ทดลองอ่าน เรื่อง Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1
ผู้เขียน : 妄鸦 (Wang Ya)
แปลโดย : จื่อซิน
ผลงานเรื่อง : 无限练习生 (Wu Xian Lian Xi Sheng)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆาตกรรม การทรมาน
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การค้ามนุษย์ การบูลลี่ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการบรรยายถึงงู เลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3 โรงพยาบาลจิตเวช (1)
คนบนเตียงเหล็กเก่าๆ ลืมตาขึ้น
สิ่งแรกที่มองเห็นคือฝ้าเพดานสีขาวอมเหลืองซึ่งมีรอยน้ำหยดซึมอยู่ตรงมุม
“ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด…เชื่อมต่อระบบหลักสำเร็จ”
“ยินดีต้อนรับ จงจิ่ว เด็กฝึกระทึกขวัญแรงก์ E”
ห้องนี้เป็นห้องที่มีผนังสีขาวรอบด้าน ไม่มีหน้าต่าง แม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องยังนับชิ้นได้
จงจิ่วนอนหงายอยู่บนเตียงเหล็กขึ้นสนิมกลางห้อง บนร่างถูกคลุมด้วยผ้านวมสีเดียวกัน ตู้เหล็กทางฝั่งขวามีน้ำอุ่นที่เย็นชืดไปแล้ววางอยู่หนึ่งแก้ว
รอบด้านเงียบสงัด สภาพแวดล้อมแออัดเช่นนี้ทำให้บรรยากาศเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม
จงจิ่วลืมตาขึ้น แต่ไม่ได้รีบร้อนลงจากเตียง ภายในหัวรวบรวมข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นำข้อมูลในนิยายมาเทียบกับสิ่งที่ระบบหลักชี้แจงเพื่อหาความสอดคล้องกัน
โหมดในการแข่งขันรอบแรกเป็นโหมดที่ใช้ความสามารถส่วนบุคคล นั่นหมายความว่าการแข่งขันจัดอันดับในรอบนี้ไม่มีเพื่อนร่วมทีม เท่ากับว่าไม่จำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของคนอื่น เด็กฝึกที่เข้าร่วมการแข่งขันแค่ต้องคิดให้ดีว่าจะแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาให้ดีที่สุดในการโรลเพลย์* ครั้งนี้ได้อย่างไร เพื่อที่จะได้อยู่รอดไปจนถึงการประเมินอันดับหลังการแข่งขันรอบแรกสิ้นสุดลง
ก่อนอื่นภารกิจแรกคือเอาชีวิตรอดให้ได้ ต่อจากนั้นต้องพยายามแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างสุดความสามารถ เพราะต่อให้มีชีวิตรอด แต่ถ้าผลประเมินจากระบบหลักและเมนเทอร์ออกมาต่ำก็จะต้องเผชิญกับการถูกคัดออกอยู่ดี
แม้ระบบหลักจะใช้คำพูดสวยหรูว่าถึงจะถูกคัดออกก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต แต่จงจิ่วที่รู้เนื้อหาในนิยายกลับเข้าใจทุกอย่างดี ดันเจี้ยนลงโทษไม่ใช่สถานที่ที่จะออกมาได้ง่ายๆ ในนิยายบรรยายว่าอัตราการเสียชีวิตในดันเจี้ยนลงโทษสูงถึง 95% นั่นหมายความว่าถ้าถูกคัดออกเพราะแรงก์ต่ำแล้วได้เข้าไปอยู่ในดันเจี้ยนลงโทษ โดยทั่วไปมันก็คือโทษประหารดีๆ นี่เอง
ส่วนตอนที่อยู่ในดันเจี้ยนจะต้องแสดงศักยภาพของตัวเองออกมายังไงเพื่อให้ได้คะแนนเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมนั้น เรื่องนี้ระบบหลักได้อธิบายเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่นาน
ถ้าพลิกกลับมามีชัยได้ในสถานการณ์คับขันอันตราย โต้กลับอย่างมีชั้นเชิงไม่ย่อท้อ รอดชีวิตจากประตูยมโลกและโจมตีได้อย่างน่าทึ่ง…เช่นนี้จะช่วยเพิ่มคะแนนการประเมินได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้ามัวแต่ไหลไปตามน้ำหรือเอาแต่หดหัวเพื่อความปลอดภัย เช่นนั้นก็อย่าคาดหวังว่าผลการประเมินจะสูงเลย
สรุปสั้นๆ ง่ายๆ สี่พยางค์ ‘รนหาที่ตาย’
หรือจะพูดให้ตรงกว่านี้ก็คือกระตุ้นทุกคนให้ไปตาย
การกระทำเช่นนี้ทำให้จงจิ่วจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ถึงขั้นที่ว่าได้กลิ่นตุๆ ของแผนร้าย
แต่น่าเสียดายที่เขาอ่านนิยายไม่จบ ไม่เช่นนั้นคงรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้ว
จงจิ่วลอบถอนหายใจ เอียงศีรษะเล็กน้อย
เตียงด้านหนึ่งอยู่ตรงข้ามกับตู้เหล็กเก่าๆ ตู้หนึ่งพอดี
ตอนนี้เขามองเห็นสภาพของตัวเองผ่านภาพสะท้อนเลือนรางบนตู้เหล็ก
ผมสีขาว นัยน์ตาสีชมพูอ่อน ใส่ชุดผู้ป่วยลายตารางสีฟ้าขาว ติดกระดุมด้านหน้ามิดชิด แขนขาเรียวยาวซีดเผือดจนแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับผนังสีขาวด้านหลัง ดูคล้ายตุ๊กตางดงามขนาดใหญ่
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คืออักษร E สีฟ้าตรงอก
จงจิ่วมองดูมันสักพักก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นก็เปิดการ์ดตัวละครของตัวเองขึ้นมาในหัว
ข้อมูลบนการ์ดตัวละครถูกระบุไว้อย่างเรียบง่าย บนนั้นแสดงให้เห็นเพียงแค่ตัวตนในการแข่งขันรอบนี้ซึ่งถูกเซ็ตไว้ว่าเป็นผู้ป่วยผิวเผือกอายุ 17 ปีที่มีอาการออทิซึม* นิสัยเงียบขรึมพูดน้อย ถูกส่งเข้าโรงพบายาลในช่วงเช้าวันนี้ เหมือนในนิยายทุกอย่าง ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
หลังจากนิ่งอยู่พักหนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่ารอบตัวเงียบเชียบไม่มีเสียงอะไร จงจิ่วจึงหยัดกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง
ทั้งที่เป็นแค่การขยับตัวแบบง่ายๆ แต่ด้วยอาการมึนหัวอย่างหนักกอปรกับแขนขาที่แข็งทื่อจึงทำให้เขาเคลื่อนไหวช้าลง ซึ่งมาพร้อมกับอาการตอบสนองช้าในแบบที่อธิบายไม่ถูก
ร่างกายเขาถูกทำอะไรบางอย่าง
จงจิ่วงอแขน บีบๆ นวดๆ ไม่กี่ทีก็ได้ข้อสรุป…
สักประมาณหกถึงแปดชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาถูกฉีดยากล่อมประสาท และตอนนี้ฤทธิ์ยาในกระแสเลือดคงยังละลายไม่หมด
เขาออกแรงขยับนิ้วมือ ยื่นไปหยิบแก้วน้ำบนตู้เหล็กอย่างเก้ๆ กังๆ
มือของเขาใช้งานลำบากเป็นทุนเดิม พอมีฤทธิ์ยาเพิ่มเข้ามา แม้กระทั่งจะหยิบแก้วน้ำยังทำไม่ได้เลย แต่จะทำอะไรได้ จงจิ่วจึงได้แต่โน้มตัวเข้าไปมองใกล้ๆ
แก้วน้ำเป็นสแตนเลสธรรมดาๆ เมื่อพินิจมองให้ละเอียดถึงเห็นว่ารอบแก้วมีตะกรันหนาๆ เกาะอยู่ ดูท่าคงใช้มาหลายปีแล้ว
ตรงขอบแก้วด้านล่างสลักตัวหนังสือสีแดงเอาไว้แถวหนึ่งว่า…
‘โรงพยาบาลจิตเวช เมือง xxx’
ขณะเดียวกันภายในห้องผู้ป่วยที่ทั้งแคบและว่างเปล่าก็มีเสียงเย็นเยียบของระบบดังขึ้นอีกครั้ง
“การแข่งขันเดี่ยวรอบแรกของเด็กฝึกระทึกขวัญได้เริ่มขึ้นแล้วที่แผนที่หมายเลขสิบสาม : โรงพยาบาลจิตเวช”
“ภารกิจหลัก : เอาชีวิตรอดสามวัน ภารกิจรอง : ตามหาเด็กฝึกที่มีการ์ดตัวละครแตกต่างจากคนอื่นในการแข่งขันเดี่ยวครั้งนี้”
“หากภารกิจหลักล้มเหลวจะถูกคัดออกทันที ส่วนภารกิจรองสามารถเลือกทำหรือไม่ทำก็ได้ หากภารกิจรองสำเร็จคะแนนประเมินจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่หากล้มเหลวก็ไม่มีผลกระทบใด”
“โปรดทราบว่ากล้องสามร้อยหกสิบองศาที่ถูกติดตั้งไว้ทุกมุมของสนามแข่งได้เปิดใช้งานแล้ว เด็กฝึกทุกท่านกำลังเข้าสู่การถ่ายทอดสดอย่างเต็มรูปแบบ”
ทันใดนั้นระบบถ่ายทอดสดที่เมื่อครู่ยังมืดสนิทก็พลันส่องสว่างขึ้นมา คำว่า ‘เด็กฝึกระทึกขวัญ’ ตัวใหญ่เด่นสะดุดตาอยู่ตรงกลาง
เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่รออยู่นานแล้วส่งเสียงโห่ร้องก่อนเฮโลกันเข้ามา
ไม่แปลกที่ผู้เข้าแข่งขันจะฮึกเหิมกันเช่นนี้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ลูปอนันต์จัดการแข่งขันเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้คน
เมื่อพวกเขาเข้ามาก็พุ่งความสนใจไปที่สตรีมของเด็กฝึกอันดับสูงทันที ส่วนเด็กฝึกแรงก์ E ไร้ตัวตนอย่างจงจิ่วไม่มีใครเสียเวลามาสนใจอยู่แล้ว
จงจิ่วมองไปยังจำนวนคนในสตรีมของตนที่ยังคงเป็นศูนย์ ก่อนดึงสติกลับมา จากนั้นเคลื่อนสายตามองสำรวจไปรอบห้อง
ห้องนี้กว้างแค่ไม่กี่ตารางเมตร มีเตียงเหล็กหนึ่งหลัง ตู้เหล็กหนึ่งตู้ และแก้วน้ำสแตนเลสอีกหนึ่งใบ ซึ่งขึ้นสนิมแล้วทั้งหมด มันเป็นห้องเก่าๆ ไร้ชีวิตชีวา ให้ความรู้สึกเงียบเหงาว่างเปล่า
เห็นได้ชัดว่าห้องนี้มีไว้เพื่อให้ผู้ป่วยจิตเวชใช้พักผ่อนเท่านั้น มันจึงไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการอาบน้ำหรือล้างหน้า
ตรงหน้าเตียงนอนคือประตูเหล็กบานหนึ่ง
บนประตูเต็มไปด้วยสนิมสีเหลืองคล้ำที่พร้อมจะหลุดลอกออกมาทุกเมื่อ ไม่มีตัวล็อกและที่จับประตู มีเพียงกระจกใสติดอยู่บนบานประตูเหล็กซ้ำยังอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับหัวเตียงพอดี หมอและพยาบาลสามารถมองเข้ามาสอดส่องอาการของผู้ป่วยได้ง่ายๆ จากด้านนอก
ประตูไม่มีตัวล็อกและที่จับ เพราะทั้งสองอย่างนี้ติดอยู่ฝั่งด้านนอกทั้งหมด เมื่อประตูถูกล็อกมาจากข้างนอก คนด้านในจึงเปิดเองไม่ได้
ผู้ป่วยไม่มีความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิต
นอกจากพวกนี้แล้ว สิ่งเดียวที่จงจิ่วให้ความสนใจก็คือผนังอีกด้านหนึ่งที่มีตัวเลขอยู่เต็มไปหมด
และในตอนนี้เอง เสียงคลายล็อกประตูก็ดังเข้ามาจากด้านนอก
ไม่นานประตูเหล็กที่บิดเบี้ยวก็ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย
แอ๊ดดด~
ลมหนาวจากโถงทางเดินพัดโกรกเข้ามาข้างใน
คนเปิดประตูคือผู้หญิงสีหน้าเย็นชาคนหนึ่ง ท่าทางของเธอนิ่งสงบ บนร่างสวมชุดพยาบาลสีขาวที่เริ่มออกเหลืองนิดๆ ครั้นสายตาของเธอหยุดมองจงจิ่วที่กำลังยกยิ้มจางๆ ความเย็นชาที่หยั่งรากลึกถึงกระดูกเช่นนั้นกับความห่างเหินก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป
สายตานั้นไม่เหมือนกำลังมองคน แต่เหมือนกำลังมองวัตถุอย่างหนึ่งมากกว่า
เธอเอ่ยเสียงเย็นว่า “หมายเลขสิบสอง ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว โรงอาหารอยู่ชั้นบน เดินไปเองนะคะ”
จงจิ่วไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทุ่มเทตั้งใจกับการโรลเพลย์เป็นชายหนุ่มที่มีอาการออทิซึม
นางพยาบาลเองก็ไม่ได้สนใจเขา เธอเดินตรงไปเปิดประตูห้องถัดไปก่อนตะโกนบอกคนในนั้นด้วยประโยคเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนคำนำหน้าประโยคเป็นหมายเลข 13 แทน เอ่ยจบเธอก็ไม่ได้อยู่รอให้คนด้านในตอบอะไรกลับมา หมุนตัวเดินถือตะเกียงไปยังส่วนที่อยู่ลึกกว่านี้ของตึก
บริเวณโถงทางเดินมืดมิด มืดเสียจนเห็นไม่ชัดว่าใต้ฝ่าเท้ามีอะไร แม้จะมีแสงสว่างริบหรี่จากโคมไฟ แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะปัดเป่าความมืดมิดบริเวณทางเลี้ยวตรงบันได มองเห็นแผ่นเหล็กขึ้นสนิมได้แค่รางๆ กับขั้นบันไดผุพังที่มีน้ำหยดซึมเท่านั้น
ริมฝีปากจงจิ่วยกโค้ง เขาไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมนานนัก ไม่แม้แต่จะหันไปมองห้องหมายเลข 14 ที่อยู่ข้างกันด้วยซ้ำ แต่เลือกที่จะมุ่งหน้าตรงไปทางบันไดทันที
และสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของจงจิ่วก็คือแม้ห้องพักผู้ป่วยจะสกปรกไปทุกซอกทุกมุม แต่โรงอาหารกลับสะอาดสะอ้านกว่าที่คิดไว้มาก
พื้นรอบด้านปูด้วยกระเบื้องสีฟ้าอ่อน ทุกคนกำลังทยอยกันหยิบถาดเหล็กก่อนเดินตรงไปรับอาหารที่ช่องหน้าต่าง บรรยากาศเงียบสงัดชวนให้รู้สึกถึงความกดดันอันเยียบเย็น
ภายในโรงอาหารมีคนเข้ามานั่งไม่น้อย และพวกเขาเหล่านั้นอยู่ในชุดผู้ป่วยแบบเดียวกับจงจิ่ว
ถ้าอยากแยกว่าใครเป็นเด็กฝึกระทึกขวัญบ้างก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเด็กฝึกทุกคนมีลำดับแรงก์เด่นหราอยู่บนอก ซึ่งนอกจากเด็กฝึกด้วยกันเองแล้ว พวก NPC** จะไม่มีป้ายชื่อแบบนี้
บางทีอาจเป็นเพราะอยากให้เนื้อเรื่องเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้แทบทุกคนในโรงอาหารจึงมีป้ายชื่อผู้ป่วยติดอยู่ตรงอกกันหมด
ก่อนที่จงจิ่วจะเดินเข้ามา เขารู้สึกว่าบรรยากาศภายในโรงอาหารมันดูแปลกๆ ชอบกล
ครั้นเดินเข้ามาข้างใน สายตาของทุกคนก็หันมาหยุดอยู่ที่เขา
ชายหนุ่มผมขาวในชุดผู้ป่วยค่อยๆ เดินเข้าไปในโรงอาหาร เส้นผมสีขาวแผ่สยายลงมาจากบ่าคล้ายแสงจันทร์อาบไล้ยามราตรี ส่องประกายสีเงินระยิบระยับอยู่ภายในห้องผู้ป่วยที่มืดสลัว
ใบหน้าด้านข้างที่แสนคมคายปรากฏให้เห็นวับๆ แวมๆ ผ่านเส้นผม ดั่งเทพีแห่งความรักและความงามอะโฟรไดต์ที่ตกหลุมรักหนุ่มรูปงามอะโดนิส มีเสน่ห์เหนือเพศสภาพ มากพอให้ล่อลวงจิตใจผู้คน ต่อให้อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรก็กลายเป็นจุดสนใจของใครหลายคนได้ง่ายๆ
บนห้องสตรีมมิ่งระทึกขวัญเองก็แตกตื่นไปตามๆ กัน คนดูในสตรีมช่องอื่นๆ ถึงขั้นกรีดร้องโหยหวน
[แม่เจ้าโว้ย! คนนี้สิถึงจะเรียกว่ามาแข่งเซอร์ไววัลจริงๆ วิชวลตาแตก หน้าตาดีกว่าบุตรพระเจ้าอีก ให้ตายเถอะ!]
[ขอฉันเลียจอหน่อย เลียจนจอแตกไปเลย! อะไรคือสวยจนอยากกลืนกิน วันนี้ฉันเข้าใจแล้ว!]
[กรี๊ดดดดด ฉันโดนใบหน้านี้ตกเข้าให้แล้ว! พี่ชายคนนี้อยู่สตรีมไหน ฉันจะพุ่งไปเดี๋ยวนี้!]
แน่นอนว่าท่ามกลางซับกระสุนมากมายที่อวยเรื่องหน้าตาจะต้องมีคนคิดต่างอยู่ด้วย
[พอได้แล้ว นี่ไม่ใช่เซอร์ไววัลบนโลกจริงที่แค่หน้าตาดีร้องเพลงเพราะเต้นได้แล้วจะได้เดบิวต์นะ พวกเราอยู่ในโปรเจ็กต์เด็กฝึกระทึกขวัญบนโลกอันไร้ขอบเขต แค่หน้าตาดีมันจะไปช่วยอะไร]
[จริง ก็แค่เด็กใหม่แรงก์ E ท่าทางดูอ่อนแอบอบบางแถมยังเหมือนผู้หญิงอีก อยู่ไม่เกินด่านแรกหรอก ชิ]
[หน้าตาดีแล้วไง ในสนามแข่งนี้มีทั้งพี่ใหญ่จูเก่อ พี่ใหญ่บุตรพระเจ้า แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ]
“เด็กใหม่แรงก์ E”
บนโต๊ะยาวตัวหนึ่ง เฮ่อเจี้ยนหลันที่สังเกตการณ์อยู่หันหน้ากลับมาอีกครั้ง “หน้าตาดีจริงๆ นั่นแหละ”
ฉินเหยี่ยใช้ปลายตะเกียบที่ใกล้จะทู่เต็มทีคีบผักเหี่ยวๆ ในถาดเหล็กตรงหน้าขึ้นมา สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ถ้านายมีอารมณ์มาสนใจเรื่องนั้น เอาเวลาไปจับตาดูจูเก่ออั้นกับวินเซนต์ดีกว่ามั้ย”
“วินเซนต์ไม่เคยมาโรงอาหารอยู่แล้ว น่าจะพยายามขึ้นนำไปก่อน”
สายตาของเฮ่อเจี้ยนหลันแอบเหลือบมองไปยังแถวหลัง “ส่วนจูเก่ออั้น นั่งอยู่ตรงนั้น”
พวกเขาเป็นเด็กเก่า ฉินเหยี่ยเคยผ่านมาแล้วสิบกว่าดันเจี้ยน ผลประเมินอยู่ที่แรงก์ A แม้เฮ่อเจี้ยนหลันจะอยู่แรงก์ B แต่ก็ยังเป็นอันดับที่สูงอยู่ดี อยู่ห่างจากแรงก์ A ไม่ไกลนัก
“ตอนนี้มีแรงก์ S สองคน แรงก์ A อีกสาม ส่วนเด็กใหม่แรงก์ E กับ F มีหลายสิบคน”
เฮ่อเจี้ยนหลันไม่ได้พูดให้จบประโยค กระนั้นทั้งสองคนก็รู้กันดี
ดันเจี้ยนที่อยู่ในลูปอนันต์มีการแยกระดับความยากง่าย คนน้อยมากเท่าไร ความยากของดันเจี้ยนก็จะน้อยมากเท่านั้น แต่ถ้าคนยิ่งเยอะ ระดับความยากก็จะเยอะขึ้นไปด้วยตามจำนวนคน
“…ถ้าเทียบกับวินเซนต์ ฉันสนใจจูเก่ออั้นมากกว่า”
ฉินเหยี่ยเงยหน้าขึ้น สายตามองเลยกลุ่มคนไปหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่งตรงสุดปลายทาง
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผมสีดำขลับนั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าท่าทางเย็นชา มองไกลๆ คล้ายกับภาพวาดโบราณที่ค่อยๆ แผ่ออก
สิ่งเดียวที่ดูแปลกแยกออกไปคือป้ายชื่อบอกลำดับแรงก์ S บนอกที่โดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเลข 3 ตัวเล็กๆ ปรากฏอยู่ด้านบนด้วย
ในบรรดาเด็กฝึกระทึกขวัญนับหมื่นคน มีคนที่อยู่ในแรงก์ S เพียง 10 คนเท่านั้น พวกเขานั่งอยู่บนบัลลังก์ที่สูงที่สุดภายในสตูดิโอ ก้มมองดูทุกคนลงมาจากที่สูง
และจูเก่ออั้นก็เป็นหนึ่งในแรงก์ S ที่ได้รับการประเมินเบื้องต้นจากระบบหลักให้อยู่ในอันดับ 3
ในลูปอนันต์มีผู้เข้าแข่งขันเก่งๆ อยู่ไม่น้อย และคนที่น่ากลัวที่สุดในนั้น แค่พูดชื่อก็ชวนให้อกสั่นขวัญหายแล้ว
ชื่อของจูเก่ออั้นเองก็เป็นหนึ่งในคนเก่งๆ เหล่านั้น เขามีไหวพริบปฏิภาณเหนือใครจนได้ชื่อว่าฉลาดล้ำคล้ายปีศาจ เรียกได้ว่าไม่เคยมีข้อผิดพลาด ใครหลายคนจึงไม่กล้าดูแคลนเขา
เฮ่อเจี้ยนหลันรู้เรื่องนี้ดี ถ้า ‘เด็กฝึกผู้แตกต่าง’ ที่ระบุไว้ในภารกิจรองคือจูเก่ออั้นล่ะก็ พวกเขาไม่มีทางรับมือได้เลย
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพบว่าไม่มีวิธีที่จะใช้รับมือได้เลยจริงๆ
“ในเมื่อไม่ใช่ภารกิจที่จำเป็น ถึงจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไรหรอก ระวังไว้ก่อนแล้วกัน สู้ไม่ได้ใช่ว่าจะหลบไม่ได้นี่”
ไม่ผิดเลยที่จะระวังไว้ก่อน ที่สำคัญคือพวกเขาสองคนที่คนหนึ่งแรงก์ A อีกคนหนึ่งแรงก์ B ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับแรงก์ S หรอก
นั่นแรงก์ S เลยนะ สิบอันดับแรกจากเด็กฝึกระทึกขวัญนับหมื่นคน!
นอกจากอันดับ 1 แล้ว ถ้าต้องสู้กับแรงก์ S ที่เหลือจริงๆ พวกเขายอมไปสู้กับอีกแปดคนที่เหลือดีกว่ามาสู้กับคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยอย่างคนคนนี้
ไม่ใช่แค่พวกเขา บรรยากาศระหว่างเด็กเก่าคนอื่นๆ ก็แปลกประหลาดเช่นกัน
สาเหตุของปัญหาทุกอย่างมาจากภารกิจรองที่ระบบหลักประกาศ
ที่ผ่านมาภายในลูปอนันต์ยังไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ดันเจี้ยนที่พวกเขาเคยผ่านมามีแต่ดันเจี้ยนแบบทีม แถมยังมีรางวัลให้คนที่คอยช่วยเหลือเด็กใหม่ด้วย แม้แต่การเจอกันในดันเจี้ยนของทีมสองทีมยังยาก ดังนั้นการปะทะจึงยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ อย่างไรเสียกฎเหล็กของลูปอนันต์ก็คือมนุษย์อยู่ต่ำกว่าภูติผีปีศาจ ถ้ามีกฎเหล็กให้ฆ่ากันเองอีก เกรงว่าผู้เข้าแข่งขันคงเหลือรอดอยู่ไม่กี่คน
ทว่าในตอนนี้ ภารกิจนี้กลับทลายขอบเขตนั้นไปแล้ว ก็เหมือนกับเหล่าเด็กฝึกระทึกขวัญที่นับตั้งแต่ประกาศกฎกติกาออกมา พวกเขาก็รู้ว่าคงได้ฆ่ากันเองในสักวัน
แต่ก่อนอื่นต้องมีชีวิตรอดไปจนถึงตอนนั้นให้ได้ก่อน ดังนั้นตอนนี้ก็อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก
หลังจากคุณยายใช้กระชอนตักข้าวให้เขาเสร็จแล้ว จงจิ่วก็เดินถือถาดเหล็กไปนั่งตรงมุมก่อนเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้าเงียบๆ คนเดียว
อาหารของที่นี่ไม่ถือว่าอร่อยแต่ก็ไม่ได้แย่ เห็นได้ชัดว่าโรงพยาบาลไม่ค่อยใส่ใจผู้ป่วยจิตเวชเท่าไรนัก แต่มีข้าวให้กินก็ยังดีกว่าไม่มีล่ะนะ
ยาที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกายเริ่มหมดฤทธิ์ หลังปลายประสาทกลับมาใช้งานได้ดังเดิม สองมือที่แข็งเกร็งของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น ทว่าการเคลื่อนไหวก็ยังคงไม่คล่องอยู่เหมือนเดิม ซ้ำยังดูเก้ๆ กังๆ อีกด้วย
จงจิ่วเลิกสนใจไปนานแล้ว
แม้หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จงจิ่วจะเข้ารับการผ่าตัดทั้งเล็กและใหญ่มาแล้วหลายครั้ง แต่มือของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาให้กลับไปอยู่ในระดับเดียวกับคนทั่วไปได้ ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดแม้กระทั่งการขยับมือยังลำบาก ดีที่ปัจจุบันนี้เขาหมั่นบริหารมืออยู่ตลอดจึงทำให้พอจะช่วยเหลือตัวเองได้
แสงไฟเย็นเยียบไร้ซึ่งอุณหภูมิความร้อนสาดลงมาจากเพดานโรงอาหาร เงาสะท้อนบนถาดเหล็กปรากฏให้เห็นนัยน์ตาสีชมพูอ่อนของชายหนุ่ม
แม้ว่าตอนนี้เนื้อเรื่องจะเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่จงจิ่วรู้
ทว่าอีกไม่นานมันจะไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
นั่นก็เพราะ…เหลืออีกไม่ถึงสองชั่วโมง ก็จะถึงเวลาที่ร่างเดิมในนิยายต้องตาย!
* โรลเพลย์ หมายถึงการสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆ ในแต่ละดันเจี้ยน และยังสามารถนำตัวละครไปสู้กับตัวละครอื่นได้
* อาการออทิซึม เป็นภาวะที่เกี่ยวกับความบกพร่องทางพัฒนาการ แสดงความบกพร่องของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการสื่อสาร ร่วมกับพฤติกรรมที่เป็นแบบแผนซ้ำๆ ความสามารถด้านการเรียนรู้ การคิด และการแก้ปัญหาของผู้ที่มีอาการออทิซึมมีความหลากหลาย ตั้งแต่ระดับอัจฉริยะไปจนถึงมีปัญหา โดยต้องการการช่วยเหลือที่แตกต่างกัน
** NPC (Non-Player Character) หรือ ตัวละครที่ผู้เล่นไม่ได้ควบคุม หมายถึงตัวละครใดๆ ที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้เล่น
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.