X
    Categories: ทดลองอ่านทั่นฮวาในดวงใจมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ทั่นฮวาในดวงใจ บทที่ห้า

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ห้า

 ลมพัดแรงขึ้นตามลำดับ หิมะปลิวเข้ามากระทบบานหน้าต่างดังเป็นระลอก อากาศเช่นนี้ช่างน่าห่มผ้านวมหลายๆ ชั้นออกไปรับแขกเสียจริง

“พี่ชายอู่ฟู หากท่านยังไม่ส่งเสียงอีก เสี่ยวจิ่นจะเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ”

“ข้าส่งเสียงอยู่นี่อย่างไร…” นางงัวเงียจะหลับแหล่มิหลับแหล่

“ส่งเสียงรับแล้วก็รีบออกมาเถิด นายท่านให้ข้ามาเชิญ” เด็กหญิงยังคงไม่เรียกเนี่ยชังหมิงว่า ‘ท่านพ่อ’ เว้นเสียแต่เวลาอยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้น

“ไปบอกเขาไปว่าข้าหลับแล้ว…”

“นายท่านบอกว่าหากท่านไม่ไป นายท่านจะมาเชิญด้วยตัวเอง”

“เก่งนักนะ เสี่ยวจิ่น ถึงกับใช้พี่ใหญ่มาขู่ข้า” ถานอู่ฟูงึมงำ สักพักหนึ่งถึงค่อยบังคับตัวเองให้ขึ้นจากถังน้ำ

แม้จะมีกระถางไฟ ในห้องก็ยังหนาวจับจิต นางรีบรัดอก สวมเสื้อคลุมลำลองตัวยาวสำหรับอยู่บ้านอย่างว่องไว หนาวเหลือเกิน…สองขาขยับเข้าไปหาเตียงโดยไม่ทันรู้สึก ก่อนจะทิ้งตัวกลิ้งหนึ่งตลบ ดึงผ้านวมผืนหนามาห่ม

“พี่ชายอู่ฟู?” หากไม่เพราะนายท่านตั้งกฎเอาไว้ว่าจะเข้าไปข้างในได้ต่อเมื่อพี่ชายอู่ฟูอนุญาต นางคงเข้าไปนานแล้ว จะได้ไม่ต้องมาส่งเสียงตะโกนอยู่ตรงนี้

“อือ…ไม่กินแล้ว…ไม่กินแล้ว น่ารำคาญจริง…” หญิงสาวซุกหน้าเข้าไปใต้ผ้านวม แล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร นางถึงตื่นขึ้นมาด้วยความหนาวเย็น ขนาดห่มผ้าแท้ๆ มือเท้ายังเย็นขึ้นทุกขณะ เย็นเสียจนนางต้องลืมตาแล้วโผล่หัวออกมาจากใต้โปง

“เหวอ…” นางร้องเสียงหลง

“เจ้าไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว จะเอาแต่นอนไม่ได้นะ” ประตูเปิดอ้า เนี่ยชังหมิงยืนอยู่หน้าห้อง ไม่เข้ามาข้างใน ข้างๆ คือเสี่ยวจิ่นที่จ้องมองนางเป็นเชิงตำหนิ

“เฮ้อ…” นางถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ลมหนาวพัดกรูเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดูท่าเขาคงไม่ยอมกลับไปแน่

“อู่ฟู?”

“มาแล้วๆ” นางพลิกตัวลุกลงจากเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ พอปลายเท้าแตะถูกพื้นเย็นเฉียบก็รีบชักกลับไปทันที หันไปถลึงตาใส่เมื่อได้ยินเสี่ยวจิ่นหัวเราะคิก ก่อนจะใส่รองเท้าอย่างไม่เต็มใจนัก

เสี่ยวจิ่นรีบเดินเข้ามาหยิบผ้าคลุมกันลมบนเก้าอี้ให้พลางว่า “พ่อครัวหวังทำเกี๊ยวไว้ มีแต่ของโปรดของพี่ชายอู่ฟูทั้งนั้นเลย เกี๊ยวเนื้อสับ เกี๊ยวไส้แตงกับกุ้งแห้ง แล้วก็…”

“เลิกพูดๆ น้ำลายข้าจะไหลถึงพื้นอยู่แล้ว เสี่ยวจิ่น เจ้าดูแลข้าดีขึ้นทุกวันเช่นนี้ ต่อไปข้าจะยอมให้เจ้าออกเรือนไปได้อย่างไร” นางใช้ผ้าคลุมกันลมห่อตัวเองจนแน่นหนา ถึงค่อยเดินออกจากเรือนพร้อมด้วยเนี่ยชังหมิง

“พ่อครัวหวังเค้นสมองสรรหาอาหารมาทำให้เจ้ากินจนแทบหมดปัญญาแล้ว” เขากางร่มกันหิมะให้ พอเห็นนางทำท่าไม่อินังขังขอบก็ยิ้มเรียบๆ “คนทางเหนือกินเกี๊ยวรับปีใหม่ ของไม่ถูกใจเจ้าไม่กิน อาหารอย่างไหนกินซ้ำสักสี่ห้ารอบเจ้าก็ไม่กิน ช่างเลือกกินแบบนี้ต้องเดือดร้อนสักวัน”

“ข้ามีพี่ใหญ่คอยหนุนหลัง ฟ้าถล่มลงมาก็มีท่านคอยรับให้ ไม่เห็นต้องกลัวเลย”

เขาส่ายหน้า ไม่เห็นด้วยกับท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของนาง “บางทีอีกสองสามปีหลังจากนี้อาจเกิดสงคราม คราวนี้ต้องไปขึ้นปีใหม่กันในค่ายทหารแล้ว”

นางหรี่ตา เงยหน้าขึ้นมองเขา “พี่ใหญ่ หากเกิดสงครามจริง คนออกรบก็ไม่เห็นต้องเป็นท่านเลยนี่นา” ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของนางก็คือเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ให้คนอื่นไปตายแทนที่แนวหน้า

เนี่ยชังหมิงยิ้มบางแล้วเอ่ยเบาๆ

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เจ้าไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นอาลักษณ์อยู่ในสำนักราชบัณฑิตต่อไป จะได้ไม่ต้องไปเข่นฆ่าข้าศึก”

“ข้ารู้จักประเมินตัวเองอยู่หรอกน่า ข้ามันแรงน้อย อย่าว่าแต่ฆ่าข้าศึกเลย แม้แต่จะฆ่าไก่ยังไม่มีปัญญา ออกไปทำศึกเพื่อแสดงความจงรักภักดี เกิดตายไปก็เปล่าประโยชน์ สู้คอยใช้สมองวางแผนอยู่แนวหลังดีกว่า”

นางถอนหายใจเฮือก หิมะขาวโปรยปรายลงมาติดเรือนผมยาวที่มัดรวบไว้ เขาเห็นเข้าจึงช่วยปัดออกให้เบาๆ

เสี่ยวจิ่นที่ถือร่มคันเล็กเดินตามหลังนิ่งชะงัก เลือดฉีดซู่ขึ้นหัว ขณะโพล่งออกไปว่า “พี่ชายอู่ฟูหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ดีนะไม่ได้เกิดมาเป็นสตรี ไม่เช่นนั้นจะเข้าครัวตุ๋นแกงให้สามีกินได้อย่างไร”

เด็กน้อยจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘สตรี’ ให้นายท่านฟัง ขอให้นางคิดมากไปเองเถิด นางมักจะรู้สึกว่านายท่านเป็นเหมือนที่ข้างนอกลือกันอยู่เรื่อย

“ถึงอย่างไรข้าหนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่สู้อยู่แล้ว ไว้รอให้เสี่ยวจิ่นโตเมื่อไร ข้าค่อยแต่งงานกับแม่นางน้อยที่ทำได้ทุกอย่างแบบเจ้าแล้วกัน” ถานอู่ฟูหัวเราะเบาๆ แล้วเปิดประตูห้องโถงโดยที่เด็กหญิงคัดค้านไม่ทัน

ไออุ่นทะลักออกมา นางรีบสาวเท้าเข้าไปข้างในทันที

 

เกี๊ยวแบบทางเหนือขึ้นควันฉุยอยู่บนโต๊ะกลม ต้วนหยวนเจ๋อที่นั่งอยู่เอ่ยทักทายยิ้มๆ “มาเสียทีนะ ข้ากำลังพนันอยู่เลยว่าคนผอมบางอย่างเจ้าจะเป็นลมล้มพับไปในงานถวายพระพรปีไหน!”

ถานอู่ฟูเดาะลิ้น ขณะเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะพร้อมเนี่ยชังหมิง ตรงข้ามนางคือถานเสี่ยนย่า นางสังเกตเห็นเขา เพราะเขาจ้องนางไม่วางตาตั้งแต่ที่นางเดินเข้ามาในห้องแล้ว

นางส่งยิ้มบางๆ ไปให้ “พี่เสี่ยนย่า เป็นอะไรไปหรือ”

“เอ่อ…” ถานเสี่ยนย่าได้สติ หน้าแดงเรื่อ รีบหลุบตามองต่ำแทบไม่ทัน “ไม่มีอะไร…ไม่มีอะไร…” แค่เผลอมองตาค้างเท่านั้น

เขากับถานอู่ฟูเกี่ยวพันกันในฐานะสหายร่วมงาน แต่ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายในชุดอื่นมาก่อน เวลาใส่เครื่องแบบขุนนาง คนผู้นี้แม้จะสูงโปร่ง ทว่าก็มีความนุ่มนวลอ่อนช้อยอยู่ในตัว มิน่า…มิน่าเนี่ยชังหมิงถึงมีความชื่นชอบอย่างนั้นไปได้ เพราะอีกฝ่ายคืออู่ฟูนี่เอง…เมื่อครู่ขนาดเขายังใจเต้นแรงเลย

ต้วนหยวนเจ๋อมองถานเสี่ยนย่า ก่อนจะหันไปมองเนี่ยชังหมิงที่ไม่มีอาการรู้สึกรู้สา แล้วช่วยคลี่คลายบรรยากาศให้ “ใต้เท้าถานอย่าได้ถือสา อู่ฟูงามกว่าดอกไม้เป็นเรื่องจริง ขนาดข้าเจอกันอยู่บ่อยๆ บางทียังมองตาค้าง นับประสาอะไรกับท่าน”

“งามกว่าดอกไม้อะไรกัน ดอกไม้มีตั้งหลายชนิด พี่ใหญ่ ท่านว่าข้าเป็นดอกอะไรดี” ถานอู่ฟูถามยิ้มๆ ดูจะไม่คิดมากที่คนมองว่าตนเหมือนสตรี

เนี่ยชังหมิงยิ้มบาง “ข้าว่าเจ้าไม่เหมือนดอกไม้อะไรทั้งนั้น แต่เหมือนตัวเพียงพอนมากกว่า รีบกินเข้าเถิด เย็นแล้วเดี๋ยวเสียรสหมด” เขาว่าพลางดันเกี๊ยวในชามกลมไปตรงหน้านาง แล้วหันมาพูดกับถานเสี่ยนย่า “เชิญใต้เท้าถาน ปีใหม่บรรยากาศใหม่ พ่อครัวทำอะไรสนุกๆ เอาไว้ หากท่านกินแล้วเจอรสหวาน ก็ขอแสดงความยินดีว่าปีนี้ชีวิตท่านจะต้องราบรื่นผาสุกอย่างแน่นอน”

ถานเสี่ยนย่าหยิบตะเกียบ มองเกี๊ยวสองสามจานบนโต๊ะ พอเหลือบไปเห็นเกี๊ยวน้ำที่วางอยู่ตรงหน้าถานอู่ฟูโดยเฉพาะก็เกิดฉุกใจ

“ในเมื่อจะเสี่ยงดวง เหตุใดอู่ฟูถึงไม่กินกับคนอื่นเล่า” หรือว่าป่วยเป็นโรคอะไรแล้วกลัวจะติดคนอื่น

“เขาเลือกกินน่ะ”

“เลือกกิน?” ถานเสี่ยนย่าอุทานเสียงหลง จ้องมองคนที่กำลังกินเกี๊ยวน้ำอย่างสบายอารมณ์ก็ให้ฉุนขึ้นมาในใจ “เป็นบุรุษเลือกกินได้หรือ มิน่าเล่า คนอื่นถึงมองว่าเจ้าเป็น…” เป็นสมบัติของเนี่ยชังหมิง เป็นภรรยาชายของเนี่ยชังหมิง เป็นกระต่ายที่แยกเพศไม่ออก…

น่ารังเกียจเหลือเกิน! ที่ผ่านมาเขายังนึกว่าคนรอบข้างพูดเกินไป แค่เพราะอู่ฟูรูปร่างหน้าตาเหมือนสตรีก็ถูกกล่าวหาว่านิยมบุรุษ มาวันนี้…ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก! ดีนะที่เขาอยู่ด้วย เขาจะช่วยดึงอู่ฟูออกมาจากเส้นทางมิดีมิงามนี้เอง

อีกสามคนที่เหลือมองเขาฮึดฮัด ดวงตาเนี่ยชังหมิงเป็นประกายขึ้นมาวาบหนึ่ง หากแต่ไม่เอ่ยอะไร

ถานอู่ฟูกล่าวยิ้มๆ อย่างนึกสนุก “พี่เสี่ยนย่า คำพูดของท่านไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย สตรีเท่านั้นหรือถึงจะเลือกกินได้”

“เป็นบุรุษอกสามศอกจะเลือกกินได้อย่างไร” จะเปลี่ยนพฤติกรรมถานอู่ฟูก็ต้องเริ่มจากปรับมุมมองให้ถูกต้องเสียก่อน อู่ฟูจอมซื่อบื้อ ดูไม่ออกหรือว่าเขาตั้งใจช่วย

พอจะปัดเกี๊ยวที่นางคีบอยู่ออก เนี่ยชังหมิงก็เอื้อมมือมากันไว้แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ใต้เท้าถาน อู่ฟูไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว จะเลือกกินก็ปล่อยไปเถิด”

“นั่นสิๆ” ต้วนหยวนเจ๋อก็คิดว่าเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน “คนเรามีข้อดีข้อเสียทุกคน ชอบหรือไม่ชอบห่างกันแค่เส้นบางๆ ดูอย่างข้าสิ ข้าเองก็มีคนที่ไม่ชอบ มีเรื่องที่ไม่ชอบ มีของกินที่ไม่ชอบเช่นกัน”

“ถึงไม่ชอบ ฝืนใจเอาก็ได้นี่” ถานเสี่ยนย่าเถียงอย่างมีโมโห จ้องถานอู่ฟูตาวาววับ

“ข้าฝืนไม่ได้ เดี๋ยวอาเจียน” นางบอกยิ้มๆ

“ฝืนทนไม่ได้? มิน่าเล่าเจ้าถึงยังเป็นแค่ราชบัณฑิตเล็กๆ ในสำนักราชบัณฑิตอยู่อย่างนี้!” เพียงแค่พลั้งปากพูดออกไปก็เสียใจขึ้นมาแล้ว ต่อให้เป็นเรื่องจริง เขาก็ไม่ควรทำร้ายความรู้สึกคนอื่น ถานอู่ฟูแม้จะโง่งม แต่ก็สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มัวหมองด้วยค่านิยมในแวดวงขุนนาง นี่เป็นสิ่งที่เขาทั้งชื่นชมและริษยาอีกฝ่ายมาโดยตลอด

ท้องร้องจ๊อกๆ นางเริ่มหงุดหงิดว่าเหตุใดถึงให้ถานเสี่ยนย่ามารบกวนเวลาอาหารของตน หากเป็นไปได้ นางขอเลือกกลับไปนั่งกินในเรือนตัวเองดีกว่า

ยามนั้นเอง นางตาลายวูบ ขณะล้มไปทางเนี่ยชังหมิงก็พูดกับเขาเบาๆ “ช่วยจัดการให้ข้าที พี่ใหญ่ ข้าไม่ไหวแล้ว”

ถานเสี่ยนย่าสูดหายใจเฮือกเมื่อเห็นดังนั้น แล้วยกมือสั่นระริกขึ้นชี้คนทั้งคู่ “พวกเจ้า…พวกเจ้า…”

เนี่ยชังหมิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ได้แต่ถอนหายใจยิ้มๆ “อู่ฟูแค่หิวจนหน้ามืดน่ะ ใต้เท้าถานอย่าได้คิดเกินเลย”

“ต่อให้คิดเกินเลยจริง อู่ฟูอยู่กับพี่ชังหมิงก็ต้องมีความสุขแน่นอน” ต้วนหยวนเจ๋อที่เคี้ยวเกี๊ยวเต็มปากอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “อย่างน้อยเทียบกับใต้เท้าจางที่ชอบเด็กหนุ่มๆ นั่นแล้ว พี่ชังหมิงยังปกติกว่าเยอะ”

“ใต้เท้าจาง?!” ถานเสี่ยนย่าตกใจไม่น้อย “หรือว่า…เขาหมายตาอู่ฟู?”

“ใต้เท้าถานไม่ทราบหรือ ท่านตกข่าวแล้ว” พอจะเอื้อมมือไปคีบเกี๊ยวในชามถานอู่ฟู ฝ่ายนั้นก็ดีดนั่งตัวตรงปัดตะเกียบเขาออกไปทันที

“ท่านพูดเป็นเล่น ใต้เท้าจางโปรดปรานเด็กหนุ่มๆ อู่ฟูเลยวัยแล้ว จะถูกหมายตาได้อย่างไร”

“ของสวยๆ งามๆ ใครก็ชอบทั้งนั้น โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตาอู่ฟูดูไม่ออกว่าชายหรือหญิง หากไม่ติดว่ามีพี่ชังหมิงล่ะก็ ป่านนี้เขาอาจตกเป็นสมบัติของใต้เท้าจางไปแล้วก็ได้”

ถานเสี่ยนย่าเบิกตามองถานอู่ฟูที่หันกลับไปกินเกี๊ยวอีกครั้ง พร้อมนึกถึงเนื้อตัวเหี่ยวยานเพราะเอาแต่หมกมุ่นในกามของใต้เท้าจาง แม้เขาจะไม่ฉับไวกับข่าวทำนองนี้นักและไม่คิดจะใส่ใจสอดรู้ แต่ก็เคยได้ยินมาว่าเด็กหนุ่มหลายคนถูกใต้เท้าจางเล่นวิปริตจนตายคาเตียง ที่ผ่านมาเขามองว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง อีกประการหนึ่งข่าวลือก็คือข่าวลือ ใครจะรู้ว่าจริงหรือเท็จ ทว่า…

“ใต้เท้าถานวางใจได้” ต้วนหยวนเจ๋อกล่าว “ได้ยินว่าช่วงนี้เฒ่าเจ้าตัณหาเปลี่ยนเป้าหมายไปเล็งเด็กหนุ่มรูปงามอีกคนแทนแล้ว”

“ระวังหน้าต่างมีหูประตูมีตา” เนี่ยชังหมิงเอ่ยเตือนขณะมองถานเสี่ยนย่า

“พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่เสี่ยนย่าเป็นคนซื่อตรง ปกป้องลูกน้อง ข้าทำงานอยู่ในสำนักราชบัณฑิตก็ได้เขาคอยช่วยดูแลตลอด เขาไม่เอาออกไปพูดข้างนอกหรอก จริงหรือไม่พี่เสี่ยนย่า” นางหันมายิ้มให้ ถานเสี่ยนย่าเลยเคลิ้มไปอีกครั้ง

นัยน์ตาสีดำของเนี่ยชังหมิงหรี่ลงขณะส่งเสียงตอบรับ นึกเคืองที่นางใช้วิธียกยอปอปั้นมาซื้อใจคน นางลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองเป็นหญิง หากพลาดพลั้งเกิดอะไรขึ้น นางรับไหวหรือ ยิ่งพอนึกออกว่าในอดีตนางก็เคยใช้วิธีนี้ตื๊อเขามาก่อน ความหงุดหงิดในใจก็ยิ่งเพิ่มพูน

ต้วนหยวนเจ๋อเป็นพวกจมูกไวกับข่าวชาวบ้านและจมูกไวกับปฏิกิริยาเช่นนี้นัก จึงจ้องมองเนี่ยชังหมิงอย่างครุ่นคิด

“ท่านถานพูดถูก อู่ฟูยิ่งนานวันยิ่งเจิดจรัส งดงามกว่าสตรีเสียอีก” หลังกินข้าวเสร็จ ต้วนหยวนเจ๋อก็พูดขึ้นเป็นการหยั่งเชิง

ยามนี้ถานอู่ฟูกลับเรือนไปนอนแล้ว ข้างนอกลมแรง หิมะตกหนัก จึงต้องให้ถานเสี่ยนย่าค้างที่นี่หนึ่งคืน ทว่าเรือนพักของเขาอยู่ห่างกับถานอู่ฟูไกลลิบ เจ้าบ้านจงใจขนาดนี้ หากเขายังมองไม่ออก ก็รักษาตัวให้รอดปากเหยี่ยวปากกาในราชสำนักมาหลายปีไม่ได้หรอก

“เช่นนั้นหรือ คงเพราะเห็นกันทุกวันกระมัง ข้าถึงได้ไม่รู้สึกอะไร” จานชามเมื่อครู่ถูกเก็บออกไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยสุราอุ่น เนี่ยชังหมิงรินให้ตัวเองจอกหนึ่ง แล้วจิบพลางกล่าวเนิบๆ

“ข้าดูออกว่าเจ้ามีความรู้สึกให้อู่ฟู”

“เขาเป็นน้องชายร่วมสาบานของข้า ข้าย่อมต้องมีความรู้สึกให้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มยังคงยิ้มละไม

“ข้าเป็นสหายเจ้าหรือไม่” ต้วนหยวนเจ๋อถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“แน่นอน พวกเราร่วมเป็นร่วมตายมาหลายปี เป็นสหายกัน”

“เจ้านี่โกหกได้หน้าตายเลยนะ” ความขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าคนพูด “รู้จักกันมาหลายปี แม้ข้าจะไม่เข้าใจความคิดเจ้าทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเจ้ามีความลับมากมายที่บอกคนอื่นไม่ได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เจ้าก็ไม่เคยเปิดใจให้ เว้นแต่อู่ฟูคนเดียว สามปีก่อน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าถึงได้เชื่อใจเขาขนาดนี้”

เนี่ยชังหมิงเฉไฉตอบเรื่องไม่สำคัญแทน “สามปีก่อน ข้ากับเขาสาบานเป็นพี่น้องกัน”

“น้องชายคนนี้สำคัญจริงนะ ที่ผ่านมาข้ายังนึกว่าเจ้าเห็นเขาเป็นน้อง แต่เท่าที่ดูตอนนี้ ข้าคงเข้าใจผิด ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่แท้เจ้าก็นิยมบุรุษ”

เนี่ยชังหมิงหัวเราะลั่น “อะไรกัน แม้แต่เจ้าก็ไม่เชื่อข้าหรือ อู่ฟูอายุไล่เลี่ยกับน้องชายแท้ๆ ของข้า ข้าจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก แม้จะมีพี่น้องบุรุษมากมาย แต่ก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน อู่ฟูนับได้ว่ามาช่วยเติมเต็มความรู้สึกที่ข้ามีต่อพี่น้อง” เพียงแต่เปลี่ยนจากน้องชายมาเป็นน้องสาวเท่านั้นเอง

พี่ชายกับน้องสาวก็คงให้ความรู้สึกราวๆ นี้กระมัง นิสัยใจคอนางแตกต่างจากพี่น้องเขา เดาใจได้ยากกว่าว่าคิดอะไรอยู่ แต่เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่น้องสาวจะเอาแต่ใจ เขาทนนางได้ และพยายามสุดความสามารถที่จะรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องให้นางด้วย

กระนั้นหัวใจก็ยังรู้สึกเหมือนถูกหลอกอยู่เสมอ เดิมทีเขานึกว่ารับนางเข้าเป็นพวก นางจะเป็นประโยชน์ต่อเขาได้บ้าง ต่อมาถึงพบว่านางแค่อยากได้ที่พึ่งเท่านั้น เมื่อมีที่พึ่งมั่นคงแน่นอนก็ไม่อยากใช้สมองอีก

แต่เขาอาทรนางฉันน้องสาวไปแล้ว จึงทำร้ายนางไม่ลง

“พี่ชังหมิง!” ต้วนหยวนเจ๋อขมวดคิ้วถามหน้าเครียด “เจ้าเห็นเขาเป็นน้องชายจริงหรือ”

“เรื่องเช่นนี้มีหลอกด้วยหรือไร”

“แต่พวกเจ้าใกล้ชิดกันเกินไปแล้วหรือไม่ ต่อให้เจ้ามีใจให้อู่ฟูจริง คนรอบข้างก็ไม่กล้าพูดอะไรหรอก ทว่าเจ้าเป็นคนทำอะไรระมัดระวังมาโดยตลอด หากมีบัณฑิตสอบผ่านอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ย เจ้าจะพยายามเลี่ยงไม่มาบ้านตัวเอง แต่นี่เจ้ามาหาเขาบ่อยๆ ไม่กลัวว่าคนคิดร้ายจะพูดอะไรหรือ”

เนี่ยชังหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “บัณฑิตสอบผ่านที่เข้ามาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยตอนนั้นทยอยย้ายออกไปหมดแล้ว เหลือแต่อู่ฟูคนเดียว อยู่ในราชสำนักเขาทำงานเหลาะแหละไม่เอาอ่าว ไม่มีใครสนใจหรอก”

“แต่…ถึงอย่างไรข้าก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกอยู่ดี…”

“แปลก?” หัวใจเขาพลันสะดุ้งวาบ รอยยิ้มแข็งไปเล็กน้อย

“ใช่ แต่บอกไม่ถูกว่ามันแปลกตรงไหน” ต้วนหยวนเจ๋อถอนหายใจเฮือก ก่อนจะจ้องฝ่ายตรงข้ามเขม็ง “เขากับเจ้าเป็นพวกมีความลับด้วยกันทั้งคู่ พี่ชังหมิง ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้ คำว่าสหายไม่ได้แสร้งคบกันหลอกๆ พวกเราเป็นสหายกันมาตั้งแต่ในสนามรบ เจ้ามีความลับ ข้าก็ไม่ฝืนถาม เจ้าชอบอู่ฟู ข้าก็เห็นดีเห็นงามด้วย หากวันใดวันหนึ่งข้าจำเป็นต่อเจ้า ก็ขอให้บอกสหายที่น่าสงสารคนนี้ให้รู้ด้วยเถิด! ข้ารวบรวมข่าวเบ็ดเตล็ดในราชสำนักได้ แต่ไม่เคยเข้าถึงความคิดเจ้าจริงๆ สักที ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ”

เนี่ยชังหมิงยังคงยิ้มบางๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน “ข้ารู้”

“รู้ก็ดี…” ต้วนหยวนเจ๋อนึกเคืองที่สหายเอาแต่ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว เขาหมุนตัวไปมองหิมะที่ปลิวว่อนอยู่นอกหน้าต่างแล้วเอ่ยต่อไปว่า “อยากทำอะไรก็ไม่มีปัญญาจะทำได้ดังใจ ข้าอยากขอย้ายไปประจำการชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เขียนฎีกาเสียที ในราชสำนักนี้ข้ามันก็แค่ผู้บัญชาการไร้ประโยชน์ที่ได้แต่กินเงินไปวันๆ เท่านั้น บางทีอีกสองสามปีข้าอาจลาออกจากราชการแล้วกลับบ้านไปเป็นชาวนาแทน ใช้ชีวิตพออยู่พอกินยังดีกว่าอยู่อย่างไม่มีอิสระ เจ้าเล่า พี่ชังหมิง?”

“ข้าอุทิศทั้งชีวิตให้ราชสำนัก”

“ต่อให้ต้องแลกด้วยทุกอย่างที่มีน่ะหรือ” เห็นอีกฝ่ายขยับปากจะตอบ ต้วนหยวนเจ๋อก็ชิงพูดต่อเสียก่อน “หากอยากฟังคำลวง ในราชสำนักมีคนพูดให้ฟังอยู่ทุกวี่ทุกวันแล้ว พี่ชังหมิง ข้าอยากฟังคำพูดจากความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้า”

เนี่ยชังหมิงเงียบไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนจะตอบตามตรง “ข้ายอมเสียทุกอย่างที่มีเพื่อให้แผ่นดินผาสุกร่มเย็น”

 

สนทนากันจนดึก กระถางไฟมอดลงทีละน้อย อากาศในห้องเริ่มเย็น

หลังจากจัดให้ต้วนหยวนเจ๋อพักห้องที่เรือนปีก เนี่ยชังหมิงก็ถือตะเกียงเดินไปทางห้องหนังสือ ไม่รั้งฝีเท้าแต่อย่างใดเมื่อเดินผ่านเรือนของถานอู่ฟู

แม้จะถือว่าตัวเองเป็นพี่ชาย แต่ถึงอย่างไรชายหญิงก็แตกต่าง เขาเดินไปถึงห้องหนังสือแล้วชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นแสงเทียนวูบไหวอยู่ข้างใน ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยที่เมืองหลวง มีแต่เขากับอู่ฟูเท่านั้นที่เข้าไปในห้องนี้ เสี่ยวจิ่นไม่ชอบอ่านหนังสือ ส่วนคนอื่นนั้นไม่กล้าล่วงล้ำ

เขาเปิดประตูห้อง ภาพถานอู่ฟูนอนคว่ำอยู่บนตั่งปรากฏสู่สายตา เชิงเทียนตั้งอยู่ด้านข้าง ทาบแสงและเงาลงบนใบหน้าเนียน หญิงสาวเอามือเท้าคาง ดวงตาหลุบต่ำ เหมือนกำลังถือหนังสืออ่าน

นางกำลังอยู่ในวัยสะพรั่ง ไม่ควรที่บุรุษใดจะเสียมารยาทด้วย

เขาตระหนกอยู่เงียบๆ ทำท่าจะถอยกลับออกไปทันที พร้อมกับที่หางตาเหลือบไปเห็นเสี่ยวจิ่นหลับอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือ

“พี่ใหญ่?” ถานอู่ฟูเหลือบตามองมาแล้วยิ้มให้ “คุยกับต้วนหยวนเจ๋อสนุกหรือไม่”

“ก็ดี” เขากำลังจะคิดหาข้ออ้างกลับออกไปก็พลันเห็นนางปิดหนังสือ ชื่อบนปกทำให้เขาผงะไป “อ่านตำราพิชัยสงครามอยู่หรือ”

“ทำไมเล่า หรือว่าพี่ใหญ่ไม่อยากให้ข้าหยิบเล่มนี้มาอ่าน”

“เปล่า หนังสือในห้องนี้ เจ้าอยากอ่านเล่มไหนก็อ่านได้ตามใจชอบ ไม่มีใครห้ามหรอก ข้าแค่สงสัยเท่านั้น” สงสัยว่าบัณฑิตที่ไม่อินังขังขอบเรื่องกองทัพอย่างนาง นึกอย่างไรขึ้นมาถึงได้อยากอ่านหนังสือเล่มนี้

“บอกพี่ใหญ่ตามตรงก็ได้ ความจริงข้าอยากอ่านเล่มนั้นต่างหาก” ปลายนิ้วเรียวเล็กชี้ไปยังหนังสือเล่มบางบนโต๊ะ โดยที่ยังนอนอยู่ในท่าเดิม

เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา แล้วสะดุ้งวาบ “เจ้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่”

“พี่ใหญ่ อู่ฟูไม่ชอบใช้สมองก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าที่เคยบอกว่าเข้าใจความคิดท่านเป็นแค่การพูดส่งเดช ท่านกังวลว่าโจรสลัดวอโค่วแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้จะกลายเป็นภัยร้ายเข้าสักวัน จึงลอบเกณฑ์ช่างต่อเรือของต้าหมิงเอาไว้ก่อน รอให้ผ่านด่านได้รับพระราชานุญาตจากจักรพรรดิเมื่อใด ก็จะต่อเรือรบอย่างเปิดเผย”

เขาจ้องนางเขม็ง “เจ้า…เดาความคิดข้าได้ถึงเจ็ดแปดส่วนเชียวนะ”

“ไม่เอาน่า อย่าเริ่มอีกสิ พี่ใหญ่ ข้าจงรักภักดีต่อท่านสุดชีวิต อย่าเล่นงานข้าถึงตายเพราะถือว่าข้าไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่เลย” นางกระเซ้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “เสียดายที่ข้ามันไม่มีพรสวรรค์ แม้จะดูรูปเรือรู้เรื่อง แต่ไม่มีปัญญาจะต่อเรือ”

“เจ้าเป็นแค่บัณฑิต ดูรูปเรือเข้าใจก็ถือว่าเก่งมากแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าชำนาญ เป็นธรรมดาที่จะต่อเรือไม่เป็น” เลือดร้อนๆ สูบฉีดไปทั่วร่างด้วยความตกตะลึง เจอคนมีความสามารถทีไร เขามักอยากอุปถัมภ์ค้ำจุนทุกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามเตือนตัวเองว่านางเป็นหญิง!

ในเมื่อสวรรค์ประทานความหลักแหลมมาให้ เหตุใดต้องให้นางมาอยู่ในร่างสตรีด้วย อยากให้เขาอึดอัดตายหรือไร

นางผินหน้าไปเล็กน้อย ขนตายาวเป็นแพทาบลงมาปิดเปลือกตาล่าง ขณะเอ่ยเบาๆ ผ่านรอยยิ้ม “ที่ผ่านมาข้านึกว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง ขอเพียงอยากทำ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าทำไม่ได้ ที่แท้…ก็มีเรื่องที่ข้าทำไม่เป็นอยู่ด้วยเช่นกัน” นางเหมือนพูดเยาะตัวเอง ทว่าปรีดาไปพร้อมกัน

เขาจ้องมองนางนิ่งพลางเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว “เจ้าทำให้ข้าเสียดายจริงๆ”

“เสียดาย?” นางหัวเราะขันพร้อมเงยหน้าขึ้น เส้นผมยาวสีดำขลับสยายลงบนตั่งราวกับแพรดำ แสงเทียนวูบไหวสร้างเงาลึกลับบนใบหน้านางไม่หยุดนิ่ง “ข้ามีอะไรคู่ควรให้พี่ใหญ่เสียดายกัน หลายปีมานี้ข้าเกาะท่านกินเปล่าๆ กระทั่งค่าเช่าเรือนก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว ท่านเอื้อเฟื้อให้มา ข้าก็รับอย่างไม่ละอาย เพราะข้ารู้ว่าสักวันต้องถึงเวลาที่ข้าจะเป็นประโยชน์ต่อท่าน”

“เจ้าเป็นบัณฑิต ต่อให้ผ่านไปอีกสักสามสี่ปี หากเจ้าไม่ขยัน ก็ยังจะเป็นบัณฑิตเล็กๆ อย่างนี้เหมือนเดิม ในภายหน้าแม้ข้าต้องออกรบ เจ้าก็ตามไปช่วยรบไม่ได้ อ่านตำราพิชัยสงครามไปจะมีประโยชน์อะไร แม้แต่ดาบเจ้ายังถือได้ไม่นิ่งด้วยซ้ำ ถึงเวลากินไม่ได้กินก็หน้ามืดเป็นลม แล้วจะออกศึกได้หรือ” เขางึมงำ นึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

ได้ประจักษ์ความเฉลียวฉลาดของนางทีไร เขาเป็นต้องแค้นสวรรค์ที่ช่างเล่นตลก…เล่นตลกกับเพศของนาง ทำให้เขาขมขื่นใจเหลือแสน

“พี่ใหญ่ ได้ยินมาว่าพี่น้องสกุลเนี่ยจะมีผู้อารักขาประจำตัวทุกคน ตอนได้เจอท่านใหม่ๆ เสี่ยวจิ่นยังอายุไม่ถึงสิบขวบ ตามหลักไม่น่าจะเป็นผู้อารักขาประจำตัวท่านได้เลย” อยู่ๆ นางก็โพล่งถามขึ้นมา

เขาตอบตามจริงโดยไม่ปิดบัง “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว พ่อของเสี่ยวจิ่นต่างหากที่เป็นผู้อารักขาประจำตัวข้า แต่เขาตายในสงคราม ภรรยาก็ตายไปก่อนเสียอีก เดิมทีข้าตั้งใจรับลูกสาวเขามาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม แต่เสี่ยวจิ่นไม่ยอม ยืนกรานว่าจะรับหน้าที่ต่อจากพ่อให้ได้ เลยกลายมาเป็นผู้อารักขาประจำตัวข้า”

“มิน่าเล่า…” นางรำพึง

“มิน่าอะไร”

หญิงสาวยิ้ม “ในเมื่อพี่ใหญ่ตั้งใจรับเสี่ยวจิ่นเป็นลูกสาว ก็อย่าละเลยนางเพราะมัวแต่ห่วงเรื่องชาติบ้านเมืองสิ นางอายุสิบเอ็ดแล้วนะ มีอะไรก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ บอกว่าจะเป็นพ่อให้นางก็จะพูดแต่ปากไม่ได้”

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ ความคิดไม่ละเอียดอ่อนเท่าสตรี พอจะอ้าปากถามว่าเสี่ยวจิ่นได้พูดอะไรกับนางหรือไม่ ก็เหลือบไปเห็นเสียก่อนว่าบนโต๊ะยังมีจดหมายฉบับหนึ่ง ชายหนุ่มสะดุ้งวาบ มือกำแน่นขึ้นมาทันที

“น้องชายของพี่ใหญ่น่าสนใจดีจริงๆ” นางมองตามสายตาเขาไปยังจดหมาย

“เจ้าอ่านแล้วหรือ” เขาถามเสียงเข้ม

“พี่ใหญ่อย่าได้ถือโทษเลย พวกเราเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันหลายปี ข้ายังไม่เคยไปคารวะครอบครัวท่านเลยสักครั้ง ข้าก็แค่อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาชั่ววูบ แล้วก็ได้รู้ว่าพวกท่านพี่น้องเป็นคนฉลาดพอกัน”

“หือ?” เขาค่อยๆ ผินหน้ามามองด้วยสายตาว่างเปล่า “เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น”

“จดหมายจากที่บ้านฉบับนี้ คนเขียนคือน้องสิบสองของท่าน เขาน่าจะยังอายุไม่มาก แต่เขียนจดหมายราวกับเล่นทายปริศนา จดหมายธรรมดาๆ จากครอบครัวกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เอามาประกอบกันแล้วได้ความว่าจิ้งจอกแคล้วคลาด รอดตัวมาได้อย่างปลอดภัย เขาปราดเปรื่องออกอย่างนี้ พี่ใหญ่ที่มองหาคนเก่งมาตลอด เหตุใดถึงไม่ให้เขามาทำงานกับท่านเล่า” นางจ้องมองเขาไม่วางตา ไม่แยแสว่ามือใหญ่เอื้อมมาขยุ้มลำคอตนไว้หลวมๆ

“เพราะเจ้าสิบสองไม่เหมาะกับแวดวงขุนนาง” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้าน่าจะเผาจดหมายฉบับนี้ทิ้งเสียแต่แรก”

แต่เขาทำใจเผาไม่ลงจริงๆ ปีๆ หนึ่งเขาแทบไม่ได้เจอหน้าคนที่บ้าน ช่องทางติดต่อกันเพียงหนึ่งเดียวคือจดหมายจากครอบครัวที่น้องชายคนที่สิบสองจะเขียนมาหาตามกำหนด บางครั้งก็เขียนเรื่องธรรมดาทั่วไป บางครั้งก็ให้ข่าวคราวราชาจิ้งจอก เจ้าสิบสองฉลาดเฉลียว มักจะเปลี่ยนวิธีผูกปริศนาไม่ซ้ำแบบให้เขาตีความ นึกไม่ถึงว่านางจะอ่านเข้าใจ

“พี่ใหญ่ คิดจะฆ่าข้าอีกแล้วหรือ”

 

(ติดตามตอนต่อไปในเล่ม…)

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: