X
    Categories: everYทดลองอ่านทรราชหวนคืน

ทรราชหวนคืน ตอนพิเศษ #นิยายวาย

ตอนพิเศษ

ฮ่องเต้แคว้นฉู่องค์ปัจจุบันโปรดปรานฮองเฮามาก นี่เป็นเรื่องที่คนทั่วทั้งต้าฉู่ รวมถึงแคว้นเล็กแคว้นน้อยโดยรอบต่างรู้กันทั่ว

นิสัยของฮ่องเต้แคว้นฉู่ไม่ดี เพราะชมชอบในการสังหารคนและไม่ชอบฟังคำเตือนของขุนนางทัดทานอย่างมาก แต่เขากลับโอนอ่อนผ่อนตามและมีน้ำอดน้ำทนต่อภรรยาร่วมผูกผม แม้ราษฎรต้าฉู่อาจไม่ได้เดินทางเข้าเมืองหลวงหรือไม่มีวันได้ชมพระบารมีเลยตลอดชีวิต แต่คนเฒ่าคนแก่ตามเรือกสวนไร่นาต่างรับรู้ถึงเรื่องราวความรักระหว่างฮ่องเต้กับฮองเฮา เนื่องจากความรักของฮ่องเต้นั้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ในปีที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ไม่มีการขึ้นศักราชใหม่ แต่ปีที่มีการแต่งตั้งฮองเฮากลับมีการเปลี่ยนศักราชเป็นรัชสมัยหย่งอัน ซึ่งมีความหมายว่าขอให้เว่ยฮองเฮาอยู่ดีมีสุขชั่วนิรันดร์ และตอนฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ก็ไม่มีการสร้างกุศลอันใด แต่ตอนแต่งตั้งฮองเฮากลับมีการอภัยโทษทั้งใต้หล้าเพื่ออำนวยพรและสร้างกุศลให้แก่ฮองเฮา

แน่นอนว่านี่เป็นแค่เรื่องที่คนนอกเห็น แท้จริงแล้วเรื่องที่ทั้งคู่รักกันมากเพียงใดนั้นคนในวังย่อมรู้ดีที่สุด นับแต่แต่งตั้งฮองเฮาจนถึงตอนนี้ เว่ยฮองเฮาไม่เคยได้ไปพำนักที่อุทยานปี้เทาของตัวเองเลยสักคืน วังเฉียนชิงจึงกลายเป็นที่พำนักของเจ้านายสองคนมาโดยตลอด ไม่ว่าเหล่าขุนนางจะทัดทานอย่างไร ฉู่เซ่าหลิงก็ไม่สนใจ พอพวกเขาพูดมาก ชายหนุ่มก็บริภาษขุนนางทัดทานกลางท้องพระโรงว่า ‘เราอยากอยู่ร่วมกับภรรยา มันกระทบงานราชการตรงที่ใด?!’

ไปๆ มาๆ เหล่าขุนนางทัดทานก็เริ่มคุ้นชินและปลอบใจตัวเองว่าโชคดีที่คนที่ฮ่องเต้โปรดปรานคือฮองเฮา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม ช่างเถอะๆ เช่นนี้ยังดีกว่าอดีตฮ่องเต้ที่โปรดสนมหลายคนมาก

เว่ยจี่เป็นบุรุษแต่กลับได้รับตำแหน่งฮองเฮา เช่นนั้นเขาย่อมไม่อาจควบคุมดูแลฝ่ายในได้อย่างสตรี อีกทั้งฉู่เซ่าหลิงก็ไม่ยินยอม ตัวฉู่เซ่าหลิงเองไม่มีสนม บรรดาไท่เฟย ไท่ผิน ของอดีตฮ่องเต้นั้นยังคงได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในฝ่ายในดังเดิม บางคนอายุยังไม่เต็มยี่สิบ วัยกำลังงามสะพรั่ง ฉู่เซ่าหลิงจึงระมัดระวังอย่างมาก เขาฉวยโอกาสตอนอภัยโทษปล่อยพวกนางออกไปไม่น้อย และมอบแก้วแหวนเงินทองเพื่อส่งพวกนางกลับไปอยู่สกุลเดิมอย่างมีเกียรติ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับการแซ่ซ้องว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม

ทุกวันนี้ฝ่ายในจึงเหลือแต่ไท่เฟยที่มีบุตรไม่กี่คน เรียกได้ว่าค่อนข้างสงบสุข ส่งผลให้เว่ยจี่ไม่ต้องรำคาญใจและยังคงทำตัวเหมือนเมื่อก่อน คือเช้าไปฝึกทหารที่ค่าย กลางวันกลับมากินอาหารและพักผ่อนกับฉู่เซ่าหลิง บ่ายเดินหมาก ชมทิวทัศน์ วันเวลาผ่านไปอย่างราบรื่นชื่นสุขอย่างยิ่ง

รัชสมัยหย่งอันที่สอง ในที่สุดฉู่เซ่าหลิงก็มีผู้สืบทอด เมื่อคังซุ่นจวิ้นอ๋องผู้เป็นสมาชิกในราชวงศ์สิ้นพระชนม์ และชายาคังซุ่นจวิ้นอ๋องเองก็สิ้นใจหลังให้กำเนิดบุตรเพราะทนความลำบากในการคลอดไม่ไหว ทำให้เด็กน้อยกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เกิด ท่านปู่ของเขาก็จากไปนานแล้ว ผู้ที่มีสายเลือดเดียวกับเขาเหลือเพียงท่านย่าที่อายุหกสิบกว่าปีกับพี่สาวที่แต่งงานออกเรือนไปเรียบร้อยคนหนึ่ง ทั้งยังบังเอิญว่าคนที่พี่สาวของเด็กคนนี้แต่งงานด้วยคือคนสกุลเว่ย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีความเหมาะสมอย่างมาก ฉู่เซ่าหลิงจึงฉวยโอกาสรับเด็กมาเป็นทายาท

ตอนแรกเว่ยจี่เข้าใจว่าต้องวุ่นวายกันพักใหญ่ แต่ตอนได้อุ้มองค์ชายน้อยที่อยู่ในห่อผ้าอ้อม เว่ยจี่พลันฉุกคิดขึ้นมาว่าการทำเช่นนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องผู้สืบทอดบัลลังก์ได้แล้ว…ใช่หรือไม่

ฉู่เซ่าหลิงมองท่าทางเหม่อๆ ของเว่ยจี่แล้วนึกขัน เขาลูบแก้มอีกฝ่ายพลางพูดยิ้มๆ “ข้าโปรดปรานเว่ยเหยาถึงเพียงนั้น ผู้อื่นเห็นย่อมต้องร้อนใจกันแทบบ้า บัดนี้ข้าอุ้มเด็กแซ่ฉู่เข้ามาจึงทำให้พวกเขาต่างพอใจ”

เว่ยจี่ฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก การที่ฉู่เซ่าหลิงโปรดปรานเว่ยเหยา มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องผู้สืบทอดบัลลังก์

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะโดยที่ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม นับตั้งแต่เว่ยเหยาหย่านม เขาก็ถูกฉู่เซ่าหลิงรับตัวเข้าวัง เว่ยเหยาเป็นทายาทสายตรงของเว่ยจี่ หลังแต่งตั้งฮองเฮาฉู่เซ่าหลิงก็ตั้งเว่ยเหยาเป็นจวิ้นอ๋องและเลี้ยงดูอยู่ข้างกายตลอด จนถึงเวลานี้เขาอายุสี่ปีแล้ว ฉู่เซ่าหลิงปฏิบัติต่อเว่ยเหยาเหมือนลูกแท้ๆ แม้ชายหนุ่มจะไม่เคยพูด แต่บรรดาราชนิกุลและขุนนางต่างเป็นกังวล ด้วยเกรงว่าฉู่เซ่าหลิงจะรักเว่ยจี่มากเกินไปจนใช้สองมือกอบมอบแผ่นดินให้

ด้วยเหตุนี้ตอนที่ฉู่เซ่าหลิงรับองค์ชายน้อยมาเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ ทุกคนจึงพากันโล่งอก ขอเพียงเด็กไม่ได้แซ่เว่ย อย่างอื่นล้วนคุยกันได้ นอกจากนี้สายเลือดของคังซุ่นจวิ้นอ๋องก็เป็นสายเลือดบริสุทธิ์ ถือว่ามีความถูกต้องชอบธรรม

เว่ยจี่จิ้มหน้าผากเล็กๆ ขององค์ชายน้อยเบาๆ พลางพูดเสียงค่อย “คล้ายฝ่าบาทอยู่เล็กน้อย”

“คล้ายหรือ คล้ายตรงที่ใด” ฉู่เซ่าหลิงมองไม่เห็นส่วนคล้ายในใบหน้ากระจิริดนี้เลย “ข้าหน้าตาเช่นนี้หรือ”

เว่ยจี่หลุดขำ “ดวงตาคล้าย…จมูกก็คล้ายเล็กน้อย”

ฉู่เซ่าหลิงสั่นศีรษะ “ข้ารูปงามกว่าเขามาก หาไม่แล้วตอนนั้นคงสะกดเจ้าให้หลงหัวปักหัวปำไม่ได้…”

ฉู่เซ่าหลิงมองเด็กน้อยอย่างไม่รู้สึกรำคาญใจ เขาก้มลงจุมพิตติ่งหูเว่ยจี่เบาๆ กระซิบบอก “ดูพอแล้ว ให้แม่นมอุ้มไปดีกว่า”

“กระหม่อมยังอยากดูต่ออีกหน่อย…” เว่ยจี่หดคอ พูดเสียงเบา “ฝ่าบาทไม่รู้สึกว่าเหมือนจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกว่าเหมือน…”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ เขาหยุดคิดเล็กน้อย “จริงสิ ฟู่อี๋ใกล้อยู่ไฟเสร็จแล้วใช่หรือไม่ เดือนหน้าองค์ชายจะอายุครบร้อยวัน ให้เว่ยจั้นกับฟู่อี๋มาพร้อมกันเลยสิ”

“เหลืออีกไม่กี่วัน ถึงงานเลี้ยงครบร้อยวันก็น่าจะออกจากบ้านได้พอดี” เว่ยจี่ยิ้ม “เมื่อหลายวันก่อนกระหม่อมกลับบ้านไปดูต้าเจี่ยเอ๋อร์ แวบหนึ่ง นางงามมาก ดวงตาคล้ายพี่ใหญ่ มีชีวิตชีวาดี คนในบ้านต่างบอกว่า…”

ฉู่เซ่าหลิงทำท่าคล้ายคิดอะไรบางอย่าง เขาหัวเราะเบาๆ “คุณหนูสกุลเจ้าอายุน้อยกว่าองค์ชายสองเดือน เป็นคู่ที่เหมาะสมกันพอดี”

เว่ยจี่รีบตัดบท “ฝ่าบาททรงรับสั่งเหลวไหลแล้ว! ต้าเจี่ยเอ๋อร์ยังไม่ทันครบเดือน ไม่รู้ว่านิสัยใจคอจะเป็นอย่างไร ครอบครัวของกระหม่อมยากไร้ ไม่สามารถอบรมบุตรสาวที่มีความเหมาะสมกับองค์ชายออกมาได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็เลี้ยงออกมาได้หนึ่งคนแล้วมิใช่หรือ” ฉู่เซ่าหลิงเชยคางเว่ยจี่พลางพูดยิ้มๆ “ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเว่ยฮองเฮาสามารถขึ้นม้าทำศึก ลงม้าบริหาร เห็นได้ชัดว่าครอบครัวอบรมมาอย่างดีมาก”

เว่ยจี่ชะงัก “เรื่องของกระหม่อมไม่เหมือนกัน…ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรอง”

“รู้แล้ว ข้าก็แค่พูดเท่านั้น…เด็กยังอยู่ในห่อผ้าอ้อม พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์” ฉู่เซ่าหลิงโอบเว่ยจี่เอาไว้ขณะพูดช้าๆ “ครั้งนี้น่าจะดูหน้าองค์ชายพอแล้วกระมัง เมื่อวานบอกว่าเด็กเพิ่งเข้าวัง นอนคนเดียวจะกลัว เลยทิ้งข้าไปนอนที่ตำหนักข้างเป็นเพื่อนเขา ฮองเฮา ความเมตตาของเจ้าไปอยู่ที่ใด เสียแรงที่รักเจ้า…”

เว่ยจี่หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “แต่สุดท้ายฝ่าบาทก็เสด็จไปด้วยกันมิใช่หรือ องค์ชายนอนหลับไม่สนิทจริงๆ ฝ่าบาทก็ทรงเห็น”

“ผ่านไปสักพักก็ดีขึ้น” ฉู่เซ่าหลิงนึกเสียใจเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการเลี้ยงให้องค์ชายสนิทสนมกับเว่ยจี่ เขาก็อยากจะส่งองค์ชายน้อยไปเลี้ยงที่วังตากอากาศจริงๆ ฉู่เซ่าหลิงพูดส่งๆ “เด็กชาย โอ๋มากจะกลายเป็นคนไม่เอาไหน เจ้าก็โอ๋เขาให้น้อยลงหน่อยเถิด”

เว่ยจี่สั่นศีรษะ “เช่นนี้เรียกว่าโอ๋ที่ใด กระหม่อมกำลังอยากทูลฝ่าบาทอยู่พอดีว่าเวลานี้องค์ชายยังเล็ก ขอให้เลี้ยงที่ตำหนักข้างของวังเฉียนชิงก่อน ไว้โตหน่อยค่อยพระราชทานอุทยานปี้เทาให้ดีหรือไม่”

“ไม่ดี” ฉู่เซ่าหลิงตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิด “เหยาเอ๋อร์เองก็ไม่ได้ถูกเลี้ยงที่วังเฉียนชิง ไหนเลยจะมีกฎเช่นนี้?!”

“จะเอาเหยาเอ๋อร์มาเทียบกับองค์ชายได้อย่างไร” เว่ยจี่เม้มริมฝีปาก องค์ชายน้อยเสียบิดามารดาไปแล้ว กลางคืนจึงร้องไห้บ่อย เว่ยจี่สงสารมาก เขาคิดๆ แล้วก็บอก “เช่นนั้น…ขอสักครึ่งปีเถิด คอยให้ครบขวบค่อยส่งไป…นะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท?”

ดวงตาของเว่ยจี่มีกระแสเว้าวอน ฉู่เซ่าหลิงสู้ไม่ได้จึงผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ได้ ครบขวบแล้วต้องส่งไป”

เว่ยจี่รีบผงกศีรษะทันที “พ่ะย่ะค่ะ ถึงตอนนั้นขอฝ่าบาทพระราชทานตำหนักที่อยู่ใกล้กับที่นี่ให้สักแห่งด้วย”

“รู้แล้ว เช่นนี้สบายใจแล้วหรือยัง” ฉู่เซ่าหลิงโอบเว่ยจี่ ลูบแผ่นหลังเขาเบาๆ อารมณ์กระเจิดกระเจิง “เมื่อคืนไม่ได้หลับสนิทเลย ง่วงหรือไม่”

เว่ยจี่ส่ายหน้าซื่อๆ ตามประสา “ได้หลับไปครู่หนึ่งตอนหลังอาหารกลางวันแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ง่วง ฝ่าบาททรงง่วงหรือ”

“ข้า…ก็ไม่ง่วง” ฉู่เซ่าหลิงนึกทอดถอนใจที่ไม่ว่าจะสอนอย่างไร เจ้าท่อนไม้ท่อนนี้ก็ไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์พิศวาสเลย ฉู่เซ่าหลิงลูบคอเสื้อลายมังกรของเว่ยจี่เบาๆ ชุดของเว่ยจี่เป็นงานที่สำนักพระราชวังทำขึ้นเป็นพิเศษ มองผาดๆ จะเหมือนเครื่องแต่งกายของชินอ๋องเล็กน้อย แต่ถ้าดูให้ดีๆ จะเห็นว่าลวดลายที่แทรกอยู่ในเนื้อผ้าแตกต่างกัน มีความประณีตและหรูหรา เวลาเว่ยจี่สวมจะดูมีเสน่ห์มาก ฉู่เซ่าหลิงปลดอาภรณ์ของเว่ยจี่ หัวเราะเบาๆ “ไม่ง่วงก็ไม่ต้องนอนสักพักได้หรือไม่ หืม?”

เว่ยจี่หน้าแดงเล็กน้อย เขากดเสียงให้เบาลง “ฝ่าบาท องค์ชายน้อยหลับอยู่ อย่า…อย่าทรงรุ่มร่ามสิพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าทำรุ่มร่ามอย่างไร” ฉู่เซ่าหลิงจุมพิตริมฝีปากของเว่ยจี่อย่างห้ามใจไม่อยู่ น้ำเสียงสุดเสน่หา “ข้าแค่อยากกอดเจ้า…”

เว่ยจี่เบือนหน้าไปมององค์ชายน้อยแวบหนึ่ง แม่นมเพิ่งป้อนนมเขาเสร็จ น่าจะ…ยังไม่ตื่นกระมัง

เมื่อหลายวันก่อนเว่ยจี่กลับบ้านหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็มีเรื่องขององค์ชายน้อยต่อ ทั้งคู่จึงไม่ได้รักกันหลายวัน เว่ยจี่เองก็ปรารถนาฉู่เซ่าหลิงเช่นกัน เขาจึงแย้มริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อตอบรับอีกฝ่าย แต่ตอนที่ฉู่เซ่าหลิงกดเขาลงบนเตียง กลับได้ยินเสียงนางกำนัลด้านนอกขานเสียงดังว่า “ชางผิงจวิ้นอ๋องขอเข้าเฝ้าเพคะ…”

ฉู่เซ่าหลิงกัดฟัน ผู้คนต่างพูดกันว่าบุตรธิดาคือเจ้าหนี้ในอดีตชาติ…เป็นจริงมิผิด

เว่ยจี่จัดเสื้อผ้าของทั้งสองเสร็จตอนที่เว่ยเหยาเข้ามาแล้วพอดี เขาโขกศีรษะทำความเคารพทั้งคู่อย่างเป็นงานเป็นการ “คารวะฝ่าบาท คารวะเสด็จพ่อ”

ฉู่เซ่าหลิงโบกมือ “มานี่”

เว่ยเหยาลุกขึ้นและเดินมาหาฉู่เซ่าหลิง ชายหนุ่มหยิกแก้มน้อยๆ ของเว่ยเหยาพลางเอ่ย “วันนี้ได้เรียนอะไรบ้าง”

“เรียนอักษรห้าตัวพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเหยาทำหน้าจริงจัง พูดช้าๆ “เมตตา คุณธรรม มารยาท ความรู้ ความไว้วางใจ”

ฉู่เซ่าหลิงยิ้ม “ไม่เลว ใกล้รู้หนังสือหนึ่งร้อยตัวแล้วใช่หรือไม่”

เว่ยเหยาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนผงกศีรษะยิ้มๆ “ใกล้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อบอกว่าคอยให้เหยาเอ๋อร์รู้หนังสือมากกว่านี้ จะสอนวรยุทธ์ให้!”

ฉู่เซ่าหลิงหันไปมองเว่ยจี่ “เหยาเอ๋อร์เพิ่งจะอายุเท่าไรกัน เจ้าจะสอนวรยุทธ์ให้เขาไปทำสิ่งใด”

“อายุไม่น้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ หัดวิชากายกรรมเบญจสัตว์ ก่อน ไม่กินแรงมากหรอก” เว่ยจี่ยิ้มขณะลูบศีรษะเว่ยเหยา “ตอนกระหม่อมกับพี่ใหญ่ไปลานฝึกอายุยังน้อยกว่าเขาอีก ฝึกเช่นนี้ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่มีผลเสียแน่นอน”

เว่ยเหยากอดแขนเว่ยจี่ เขาหันไปมองเปลไกวลายฉลุที่อยู่ด้านข้าง พูดเสียงเบา “เสด็จพ่อ…นั่นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่เซ่าหลิงจึงอุ้มเว่ยเหยาขึ้นไปบนเตียงเพื่อให้เขามองเข้าไปในเปลถนัดๆ พูดยิ้มๆ ว่า “รู้จักเอาไว้นะ คนนี้คือน้องเขยของเจ้า”

“ฝ่าบาท!” เว่ยจี่หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “เกิดผู้อื่นได้ยิน พวกเขาจะคิดอย่างไร”

ฉู่เซ่าหลิงไม่แยแส “ได้ยินแล้วอย่างไร…”

เว่ยเหยายื่นมือไปลูบมือเล็กๆ ขององค์ชายน้อยเบาๆ เว่ยจี่จึงกระซิบ “เมื่อครู่ฝ่าบาททรงล้อเจ้าเล่น คนผู้นี้คือองค์ชาย ภายหน้าจะเป็นฮ่องเต้ เหยาเอ๋อร์ห้ามเสียมารยาทนะ”

เว่ยเหยารีบผงกศีรษะ “เหยาเอ๋อร์เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เว่ยเหยาเกาะเปลดูอยู่พักหนึ่งก่อนหันไปกระซิบถามเว่ยจี่ “เสด็จพ่อ ต่อไปเขาจะแต่งงานกับน้องสาวหรือ เช่นนั้น…ย่อมต้องเป็นน้องเขยของเหยาเอ๋อร์ ถูกต้องหรือไม่”

เว่ยจี่หลุดขำ “เจ้าฟังรู้เรื่องด้วย?”

เว่ยเหยาทำหน้ามึนๆ งงๆ เขาหันไปลูบมือขององค์ชายน้อยต่อ และใช้นิ้วจิ้มร่องเล็กๆ บนหลังมือน้อยๆ นั้น องค์ชายน้อยอ้าปากหาว เว่ยเหยาจึงรีบเอามือออกแล้วกระซิบปลอบว่า “หลับเถอะๆ ข้าไม่แตะเจ้าแล้ว…” ท่าทางของเด็กน้อยดูไร้เดียงสา น่าเอ็นดูนัก

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ ไม่นานนางกำนัลก็เข้ามาถามชายหนุ่มว่าจะให้ตั้งสำรับหรือไม่ ฉู่เซ่าหลิงจึงผงกศีรษะ “เหยาเอ๋อร์อยู่กินด้วยกันนะ”

หลังอาหารเย็นเว่ยเหยาเอาแต่เกาะติดไม่ยอมจากไป เขาเฝ้ามอง ‘น้องเขย’ อยู่ที่ข้างเปล มือถือป๋องแป๋งอันเล็กไว้ด้วยท่าทางประจบเอาใจองค์ชายน้อย ฉู่เซ่าหลิงกับเว่ยจี่มองเด็กสองคนด้วยความรู้สึกขบขันอย่างมาก จนถึงยามซวี เว่ยเหยาทนไม่ไหวอ้าปากหาวกว้าง เว่ยจี่จึงรีบเรียกแม่นมของเว่ยเหยามา แต่เด็กน้อยยังเอาแต่กอดแขนเว่ยจี่ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาเล่นอีก เว่ยจี่ยิ้มพลางอนุญาตและจุมพิตหน้าผากของเว่ยเหยา เขาจึงยอมให้แม่นมอุ้มจากไปอย่างพอใจ

ทางด้านนี้ฉู่เซ่าหลิงก็ให้นางกำนัลอุ้มองค์ชายน้อยไปตำหนักข้างเช่นเดียวกัน เว่ยจี่เพิ่งจะกลับมาถึงตำหนักบรรทมก็ถูกชายหนุ่มกอดเต็มอ้อมแขน ฉู่เซ่าหลิงดับตะเกียงในตำหนักบรรทมไปเกินครึ่ง แสงจันทร์มลังเมลืองทำให้เว่ยจี่รู้สึกว่ามีความสุขมาก ทั้งเด็กสองคนล้วนว่าง่ายและน่ารัก และการที่พวกเขาเดินมาด้วยกันจนถึงวันนี้ยิ่งทำให้ความรักหวานชื่นมากขึ้น ฉู่เซ่าหลิงก้มศีรษะลงจูบเว่ยจี่แล้วกระซิบ “รู้หรือไม่ว่าข้าปรารถนาสิ่งใด”

เว่ยจี่ผงกศีรษะ จูบตอบอีกฝ่าย “ทราบพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…ต่อไปจะยังทรงดีเช่นนี้หรือไม่”

“ดีสิ” ฉู่เซ่าหลิงให้คำมั่นเสียงเบา “มีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ”

ทั้งคู่พลอดรักกันได้สักพักก็ตระกองกอดกันหลับไป เวลาของฮ่องเต้กับฮองเฮาผ่านไปอีกหนึ่งวัน คำมั่นสัญญาของฉู่เซ่าหลิงไม่เคยเปลี่ยน ทุกสิ่งล้วนดีขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆ

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: