ทดลองอ่าน เรื่อง The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1
ผู้เขียน : Chelliace
แปลโดย : Lilac M
ผลงานเรื่อง : 관계의 고리
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม
การกล่าวถึงความผิดปกติทางจิตใจหลังเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 3.1 ชินอูซอ
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วหลังจากผมรับข้อเสนองานพิเศษจากพี่จีกอน
และนี่ก็เป็นอีกวันที่ผมไปออฟฟิศของพี่เขาด้วยสีหน้าเพลียๆ เขาบอกว่าขอแค่จับมือนอนด้วยกันแล้วเขาจะให้เงิน แต่ผมบอกปัดว่าไม่เป็นไรเพราะตัวเองก็อยากนอนหลับเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกผิดที่ค้างคาอยู่ในใจช่วงสองสามวันที่มาที่นี่ก็ยังไม่เลือนหายไป
วันนั้นเราไม่น่าไปบ้านจีซอกเลย
ถ้าวันนั้นไม่ไปที่บ้านของหมอนั่น วงแหวนก็คงไม่ปรากฏออกมา
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงว้าวุ่นใจ เพราะทั้งชีวิตนี้ผมไม่เคยจินตนาการมาก่อนเลยว่าจะมีวงแหวนปรากฏขึ้นที่นิ้วมือ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นพี่ชายของคนที่ผมแอบรักข้างเดียวด้วยยิ่งแล้วใหญ่
ผมก้าวไปยังชั้นที่มีออฟฟิศของพี่จีกอนภายในตึกสูงอย่างเงียบๆ พนักงานคนอื่นที่เลิกงานตรงเวลาเป๊ะๆ ตามที่พี่จีกอนสั่งน่าจะกลับบ้านกันหมดแล้ว รอบด้านเลยเงียบสนิททั้งที่ยังไม่ถึงหนึ่งทุ่มดี
ผมเหลือบมองออฟฟิศที่ปิดไฟขณะเดินผ่านโถงทางเดิน ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าห้องซีอีโอที่อยู่ตรงปลายสุด หลังจากกวาดตามองไปรอบๆ รอบหนึ่ง ผมก็เคาะประตูก๊อกๆ ก่อนจะได้ยินเสียงบอกให้เข้าไปจากข้างใน
ทันทีที่หมุนลูกบิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน ผมก็ได้ยินเสียงพิมพ์งานที่ฟังดูยุ่งวุ่นวาย ทั้งที่สั่งให้พนักงานทุกคนเลิกงาน แต่จนป่านนี้ตัวเองกลับกำลังทำงานหัวหมุน
“ใกล้เสร็จแล้ว นั่งรออีกเดี๋ยวนะ”
ผมนั่งลงบนโซฟาหน้าโต๊ะเงียบๆ ขณะมองเขาที่กำลังขยับมือรัวเร็วโดยไม่ปรายตามองมาทางผมเลยแม้แต่สักนิด
เสียงรัวคีย์บอร์ดดังปักๆ นั้นน่าฟังราวกับเพลงขับกล่อม ผมจึงฝังตัวเองลงบนโซฟาก่อนจะหลับตาลงแน่น
ทว่าผมกลับนอนไม่หลับ ร่างกายที่เหนื่อยล้าสะสมส่งเสียงร้องประท้วงไปทุกส่วน แถมยังให้ความรู้สึกอึดอัดราวกับถูกบางอย่างกดทับไว้อีก ในหัวของผมขาวโพลนจนน่าประหลาดเลยคิดอะไรฟุ้งซ่านขึ้นมาบ่อยๆ เพียงแต่มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ถ้าจีซอกรู้เข้าจะคิดยังไงกันนะ
ผมรู้ดีว่าจีซอกเป็นคนแบบไหน ถึงจะชอบเพศตรงข้าม แต่คนอย่างเขาก็ไม่มีทางมีอคติกับการชอบคนเพศเดียวกันแน่ๆ มิหนำซ้ำตรงกันข้ามแล้วยังดูจะสนับสนุนคนเหล่านั้นอีกด้วย ถึงจะรู้เรื่องวงแหวนที่มือซ้ายของผมไปก็ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก หมายถึงในกรณีที่ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเจ้าตัวน่ะนะ
การที่เพื่อนกับพี่ชายเชื่อมโยงกันผ่านวงแหวน…คงจะแปลกใจน่าดู แถมคู่ของพี่ชายยังเป็นเพศเดียวกันอีก…
ผมไม่คิดจะทำอะไรเกินงามกับพี่จีกอนเพียงเพราะเชื่อมโยงกันผ่านวงแหวน แค่ต้องการจะแก้ปัญหาโดยการนอนหลับด้วยกันวันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น การนอนด้วยกันเป็นการกระทำในขอบเขตที่คนเป็นเพื่อนกันยังพอทำด้วยกันได้เลยไม่มีเรื่องให้ต้องคิดลึกอะไร แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ถ้าเกิดจีซอกรู้เข้า หมอนั่นคงไม่สามารถเบาใจกับปัญหาของพี่ชายตัวเองได้แน่ๆ
ระหว่างที่กำลังคิดไปเรื่อยอยู่นั้น เสียงพิมพ์งานก็หยุดลงโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว ผมได้ยินเสียงลากเก้าอี้เลื่อน ก่อนจะรู้สึกได้ว่าพี่จีกอนเดินเข้ามาใกล้ พอหลับตาลง โสตประสาทก็จะละเอียดอ่อนขึ้น ด้วยเหตุนั้นผมเลยรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพี่เขาได้แม้จะไม่ได้มองเห็นก็ตาม
ผมรู้สึกได้ว่าเขาทรุดตัวลงนั่งข้างผมบนโซฟาตัวเดียวกันที่ใหญ่พอสำหรับให้คนสองคนนั่งได้อย่างสบาย แต่พี่จีกอนกลับนั่งใกล้ผมมากจนหัวไหล่ชนกัน
วินาทีนั้นผมถึงได้ลืมตาขึ้นมาสบตากับพี่จีกอนที่กำลังมองผมอยู่
ผมเผลอคิดขึ้นมาวูบหนึ่งว่าเขาคือคังจีซอก
บางครั้งคังจีซอกก็ชอบมองผมอยู่เงียบๆ ด้วยสายตาแบบเดียวกับที่พี่จีกอนมองผมอยู่ในตอนนี้ ปกติแล้วเขาจะทำแบบนั้นเพื่อสำรวจสีหน้าหรือไม่ก็พยายามจะอ่านความคิดของผม ทั้งสองคนไม่ได้มีแค่หน้าตาที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียว แต่ยังคล้ายกันยันการกระทำเหล่านี้ ผมเลยอดใจเต้นขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้
“นายดูเหนื่อยมากเลยนะ”
พี่จีกอนพูดแบบนั้นทั้งที่ตัวเองยังตาแดงก่ำและขอบตาดำคล้ำไม่ต่างจากผม
“พี่ก็เหมือนกันครับ”
“พี่นอนหลับไม่สนิทดีมาหลายวันแล้ว มันก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่หรอก”
พี่จีกอนพูดอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ด้วยเหตุนั้นหางตาที่เคยชี้ขึ้นเลยถูกกดลงมา ทำให้บรรยากาศที่ปกติจะเย็นชาพลันอ่อนโยนขึ้นมาทันตา
ผมมองหน้าพี่เขาก่อนจะถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“พี่ไม่คิดอะไรเลยเหรอครับ”
“คิดอะไร”
พอเห็นเขาจ้องมองผมด้วยใบหน้านิ่งๆ แล้ว ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองกำลังว้าวุ่นใจอยู่คนเดียวหรือเปล่า
“คิดว่าผมจะอึดอัดหรือเปล่า…ที่จู่ๆ ก็ถูกเชื่อมกันด้วยแหวนนี่น่ะครับ”
พี่เขามองผมโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งแทนคำตอบ ในจังหวะที่ผมอายเพราะถูกมองอยู่นิ่งๆ และกำลังจะเบือนหน้าหนีนั้นเอง
“แล้วนายอึดอัดใจกับพี่หรือไง”
พี่จีกอนย้อนถามผมกลับ ทั้งที่ควรจะรีบส่ายหัวปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่ได้สบายใจเวลาอยู่กับเขาจริงๆ เลยไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาตอบรับแบบนั้นกลับไปได้
“ก็นึกอยู่แล้วล่ะนะ”
เขายิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับวางมือลงบนศีรษะของผม
“ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้พี่ก็ไม่เคยอึดอัดใจกับนายหรอกนะ พี่มัวทำแต่งานจนไม่ได้คุยกับนายจริงจังมานานมาก นายจะอึดอัดหน่อยๆ ก็ไม่แปลกหรอก”
พอเขาพูดมาแบบนั้นแล้ว ผมก็สบายใจขึ้นมาเป็นกอง ผมกะแล้วว่าเขาไม่ได้ทำตัวห่างเหินเพราะเกลียดหรือไม่ชอบใจอะไรผม และผมเองก็พอจะเข้าใจพี่เขาดี เพราะได้ยินผ่านจีซอกมาตลอดว่าพี่เขายุ่งอยู่กับธุรกิจที่ก่อตั้งขึ้นมาขนาดไหน
“ผมก็ไม่ได้อึดอัดใจหรอกครับ ผมก็แค่…”
ผมพูดอ้อมแอ้มอยู่ในปาก เพราะถึงจะชอบจีซอกแต่ผมก็ไม่ควรเปิดเผยความรู้สึกว้าวุ่นใจเรื่องที่วงแหวนเชื่อมกับคนอื่นเลยพยายามควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติพลางลอบสังเกตท่าทีของพี่เขา
“แค่คิดมากเพราะไม่อยากให้จีซอกรู้น่ะครับ”
ผมใช้ปลายนิ้วบีบและนวดวงแหวนตรงนิ้วนางข้างซ้ายวนไปวนมาอย่างลืมตัว
“จีซอกเป็น…เพื่อนสนิทที่สุดของผมครับ ผมไม่อยากให้จีซอกรู้สึกอึดอัดใจกับผมเพราะเรื่องแบบนี้น่ะครับ พี่ไม่คิดอะไรทำนองนี้บ้างเลยเหรอครับ”
หางตาของเขากระตุกวูบหนึ่งตรงคำว่า ‘อะไรทำนองนี้’ แต่เขาก็ยังคงรักษารอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปากไว้ได้เหมือนเดิม
“อาฮะ ถ้างั้นเรามาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากจีซอกเหมือนอย่างตอนนี้กันเถอะ พี่ว่าจะลองหาข้อมูลเกี่ยวกับวงแหวนอย่างละเอียดดูด้วย เพราะคงจะอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอก”
“ครับ ขอบคุณนะครับพี่”
พอสายตาที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง พี่จีกอนก็จับมือของผมแล้วลุกขึ้น
“วันนี้สั่งรูมเซอร์วิสกินกันเถอะ ถ้าอยากกินอะไรก็ค่อยบอกพี่ระหว่างทาง”
“รูมเซอร์วิสมันไม่แพงไปหน่อยเหรอครับ แค่นอนไม่กี่ชั่วโมงก็…”
“ไม่เป็นไร แค่นี้พี่จ่ายได้”
พี่จีกอนพูดเหมือนไม่ได้ยี่หระอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็หนักใจจริงๆ ผมรู้สึกผิดมากที่ต้องให้พี่เขาออกค่าอาหารเย็นและค่าโรงแรมทุกวันคนเดียว ทั้งที่ผมเองก็ต้องการที่จะนอนไม่ต่างกัน
ถ้ารู้แบบนี้ชวนไปห้องเราแต่แรกเสียยังจะดีกว่า
ถึงจะคับแคบไปหน่อย แต่ก็น่าจะเพียงพอให้เราสองคนนอนจับมือกันแบบรักษาระยะห่างได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่กล้าเอ่ยคำชวนออกไปอย่างเต็มปาก เพราะถึงจะเรียกว่าเตียงนอน แต่ความจริงแล้วห้องของผมก็มีแค่ฟูกนอนสำหรับหนึ่งคนอยู่หลังเดียว แถมยังไม่ได้สะอาดสะอ้านหรือน่าอยู่เท่าไหร่นัก ผมคงรู้สึกผิดแย่หากต้องลากพี่จีกอนที่น่าจะเคยนอนแต่โรงแรมหรูไปนอนในสถานที่แบบนั้น
“แต่มันก็แพงอยู่ดีนี่…”
พี่เขาหลุดหัวเราะออกมาราวกับได้ยินคำพูดที่ผมพึมพำเบาๆ ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะผมอย่างทะนุถนอมไปพร้อมกัน
สุดท้ายวันนั้นผมก็จำต้องตามพี่เขาไปนอนที่โรงแรมอีกตามเคย ต่างคนต่างนอนอยู่คนละฟากของขอบเตียงขนาดใหญ่และผล็อยหลับไปโดยมีแค่มือที่กุมกันอยู่ใต้ผ้าห่ม เพียงเท่านั้นก็สามารถหลับสนิทได้พร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นที่แสนสบาย
ผมเคลิ้มจนคิดไปว่าเวลาที่ได้นอนงัวเงียแบบนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ไม่อาจใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไปได้ ในหัวจึงพลันยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นมากะทันหัน
สะกิดๆ
“อูซอยา หลับเหรอ”
ผมกำลังนอนคว่ำหน้ากับหนังสือกองพะเนินในหอสมุด พอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเพราะสัมผัสของนิ้วที่แตะลงบนไหล่ ผมก็เห็นจีซอกที่ดูกังวลกำลังดึงเก้าอี้ตัวข้างๆ ออกมานั่งข้างกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดตามประสาเขา
“ถึงจะแค่วันสองวัน แต่ถึงอย่างนั้นนายก็เหนื่อยทุกวันเลย นายไปทำอะไรมาเนี่ย ไม่ใช่ว่าป่วยอยู่หรอกนะ?”
“…เปล่าสักหน่อย ก็บอกแล้วไงว่าฉันเริ่มทำงานพิเศษตอนกลางคืน อีกอย่างพอดีช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากกว่าเรื่องเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
ถึงแม้ความจริงแล้วมันจะเป็นแค่การไปนอนกับพี่จีกอนเฉยๆ ไม่ใช่งานพิเศษอะไรนั่น แต่ในเวลาแบบนี้พูดแก้ตัวออกไปก่อนจะดีกว่า
“ทำงานพิเศษระหว่างเรียนเนี่ยนะ? แค่การบ้านก็ทับหัวตายอยู่แล้ว ไหนว่ามีเงินพอใช้ไง”
จีซอกยังคงเบะปากและทำสายตากังวลเหมือนเดิม
อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเข้ากับจีซอกได้ดีเป็นเพราะพ่อแม่ของผมทำงานอยู่ที่ไกลๆ ซึ่งไม่ต่างจากบ้านของเขาที่พ่อแม่ทำงานอยู่ต่างประเทศทั้งคู่ ยังดีที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ แต่ด้วยความที่ไม่สามารถอยู่กับพ่อแม่ซึ่งอยู่ห่างไกลได้ ผมเลยต้องหาห้องสตูดิโอเช่าอยู่คนเดียว
จีซอกที่นั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ ยื่นมือข้างหนึ่งมาวางบนหน้าผากผม แน่นอนว่าเป็นเพราะเจ้าของมือนี้คือคังจีซอก ทันทีที่หลังมือเย็นนั้นสัมผัสลงบนหน้าผากที่มีไข้รุมๆ ของผม ผมจึงพลันรู้สึกดีขึ้นมาในชั่วพริบตา
“นายมีไข้นะ”
“ฉันรู้”
“ไปโรงพยาบาลซะ ก่อนที่ฉันจะบ่นนาย อูซอยา นายคงรู้ใช่ไหมว่าถ้าฉันได้เปิดปากบ่นแล้ว นายจะโดนฉันบ่นเป็นชุดไม่หยุดน่ะ”
“โรงพยาบาลอะไรของนาย ถ้าเป็นแค่นี้แล้วไปโรงพยาบาลมีหวังได้โดนด่าว่าสำออยกันพอดี ไอ้ทึ่มเอ๊ย”
ผมขำพรืดออกมากับคำพูดของเขาที่จงใจปั้นหน้าดุพูดใส่ผม สมกับเป็นคังจีซอกที่ชอบบ่นเพราะเป็นห่วงคนรอบข้างจริงๆ
พอหลับตาลงรับสัมผัสของมือนี้อยู่เงียบๆ แล้ว ใบหน้าของพี่จีกอนก็ฉายขึ้นมาในหัวแวบหนึ่ง
พอหลับตาแล้วไม่รู้ว่าเป็นมือใครเลย
ทั้งคู่มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน รวมถึงรูปร่างใกล้เคียงกัน กระทั่งขนาดมือก็ยังใกล้เคียงกันอีก พวกเขาเหมือนกันมากถึงขนาดที่ทำเอาผมสงสัยว่าเหมือนกันขนาดนี้จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นฝาแฝดกันหรือเปล่า
ต่างกันเพียงแค่ว่ามือของจีซอกที่สัมผัสมานั้นไม่อาจทำให้ผมนอนหลับลงได้ หากเป็นมือของพี่จีกอนล่ะก็ ผมคงหลับสบายไปทั้งอย่างนี้แล้ว
นี่เรากำลังรู้สึกเสียดายอะไรกัน
ผมใจสั่นกับการสกินชิปเพียงเล็กน้อยของจีซอก แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าถ้าเป็นพี่จีกอนก็คงจะรู้สึกดีเหมือนกัน
ระหว่างที่กำลังคิดแบบนั้นผมก็ได้ยินเสียงของจีซอกดังแทรกเข้ามาในหู
“อูซอยา นายเหลือสัญญาเช่าห้องอีกนานแค่ไหนน่ะ”
ผมลืมตากับคำถามที่ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น ใบหน้าของจีซอกดูมีสีสันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นว่าเขาดูเหมือนกำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง
“ฉันเซ็นสัญญาช่วงหลังสอบกลางภาค…คงต้องต่อสัญญาในสองสามวันนี้แหละมั้ง”
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้น…”
จีซอกลดปลายเสียงลงถามผม
“นายมาอยู่กับฉันไหม”
ทันทีที่ได้ยินคำนั้นร่างกายที่ฟุบอยู่ก็พลันเด้งขึ้นมาอย่างลืมตัว ผมรู้สึกได้ว่านักศึกษาหลายคนที่อยู่รอบๆ กำลังมองมาทางนี้ แต่ผมก็ไม่ว่างพอที่จะไปใส่ใจเรื่องนั้นในตอนนี้
“นายมาอยู่คอนโดฯ ฉันเถอะนะ อูซอยา”
เมื่อกี้หมอนี่พูดว่าไงนะ
คอนโดฯ ของจีซอกมีคนอาศัยอยู่ด้วยกันสามคน
พี่จีกอน พี่จียอน แล้วก็คังจีซอก
ผมนึกสงสัยว่าแล้วทำไมตัวผมถึงได้ไปรวมอยู่ในนั้นอย่างปุบปับได้ ทำไมชื่อของผมที่เป็นคนนอกถึงได้ไปอยู่ในคอนโดฯ ที่มีสามห้องนอนและมีสามพี่น้องอาศัยอยู่กันล่ะ
พอผมมองเขาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ จีซอกจึงจัดแจงอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง
“พอดีบริษัทที่พี่จียอนทำงานกำลังจะย้ายไปที่ย่านพันกโยน่ะ อีกไม่กี่วันพี่ต้องไปทำงานที่โน่นเลยเช่าออฟฟิศเทล* ใกล้ๆ เอาไว้ ห้องที่บ้านก็เลยว่างอยู่ห้องหนึ่ง ฉันไม่เก็บค่าเช่าหรอกน่า นายขนมาแต่ตัวได้เลย”
คำพูดสุดท้ายของเขาทำให้ผมหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็จำต้องปัดตกไปก่อนแล้วก็ต้องถามเขาให้กระจ่าง
“เดี๋ยวก่อนสิ…ยังไงพวกนายก็ต้องการคนหารค่าเช่าไม่ใช่เหรอ”
อย่างน้อยก็ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ กับค่าบำรุงรักษารายเดือนบ้างสิ หมอนี่มีความจำเป็นอะไรถึงได้นึกอยากพาคนอื่นที่ไม่ใช่แม้แต่คนในครอบครัวมาอยู่ด้วยเพียงเพราะมีห้องว่างกันนะ
“พี่นายจะไม่อึดอัดเหรอ ฉันเป็นเพื่อนนายก็จริง แต่ว่า…”
“คนต้นคิดก็พี่จีกอนนั่นแหละ”
“ฮะ? พี่จีกอน?”
“พอฉันบอกไปว่านายอยู่ห้องตัวคนเดียว พี่เขาก็บอกว่าโลกสมัยนี้มันอันตรายแล้วก็น่ากลัวมาก เลยอยากให้พานายมาอยู่ด้วยกันน่ะ”
จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กไร้เดียงสาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อีกอย่างฉันบอกไปว่านายทำอาหารเก่งด้วย ฉันยังจำได้อยู่เลย มีทั้งพาสต้า ข้าวผัด แกงกิมจิ หมึกสายผัดซอส แล้วก็เนื้อย่างที่นายเคยทำให้กินตอนอยู่คนเดียว”
พอได้ยินรายชื่ออาหารที่จีซอกเคยกินมาจนถึงตอนนี้เรียงยาวเป็นพืด ผมก็พอจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย พี่น้องบ้านนี้รวมถึงจีซอกไม่มีใครสนใจเรื่องการทำอาหารเลยสักคน อาหารที่แต่ละคนสามารถทำได้ก็มีแต่รามยอนเท่านั้น และตอนนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แถมรามยอนที่ว่ายังเป็นรามยอนถ้วยอีกต่างหาก
ขอแค่มีวัตถุดิบผมก็สามารถรังสรรค์สิ่งที่เรียกว่าอาหารให้ได้เสมอ แต่พอตัดเรื่องพวกนี้ออกไป ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ยังยากที่จะเข้าใจอยู่ดี
ตอนนั้นเองมือถือที่อยู่ในแจ็กเก็ตก็สั่นเตือนเบาๆ ผมสะดุ้งโหยงขณะดูหน้าจอด้วยความคิดที่ว่าไม่น่ามีใครโทรมาในเวลาเช้าแบบนี้
“ฉันรับโทรศัพท์ก่อน เดี๋ยวมานะ เฝ้าที่ให้ที”
“หืม? ใครน่ะ”
“เจ้าของร้านที่ทำงานพิเศษน่ะ”
ผมตอบกลับไปห้วนๆ ก่อนจะรีบเดินไปที่ห้องน้ำ ทันทีที่กดรับก็ได้ยินเสียงของพี่จีกอนดังแทรกมาจากปลายสาย
“พี่รู้ว่านายไม่ได้เรียนอยู่ ทำไมถึงได้รับสายช้าอย่างนี้ล่ะ”
ตารางเรียนของผมเหมือนกับจีซอกเป๊ะๆ พี่เขาเลยน่าจะรู้ทุกอย่างแบบละเอียดยิบ
“พอดีผมอยู่หอสมุดน่ะครับ”
อันที่จริงต่อให้จะไม่ได้อยู่หอสมุด ผมก็คงปลีกตัวไปรับสายแบบนี้เหมือนกันอยู่ดี เพราะจีซอกยังไม่รู้ความจริงเรื่องที่ผมกับพี่จีกอนยังติดต่อกันอยู่ เขาเข้าใจว่านอกจากวันที่ไปทำงานกลุ่มผมก็ไม่ได้เจอกับพี่จีกอนอีก
ผมระมัดระวังตัวมากขึ้นเพราะไม่อยากให้เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่จีกอน และตอนนี้ผมก็อยากยืนยันเรื่องที่ได้ยินมาจากจีซอก
“เรื่องที่บอกให้ผมไปอยู่ที่บ้านนี่เรื่องจริงเหรอครับ”
“อืม เรื่องจริงสิ นายเข้ามาอยู่ได้เลย”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำพูดสบายๆ ที่ราวกับการเอ่ยทักทายคำเดียวแล้วเดินผ่านไปนั้น
“พี่คิดอะไรอยู่ครับ ถ้าเราอยู่ด้วยกันจีซอกอาจจะรู้เรื่องทั้งหมดก็ได้นะครับ”
“เจ้านั่นมันทึ่มอยู่แล้วคงไม่รู้หรอกน่า อีกอย่างนายเองก็หนักใจที่ต้องมานอนโรงแรมกับพี่ทุกครั้งไม่ใช่หรือไง”
แน่นอนว่าผมเห็นด้วยกับคำพูดนั้น แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดในตอนนี้คือความเสี่ยงที่อาจจะถูกจีซอกจับได้ ดังนั้นการที่ผมจะรู้สึกกังวลจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“ไหนๆ เจ้าจีซอกเองก็จะอยู่บ้านตลอดช่วงปิดเทอมอยู่แล้วด้วย ได้ยินว่าค่าเช่ารายเดือนนายแพงเอาเรื่องเลยนี่ นายจะได้ประหยัดเงินแล้วก็ได้นอนหลับสนิทด้วย อีกอย่างถ้ามาอยู่บ้านนี้ นายจะได้มีเจ้าจีซอกเป็นเพื่อนเล่นด้วยไง”
เขาพูดเหมือนคังจีซอกเป็นของเล่นหรือเจ้าตูบที่เลี้ยงเอาไว้
แต่ตราบใดที่จีซอกยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของผมกับพี่จีกอน คำพูดของเขาก็เป็นคำพูดที่ล่อตาล่อใจจริงๆ
“คนอย่างเจ้าจีซอกน่ะ ถึงเที่ยงคืนก็หลับเป็นตายแล้ว แถมที่นี่ก็มีห้องส่วนตัวแยกให้นายต่างหาก นายมานอนที่ห้องพี่ตอนดึกๆ แล้วกลับห้องตัวเองไปก่อนจีซอกจะตื่นก็ได้”
พี่จีกอนค่อยๆ พูดตะล่อมหว่านล้อมผมราวกับเตรียมการไว้ล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี
“พี่โทรมาเพราะคิดว่านายน่าจะกังวล ยังไงก็รีบตัดสินใจแล้วย้ายเข้ามาซะนะ”
พี่จีกอนคงรู้อยู่แล้วว่าผมจะตกหลุมพรางของเขา
สถานการณ์ของผมตอนนี้มีแค่ผมคนเดียวที่กำลังสองจิตสองใจอยู่ในอุ้งมือของพี่เขา และแน่นอนว่าสิ่งที่ดิ้นอยู่ในอุ้งมือของพี่เขานั้นย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หลังจากวิตกกังวลและลองทบทวนดูแล้ว ผมก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่คอนโดฯ ของพี่จีกอนกับจีซอกในที่สุด
* ออฟฟิศเทล เป็นตึกสูง 10-20 ชั้น จุดประสงค์หลักคือการทำเป็นออฟฟิศ แต่สามารถเช่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้ โดยในออฟฟิศเทลจะมีโครงการหลากหลายโครงการรวมอยู่ด้วย เช่น ฟิตเนส ร้านอาหาร เป็นต้น นับว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
Chapter 3.2 ชินอูซอ
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมมาคอนโดฯ ของจีซอก
ทว่าครั้งนี้ผมกลับรู้สึกแปลกชอบกล อาจเป็นเพราะมันต่างจากครั้งก่อนที่มาในฐานะแขกโดยสิ้นเชิง
“นี่เตียงที่พี่จียอนเคยใช้ แต่ทำความสะอาดฟูกให้แล้ว ส่วนผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม หมอน อะไรพวกนี้เป็นของใหม่หมดเลย โต๊ะทำงานเองก็สะอาดเอี่ยมเพราะซื้อมาตั้งทิ้งไว้ยังไม่ได้ใช้ ชั้นวางหนังสือก็เหมือนกัน อ้อ ตู้เสื้อผ้ามันเก่าไปหน่อย พี่เลยซื้อของใหม่เข้ามาให้แทนแล้ว เห็นแบบนี้แล้วพี่สาวฉันนี่นะ…ใช้แค่นอนแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงานจริงๆ แฮะ”
ผมกวาดตามองในห้องช้าๆ ขณะฟังจีซอกเกาแก้มพลางหัวเราะแหะๆ พื้นที่ห้องค่อนข้างกว้าง เฟอร์นิเจอร์สะอาดเอี่ยมอ่อง แถมตัวห้องยังเป็นห้องที่มีแสงแดดส่องถึงได้ดี
ระหว่างที่ตรวจดูห้องและกำลังยกสัมภาระที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นเข้าไปวาง จีซอกก็ปรี่เข้ามาชิงยกลังที่ดูเหมือนจะหนักที่สุดขึ้นมาก่อน
“เฮ้ ลังนั้นฉันใส่หนังสือไว้ มันหนักนะ เดี๋ยวก็เอวเคล็ดหรอก ไว้ค่อยยกด้วยกัน”
“ไม่เป็นไร ไม่เห็นจะหนักสักเท่าไหร่เลย”
เขาก้าวขาฉับๆ แล้วย้ายของไปวางไว้ในห้องราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย แถมตอนนี้ก็มาแย่งลังหนักๆ ที่ผมยกอยู่ไปแล้ว
“นายเปิดลังแล้วจัดของไปนะ เรื่องขนของเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ไม่เป็นไร ค่อยนั่งจัดหลังจากขนของเสร็จหมดแล้วก็ได้”
“แต่ฉันเป็น”
จีซอกวางลังที่ผมเคยยกแล้วดูหนักไปซ้อนบนลังอีกใบก่อนจะเดินออกไป
“อา หิวจัง สงสัยคงต้องรีบจัดการซะแล้ว จะได้กินฟูลคอร์สของคุณเชฟชิน”
จีซอกเหลือบมองผมพลางพูดพึมพำราวกับหวังจะให้ได้ยิน ผมหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะหยิบมีดคัตเตอร์ไปที่ห้องแล้วนั่งลงตรงหน้าลังพวกนั้นเพื่อเปิดลังออก
“นายไม่รู้เหรอว่าวันที่ย้ายบ้านเขาต้องกินจาจังมยอน* กันน่ะ”
“ฉันกินแต่อาหารดีลิเวอรี่หรือไม่ก็อาหารที่มหา’ลัยทุกวันเลย ขอให้ฉันได้กินข้าวที่บ้านบ้างเถอะอูซอยา”
จีซอกที่วางกล่องลงแล้วนั่งยองๆ ลงข้างผมแกล้งทำหน้ามุ่ย ผมจึงแกล้งใช้หลังมือตบริมฝีปากที่เบะออกมาเบาๆ อย่างหมั่นไส้โดยไม่ให้เขาเจ็บ
“เข้าใจแล้ว คิดไว้แล้วกันว่าอยากกินอะไร”
“ถ้างั้นก็แกงกิมจิ!”
“แค่นั้น?”
“น้ำแกงขอแบบเข้มข้น ใส่เนื้อต้นขาหน้าให้เต็มเลยนะ แล้วก็อย่าลืมใส่เต้าหู้ลงไปด้วยล่ะ”
“เรื่องกินนี่พูดได้เป็นฉากๆ เลยนะ”
หากถามว่าอาหารที่คังจีซอกโปรดปรานที่สุดคืออะไร แน่นอนว่าต้องเป็นแกงกิมจิอยู่แล้ว ผมเลยพอจะเดาได้คร่าวๆ พอถึงเวลาที่เขาบุกเข้ามาที่ห้องของผมเป็นครั้งคราว ผมก็มักจะทำแกงกิมจิเป็นกับแกล้มเหล้ากินด้วยกัน
ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี ผมตั้งใจว่าจะรีบทำให้เสร็จแล้วไปซื้อของเข้าบ้านเลยต้องเร่งจัดสัมภาระให้เสร็จเร็วๆ ถึงจะเรียกว่าสัมภาระ แต่ก็มีอยู่ทั้งหมดหกกล่อง สองในหกกล่องนั้นเป็นหนังสือล้วน แถมเสื้อผ้าผมก็ไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่ ด้วยความที่อาศัยอยู่ในห้องสตูดิโอเล็กๆ เลยไม่ได้มีสัมภาระมากมายอะไรนัก
หลังจากจัดเสื้อผ้าและข้าวของจิปาถะเสร็จในเวลาไม่นานก็ได้แรงจากจีซอกมาช่วยเรียงหนังสือเป็นชั้นๆ กว่าจะจัดเสร็จหมดทุกอย่าง เวลาก็ล่วงเลยเกินหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว ผมแวะไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ กับจีซอกจนกลับมาถึงคอนโดฯ แล้ว แต่พี่จีกอนก็ยังไม่ติดต่อมาเลยสักครั้ง ทั้งที่เวลานี้เขาน่าจะเลิกงานแล้วแท้ๆ
พอถามจีซอกถึงเรื่องเตรียมอาหาร ผมก็ได้คำตอบว่าวันนี้พี่จีกอนบอกว่ามีประชุมดึกไม่ต้องรอ ผมนี่มันแย่จริงๆ ตอนที่ได้ยินอย่างนั้น เพราะแทนที่จะเป็นห่วงที่พี่เขากลับบ้านดึก แต่ผมกลับคิดว่าดีเหมือนกันที่จะได้อยู่กับจีซอกตามลำพังแล้วดูหนังด้วยกัน
ผมดูหนังอย่างสบายอารมณ์กับจีซอกแล้วก็พลันนึกถึงคลาสเรียนตอนเช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้ขึ้นมา เลยแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเองตั้งแต่หัวค่ำ
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนอนไม่หลับ ส่วนหนึ่งคงต้องโทษอาการนอนไม่หลับของไอ้แหวนเฮงซวยนี่ แต่อีกส่วนหนึ่งคงต้องโทษเพดานกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เพราะมันเน้นย้ำให้ผมตระหนักได้ว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในบ้านของจีซอก หัวใจผมเลยเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าตัว
ผมนอนอยู่บนเตียงขณะแหงนหน้ามองเพดานอย่างเหม่อลอย ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
ไหนๆ ก็หลับไม่ลงจนกว่าพี่จีกอนจะกลับมาอยู่แล้ว อ่านหนังสือสักหน่อยดีไหมนะ
สภาพแวดล้อมอาจจะแปลกไป แต่กิจวัตรในตอนดึกของผมก็ยังคงเหมือนเดิม ผมนั่งบนเก้าอี้ที่ดูเรียบหรูและสบายกว่าการอยู่ในห้องสตูดิโอที่เคยเช่าอยู่ ก่อนจะกางหนังสือบนโต๊ะ แม้จะรู้ว่ามันคงไม่ได้ผล แต่ก็หวังว่าตัวเองจะง่วงเลยจดจ่ออยู่กับหนังสือไปเรื่อยๆ
ขณะที่กำลังโฟกัสกับหนังสือและเขียนโน้ตอยู่นั้นเอง
เสียงกลไกของดอร์ล็อกก็ดังขึ้นมาเบาๆ ผมยกมือถือขึ้นมาดูนาฬิกา ก่อนจะพบว่าตอนนี้เป็นเวลากว่าตีหนึ่งแล้ว
ผมเปิดประตูห้องเพราะคิดว่าต่อให้ไม่นอนทันทีก็ควรจะออกไปทักทายพี่เขาสักหน่อย แต่กลับพบพี่จีกอนที่กำลังยืนตระหง่านอยู่หน้าประตูพอดี ผมไม่รู้เลยว่าเขาเดินเข้ามาถึงหน้าห้องผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“กะ…กลับมาแล้วเหรอครับ”
ผมเอ่ยทักทาย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ปรือตาปิดลงครึ่งหนึ่งแล้วมองผมด้วยสีหน้าเย็นชา สังเกตจากกลิ่นแอลกอฮอล์เข้มข้นที่ฉุนกึกแล้ว ดูเหมือนเขาจะดื่มเหล้าไปเยอะเอาเรื่อง
“พี่เมาเหรอครับ ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อย…”
“ดื่มเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับ…”
พี่จีกอนพูดอย่างเชื่องช้า นอกจากลิ้นจะพันกันแล้วเสียงก็ยังทุ้มต่ำกว่าปกติ ทำเอาผมสงสัยว่าเขายังมีสติสัมปชัญญะเต็มร้อยดีอยู่หรือเปล่า
ระหว่างที่คิดว่าจะทำยังไงดี พี่จีกอนก็พรวดพราดเข้ามาแล้วปิดประตู จู่ๆ เขาก็คว้าตัวผมไปกอดโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว วงแขนสองข้างของเขาเหนี่ยวรั้งตัวผมเอาไว้ทันที ก่อนจะตามมาด้วยกลิ่นบุหรี่จางๆ ที่คละเคล้าไปกับกลิ่นเหล้าที่รุนแรง เขาซุกใบหน้าลงมาบนไหล่ที่ห่ออยู่ของผมพลางส่งเสียงแปลกๆ ราวกับกำลังคลอเคลียที่ใบหู
“นอนด้วยกันนะ…อูซอยา”
ทั้งที่เขาก็แค่ชวนนอนหลับแบบซื่อๆ แต่ใบหน้าของผมกลับแดงก่ำขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งหมดเป็นความผิดของเสียงแปลกๆ ของพี่เขาที่เย้ายวนผม
ผมถูกน้ำหนักตัวหนักๆ โถมใส่จนถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะทรุดนั่งลงบนเตียง ตอนนั้นเองผมพลันรีบเกร็งช่วงเอวเต็มที่พร้อมกับดันตัวพี่เขาออกไปอย่างยากลำบากเพื่อไม่ให้ตัวเองนอนราบลง
“พี่ครับ เดี๋ยวก่อน…ผมหนักนะครับ”
ผมโอดครวญพลางพยายามจับตัวพี่เขาให้พลิกออกไป คนที่หากเป็นปกติดีคงไม่สะทกสะท้านยอมล้มตัวนอนแผ่ลงบนเตียงแต่โดยดี แต่กระนั้นเขาก็ยังโอบรัดเอวของผมเอาไว้จนผมตัวเอียงล้มตามไปด้วย ผมใช้มือยันแผ่นอกของพี่เขาขณะหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะดิ้นขลุกขลักหนีจากวงแขนที่เหมือนกับบ่วงล่าสัตว์นี้
ผมยกขาของพี่จีกอนที่นอนแผ่หลาเกยขอบเตียงไปวางบนเตียงดีๆ ก่อนจะดันตัวที่เอียงอยู่ให้นอนตรงๆ แต่แค่นี้ก็เล่นเอาผมหืดขึ้นคอเลยทีเดียว
พี่จีกอนนอนนิ่งดูผมจัดแจงท่านอนให้อย่างว่าง่ายในระหว่างที่ผมนั่งทิ้งตัวอยู่ตรงขอบเตียงขณะถอดแจ็กเก็ตของพี่เขาออกอย่างทุลักทุเล จากนั้นผมก็เริ่มปลดเนกไทกับกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ดูอึดอัดให้พี่เขา แต่แล้ววงแขนของพี่เขาก็โอบรอบเอวของผมอีกครั้ง
“นอนกันเถอะ…”
“รู้แล้วครับ ตอนนี้เราก็แตะตัวกันอยู่แล้วนี่ไงครับ พี่หลับไปก่อนได้เลย”
ได้ยินมาว่าตราบใดที่ร่างกายยังสัมผัสกัน เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญอะไรอีก ผมจึงน่าจะสามารถนอนหลับได้ แม้จะอยู่ในท่าที่มีวงแขนของเขาพาดเอวเหมือนอย่างตอนนี้ก็ตาม
เขาน่าจะหลับไปแล้วเพราะไม่ได้พูดอะไรอีก ผมจึงช่วยปลดกระดุมเม็ดที่สองให้ แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นผมก็ได้สบตากับพี่เขาที่กำลังหลุบมองลงมาอยู่พอดี หางตาคมที่มักจะยกขึ้นในยามปกติตอนนี้กลับวาดลงเป็นเส้นโค้งชวนมอง
พี่จีกอนลูบศีรษะของผมเงียบๆ หากว่ากันตามตรง การสกินชิปแบบลูบศีรษะนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคยเลยสักนิด กระทั่งก่อนขึ้นชั้นมัธยมปลายเองก็เช่นกัน ต่อให้ได้ผลการเรียนดีขนาดไหน พ่อแม่ที่ทำงานยุ่งตลอดก็ไม่เคยจะหันมาเหลียวแลผมด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการลูบศีรษะกัน
ผมรู้สึกดีกับการที่ถูกพี่เขาลูบศีรษะ ครั้งแรกมันอาจจะแปลกไปสักหน่อย ผมรู้สึกเหมือนเขาดูแคลนผมและปฏิบัติกับผมเหมือนผมเป็นเด็ก แต่พอถึงจุดหนึ่งผมก็รู้สึกดีจนไม่คิดถึงเรื่องพรรค์นั้นอีกเลย ผมคิดว่าหนึ่งในหลายเหตุผลที่ผมชอบคังจีซอกก็น่าจะเป็นเพราะความอบอุ่นที่ส่งมาจากมือนี้เหมือนกัน
ระหว่างที่นึกถึงจีซอกอยู่นั้น ผมก็คิดว่าสองพี่น้องคู่นี้หน้าตาเหมือนกันมาก แม้ดวงตาของพี่จีกอนตอนนี้จะปรือปรอยอยู่ก็ตามที มือที่ลูบศีรษะค่อยๆ ลดลงแล้วเกลี่ยไล้ผ่านใบหูผมลงมา ผมผงะจนเกือบตกเตียง แต่ก็คว้ามือของเขาไว้ได้ทันอย่างลืมตัว
ผมได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของพี่จีกอนที่ผล็อยหลับไป พอเห็นอย่างนั้นผมก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะตามมาด้วยความง่วงที่ถาโถมเข้ามาอย่างฉับพลัน
ตอนนี้พี่จีกอนได้ยึดเตียงของผมไปแล้ว ถ้าดันตัวเขาไปอีกนิด ผมก็น่าจะสามารถแทรกตัวหลับข้างๆ เขาได้ แต่จะยังไงก็เถอะ การนอนเตียงเดียวกับคนอื่นมันก็…ให้ความรู้สึกต่างกับการจับมือพิงกันแล้วนอนหลับอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ผมเคยลองทดสอบพี่จีกอน พอไม่ได้สัมผัสตัวกันประมาณสิบนาที ดวงตาของเขาก็จะเปิดขึ้นในทันที และต่อให้เมาอยู่ผมก็คิดว่าผลลัพธ์ไม่น่าจะต่างกัน
หลังจากกังวลอยู่นาน ผมก็ตัดสินใจลงมานั่งบนพื้นข้างล่างเตียง โดยอิงหลังกับฟูกแล้วแนบแก้มเข้ากับฝ่ามือที่ยื่นออกมาของพี่จีกอน ทั้งที่ดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง แต่พอผมเอียงใบหน้าซบกับฝ่ามือนั้น มือของพี่เขาก็ทำท่าเหมือนกับจะประคองแก้มของผมเอาไว้จากข้างหลัง
แค่สัมผัสตัวกันเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว ไม่ว่าจะจับมือหรือจับแก้มก็ตาม…
ไม่นานนักความง่วงก็ถาโถมเข้ามา ความเย้ายวนของการนอนหลับอันแสนหอมหวานที่ไม่อาจต้านทานได้ทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าของผมกลายเป็นอัมพาต ก่อนที่น้ำหนักของเปลือกตาจะบังคับให้ผมปิดตาลง
ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว
พอเริ่มได้สติขึ้นมาทีละน้อยทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ผมก็รู้สึกได้ถึงความสบายและความอ่อนเปลี้ยชวนเคลิบเคลิ้มที่ได้มาจากการนอน ผมรู้สึกสดชื่นกว่าตอนที่นัดเจอกับพี่จีกอนแล้วหลับสนิทได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เป็นเท่าตัวจนอยากจะหลับอย่างนี้ไปอีกเนิ่นนาน
อา จะว่าไปแล้วเรายังไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกเลยนี่นา
ผมเพิ่งได้สติขึ้นมาทีหลัง
ปกติผมจะตั้งนาฬิกาปลุกก่อนนอนกับพี่เขาทุกครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นคงได้ดื่มด่ำกับการหลับเต็มอิ่มแบบกู่ไม่กลับและนอนหลับยาวโดยไม่รู้สึกตัวแน่ๆ
ผมจำได้ว่าตัวเองหลับยาวโดยไม่มีนาฬิกาปลุกและผล็อยหลับไปในท่านั่งทั้งอย่างนั้นก่อนจะลืมตาขึ้น แต่กลับพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนตะแคงข้างเสียอย่างนั้น ผมกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับการมองเห็นที่พร่ามัวให้ชัดเจน ตอนนั้นเองถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ แถมยังนอนหนุนหมอนอยู่บนเตียงอย่างดีด้วย
จำไม่เห็นได้เลยแฮะว่าขึ้นมาบนเตียง…
ผมรู้สึกประหลาดใจขณะเบนสายตาไปทางอื่น ไม่ใช่แค่หมอนอย่างเดียวที่ทำให้ผมประหลาดใจ การนอนห่มผ้าเองก็เช่นกัน ผมปรายตามองต่ำลงไปอีกหน่อย ก่อนจะเห็นวงแขนของใครบางคนกำลังโอบรอบเอวผมอยู่
“ตื่นแล้วเหรอ”
ผมผงะไปเล็กน้อยกับเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินจากคนข้างหลังก่อนจะหันหลังกลับไป ภาพที่เห็นคือคังจีซอกที่กำลังพลิกตัวมาทางผมก่อนชันศอกขึ้นเท้ามือเข้ากับศีรษะ
“คังจีซอก ทำไมนาย…”
“คังจีซอกที่ไหนกัน นี่พี่เอง ตื่นได้แล้ว”
วินาทีนั้นเองผมถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คังจีซอก แต่เป็นพี่จีกอน นอกจากจะมีใบหน้าที่คล้ายกันมากแล้ว ผมด้านหน้าที่ปกติมักจะเสยขึ้นไปครึ่งหนึ่งของพี่เขายังปรกลงมาเหมือนคังจีซอกอีก แบบนี้ก็สมควรที่ผมจะเข้าใจผิดอยู่หรอก
ทันทีที่รู้ว่าเป็นพี่จีกอน ผมก็ตั้งท่าจะลุกพรวดขึ้น ทว่าท่อนแขนที่โอบรอบเอวอยู่กลับออกแรงกดผมให้นอนลงไปตามเดิมราวกับคาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว ผมเงยหน้ามองพี่เขาอย่างงุนงง แต่พี่เขากลับยกยิ้มมุมปากพลางก้มมองผมราวกับนึกสนุกเสียอย่างนั้น
ผมกำลังจะถามว่าทำไมพี่เขาถึงได้มานอนอยู่บนเตียงของผม แต่สมองก็พลันนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนให้พี่เขานอนบนเตียงของตัวเองแน่ๆ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำไมตัวเองถึงขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันกับพี่เขาได้
พี่จีกอนมองนัยน์ตาของผมที่กลอกไปมา ก่อนจะตอบคำถามที่อยู่ในหัวของผม
“พี่เห็นนายนอนลำบากเลยอุ้มขึ้นมาวางบนเตียงไง จะอะไรเสียอีกล่ะ”
“นั่นสินะครับ…”
ดูท่าพี่เขาคงจะตื่นแล้วอุ้มผมขึ้นมาวางไว้ พอเห็นดวงตาที่สดใสและได้ยินน้ำเสียงที่ไม่แหบพร่าแม้แต่น้อยนั้นแล้ว ดูเหมือนพี่เขาน่าจะตื่นมาพักหนึ่งแล้ว แต่ด้วยความที่ผมยังหลับอยู่ พี่เขาเลยจำเป็นต้องโอบเอวของผมเอาไว้อยู่นิ่งๆ ผมผล็อยหลับไปบนเตียงในท่าที่ถูกกอดจากข้างหลังโดยไม่รู้สึกตัวเลยรู้สึกกระอักกระอ่วนมากกว่าจะรู้สึกขอบคุณที่พี่เขาเป็นห่วงเป็นใยกัน
ผมหยัดกายท่อนบนลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
“เมื่อวานพี่น่าจะดื่มหนักมากเลยนะครับ”
“ก็มีดื่มบ้างน่ะ แต่ถึงจะดื่มขนาดนั้นก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี”
พี่เขาชักแขนออกไปพร้อมกับลุกขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียง ก่อนจะลูบศีรษะของผมราวกับเคยชินจนกลายเป็นนิสัย
“เอาเป็นว่าพี่จะไม่ดื่มหนักขนาดนั้นกลับมาอีกแล้ว วันแรกก็มีเรื่องให้ต้องขอโทษเลยแฮะ”
“ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีบ้างแหละครับ ผมเข้าใจ”
“นายนี่เหมือนคนแก่มากกว่าที่พี่คิดอีกนะ”
“บางทีคังจีซอกก็พูดแบบนั้นเหมือนกันครับ”
พี่จีกอนหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะก้าวขาลงจากเตียง เขาก้มลงมองเสื้อเชิ้ตที่ยับยู่ยี่ระหว่างหลับ จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าที่ผมถอดทิ้งไว้แล้วเดินไปที่ประตูโดยไม่วายหันกลับมาพูดทิ้งท้าย
“นายอยากกินอะไรเป็นมื้อเที่ยงไหม เดี๋ยวพี่สั่งให้”
“ทำไมถึงเป็นมื้อเที่ยง แล้วมื้อเช้าล่ะครับ”
“พี่ไม่เคยกินมื้อเช้า ส่วนดีลิเวอรี่ก็ส่งแต่ช่วงเที่ยงด้วย”
“ช่างเถอะครับ ดีลิเวอรี่อะไรกัน นี่ผมตั้งใจจะทำอาหารให้เลยนะครับ เมื่อวานผมกับจีซอกไปซื้อของมาไว้แล้ว”
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดว่ามีเมนูร้อนๆ เมนูไหนที่พอจะแก้แฮงก์ได้ทันทีบ้าง ผมก็หยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะเห็นว่าเวลาเพิ่งเลยเจ็ดโมงเช้าไปได้ไม่นาน
ควรชอบใจหรือไม่ชอบใจกับเรื่องนี้ดีนะ?
ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างทุกครั้งที่นอนกับพี่จีกอนหลังจากที่วงแหวนปรากฏขึ้น มันคือความรู้สึกพึงพอใจกับช่วงเวลาที่นอนหลับไปขณะได้สัมผัสเนื้อตัวกัน อาจเป็นเพราะนอนหลับไปโดยไม่ได้ฝันอะไรด้วยล่ะมั้ง ร่างกายเลยสดชื่นเหมือนได้หลับเต็มอิ่มมานาน ทั้งที่ความจริงแล้วก็ไม่ได้นอนหลับไปนานขนาดนั้น
เมื่อนับเวลาดูแล้วก็เท่ากับว่านอนไปได้ประมาณห้าชั่วโมง แต่เท่านี้ผมก็พอใจมากแล้วเพราะในหัวของผมตอนนี้ปลอดโปร่งและสดชื่นสุดๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยกว่าตอนที่แค่จับมือกันนอนเสียอีก
“อาบน้ำออกมาแล้วจะต้มอะไรที่พอแก้แฮงก์ได้ให้กินนะครับ”
พี่เขาหันมากะพริบตาให้ผมปริบๆ ผมมองเขาที่ส่งสายตาแทนคำถามพลางคิดว่าท่าทางนั้นช่างเหมือนกับคังจีซอกอย่างกับแกะ
“ต้องกินอะไรแก้แฮงก์สักหน่อยสิครับ วันนี้วันเสาร์ พี่คงไม่ออกไปทำงานหรอกนะ?”
“นายจะทำให้เองกับมือเลยเหรอ”
พอผมพยักหน้า หางตาของพี่เขาก็หรี่ลงเล็กน้อย เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกวักมือคล้ายกับจะเรียกให้ผมเข้าไปหา ก่อนจะใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะของผมอย่างอ่อนโยน
“แล้วนายจะทำเมนูอะไร”
“ผมทำซุปถั่วงอกอร่อยนะครับ”
“แล้วนายรู้เหรอว่าข้าวหุงสำเร็จรูปอยู่ที่ไหน จีซอกได้บอกนายหรือยัง”
“ผมรู้แล้วครับ แต่เมื่อคืนก็ซื้อข้าวสารมาหุงเตรียมไว้แล้ว มันน่าจะดีกว่าข้าวหุงสำเร็จรูปนะครับ”
น้ำหนักมือที่ลูบศีรษะผมเหมือนจะแรงขึ้นเล็กน้อย ผมคงหัวเสียถ้าคนอื่นมาทำอะไรแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนที่ทำคือพี่จีกอนหรือเปล่า ผมเลยรู้สึกดีแปลกๆ
“พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวออกมา ไหนโชว์ฝีมือของนายให้ดูหน่อยสิ อยากรู้จริงๆ ว่าที่เจ้าจีซอกอวยนักอวยหนาจะเป็นเรื่องจริงไหม”
“กินแล้วอย่ามาขอเพิ่มแล้วกันครับ เพราะผมจะต้มแค่ที่เดียวสำหรับแก้แฮงก์”
“จะให้พี่กินคนเดียวเหรอ เหงาแย่เลย”
ผมทำตัวไม่ถูกกับพี่จีกอนที่ทำหน้ามุ่ยพลางบอกว่าเหงา ก่อนจะขำพรืดออกมาเพราะใครเห็นก็ดูออกว่าพี่เขาแกล้งทำเลียนแบบคังจีซอก
“พี่รีบไปอาบน้ำเถอะครับ กลิ่นเหล้าหึ่งเลยเนี่ย”
ผมใช้สองมือดันแผ่นหลังกว้างของพี่จีกอนให้เดินไปทางประตู พี่เขาจึงหมุนลูกบิดประตูด้วยสีหน้าผ่อนคลายพร้อมกับบอกว่าจะรีบไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวออกมา แต่ทันทีที่เขาก้าวออกจากประตูที่เปิดกว้าง…
“ทำไมพี่ถึงออกมาจากห้องนั้นล่ะ”
ผมก็ได้เผชิญหน้ากับคังจีซอกที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องของตัวเองและกำลังมองพวกเราตาปริบๆ วินาทีนั้นผมตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะระหว่างมองเขาที่ขยี้ตาเหมือนยังงัวเงียอยู่
พี่จีกอนนิ่งสนิทต่างจากผมที่ตื่นตกใจอย่างสิ้นเชิง
“ไม่รู้สิ ตื่นขึ้นมาก็อยู่ในห้องนี้แล้ว”
“ดื่มเหล้าหนักอีกแล้วเหรอ ดื่มให้มันพอดีๆ หน่อยเถอะ”
จีซอกที่เดาะลิ้นอย่างหยอกเล่นยิ้มแฉ่งให้ผมที่ถูกบังไปครึ่งตัวอยู่ด้านหลังพี่จีกอน
“อูซอยา ข้าวฉันล่ะ”
ผมพลันหายเครียดเป็นปลิดทิ้งเพราะคำพูดที่ฟังดูสบายๆ ไม่ได้คิดอะไรของจีซอก แต่พี่จีกอนกลับตอบเขาแทนผมไปเป็นที่เรียบร้อย
“เดี๋ยวนี้นายฝากท้องไว้กับอูซอเหรอ เมื่อก่อนไม่เห็นนายจะสนใจกินข้าวเช้าอะไรเลยนี่”
“ผมก็กินข้าวเช้าเป็นเหมือนกันแหละน่า ถ้างั้นพี่ก็อย่ากินดิ”
“คนที่จองตัวเด็กนี่เอาไว้ก่อนมันฉันต่างหาก”
พี่จีกอนปรายตามองจีซอกก่อนจะเดินหายเข้าห้องของตัวเองไป จีซอกเหลือบมองห้องของพี่ตัวเอง ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมด้วยรอยยิ้มแหยๆ ราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
“นานมากแล้วที่พี่เขาไม่ได้ดื่มหนักจนภาพตัดไปแบบนี้ ดูท่าจะเมาจนจำห้องผิดน่ะ”
“คงงั้นล่ะมั้ง”
ผมแกล้งพูดราวกับไม่ได้คิดอะไรขณะใช้มือสางเส้นผมที่ยุ่งเหมือนรังนกกางเขนให้จีซอก
“นายไปหลับอีท่าไหนเนี่ย ผมถึงได้เป็นแบบนี้ อย่างกับรังนกแหนะ”
“ฉันฝันว่ามีลูกหมาหน้าเหมือนนายมานั่งอยู่บนหัวฉันน่ะสิ นี่มันความผิดนายชัดๆ! เฮ้ยๆ”
“ฝันเรื่องเพ้อเจ้อแล้วยังพูดจาเพ้อเจ้ออีกนะ หืม?”
ผมที่กำลังสางผมให้เขาอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไปทึ้งเส้นผมของเขาเพราะคำพูดไม่เข้าท่านั่น ถึงจะแค่ทึ้งเบาๆ ไม่ได้กะให้เจ็บอะไร แต่เขาก็สำออยไปเอง
ในระหว่างนั้นผมก็สบสายตากับพี่จีกอนที่เดินถือเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนออกมาจากห้องนอนผ่านลาดไหล่ของจีซอก เขามองพวกผมแวบหนึ่ง ก่อนจะตรงเข้าห้องน้ำไปในทันที
* การกินจาจังมยอนในวันย้ายบ้านเป็นธรรมเนียมที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปีก่อน เนื่องจากการทำอาหารกินเองหลังจากย้ายบ้านใหม่เป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะในการย้ายบ้านยังมีธุระอย่างอื่นที่ต้องจัดการมากมาย จึงจำต้องสั่งอาหารดีลิเวอรี่มากิน แต่ด้วยความที่ในสมัยนั้นอาหารดีลิเวอรี่ยังมีไม่มากนักและส่วนมากเป็นร้านอาหารจีน โดยจาจังมยอนเป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลมาจากร้านอาหารจีนเหล่านั้น อีกทั้งยังเป็นอาหารที่ทำได้ไวที่สุด จึงนิยมสั่งมากินกันเพื่อความสะดวกสบาย แต่ความเชื่อนี้ก็ไม่เป็นที่นิยมแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารดีลิเวอรี่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น
Chapter 3.3 ชินอูซอ
หลังจากที่เราสามคนนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ผมก็หยิบโน้ตบุ๊กออกมาจากห้องของตัวเองแล้วเปิดหน้าต่างอินเตอร์เน็ต ทันทีที่พิมพ์คำว่า ‘วงแหวน’ ในช่องค้นหา ข้อความที่ค้นหาก็ปรากฏขึ้นมารัวๆ
‘วงแหวน อาการนอนไม่หลับ’
‘วงแหวน การนอนหลับ’
‘วงแหวน อิทธิพล’
‘วงแหวน การปลดพันธะ’
ผมลองค้นคำว่า ‘วงแหวน การปลดพันธะ’ ในบรรดาข้อความเหล่านั้นอย่างที่เคยทำมาตลอด หัวข้อและเนื้อหาที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นมา และส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนจากตัวอักษรสีน้ำเงินเป็นสีม่วงแทนเพื่อบอกว่าผมเคยเข้าไปอ่านมันมาแล้ว
ผมถอนหายใจขณะใช้สายตาสแกนเนื้อหาผ่านๆ
แต่ไม่ว่าจะอ่านยังไง เนื้อหาก็เหมือนกันหมด
เมื่อวงแหวนเชื่อมโยงกันแล้วก็จะต้องใช้ชีวิตร่วมกับคู่แห่งแหวนไปตลอดชีวิต แต่หากต้องการจะปลดพันธะแห่งแหวนนี้ก็มีอยู่วิธีหนึ่ง…นั่นก็คือต้องฆ่าอีกฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต เมื่อนั้นวงแหวนก็จะหายไป
ด้วยเหตุนั้นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ค้นเจอจึงมีเนื้อหาที่ทั้งปลุกปั่นและน่ากลัวรวมอยู่ด้วย ซึ่งอันที่จริงก็มีบทความในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับอุทาหรณ์เรื่องการฆ่าอีกฝ่ายเพื่อปลดพันธะแห่งแหวนผ่านเข้าตาของผมเป็นระยะๆ
แม้ผมจะรู้ดีอยู่แล้วผ่านเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แต่ก็ยังอดที่จะรู้สึกอึดอัดไม่ได้เมื่อค้นอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการยกเลิกพันธะอย่างเด็ดขาดแล้วเจอแต่เนื้อหาเดิมๆ
ไม่มีวิธีจริงๆ สินะ?
มากกว่าความอึดอัดหรือความไม่ชอบใจในการต้องเกี่ยวพันและฝืนใช้ชีวิตกับคนอื่นที่คาดไม่ถึงนั้นคือการยอมรับที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ง่ายๆ คนอื่นอาจจะใช้คำพูดสวยหรูว่าเป็นโชคชะตาหรืออะไรก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ว่าทุกคนที่เชื่อมโยงกันจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขโดยที่รักกันไปได้ตลอดชีวิต
ผมถอนหายใจด้วยความรู้สึกอึดอัด ก่อนมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะจะสั่นครืดคราด
อ่านหนังสืออีกแล้วเหรอ ฉันไปยิมแป๊บนะ เดี๋ยวกลับมา
คังจีซอกส่งข้อความมา จะว่าไปแล้วเหมือนหมอนี่จะเคยบอกผมว่าตัวเองเข้ายิมทุกเช้าหรือเปล่านะ
พออ่านข้อความเสร็จก็มีเสียงดอร์ล็อกดังขึ้นจากประตูหน้าโถงทางเข้าทันที เขาคงเข้าใจว่าผมกำลังอ่านหนังสืออยู่เลยออกไปเงียบๆ เพราะไม่อยากรบกวน แต่ผมกลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
อยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ น่าจะมาบอกด้วยตัวเองแล้วค่อยออกไปสิ
ผมก้มมองข้อความด้วยความรู้สึกเสียดาย ก่อนจะตอบไปว่าไปดีมาดี แต่แล้วจู่ๆ ผมก็หลุบตาลงต่ำแล้วไล่สายตามองหุ่นของตัวเอง
เราเองก็ไปยิมด้วยดีไหมเนี่ย
ผมนึกถึงคราวก่อนที่จีซอกอวดกล้ามหน้าท้องด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ถึงไขมันหรือกล้ามเนื้อในร่างกายของผมจะต่างกับเขาราวฟ้ากับเหว แต่ถ้าผมเข้ายิมอย่างสม่ำเสมอบ้างก็น่าจะได้ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ไปคนเดียวแต่ไปกับคังจีซอกล่ะก็…
ผมจินตนาการภาพคังจีซอกเวลากำลังออกกำลังกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวขึ้นมานิดๆ
ครืด…
ผมตกใจกับเสียงสั่นๆ นั้นเลยสลัดภาพของคังจีซอกออกไปจากหัว พอลูบหน้าอกที่เต้นโครมครามด้วยความตกใจพลางเช็กมือถือ ผมถึงได้เห็นว่าคราวนี้เป็นพี่จีกอนที่ส่งข้อความมา
อ่านหนังสืออยู่เหรอ
ผมพิมพ์ตอบกลับไปพลางคิดในใจว่าพี่น้องคู่นี่เหมือนกันจริงๆ
เปล่าครับ
งั้นอีกสิบวินาทีมาเปิดประตูให้หน่อย
ผมวางมือถือลงแล้วเปิดประตูตามข้อความของพี่เขา และผมก็ได้เห็นพี่จีกอนถือแก้วมัคสองใบเดินผ่านประตูเข้ามา คงเป็นเพราะเขาสวมเสื้อเชิ้ตคอกลมและกางเกงผ้าฝ้ายที่ดูลำลองกว่าสูท ภาพลักษณ์ของเขาเลยให้ความรู้สึกสุภาพนุ่มนวลกว่าปกติ
“รับไปแก้วนึงสิ”
พี่จีกอนยื่นแก้วมัคใส่อเมริกาโนร้อนเหมือนยื่นแก้วเหล้าให้ผม ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้อง
“พี่ว่าจะคุยกับนายหน่อยระหว่างที่จีซอกไม่อยู่”
เขาพูดอย่างนั้น แต่กลับกวาดตามองไปทั่วห้องช้าๆ แทนที่จะเปิดประเด็นในทันที พี่จีกอนมองพิจารณาไปทั่วห้องราวกับซึมซับบรรยากาศพลางดื่มกาแฟ ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่โน้ตบุ๊กของผม ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาของพี่เขากำลังจ้องมองหน้าจอที่มีการค้นหาคำว่า ‘แหวน การปลดพันธะ’ ปรากฏอยู่เลยรีบปิดหน้าต่างอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังสงสัยตัวเองว่าทำไมต้องรู้สึกเหมือนถูกจับได้ว่าทำเรื่องแย่ๆ ด้วย พี่เขาก็น่าจะค้นหาเกี่ยวกับการปลดพันธะแห่งแหวนอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็น่าจะเห็นเนื้อหาที่ต้องฆ่าอีกฝ่ายจึงจะปลดพันธะได้เหมือนกัน แล้วแบบนี้ทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าได้อ่านเนื้อหาที่หม่นหมองนั่นอยู่คนเดียวล่ะ
บางทีอาจเป็นเพราะพี่เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องวงแหวนอย่างจริงจังกับผมเลยสักครั้ง
พอลองมาคิดดูแล้ว ผมเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังเลยเหมือนกัน เพราะคนที่ปกปิดเรื่องวงแหวนและเป็นฝ่ายหลบหน้าก่อนก็คือผม ผมเลยไม่กล้าพอที่จะพูดอะไรออกไป พอรู้แบบนี้แล้วผมน่าจะตบเท้าเข้าไปถามเขาตรงๆ ตั้งแต่วันที่แหวนปรากฏเสียดีกว่าว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง
หลังจากเห็นวงแหวนของกันและกันแล้ว พอเจอหน้ากันทีไร เราต่างก็มัวแต่สนใจอยู่กับการนอนหลับหลังจากไม่ได้นอนมานาน พอได้จับมือกันทีก็หลับเป็นตาย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เช้ามืดแล้ว หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ในบรรดาคนที่มีวงแหวนเชื่อมกันมีคนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตในลักษณะนี้ เราก็แค่ใช้ชีวิตไปในทิศทางเหล่านั้นก็เท่านั้นเอง
พี่จีกอนที่ละสายตามาจากโน้ตบุ๊กดูไม่ได้ยี่หระอะไรต่างไปจากที่เคยคิด
“ไม่เป็นไรหรอก พี่เองก็หามานับไม่ถ้วนแล้วเหมือนกัน”
พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเอง ไม่ว่าใครก็ต้องหาข้อมูลกันเป็นธรรมดา ยิ่งเรื่องนี้เชื่อมโยงกับเพื่อนของน้องชายแท้ๆ ของตัวเองยิ่งแล้วใหญ่ ถึงจะอึดอัดใจ แต่พี่เขาก็คงจะหาวิธีปลดพันธะอย่างขะมักเขม้นน่าดู
“นายเองก็คงจะรู้แล้วสินะว่าไม่มีวิธีปลดพันธะแห่งแหวน”
พอได้ยินจากปากของพี่เขาตรงๆ ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าบางอย่างในใจมันหนักอึ้งขึ้น
ไม่ว่าจะค้นหาคำเดิมๆ อีกกี่ครั้ง สุดท้ายคำตอบก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมลองค้นหาอีกครั้งราวกับเป็นระบบกลไกอัตโนมัติ ราวกับในใจไม่ยอมรับเรื่องนั้น แต่ก็พบว่าไม่มีวิธีที่จะปลดพันธะแห่งแหวนนี่จริงๆ อย่างที่พี่เขาพูด
ตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกยอมรับมันขึ้นมาเล็กน้อย
วงแหวนสีแดงบนนิ้วนางข้างซ้ายที่เหมือนกับของพี่จีกอนดูเด่นชัดเป็นพิเศษในวันนี้
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่โดยปราศจากคำพูดใดด้วยความปั่นป่วนแล้วนั่งลงตรงขอบเตียง ก่อนจะดื่มอเมริกาโนเพื่อสงบความคิดในหัวที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องแหวน รสชาติขมที่อุ่นร้อนถูกเติมเต็มเข้ามาภายในช่องท้องจนรู้สึกราวกับถูกแผดเผา
ผมนั่งประจันหน้ากับพี่เขาที่ลากเก้าอี้ตรงโต๊ะมาวางตรงหน้าผมพลางคิดในใจว่ามันใกล้กันเกินไปแล้ว ใกล้กันจนต้นขาที่แข็งแรงของพี่เขาเกือบจะเสียบเข้ามาในหว่างขาของผม
“เราอาจตายได้ถ้าใช้ชีวิตโดยไม่ใส่ใจเรื่องอิทธิพลของแหวน เพราะอย่างนั้นในอนาคตต่อจากนี้เราควรตัดสินใจทำอะไรกันหน่อยไหม”
ผมอดที่จะเห็นด้วยกับคำพูดของเขาไม่ได้ ตอนแรกผมคิดว่าจะอดทนไปก่อน แต่ก็ตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่าการที่คนเรานอนไม่หลับนั้นมันเหมือนกับการตกนรกขนาดไหน
ด้วยเหตุนั้นผมจึงเสพติดการนอนกับพี่เขามากขึ้นไปอีก เพราะเมื่อจับมือกันการหลับใหลที่ผมเฝ้าปรารถนาก็จะถาโถมเข้ามาสู่ร่างกายราวกับละอองฝนที่เบาสบาย หากจะนิยามความรู้สึกนั้นด้วยคำว่า ‘ความลุ่มหลง’ เห็นทีก็คงจะไม่เกินจริง
ในหัวของผมเริ่มสับสนวุ่นวายไปหมด ผมคงสิ้นหวังหากมันอัดแน่นไปด้วยเรื่องแย่ๆ ทว่าพอได้สัมผัสกับการนอนหลับที่เหนือชั้นเพียงแค่ได้สัมผัสกายกัน ความรู้สึกที่อยากปลดพันธะนี้ออกไปอยู่ตลอดก็พลอยเบาบางลง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดอยากจะกำจัดมันออกไปถ้าหากพอจะมีวิถีทาง แต่ไม่ว่าจะหาข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่มีวิธีในการปลดพันธะนั้นเลยจนผมเริ่มถอดใจ
ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังชอบคังจีซอก ผมไม่เคยวาดฝันถึงภาพอนาคตที่ตัวเองคบหาหรือแต่งงานกับคนอื่นเลย อาจเป็นอิทธิพลจากพ่อแม่ที่ทำงานยุ่ง แต่ก็ยังสามารถรักษากรอบของชีวิตคู่เอาไว้ได้เพราะใส่ใจสายตาของผู้คนรอบข้าง
หากตัดเรื่องค่านิยมเดียวกันนี้ออกไป พี่จีกอนเองก็คงไม่คิดถึงอนาคตที่จะมีร่วมกับผมเหมือนกัน ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูรีบร้อนพาผมมาอยู่ที่คอนโดฯ แห่งนี้ก็ตามที
ผมใช้หัวคิดไม่หยุดโดยกำลังคิดไปเรื่อยๆ และในตอนนั้นเองพี่เขาก็พูดแทรกขึ้นมา
“นายคิดจะทำอะไรต่อจากนี้”
“พูดตามตรงนะครับ…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
สิ่งที่ทำได้อย่างมากที่สุดตอนนี้คือการอยู่ด้วยกัน แต่หลังจากนี้ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ผมก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เลยรู้สึกเหมือนกับว่ามีตะกอนบางอย่างตกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
“ได้ยินว่านายยังไม่มีแฟน พี่เข้าใจถูกใช่ไหม”
ผมกำลังจะตอบคำถามที่พี่เขาถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่พี่เขากลับชิงพูดขึ้นมาก่อนเสียอย่างนั้น
“นายกำลังแอบชอบจีซอกอยู่นี่เนอะ คงไม่มีทางที่นายจะมีใครหรอก”
“ครับ แต่ว่า…”
พอตอบไปก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าเกร็งมากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่รู้อยู่แล้ว…เหรอครับ”
ผมไม่เคยบอกพี่เขา…ไม่สิ แต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่เคยแม้แต่จะปริปากบอกใครทั้งนั้น
ดวงตาของพี่จีกอนที่จิบกาแฟไปอึกหนึ่งหยียิ้มอย่างอ่อนโยนจนทำให้ผมนึกถึงจีซอก
“รู้สิ นายเสียอาการซะขนาดนั้น”
ถึงจะเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าตัวเองเคยเสียอาการไหม แต่ผมก็ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะเคยแสดงอาการแบบนั้นออกไปจริงๆ ถึงอย่างนั้นสายตาของพี่จีกอนก็ยังเต็มไปด้วยความชัดเจนเกินกว่าจะบอกปัดไปว่าไม่ใช่แบบนั้น
ผมก้มหน้างุดราวกับคนที่ทำเรื่องผิดบาป ถึงจะมองไม่เห็นสีหน้าของตัวเอง แต่มันก็น่าจะหม่นหมองไม่ต่างจากกาแฟที่ถืออยู่ในมือ ความรู้สึกละอายใจที่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มพูดจากตรงไหนตีรวนขึ้นมาจุกอยู่ในอก มันขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นกระหน่ำเหมือนกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำเรื่องไม่ดีมา
“พี่ไม่ได้จะว่าอะไร เงยหน้าขึ้นเถอะ”
ทั้งที่รู้ว่าผมชอบคังจีซอก แต่พี่เขาก็ยังทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“จริงๆ แล้วพี่คิดว่าโชคดีเสียอีกที่นายชอบจีซอก”
“…ครับ?”
ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ผมไม่เข้าใจนั้น ก่อนจะเห็นใบหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาสีดำของพี่จีกอนที่มองเห็นจากในระยะใกล้ได้อย่างชัดเจน
“พี่เป็นคนที่ต่อให้คบใครก็ไม่คิดจะแต่งงาน แล้วก็ไม่เคยคิดจะคบกับใครตั้งแต่แรกด้วย”
ผมเอียงคออย่างฉงนทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ตามที่ได้ฟังมาจากคังจีซอกเมื่อสองสามวันก่อนก่อนที่วงแหวนจะเชื่อมกัน เขาบอกว่าพี่จีกอนมีแฟนหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ดูเข้ากันได้ดีอยู่ด้วย ทว่าตอนนี้พี่เขากลับพูดเหมือนตัวเองไม่เคยมีคนรักเสียอย่างนั้น
“ผมได้ยินจากคังจีซอกว่าพี่มีแฟนที่เด็กกว่า…”
“อืม เคยมี แต่เลิกกันแล้ว”
“เมื่อไหร่เหรอครับ”
“เมื่อรู้ว่านายคือคู่ของพี่”
ทั้งที่พี่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรซับซ้อน แต่ทำไมผมถึงได้เข้าใจยากนักนะ เหมือนเขากำลังต้องการจะบอกว่าตัวเองเลิกกับแฟนเพราะผมเป็นคู่แห่งแหวน ถึงแม้ว่าจำเป็นจะต้องสะสางความสัมพันธ์นั้นอย่างช่วยไม่ได้เพราะเรื่องของแหวนจริงๆ ก็ตามที
“ไม่สิ…จะยังไงก็เถอะ แต่ถึงขั้นเลิกกันนี่มัน…”
“พี่ต้องนอนกับคนที่มีวงแหวนเชื่อมกันทุกวัน นายคิดว่าพี่จะสามารถคบใครต่อโดยขอให้อีกฝ่ายเข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างนั้นเหรอ สู้พี่ขอเป็นคนเลวฝ่ายเดียวแล้วสะสางกันให้มันจบๆ ไปซะยังจะดีกว่า”
ผมยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกผิดกับคนรักของพี่เขาที่ไม่เคยรู้จักกันแม้แต่ใบหน้าและชื่ออย่างบอกไม่ถูก ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนคงจะจบลงเพราะผมเข้ามาแทรกตรงกลางอย่างไม่คาดคิด ความรู้สึกผิดอีกหนึ่งข้อเลยกระแทกเข้ามาในอกของผมอย่างจัง
มือของพี่จีกอนลูบศีรษะของผมอย่างอ่อนโยนราวกับอ่านความรู้สึกของผมออก
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ยังไงก็คิดจะเลิกกันเพราะเข้ากันไม่ได้ในหลายๆ เรื่องอยู่แล้ว โชคดีเสียอีกที่ใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างช่วยจัดการได้”
คำพูดของพี่จีกอนช่วยทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่สามารถปลดเปลื้องความหนักอึ้งภายในใจทั้งหมดได้ ในขณะที่ผมกำลังหลุบตาต่ำลง พี่เขาก็รวบมือของผมเอาไว้แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“คิดซะว่าเราทำสัญญาแลกเปลี่ยนกันอย่างสบายๆ ก็แล้วกัน”
“สัญญา?”
เมื่อเงยหน้าขึ้นผมก็สะดุดเข้ากับดวงตาที่หยียิ้มลงเหมือนคังจีซอก
“ในสายตาของนายพี่ดูเป็นยังไง พอพี่ยิ้มแบบนี้แล้วเหมือนจีซอกมากเลยนายว่าไหม”
“ก็ไม่ถึงขั้นเหมือนกันเป๊ะๆ หรอกครับ แต่ถ้ามองเผินๆ ก็นึกว่าเป็นคังจีซอกจริงๆ นั่นแหละ”
รูปลักษณ์ภายนอกของพี่เขาเหมือนกับคังจีซอกมาก ต่างจากบรรยากาศก่อนหน้านี้ที่ค่อนข้างฉีกกันไปคนละแนว คังจีซอกมีใบหน้ายิ้มแย้มกระทั่งตอนอยู่นิ่งๆ ราวกับมีวิญญาณที่หัวเราะจนตายมาสิงร่าง น้ำเสียงเองก็สดใสชวนให้คนฟังเคลิ้มตามยิ่งขึ้นไปอีก แถมรอยยิ้มของเจ้าตัวก็ดูใสซื่อจนให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย อีกทั้งยังเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นมากจนถูกมองว่าเป็นคนหัวอ่อนอยู่บ่อยครั้งด้วยเช่นกัน
กลับกันแล้วเวลาที่พี่จีกอนยิ้มก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เวลาไม่ยิ้มนั้นดวงตาที่เชิดขึ้นเล็กน้อยกับน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาจะให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและหนักแน่นกว่าประมาณหนึ่งเมื่อเทียบกับจีซอก ถ้ามันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นก็ว่าไปอย่าง แต่บรรยากาศของเขากลับชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือกจนผมไม่กล้าชวนคุยด้วยสักคำ และนั่นเป็นเหตุผลที่ตอนก้าวขาเข้ามาในห้องนี้เป็นครั้งแรกผมจึงไม่กล้าพูดอะไรกับพี่จีกอนทั้งๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานาน
เนื่องจากบรรยากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้สองพี่น้องจะรูปร่างไล่เลี่ยกันและมีใบหน้าคล้ายกันราวกับฝาแฝด แต่ผมก็สามารถแยกทั้งสองคนออกได้อย่างง่ายดาย หากจะพูดอีกนัยหนึ่งคงต้องบอกว่าถ้าเกิดพวกเขาทั้งคู่ปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศของกันและกันอีกสักหน่อยแล้วลองให้ผมมองแค่ผิวเผิน ผมก็คงแยกออกได้ยากว่าใครเป็นใคร ซึ่งก็เหมือนกับสิ่งที่พี่จีกอนกำลังทำอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้
พี่จีกอนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่อ่อนโยนราวกับเลียนแบบคังจีซอก
“คิดให้ดีนะ อูซอยา พี่อาจจะพูดแทงใจดำนายไปสักหน่อย แต่จีซอกไม่มีวันยอมรับความรู้สึกของนายหรอก”
หัวใจของผมพลันดิ่งวูบลงพร้อมกับเสียงดังตุบ
ต่อให้พี่จีกอนไม่พูดผมเองก็รู้ดี เพราะแบบนั้นผมถึงได้เลือกที่จะปิดปากสนิทและตั้งใจอยู่เคียงข้างเขาในฐานะเพื่อนมาจนถึงตอนนี้
ผมรู้ดีอยู่แล้ว แต่ทั้งๆ ที่พอจะรู้ดีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นหัวใจมันก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างช่วยไม่ได้
ภายในปากของผมรู้สึกขมราวกับสิ่งที่กลืนลงไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่อเมริกาโนแต่เป็นเอสเพรสโซ การที่พี่จีกอนพูดแบบนั้นราวกับพยายามทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจและตอกย้ำผมกลายๆ
ดูเหมือนว่าผมจะเผลอขบกัดริมฝีปากล่างโดยไม่รู้ตัว พี่จีกอนเลยยื่นนิ้วโป้งมาแตะริมฝีปากล่างของผม ก่อนจะถอนนิ้วออกไปเบาๆ
“เพราะอย่างนั้นนายก็ใช้พี่ซะสิ”
ผมหลุบตาลงค้างอยู่อย่างนั้นเพื่อปกปิดนัยน์ตาที่สั่นไหวของตัวเอง แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ผมก็ชายตาขึ้นมาโดยไม่ทันได้ควบคุมตัวเอง สิ่งที่ผมเห็นผ่านดวงตาทั้งสองข้างคือสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยที่ชวนให้นึกถึงคังจีซอก
“พี่เลียนแบบเป็นจีซอกเท่าไหร่ก็ได้ ขอแค่นายต้องการ”
…เหมือนอย่างตอนนี้
คำพูดที่ไม่ได้หลุดออกมาจากปากของพี่เขาตรงๆ ดังก้องอยู่ในหัวของผม
“สิ่งที่พี่ต้องการคือการนอนหลับสนิทให้มากพอเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับหน้าที่การงานของพี่”
พี่จีกอนวางสองมือลงบนต้นขาข้างซ้ายและข้างขวาของผมพร้อมกับถ่ายน้ำหนักลงมาเล็กน้อยราวกับกดดันกัน
“พี่จะหาวิธีปลดพันธะแห่งแหวนไปเรื่อยๆ เราก็แค่อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปจนถึงตอนนั้น ตกลงไหม”
ผมพูดอะไรไม่ออกและทำได้เพียงแค่จ้องมองดวงตาของพี่เขาอยู่พักใหญ่
“อึบบบ…!”
หลังจากบิดขี้เกียจยาวๆ จีซอกก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะหนังสือในท่านั่ง พอเห็นว่าหนังสือวิชาเอกที่กางอยู่ใต้ตัวยับและทำท่าเหมือนจะฉีกขาด ผมก็รีบยกแขนของเขาขึ้นแล้วใช้มือคลี่กระดาษออกให้ทีละหน้า
“เหลือเวลาสองชั่วโมง ทำอะไรกันดี”
นับจากตอนนี้มีเวลาว่างอีกยาวกว่าจะถึงคลาสถัดไป พอยื่นหนังสือวิชาเอกที่คลี่อย่างเรียบร้อยให้ คังจีซอกที่ตัวอ่อนเปลี้ยก็รับหนังสือไปพลางตอบอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“ถ้ากลับบ้านต้องหลับเป็นตายแน่ เราไปห้องชมรมกันเถอะ”
“ไปที่นั่นแล้วจะไม่นอน?”
“นอนสิ แต่อย่างน้อยก็มีนายช่วยปลุกไง…อ้อ จริงสิ ลืมไปเลยว่ายังไงเราก็อยู่ด้วยกันอยู่ดี”
หัวใจของผมรู้สึกคันยุบยิบกับคำพูดที่จีซอกพูดออกมาอย่างสบายๆ พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มแห้งๆ ของเขาแล้ว ผมก็รู้สึกแปลกใหม่กับความจริงที่ว่าเราอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันมาสามวันแล้ว
ถึงคอนโดฯ จะอยู่ใกล้ แต่ผมก็ขี้เกียจเกินกว่าจะกลับไป เช้าวันนี้ผมเลยถือโอกาสไปห้องชมรมที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อตรวจเช็กและเรียบเรียงข้อมูลที่หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มส่งมาให้ล่วงหน้า
“ช่วงนี้ไม่เห็นนายไปทำงานพิเศษเลย ลาออกแล้วเหรอ”
ระหว่างทางจีซอกก็ถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมอาศัยอยู่กับพี่จีกอนที่รับบทเป็นเจ้าของร้านที่ผมทำงานพิเศษอยู่แล้วเลยไม่จำเป็นต้องปลีกเวลาออกไปทำงาน ทั้งที่ช่วงนี้ผมก็ตัวติดกับหมอนี่อยู่ที่บ้านตลอด แต่หมอนี่เพิ่งจะมาคิดได้แล้วถามเอาป่านนี้ สมองเร็วจริงเชียว
“อืม งานไม่เหมาะกับฉันน่ะ”
“คิดดีแล้วล่ะ การบ้านท่วมหัวจนแทบจะไม่มีเวลาอยู่แล้ว นายยังจะหาเรื่องทำงานพิเศษอีก แบบนี้ร่างกายได้พังหมดพอดี”
ถึงเขาจะพูดอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ผมก็รู้สึกดีกับคำพูดเหล่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวเป็นห่วงเป็นใยผม พอผมหลุดหัวเราะแล้วบอกว่า ‘ฉันไม่อยากฟังคำนั้นจากคนที่นอนซมเพราะไข้หวัดเมื่อไม่กี่วันก่อนหรอกนะ’ เขาก็โอดครวญและบ่นพึมพำว่าผมแซวแรงเกินไปแล้ว
“แต่ถึงอย่างนั้นก็โชคดีแล้วล่ะ ทั้งนายแล้วก็พี่จีกอนสีหน้าไม่สู้ดีกันทั้งคู่ ฉันนี่เป็นห่วงแย่เลย”
จีซอกที่พูดถึงพี่จีกอนพลันหยุดชะงัก จู่ๆ เขาก็คว้าแขนของผมไปพลิกดูก่อนจะเอาปากมาแนบข้างหูของผม เสียงกระซิบของเขาดังลอดเข้ามาผ่านใบหูของผม ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งโหยงและตัวแข็งค้าง
“ก็คราวก่อนที่ฉันบอกว่าพี่ฉันมีวงแหวนนั่นไง ตอนแรกพี่ฉันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เห็นว่าเหมือนจะเจอแล้วนะ”
แขนที่ถูกจีซอกกำอยู่และใบหูที่มีน้ำเสียงของเขาลอดผ่านพลันแข็งทื่อ หวังว่าเขาคงไม่เอะใจว่าอีกฝ่ายเป็นผมหรอกนะ
ผมแสร้งตีหน้าซื่อถามกลับไปว่าเขาคนนั้นคือใคร แต่โชคดีที่จีซอกเดาตัวอีกฝ่ายไม่ถูก
“หลังเสร็จงานพี่ชอบไปนอนข้างนอกก่อนแป๊บนึงแล้วกลับมาบ้าน ฉันเลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครน่ะสิ”
ช่วงเวลาที่จีซอกคาดเดาไปต่างๆ นานา พี่จีกอนก็จงใจออกไปทำงานข้างนอกทั้งที่ไม่ได้มีงานอะไรก่อนกลับมาที่คอนโดฯ เป็นประจำ เขาจำต้องทำแบบนั้นเพื่อให้คังจีซอกที่รู้ความจริงว่าพี่ชายมีวงแหวนคิดว่า ‘พี่ไปนอนกับคู่แห่งแหวนก่อนกลับมานี่เอง’ และเพื่อช่วยไม่ให้จีซอกระแคะระคายโดยใช่เหตุ สุดท้ายเขาจึงกลับมาหลับเป็นตายที่คอนโดฯ ในตอนดึกได้อย่างไร้กังวล
คังจีซอกที่กำลังคาดคิดไปตามที่พี่จีกอนตั้งใจเอาไว้กำลังมีสีหน้าเป็นกังวลปนสนอกสนใจ
“จะเป็นอะไรไหมนะ ได้ยินว่าเขาเลิกกับคนรักเพราะวงแหวนนั่น ถ้าเป็นแบบนี้คนที่พี่จะแต่งงานด้วยก็คงเป็นคู่แห่งแหวน!”
“ย้าก!”
จีซอกที่กำลังพูดไม่หยุดปากสะดุ้งโหยงให้กับเสียงร้องดังลั่นและน้ำหนักที่กดทับลงมาบนไหล่ทั้งสองข้างอย่างกะทันหัน ผมเองก็พลอยตกใจไปด้วยเลยหันไปมองด้านหลังของจีซอก ก่อนจะเห็นผู้หญิงตัวเล็กที่เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรกกำลังเกาะหลังของเขาอยู่ สายตาของคังจีซอกที่หันไปมองเธอแลดูเป็นประกายลิงโลดแปลกๆ
เธอที่สบตากับผมยิ้มร่า ก่อนจะเอ่ยคำทักทายอย่างร่าเริง
“ไง รุ่นน้อง!”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มให้ความรู้สึกอบอุ่นไม่ต่างจากคังจีซอก จีซอกที่ดูท่าจะรู้จักเธอดีทำสีหน้าสดใสขึ้นมาฉับพลันต่างจากผมที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
“โห พี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ!”
“ก็เจอกันแล้วนี่ไง”
เธอที่เขย่งเท้าและโน้มตัวจากข้างหลังมาเพื่อลูบศีรษะของจีซอกก็มองเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกายเช่นกัน
“ไม่ได้เจอกันหลายปี ตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะนายเนี่ย”
“ตอนที่พี่เจอผมครั้งล่าสุด ผมว่าผมก็สูงอยู่นะครับ”
“อะไรกัน แต่ตอนนั้นฉันยังลูบหัวนายได้โดยไม่ต้องเขย่งเท้าเลยนะ”
แค่ได้ฟังบทสนทนาสั้นๆ ผมก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนรู้จักกันมานาน พอผมถามจีซอกผ่านสายตาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็แนะนำผู้หญิงคนนั้นให้ผมรู้จักด้วยสีหน้าที่สุดแสนจะยินดี
“พี่คนนี้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมหา’ลัยของพี่จีกอนน่ะ แล้วก็เป็นรุ่นพี่ของพวกเราด้วย”
จะว่าไปแล้วพี่จีกอนเองก็เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้มาก่อน พวกผมกำลังเดินตามรอยพี่เขาไปติดๆ ตั้งแต่ภาควิชายันชมรม
เมื่อได้ยินคำว่า ‘รุ่นพี่’ ผมก็โค้งศีรษะทักทายเบาๆ คราวนี้พี่ผู้หญิงก็เป็นฝ่ายหันมากวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“พี่ชื่อฮันมินอานะ ว่าแต่นายเป็นเพื่อนของจีซอกเหรอ”
“ครับ”
“อ๋า…”
ดวงตาของเธอฉายแววคมกริบขึ้นมาแวบหนึ่ง เสี้ยววินาทีนั้นผมกำลังสงสัยว่าเมื่อครู่ผมเข้าใจแววตานั้นผิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่มั่นใจ เพราะพอจีซอกเอ่ยเรียกเธอก็หันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าสดใสเสียก่อน
“แล้วนี่พี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ได้ยินว่าพี่ไปเรียนต่อต่างประเทศทันทีที่จบมหา’ลัยนี่”
“กลับมาเมื่อสองสามวันก่อนน่ะ ไปอยู่มาตั้งหกปีแหนะกว่าจะได้กลับมา”
ทั้งที่ผมตัวติดกับคังจีซอกขนาดนั้น แต่ผมกลับไม่เคยเห็นหน้าเธอเลยสักครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าหกปีก่อนตอนที่ผมอยู่ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งแล้วเอาพี่จีกอนมาเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ เธอก็น่าจะไปต่างประเทศในช่วงที่พี่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ซึ่งช่วงนั้นผมเองก็เริ่มสนิทกับคังจีซอกและดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันพอดี
และในวินาทีที่ผมกำลังคิดว่าตัวเองอาจจะไม่รู้จักเธอเพราะเหตุนั้น วงแขนของเธอก็โอบรอบแขนของจีซอกไว้ราวกับคุ้นเคยกันดี
“ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนจีกอนอย่างกับแกะจริงๆ เลยนะนายเนี่ย ไม่สิ จีซอกของฉันน่าจะดูดีกว่านิดหน่อยหรือเปล่านะ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ของฉัน’ ผมก็พลันรู้สึกเหมือนกับว่ามีก้อนหินเล็กๆ จุกอยู่ในลำคอ ขณะเดียวกันจีซอกก็ยังยืนบื้อยิ้มอยู่อย่างนั้นด้วยหน้าตาที่ดูชื่นมื่นกว่าปกติอย่างบอกไม่ถูก
“เรื่องนี้มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วสิครับพี่ ตอนนี้พี่ผมกลายเป็นตาลุงไปแล้วนี่นา เด็กหนุ่มเอ๊าะๆ อย่างผมยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้วใช่ไหมล่ะครับ”
“ถ้าอย่างจีกอนนายเรียกลุง อย่างฉันนายก็ต้องเรียกป้าด้วยหรือเปล่า”
“โธ่ สำหรับพี่สาวคนนี้ผมถือเป็นข้อยกเว้นครับ ว่าแต่พี่ใช้ชีวิตที่ต่างประเทศยังไงถึงได้ไม่เปลี่ยนไปเลยครับเนี่ย บอกว่าเป็นเด็กใหม่ผมก็เชื่อนะ”
“ปากหวานจริงนะนายเนี่ย แต่ยังไงก็รู้สึกดีที่ได้ยินคำชมล่ะนะ นี่…”
พอได้ฟังบทสนทนาที่ไหลลื่นของคนทั้งคู่แล้ว ผมก็รู้สึกเป็นส่วนเกินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ส่วนหนึ่งที่รู้สึกแบบนั้นอาจเป็นเพราะการที่เธอใช้วงแขนสองข้างโอบรอบแขนของจีซอกอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นนัยน์ตาของจีซอกที่มองเธอเองก็ยังดูตื่นเต้นมากจนผมรู้สึกว้าวุ่นใจแปลกๆ
เธอดึงแขนของจีซอกแล้วเดินนำเราไปทางห้องชมรม
“…ว่าแต่ห้องชมรมเรายังเหมือนเดิมไหม เห็นจีกอนบอกว่ามีสมาชิกเยอะเลยนี่”
“หืม? นี่พี่โทรคุยกับพี่ผมแล้วเหรอ”
“อืม เพื่อนเกาหลีที่ยังติดต่อกันอยู่เห็นทีก็คงจะมีแต่จีกอนนี่แหละ”
พอเห็นพี่มินอาลากจีซอกไปอย่างกระตือรือร้นแล้ว ผมก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาหน่อยๆ ทั้งที่เธอเองก็สมควรที่จะยินดีด้วยรู้จักกับจีซอกมานาน แต่ผมที่เป็นฝ่ายจ้องมองกลับอดที่จะรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้ ภาพของเธอที่โอบวงแขนทั้งสองข้างรอบท่อนแขนของจีซอกราวกับจะกอดรัดเขาเอาไว้ทั้งตัวนั้นรบกวนจิตใจผมเอามากๆ
ห้องชมรมที่ผมกับจีซอกกำลังจะไปอยู่ในตึกเดียวกับที่พี่มินอาจำได้ แต่ด้วยจำนวนสมาชิกที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อหกปีก่อน ห้องชมรมเลยมีการย้ายไปยังห้องที่ใหญ่ขึ้นมาได้สองปีแล้ว พี่มินอาตื่นเต้นที่ได้เห็นห้องชมรมใหม่ที่กว้างขวาง และเดินไล่ทักทายนักศึกษาสองสามคนที่อยู่ในนั้นอย่างร่าเริง
ระหว่างนั้นผมก็ได้ยินจีซอกอธิบายเกี่ยวกับพี่มินอาเพิ่มเติม
จีซอกเล่าว่าเธอต่อสู้เพื่อแย่งชิงอันดับหนึ่งกับพี่จีกอนทุกครั้ง และถึงจะบอกว่าสู้กัน แต่ความจริงแล้วทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทที่ต่อล้อต่อเถียงกันบ่อยๆ ทั้งสองสนิทกันตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย เธอจึงรู้จักกับพี่จียอนและจีซอกไปโดยปริยาย เรียกได้ว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เกือบสิบปีก่อนแล้ว พี่มินอาเป็นคนสดใสร่าเริง เข้ากับใครได้ในทันทีโดยไม่ตื่นคน แถมจีซอกยังบอกอีกว่าตั้งแต่ตอนนั้นมาเธอก็รักและเอ็นดูจีซอกเหมือนเป็นน้องชายแท้ๆ มาตลอด
หลังจากได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นประกอบกับที่เห็นจีซอกตื่นเต้นแปลกๆ แล้ว ผมก็เพิ่งมาตระหนักเอาได้ในตอนนั้น
‘ฉันชอบผู้หญิงสดใสร่าเริงตัวเล็กๆ ที่มุดเข้าอ้อมกอดได้ ยิ่งอายุมากกว่ายิ่งชอบ’
นั่นคือคำตอบของจีซอกเกี่ยวกับสเป็กที่ผมเคยถามออกไปด้วยความคาดหวังอันน้อยนิด หลังจากได้ยินคำตอบนั้น ผมที่ไม่มีข้อไหนที่ตรงกับสเป็กของเขาเลยแม้แต่น้อยก็เริ่มเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ในส่วนลึกของหัวใจอย่างขมขื่น แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว…
พี่มินอาสินะ
คังจีซอกในวัยมัธยมปลายพูดถึงสเป็กออกมาอย่างไม่ลังเลด้วยใบหน้าที่คล้ายกับกำลังคิดถึงใครบางคน ที่แท้ในหัวใจของเขาก็มีพี่มินอาอยู่แล้ว หลังจากรู้เรื่องนั้นซอกมุมหนึ่งในหัวใจของผมก็รู้สึกวูบโหวงราวกับมีรูกลวงโบ๋
มุมปากของผมพลันแข็งทื่อพร้อมกับขอบตาที่กระตุกไปเอง ผมเบือนหน้าหนีเล็กน้อยก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลอบลูบใบหน้าโดยไม่ให้จีซอกสังเกตเห็น และในตอนนั้นเองพี่มินอาที่เดินมาทางผมก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าของจีซอกในระยะประชิด
“จีซอกอา วันนี้ฉันมีธุระต้องไปช็อปปิ้งสักหน่อย นายช่วยไปด้วยกันหน่อยได้ไหม”
“เอ่อ…พอดีผมมีเรียนอีกคลาสนึงน่ะครับ”
“ฉันรออยู่ที่นี่ก็ได้ เรียนเสร็จแล้วไปด้วยกันนะโอเคไหม”
พอเธอยิ้มร่าด้วยดวงตากลมโตที่เป็นประกาย ฉับพลันใบหน้าของจีซอกก็ฉายแววโอนอ่อนลง ถึงเขาจะเป็นคนที่ขี้ใจอ่อนมาแต่ไหนแต่ไร แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะไม่ชอบใจสีหน้านั้นมากเป็นพิเศษ
ปฏิเสธ ปฏิเสธไปสิ คังจีซอก
ผมกดดันเขาในใจอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยากที่จะถ่ายทอดแรงกดดันนั้นออกไปเพราะกำลังอยู่ในสายตาของคนรอบข้าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงพูดวนในใจซ้ำๆ ว่า ‘ปฏิเสธไปสิ’
ระหว่างทางกลับคอนโดฯ หลังจบคลาส พวกผมมีแพลนว่าจะแวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำซุปเนื้อหัวไช้เท้าตามที่คังจีซอกร้องขอ แล้วก็ต้องซื้อหลอดไฟมาเปลี่ยนไฟตรงระเบียงที่กะพริบถี่ๆ ราวกับจวนจะดับเต็มทีนั่นด้วย แถมหลังจากกินข้าวเสร็จก็ต้องมัดถุงขยะรีไซเคิลแล้วยกไปไว้ข้างนอก จากนั้นผมก็ต้องเป็นคู่ซ้อมในการนำเสนองานของคังจีซอกเพราะเขารับหน้าที่เป็นคนนำเสนองานกลุ่ม
ในเมื่อวันนี้เรายุ่งกันขนาดนั้น จึงไม่มีทางที่คังจีซอกจะรับคำขอของพี่มินอาหรอก
“ก็ได้ครับ”
คำพูดที่ออกจากปากของคังจีซอกไม่ใช่คำที่ผมต้องการ แต่เป็นคำพูดตอบรับที่ฟังดูเหมือนเจ้าตัวยินดีโดยไม่ได้ติดใจอะไรเลย
จีซอกหันมาส่งสายตาให้ผม จนถึงตอนนั้นผมก็ยังนึกว่าเขาจะพูดว่า ‘เราไปด้วยกันเถอะ’
“อูซอยา วันนี้เรียนเสร็จแล้วนายเข้าบ้านไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวกลับเมื่อไหร่ฉันจะทักไป”
ทั้งที่ผมควรเปิดปากตอบกลับไปว่าเข้าใจแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมริมฝีปากทั้งส่วนบนและส่วนล่างถึงได้ยังไม่ยอมแยกออกจากกัน ผมรู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินก้อนเล็กๆ ที่มองไม่เห็นเพิ่มขึ้นมาจากหนึ่งเป็นสองสามก้อน และมันก็กำลังจุกอยู่ในลำคอของผม
ก่อนจะทันได้ตอบอะไร พี่มินอาก็พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับเบิกตากว้าง
“อะไรกัน นี่พวกนายอยู่ด้วยกันเหรอ คงอยู่หอพักสินะ?”
“เปล่าครับ เขาอยู่กับผมแล้วก็พี่จีกอน รวมกันเป็นสามคนน่ะครับ”
“จริงเหรอ สุดยอด! เอ ถ้างั้นก็เรียกจีกอนมาด้วยสิ”
พอพี่มินอาพูดอย่างระริกระรี้ จีซอกก็ทำสีหน้าลำบากใจ
“พี่คงมาไม่ได้หรอกครับ ช่วงนี้เห็นทำงานดึกทุกวันเลย”
จีซอกเลี่ยงตอบด้วยรอยยิ้มว่าพี่ทำงานดึกแทนที่จะพูดถึงเรื่องแหวน
“เอาเป็นว่าผมจะรับหน้าที่พาพี่ไปช็อปปิ้งเองครับ!”
“ดีเลย คุณรุ่นน้อง! ถ้ามีอะไรให้ช่วยเป็นการตอบแทนล่ะก็บอกมาได้เลยนะ”
“ถ้างั้นพี่ช่วยดูเนื้อหางานกลุ่มของพวกเราหน่อยได้ไหมครับ งานกลุ่มครั้งนี้ยุ่งยากนิดหน่อยน่ะครับ…”
“พอบอกว่าจะช่วยก็ขอมาทันทีเลยนะ แต่เรื่องนั้นน่ะงานถนัดฉันเลย เอาข้อมูลหรือไฟล์มาสิ เดี๋ยวฉันลองดูให้”
พี่มินอาที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ใช้ฝ่ามือตบโต๊ะพลางกระดิกนิ้ว จีซอกจึงหยิบโน้ตบุ๊กออกมาวางตรงหน้าเธอโดยไม่ปรึกษาผมเลยสักนิด เขาเอาข้อมูลของสมาชิกคนอื่นๆ ที่ตั้งใจจะเอาไว้ดูพร้อมกันให้เธอดูก่อนเป็นคนแรก
“โห ยากเอาการเลยแฮะ แค่ค้นหาข้อมูลก็น่าจะหืดขึ้นคอแล้ว”
“เพราะแบบนั้นตอนนี้ทุกคนเลยเกี่ยงงานกันจ้าละหวั่นเลยครับ ช่วยผมทีนะครับพี่”
“เรียบเรียงดีแล้วก็หาข้อมูลมาได้เยอะกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย ฉันว่านายลองใส่ตัวอย่างโค้ดลงไปตรงนี้หน่อยไหม”
“ตัวอย่างแบบไหนดีครับ”
“ข้อมูลตรงนี้ต้องเด่น ถ้างั้นนายต้องโค้ดดิ้ง* ข้อมูลตรงส่วนนี้จากเนื้อหาทั้งหมดแล้วก็…”
ผมมองจีซอกที่นั่งตัวติดกับพี่มินอาที่กำลังให้คำแนะนำและได้แต่เงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ ระหว่างนั้นผมก็ดึงเก้าอี้ออกมานั่งแล้วแสร้งทำเป็นชะโงกหน้ามองไปพร้อมกับพวกเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่สะดุดตาผมจริงๆ คงเป็นระยะห่างที่ใกล้กันมากขึ้นของคนทั้งสอง
ผมกำหมัดบนตักแน่นพลางจิกเล็บลงบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกของหินก้อนเล็กๆ ที่จุกอยู่ในลำคอกลับกวนใจผมมากยิ่งกว่าความเจ็บแปลบจากฝ่ามือจนผมไม่สามารถจดจ่อกับงานตรงหน้าได้เลย
* โค้ดดิ้ง (Coding) คือการเขียนคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยภาษาหรือรหัสที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.