเรื่องเพนกวินหรือเปล่านะ ฉันถามนายว่าเพนกวินเป็นยังไงใช่ไหม”
“นี่…เข้ามหา’ลัยแล้วเรามาอยู่ด้วยกันไหม”
ฮันจุนที่กำลังจะเร่งฝีเท้ากลับหยุดชะงักยืนนิ่งอีกครั้ง
เราไม่ได้คุยกันเรื่องเพนกวินอยู่เหรอ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาพูดเรื่องการออกไปอยู่ข้างนอกกันล่ะ
พอฮันจุนเบิกตากว้างจ้องกลับไป ยูแจก็โอบหลังกอดเขาไว้ ก่อนปรับฝีเท้าให้เท่ากันและเดินเคียงข้างกันไป
“ก็คนมันเสียดายค่าเช่านี่นา แล้วไหนจะเงินมัดจำอีก ถ้าเราหารกันมันก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้บ้าง ยังไงซะเราก็ต้องมาเจอกัน มาเล่นกันทุกวันอยู่แล้ว ถ้าได้อยู่ด้วยกันก็ถือว่าเป็นกำไรไง”
“ไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้แค่เงินที่จะเอาไปจ่ายค่ามัดจำสักครึ่งหนึ่งยังไม่มีเลย”
“หลังจากสอบซูนึงเสร็จ ถ้าทำงานแบบฟูลไทม์จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ก็น่าจะเก็บได้พอดีนะ”
“แล้วค่าลงทะเบียนเรียนล่ะ”
“เรื่องค่าเรียนน่ะยังไงก็ต้องกู้ยืมอยู่แล้ว เพราะงั้นอันดับแรกก็ต้องหาหอให้ได้ก่อน จากนั้นก็ค่อยคืนเงินกู้ทีหลังก็ได้หนิ”
ยูแจโน้มน้าวด้วยสีหน้าจริงจัง มันไม่ใช่การพูดคุยเพื่อความสนุกสนานอย่างเรื่องเพนกวินหรือนิวซีแลนด์เมื่อคิดถึงอนาคตอันใกล้
เอาจริงดิ?
พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว นอกจากเรื่องไปเรียนมหาวิทยาลัยหรือไปเที่ยวด้วยกันแล้วนั้น เขาก็ไม่เคยลองคิดถึงเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับอีกฝ่ายเลย เพราะทุกวันนี้ก็ตัวติดกันตลอดอยู่แล้วจึงไม่เคยมีความคิดแบบนั้นมาก่อน
ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจะเป็นยังไงนะ
ฮันจุนลองจินตนาการถึงภาพต่างๆ ไปเรื่อย แต่ภาพเดียวที่ปรากฏเด่นชัดขึ้นมานั้นมีแต่ภาพที่เขาได้เรียน เล่นแล้วก็กินข้าวด้วยกัน…ถึงมันจะคล้ายๆ กับชีวิตประจำวันที่ทำมาจนถึงตอนนี้ แต่หากนับรวมการที่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเองไปด้วยแล้ว มันก็คงจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นอนก็ต้องนอนด้วยกัน ต้องคอยรับนิสัยในชีวิตประจำวันของกันและกัน และระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนั้นก็คงจะไม่มีความลับอะไรที่ต้องปิดบังกันและกันไปมากกว่าตอนนี้
ทว่าฮันจุนกลับไม่ค่อยอยากให้มันเป็นแบบนั้นสักเท่าไร เพราะยังคงมีความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้อยู่ และมันก็คงจะดีกว่าหากเขาระมัดระวังเก็บซ่อนมันเอาไว้จนกว่าจะจัดการความรู้สึกที่ยากจะบรรยายนี้ได้
“ไม่รู้สิ”
“ทำไมอะ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรต่างกันเยอะแยะเลยนี่”
“ก็พอเข้ามหา’ลัยแล้ว พวกเราไม่ได้แค่เรียนกันอย่างเดียวเหมือนตอนนี้นี่ ทั้งฉันแล้วก็นายอาจจะมีเพื่อนหรืองานอดิเรกที่ต่างกัน เผลอๆ อาจจะมีแฟนด้วยก็ได้นี่”
คนอย่างโชยูแจคงจะมีแฟนแน่อยู่แล้ว เขาอาจจะปฏิเสธแชยองเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องตั้งใจอ่านหนังสือ แต่ถ้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธเธออีก คนที่ไม่ว่าจะย่างเท้าไปที่ไหนก็เป็นที่สนใจของผู้คนอย่างเขา หากได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตาในโลกใบใหม่ที่กว้างใหญ่กว่าตอนนี้ ก็คงจะมีใครสักคนแย่งเขาไปอย่างแน่นอน
แย่งไปงั้นเหรอ…ทั้งๆ ที่หมอนี่ก็ไม่เคยเป็นของเราอยู่แล้วเนี่ยนะ
ในขณะที่ฮันจุนกำลังส่ายศีรษะพลางหัวเราะเยาะตัวเองอยู่นั้น ยูแจก็ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้
“พูดอะไรอย่างนั้นกันเล่า มาอยู่กับฉันน่ะดีจะตาย”
“…”
“ฉันจะต้มรามยอนให้ แถมย่างเนื้อให้ด้วยเลยก็ยังได้”
ใบหน้าระรื่นนั้นอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายจมูก และด้วยความที่ยูแจตัวสูงกว่าจึงทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสบสายตา แววตาสดใสเปล่งประกายภายใต้ขนตาหนาเป็นแพ เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าลมหายใจของพวกเขานั้นอยู่ใกล้กันมากเกินไป
“จะย่างเนื้อให้เนี่ยนะ?”
ฮันจุนหัวเราะออกมา เพราะเขาชอบเนื้อถึงขนาดที่รู้ล่วงหน้าว่าวันไหนอาหารมื้อเที่ยงที่โรงเรียนจะมีพุลโกกิ* หรือเชยุกบกกึม ** และมันก็น่ารักมากที่ยูแจรู้จักเขาที่เป็นแบบนั้น แถมยังล่อลวงเขาด้วยการบอกว่าจะย่างเนื้อให้อีก ซึ่งมันทำให้เขาอยากจะโยนความกังวลพวกนั้นทิ้งแล้วตอบกลับไปว่าตกลง
ยูแจจ้องมองหน้าเขาไม่วางตาแล้วแกล้งทำหน้าใสซื่อพลางพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะล้อเล่นแหย่เขาว่าจะย่างเนื้อให้ ไม่ว่าจะเป็นสามชั้น คอหมู หรือสันคอหมู และจะย่างจนกว่าน้ำมันจะไหลท่วมพื้นไปเลย
ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะย่างเนื้อจนพื้นเลอะน้ำมันขนาดนั้นได้หรอก เมื่อบทสนทนาที่แสนจะจริงจังได้หายวับไป เหลือเพียงแค่คำพูดเรื่องไร้สาระ ฮันจุนเลยรีบตอบว่าถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนั้นแหละกลับไปทันที หลังจากนั้นยูแจก็ทำท่าทีตื่นเต้นแล้วฮัมเพลงออกมา
ฮันจุนคิดไตร่ตรองเรื่องที่อีกฝ่ายชวนไปอยู่ด้วยกันตลอดระยะทางที่เดินไปเรียนพิเศษ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นคำพูดที่พูดแล้วก็จบไปเหมือนกับเรื่องเพนกวิน ทว่าพอได้คิดถึงมันขึ้นมา เขากลับรู้สึกมีความสุขขึ้นมาเอาเสียอย่างนั้น
“พวกนายทำข้อสอบกันได้ยังไง ฉันล่ะอยากตายจริงๆ ให้ตายเหอะ คงไม่ได้มีแค่ฉันที่ทำไม่ได้หรอกนะ?”
ตอนนี้อินกยูอยู่คนละห้องกับพวกเขาแล้ว เจ้าตัวจึงโผล่หน้ามาหาพวกเขาทุกครั้งที่พักเบรก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาทำข้อสอบจำลองรอบนี้ออกมาได้ห่วยแตกมากหรือเปล่า เขาถึงได้เอาพูดแต่คำว่าตายตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียนจนถึงตอนนี้ที่คาบเรียนพิเศษได้จบลงแล้ว
“วิชาภาษาเกาหลีรอบนี้มันยากมากเลยไม่ใช่หรือไง ได้กี่คะแนนอะ พวกนายได้กันกี่คะแนน”
“คะแนนก็ดูดีอยู่นะ”
ฮันจุนทำข้อสอบออกมาได้ดี จะให้บอกว่าทำไม่ได้เลยก็คงจะไม่ใช่ เขาจึงได้แต่ตอบไปตามตรง ยูแจที่ยืนอยู่ข้างๆ พลันยกมือขึ้นกุมขมับ ก่อนที่อีอินกยูจะเริ่มบ่นคร่ำครวญอย่างที่คิด
“ยุนแชยองเองก็ทำข้อสอบได้คะแนนโคตรดีเลย มีแต่ฉันคนเดียวที่คะแนนร่วง แถมยังได้อยู่ห้องเดิมอีก ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป คะแนนซูนึงฉันคงไม่ออกมาห่วยแตกหรอกนะ?”
“…”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย มาตรฐานมันแปลกๆ ฉันกับยูแจก็สอบได้พอๆ กันแล้วทำไมยูแจได้เลื่อนห้อง แต่ฉันยังอยู่ห้องเดิมกันล่ะ”
แทนที่จินฮวานจะรู้สึกเห็นใจอินกยู เขากลับรู้สึกเห็นใจยูแจเสียมากกว่า แต่กระนั้นยูแจก็ไม่ได้ใส่ใจอินกยูเลยสักนิดเพราะอินกยูก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จินฮวานจ้องมองยูแจที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บกระเป๋าอย่างไม่สนใจ ก่อนจะเอ่ยปากพูดปลอบอินกยู
“อย่าไปแคร์เรื่องห้องมากเลยน่า การสอบแบ่งห้องในสถาบันสอนพิเศษไม่เห็นจะสำคัญอะไรเลย ยังไงมันก็เป็นการสอบแข่งทั่วประเทศอยู่แล้ว”
“ขนาดสถาบันสอนพิเศษฉันยังสอบเลื่อนห้องไม่ได้ แล้วฉันจะไปสู้กับคนทั้งประเทศได้ยังไง!”
อินกยูทำท่าทำทางเหมือนจะร้องไห้พลางจับแขนของยูแจไว้แน่น
“นี่ ปิดเทอมนี้ฉันไปอ่านหนังสือกับพวกนายไม่ได้เหรอ เหมือนฉันจะมีบางจุดที่ยังทำพลาดอยู่ พวกนายอยู่ด้วยกันสองคนตลอดนี่ ให้ฉันอยู่ด้วยนะ”
“เฮ้อ จะไปไหนก็ไป”
ยูแจสะพายกระเป๋าพร้อมกับปัดมือของอินกยูออก อินกยูที่ถูกยูแจปฏิเสธอย่างเลือดเย็นพลันพุ่งเป้าไปที่ฮันจุนแทน
“นี่ ฮันจุนอา แต่ก่อนนายช่วยติวคณิตให้ฉัน แล้วฉันเองก็เคยช่วยติวภาษาเกาหลีให้นายด้วยนี่นา นายช่วยติวฉันที่ห้องพักรับรองทุกเสาร์อาทิตย์ให้หน่อยไม่ได้เหรอ ขอแค่นายช่วยบอกฉันหน่อยว่าต้องแก้โจทย์ยังไง ที่เหลือฉันจะทำตามเองทั้งหมดเลย”
“อีอินกยู ยิ่งนายกังวลมากเท่าไหร่ นายยิ่งต้องตั้งสติให้ดีนะ ต้องรู้จักใช้เวลาให้เกิดประโยชน์”
ยูแจที่ทนยืนมองต่อไปไม่ไหวพูดแทรกขึ้นพลางลูบไหล่ของอินกยูอย่างอ่อนโยน
“นายกับฮันจุนต่างก็มีวิชาที่ทำได้ดีและไม่ดีต่างกัน ถ้าทำตามกันไปแบบผิดๆ เดี๋ยวก็พังกันไปหมดหรอก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”
“นายลองคิดตามดูดีๆ สิ ถึงภาษาอังกฤษฉันจะได้ที่หนึ่ง แต่ฉันทำข้อสอบพาร์ตฟังข้อที่เจ็ดผิดนะ แล้วนายที่เก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้วจะมาติวกับพวกฉันที่ทำข้อเจ็ดผิดหรือไง มันคุ้มตรงไหนกัน”
ฉันไม่ได้ทำข้อเจ็ดผิดสักหน่อย…
นั่นคือคำพูดที่ฮันจุนไม่ได้พูดออกไป เหลือเวลาอีกไม่มากก็จะถึงวันสอบซูนึงแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลามานั่งติวให้หรอก แถมอินกยูคงจะทำให้ฮันจุนเหนื่อยมากแน่ๆ เพราะเจ้าตัวนั้นยึดติดกับเรื่องตัวเลขคะแนนและอันดับจนเกินไป หากมานั่งสุมหัวติวอยู่กับอินกยู เดี๋ยวเดียวคงได้รู้อันดับและลำดับชั้นของเพื่อนคนอื่นทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากรู้เป็นแน่
คำพูดของยูแจที่บอกว่าทำข้อเจ็ดผิดนั้นได้ผล คิ้วของอินกยูกระตุกน้อยๆ ตรงจุดที่บอกว่าเด็กที่สอบภาษาอังกฤษได้ที่หนึ่งกลับทำข้อสอบในส่วนของการฟังผิดในข้อที่ไม่มีใครเขาทำผิดกัน เขาขมวดคิ้วมุ่นมองยูแจกับฮันจุนสลับกันไปมา
ในตอนที่พวกเขาไม่อยากจะใส่ใจกับอินกยูต่อแล้วและกำลังจะหันหลังกลับ แชยองที่จับสายสะพายกระเป๋าทั้งสองข้างก็ปรากฏตัวขึ้น
“นี่ คิดจะคุยสนุกกันแค่พวกนายหรือไงยะ”
เธอเตะขาของยูแจที่ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งก่อนหน้านี้
“โชยูแจ ได้เลื่อนห้องขึ้นไปคนเดียวเลยนะยะ”
ยูแจก้มลงมองแชยองที่หยอกเขาเล่นอย่างน่ารัก ดวงตาเขาแย้มยิ้มและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน
หลังจากแยกกับอีอินกยูที่ขึ้นรถโดยสารประจำทางไป พวกเขาสี่คนก็เริ่มก้าวเท้าเดินไปในทิศทางเดียวกัน ฮันจุนมองยูแจกับแชยองที่เดินเคียงคู่กันอยู่ตรงหน้าตัวเอง พวกเขาเดินพูดคุยและอยู่ใกล้ชิดกันจนไหล่แทบจะชนกันอยู่แล้ว แชยองหัวเราะพลางยกมือขึ้นจับแขนยูแจ ฮันจุนนึกว่าจะจับแค่แป๊บเดียวแล้วปล่อย ทว่ามือนั้นกลับลูบไปมาบริเวณศอก ก่อนจะหยุดค้างอยู่ที่ตรงนั้น ยูแจปล่อยให้แชยองกอดแขนอยู่อย่างนั้น แม้จะได้ยินแค่เสียงหัวเราะเบาๆ แต่ฮันจุนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าอย่างไรอยู่
ยิ่งพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่มองภาพนั้นเท่าไร ภายในใจเขาก็จะยิ่งรู้สึกปั่นป่วนมากขึ้นเท่านั้น ฮันจุนจึงเลือกมองดูอยู่เฉยๆ ศีรษะของแชยองซบเข้าที่ไหล่ของยูแจเบาๆ แล้วผละออก ก่อนที่ระยะห่างระหว่างสองคนนั้นจะใกล้ชิดกันอีกครั้ง ฮันจุนเดินเหม่อลอยพลางมองไหล่ของทั้งสองคนที่แนบชิดกัน
ถ้าเป็นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนฮันจุนก็คงจะไม่รู้สึกอะไรกับการที่สองคนนี้อยู่ใกล้ชิดกัน หรือถ้าพยายามมากกว่านี้อีกสักหน่อย เขาคงจะสามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ หากอยากจะสลัดความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ทิ้งไป เขาต้องชินและคุ้นเคยกับมันให้ได้ เพราะถ้าการสอบซูนึงที่เขาตั้งตานับวันรอนั้นจบลงเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าสองคนนี้อาจจะคบกันก็ได้
แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเขาอยู่เหมือนกัน เพราะเขาวางแผนไว้แล้วว่าหลังจากสอบซูนึงเสร็จ เขาจะทำงานพิเศษให้เต็มที่ หลังจากนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วได้เจอกับผู้คนมากมาย ถึงตอนนั้นเขาก็คงจะลืมทุกอย่างได้สักที
ฮันจุนหันมามองจินฮวานที่อยู่ข้างๆ ตัวเอง จินฮวานกำลังก้มเดินมองเท้าตัวเองอยู่ ฮันจุนพาดแขนลงบนกระเป๋าของอีกคนพลางเอ่ยปากถาม
“นายอยากเข้ามหา’ลัยอะไรเหรอ”
“เราน่ะเหรอ ขอแค่เป็นมหา’ลัยอันดับต้นๆ เราก็โอเคหมดแหละ”
“เลือกคณะไว้ยัง”
“แล้วนายล่ะ”
“บริหารฯ”
“เราเองก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน ไม่บริหารฯ ก็คงกฎหมาย ความจริงแล้วเราไม่มีความฝันอะไรพวกนั้นหรอก ถ้าได้เข้ามหา’ลัยแล้วมันก็คงจะมีเองแหละมั้ง”
ความฝัน?
การได้เข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ๆ เพื่อเก็บเงินเปิดร้านขายเครื่องเคียงให้แม่ ประสบความสำเร็จในการทำงานเลี้ยงชีพตัวเอง สิ่งที่เรียกว่าความฝันของเขามันเต็มไปด้วยสิ่งที่ไร้จินตนาการ ไม่ชวนฝันเลยแม้แต่อย่างเดียว
‘ความฝันมันต้องเรียบง่ายหน่อยสิ จะได้สำเร็จไวๆ ไง’
ฮันจุนพลันยกยิ้มขึ้นเมื่อนึกถึงคำพูดติดตลกของยูแจ
“เออใช่ จินฮวาน”
ตอนนั้นเองยูแจได้หันหลังขวับกลับมาเรียกจินฮวาน จินฮวานที่ก้มหน้ามองพื้นดินอยู่เลยเงยหน้าขึ้น
“หืม?”
“การ์ตูนแนวหุ่นยนต์ที่นายพูดถึงคราวที่แล้วอะ ฉันลองไปเสิร์ชหาคลิปตัดต่อสั้นๆ ในยูทูบดูแล้วนะ สนุกดีเหมือนกันแฮะ”
“การ์ตูนแนวหุ่นยนต์?”
แชยองทำตาโตก่อนจะเอ่ยปากถาม ยูแจจึงยิ้มกว้างพลางดึงไหล่จินฮวานที่ใบหน้าค่อยๆ แดงระเรื่อเข้ามาใกล้
“ยอดวิวโคตรสุดยอดเลย สงสัยคงมีแต่ฉันที่ไม่รู้จัก ชื่อเรื่องว่าไฮท็อปน่ะ แชยอง เธอรู้จักหรือเปล่า”
“ไม่รู้จักอะ สนุกเหรอ”
“อื้อ เธอลองไปหาดูสิ เนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีแค่พวกหุ่นยนต์สู้กันแล้วก็จบหรอกนะ แต่มันมีปมเกี่ยวกับการเมืองด้วย ซับซ้อนโคตรๆ เลย”
แชยองระเบิดหัวเราะออกมากับการตั้งหน้าตั้งตาพูดของยูแจ พอเธอลองเสิร์ชหาในมือถือ เธอก็เริ่มถามนู่นถามนี่เกี่ยวกับการ์ตูน จินฮวานที่เหมือนจะลังเลในทีแรกก็เริ่มเปิดปากร่วมคุยด้วย โดยเรื่องทั้งหมดต่างเป็นเรื่องที่ฮันจุนเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“นี่ จินฮวาน วันหลังนายลองทำคลิปรีวิวการ์ตูนอะไรพวกนั้นลงยูทูบดูสิ นายพูดดีมากเลยนะ”
พอแชยองเอ่ยปากชม จินฮวานก็เริ่มทำตัวไม่ถูก เขาเงยหน้าขึ้นจากพื้นไปมองยูแจ ยูแจจึงพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“จริงสิ จินฮวาน ทำไมนายถึงไม่มีความฝันล่ะ”
ดูเหมือนยูแจจะได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันตอนที่เดินอยู่ด้านหลัง จินฮวานถึงกับเขินจนหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหูเพราะคำถามนั้น
ก็ดูสนิทกันดีนี่ ไปสนิทขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ แต่จะว่าไปแล้วมันก็จริงอย่างที่ใครๆ เขาว่ากัน ว่าคนที่สนิทกับยูแจไม่ได้คงไม่ใช่คน
ยูแจค่อยๆ เนียนถอยหลังมายืนอยู่ข้างๆ ฮันจุน ก่อนจะโอบหลังฮันจุนแล้วบอกลาแชยองกับจินฮวาน
“เดี๋ยวพวกเราไปทางนี้ พวกนายกลับบ้านกันดีๆ ล่ะ”
“บายจ้า”
แชยองบอกลาพลางกระโดดไปมา ท่าทางร่าเริงสดใสไร้ซึ่งความเครียดของเธอนั้นช่างน่ารัก ซึ่งในสายตาของยูแจเองก็คงจะมองว่าเธอน่ารักมากเช่นกัน
หยุดคิดสักทีเถอะน่า
ฮันจุนสลัดเอาความคิดที่ลอยแทรกเข้ามาในหัวอย่างไม่หยุดหย่อนออกไป ก่อนจะพยายามทำสมองให้ว่างเปล่าพลางคิดว่าเดี๋ยวกลับห้องไป พออาบน้ำเสร็จก็ฝึกทำข้อสอบอีกสักหน่อยแล้วค่อยนอนดีกว่า
ในตอนที่เขาสลัดความคิดเกี่ยวกับยูแจออกไปจากหัวได้นั้น ยูแจก็เอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เราแวะสนามเด็กเล่นกันก่อนไหม เดี๋ยวค่อยกลับ”
ยูแจกำลังยิ้มอยู่ด้วยใบหน้าแบบเดียวกันกับที่เขาเคยจินตนาการไว้ ในยามที่มองต้นคอของอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง สุดท้ายแล้วฮันจุนจึงได้แต่พยักหน้าอย่างปฏิเสธไม่ลง
“ใครจะเล่นดอดจ์บอลบ้าง”
ทันทีที่ถึงเวลาพักเที่ยง ยูแจก็เดินไปรวบรวมเพื่อนจากทุกห้อง หลังจากที่ฮันจุนเปลี่ยนมาสวมชุดพละเสร็จแล้วก็เดินตามหลังเขาไป ฮันจุนรู้สึกว่าตั้งแต่ขึ้นปีสามมาก็รู้สึกปวดเมื่อยจนแทบทนไม่ไหวเพราะวันๆ ได้แต่นั่งอ่านหนังสืออยู่ติดเก้าอี้ตลอด เพื่อนๆ คนอื่นก็น่าจะเหมือนกันเลยมารวมตัวอยู่ที่สนามเพื่อเล่นดอดจ์บอลกันแล้ว
“เอาล่ะ แบ่งฝั่งๆ”
ยูแจขอให้ฮันจุนเป่ายิงฉุบเพื่อแบ่งทีม เขาหันไปมองบรรดาเพื่อนๆ ที่มายืนเกาะหลังเขาเป็นแถวยาวเหยียดอย่างภาคภูมิใจ เพราะเขาทั้งตัวสูง เล่นกีฬาเก่ง แถมยังเป็นคนที่ให้กำลังใจเพื่อนในทีมได้ดีอีกด้วย
ฮันจุนลอบเลียริมฝีปากพลางกำมือไว้แน่นก่อนจะแบออก ต่อให้เขาจะให้กำลังใจคนไม่เก่ง แต่เขาก็มีความมั่นใจในเรื่องการเล่นดอดจ์บอลของตัวเอง พอฮันจุนถกแขนเสื้อขึ้นจนเห็นต้นแขน เพื่อนหลายคนที่อยู่กับยูแจก็เริ่มย้ายฝั่งไปหาฮันจุน
ฮันจุนเห็นแชยองอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนที่กำลังพูดคุยหัวเราะกัน เธอชะโงกศีรษะออกมาจากฝั่งด้านหลังของยูแจ
เลือกแชยองเลยดีไหมนะ
จู่ๆ ความคิดนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
“เป่า ยิง ฉุบ!”
ยูแจขยับแกว่งแขนพลางตะโกนเสียงดัง ฮันจุนพลันออกค้อนไปอัตโนมัติโดยไม่ทันได้มีเวลาให้ตกใจกับความคิดของตัวเองเมื่อครู่ ฮันจุนมองผลลัพธ์ตรงหน้าก่อนจะหลับตาลงแน่น ยูแจออกกระดาษราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะออกค้อนเวลาตกใจ
แชยองดึงเสื้อยูแจพลางตะโกนเสียงดัง
“ฉันๆ เลือกฉัน!”
“ยุนแชยอง”
พอยูแจเรียกชื่อ แชยองก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เธอไม่สนใจเสียงพูดแซวเล่นของเพื่อนๆ ก่อนจะไปยืนด้านหลังฝั่งยูแจ
ฮันจุนเลือกอีดาฮุนที่ดูเป็นคนชอบเอาชนะมากๆ ในระหว่างที่ฮันจุนเลือกคนที่ออกกำลังกายเก่งและกระตือรือร้น โชยูแจกลับเลือกแต่เพื่อนคนที่ขอร้องให้เลือกตัวเองไปตามลำดับ เพราะเจ้าตัวก็แค่สนุกที่ได้เห็นเพื่อนรู้สึกดี โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าทีมของตัวเองจะแพ้หรือชนะ
ไอ้คนทึ่มเอ๊ย
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ฮันจุนก็ยังใส่ใจเลือกสมาชิกในทีมโดยไม่ให้ทีมของยูแจเสียเปรียบมากจนเกินไป
* พุลโกกิ เป็นอาหารประเภทผัดชนิดหนึ่ง โดยเป็นการนำเนื้อหมูหรือเนื้อวัวไปผัดกับหอมหัวใหญ่ ต้นหอมญี่ปุ่น ปรุงรสด้วยซีอิ๊วและน้ำมันงา
** เชยุกบกกึม เป็นอาหารประเภทผัดชนิดหนึ่ง โดยเป็นการนำเนื้อหมูหรือเนื้อวัวไปผัดกับซอสที่มีรสเผ็ด
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.