X
    Categories: everYThe Link of a Relationship แหวนเชื่อมรักทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 บทที่ 1.1 ถึง 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

ทดลองอ่าน เรื่อง The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1 

ผู้เขียน : Chelliace

แปลโดย : Lilac M

ผลงานเรื่อง : 관계의 고리

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม

การกล่าวถึงความผิดปกติทางจิตใจหลังเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 1.1 ชินอูซอ

 

ผมไม่เคยเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า ‘โชคชะตา’ เลยสักครั้ง ถ้าของพรรค์นั้นมีอยู่จริง ผมคงไม่มีทางตกอยู่ในสภาพนี้หรือตกอยู่ในสถานะนี้แน่

“เฮ้ ฟังอยู่หรือเปล่าเนี่ย”

ผมมองคังจีซอกที่ยื่นหน้ามาเช็กอาการของผมด้วยตาของตัวเองอย่างไม่ชอบใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่หัวใจของผมรู้สึกคันยุบยิบอย่างไม่เป็นสุขทุกครั้งเวลาที่ได้สบตากับคังจีซอก แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จิตใจจะปั่นป่วนเป็นพิเศษจนแทบไม่อยากจะรู้สึกแบบนั้น

“…ฟังอยู่”

ในดวงตาของผมที่หลุบลงมองนิ้วนางข้างซ้ายด้วยแววตาที่เหนื่อยล้ามีวงแหวนสีแดงที่จีซอกไม่มีทางเห็นปรากฏอยู่ในนั้น

ถ้ามันเชื่อมกับนายได้ก็คงจะดี…

ผมกัดกระพุ้งแก้มจนรู้สึกเจ็บแปลบขณะมองใบหน้าด้านข้างของจีซอกที่กำลังทายว่าใครคือ ‘คู่แห่งโชคชะตา’ ของพี่ชายเขา

ถ้ามันเชื่อมกับนายได้ ฉันก็คงจะทนกับอาการนอนไม่หลับจากแหวนได้อย่างสบายแล้วแท้ๆ…อดทนได้อย่างสบายๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาจนถึงตอนนี้

นอกจากการลูบด้ายแดงที่ปรากฏชัดอยู่ตรงนิ้วนางข้างซ้ายพลางหลุบตาต่ำลงอย่างขมขื่นแล้ว ผมก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก

 

ชินอูซอชอบคังจีซอก ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่ชอบในฐานะที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น

เมื่อประมาณห้าปีก่อน ตั้งแต่ตอนเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่สอง ผมตระหนักถึงความจริงที่แสนจะง่ายดายข้อนั้นได้ก็ตอนนั้น

เรารู้จักกันตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย เขาเป็นคนอัธยาศัยดีและมีบุคลิกที่สดใสร่าเริงเลยโดดเด่นและสะดุดตาในหมู่นักเรียนใหม่ทันที รวมทั้งยังมีเพื่อนฝูงรุมล้อมมากมาย ผมเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนของเขาเช่นกัน และด้วยความที่เราเข้ากันได้ในหลายๆ เรื่อง ผมกับเขาจึงสนิทกันอย่างรวดเร็วจนได้กลายเป็นเพื่อนซี้ชนิดที่ตัวติดกันยิ่งกว่าคู่รัก

นั่นสินะ…เป็นเพื่อนซี้มันก็ดีอยู่แล้ว

แต่ปัญหาคือผมดันไปคาดหวังอะไรที่มากกว่านั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

การที่คนเราจะชอบใครสักคนได้นั้นไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรใหญ่โตเลย

เวลามองส่วนสูงของหมอนั่นที่พอขึ้นมัธยมปลายปีที่สองแล้วก็สูงขึ้นกว่าผมตั้งครึ่งช่วงศีรษะ และร่างกายกำยำที่ดูดีราวกับผ่านการออกกำลังกายมาบ้าง ผมก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาคังจีซอกเหมือนเมื่อก่อน ตรงกันข้ามผมกลับจินตนาการภาพยามที่ตัวเองได้ซบอกของเขา ผมได้แต่ใจเต้นคนเดียว ดีใจคนเดียว แล้วก็ผิดหวังอยู่คนเดียวกับคำพูดที่คังจีซอกมักจะพูดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่ได้ให้ค่าให้ความหมายอะไร

ผมใส่ใจทุกการกระทำและคำพูดของคังจีซอก แล้วก็อยากให้ตัวเองได้อยู่ในทุกเรื่องราวและทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ เวลาที่เขาหัวเราะ ผมก็หัวเราะ เวลาที่เขาเศร้าเพราะเจ็บปวดหลังจากอกหักมาหมาดๆ ผมก็เต็มใจให้เขายืมไหล่แล้วก็ได้แต่แอบคิดในใจว่าโชคดีแล้วล่ะ ลำพังแค่ได้อยู่ด้วยกันสองคน ต่อให้ไม่มีอะไรทำก็มีความสุขมากแล้ว และผมก็ไม่เคยรู้สึกเหงาเลยสักนิดเพราะการได้อยู่เคียงข้างเขาก็ทำให้ผมสุขใจมากพอแล้ว ผมตั้งใจติวพิเศษกับพี่ชายแท้ๆ ของเขาที่หัวดีมากก็เพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเขา และผมก็เลือกสาขาวิชาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองไม่ได้ชอบเลยแม้แต่สักนิดเป็นวิชาเอก เพียงเพราะแค่อยากนั่งเรียนร่วมคลาสเดียวกับเขา ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นผมได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเพราะใจเต้นกับวันแต่ละวันในอนาคตที่จะมาถึง

ผมยอมรับว่าผมโลภ แต่การที่เราชอบใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องผิดไม่ใช่หรือไง

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้โลภถึงขนาดที่คิดจะสารภาพรักกับจีซอกที่ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันเพื่อทำให้เกิดระยะห่างระหว่างเราขึ้นหรอก ตราบใดที่ยังได้ชื่อว่าเป็น ‘เพื่อน’ ต่อให้อยู่เคียงข้างกันและใกล้ชิดกันแค่ไหนก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แถมยังไม่มีเรื่องให้ต้องรักษาระยะห่างระหว่างกันด้วย แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น…

ผมก็ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งในทางที่คาดไม่ถึงขนาดนี้

 

ทุกมหาวิทยาลัยย่อมมีคนจำพวกนี้อยู่เสมอ

พวกเห็นแก่ตัวที่ไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของงานกลุ่มคืออะไรแล้วก็ไม่อยากจะรู้ด้วย นอกจากคนพวกนี้ยังมีพวกที่คิดว่าตารางงานของตัวเองนั้นสำคัญกว่าเลยไม่ชอบให้ใครมากวนใจ

แล้วทำไมคนพวกนั้นถึงต้องมาสิงอยู่ในกลุ่มของพวกเราด้วยนะ

“…เอาไงดี ทำกันสองคนไหม”

คังจีซอกที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเกาแก้มอย่างเก้อๆ ขณะสังเกตท่าทีของผม ถ้าเป็นคังจีซอกจอมซื่อผู้แสนดี แน่นอนว่าคงจะเชื่อคำพูดโกหกของสมาชิกในกลุ่มที่พร้อมใจกันแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อยู่แล้ว แต่ผมที่นั่งปักหลักจองที่สำหรับหกคนไว้มากว่าหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ก็ปฏิเสธไม่ออกว่าตัวเองนั้นหน้าเซ่อไม่แพ้กัน

ครั้นจะให้ทนนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนกันอยู่สองคนที่โต๊ะสำหรับนั่งหกคนมันก็กระไรอยู่ แต่ครั้นจะให้นั่งกางทั้งโน้ตบุ๊กและพวกหนังสือบนโต๊ะสี่เหลี่ยมแคบๆ ขนาดสองที่นั่งก็คงจะอึดอัดเกินไปอีกเช่นกัน

ด้วยเหตุนั้นจีซอกจึงออกปากชวนให้ไปทำงานกลุ่มกันที่ห้องของตัวเองอย่างเต็มใจที่จะอาสา และโน้มน้าวผมโดยบอกว่าช่วงกลางวันของวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านพอดี แถมตอนเย็นก็ต้องกินข้าวคนเดียวอีกแล้วเพราะวันนี้สมาชิกทุกคนในบ้านกลับช้ากันหมดเลย

แต่ให้ตายเถอะ ผมไม่นึกเลยว่าจะได้ยินคำว่า ‘อยู่กินรามยอนที่บ้านฉันก่อนสิแล้วค่อยกลับ’* หลุดออกมาจากปากของคังจีซอก

ผมแอบหัวเราะออกมาระหว่างเดินตามจีซอกออกจากมหาวิทยาลัยไปยังคอนโดฯ ของเขาซึ่งอยู่ใกล้มากถึงขนาดที่เดินไม่เกินสิบนาทีก็ถึงมหาวิทยาลัย แตกต่างไปจากห้องของผมที่ทั้งต้องเดินและนั่งรถบัสต่อไปอีกอย่างสิ้นเชิง

สถานที่ที่เราเดินมาถึงคือคอนโดฯ แห่งใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน ภายในดูสะอาดสะอ้านไม่ต่างจากภายนอก คงต้องขอบคุณบริษัทผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นที่พี่ชายของจีซอกบริหารอยู่ ด้วยมันเติบโตอย่างรวดเร็วจนหยุดไม่อยู่ จึงทำให้เขาสามารถย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถึงแม้ผมจะเคยเห็นที่นี่แล้วตอนมาช่วยย้ายของ แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองอีกครั้งแล้ว ผมก็ถึงกับต้องผงกศีรษะโดยอัตโนมัติพร้อมกับอุทานคำว่า ‘เจ๋งชะมัด’ ออกมา

ผมตามจีซอกขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นบนก่อนจะหยุดฝีเท้า จีซอกกำลังกดรหัสผ่านโดยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าผมจะมองเห็นรหัสผ่านนั้นหรือเปล่า ถึงผมไม่ได้มีเจตนาที่จะจ้องแล้วจดจำมัน แต่มันก็ดันมาเตะตาผมเข้า เพราะเขายืนกดมันต่อหน้าผมอย่างโจ่งแจ้งเกินไป

 

0316’

 

รหัสผ่านที่ผมจำได้ขึ้นใจต่อให้ไม่ต้องใช้ความพยายามในการจำลอยเคว้งอยู่ในหัวราวกับสลักเอาไว้ที่ไหนสักที่

ประตูถูกเปิดออกก่อนกลิ่นที่หอมสดชื่นจางๆ จะลอยมาแตะจมูกของผม

นี่เราใจสั่นเพราะอะไรกันนะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้วสักหน่อย

ทั้งที่เพิ่งจะย่างเท้าเข้ามาในคอนโดฯ ของจีซอก แต่หัวใจของผมกลับเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ แม้แต่จะก้าวเดินแต่ละก้าวผมก็ยังรู้สึกประหม่าไปหมด ไม่รู้ทำไมประโยคที่จีซอกพูดว่า ‘ไม่มีใครอยู่บ้าน’ ถึงได้ดังก้องไปมาอยู่ในหูของผมแบบนี้

ผมก้าวเท้าออกไปพลางมองสำรวจรอบๆ อย่างลืมตัว สายตาของผมดูจะสนอกสนใจมองไปทางบานประตูที่อยู่รอบๆ มากกว่าจะสนใจมองห้องนั่งเล่นกว้างๆ ที่มองเห็นได้จากโถงทางเข้าหน้าประตูเสียอีก วันที่มาช่วยเขาย้ายข้าวของ พอวางสัมภาระเสร็จผมก็ถูกจีซอกลากออกไปกินเสียเต็มคราบเป็นค่าแรงทันที เลยไม่ทันได้รู้ว่าห้องของเจ้าตัวคือห้องไหน แต่ถึงจะรู้ไประหว่างเรามันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอก

จีซอกวางกระเป๋าทิ้งไว้หน้าโซฟาในห้องนั่งเล่น ก่อนจะคว้ากระเป๋าของผมไปอย่างเคยชินพลางเอ่ยถามขึ้น

“ทำกันในห้องนั่งเล่นนี่แหละ นายนั่งรอเดี๋ยวนะ อยากดื่มอะไรไหม”

ผมรู้สึกหวั่นไหวกับความอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาหยิบยื่นมาให้อีกแล้ว แม้ว่าสิ่งที่ลำคอของผมต้องการตอนนี้จะเป็นโซจูเข้มๆ ที่จะมาช่วยปลุกผมให้ได้สติ ทว่าสิ่งที่ปากของผมโพล่งออกไปกลับเป็นคำว่า ‘อะไรก็ได้’ เสียอย่างนั้น

ระหว่างนั่งอยู่บนโซฟาเพื่อรอจีซอกที่เดินไปทางห้องครัว ผมก็กวาดตามองไปทั่วห้องนั่งเล่นประหนึ่งคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ สุดท้ายสายตาของผมก็ไปหยุดอยู่ที่จีซอกซึ่งมองเห็นจากห้องครัวได้อย่างชัดเจน แม้ผมจะนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นก็ตาม

ผมเกือบสบตากับเขาที่ถือแก้วน้ำผลไม้สองใบมาให้จนถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบเบนสายตาหนีไปทางอื่นทั้งที่ไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจขนาดนั้น โชคดีที่ตรงนั้นมีกรอบรูปกรอบใหญ่ติดอยู่บนผนังพอดี ผมเลยแสร้งตีเนียนมองมันราวกับว่ากำลังสนใจมันอยู่

“คอนโดฯ นายมีรูปครอบครัวเหรอเนี่ย”

“หืม? ปกติบ้านนายไม่ถ่ายติดไว้เหรอ”

ขณะที่รับแก้วน้ำผลไม้มาพลางจ้องมองรูปอยู่นั้น สายตาก็พลันชะงักค้างอยู่ที่ชายในชุดสูทที่ยืนอยู่ข้างพี่สาวของจีซอก โดยเหตุผลที่เขาดึงดูดสายตาของผมนั้นอาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่ดูเป็นผู้ใหญ่และใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับจีซอกมาก

“เพิ่งถ่ายเมื่อเร็วๆ นี้สินะ?”

“อืม พ่อกับแม่ถ่ายไว้ตอนไปเที่ยวพักร้อนครั้งก่อนน่ะ ถ่ายไว้เดือนสองเดือนได้แล้วมั้ง”

พี่ชายของคังจีซอกดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ตรงข้ามกับพ่อและแม่ของเขาที่ยังคงหน้าตาเหมือนเดิม ผมเคยเห็นอีกฝ่ายบ่อยๆ ช่วงที่คลุกคลีอยู่กับคังจีซอกตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย โดยช่วงที่สนิทกันเป็นพิเศษก็คงเป็นตอนมัธยมปลายปีสามที่เคยติวหนังสือกับเขาอยู่ช่วงหนึ่งจนสนิทกันเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ช่วงที่ผมกำลังเข้ามหาวิทยาลัยพี่เขาก็ยุ่งกับงานมากจนตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าจู่ๆ ระหว่างเราก็มีกำแพงขึ้นมากะทันหัน เลยไม่ค่อยได้เจอพี่เขาอีก และหลังจากนั้นในระหว่างที่ผมกำลังใช้ชีวิตวัยมหาวิทยาลัยกับจีซอก ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่จีกอนก็ห่างกันไปโดยปริยาย รู้ตัวอีกทีพี่เขาก็เป็นคนที่อยู่นอกความสนใจของผมไปแล้ว

คังจีซอกวัยสามสิบปีจะหน้าตาเหมือนพี่เขาไหมนะ

บ่อยครั้งที่คังจีซอกมักถูกผู้คนถามมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าเป็นฝาแฝดกับพี่จีกอนหรือเปล่า แม้ทั้งสองจะอายุต่างกันถึงเจ็ดปี แถมหากมองแบบผิวเผินแล้วภาพลักษณ์และบรรยากาศรอบตัวของทั้งคู่รวมถึงเรื่องของรูปร่างและส่วนสูงนั้นก็แตกต่างกันเกินกว่าจะเรียกว่าฝาแฝดได้ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังหน้าตาคล้ายกันมากราวกับโขลกกันมา ถึงตอนนี้คังจีซอกจะโตขึ้นมากจนแยกไม่ออกแล้วเวลามองคนทั้งคู่จากทางด้านหลัง แต่อายุและบรรยากาศที่อบอวลบนใบหน้านั้นก็ยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผมมองพี่จีกอนที่อยู่ในรูปนั้นนิ่ง ก่อนคังจีซอกที่เดินเข้ามาจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นตรงหน้าโต๊ะ ตอนนั้นเองผมถึงได้ละสายตาออกจากรูปก่อนจะนั่งลงกับพื้นโดยหันหน้าชนกันกับเขา

 

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ต่างคนต่างเริ่มหยิบโน้ตบุ๊กออกมาค้นหาและเรียบเรียงข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับรายงาน

“เฮ้อ เหนื่อยแล้วอะ”

จีซอกฟุบหน้าลงบนโต๊ะพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ การเรียบเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบนั้นใกล้จะเสร็จแล้ว ผมเลยจับขอบโน้ตบุ๊กของเขาไว้แล้วดึงเข้ามาหาตัว

“เหนื่อยก็พักสักหน่อยก็ได้ เดี๋ยวฉันเรียบเรียงต่อให้เอง”

จีซอกที่นั่งฟุบหน้าอยู่ยื่นมือมาคว้าข้อมือของผมเอาไว้หมับ

“นี่ นายกะจะทำให้หมดคนเดียวเลยหรือไง”

เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมเบ้ปาก ก่อนที่สุดท้ายจะแย่งโน้ตบุ๊กไปจากมือผมแล้วเคาะคีย์บอร์ดด้วยท่าทางอืดอาด

ในขณะที่ผมเหลือบมองมือที่ถูกเขาจับแล้วแอบสอดมือนั้นไว้ใต้โต๊ะ เขาก็พูดขึ้นว่า “เลือกข้อมูลคร่าวๆ แล้วส่งให้คนที่รับผิดชอบจัดไฟล์เถอะ ถ้ายังมีสามัญสำนึกอยู่บ้างเดี๋ยวก็คงทำมาให้แหละ” แต่คำพูดนั้นก็ไม่ได้ผ่านเข้าหูผมสักเท่าไหร่

จีซอกที่นั่งห่อไหล่พลางเคาะคีย์บอร์ดอย่างหงุดหงิดเอื้อมมือไปทางแก้วน้ำของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่เขาดื่มน้ำผลไม้หมดเกลี้ยงแล้ว เขาจึงคว้าได้แต่แก้วเปล่า พอเห็นอย่างนั้นแล้วเขาก็คว้าแก้วของผมหมับ ไหล่ของผมพลันกระตุกโดยไม่รู้ตัวขณะมองน้ำผลไม้ที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วไหลลงไปในปากของเขา แม้จะพยายามหันไปมองหน้าจอโน้ตบุ๊กโดยแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้ว แต่เสียงหัวใจที่เต้นถี่ระรัวก็ยังไม่วายทำผมเสียสมาธิอยู่ดี

ทั้งที่เขาก็แค่แย่งน้ำของเพื่อนไปดื่มต่อหน้าต่อตาเฉยๆ น่าเวทนาตัวเองจริงๆ ที่เผลอคิดอะไรไปไกลได้ถึงขนาดนั้น

ทันใดนั้นก็มีเสียงกลไกดังมาจากโถงทางเข้าหน้าประตู เพราะเห็นทางเข้าห้องได้จากห้องนั่งเล่น ผมเลยชะเง้อคอไปมอง ก่อนจะได้เจอกับใบหน้าอันคุ้นเคยที่โผล่ออกมา

แต่แทนที่จะดีใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ไม่ได้พบกันมานาน ผมกลับรู้สึกประหม่ากับบรรยากาศที่ต่างไปจากเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง คังจีซอกเวอร์ชั่นผู้ใหญ่ในชุดสูทสากลนิยมอย่างชนชั้นสูงถอดรองเท้าก่อนจะเดินเข้ามาข้างใน ยิ่งใกล้เข้ามาเท่าไหร่เขาก็ยิ่งไม่ใช่พี่ชายผู้อ่อนโยนและดูอบอุ่นอย่างที่เคยเจอสมัยมัธยมปลาย แต่มีท่าทางที่ดูภูมิฐานในแบบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเคร่งขรึมและเย็นชา ท่ามกลางใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับคังจีซอก หางตาที่ยกขึ้นเล็กน้อยแลดูแตกต่างอย่างเป็นเอกลักษณ์นั้นเป็นตัวการสร้างบรรยากาศที่ชวนให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมา

“เอ๋? ทำไมพี่กลับมาแล้วล่ะ”

จีซอกยกมือถือขึ้นมาดูเวลาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ตอนกลางวันที่ยังไม่ถึงบ่ายสี่โมงดีเป็นเวลาที่เร็วเกินกว่าที่พนักงานประจำของบริษัทจะเลิกงาน แม้จะเป็นถึงซีอีโอของบริษัทผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น แต่จีกอนก็มีฐานะเป็นพนักงานบริษัทคนหนึ่งเหมือนกัน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงอดที่จะสงสัยเรื่องเวลาไม่ได้

“ไหนว่าวันนี้มีสัมมนาอะไรสักอย่างเลยจะกลับบ้านช้าไง”

ผมสบตากับคังจีกอนผู้เป็นพี่ชายของคังจีซอกที่ก้าวอาดๆ เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว เขามองผมที่ยืนขึ้นอย่างละล้าละลังและโค้งศีรษะให้อย่างเงียบๆ ก่อนจะตอบคำถามของจีซอก

“พอดีแวะมาเอาของน่ะ นายไม่ต้องสนใจหรอก”

น้ำเสียงที่ฟังดูทุ้มต่ำและหนักแน่นกว่าจีซอกเล็กน้อยดังออกมา ทั้งที่เขากำลังตอบคำถามของจีซอก แต่ไม่รู้ทำไมสายตาเขาถึงได้ยังคงจับจ้องอยู่ที่ผม

“คร้าบๆ”

จีซอกเบ้ปากพลางตอบกลับคำพูดที่แสนจะเย็นชาของพี่จีกอนอย่างกวนๆ ก่อนจะชี้นิ้วมาที่ผม

“พี่ อูซอมาบ้านเราด้วยล่ะ ชินอูซอไง นี่พี่จำไม่ได้จริงดิ ช่วงนี้ผมก็พูดถึงแต่เรื่องของหมอนี่ไม่ใช่หรือไง”

ผมสะดุ้งโหยงกับคำพูดของจีซอกก่อนใช้ปลายเท้าเตะต้นขาของเขา

“นี่ นายพูดเรื่องอะไรน่ะ เอาเรื่องฉันไปเผาหรือไง”

“แล้วอยากให้เผาไหมล่ะ ถ้าอยากฉันจะได้จัดให้”

พอเตะต้นขาของจีซอกที่ยิ้มกริ่มอย่างกวนอารมณ์อีกรอบ เขาก็แสร้งทำเป็นสำออยอย่างกับว่าตัวเองโดนตีจนน่วม

ระหว่างนั้นจู่ๆ พี่จีกอนก็หันขวับโดยละสายตาจากเราไป ก่อนจะเดินผ่านห้องครัวไปยังห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งคงจะเป็นห้องของพี่จีกอน

ผมเหลือบมองทางนั้นแวบหนึ่งแล้วถึงค่อยนั่งลงอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบแก้วของตัวเอง ทว่าแก้วของผมกลับว่างเปล่าไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ผมคิดมากเรื่องที่จีซอกแตะริมฝีปากลงบนจุดเดียวกันบนแก้วของผมอย่างไม่ลังเลมากกว่าเรื่องที่เขาดื่มน้ำผลไม้ในแก้วของผมหมดเกลี้ยงโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำเสียอีก ถึงเรื่องทำนองนี้จะเกิดขึ้นบ่อย แต่คงต้องโทษที่ตอนนี้ผมอยู่ในห้องของจีซอก ดังนั้นผมเลยยิ่งคิดมากหนักกว่าเดิม

ผมก่นด่าตัวเองว่างี่เง่า ก่อนจะถือแก้วแล้วลุกขึ้นด้วยว่าจะไปหาน้ำดื่มสักหน่อย แต่จีซอกก็ดึงแขนของผมไว้แล้วตั้งท่าเหมือนจะลุกตามมาด้วยคน

“เดี๋ยวฉันไปเอามาให้เอง”

“นายทำงานส่วนที่ค้างอยู่ของตัวเองให้เสร็จก่อนเถอะ ฉันจัดการส่วนของฉันเสร็จแล้วนะรู้ยัง?”

“โคตรเทพ เร็วชะมัด”

ผมเดินไปทางตู้เย็นโดยปล่อยให้เขาชื่นชมด้วยใบหน้าที่โอเวอร์ไว้ข้างหลัง เมื่อไปถึงผมก็เปิดเคาน์เตอร์บาร์แล้วหยิบขวดน้ำเย็นๆ ออกมาเทใส่แก้ว ก่อนจะดื่มมันพรวดเดียวตรงนั้น น้ำผลไม้รสชาติสดชื่นอมเปรี้ยวเล็กน้อยที่มีกลิ่นส้มช่วยให้สติของผมตื่นตัวขึ้นมา

พอถือแก้วน้ำเดินออกมาจากห้องครัว ผมก็ปะทะกับพี่จีกอนที่ก้าวขาพรวดออกมาจากห้องพอดีจนเกือบชนกันเข้าอย่างจัง โชคดีที่เขาเอื้อมมือมาคว้าตัวผมพร้อมใช้อีกมือหนึ่งคว้าแก้วใส่น้ำเอาไว้พร้อมกันได้อย่างทันท่วงที ไม่อย่างนั้นผมคงเสียหลักทำน้ำหกใส่ตัวพี่เขาแน่

“ขอโทษครับ”

“…”

พี่จีกอนไม่ได้พูดอะไร เขาที่สูงไล่เลี่ยกับจีซอกและสูงกว่าผมราวครึ่งช่วงศีรษะก้มลงมองผมเงียบๆ ก่อนจะละแขนออกแล้ววางมือลงบนศีรษะผมเบาๆ ราวกับลูบมัน จากนั้นเขาก็รีบเดินออกจากห้องไปทันทีโดยทิ้งท้ายไว้กับจีซอกเพียงแค่ว่า ‘ไปแล้วนะ’

ผมลูบศีรษะที่ถูกพี่จีกอนสัมผัสพลางมองบานประตูที่เขาเพิ่งจะเดินออกไปเมื่อครู่

มือของพี่จีกอนมีไออุ่นที่เบาสบายต่างจากท่าทีที่แผ่รังสีเย็นชาออกมานั้นอย่างสิ้นเชิง

 

วันถัดมาหลังกลับมาจากทำงานที่คอนโดฯ ของจีซอก

ผมทรมานกับพิษไข้อย่างหนัก

มันเป็นพิษไข้ที่เล่นเอาร่างกายของผมอ่อนปวกเปียกจนนอนซมถึงขนาดที่แยกไม่ออกว่าภาพเบื้องหน้าคือสิ่งใด ผมไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นจากเตียงเลยทำได้เพียงนอนร้องโอดครวญ

นี่เราเป็นหวัดหรือเปล่านะ

นี่ก็ใกล้จะถึงช่วงฤดูร้อนแล้ว แต่ยังจะมาเป็นหวัดโดยไม่มีอาการอะไรบอกกันก่อนล่วงหน้าอีกเนี่ยนะ?

อาการไอที่มักจะเริ่มเป็นทุกครั้งที่ติดหวัดก็ไม่มี ผมเลยคิดอยู่บ่อยๆ ว่านี่ต้องไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดาแน่

ครืด…

ผมได้ยินเสียงสั่นเบาๆ จึงเอื้อมมือไปคลำหามือถือที่อยู่ข้างหมอนทั้งที่ยังนอนเป็นผักอยู่บนเตียง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะหมดเรี่ยวหมดแรงจากพิษไข้ ลำพังแค่จะหยิบมือถือขึ้นมาก็แทบจะไม่ไหว

ผมเช็กแจ้งเตือนในมือถือผ่านสายตาที่พร่าเบลอ ก่อนจะเห็นว่าข้อความนั้นส่งมาจากจีซอก

 

คิมชานอูส่งตัวอย่างโค้ดดิ้งมาให้ทางอีเมล ฉันเลยส่งมาให้นายด้วย

เดี๋ยวค่อยตรวจดูแล้วช่วยกันทำวันจันทร์นะ

 

ผมถอนลมหายใจที่ร้อนผ่าวขณะอ่านข้อความนั้นก่อนจะกดแป้นพิมพ์

 

นายช่วยมาบ้านฉันหน่อยได้|

 

เคอร์เซอร์กะพริบอยู่เป็นระยะๆ ท้ายประโยคที่ยังพิมพ์ไม่เสร็จ ผมลังเลอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะลบทิ้งทั้งหมดแล้วเริ่มพิมพ์ใหม่อีกครั้ง

 

ถ้าว่างนายช่วยไปซื้อยาที่ร้านขายยา|

 

ผมจ้องเคอร์เซอร์นิ่งก่อนจะลบทิ้งอีกหน

 

ตอนนี้นายยุ่งหรือเปล่า|

 

อีกหน…

 

พอดีว่าฉันป่วยน่ะ นาย|

 

และอีกหนจนเหลือแต่เคอร์เซอร์กะพริบอยู่อย่างเดียว

 

อืม

 

ประโยคที่ในที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์สักทีนั้นช่างแสนสั้น

ผมครุ่นคิดอยู่ในใจว่าถ้าเขาตอบอะไรกลับมาสักนิด ผมก็อาจจะพิมพ์ประโยคที่ยาวขึ้นอีกหน่อย แต่จนแล้วจนรอดก็มีเพียงเครื่องหมายที่ยืนยันว่าอ่านแล้วปรากฏขึ้นมาเท่านั้น และไม่ได้มีข้อความอะไรถูกส่งมาอีก

ผมได้แต่รู้สึกขมขื่นระหว่างปิดหน้าจอมือถือแล้ววางมันที่อยู่ในมือซ้ายลงข้างหมอน แต่ทันใดนั้นนิ้วข้างซ้ายก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา

“อึก…!”

ผมร้องครวญสั้นๆ ก่อนจะสำรวจมือซ้ายของตัวเองเมื่อรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาบริเวณนิ้วนางข้างซ้าย ถึงจะไม่มีบาดแผลที่มองเห็นได้ชัดจากผิวภายนอก แต่ผมก็รู้สึกเหมือนกับบริเวณนิ้วนั้นกำลังถูกกรีดหรือถูกบีบรัดด้วยของบางอย่าง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดไปเองหรือเปล่า

ระหว่างที่นอนซมเพราะพิษไข้อยู่นั้น อาการเจ็บแปลบแปลกๆ แถวนิ้วนางข้างซ้ายก็ยังคงเล่นงานผมต่อไปไม่หยุด

 

หลังจากนอนซมเพราะพิษไข้มาตลอดทั้งวัน

ผมก็รีบค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต พอพิมพ์คีย์เวิร์ดลงไปก็เห็นรายการค้นหาที่เกี่ยวข้องเรียงรายลงมาเป็นแถบ ผมกดค้นหาคำเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างกระวนกระวายใจ

ยิ่งตาลายกับข้อมูลและบทความในอินเตอร์เน็ตมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งว้าวุ่นใจหนักเข้าไปอีก อาการปวดหัวเข้าเล่นงานจนต้องเอามือกุมหน้าผาก แต่แล้วผมก็ถึงกับต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมองไปที่มือซ้ายของตัวเอง

ร่องรอยสีแดงสดที่ประทับอยู่ตรงตำแหน่งที่สวมแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายปรากฏชัดจนตรึงสายตาของผมเอาไว้

‘แหวน’

มันคือปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วจนเรียกได้ว่ากลายเป็นตำนานที่ผู้คนต่างพูดถึงกันเมื่อหลายสิบปีก่อน

ว่ากันว่าทุกคนต่างก็มีแหวนหรือด้ายแดงที่เชื่อมกับคู่แห่งโชคชะตาอยู่ ทว่าท่ามกลางบรรดาคนนับพันล้านคนบนโลก อัตราที่จะได้พบคู่แห่งโชคชะตาที่มีวงแหวนเชื่อมกันนั้นริบหรี่มาก และต่อให้จะได้พบกัน แต่ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะรู้ตัวตนของอีกฝ่ายได้ในทันที

วิธีการตรวจดูว่าต่างฝ่ายต่างเชื่อมโยงกันหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้จากวงแหวนเท่านั้น หลังจากโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากได้สัมผัสกับคู่แห่งโชคชะตาโดยตรงผ่านทางร่างกายก็จะทรมานด้วยพิษไข้อย่างหนักเป็นเวลากว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง จากนั้นก็จะมีวงแหวนปรากฏขึ้นที่นิ้วนางข้างซ้ายทันที ซึ่งแหวนที่ว่านี้มีเพียงตัวเองและคู่แห่งโชคชะตาเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นวงแหวนของกันและกัน โดยที่คนอื่นนั้นไม่สามารถมองเห็นได้

ปกติวงแหวนสีแดงที่นิ้วนางข้างซ้ายนั้นจะมีเพียงเส้นเดียว แต่เมื่อใดก็ตามที่ความรักของทั้งคู่ลึกซึ้งขึ้นกว่าปกติ แหวนจากด้ายแดงก็จะถักทอกันราวกับร่างแห ว่ากันว่าเมื่อถึงตอนนั้นต่อให้อยู่ห่างกันไกลแค่ไหนก็สามารถนอนหลับได้สนิทโดยปราศจากอาการนอนไม่หลับ แต่หากใครคนใดคนหนึ่งหมดรักก่อน วงแหวนนั้นจะกลับมาเป็นเส้นเดียวดังเดิมและต้องกลับมาใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างทรมานอีกครั้ง

ผมเคยได้ยินว่าในบรรดาคนเหล่านั้นมีคนที่สามารถล่วงรู้และแยกแยะวงแหวนของทุกคนได้ แต่ก็ไม่มีข้อมูลปรากฏมากพอ ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการมีอยู่ของวงแหวนนั้นก็ยังคงเรียกความสนใจจากผู้คนได้อยู่เสมอ ถึงขนาดที่มีช่องเคเบิลช่องหนึ่งจัดโปรแกรมพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะและเปิดเผยอย่างเจาะลึกว่าอิทธิพลของวงแหวนนั้นส่งผลยังไงบ้าง

สาเหตุที่วงแหวนถูกนำไปเปรียบเทียบกับตำนานปรัมปรานั้นเป็นเพราะมันคือสิ่งที่สายตาของคนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ ดังนั้นการที่ผู้คนจะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่มีแค่ผู้มีวงแหวนเท่านั้นที่จะสามารถยืนยันการมีอยู่ของวงแหวนของคนอื่นๆ ได้จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แม้แต่ตอนนี้ครึ่งหนึ่งของคำค้นหาก็ยังมีแต่พวกบทความที่ปะปนไปด้วยคำถามที่ว่า ‘วงแหวนมีจริงหรือไม่’

แน่นอนว่าผมเองก็อยู่ฝั่งที่ไม่เชื่อเรื่องวงแหวน ถ้าหากด้ายแห่งโชคชะตานี่ผูกชะตาเราไว้กับทุกคนจริง แล้วทำไมผมถึงได้รักคังจีซอกอยู่ข้างเดียวแบบนี้ล่ะ ถ้าหากผมมีคู่แห่งโชคชะตาที่จะต้องสานสัมพันธ์กันอยู่แล้วในสักวันหนึ่ง และอาการที่ผมเป็นอยู่นี้เป็นเพียงการเจ็บป่วยแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วทำไมผมถึงต้องมาลำบากแบบนี้ด้วย

เสียงถอนหายใจดังลอดออกมาจากริมฝีปาก บทความต่างๆ เด้งขึ้นมาเต็มสองตาบนหน้าจอโน้ตบุ๊กที่ผมกำลังจ้องมองอยู่ และมันก็เป็นบทความที่ทำให้ผมยิ่งเจ็บปวดใจมากกว่าเดิม

 

‘ถ้าวงแหวนปรากฏขึ้นมาก็จะถือว่าไม่สามารถสานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ค่ะ’

‘เรื่องแหวนนี่มันไม่ใช่เรื่องโรแมนติกหรอกนะคะ’

‘ถ้าได้รักกับคนที่มีวงแหวนเชื่อมกันอยู่ก็ดีไปครับ แต่ปัญหาคือมันดันมีคนที่ไม่เป็นแบบนั้นอยู่เยอะกว่าเนี่ยน่ะสิครับ’

‘แล้วถ้าฝืนไปสานสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้รักจะนอนไม่หลับเพราะโรคนอนไม่หลับเรื้อรังค่ะ ซึ่งยานอนหลับก็ใช้ไม่ได้ผลด้วยนะคะ’

‘นอนไม่หลับถึงขั้นนั้นโรคถามหาแน่ครับ ที่ต่างประเทศมีเคสคนที่อยู่ห่างจากคู่นานจนถึงขั้นเป็นโรคมะเร็งจากอาการนอนไม่หลับด้วยนะครับ’

‘แถมในบรรดาคนที่วงแหวนเชื่อมโยงกันก็มีคนที่มีวงแหวนเดี่ยว (Single Ring) ที่จำใจต้องใช้ชีวิตด้วยกันอย่างหมดหวังเพียงเพราะแค่ไม่อยากตายอยู่ด้วยนะครับ อันที่จริงคู่ของผมก็เป็นหนึ่งในนั้น’

‘ไม่ว่าจะชอบคู่ตัวเองหรือไม่ เราก็ไม่มีทางเลือกหรอกค่ะ นอกจากต้องอยู่ด้วยกันเพื่อความอยู่รอดไปงั้นๆ’

‘ถ้าเกิดมีวงแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายขึ้นมาก็อย่าลังเลเลยค่ะ รีบหาคู่จะดีกว่านะคะ’

‘แต่คนเราไม่ลองก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอครับ’

 

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมหน้าผาก

ความจริงแล้วผมไม่ได้กลัวการนอนไม่หลับขนาดนั้น คงเพราะตั้งแต่ชอบคังจีซอกมาก็มีเรื่องให้คิดมากมายจนปกติก็นอนหลับไม่สนิทได้ง่ายอยู่แล้ว ดังนั้นผมเลยมักจะนอนไม่หลับจนต้องอ่านหนังสือวิชาเอกโต้รุ่งจนถึงเช้ามืด คงต้องขอบคุณมันที่ทำให้คะแนนผมพุ่งได้มากขนาดนี้ แต่ก็มีบ้างที่เหนื่อยมากจนเผลองีบหลับไปในห้องชมรมและทำเอาเกือบเข้าคลาสสาย ถ้าไม่มีจีซอกที่คอยดูแลผมอยู่ทุกครั้ง ป่านนี้ผมคงติดเอฟเพราะทั้งเทอมเข้าเรียนทันแค่ครั้งสองครั้งไปแล้ว

ผมใช้ชีวิตอยู่กับอาการนอนไม่หลับมาหลายปีเลยไม่ได้รู้สึกว่ามันกวนใจอะไรสักเท่าไหร่ ถึงโรคพรรค์นั้นจะดูหนักกว่าหน่อย แต่ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายจากตอนนี้นักหรอก

แต่ปัญหาที่กวนใจนั้นไม่ใช่เรื่องโรคนอนไม่หลับ…

เราเองก็รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้วนี่

ระหว่างผมกับคังจีซอกไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ขนาดนั้น ถึงคาดเดาเอาไว้แล้ว แต่ผมก็ยังแกล้งหลับหูหลับตาทำเป็นไม่รู้อะไรมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นการปรากฏของวงแหวนที่ราวกับเป็นการตอกย้ำนั้นจึงทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจสุดๆ

ยิ่งไปกว่านั้นการได้รู้ว่าคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองคือใครก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดจนแทบขาดใจ เพราะคนที่ผมสัมผัสโดนตัวก่อนจะเป็นไข้มีแค่คังจีซอก…กับใครอีกคนหนึ่งเท่านั้น

 

* อยู่กินรามยอนที่บ้านฉันก่อนสิแล้วค่อยกลับ เป็นประโยคที่มีความหมายโดยนัย สื่อถึงการชวนไปมีเพศสัมพันธ์ที่บ้าน

Chapter 1.2 ชินอูซอ

 

“เฮ้ๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

ทันทีที่เดินเข้าห้องเรียนมาในวันจันทร์จีซอกก็รีบร้อนรัวคำพูดออกมา เขานั่งลงข้างผมด้วยสีหน้ากังวลระคนตื่นเต้นชอบกลก่อนจะเปิดปากพูด

“เรื่องของพี่ฉันน่ะ…”

จีซอกหยิบหนังสือวิชาเอกออกมาพร้อมกับหรี่เสียงตัวเองให้เบาลง

“พี่ฉันบอกว่ามีวงแหวนปรากฏขึ้นที่นิ้วนางข้างซ้าย”

ต่อให้เขาไม่ต้องแบมือซ้ายออกมาแล้วชี้ไปที่นิ้วนาง ผมก็รู้ดีอยู่แล้ว เพราะผมเองก็มีแหวนนี่ปรากฏอยู่ที่นิ้วนางเหมือนกัน

ริมฝีปากของผมพลันแห้งผากพร้อมกับปลายนิ้วที่ชาวาบ ผมกำหมัดแน่นอย่างพยายามข่มใจเพื่อที่จะให้ลืมความรู้สึกเจ็บปวดในใจนั้น แต่ผมก็ตระหนักได้ว่าความรู้สึกเจ็บที่เล็บจิกลงไปในฝ่ามือนั้นไม่ต่างจากความรู้สึกเจ็บแปลบที่ทิ่มแทงหัวใจของตัวเองเลย ผมเก็บสีหน้าว้าวุ่นของตัวเองเอาไว้ก่อนลอบกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืด โดยหวังเพียงแค่ไม่ให้คังจีซอกรู้

“ฉันเคยได้ยินมาว่าถ้าหาคู่ไม่เจอก็จะตายในสองสามวันด้วยล่ะ แล้วนี่พี่ฉันก็เหมือนจะนอนไม่หลับเลยด้วย”

หัวไหล่ของผมกระตุกไปเล็กน้อย เขาเป็นคนที่งานยุ่งและวันๆ ก็น่าจะต้องพบปะผู้คนมากมายต่างจากผม แค่เห็นเขาไม่ได้ถามเรื่องแหวนผ่านจีซอกในช่วงสุดสัปดาห์ ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าเขายุ่งแค่ไหน แต่พอมาได้ยินเองแบบนี้ผมก็รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที

“เรื่องแหวนนี่มีจริงด้วยแฮะ”

ผมแกล้งพูดอย่างสงบโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว จีซอกถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ก่อนจะเงยหน้าอีกครั้งและมองมาทางผม

“ฉันเองก็คาใจมาตลอด ไม่นึกเลยว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับพี่ฉัน แล้วนี่ฉันจะทำยังไงดี อูซอ พอลองเสิร์ชดูแล้ว ถึงจะบอกว่าโรแมนติก แต่มันก็น่ากลัวมากเลยนะ”

คำพูดที่ผมพอจะพูดออกไปได้ในตอนนี้มีเพียงแค่คำพูดเดียว

“ดูท่าคงต้อง…รีบหาคู่แล้วล่ะ”

ผมแอบลดมือซ้ายที่วางอยู่บนโต๊ะลงไปข้างใต้ วงแหวนสีแดงสดยังคงปรากฏอยู่บนนิ้วนางในมือข้างที่วางอยู่บนตักของผม

คืนนั้นนอกจากจะนอนไม่หลับทั้งที่เหนื่อยล้าแล้ว ผมก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย ซึ่งไม่ต่างจากคืนก่อน

 

อาการนอนไม่หลับที่เป็นผลพวงจากวงแหวนนั้นรุนแรงกว่าที่คิด ผมข่มตานอนไม่หลับเลยแม้เพียงครู่เดียว ซึ่งต่างจากอาการนอนไม่หลับที่เคยประสบมาอย่างสิ้นเชิง

แต่ก่อนที่มีอาการนอนไม่หลับผมยังพอทนได้ในระดับหนึ่งและจะนอนหลับได้ในอีกสามสี่ชั่วโมงให้หลัง แต่ตอนนี้ลำพังแค่หลับตาสักสิบหรือยี่สิบนาทียังสะดุ้งตื่นขึ้นมาฉับพลันเลย อาการนี้ส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง แถมสภาพจิตใจและอารมณ์ของผมก็พลอยตึงเครียดสุดขีดเพราะโรคโลหิตจางและอาการปวดหัวที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด

ขืนเป็นแบบนี้มีหวังได้ตายจริงแน่

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าตัวเองอาจตายได้จริงๆ เพราะโรคนอนไม่หลับ วินาทีนั้นหัวใจของผมก็พลันหนักอึ้งขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าตอนนี้พี่จีกอนเองก็คงจะกำลังประสบกับปัญหาแบบเดียวกัน

จากที่คังจีซอกเล่า หลังจากวันนั้นที่ผมมาที่คอนโดฯ พี่จีกอนก็ราวกับแผ่นน้ำแข็งบนผิวน้ำที่กำลังแตกร้าวไปทั้งผืน พี่เขาที่ฉุนเฉียวขึ้นมาไล่ตามหาทุกคนที่พบเจอในวันก่อนที่ไข้จะขึ้น แต่ลำพังแค่คนที่เขาจับมือด้วยในวันนั้นก็เกินกว่าหนึ่งร้อยคนเข้าไปแล้ว ถ้ารวมคนที่สัมผัสกันทางร่างกายแม้แต่ปลายเล็บเข้าไปด้วยก็เรียกได้ว่าคงนับกันไม่หวาดไม่ไหว

ดังนั้นพี่จีกอนเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากอึดอัดอยู่คนเดียว

ไปหาพี่เขาแล้วบอกทุกอย่างเลยดีไหมนะ

เพราะเวลานี้ผมเองก็ทรมานไม่ต่างกัน

แต่ถึงอย่างนั้นการจะไปพบพี่จีกอนแล้วเล่าความจริงให้ฟังมันก็ไม่ได้ทำใจได้ง่ายๆ เลยสักนิด

ถ้าเกิดโชว์วงแหวนให้ดูตอนเจอกันแล้วพี่เขาจะทำยังไงต่อ จะชวนแต่งงานอย่างนี้เหรอ

เพียงแค่คิดผมก็ถึงกับต้องส่ายหน้าทันที

การปรากฏของวงแหวนที่ไม่คำนึงถึงเพศและการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยทำให้มุมมองของคนทั่วโลกที่มีต่อการแต่งงานในกลุ่มคนเพศเดียวกันและการคบเพศเดียวกันนั้นเปิดกว้างขึ้นมาก หลายปีแล้วที่เรามักจะเห็นคู่รักเพศเดียวกันเดินจับมือกันบนท้องถนนอย่างเปิดเผย และสายตาของผู้คนที่มองมายังพวกเขาก็ไม่ได้ดูสนอกสนใจอะไร

นี่ผมตกเทรนด์ของยุคสมัยที่เปลี่ยนไปหรือเปล่านะ

การชอบผู้ชายด้วยกัน มิหนำซ้ำยังเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองทำให้ผมละอายใจและไม่กล้าปริปากบอกมาตลอดจนถึงตอนนี้ นับประสาอะไรกับการเป็นคู่แห่งโชคชะตากับพี่ชายสายเลือดเดียวกันของเพื่อน ขนาดเส้นทางที่ว่าตันมันยังไม่ตันเท่ากับสถานการณ์ของผมตอนนี้เลย

เพียงแค่ลองคิดภาพยามที่ผมจับมือกับพี่ชายที่ไม่ได้ชอบของเพื่อนสนิทที่ตัวเองชอบแล้วดึงเข้ามากอด ผมก็ฝืนใจจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ถ้าตอนเป็นเด็กมัธยมปลายก็คงไม่กระอักกระอ่วนใจเท่าไหร่หรอก เพราะพี่จีกอนก็เป็นเหมือนพี่ชายของเราทั้งคู่โดยมีจีซอกเชื่อมอยู่ตรงกลาง แต่พอมาตอนนี้นอกจากบรรยากาศจะชวนกระอักกระอ่วนจนกู่ไม่กลับแล้ว ระหว่างผมและพี่เขายังรู้สึกห่างเหินขนาดที่ว่าแม้แต่จะชวนคุยสักคำยังลำบากใจ มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับว่าได้พบคนอื่นคนไกลที่แทบไม่ได้พูดคุยสุงสิงกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจปิดปากเงียบทั้งแบบนี้ได้ เลยได้แต่อึดอัดเหมือนจะขาดใจตายอยู่แบบนี้

หลังจากยืนอยู่หน้าห้องของจีซอกมาพักใหญ่ ความอึดอัดในใจก็ยังคงไม่คลายลง กลับกันแล้วมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเสียอีก

ก่อนกดกริ่ง ผมก้มมองมือทั้งสองข้าง ถุงช็อปปิ้งที่ถืออยู่ในมือขวาคือโจ๊กผักใส่เนื้อวัวร้อนๆ ที่ซื้อมาจากร้านโจ๊กในละแวกนี้ ส่วนถุงสีดำในมือซ้ายคือยาแก้หวัดที่ซื้อมาจากร้านขายยาหน้าคอนโดมิเนียมและยาสมุนไพรบำรุงกำลังอีกสองขวด

ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าน่าจะซื้อแพ็กน้ำแข็งหรือถุงประคบเย็นมาด้วยก่อนจะกดกริ่ง กดไปสองสามครั้งก็ยังไม่รู้สึกถึงวี่แววว่าจะมีใครออกมา

หลับอยู่หรือเปล่านะ

ผมหิ้วโจ๊กกับยามาให้เพราะจีซอกนอนซมเป็นหวัดกะทันหันในฤดูใบไม้ผลิที่มีแสงแดดอบอุ่น ถ้าเขานอนหลับไม่ตื่นผมจะส่งของพวกนี้ให้ได้ยังไงกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถกดรหัสผ่านที่บังเอิญจำได้แล้วผลีผลามเข้าไปเลยได้

ผมหยิบมือถือที่สั่นครืดคราดพอดีขึ้นมาดู มันคือข้อความจากจีซอกที่ผมนึกว่ากำลังหลับอยู่

 

ลุกไมม่ไวห รรัหสผ่าน 0319

 

พิมพ์มาก็ผิด

แถมรหัสผ่านก็ไม่ใช่ ‘0319’ รหัสที่ถูกมันคือ ‘0316’ ไม่ใช่หรือไง

ผมเดาะลิ้นแล้วกดรหัสผ่านตามที่ตัวเองจำได้ ก่อนที่บานประตูจะเปิดออกอย่างนุ่มนวลพร้อมกับเสียงกลไกที่ดังขึ้นพร้อมกัน

ก่อนเข้าไปข้างในผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่พอเอาเข้าจริงแล้วผมกลับลืมตัวไปว่าตัวเองไม่รู้จักห้องของจีซอก ทันใดนั้นเสียงแผ่วเบาของจีซอกก็ดังลอดออกมาจากประตูบานหนึ่งที่ปิดสนิทราวกับเจ้าตัวอ่านใจผมได้ผ่านกระแสจิต ซึ่งห้องนั้นอยู่ข้างกันกับห้องของพี่จีกอน

ผมแอบมองห้องของพี่จีกอนก่อนจะเดินไปที่ห้องของจีซอก พอเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปข้างในก็เห็นจีซอกที่นอนหายใจหอบอยู่บนเตียง

“มาแล้วเหรอ…”

เขายิ้มอย่างฝืนๆ ด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อเพราะพิษไข้และพยายามหยัดกายท่อนบนลุกขึ้น ผมหิ้วของพะรุงพะรังอยู่เต็มสองมือเลยใช้ข้อศอกดันหน้าอกของเขา ทำเอาเขาล้มลงไปนอนแหมะอยู่บนเตียงตามเดิม

“นายนี่นะ ศอกใส่คนป่วยได้ไง…”

“ถึงเวลาต้องนั่งฉันจะช่วยพยุงเอง แต่ตอนนี้หุบปากแล้วนอนลงไปซะ”

ผมวางข้าวของเต็มสองมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มจัดแจงหยิบของที่อยู่ข้างในออกมาทีละอย่างสองอย่าง

“คงจะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงสินะ? เวลาป่วยทีไรนายชอบอดข้าวตลอดเลยนี่”

“จะไม่ให้อดได้ไงอะ แม้แต่แรงจะลุกออกไปหาข้าวกินฉันยังไม่มีเลย…”

“ก็สมควรอยู่หรอก โจ๊กนี่ยังร้อนอยู่ เพราะงั้นกินเลยก็แล้วกัน”

ผมคิดว่าการจะหามจีซอกออกไปที่โต๊ะในห้องครัวแล้วให้เขานั่งกินก็ดูจะหักโหมเกินไปหน่อย เลยออกไปยกถาดสี่เหลี่ยมที่พอจะวางบนตักได้มาให้เขาแทน ผมแกะโจ๊กกับเครื่องเคียง รวมถึงวางช้อนและตะเกียบลงบนถาด ก่อนจะค่อยๆ ประคองจีซอกให้ลุกขึ้นนั่งโดยสอดหมอนไว้ข้างหลังเพื่อให้เขาพิงได้ จากนั้นก็วางถาดที่เตรียมอาหารเสร็จแล้วลงบนหน้าขาที่เหยียดออกไปเป็นเส้นตรง

“พยายามกินให้เยอะที่สุดเท่าที่จะกินได้เลยนะ เสร็จแล้วจะได้กินยาต่อ”

“โห…ขนาดแม่ฉันที่ยุ่งๆ ยังไม่เคยทำแบบนี้ให้เลย ไหนๆ ก็ทำให้ขนาดนี้แล้ว นายมาเป็นแม่ฉันไหม…”

“เพ้อเจ้ออีกแล้วนะนายเนี่ย”

ผมแค่นหัวเราะก่อนจะหันไปเตรียมยาให้ พอลองจับขวดยาสมุนไพรบำรุงกำลังแล้วก็พบว่ามันยังร้อนอยู่ หลังจากกินโจ๊กเสร็จก็น่าจะอุ่นกำลังดี

ผมเตรียมยาเม็ดไว้ให้เพื่อที่เขาจะได้กินยาต่อทันทีหลังมื้ออาหาร ก่อนจะแนบมือลงบนหน้าผากของจีซอกที่เพิ่งจะกินโจ๊กพร่องไปได้หน่อยเดียว หน้าผากของเขาร้อนผ่าวเอาเรื่อง แบบนี้ก็สมควรจะเบลอและสายตาพร่ามัวอยู่หรอก

หลังจากกินโจ๊กกับยาเสร็จ สงสัยคงต้องไปเอาน้ำแข็งมาประคบเย็นให้หน่อยแล้ว

ถุงประคบเย็นที่ไม่ได้ซื้อมาปรากฏขึ้นในหัวผมรางๆ

ในตอนนั้นเองจีซอกที่ตักโจ๊กกินไปได้แค่สามสี่คำก็เงยหน้ามองผมอย่างรู้สึกผิด

“ขอโทษที่ฉันสภาพเป็นแบบนี้ไปด้วยอีกคนนะ นี่…”

“ว่า?”

“เรื่องงานกลุ่มน่ะ…”

ผมก็นึกว่าจะพูดเรื่องอะไร

ดูท่าเขาคงจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยทำงานเหมือนกับพวกสมาชิกในกลุ่มคนอื่นๆ ที่แก้ตัวไปเรื่อย

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า รีบหายไวๆ แล้วกัน นายตัวใหญ่ เวลาเป็นไข้หวัดทีก็อาการหนักแบบนี้แหละ”

“อืม…ฉันต้องหายไวอยู่แล้วล่ะ ก็มีนายคอยช่วยดูแลนี่ ขอบใจนะ”

เมื่อได้มองใบหน้าของเขาที่ยิ้มออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจถูกบางอย่างกระทบเบาๆ จนสั่นไหวไปทั้งดวง ภาพนั้นชวนให้ผมรู้สึกดีจนยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ

“ว่าแต่นายได้นอนหลับสนิทบ้างหรือเปล่าเนี่ย ตาจะเป็นหมีแพนด้าอยู่แล้ว”

มุมปากที่ยกยิ้มพลันชะงักกึกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของจีซอก

“ถึงงานจะเยอะและหนักแค่ไหน แต่นายก็ต้องนอนหลับให้เต็มอิ่มนะ พอเห็นสภาพพี่ตัวเองแล้ว ฉันว่าคงไม่มีอะไรทรมานได้เท่าการอดหลับอดนอนอีกแล้ว”

ผมไม่กล้าพูดอะไรและได้แต่นิ่งฟังอยู่เงียบๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วกดขอบตาล่างพลางครุ่นคิดว่าสภาพผมตอนนี้มันเห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ

“อ้อ จริงสิ เห็นวันนี้พี่บอกว่าจะรีบกลับบ้านทันทีหลังเลิกงาน…”

ฉับพลันนั้นผมก็สะดุ้งเฮือกจนไหล่ไหวกับคำพูดของจีซอก พอล้วงมือถือออกมาดูนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว คงเป็นเพราะตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อนที่แดดจ้าอยู่เลยรู้สึกว่าเวลาช้าลงเล็กน้อย

ผมเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา แค่นึกว่าอีกเดี๋ยวพี่จีกอนที่เลิกงานแล้วจะกลับเข้ามา ก็คล้ายกับว่านิ้วนางข้างซ้ายจะรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ถึงจะอยากหนีหน้าแค่ไหน แต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยจีซอกที่เพิ่งเริ่มกินข้าวไว้คนเดียวได้ ผมจะทิ้งเขาไปเฉยๆ โดยวางถาดอาหารทิ้งไว้บนตักของเขาที่แม้แต่แรงจะจับช้อนยังแทบไม่มีได้ยังไงกัน

ระหว่างที่กำลังละล้าละลังอยู่นั้นเอง

เสียงกลไกที่คุ้นเคยของตัวดอร์ล็อกก็ดังมาจากโถงทางเข้า ไม่นานนักบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงของใครบางคนที่เดินเข้ามา

“พี่กลับมาแล้วเหรอ”

จีซอกชะโงกหน้าไปมองทางช่องประตูที่เปิดอ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ต่างจากผมที่ไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้ามองไปทางนั้น รู้ตัวอีกทีผมก็นั่งตัวแข็งทื่อไหล่เกร็งโดยสอดมือซ้ายซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้ว

เพียงครู่เดียวเสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามา ก่อนที่คนด้านนอกจะเปิดประตูห้องของจีซอกออกกว้าง

“จีซอกอา* หัดปิดประตูซะบ้างสิ…เอ๊ะ? ใครน่ะ”

ทันทีที่ได้ยินเสียงจากทางฝั่งประตู ความตึงเครียดก็พลันมลายหายไปในทันที

ภาพที่หันไปเห็นคือผู้หญิงวัยเลขสองที่มัดผมตรงยาวเป็นหางม้าในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนพลิ้วไหว ไม่รู้ทำไมยีนของคนบ้านนี้ถึงได้เด่นขนาดนี้ เพียงแค่มองผ่านๆ ก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าเธอเป็นพี่น้องกับจีซอก และที่สำคัญคือผมเคยเจอเธออยู่บ่อยๆ ช่วงที่ติวพิเศษกับพี่จีกอนสมัยเรียนมัธยมปลาย

พี่คังจียอนเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยแววตาที่เป็นประกายคล้ายกับว่าจำผมได้ในทันที

“อูซอ? ชินอูซอใช่ไหม”

“สวัสดีครับพี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่พี่จีกอนงานยุ่งจนไม่ได้เห็นหน้า ช่วงเดียวกันนั้นพี่จียอนก็เข้าทำงานในบริษัทดีไซเนอร์ชื่อดังและยุ่งจนไม่มีเวลาให้ได้ลืมหูลืมตาไปอีกคน เธอเป็นหนึ่งในสองคนที่ทำให้ผมคิดว่าพอเป็นพนักงานบริษัทแล้วตัวผมเองก็คงจะยุ่งแบบนั้นเหมือนกัน และแน่นอนว่าผมเองก็ไม่ได้เจอพี่เขาเสียนาน

ในระหว่างที่พี่จียอนมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยแววตาระยิบระยับแล้วชมเปาะว่า ‘โตขึ้นเยอะเลยนี่’ จีซอกที่ตักโจ๊กเข้าปากเพิ่มอีกสองสามคำก็เหมือนมีแรงขึ้นมาหน่อยเลยถามขึ้น

“ทำไมพี่กลับเร็วอีกแล้วล่ะ”

“ก็เห็นพี่กอนนี่บอกว่านายป่วยใกล้ตาย ฉันเลยรีบเลิกงานแล้วบึ่งมาดูน่ะสิ”

พี่จียอนไล่สายตามองสภาพของจีซอก อาหารที่วางอยู่บนตัก และยาที่วางอยู่บนโต๊ะตามลำดับ ก่อนจะตีแขนของผมเบาๆ อย่างชื่นชม

“อูซอเนี่ยดูแลคนอื่นดีเหมือนเดิมเลยน้า ดูแลน้องชายพี่ได้ดีกว่าพี่ซะอีก”

จีซอกที่ได้ยินดังนั้นจึงแกล้งหยอกพี่สาวเล่นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ใช่ ดีกว่าพี่เยอะ ถ้าเป็นพี่นะ ต่อให้ป่วยเจียนตายก็คงจะให้กินแต่รามยอน…!”

“ว่าไงนะ ไอ้เด็กนี่หนิ”

“เปล่าพูดอะไรสักหน่อย ยังไงก็ขอโทษด้วยแล้วกันนะครับคุณพี่สาว”

ผมหลุดหัวเราะเมื่อเห็นทั้งสองคนต่อปากต่อคำกันก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้และมาเช็กเวลาเอาทีหลัง

โอ๊ย นี่มันไม่ใช่เวลามามัวยืนหัวเราะอยู่นะ

ขืนยังมัวอ้อยอิ่งต่อมีหวังผมคงได้เผชิญหน้ากับพี่จีกอนแน่

“พี่ครับ ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อน ฝากดูแลจีซอกต่อด้วยนะครับ”

“จะกลับแล้วเหรอ ยังไงก็ขอบใจที่ช่วยดูแลนะ”

ผมออกจากห้องมาโดยทิ้งพี่จียอนที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มและจีซอกที่โบกมือขอบคุณไว้ข้างหลัง ขณะเดียวกันก็ได้ยินพี่จียอนพูดทิ้งท้ายว่า ‘จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด’ และ ‘น่ารักจริงเชียว’ ดังไล่ตามหลังมา ถึงจะยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนไป แต่การชมผู้ชายอกสามศอกที่แค่ตัวเล็กกว่าจีซอกนิดหน่อยด้วยคำว่า ‘น่ารัก’ นั้นก็ชวนให้ผมรู้สึกอยากเถียงกลับไปใจจะขาด

แต่ผมก็ไม่ได้ว่างพอที่จะมาใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพวกนั้น จิตใจที่กระวนกระวายทำให้ฝีเท้าของผมฉับไวมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมพยายามสงบความว้าวุ่นใจขณะรอลิฟต์ ถึงแม้ตอนนี้ผมจะอยู่ในสภาพอดนอนและอ่อนไหวง่ายชนิดที่เผลอหน่อยเดียวก็เดินเซแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากหนีหน้าพี่จีกอนเพราะยังเตรียมใจมาไม่พร้อม ผมไม่มั่นใจพอที่จะพูดอย่างหน้าตาเฉยว่า ‘ผมคือคู่ของพี่ครับ’ และถึงจะกล้าพูดออกไป ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะต้องทำยังไงต่อหลังจากนั้น พอคิดถึงเรื่องนี้ทีไรในหัวก็จะยิ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายจนปวดหัวหนักกว่าเดิม

ผมใช้มือขวากุมขมับพร้อมกับขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าตัวเองจะทนอยู่ในสภาพนี้ได้อีกสักกี่วัน ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา

ระหว่างนั้นลิฟต์ที่เลื่อนขึ้นมาถึงก็ส่งเสียงสั้นๆ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดแยกออกซ้ายขวา ผมตั้งท่าจะเดินเข้าไป แต่แล้วก็จำต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างใน

“…!”

คนที่ยืนอยู่ในลิฟต์ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพี่จีกอน อาจเพราะเขาอยู่ในชุดสูทที่มีสีโทนเข้มกว่าที่เห็นคราวก่อนระดับหนึ่ง บรรยากาศที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขาจึงดูหนักอึ้ง ความรู้สึกหวาดกลัวเข้าปกคลุมสมองของผมถึงขนาดที่คิดขึ้นมาเป็นอย่างแรกว่าเขาดูอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ อย่าไปยุ่งกับเขาเลยจะดีกว่า

หลังจากมองพี่จีกอนนิ่งด้วยสีหน้าตกใจ เวลาก็ไหลผ่านไปจนประตูลิฟต์ปิดลงโดยอัตโนมัติ แต่แล้วพี่จีกอนก็ช่วยกดปุ่มเปิดประตูเอาไว้ให้แล้วเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“อูซอยา ไม่เข้ามาเหรอ”

น้ำเสียงที่ถามฟังดูเย็นชาไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่นี่ไม่ใช่เวลามาใส่ใจเรื่องนั้น ผมรีบก้มศีรษะทักทายก่อนจะสบตาเขา

“สวัสดีครับพี่”

“อืม สวัสดี ว่าแต่นายไม่ขึ้นมาเหรอ”

“เอ่อคือ…ขึ้นครับ แต่ว่า…”

ดวงตาที่เฉียบคมแต่ดูเหนื่อยล้าของพี่เขากะพริบหนึ่งครั้ง

“เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง เข้ามาสิ”

“ครับ? ไม่เป็นไรครับ”

“ตอนนี้พี่เพลียนิดหน่อย แต่เดี๋ยวจะรีบไปส่ง ไม่ขึ้นมาสักทีล่ะ”

หากฟังเพียงแค่คำพูด พี่เขาก็ใจดีเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงหรือบรรยากาศถึงได้ดูน่าเกรงขามแปลกๆ ผมลอบกลืนน้ำลายที่แห้งผากแล้วเข้าลิฟต์ไปอย่างเสียไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็ไม่วายซ่อนนิ้วนางข้างซ้ายไว้ข้างหลังเพื่อไม่ให้เขาเห็น

พี่จีกอนกดปุ่มชั้นใต้ดินชั้นที่สองแทนที่จะกดชั้นหนึ่ง เขาเหลือบมองผมก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง แม้จะไม่ได้ปรายตามาทางผมอีก แต่ผมก็กระวนกระวายใจจนหัวใจเริ่มเต้นรัวขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องที่เคยสัมผัสตัวกับเรา พี่เขาคงจำไม่ได้หรอกมั้ง?

ถ้าจำได้ป่านนี้ก็น่าจะถามเรื่องแหวนไปแล้ว

ผมแอบชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของพี่จีกอนด้วยแววตาประหม่า เขาใช้ปลายนิ้วกดนวดตรงหว่างคิ้วราวกับเหนื่อยล้าเอามากๆ ความรู้สึกผิดและความหวั่นวิตกถาโถมเข้ามาจนหัวใจของผมหนักอึ้ง

ตัวลิฟต์เคลื่อนลงไปหยุดอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง พอประตูลิฟต์เปิดออก ผมถึงได้รู้ว่าชั้นนี้คือลานจอดรถ

คำพูดที่บอกว่าจะไปส่งคงไม่ได้หมายความว่าจะไปส่งถึงบ้านหรอกนะ?

แต่แล้วพี่จีกอนก็เดินตรงไปที่รถเหมือนอย่างที่ผมคาดเอาไว้

“พี่ครับ เดี๋ยวผมเดินกลับเองดีกว่าครับ”

ผมไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะสามารถนั่งอยู่ในรถของพี่จีกอนอย่างใจเย็นได้เลยเลือกที่จะหยุดเดินแล้วบอกเขา แม้ผมจะฝืนคลี่ยิ้มและบอกเขาแล้วว่าตัวเองอยู่ใกล้แถวนี้ แต่พี่จีกอนก็หันกลับมามองผมด้วยประกายตาคมกริบอย่างบอกไม่ถูก

“ผมไม่เป็นไร พี่ไปดูจีซอกเถอะครับ”

“เรื่องที่จีซอกป่วยน่ะ ปล่อยให้ทางจียอนจัดการไปเถอะ”

ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้รีบกลับคอนโดฯ มาเพราะคังจีซอกป่วยตั้งแต่แรก

พี่จีกอนก้าวอาดๆ เข้ามาคว้าแขนซ้ายของผมเอาไว้ ผมสูดหายใจเข้าก่อนดวงตาที่ดูลนลานตกใจจะเห็นวงแหวนสีแดงเข้มที่ปรากฏอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเขา ทันทีที่เห็นมันผมก็รู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง

“ความจริงแล้วพี่มีธุระกับนายนิดหน่อยน่ะ”

หัวใจที่กำลังเต้นตึกตักพลันกระตุกวูบ

ผมถูกเขาจับแขนไว้แน่นมาก จากนั้นพี่จีกอนก็ใช้มือซ้ายคว้าข้อมือซ้ายของผมแล้วชูขึ้น มือข้างซ้ายของผมพลันปรากฏชัดสู่สายตา โดยที่พี่เขาไม่ปล่อยให้ผมมีแม้แต่เวลาจะชักแขนออกหรือถอยหนีด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งของเขา

ดวงตาของพี่จีกอนสั่นไหวอย่างรุนแรงไปชั่วพริบตาหนึ่ง

พี่เขาขบริมฝีปากล่างโดยที่สายตายังคงจับจ้องวงแหวนสีแดงที่พันอยู่รอบนิ้วนางข้างซ้ายของผม

ผมไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร จะบอกว่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันดีไหมนะ จะบอกว่าผมคาดไม่ถึงแล้วก็ไม่นึกเลยว่าพี่จะเกี่ยวข้องกับแหวนนี่ดีไหมนะ หรือว่าจะขอโทษขอโพยแล้วแก้ตัวว่าตั้งใจจะบอกแต่แรกอยู่แล้วดี

ผมปิดปากเงียบสนิทอย่างพูดอะไรไม่ออก พี่จีกอนจึงจับแขนของผมแล้วลากไปทั้งอย่างนั้น

“เอ่อ…พี่ครับ! เดี๋ยวก่อนครับ”

“…”

ท่าทางของเขาดูโกรธมาก ภาพตรงหน้าของผมวูบไหวเมื่อคิดได้ว่างานเข้าแล้วแน่ๆ

พี่จีกอนลากผมไปที่รถของเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระทั่งตอนที่ถูกดันเข้าไปนั่งบนเบาะที่นั่งข้างคนขับ ผมก็ยังกังวลอยู่อึดใจหนึ่งว่าควรจะบอกพี่เขาว่ายังไงดี ถ้าแหวนนี่เชื่อมกับคนแปลกหน้า ผมคงพูดอะไรออกไปได้อย่างชัดถ้อยชัดคำแล้ว แต่นี่อีกฝ่ายดันเป็นพี่ชายแท้ๆ ของจีซอก ในหัวผมเลยขาวโพลนไปหมด ถึงจะเคยคิดว่าอย่างไรเสียก็คงต้องเปิดเผยเรื่องนี้กับเขาเข้าสักวัน แต่ผมก็ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาโชว์นิ้วนางข้างซ้ายให้พี่เขาเห็นในสถานการณ์แบบนี้

พี่จีกอนเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับก่อนจะปิดประตูลงเสียงดังปัง ผมได้แต่นั่งตัวเกร็งจนไหล่สั่น และทันใดนั้นพี่เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ราวกับพรั่งพรูลมหายใจที่กักเก็บไว้เป็นเวลานานออกมา แต่กระนั้นความหงุดหงิดก็น่าจะยังไม่มลายหายไป พี่เขาจึงกระชากเนกไทที่ผูกไว้อย่างเรียบร้อยออกแล้วโยนไปที่เบาะด้านหลัง ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบนตามมา

“ดูเหมือนนายจะรู้อยู่แล้วเลยนะ”

ผมเม้มริมฝีปากให้กับคำพูดของพี่จีกอน

“ทำไมไม่บอกกันล่ะ”

คำถามนี้ผมก็ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีกเช่นเคย ผมได้แต่นั่งกังวลเพราะตอบออกไปตามตรงไม่ได้ว่าเขาเป็นพี่ชายของคนที่ชอบ

ความเงียบยังคงดำเนินไปอย่างเสมอต้นเสมอปลาย พี่จีกอนถอนหายใจออกมายาวเหยียดเหมือนคิดอะไรออกก่อนจะหันหน้ามาทางผม

“อูซอยา”

“…ครับ”

ผมหลุบตาลงต่ำพลางก้มหน้างุดพร้อมกับรวบรวมความกล้าตอบกลับไป

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ พี่จีกอนที่ได้รู้ว่าแหวนของตัวเองเชื่อมกับเพื่อนสนิทของน้องชายตัวเองก็คงอึดอัดใจไม่แพ้กัน และพี่เขาก็คงจะโกรธผมมากที่รู้เรื่องนั้นแล้วแต่กลับปิดปากเงียบ

ความรู้สึกผิดอันเลือนรางเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างและกดทับลงมาบนบ่าของผม

ไม่รู้ว่าพี่จีกอนรู้เรื่องนั้นหรือเปล่า เขาถึงได้ไม่ยอมละสายตาไปจากผมเลย

“พี่จะไม่อ้อมค้อมนะ เรามา ‘ลองทำ’ กันสักเดี๋ยวเถอะ”

ผมเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ดังออกมาจากปากของพี่จีกอน

“…ครับ? ลองทำเหรอครับ”

พี่จีกอนยื่นมือมากำมือข้างซ้ายของผมแน่นจนรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาในชั่วพริบตา

“มานอนกันเถอะ สักหนึ่งชั่วโมง”

พี่จีกอนหยิบมือถือออกมาตั้งเวลาปลุกอย่างไม่รีรอ มือของเขากำข้อมือผมแน่นราวกับว่าจะไม่ปล่อยผมไปเด็ดขาด

 

อันที่จริงผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม หลังจากมีอาการนอนไม่หลับนับตั้งแต่วันที่วงแหวนปรากฏขึ้นมา ผมหวังอย่างมากว่าเพียงแค่ขอได้นอนหลับสักครู่หนึ่งก็พอ

แต่หลังจากตื่นขึ้นมา ลมหายใจที่อ่อนแรงก็พรูออกมาจากริมฝีปากของผม

เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

มันคือหนึ่งชั่วโมงที่ผมสัมผัสได้ถึงการนอนหลับที่แสนสบาย ก่อนจะต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่พี่จีกอนตั้งไว้ แม้จะได้นอนหลับเพียงแค่ช่วงสั้นๆ แต่ผมกลับรู้สึกสดชื่นและอารมณ์ดีราวกับความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาถูกปัดเป่าจนหายไปกว่าครึ่ง ผมอยากนอนหลับตาโดยไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคิดแบบนี้อีกครั้ง

“ฮึ…”

ผมที่กำลังงัวเงียอยู่ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายหันหน้าไปตามเสียงแค่นหัวเราะที่ดังมาจากคนข้างตัว บรรยากาศที่ตึงเครียดก่อนจะหลับใหลไปเมื่อครู่พลันหายไปจากตัวพี่จีกอนจนหมดสิ้น เขาเสยผมขึ้นพลางแค่นหัวเราะเสียงเบา ผมถึงกับตกตะลึงพลางคิดว่าแม้แต่ท่าทางยามหัวเราะนั้นก็ยังเหมือนจีซอกมากจริงๆ

ทั้งที่ตื่นนอนแล้ว แต่พี่จีกอนยังคงจับมือผมแน่นราวกับไม่คิดจะปล่อยไป

“ชินอูซอ”

น้ำเสียงของเขาที่เรียกผมนั้นฟังดูนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย

“นายอยากทำงานพิเศษไหม”

“งานพิเศษอะไรเหรอครับ”

พี่จีกอนชูมือของผมที่ยังคงจับไว้แน่นมาจนถึงตอนนั้นขึ้นมา

 

* อา หรือยา ใช้เติมหลังชื่อคนเวลาขานเรียกสำหรับคนที่สนิทใจกันเท่านั้น โดยเป็นการเติมเข้าไปเพื่อให้หางเสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลขึ้น ทั้งนี้มีหลักการใช้คือหากท้ายชื่อมีตัวสะกดใช้ ‘อา’ หากท้ายชื่อไม่มีตัวสะกดใช้ ‘ยา’

Chapter 2 คังจีกอน

 

ผมไม่เคยคิดว่าน้องของตัวเองน่ารักเลยแม้แต่สักนิด ถึงจะมีน้องสาวที่อายุห่างกันสามปีและน้องชายที่อายุห่างกันเจ็ดปี แต่ทั้งหน้าตาและบุคลิกของทั้งคู่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าน่ารักน่าเอ็นดูลิบลับ ยิ่งเวลาทำตัวออดอ้อนออเซาะอย่างโน้นอย่างนี้เพื่อเงินค่าขนม ผมก็มีแต่จะยู่หน้าด้วยความหมั่นไส้

หากนับจำนวนครั้งที่รู้สึกว่ามีใครน่ารักบ้างในชีวิตนี้ด้วยนิ้วแล้ว เห็นทีว่าคงจะนับได้เพียงแค่สามสี่นิ้ว แต่ถ้ารวมสัตว์เข้าไปด้วยก็น่าจะนับได้มากกว่านั้น เพราะแบบนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะมีใครสักคนดูน่ารักในสายตาของผม

แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้พบว่าวงแหวนแห่งโชคชะตาได้ถักทอให้โชคชะตาของผมเชื่อมกับใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ในลิสต์ ‘คนน่ารัก’ ที่แสนหายากคนนั้น

 

คังจีซอกน้องชายของผมมีเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายอยู่คนหนึ่ง หลังจากพ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ ผมก็รับฟังเรื่องราวต่างๆ จากจีซอกมาตั้งแต่ตอนนั้นเสมือนกับพ่อคนหนึ่ง แต่จะมีเพื่อนคนพิเศษอยู่คนหนึ่งที่จีซอกมักจะเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ แค่ฟังเรื่องราวที่เขาพรั่งพรูออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นก็พอจะรู้ได้แล้วว่าสองคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทที่เข้ากันได้ดีขนาดไหน

ต่อให้จะมีเพื่อนคนอื่นๆ อยู่บ้าง สองคนนี้ก็จะกินข้าวด้วยกันตลอดและตัวติดกันไปทุกที่ทุกเวลาอย่างไม่รู้จักเบื่อ เวลาไปไหนก็ไปด้วยกัน แม้แต่เวลาทำการบ้านหรือติวหนังสือก็มักจะมีอีกคนคอยอยู่ข้างกายเสมอ หรือถ้าหากอีกคนต้องการอะไรก็จะรับรู้ได้ก่อนเสมอราวกับสื่อสารกันผ่านกระแสจิตได้ แถมเวลาพูดคุยก็เข้าขากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจนสามารถคุยได้หลายชั่วโมงติดต่อกัน

‘พวกนายเป็นคู่สามีภรรยากันหรือไง’

แค่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดผมก็โพล่งคำถามนั้นออกไปทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ถึงอย่างนั้นคังจีซอกในวัยมัธยมปลายก็ไม่ได้กระฟัดกระเฟียดอะไร ตรงกันข้ามเขากลับหัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า ‘ก็มีคนชอบถามแบบนี้อยู่บ่อยๆ เหมือนกันแหละ’ ทั้งยังพูดติดตลกตามมาอีกว่า ‘ถ้ามีผู้หญิงที่ใจตรงกันเหมือนเพื่อนคนนั้น ป่านนี้ผมคงสารภาพรักไปแล้ว’

ในตอนที่วงแหวนเกิดขึ้นและแพร่กระจายบนโลกใบนี้ การตระหนักรู้ของคนเกาหลีก็เปลี่ยนไปมากถึงขนาดที่มีการตัดสินให้การแต่งงานสำหรับบุคคลที่มีเพศเดียวกันได้รับความเห็นชอบด้วยรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะแต่งงานกับเพศเดียวกัน อย่างคังจีซอกเองก็ยังมั่นคงในรสนิยมของตัวเองไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ต่างก็มีความชอบที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าผมรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่เด็กประเภทที่จะทิ้งรสนิยมของตัวเองและมองเพื่อนเป็นคู่เดตได้

อันที่จริงตอนได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนคนนั้น ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเด็กคนนั้นต้องเป็นคนดีแน่ๆ…ไม่สิ คงต้องบอกว่าเป็นเด็กหัวอ่อนเสียมากกว่า

ผมที่กลืนไปกับสังคมหรือแม้แต่คังจีซอกเองก็ยังมองเขาเป็นแค่เด็กที่อ่อนต่อโลกขนาดที่ต้องอบรมก่อนถึงจะออกไปเผชิญชีวิตในสังคมจริงได้ เขาไม่ต่างอะไรกับคนหน้าโง่ที่เวลามีใครขอร้องก็ปฏิเสธไม่เป็นและไม่ว่าจะถูกใครเอาเปรียบก็ไม่ติดใจ แต่ในอีกด้านหนึ่งจากที่ได้ยินมา เพื่อนคนนั้นก็ใช่ย่อยเหมือนกัน เรื่องไหนที่อาจทำให้คังจีซอกตกที่นั่งลำบาก เขาก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเสมอ ทั้งยังเอื้อเฟื้ออย่างเต็มที่แม้จะไม่ได้พูดออกมาจากปากอย่างชัดเจนก็ตาม ทำเอาผมเผลอคิดไปว่าคำพูดที่ว่า ‘คนประเภทเดียวกันมักดึงดูดกันเอง’ นั้น ดูท่าคงจะมีไว้ใช้กับความสัมพันธ์แบบนี้

และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกสนใจเด็กคนนี้ขึ้นมาเล็กน้อย

คังจีซอกที่เป็นน้องชายคนเล็กมักเล่าเรื่องของตัวเองเป็นฉากๆ ชนิดที่หากจะทำเป็นไม่สนใจก็คงไม่ได้ ต่างจากน้องสาวคนกลางอย่างคังจียอนที่ถือคติไม่อะไรกับใครและมีโลกส่วนตัวสูงอย่างสิ้นเชิง แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมสนใจตัวละครพิเศษที่โผล่มาในเรื่องเล่าของน้องชายผมเป็นประจำได้ยังไงกัน

ดังนั้นผมจึงหลุดพูดออกไปว่า ‘ลองพามาบ้านสักครั้งสิ’ ซึ่งฟังดูคล้ายกับคำพูดที่บอกว่า ‘ถ้ามีคนที่คบอยู่ก็พามาให้เจอบ้างสิ’ ไม่มีผิด

ผมล่ะสงสัยจริงเชียวว่าเด็กนั่นจะหัวอ่อนขนาดไหน…

น่ารักแฮะ

แต่แล้วความคิดนั้นก็ผุดขึ้นมาทันทีที่จีซอกเปิดรูปที่ถ่ายคู่กับเพื่อนคนนั้นให้ผมดู

มันเป็นรูปที่พวกเขาสองคนนั่งอยู่ข้างกันบนม้านั่ง โดยที่จีซอกอยู่ในท่าที่กำลังโอบไหล่เพื่อนคนนั้นเอาไว้ ดูจากหนังสือหน้าตาเหมือนแบบฝึกหัดที่วางอยู่บนตัก ดูเหมือนทั้งคู่น่าจะกำลังอ่านหนังสือหรือทำการบ้านกันอยู่ เพราะแบบนั้นผมเลยรู้สึกเหมือนกับว่าเด็กคนนี้คงจะเป็นเด็กนักเรียนตัวอย่างที่หงิมๆ ต่างจากจีซอกที่ขี้เล่น

เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนที่เข้ากับจีซอกได้ดี ผมเลยนึกว่าจะตัวใหญ่เอาเรื่อง แต่ที่ไหนได้เขากลับดูผอมแห้งและหุ่นบางไปถนัดตาเมื่อเทียบกับน้องชายของผมที่มีรูปร่างกำยำ ถึงแม้ผมอาจจะเห็นไม่ชัดเพราะทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ แต่ภาพลักษณ์ภายนอกของเขาก็ดูอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่ขาวใสและส่วนสูงที่ถึงแม้จะอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าน้อยแต่ก็ยังดูดี

เด็กคนนั้นมีรอยยิ้มกับใบหน้าที่ดูเรียบร้อยต่างจากรอยยิ้มของจีซอกที่ดูสดใสและซุกซน ดวงตาที่หยียิ้มอย่างอ่อนโยนและริมฝีปากที่มีชีวิตชีวานั้นคล้ายจะดึงดูดสายตาของผมเป็นพิเศษ

ผมประทับใจรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ราวกับกำลังมองใครสักคนด้านหลังกล้องด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก แต่น่าเสียดายที่ภาพนั้นดันเป็นภาพเซลฟี่จากมือถือจึงไม่มีทางที่จะมีใครอยู่ข้างหลังได้

‘เด็กนี่ชื่ออะไรน่ะ’

พอพยักพเยิดคางไปทางรูปเด็กคนนั้นที่ปรากฏอยู่เต็มหน้าจอ คังจีซอกก็ตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล

ชินอูซอ

หลังจากที่ได้ยินเป็นครั้งแรก ผมก็จำชื่อนั้นได้ในทันที

 

วันหนึ่งที่ฝนเทกระหน่ำลงมากะทันหัน

ผมได้รับข้อความงอแงจากจีซอกว่าวางร่มทิ้งไว้ อุตส่าห์ได้กลับบ้านเร็วทั้งที แต่ยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ผมก็ต้องขับรถออกไปอีกครั้ง

ในตอนที่ขับไปจนเกือบถึงประตูใหญ่หน้าโรงเรียนมัธยมปลายที่แสนคุ้นเคย ข้อความข้อความหนึ่งจากจีซอกก็เด้งขึ้นมา

 

เพื่อนบอกว่าจะไปส่งที่บ้าน ไม่ต้องมาแล้วนะพี่

 

มาบอกเอาตอนที่ถ่อมาถึงโรงเรียนแล้วเนี่ยนะ

การส่งข้อความระหว่างขับรถเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดมาก ผมเลยจอดรถใกล้ๆ โรงเรียนแล้วโทรไปหาน้องชายตัวดี

‘อยากตายสินะคังจีซอก?’

ผมขบกรามพลางพูดเสียงต่ำทันทีที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์ จีซอกเลยถามเสียงอ่อยๆ กลับมาว่า ‘นี่พี่มาถึงแล้วเหรอ’

‘ถึงประตูใหญ่แล้ว รีบมาขึ้นรถซะ’

‘ครับ คุณพี่ชาย!’

เขาตอบกลับมาเสียงดังฟังชัด ก่อนที่เสียงคุยกับใครบางคนจะดังแว่วๆ ตามหลังมา ผมรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือเพื่อนของน้องชายที่ชื่อชินอูซอ

ผ่านไปไม่นานผมก็เห็นจีซอกกับอูซอเดินพ้นประตูใหญ่ออกมาพร้อมกับร่มสีเทาที่น่าจะเป็นของอูซอ ร่มคันนั้นดูเล็กเกินกว่าที่ผู้ชายสองคนจะใช้ด้วยกัน แต่กระนั้นแขนของจีซอกที่อยู่นอกร่มก็ไม่ได้เปียกมากนัก ตรงข้ามกับอูซอที่เป็นคนจับคันร่ม แม้แขนที่โผล่พ้นร่มจะเปียกโชกไปหมดแล้ว แต่เขาก็ดูไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะแอบบิดไหล่เพื่อไม่ให้จีซอกเห็นด้วย

จีซอกเดินมาที่รถก่อนจะขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง อูซอยิ้มขณะเอียงร่มส่งเพื่อไม่ให้เจ้าน้องชายของผมตัวเปียก ผมคงถูกใจรอยยิ้มนั้นเข้าเลยหลุดโพล่งคำพูดที่ไม่เคยพูดกับเพื่อนคนไหนของจีซอกมาก่อนออกมา

‘เดี๋ยวฉันไปส่งเพื่อนนายให้ด้วย บอกให้ขึ้นมาสิ’

พอผมปรายตามองไปทางอูซอ จีซอกก็รีบเปิดประตูรถออกทันทีด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่อูซอกลับยืนกรานว่าคนละทางกับบ้านของตัวเองแล้วปิดประตูรถกลับคืนโดยไม่ยอมขึ้นมาจนถึงที่สุด ผมเลยขับรถออกไปทั้งอย่างนั้น โดยทิ้งอูซอที่โค้งศีรษะบอกลาผ่านกระจกรถติดฟิล์มฝั่งข้างคนขับไว้ข้างหลัง

อูซอที่ผมเห็นผ่านกระจกมองหลังดูมีบางอย่างแปลกๆ แม้จะมองเห็นใบหน้าที่ถูกน้ำฝนบดบังนั้นไม่ชัด แต่ผมมั่นใจว่าเขากำลังมองมาทางนี้

การที่คนเป็นเพื่อนกันโดยเฉพาะเพื่อนผู้ชายมายืนเฝ้ามองเพื่อนอีกคนที่กำลังห่างออกไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายฝนแบบนี้มันปกติเหรอ

ก็คงจะเป็นไปได้ล่ะมั้ง

ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน คิดแค่ว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีของน้องชายก็เท่านั้น

 

หลังจากวันนั้นชินอูซอก็ตามจีซอกมาโผล่หน้าที่บ้านของผมบ่อยๆ ช่วงนั้นผมลาออกจากบริษัทและกำลังเตรียมก่อตั้งธุรกิจที่บ้านอยู่พอดีเลยได้เจอกันเป็นประจำอย่างช่วยไม่ได้ ผมถูกใจเขามากเพราะเขาเป็นเด็กที่เรียบร้อยและเป็นผู้ใหญ่ต่างจากน้องชายของผม บางครั้งที่เห็นรอยยิ้มน่ามองของเขา ผมก็จะเผลอยื่นมือไปลูบศีรษะของเขาอย่างลืมตัว เพราะแบบนั้นเราเลยสนิทกันเหมือนพี่ชายกับน้องชายแท้ๆ โดยไม่มีกำแพงในใจ

หลังจากที่จีซอกกับอูซอขึ้นชั้นมัธยมปลายปีสาม ผมที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่พวกเขาตั้งใจจะเรียนต่อจึงรับหน้าที่เป็นติวเตอร์พิเศษให้ มหาวิทยาลัยนั้นมีคะแนนสอบเข้าขั้นต่ำสูงมาก สำหรับอูซอ ผมหายห่วง แต่ปัญหานั้นอยู่ที่จีซอก อย่างไรเสียผมก็อยู่ติดบ้านเป็นหลักอยู่แล้วเพราะกำลังเตรียมทำธุรกิจ เลยตั้งใจจะติวหนังสือให้ทั้งคู่ฟรีๆ แต่ไม่ว่าจะปฏิเสธยังไงอูซอก็ยืนกรานหนักแน่นว่าจะจ่ายค่าสอนพิเศษให้ผมจนได้อยู่ดี ดังนั้นช่วงนั้นผมเลยถูกอูซอเรียกว่า ‘อาจารย์’ มากกว่าจะเรียกด้วยคำว่า ‘พี่’ เสียอีก

พวกเราสนิทกันอย่างรวดเร็วในช่วงที่ติวหนังสือ หลังจากสอนเสร็จก็มักจะมานั่งรวมกันดูหนังในห้องนั่งเล่น แล้วก็ใช้คอมพิวเตอร์กับโน้ตบุ๊กเล่นเกมกันสามคน วันหนึ่งเราลองดูแอพพลิเคชั่นที่ผมเป็นคนพัฒนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แล้วก็มีอยู่อีกวันหนึ่ง พอรู้ว่าอูซอไม่ได้ไปช็อปปิ้งกับครอบครัวนานแล้ว พวกเราเลยไปห้างด้วยกันแล้วเดินเที่ยวอยู่พักใหญ่

ความจริงแล้วตอนนั้นไม่ว่าจะทำอะไรผมก็รู้สึกโอเคไปหมด ตอนนั้นผมก็แค่กำลังกดดันกับการเริ่มต้นทำธุรกิจ ในหนึ่งวันเลยครุ่นคิดอยู่นับครั้งไม่ถ้วนว่าควรจะกลับไปทำงานในบริษัทดีไหม และนั่นก็เป็นวิธีคลายความรู้สึกอึดอัดของผม ยิ่งไปกว่านั้นอูซอที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัยก็ยังมีไหวพริบดีเยี่ยม ผมเลยแทบไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังคบกับเด็กอยู่เลย

ชินอูซอเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างสบายใจ ต่อให้จะไม่ได้พูดอะไรก็จับสังเกตได้และรักษาเส้นของความเป็นส่วนตัวเอาไว้ แต่บทจะเข้าหาก็เข้าหาจนทำเอาคนอื่นใจเต้น พร้อมทั้งยิ้มหวานชนิดที่อาจทะลวงหัวใจคนมองออกมาได้ พอรู้จักตัวตนที่ชอบดูแลและห่วงใยคนอื่นอย่างไม่เปิดเผยของเขา บางทีผมก็แอบคิดว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีเกินไปสำหรับเจ้าคังจีซอกน้องชายตัวดีของผมหรือเปล่านะ

เพื่อนที่หวังพึ่งพาได้ของน้องคนเล็ก นักเรียนที่ฉลาด เด็กไหวพริบดี

ชินอูซอเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ที่เห็นหน้าบ่อยชนิดที่เรียกว่าเจอหน้ากันทุกวันก็ยังได้ นั่นแหละคือตัวตนของเขาสำหรับผม

ไม่สิ…มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น

แต่ในวันหนึ่งหลังจากวันนั้นไม่นาน ผมก็ได้รู้ว่าความคิดและความรู้สึกที่สั่งสมมาตลอดนั้นเป็นอย่างอื่นไปโดยสิ้นเชิง

 

วันหนึ่งในฤดูร้อนที่สองคนนั้นยังอยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่สาม

‘จีซอกกินยาแล้วนอนอยู่น่ะ หลับลึกแบบนี้น่าจะตื่นทันทียากนะ’

ผมเล่าอาการของจีซอกให้อูซอฟังแทนเจ้าตัวที่เป็นไข้หวัดนอกฤดูในฤดูร้อนและลุกจากเตียงมาไม่ได้ อูซอที่มาติวพิเศษในวันสุดสัปดาห์ทำหน้ากังวลเมื่อได้ยินอาการของจีซอก เขาว้าวุ่นใจอย่างน่ารักว่าถ้ารู้ล่วงหน้าป่านนี้ก็คงซื้อยาหรือโจ๊กมาให้แล้ว ผมจึงบอกไปว่าไม่เป็นไรเพราะเตรียมยาไว้ล่วงหน้าสำหรับน้องเล็กที่ชอบป่วยเป็นไข้หวัดในฤดูร้อนแบบนี้อยู่แล้ว และเวลานี้ก็สั่งโจ๊กให้มาส่งได้ แต่ใบหน้าของอูซอก็ยังไม่คลายความกังวลลงง่ายๆ

ผมรู้สึกว่าสมาธิของอูซอหลุดลอยไปที่อื่นอยู่ตลอดเวลาที่ติวพิเศษกัน โจทย์ที่ปกติใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็แก้ได้กลับต้องใช้เวลาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ อธิบายอะไรไปก็ไม่เข้าใจในทันที พอเห็นเขาแก้โจทย์ที่เพิ่งเรียนไปผิดเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ผมก็รู้สึกว่าเขาคงไม่ไหวแล้วเลยบอกไปว่าพักดื่มกาแฟสักแก้วน่าจะดี

ในตอนนั้นเองขณะที่ผมเตรียมอเมริกาโนให้อูซอที่ไม่ค่อยชอบของหวานเสร็จแล้วและกำลังเดินไปที่ห้อง ผมก็เห็นประตูห้องของจีซอกเปิดแง้มอยู่เลยเปิดประตูเข้าไปเพื่อดูว่าจีซอกตื่นแล้วหรือยัง แต่ผมกลับเห็นน้องชายที่กำลังนอนหลับสนิทและอูซอที่วางมืออยู่บนหน้าผากของเขาด้วยสีหน้าทรมานใจ อูซอเป็นเด็กที่ต่อให้ตัวเองเจ็บก็ไม่เคยทำหน้าเหยเกเลยสักครั้ง แต่ท่าทางที่เขาก้มมองจีซอกนั้นดูเจ็บปวดเกินกว่าจะหาใดเปรียบ

ถ้ามันจบแค่ตรงนั้นผมก็อาจจะไม่แน่ใจ และอาจจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นบรรยากาศแปลกๆ และสายตาชวนให้คิดที่ไม่เหมือนมองเพื่อนทั่วไปแล้วปล่อยผ่านไปได้

ทว่าอูซอกลับทำลายความคิดนั้นของผม เขาลดริมฝีปากลงไปจูบจีซอกที่นอนไม่รู้สึกตัวอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลูบแก้มอุ่นๆ ของน้องชายผมด้วยสีหน้าขมขื่น

ผมเกือบทำกาแฟที่อยู่ในมือหกทั้งอย่างนั้น

หัวใจของผมที่ได้รู้ถึงความจริงข้อนั้นพลันปั่นป่วนอย่างน่าประหลาดมากกว่าตอนรู้ความจริงที่ว่าอูซอชอบน้องชายของผมเสียอีก ความรู้สึกที่ไม่รู้จักเข้าจู่โจมและกระแทกใจของผมเข้าอย่างจัง อีกทั้งการมองเห็นเองก็สั่นไหวไม่ต่างจากหัวใจ

ผมค่อยๆ ถอยหลังกลับเข้าห้องของตัวเองที่กำลังติวพิเศษให้เขา จากนั้นก็วางอเมริกาโนสองแก้วลงบนโต๊ะแล้วไล่สายตาไปตามหนังสือเรียน แบบฝึกหัด และเครื่องเขียนที่อยู่บนนั้น

ทว่าผมกลับเห็นเป็นใบหน้าของอูซอลอยขึ้นมาทุกครั้งที่ผมมองของแต่ละชิ้น

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่หลุบขนตาเรียวยาวลงจ้องมองหนังสือ มือขาวที่มีเรียวนิ้วยาวกำลังขยับปากกาพร้อมกับเสียงแกรกๆ ดังรื่นหู น้ำเสียงน่าฟังยามชี้โจทย์ยากๆ ในแบบฝึกหัดและขอให้ช่วยเฉลยคำตอบ รวมถึงแววตาอ่อนโยนที่หยียิ้มอย่างเป็นธรรมชาติทุกครั้งที่มองจีซอก

ผมแค่นหัวเราะขณะนึกถึงชินอูซอที่ฉายชัดขึ้นมาในหัวแม้จะไม่ได้อยู่ตรงหน้า

อูซอเข้ามาอยู่ในมุมหนึ่งในหัวใจของผมโดยไม่รู้ตัว ยิ่งคิดว่าสายตาของเขาเอาแต่มองใครบางคนเสมอ ผมก็ทั้งเจ็บแปลบที่หัวใจ ทั้งยังอิจฉาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้และรู้สึกจุกอยู่ในอก

บ้าไปแล้ว คังจีกอน

ผมยกสองมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วหัวเราะเยาะตัวเองอยู่เงียบๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่…เพราะอะไรกัน…

ไม่ว่าจะคิดในหัวกี่ตลบก็ไม่พบคำตอบ พอรู้ทันความรู้สึกที่ว่าชอบใครคนหนึ่งเข้าแล้ว ต่อให้จะอยากตามหาคำตอบว่าชอบเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก็ไม่อาจหาคำตอบนั้นได้ เพราะช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับเขานั้นดีเสมอ

ผมไม่นึกเลยว่าวันที่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีใจให้ใครอีกคนจะเป็นวันเดียวกับวันที่ผมได้ตระหนักถึงความรู้สึกของตัวเอง มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นเด็กผู้ชายอายุน้อยกว่าเจ็ดปีที่เป็นเพื่อนของน้องชาย ทั้งยังกำลังแอบชอบน้องชายของตัวเองอีก

เรียกได้ว่าสถานการณ์ของผมมันเลวร้ายที่สุดของที่สุดแล้ว ทุกครั้งที่นึกถึงความรู้สึกนั้น ความอ้างว้างและความว่างเปล่าก็จะโถมกระหน่ำเข้ามาจนทำให้ผมต้องโทษตัวเอง ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์รักสามเส้าที่โคตรเฮงซวยนี่

ดังนั้นผมที่ตระหนักได้ถึงความรู้สึกพิเศษที่มีต่ออูซอจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด ก็ดันถูกเตะตัดขาตั้งแต่ยังไม่เริ่มแบบนี้ คนอย่างผมยังจะสามารถทำอะไรได้อีกล่ะ อย่างไรเสียผมก็รู้ตัวดีว่าไม่มีทางได้ความรู้สึกแบบเดียวกันตอบกลับมา เพราะอย่างนั้นเลยทำได้เพียงแค่เก็บซ่อนมันไว้ลึกๆ ในใจเท่านั้น

 

ผมพยายามแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น แต่หลังจากที่รู้หัวใจตัวเองแล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด ผมสนใจอูซออยู่เสมอและรู้สึกว่าทั้งสายตา การกระทำ และคำพูดของเขานั้นทำให้หัวใจของผมหวั่นไหวจนน่าหวั่นใจอยู่ตลอด ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป มีหวังผมคงได้พุ่งตัวเข้าไปรุกใส่เขาสักวันแน่ๆ

ถึงตอนนั้นผมจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็คิดว่าตัวเองยังไม่โตอยู่เสมอ ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่เก่งและไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่เข้ามาอย่างกะทันหันได้

ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมได้สร้างกำแพงกับอูซอขึ้นมา ผมมักจะตื่นตูมกับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ และผลักไสเขาออกไป ถ้าไม่ได้ติวพิเศษก็จะแกล้งทำเป็นยุ่งอยู่นอกบ้านเพื่อหนีหน้าเขา หลังจากสอบซูนึง* ผมก็จงใจไม่ยอมรับการติดต่อจากเขา ผมทุ่มเทพลังกายพลังใจทั้งหมดให้กับธุรกิจที่ค่อยๆ ปูทางมาก่อนหน้านี้เพื่อพยายามที่จะลืมอูซอ

ในที่สุดก็ผ่านไปสามปีแล้วที่อูซอเติบโตเป็นผู้ใหญ่และผมไม่ได้พบหน้าเขาโดยตรง

จนถึงตอนนั้นอูซอกับจีซอกก็ยังคงคบกันอยู่ ฟังจากเรื่องที่จีซอกเล่าบ่อยๆ แล้ว ต่อให้จะไม่ชอบใจ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าอูซอชอบจีซอกมากจริงๆ คนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่ผมดูออกทันทีว่านั่นไม่ใช่ความรักในฐานะที่เรียกว่า ‘เพื่อน’ แต่เป็นฐานะที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นต่างหาก

วันหนึ่งผมก็ได้ตั้งสมมติฐาน ‘ถ้าเกิดว่า…’ กับจีซอกขึ้นมาระหว่างที่กำลังฟังเรื่องของอูซอ

‘ถ้าเกิดว่าชินอูซอชอบนาย นายจะทำยังไง ถ้าเด็กนั่นเกิดสารภาพขึ้นมา นายคิดจะตอบรับไหม’

จีซอกเบิกตากว้างก่อนระเบิดหัวเราะออกมาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

‘ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกน่า หรือต่อให้เป็นเรื่องจริงก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้วสิ กับผู้ชายนี่ไม่ใช่ทางผมอะ’

ถึงคังจีซอกจะไม่ใช่คนประเภทที่ตั้งแง่กับคนอื่น ไม่ว่าคนอื่นจะเป็นคนที่สนใจเพศเดียวกันหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ชัดเจนว่าเจ้าตัวเป็นคนที่สนใจเพศตรงข้าม น่าสงสารที่ชินอูซออยู่นอกเหนือขอบเขตการยอมรับของคังจีซอกในเชิงชีววิทยาขั้นพื้นฐานสุด

ถึงจะว้าวุ่นในใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ และผมก็ไม่เคยคิดอะไรไปถึงขั้นที่จะใจกล้าไปบอกอูซอว่า ‘ไหนๆ นายก็ไปกับคังจีซอกไม่ได้แล้ว มาคบกับพี่แทนไหมล่ะ’ เลยสักครั้ง ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายตั้งกำแพงและตีตัวออกหากจากเขาเอง แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างวุ่นวายไปมากกว่านี้เพราะตัวผม อีกอย่างคนที่ไม่เคยถูกทิ้งมาก่อนอย่างผมก็ย่อมต้องกลัวการสารภาพรักที่ตัวเองมั่นใจว่าถึงยังไงก็ต้องโดนปฏิเสธแน่นอนอยู่แล้ว

ผมรู้อยู่แล้วว่าชินอูซอชอบคังจีซอก และผมก็ทิ้งหัวใจของตัวเองไปก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้ว ในเมื่อยังไงเขาก็คงไม่มีทางมองผมอยู่แล้ว การฝังกลบความรู้สึกและความในใจนี้ให้มิดอย่างที่เคยทำมาตลอดจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด ถ้าทำอย่างนั้นก็คงจะมีสักวันที่ผมได้พบกับใครสักคนที่ตรงสเป็กตัวเอง คนที่ผมได้มอบหัวใจและความรู้สึกใหม่ๆ ให้ไปพร้อมกับลืมชินอูซอได้

ในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจ ผมโหมงานอย่างหนักจนไม่ได้คิดเรื่องอื่นและหมกมุ่นอยู่กับงานจนแทบไม่มีสติ เพราะอย่างนั้นเลยแทบไม่มีเวลาได้พูดคุยกับจีซอก แน่นอนว่ามันก็ทำให้ผมไม่มีทางที่จะได้ยินเรื่องของอูซอไปโดยปริยายด้วย แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่สามารถทำให้จดจ่อแค่กับงานได้มากขึ้น

ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าระหว่างนั้นผมจะไม่ได้คบกับใครเลย ผมไม่ได้ปิดกั้นคนอื่นที่มาขอคบ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เจอเองขณะทำงานหรือแม้แต่คนที่เจอกันโดยบังเอิญบนท้องถนน แต่ถึงจะคบกันไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่คิดที่จะรับบทคนรักและที่ผ่านมาก็แค่ทำไปตามสัญชาตญาณความต้องการของทั้งสองฝ่ายเพียงเท่านั้น

ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาก็เป็นแค่การที่เข้าหากัน พูดคุยกัน มีสัมพันธ์ทางกายกัน ต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่างระหว่างกัน และสุดท้ายก็แยกทางกัน ผมมักได้ยินคำว่า ‘เย็นชา’ ที่ดังเข้ามากระแทกหูจากทุกความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ผ่านมา อีกฝ่ายรู้สึกว่าผมเหมือนคนที่ไม่ยิ้มหรือไม่ป้อนคำหวานให้คนรักและคอยแต่จะตักตวงผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยเพียงอย่างเดียว ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้พูดผิดอะไร ผมเลยทิ้งคนพวกนั้นโดยไม่คิดจะแก้ตัวแล้วไปเริ่มความสัมพันธ์กับคนใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จำเป็นต้องอ่อนหวานด้วยเหรอ…

ก็แค่มีอะไรกันเพื่อสนองความต้องการของกันและกันเฉยๆ ไม่ใช่หรือไง

 

วันนั้นเป็นวันที่มีประชุมสำคัญ โดยผมจะได้นำเสนอบริษัทต่อผู้เข้าร่วมและนักลงทุนรายใหม่

ผมเพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่าขาดหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่จำเป็นไปเลยรีบแวะกลับไปที่คอนโดฯ เพื่อเอาแฟลชไดรฟ์ที่มีข้อมูลต้นฉบับนั้นมา

ผมได้แต่โทษตัวเองที่ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ไม่ควรเลินเล่อจนต้องเทียวไปเทียวกลับแบบนี้ แล้วก็พลันนึกถึงข้อความจากจีซอกขึ้นมาได้ มันเป็นข้อความที่มีเนื้อความว่า ‘ไหนๆ วันนี้ทุกคนก็กลับบ้านช้าพอดี ผมเลยพาเพื่อนมาทำงานกลุ่มที่บ้าน’

ถึงจะอุทานออกมาในใจว่า ‘คงไม่หรอกน่า’ แต่สุดท้ายชินอูซอก็มาปรากฏตัวอยู่ที่คอนโดฯ ของผมจริงๆ

เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและดูสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อสามปีก่อนที่ผมเห็นเขาครั้งล่าสุด แต่ขณะเดียวกันสีผิวกลับยังแลดูขาว แถมหน้าตาเองก็ยังคงกระจ่างใสเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ทว่าบรรยากาศที่แผ่ออกมาโดยรวมนั้นกลับดูหนักแน่นขึ้นกว่าจีซอกที่ยังเป็นเหมือนเด็กตัวโต

ผมคิดว่าตอนนี้ทุกอย่างคงเข้าที่เข้าทางแล้ว แต่ทันทีที่สบตากับอูซอ ผมก็พบว่าตัวเองคิดผิด ทั้งที่ไม่ได้สบตากันมากว่าสามปีแล้ว แต่หัวใจที่หวั่นไหวกลับยังรู้สึกว้าวุ่นเหมือนอย่างเคย ทั้งที่ผมลืมแม้กระทั่งชื่อของคนที่มีความสัมพันธ์กันช่วงสั้นๆ ในขณะที่ยุ่งไปเสียสนิท แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงลืมชินอูซอเหมือนอย่างคนพวกนั้นไม่ได้

อูซอค้อมศีรษะทักทายขณะที่ผมพยายามกดความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกในใจ ริมฝีปากของเขาไม่มีเศษเสี้ยวของรอยยิ้มต่างจากในอดีตที่เคยสบตาและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พอได้เห็นดวงตาที่แสดงอาการประหม่าของอูซอ ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นผลมาจากกำแพงที่ผมสร้างขึ้น

ตอนที่นัยน์ตาที่สั่นไหวของอูซอหันไปทางจีซอกแล้วฉายแววเศร้า ผมแทบอยากจะปรี่เข้าไปหาเขาเพื่อให้เขามองผมเสียเดี๋ยวนั้น ชั่วขณะที่อารมณ์ที่ข่มไว้พลันพลุ่งพล่านขึ้นมา ผมก็เกิดรู้สึกหวั่นใจขึ้นมามากกว่าที่คิด

ความรู้สึกยามที่ควบคุมอารมณ์ให้ได้ดั่งใจไม่ได้นั้นไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด ผมนึกอยากกำจัดคังจีซอกที่เป็นเจ้าของสายตาของอูซอออกไปจากสายตาของผมเป็นอย่างมาก แต่แล้วผมก็จำต้องเบนสายตากลับมาเพราะทนมองไม่ไหวอีกต่อไป

ต้องโฟกัสกับงานก่อน รีบหยิบแฟลชไดรฟ์แล้วเดินออกไปซะ

ในหัวผมเต็มไปด้วยความคิดแบบนั้น ผมจึงลุกลี้ลุกลนหยิบแฟลชไดรฟ์แล้วออกไปข้างนอกจนเกือบชนอูซอที่เดินออกมาจากห้องครัว จังหวะที่ประคองตัวของอูซอและจับแก้วน้ำไว้ไม่ให้หล่นได้ทัน ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นราวกับตกใจว่าเกือบจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

อูซอที่ถูกผมโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนได้อย่างแม่นยำราวกับจับวางเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยตาคู่นั้นก่อนจะขยับปากพูด

‘ขอโทษครับ’

นัยน์ตาที่อ่อนโยนกับน้ำเสียงที่น่าฟังนั้นช่างเข้ากันได้อย่างลงตัว ถึงอูซอจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าวูบหนึ่งเขาแอบเหลือบมองจีซอก ซึ่งนั่นอาจจะเป็นการกระทำจากนิสัยที่อยู่ภายใต้จิตสำนึกของเขา

มองพี่สิ

หยุดมองจีซอกแล้วมองพี่

ผมฝืนกล้ำกลืนคำพูดที่อัดแน่นอยู่ภายในปากลงไปอย่างยากลำบาก และพยายามเมินเฉยต่อหัวใจที่เต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่งเพียงแค่ได้สัมผัสกายกันชั่วครู่ ก่อนจะขยี้ศีรษะของอูซอที่เหมือนกับลูบศีรษะราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เราอย่าเจอกันอีกเลย

ผมกลืนคำพูดที่ไม่กล้าพูดออกจากปากแล้วออกจากคอนโดฯ ไป กระทั่งตอนนั้นความอบอุ่นของอูซอก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในอ้อมแขนโดยไม่หายไปไหน

 

วันถัดมา

ไม่รู้ทำไมผมถึงได้นึกถึงแต่ใบหน้าของชินอูซอขณะลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความทรมานจากพิษไข้ที่รุนแรง

ทั้งที่ผมเองก็แข็งแรงในระดับที่ไม่น่าจะเป็นหวัดได้ แต่ผมกลับมีไข้ที่ทำให้ไม่ได้สติจนถึงขั้นที่ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวอย่างน่าประหลาด แต่ถึงแม้ไข้จะขึ้นสูงจนสายตาพร่าเบลอ ผมก็ยังไปถึงโรงพยาบาลอย่างทุลักทุเลได้ด้วยความช่วยเหลือจากน้องสาว

‘สัญญาณของวงแหวนน่ะค่ะ’

คุณหมอยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดเสริมว่าไม่ต้องกังวล เธอบอกกับผมว่าตอนนี้ยังไม่ต้องกินยาอะไรและให้กลับบ้านไปพักผ่อนจะเป็นการดีที่สุด พอถึงวันพรุ่งนี้ร่างกายก็จะกลับมาสมบูรณ์ดีเหมือนไม่เคยป่วยมาก่อน

ผมถามย้ำกับคุณหมอหลายครั้งว่าวงแหวนที่เธอพูดถึงนั้นใช่วงแหวนนั่นที่ผมรู้จักหรือเปล่า

ให้ตายสิ ไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองจะมีวงแหวน

ผมหลุบตาที่ร้อนผ่าวลงมองนิ้วนางที่มือข้างซ้าย วินาทีนั้นผมมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่พอได้สติก็รู้สึกเหมือนกับว่าความรู้สึกเจ็บแปลบได้แผ่ซ่านไปทั่วนิ้วนางข้างซ้าย

ผมยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก แม้จะยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่อย่างน้อยๆ ก็แน่ใจได้อยู่เรื่องหนึ่ง

จำนวนคนที่ผมสัมผัสตัวแม้จะแบบเฉียดๆ เมื่อวานก็น่าจะเกินหนึ่งร้อยถึงสองร้อยคนเป็นอย่างต่ำ ซึ่งคนส่วนใหญ่เหล่านั้นมีตั้งแต่คนที่พบปะเพราะเรื่องงานไปจนถึงคนที่ไม่ได้รู้จักกัน และหนึ่งในคนพวกนั้นก็คงจะเป็นคู่แห่งโชคชะตาอะไรทำนองนั้นของผม ความไม่เชื่อและความโกรธเดือดพล่านใส่วงแหวนประหลาดนี่ที่บังคับให้ผมต้องสานสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้รู้จัก

พอผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะเสยผมด้านหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด จียอนที่มองผมผ่านกระจกมองหลังก็ถามขึ้นอย่างสงวนท่าที

‘พี่ ไหวไหมเนี่ย’

‘…ไม่ไหว’

แค่คิดว่าจะต้องหาอีกฝ่ายท่ามกลางผู้คนจำนวนมากก็ปวดหัวแล้ว จียอนถอนหายใจด้วยแววตาที่เหมือนจะเข้าใจ ก่อนจะบอกว่าตัวเองเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง

‘เคยได้ยินว่าตอนเป็นไข้จากการปรากฏของวงแหวน คนส่วนใหญ่จะนึกถึงหน้าคู่ของตัวเองด้วยนี่ พี่ไม่มีอะไรแบบนั้นบ้างเหรอ’

‘ถ้ามีคงไม่มานั่งบื้ออยู่แบบนี้หรอก’

วินาทีที่ตอบคำถามนั้นใบหน้าของอูซอก็แวบผ่านเข้ามาในหัว

จะว่าไปแล้ว…

ตอนที่ไข้ขึ้นจนตื่นขึ้นมา ผมเห็นใบหน้าของอูซอที่ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนราวกับอยู่ตรงหน้า ผมนึกถึงภาพของเขาที่ยิ้มอยู่ในรูปและภาพสีหน้าตื่นตกใจของเขาตอนถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนของผมโดยไม่ได้ตั้งใจ

ไม่หรอก…คงไม่ใช่หรอกน่า

ผมโยนความเป็นไปได้นั้นทิ้งไป ถ้าวงแหวนนี่เกิดเชื่อมกับอูซอจริง การที่ผมอดทนอยู่ห่างจากเขามาตลอดหลายปีก็คงจะเป็นอะไรที่น่าขันน่าดู

 

‘เอ่อ…ท่านประธานครับ’

ผมละมือที่กุมหน้าผากก่อนจะเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ดวงตาที่ตึงเครียดจากความเหนื่อยล้าหันมองไปที่ประตู เงาครึ่งหนึ่งของหัวหน้าทีมอีที่โผล่มาจากช่องว่างระหว่างประตูที่แง้มออกมานั้นเป็นอะไรที่ขัดหูขัดตาผมสุดๆ

‘ไม่คิดจะเคาะประตูหน่อยเหรอครับ’

‘เคาะแล้วแต่คุณน่าจะไม่ได้ยิน…ขอโทษทีนะครับ’

เขาที่ข่มความคับข้องใจเอาไว้พูดออกมาอย่างระวังปากก่อนจะปิดปากฉับลง พอโบกมือเป็นเชิงให้เข้ามา เขาก็เดินปรี่เข้ามาวางแฟลชไดรฟ์ไว้บนโต๊ะ

‘ไฟล์ทดสอบแอพฯ ที่จะส่งให้บริษัทเอ็นเทอร์สโตนครับ’

‘ไว้ตรวจสอบแล้วจะเรียกนะครับ เชิญออกไปได้เลยครับ’

ผมหยิบแฟลชไดรฟ์ขึ้นมาด้วยแววตาที่เหนื่อยล้าโดยไม่แม้แต่จะปรายตาไปมองหัวหน้าทีมอีเลยสักนิด ทว่าในตอนที่ผมกำลังจะเสียบแฟลชไดรฟ์เข้ากับคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ในออฟฟิศ เขาที่ยังไม่หมุนตัวออกไปก็เปิดปากพูดขึ้นอย่างกังวล

‘เอ่อ…ช่วงนี้สภาพร่างกายของคุณดูไม่ค่อยดี ผมว่าน่าจะไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยนะครับ’

‘เรื่องนั้นผมจัดการตัวเองได้ครับ คุณหัวหน้าทีมอีทำงานในส่วนของตัวเองไปเถอะครับ’

‘…ครับ’

ถ้าหัวหน้าทีมอีมีใบหูล่องหน ตอนนี้มันคงกำลังลู่ตกลงอยู่แน่ๆ

เขาเดินคอตกออกไปจากห้องประธาน และหลังจากที่เขาออกไป ผมที่เหลืออยู่คนเดียวในออฟฟิศก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง

ไม่นึกเลยว่าอาการนอนไม่หลับจะรุนแรงขนาดนี้ แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าหนักแค่ไหนก็หลับไม่ลง แม้จะอยากงีบหลับสักหน่อย แต่ร่างกายกลับไม่เป็นไปตามใจคิด รู้ตัวอีกทีก็ภาพตัดไปก่อนจะกลับมาราวกับสลบไปครู่หนึ่ง ทั้งที่สลบไปได้แค่ไม่กี่วินาที แต่ผมก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาขนาดที่คิดไปเองว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังได้ตายแน่ ต้นคอเองก็ตึงจนรู้สึกแย่ อีกทั้งยังรู้สึกราวกับมีแรงมือกำลังบีบขมับซ้ายขวาเอาไว้อีก เพราะแบบนั้นประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายของผมเลยหนักอึ้งและอ่อนไหวง่ายกับทุกสิ่ง

มีแค่วิธีเดียวที่จะสามารถบรรเทาสถานการณ์สุดเลวร้ายนี้ได้

นั่นคือการหลับโดยสัมผัสตัวกับคู่แห่งแหวน

หากว่ากันตามตรง การที่แค่สัมผัสตัวกับใครสักคนแล้วสามารถหลับสนิทได้ในสถานการณ์แบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่โคตรจะละเมอเพ้อพกสุดๆ แต่นอกจากวิธีการนั้นก็ไม่น่าจะมีวิธีการอื่นแล้ว

แหวนบัดซบ

คู่แห่งโชคชะตาหรืออะไรก็ช่าง ผมที่ไม่แม้แต่จะแยแสเรื่องการคบกับใครตั้งแต่แรกกลับต้องมารู้สึกอึดอัดที่จะต้องตามหาอีกฝ่าย นี่ผมต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยไปทั้งชีวิตเพียงเพราะแค่แหวนวงเดียวเนี่ยนะ

ผมคิดแบบนั้นขณะตรวจสอบไฟล์ที่หัวหน้าทีมอีวางไว้ให้พลางถอนหายใจทิ้งไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทันใดนั้นข้อความของจีซอกก็เด้งขึ้นมาพร้อมกับเสียงแจ้งเตือน

 

พี่ค่อยๆ ลกับก็ได้นั อูอซช่วยมาดูแล้ว

 

ดูท่าจะไข้ขึ้นหนักพอๆ กับผม

ระหว่างที่กำลังถอดข้อความของจีซอกอยู่นั้น สายตาผมก็สะดุดเข้ากับชื่อของอูซอ ผมถึงกับหลับตาลงแน่นครู่หนึ่งเพราะภาพใบหน้าของอูซอที่จู่ๆ ก็ฉายขึ้นมารางๆ ตรงหน้าในขณะนั้น ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขาไม่มีส่วนไหนที่ผมจำไม่ได้เลย

ชักจะเพี้ยนใหญ่แล้ว

แม้จะคิดว่าตัวเองควบคุมจิตใจได้แล้ว แต่ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมภาพช่วงเวลาที่เคยพบกันถึงได้ยังวนเวียนอยู่ในหัวบ่อยๆ ทั้งที่เวลาผ่านมาขนาดนี้ ผมก็ควรจะลืมเขาไปจากหัวใจและความนึกคิดได้แล้วแท้ๆ

จู่ๆ ผมก็นึกถึงวินาทีที่สัมผัสตัวกับอูซอขึ้นมาอย่างกะทันหัน

คำว่า ‘หรือว่าจะ…’ วนเวียนอยู่ในหัวหลายต่อหลายครั้งและยังคงดำเนินต่อไปกระทั่งเจออูซอที่หน้าลิฟต์คอนโดฯ เพราะอย่างนั้นผมเลยไม่กล้าถามออกไปในทันทีว่าเขามีวงแหวนสีแดงที่นิ้วนางข้างซ้ายหรือเปล่า ทั้งที่รู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าในเมื่อสัมผัสตัวกันแล้ว อย่างไรเสียสักวันก็ต้องถามออกไปอยู่ดี

ภายในลิฟต์ที่ปกคลุมไปด้วยความเงียบ ผมสัมผัสได้ถึงความประหม่าของอูซอ เขาเก็บมือซ้ายไว้ด้านหลังตัว ผมเลยมองเห็นไม่ถนัด ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจงใจซ่อนมันไว้หรือความจริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรกันแน่

หัวใจผมเริ่มเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง

ถ้าเหตุผลที่อูซอทำสีหน้าไม่สู้ดีเป็นเหตุผลเดียวกับผมล่ะ ถ้าอูซอเองก็มีวงแหวนและกำลังประหม่าเหมือนกับผมในตอนนี้เพราะรู้ว่าใครคือคู่แห่งโชคชะตาคนนั้นล่ะ…

แปลกเป็นบ้า

หัวใจของผมกระตุกวูบด้วยความรู้สึกดีกับความจริงที่ยังไม่ทันได้แน่ใจเสียด้วยซ้ำ บางทีผมก็นึกอยากบังคับเขาเพื่อดูมือข้างซ้ายนั่น ทุกครั้งที่ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอันอ่อนล้าราวกับว่ามันพรูออกมาตอนไม่ได้สติและขอบตาแดงก่ำบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าไม่ต่างจากผมแล้ว ประสาทสัมผัสที่อ่อนไหวของผมก็จะมุ่งตรงไปที่อูซอทั้งหมดและคอยแต่จะสะกิดเร้าผมอยู่เรื่อยๆ

ผมเก็บความรู้สึกตึงเครียดนั้นไว้แล้วเดินไปที่รถก่อนที่อูซอจะหยุดชะงัก พอหันหน้าไปมองก็เห็นเขาพยายามยิ้มแล้วพูดจาไม่เข้าท่าทำนองว่าที่พักอยู่แถวนี้เลยจะขอกลับเอง ผมได้ยินจากจีซอกจนรู้หมดแล้วว่าเขาอาศัยอยู่ในห้องสตูดิโอของอพาร์ตเมนต์ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณสิบสองป้ายสถานีรถไฟใต้ดิน

ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่เขาก็ยังก้าวถอยหลังโดยขอให้ผมกลับไปดูคังจีซอก ผมปล่อยอูซอที่กำลังพยายามหลีกเลี่ยงผมอย่างชัดเจนไปไม่ได้เลยก้าวอาดๆ ไปคว้าแขนเขาเอาไว้ ทันใดนั้นนัยน์ตาของอูซอก็จับจ้องไปที่แขนซ้ายของผมแทนที่จะเป็นมือขวาที่กำลังจับแขนของเขาอยู่ พอเห็นอย่างนั้นความแน่ใจที่ชวนให้รู้สึกดีและความตึงเครียดแปลกๆ ก็พลันถาโถมเข้ามา

ผมออกแรงดึงแขนของอูซอแล้วจับเอามือซ้ายของเขามาตรวจดู ก่อนจะได้เห็นวงแหวนจากด้ายสีแดงสดนั้นประจักษ์ชัดแก่สายตาจริงๆ

ชินอูซอ…คือคู่แห่งโชคชะตาของผมที่เชื่อมกันด้วยแหวน

ผมรู้สึกราวกับความหนักอึ้งในหัวได้ถูกชำระไปในชั่วพริบตา ความรู้สึกที่ปิดกั้นเอาไว้ตลอดสามปีที่ผ่านมาพลันท่วมท้นออกมา ก่อนจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกายของผมในเสี้ยววินาที

ผมต้องการยืนยัน ซึ่งไม่ใช่การยืนยันผ่านเส้นด้ายสีแดงที่แสนบางแบบนี้ แต่เป็นการยืนยันในฐานะคู่แห่งโชคชะตาที่มีอิทธิพลต่อกันและกันอย่างชัดเจน

ผมออกแรงดึงอูซอที่กำลังตะลึงงันจนตัวแข็งทื่อให้เข้าไปนั่งในรถ ก่อนจะพรูลมหายใจที่อัดอั้นคล้ายมีอะไรคับแน่นอยู่ในอกตลอดออกมาเพื่อปรับให้จังหวะการหายใจกลับมาเป็นปกติ

ผมมองเขาที่หลุบตาลงขณะที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับเงียบๆ พลางถามขึ้นว่าในเมื่อเขาก็น่าจะรู้มาก่อนหน้านี้แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกผม ถ้าเขาเอะใจก่อนแล้วติดต่อมาหาผมผ่านจีซอกสักครั้ง…

เพราะถ้าทำแบบนั้นจีซอกก็จะรู้สินะ?

ผมพอจะรู้ว่าอูซอกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ อีกฝ่ายไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา แต่เป็นคนที่ตัวเองกำลังแอบรักอยู่ข้างเดียว อูซอคงไม่กล้าพอที่จะสารภาพว่าตัวเองมีวงแหวนที่เชื่อมกับพี่ชายของคนที่แอบรักหรอก

เขาเองก็เหมือนกับตัวผมในอดีต ตัวผมผู้แสนขลาดเขลาเมื่อสามปีก่อนที่ไม่ยอมสารภาพออกไปว่าชอบเขาที่เป็นเพื่อนของน้องชาย แต่กลับสร้างกำแพงขึ้นมาอย่างขี้ขลาดแล้วเลือกที่จะถอยห่างออกมาเอง

แค่คิดว่าในหัวเล็กๆ นั้นของเขาน่าจะกำลังมีเรื่องของผมอยู่เต็มไปหมด เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว

ผมมีเรื่องที่อยากจะพูดมากมายเต็มไปหมด แต่ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไงถึงจะสามารถพรั่งพรูคำพูดทั้งหมดนั้นออกไปได้ ผมรู้สึกว่าการที่วงแหวนเชื่อมกับอูซอนั้นเป็นเหมือนกับโชคชะตา อีกทั้งยังรู้สึกราวกับว่ามีเกลียวคลื่นของความรู้สึกแปลกๆ ที่ทนเก็บเอาไว้จนเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัวมาจนถึงตอนนี้กำลังคั่งอยู่ในอกของผม

ระหว่างนั้นอูซอก็ก้มหน้างุดพร้อมกับดวงตาที่จมดิ่งลง ใบหน้าที่น่าสงสารซึ่งเดิมทีก็จมอยู่ภายใต้ความเหนื่อยล้าอยู่แล้วยิ่งหมองหม่นลงไปอีกราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ถึงแม้ผมเองจะเพลียมากเหมือนกัน แต่ผมเป็นห่วงอูซอมากกว่า พอนึกถึงตัวเองที่ไม่เคยนึกกังวลเรื่องของคนอื่นเลยสักครั้ง ผมก็รู้สึกทึ่งกับตัวเองในตอนนี้จริงๆ

‘มานอนกันเถอะ สักหนึ่งชั่วโมง’

ผมตั้งนาฬิกาปลุกโดยที่ยังคงจับมือของอูซอเอาไว้แน่น ใจจริงก็อยากจะให้เขาได้นอนบนเตียงที่ไหนสักที่ ให้เขานอนหลับเต็มอิ่มได้นานๆ แต่เพราะที่ผ่านมาผมดันรักษาระยะห่างจากเขามาโดยตลอดเลยไม่สามารถยื่นข้อเสนอนั้นได้ทันที

ผมจับมือของอูซอที่ยังคงไปไม่เป็นอยู่แน่นแล้วหลับตาลง ก่อนหน้านี้เวลาข่มตาหลับ ในหัวผมจะอัดแน่นไปด้วยความคิดสารพัดและสติก็อ่อนไหวจนถึงขีดสุด แต่ครั้งนี้มันกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด ผมรู้สึกสบายมากเหมือนได้นอนอยู่บนเตียงราคาแพง พอคิดว่านี่เป็นหลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกว่าผมเชื่อมโยงกับอูซอจริงๆ ผมก็รู้สึกราวกับว่าเสียงหัวใจที่เต้นอย่างปีติในอกนั้นเป็นเหมือนกับบทเพลงขับกล่อมที่น่าฟัง

ผมผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

หลังจากตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนหลับเต็มอิ่ม

ถึงผมจะหลับไปได้แค่ชั่วโมงเดียว แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและจิตใจรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมา ผมรู้สึกเหมือนในหัวที่ยุ่งเหยิงไปด้วยความคิดสะเปะสะปะถูกจัดระเบียบใหม่ และนึกอยากจะนอนต่อจากความรู้สึกเบาสบายที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายในเวลานี้

ผมแค่นหัวเราะออกมาขณะมองหน้าอูซอ ความเหนื่อยล้าที่เคยอยู่บนใบหน้าของเขาแลดูจะสลายหายไป แม้แต่แก้มที่เคยซีดเซียวเล็กน้อยก็ยังขึ้นสีเปล่งปลั่งน่ามอง

อำนาจของวงแหวนนั้นน่าทึ่งจริงๆ ผมคิดว่าไม่มีอะไรทรมานเท่ากับอาการนอนไม่หลับอีกแล้ว และผมก็อดทนกับมันมาอย่างทรมานจนแทบขาดใจ แต่เพียงแค่จับมือเขาแล้วงีบหลับไปครู่เดียว ผมก็ได้สัมผัสกับความอิ่มเอมขั้นสุดที่ใกล้เคียงกับความสุขสม ถึงขนาดที่ทำให้กังวลว่าตัวเองอาจจะเผลอเสพติดมันได้

แต่วงแหวนนั้นก็ไม่ได้นำมาแค่การนอนหลับสนิทเพียงอย่างเดียว

ไม่อยากปล่อยไปเลย

ผมคิดว่าการอยากครอบครองหรือการยึดติดกับใครสักคนเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากตัวผม กระทั่งเมื่อสามปีก่อนที่ได้รับรู้ถึงหัวใจของตัวเองที่มีต่ออูซอ นอกจากจะไม่อยากไปติดพันเขาแล้ว ผมยังคิดแต่จะตีตัวห่างออกมาให้ได้เร็วที่สุด แถมในระหว่างที่ทำธุรกิจนิสัยของผมก็ถูกขัดเกลาไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนที่ตัดสินคนอื่นจากการสร้างประโยชน์ของคนเหล่านั้น

ถึงจะอยู่ห่างกันขนาดนั้น แต่ถ้ายังรู้สึกเหมือนเดิม ไม่สิ…ถ้าความรู้สึกนั้นหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม ต่อให้ถอยไปมากกว่านี้ก็คงจะไร้ประโยชน์อยู่ดี

ผมเห็นวงแหวนสีแดงเส้นหนึ่งบนนิ้วนางของอูซอที่อยู่ระหว่างช่องนิ้วมือของผมที่กำลังจับมือกับเขาอยู่ ทันทีที่เห็นมันผมก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันท่วมท้นที่แทบจะเรียกได้ว่าความปลื้มปีติ ด้ายสีแดงเพียงหนึ่งเส้นที่เชื่อมระหว่างผมกับชินอูซอได้ทลายบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจมาตลอดของผมลง และงูดำตัวหนึ่งที่โผล่ออกมาจากรอยแยกนั้นก็กำลังบอกผมว่านี่คือโอกาส

‘มานอนกับพี่…สักวันละชั่วโมงก็ยังดี’

ณ ตอนนั้นผมคิดจะเปลี่ยนรูปแบบของวงแหวนที่เรามีอย่างแน่วแน่ แม้ว่าชินอูซอจะไม่ต้องการก็ตาม

 

* การสอบซูนึง เป็นการสอบวัดระดับความรู้ความสามารถทางการศึกษาเพื่อใช้สำหรับการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของประเทศเกาหลี

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: