ทดลองอ่าน เรื่อง Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1
ผู้เขียน : 妄鸦 (Wang Ya)
แปลโดย : จื่อซิน
ผลงานเรื่อง : 无限练习生 (Wu Xian Lian Xi Sheng)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆาตกรรม การทรมาน
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การค้ามนุษย์ การบูลลี่ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการบรรยายถึงงู เลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 6 โรงพยาบาลจิตเวช (4)
บริเวณโถงทางเดินทอดยาวมืดสลัว หลอดไฟแบบเก่าที่แขวนอยู่บนกำแพงทั้งสองฝั่งส่องแสงริบหรี่ ทำให้ทัศนวิสัยไม่ดีเท่าที่ควร
เด็กฝึกที่กินยาเข้าไปแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยมีเด็กเก่าแรงก์ C เป็นหัวหน้า สมาชิกในทีมคนอื่นๆ พยายามประคองสติเดินไปห้องพักของตัวเองพร้อมกันทีละสองสามคนเพื่อขนผ้าห่มกับฟูกไปปูนอนที่ห้องหัวหน้ากลุ่ม
เหยี่ยนจิ้งถูกแบ่งมาอยู่กลุ่มที่สอง
เขาเดินตามหลังสมาชิกในกลุ่ม พร้อมใจกันขนผ้าห่มไปยังห้องพักผู้ป่วยอีกห้อง
ครั้นเห็นผ้าห่มบนพื้น เหยี่ยนจิ้งก็ถึงกับหลุดหัวเราะเสียงขื่น “เห็นทีว่าคืนนี้คงต้องนอนเบียดกัน”
ปกติห้องพักเดี่ยวก็แคบมากอยู่แล้ว แม้จะใช้ผ้าห่มปูจนเต็มพื้นก็ยังมีขนาดเท่ากับสองสามเตียงเท่านั้น แต่กลุ่มเล็กๆ ของพวกเขามีกันอยู่ถึงเก้าคน ต้องมานอนด้วยกันในห้องเล็กแคบเช่นนี้ก็นับว่าเบียดเสียดมากทีเดียว
“…ที่จริงแบบนี้รู้สึกปลอดภัยกว่านะ” เซิ่งอวี้นั่งปลอบใจเหยี่ยนจิ้งอยู่ข้างๆ “ทุกคนมานอนอัดกันแบบนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ยังดูแลกันได้ อย่างน้อยพวกเราก็คนเยอะ”
แน่นอน
พวกเขาที่เป็นเด็กใหม่ถูกทำให้กลัวจนหัวหด พอตระหนักได้ว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ อย่าว่าแต่นอนเลย พวกเขายอมยืนอยู่ที่นี่ทั้งคืน แต่จะไม่กลับไปนอนที่ห้องตัวเองเด็ดขาด
“ก็จริง”
เหยี่ยนจิ้งไม่ได้พูดอะไรอีก เขาคลี่ผ้าห่มขึ้นคลุมแล้วนอนขดตัวอยู่มุมผนัง
ไม่รู้เป็นเพราะเมื่อครู่กินซุปไปถ้วยหนึ่งหรือเปล่า อยู่ๆ เขาถึงรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมา เพิ่งจะทิ้งตัวลงนอนก็ต้องงอขาเข้าหากันแล้ว
กลุ่มนี้มีทั้งหมด 9 คน แต่มีแค่ 3 คนที่อยู่แรงก์ F เช่นเดียวกับเขา ส่วนคนอื่นๆ อยู่แรงก์ E หรือไม่ก็ D
หัวหน้ากลุ่มดูแลพวกเด็กใหม่ที่แรงก์สูงขึ้นมาหน่อยดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายนั้นลากตัวเด็กใหม่กลุ่มนั้นไปคุยด้วยที่อีกด้านหนึ่งอย่างเป็นกันเอง ดูท่าคงอยากให้พวกนั้นเป็นพวกตัวเอง
เหยี่ยนจิ้งเป็นมนุษย์เงินเดือนมาหลายปี การสื่อสารในแต่ละวันถูกจำกัดอยู่แค่ภายในห้องทำงานและกับหัวหน้าเท่านั้น กว่าจะตัดสินใจหาตัวช่วยก็คิดทบทวนอยู่นาน ตอนนี้จึงไม่มีความกล้าที่จะเดินเข้าไปคุยด้วย ได้แต่นอนคุยกับเซิ่งอวี้ที่อยู่แรงก์ F เหมือนกันอยู่ตรงมุมห้อง
แม้ทุกคนจะใส่ชุดผู้ป่วยเหมือนกัน แต่เซิ่งอวี้กลับสูงกว่าเหยี่ยนจิ้งถึงหนึ่งศีรษะ ใบหน้าอ่อนเยาว์ ไม่ประสีประสา คล้ายต้นไผ่สีเขียวสดที่เพิ่งงอกเงย
“นายคงอายุไม่เท่าไหร่เองใช่มั้ย”
“ปีนี้เพิ่งขึ้น ม.6 ครับ”
เซิ่งอวี้คลี่ผ้าห่ม “เช้าเมื่อวานง่วงมากเลยแอบหลับในห้องเรียน ตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”
เหยี่ยนจิ้งเอ่ยอย่างเห็นใจ “ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็หนีการสอบเกาเข่า* มาได้”
เซิ่งอวี้หัวเราะขืนๆ ก่อนที่ทั้งสองคนจะเงียบลงพร้อมกัน
ได้มาอยู่ในที่แบบนี้ ให้ไปตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังดีเสียกว่า
เมื่อยาออกฤทธิ์คนจะพลอยไร้เรี่ยวแรง ขี้เกียจแม้กระทั่งจะพูด แต่ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่ตอนยืนอยู่เมื่อสักครู่ง่วงมากขนาดนั้น ครั้นเอนตัวลงนอนพวกเขากลับเครียดขึง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ
โดยเฉพาะเหยี่ยนจิ้ง เขาหรี่ตาลงอยากจะหลับ แต่ความรู้สึกปวดเบากลับพุ่งทะยานขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว
เขาจ้องตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ ที่อ่านไม่ออกบนผนัง พยายามมองข้ามความทรมานบนร่างกาย
เพื่อความปลอดภัย พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะปิดไฟด้วยซ้ำ รอให้ถึงเวลาที่พยาบาลมาตรวจห้องก่อนค่อยปิด
ภายในห้องผู้ป่วยเล็กแคบ เสียงพูดคุยที่อยู่ไม่ไกลดังให้ได้ยินชัดเจน
“แรงก์สูงพากันขึ้นไปข้างบนแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะหาเบาะแสได้มั้ย…”
“พวกเขาคงไม่มองเราเป็นภาระแล้วจงใจไม่บอกข้อมูลเราหรอกนะ”
“ไม่ต้องห่วง ถ้าคนอื่นอาจจะมีปัญหา แต่ในเมื่อคนแบ่งกลุ่มคือบุตรพระเจ้า พวกเราวางใจได้แน่นอน”
จู่ๆ หัวหน้ากลุ่มก็เอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “พวกนายมีใครรู้จักคนผมขาวแรงก์ E คนนั้นบ้าง”
เด็กใหม่ไม่กี่คนนั้นมองหน้ากัน ไม่มีใครตอบคำถาม
หัวหน้ากลุ่มนอนมองเพดานเหนือเตียงนอน “โชคดีอะไรขนาดนั้น อยู่แค่แรงก์ E แต่กลับไปเกาะขาบุตรพระเจ้าได้”
ต่อหน้ากลุ่มเด็กใหม่ หัวหน้ากลุ่มคือพี่ใหญ่ในแรงก์ C จะมีก็แต่ตัวเขาเองที่รู้ว่าถ้าเทียบกับแรงก์ S และ A ที่ออกไปค้นหาเบาะแสกันอยู่นั้น แรงก์ C เทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งบุตรพระเจ้ายังบอกว่าดันเจี้ยนนี้กำหนดระดับความยากเอาไว้ เขาจะเอาชีวิตรอดไปได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย
“ใครจะไปรู้ คนผมขาวหน้าตาแบบนั้น คิดว่าก็คงมีลู่ทางแหละ”
ใครคนหนึ่งเอ่ยเห็นด้วยอย่างกระตือรือร้นทันที “ว่าก็ว่าเถอะ สวยกว่าผู้หญิงอีกนะน่ะ ไม่รู้จะเด็ดขนาดไหน…”
เซิ่งอวี้ที่แกล้งหลับกำมือเข้าหากันแน่น
“นายรู้จัก?” เหยี่ยนจิ้งที่กำลังนอนลืมตาอั้นฉี่อยู่เห็นภาพนั้นเข้าพอดี
“ครับ” เด็ก ม.ปลาย เอ่ยเสียงแผ่ว “พี่จิ่วเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เขาเตือน ผมคง…”
แรงก์ F เป็นแรงก์ที่ไม่ได้เรื่องที่สุดแล้ว
อันดับแรงก์ได้มาจากการประเมินภาพรวม ไม่ใช่แค่สมรรถภาพทางกาย แต่ต้องมีไหวพริบปฏิภาณด้วย
แม้จะเป็นเด็กใหม่ ขอแค่หัวดีสักหน่อยหรือขยันไปออกกำลังกายที่ยิมเป็นประจำก็สามารถขึ้นไปอยู่ในแรงก์ E ได้สบายๆ แล้ว
แต่เซิ่งอวี้ยังเป็นแค่เด็ก ม.ปลาย ที่ไม่เคยออกไปเจอสังคม ส่วนตัวเขานั้นใช้ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายปี เป็นแค่มนุษย์เงินเดือนกระจอกๆ ที่แม้กระทั่งตอนไปนัดบอดยังไม่มีคนสนใจ ต่อให้ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมอื่น เหยี่ยนจิ้งก็ยังอยู่จุดที่ต่ำที่สุดอยู่ดี แม้แต่จะเห็นต่างก็ไม่กล้า
“อย่าวู่วาม” เหยี่ยนจิ้งยื่นมือออกไปตบหลังเซิ่งอวี้เบาๆ
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นเซิ่งอวี้สงบสติอารมณ์ได้แล้ว เหยี่ยนจิ้งจึงเอ่ยต่ออย่างลังเล “ฉันปวดฉี่อะ นายอยากไปด้วยกันมั้ย”
เหยี่ยนจิ้งทนไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่จะให้ไปเข้าห้องน้ำคนเดียวก็ไม่กล้า เขายอมฉี่รดที่นอนยังดีเสียกว่า
แต่ทุกคนนอนเบียดกันอย่างนี้ ยืดแข้งยืดขายังยาก ถ้าเขาฉี่ใส่ที่นอนจริงๆ คนอื่นได้เข้ามารุมทึ้งแน่
ทว่าการจะหาคนไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แววตาของพวกเด็กฝึกแรงก์สูงมองแรงก์ F เหมือนมองขยะ คิดไปคิดมาก็เห็นจะมีแต่เซิ่งอวี้นี่แหละ
และไม่ผิดไปจากที่คิด เซิ่งอวี้ไม่มากความลุกออกจากผ้าห่มทันที “ไปครับ”
เหยี่ยนจิ้งพรูลมหายใจ รีบร้อนลุกขึ้นยืนทันที
คนที่ยังพูดคุยเรื่องตลกหยาบโลนอยู่อีกด้านหนึ่งสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนั้นก็หลุดหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “ดูสิ แรงก์ F สองคน”
พวกเขาหันไปตะโกนเสียงดังใส่ทั้งสองคน “ด้านนอกมืดมาก อย่ากลัวจนฉี่ใส่กางเกงล่ะ!”
ปึง
เซิ่งอวี้กระแทกประตูห้องพักผู้ป่วยอย่างแรง
เสียงประตูเหล็กปิดสนิทดังก้องไปทั่วทางเดินมืดๆ สนิมกับคราบจาระบีสีดำคล้ำร่วงกราวลงมาจากข้างบน
เหยี่ยนจิ้งทอดถอนใจ “ไปเถอะ อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย”
โถงทางเดินมืดสนิท ทั้งสองคนออกเดินไปพร้อมกันด้วยความนิ่งสงบ ระแวดระวังรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
ชั้น B1 ไม่ได้มีแค่ห้องพักผู้ป่วย แต่ยังมีห้องอาบน้ำไว้ใช้ล้างหน้าแปรงฟันและห้องเก็บของที่มีผ้าห่มกับผ้าปูวางกองกันไว้ให้เหล่าผู้ป่วยใช้ร่วมกัน โดยตั้งอยู่ตรงสุดทางเดินมืดๆ ฝั่งซ้ายเหมือนกับห้องน้ำไม่มีผิด
ส่วนสุดทางเดินฝั่งขวาคือห้องขังเดี่ยวอันเลื่องชื่อ คนดวงซวยคนนั้นถูกนำมาขังไว้ในห้องนี้ ตอนลงมาข้างล่างกลุ่มที่ต้องนอนพักผ่อนก็เคยแวะไปดูห้องนั้นแล้ว แต่กลอนหน้าประตูเหล็กไม่มีทีท่าว่าจะถูกปลดเลย
หลังเด็กเก่าคนหนึ่งใช้ไอเทมพิเศษตรวจดูแล้วว่าคนในห้องขังเดี่ยวยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจึงรวบรวมความกล้าแยกแผ่นเหล็กหน้าประตูออก แต่ไม่รู้เป็นเพราะถูกทำให้ตกใจมากเกินไปหรือเปล่า ไม่ว่าจะเรียกยังไงเด็กใหม่คนนั้นก็ไม่ตอบ เดาว่าน่าจะสลบไปแล้ว
แต่ยังดีที่ไม่ตาย นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายล่ะนะ
“โรง’บาลนี้ไม่มีแม้แต่นาฬิกา จะมาตรวจห้องกันตอนไหนก็ไม่รู้”
พวกเขาเดินสำรวจสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลจิตเวชแห่งนี้ดูแล้ว อย่าว่าแต่ห้องพักผู้ป่วยไม่มีหน้าต่างเลย แม้กระทั่งโถงทางเดินด้านนอกกับตรงบันไดก็ไม่มีเช่นกัน มีแค่พัดลมระบายอากาศเก่าๆ ที่ติดอยู่บนเพดาน นี่มันไม่ใช่โรงพยาบาลแล้ว เรียกว่าคุกน่าจะเหมาะกว่า
เหยี่ยนจิ้งเดินค่อนข้างลำบากเพราะต้องอั้นฉี่ไว้ “น่าจะยังไม่ดึกนะ มื้อเย็นคือตอนหนึ่งทุ่ม พวกเราออกจากโรงอาหารก็ประมาณสองทุ่มครึ่ง คิดรวมกับตอนย้ายข้าวของแล้วก็คงใกล้จะสี่ทุ่ม”
“ว่าก็ว่าเถอะ…อยู่มานานขนาดนี้แล้วเรายังไม่เคยเห็นผู้ป่วยที่เข้ามาอยู่ในโรง’บาลก่อนหน้านี้เลย”
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ เซิ่งอวี้ก็เผยสีหน้ากระวนกระวาย “พี่สังเกตมั้ยว่าเด็กฝึกที่อยู่ในสตูดิโอมีแต่ผู้ชาย ที่โรง’บาลจิตเวชนี่ก็เหมือนกัน ปกติรายการเซอร์ไววัลที่เราเห็นในทีวีก็ดูเหมือนจะแยกชายหญิง หรือว่าเด็กฝึกระทึกขวัญจะเป็นรายการเซอร์ไววัลของบอยแบนด์?”
“ใครจะไปรู้” เหยี่ยนจิ้งหัวเราะขืนๆ “จะชายจะหญิงแล้วยังไง ช่วงเวลาแบบนี้ใครจะมีกะจิตกะใจไปคิดเรื่องนั้น เอาชีวิตรอดได้ก็บุญแล้ว
พวกเรารีบเดินกันเถอะ”
ไม่รู้ทำไม พอเห็นกระเบื้องที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกเบื้องหน้านั่นถึงได้รู้สึกกลัวขึ้นมาตงิดๆ “มืดตึ๊ดตื๋อ น่ากลัวไปมั้ยเนี่ย”
แสงไฟตกกระทบจนเกิดเป็นเงาดำทอดยาว รอบด้านเงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงฝีเท้า
เดินมาสักพัก ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึงห้องน้ำที่อยู่ตรงสุดทางเดิน
ครั้นมาถึงห้องน้ำ เหยี่ยนจิ้งถึงเบาใจได้บ้าง
ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม แม้จะมีแค่สี่ห้องแยก แต่อย่างน้อยก็ยังสว่างกว่าทางเดินมืดๆ ด้านนอก พอให้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
เหยี่ยนจิ้ง “นายจะเข้ามั้ย”
เซิ่งอวี้ส่ายหน้า “เดี๋ยวผมรอพี่ข้างนอก”
เซิ่งอวี้ไม่เข้า เหยี่ยนจิ้งก็ไม่ได้เซ้าซี้
เขาเลือกห้องที่อยู่นอกสุดและตั้งใจไม่ปิดประตู
ช่วงเวลานี้ไม่ค่อยมีคนมาเข้าห้องน้ำ เพราะถึงยังไงก็ต้องเดิมพันชีวิตกันที่นี่ทั้งนั้น ยอมอายสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อาจเป็นเพราะดื่มน้ำเยอะเกินไปจึงใช้เวลาถ่ายเบาค่อนข้างนาน
ลมเย็นๆ พัดโชยเข้ามาทางช่องประตูด้านหลังเหยี่ยนจิ้ง จนเขารู้สึกเย็นก้นไปหมด
ขณะกำลังถ่ายเบา อยู่ดีๆ เหยี่ยนจิ้งก็รู้สึกว่าสมองฝั่งซ้ายเริ่มมีอาการวิงเวียน
ภาพตรงหน้าพร่าเลือน ร่างกายพลันสั่นระริก เขาคิดในใจว่าแย่แล้ว
เพราะก่อนหน้านี้ต้องอั้นฉี่ เหยี่ยนจิ้งจึงไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ตอนนี้จัดการปัญหาทางร่างกายได้แล้ว ความง่วงจึงพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้ง
ที่เมสสิยาห์เคยบอกว่าระหว่างเดินอาจจะสลบไปตอนไหนก็ได้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าใช้ยาในปริมาณมากและยิ่งเป็นยาจำพวกยากล่อมประสาทด้วยแล้ว ก็จะยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยและง่วงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แค่ยืนเฉยๆ ก็น็อกได้
เหยี่ยนจิ้งเวียนหัวตาพร่า กระทั่งจะยืนให้นิ่งยังแทบทำไม่ได้
ชั่ววูบนั้น มือเย็นๆ มือหนึ่งก็วางลงบนไหล่ของเขาเบาๆ
“ขอบ…ขอบใจ”
ครั้นได้มือนั้นช่วยประคอง เหยี่ยนจิ้งถึงพอจะยืนให้มั่นคงได้
เขารีบร้อนก้มหน้ารูดซิปกางเกง “น้องเซิ่ง ขอบใจมากๆ ถ้าไม่ได้นาย เมื่อกี้ฉันล้มแน่”
ทว่าในช่วงเวลาที่เขากดชักโครกอยู่นั้น จู่ๆ เหยี่ยนจิ้งกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นั่นเป็นเพราะมือที่วางอยู่บนไหล่ของเขากำลังออกแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เล็บแหลมๆ ที่มาพร้อมกับแรงมหาศาลนั่น ทำให้มันเหมือนมีหนามงอกออกมา มันทะลุผ่านเสื้อผู้ป่วยบางๆ ได้อย่างง่ายดายจนความเย็นยะเยือกซึมลึกลงไปบนผิว
“เซิ่ง…อ่า ฮ่าๆ น้องเซิ่ง อย่าแกล้งฉัน…”
ไหล่ของเหยี่ยนจิ้งแข็งเกร็งจนชาหนึบ ความเย็นเยียบจากปลายเท้าแผ่ซ่านขึ้นไปถึงกลางศีรษะ แม้แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นเครือ
เหยี่ยนจิ้งตกใจจนหน้าถอดสี ไม่กล้าหันหน้ากลับไปมอง เขาแทบจะลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอนอยู่แล้ว “นาย…นาย…นายพูดอะไรหน่อยสิ น้องเซิ่ง…”
“พูดอะไรก็ได้…”
เซิ่งอวี้ยืนเอนตัวพิงอยู่หน้าห้องน้ำ ใกล้จะหลับอยู่รอมร่อ
ยานั่นเม็ดเล็กนิดเดียว แต่ฤทธิ์ยาแรงพอสมควร ถึงจะยืนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้สัปหงกได้เหมือนกลับเข้าไปอยู่ในห้องเรียน
“ทำไมนายอยู่คนเดียว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาให้ได้ยินแบบไม่ทันตั้งตัว
เด็ก ม.ปลาย ที่เมื่อสักครู่ยังสะลึมสะลือก็ได้สติขึ้นมาทันที
หลังเห็นว่าตรงหน้าคือคนคุ้นเคย เซิ่งอวี้ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “พี่จิ่ว!”
ชายผมขาวที่รีบร้อนลงมาจากชั้นบนขมวดคิ้วฉับ “ทำไมมายืนอยู่หน้าห้องน้ำคนเดียว”
“ผมมาเป็นเพื่อนพี่เหยี่ยนจิ้ง แต่ยืนรออยู่ข้างนอก ช่วยดูลาดเลาให้เขาครับ”
จงจิ่วช้อนสายตาขึ้นมองห้องน้ำด้านหลัง
หลอดไฟสีขาวบนเพดานยังส่องสว่าง ประตูห้องน้ำแยกแง้มไว้เล็กน้อย ไม้ถูพื้นถูกทิ้งไว้ในซิงก์เหม็นๆ ที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก มันเงียบจนผิดปกติ
“เขาเข้าไปนานแค่ไหนแล้ว”
“เอ่อ…คือ…ผมก็จำไม่ได้ น่าจะเข้าไปได้สักพักแล้วนะครับ อาจจะถ่ายหนักอยู่ก็ได้”
เซิ่งอวี้เกาหัวก่อนหันไปตะโกนเรียกคนด้านใน “พี่เหยี่ยนจิ้ง พี่เสร็จยังครับ”
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
และในตอนนี้เองที่เซิ่งอวี้สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เขาตัวสั่นเทิ้ม พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “คงไม่เป็นไรมั้งครับ…ผมยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ตลอด แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”
จงจิ่วนิ่งเงียบก่อนเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นใช้เท้าถีบประตู
ด้านหลังประตูนั้นว่างเปล่า
จากนั้นเขาก็ทำแบบเดิมอีก คือถีบประตูอีกสามห้องที่เหลือ
แต่ไม่คาดคิดว่าทั้งสี่ห้องจะไม่มีใครอยู่เลย
ห้องน้ำก็ใหญ่แค่นี้เอง เข้ามายืนไม่กี่คนก็เต็มแล้ว ถ้าอยากจะซ่อนคนเป็นๆ คนหนึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย
“เกิดอะไรขึ้น พี่เหยี่ยนจิ้งล่ะ!” เซิ่งอวี้ช็อกไปแล้ว “ผมเห็นกับตาเลยนะครับว่าเขาเดินเข้ามาในนี้”
ซับกระสุนในสตรีมเองก็สั่นกลัวไปตามๆ กัน
[ชิบหาย เมื่อกี้มีใครดูสตรีมของเหยี่ยนจิ้งบ้าง คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกใช่มั้ย]
[ดูเถอะๆ ยังจะแยกไปคนเดียวอีก รู้ๆ อยู่ว่าแยกไปคนเดียวก็เหมือนเดินเข้าไปตายอะ ไม่เชื่อกันเลย]
[เด็กใหม่สองคน อยู่นี่มีพี่ใหญ่ตั้งหลายคน ใครว่างก็เข้าไปดูสตรีมของพวกเขาหน่อยสิ ส่งเด็กใหม่เข้ามาตายจริงๆ ด้วย]
[เรียกชื่อแล้วไม่มีใครขาน ไม่น่ารอดแล้วล่ะ]
“นายเล่ามาให้ละเอียด”
จงจิ่วกวาดสายตามองซิงก์สกปรกที่มีไม้ถูพื้นตั้งอยู่ นอกจากนี้ยังมีแมงมุมสีดำตัวเป้งเกาะอยู่บนหยากไย่ขนาดใหญ่ตรงปลายก๊อกด้วย
“ผมมาเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนพี่เหยี่ยนจิ้งครับ พี่เขาถามผมว่าจะเข้าด้วยกันมั้ย แต่ผมบอกว่าไม่ พอผมเห็นพี่เขาเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วปิดประตู ผมเลยมายืนสัปหงกรอที่หน้าห้องน้ำ”
เซิ่งอวี้พยายามเค้นทุกความทรงจำออกมา “ถึงผมจะง่วงมาก แต่ไม่ได้หลับแน่นอน ถ้าพี่เหยี่ยนจิ้งเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่มีทางที่ผมจะไม่ได้ยิน แถมตอนพี่เหยี่ยนจิ้งอยู่ในห้องน้ำ ผมยังได้ยินเสียงพี่เขาฉี่อยู่เลย!”
…แม้กระทั่งเสียงฉี่ยังได้ยิน แสดงว่าไม่ได้โกหก
ชายหนุ่มผมขาวหรี่ตาลง มองข้ามเนื้อหาจุดนี้ในนิยายไป มือใต้แขนเสื้อยาวๆ ของชุดผู้ป่วยจับกระชับปากกาลูกลื่นที่ถือติดตัวมาด้วย
ครืดๆๆๆ
และในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นของเครื่องสูบน้ำดังขึ้นมาระลอกหนึ่งจากด้านนอกสุด เสียงนั้นดังก้องไปไกล สะท้อนอยู่ในโถงทางเดิน ชวนให้ขนลุกขนชัน
พวกเขาหันหน้าไปมองพร้อมกัน
“ไปกันเถอะ ไปบอกทุกคน” จงจิ่วไหวไหล่ “ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเกิดเรื่องกับเหยี่ยนจิ้งแล้วล่ะ”
* สอบเกาเข่า คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจีน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.