บทที่ 4
คู่เดต (?)
กานต์เดินทอดน่องอยู่ในโซนเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านภายในห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมือง วันนี้เธอมีงานถ่ายแบบโบรชัวร์โฆษณาให้กับห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เป็นการถ่ายแบบทั่วไปร่วมกับนางแบบอีกสองคนเพื่อให้ทางห้างเอาไปใช้ประกอบภาพโฆษณาตามความเหมาะสม มันไม่ใช่งานยากอะไรเพียงแต่ใช้เวลาค่อนข้างนาน พอเสร็จงานตอนบ่ายแก่เธอเลยเลี้ยวมอเตอร์ไซค์เข้าห้างใกล้กับสตูดิโอ ตั้งใจว่าจะแวะชิมแพนเค้กเจ้าดังที่เพิ่งอิมพอร์ตเข้ามาจากญี่ปุ่น ทว่าพอเห็นจำนวนคนที่ต่อคิวรอก็ถอดใจ หันไปซื้อไอศกรีมถ้วยจากร้านข้างๆ จากนั้นก็เดินเล่นไปกินไปเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีเธอก็มาเดินอยู่ในโซนนี้แล้ว
จริงอยู่ที่หญิงสาวไม่ได้ทำงานตกแต่งภายใน และไม่คิดจะทำด้วยเพราะไม่ถนัด ยกเว้นงานสไตล์โคโลเนียลที่ชอบเป็นพิเศษ แต่เธอก็ชอบเดินดูของแต่งบ้าน มันเพลินดี เพียงแต่วันนี้มีอะไรมากกว่านั้นนิดหน่อย คือไอเดียเกี่ยวกับบ้านริมน้ำของเธอกำลังพลุ่งพล่าน ถึงจะไปที่บ้านนั้นมาหลายวันแล้วแต่ความคิดของเธอก็ยังวนเวียนอยู่กับที่นั่น อยากทำบ้านหลังนั้น อยากคืนชีวิตให้มันอีกครั้ง ทว่าถึงตอนนี้กานต์ก็ทำได้แค่รอคำตอบจากเจ้าของบ้านว่าจะเลือกเธอหรือเปล่า เพราะคนระดับนั้นน่าจะมีตัวเลือกไม่น้อย
พอก่อน เผื่อไม่ได้ทำ…ไปหาอะไรกินดีกว่า กานต์บอกตัวเองทั้งรอยยิ้มขำหลังจากหยุดยืนมองตุ๊กตาปูนปั้นตัวหนึ่งอยู่นาน โดยมีภาพในหัวว่าจะสามารถเอาไปตกแต่งที่บ้านริมน้ำอย่างไรได้บ้าง
สาวร่างสูงที่วันนี้อยู่ในลุคแบบบอยๆ จนสามารถมองเป็นผู้ชายได้ไม่ยากทิ้งถ้วยไอศกรีมแล้วเดินย้อนกลับไปทางโซนพลาซ่า ด้วยความที่อยู่ชั้นบนของห้าง พอออกไปก็เจอกับร้านอาหารมากมาย แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะเสียเวลาชายตาแลร้านบนชั้นนี้ ไม่ใช่อะไร มันแพง เธอไม่มีทางเข้าร้านพวกนี้เด็ดขาดถ้าไม่มีคนพามาเลี้ยง
กานต์เดินนึกไปเรื่อยๆ ว่าควรกินอะไรดี แต่ในตอนที่ยังเลือกไม่ได้ระหว่างข้าวหน้าเป็ดกับก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นก็มีเสียงเรียกลอยมา
“หนูกานต์”
ทีแรกเจ้าของชื่อได้ยินแต่ไม่ได้สนใจ เพราะปกติไม่เคยมีใครเรียกเธอแบบนี้ จนกระทั่งเสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้งในระยะใกล้ขึ้น
“หนูกานต์ๆ”
คราวนี้กานต์หันไป พอเห็นบุษบากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาก็ตกใจ รีบหยุดยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้า แหม หนูนี่ขายาวดีจัง ฉันนึกว่าจะตามไม่ทันแล้ว” หญิงสูงวัยพูดกลั้วหัวเราะ ท่าทางอารมณ์ดีเหมือนเคย “บังเอิญจังที่เรามาเจอกันที่ห้างนี้ได้ นี่หนูกำลังหาของกินอยู่หรือเปล่า”
“ค่ะ” กานต์ตอบไปแบบยังงงๆ กับการบังเอิญพบบุษบา
“เหมือนกันเลย ไหนๆ ก็มาเจอกันแล้วงั้นหนูกินข้าวกับฉันได้ไหม ฉันเพิ่งโดนเพื่อนเทมา กำลังเซ็งๆ พอดี” บุษบารัวคำพูดเป็นชุด และท่านก็ไม่รอฟังคำตอบ “นี่หนูกานต์มีร้านในใจอยู่แล้วหรือเปล่า เห็นเดินฉับๆ เลย”
“เอ่อ คือหนูตั้งใจจะลงไปที่ฟู้ดคอร์ตน่ะค่ะ” เธอกะพริบตาปริบๆ พยายามตามอีกฝ่ายให้ทัน
“เหรอ เออ ได้ยินว่าฟู้ดคอร์ตที่นี่ก็มีของอร่อยเยอะเหมือนกัน หนูพอรู้บ้างไหมว่ามีอะไรบ้าง”
“หนูเคยมากินที่ฟู้ดคอร์ตห้างนี้หลายหนค่ะ แต่ก็กินอะไรตามที่อยากกินตอนนั้นมากกว่า ไม่ค่อยรู้เรื่องร้านดัง”
“ถ้าเคยมากินหลายหนก็แสดงว่าต้องได้ลองหลายร้าน งั้นก็โอเคแล้วล่ะ ไปฟู้ดคอร์ตกัน”
ข้อสรุปของบุษบาทำให้กานต์ถึงกับเหวอ ทว่าคนสรุปก็ออกเดินเสียแล้ว เธอเลยได้แต่รีบสาวเท้าตาม พร้อมกันนั้นก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะไปกินข้าวกับเธอที่ฟู้ดคอร์ตจริงๆ และในที่สุดก็ตัดสินใจถามออกไปตรงๆ
“คุณบุษคะ คุณจะไปกินข้าวกับหนูที่ฟู้ดคอร์ตจริงๆ เหรอ”
“จริงสิจ๊ะ ทำไมล่ะ คิดว่าฉันกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ตไม่ได้หรือไง ฉันไม่ได้เรื่องมากติดหรูหรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ…”
“หรือว่าหนูเปลี่ยนใจอยากกินร้านแถวนี้” บุษบาพูดต่อตั้งแต่หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบประโยคดี
“เอ่อ เปล่าค่ะ”
“งั้นก็ไปฟู้ดคอร์ตกัน ความจริงฉันก็ไม่ได้ไปนั่งกินตามฟู้ดคอร์ตนานแล้วเหมือนกัน น่าสนุกดี”
กานต์กะพริบตาปริบๆ…ดูเหมือนบุษบาจะเห็นว่าการไปกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ตเป็นเรื่องน่าสนุก และที่แน่ๆ เธอไม่มีโอกาสปฏิเสธเสียด้วย
“อันนี้สีสวยจัง ซื้อสองชิ้นลดตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เราแบ่งกันคนละตลับแล้วกันนะ”
บุษบาชูตลับบลัชออนสีส้มอมน้ำตาลยี่ห้อดังขึ้นมาเป็นเชิงให้กานต์ดูสี แต่หญิงสาวยังไม่ทันได้ออกความเห็นใดๆ ผู้สูงวัยกว่าก็หย่อนมันลงในตะกร้าที่เธอหิ้วอยู่เสียแล้ว จากนั้นท่านก็หันกลับไปหาเชลฟ์อีกรอบ สายตาสอดส่ายมองหาของที่น่าสนใจชิ้นอื่นต่อ
หลังจากนั่งกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ต บุษบาก็ได้รับรายงานจากคนขับรถว่าด้านนอกห้างรถติดมาก ท่านเลยชวนกานต์เดินเล่นด้วยกันในห้างต่อ ซึ่งเธอก็ตอบตกลงโดยดี ถึงจะเหนื่อยเพราะทำงานตั้งแต่เช้าจนรู้สึกอยากพักอยู่บ้าง แต่ถึงกลับออกจากห้างตอนนี้กานต์ก็คงได้แค่ไปนอนเล่นที่ห้องพัก และเธอคิดว่าไม่ควรทิ้งบุษบาไว้คนเดียว ไม่ต้องนับว่าท่านเพิ่งเลี้ยงข้าวเย็นเธอด้วย
เวลานี้พวกเธอทั้งสองมาอยู่ที่บิวตี้บาร์ซึ่งเป็นร้านเครื่องสำอางแบบมัลติแบรนด์ สตรีสูงวัยบอกว่ามีโวเชอร์ที่ใช้คะแนนบัตรเครดิตแลกมา และท่านก็ช็อปปิ้งเพลินทีเดียว ในตะกร้าตอนนี้เต็มไปด้วยข้าวของที่ส่วนใหญ่ท่านเป็นคนเลือก บางอย่างที่ซื้อสองชิ้นถูกกว่าท่านก็จะหยิบมาให้เธอด้วย แม้จะเกรงใจ แต่ราคาค่างวดของมันก็เพียงแค่หลักร้อย ไม่ได้แพงจนตาเหลือก กานต์เลยคิดว่ารับมาดีกว่าปฏิเสธให้ท่านเสียน้ำใจ
บุษบาเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีและใจดีมากทีเดียว
“เออ ว่าไปของก็เยอะแล้วนะ อาจจะเกินโวเชอร์ที่มีแล้วด้วย เราไปเช็กที่แคชเชียร์กันก่อนดีกว่า” สตรีสูงวัยบอกเมื่อเหลือบมาเห็นของในตะกร้า
“ค่ะ” กานต์พยักหน้ารับ แต่พอหมุนกายจะเดินไปยังแคชเชียร์เธอก็สังเกตเห็นสาวสวยคนหนึ่งกำลังยืนมองมา ครั้นได้สบตากันอีกฝ่ายก็ยิ้มให้และเดินตรงเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะ”
สาวสวยคนนั้นยกมือไหว้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นการไหว้ทักทายบุษบา
“อ้าว สวัสดีจ้ะหนูศศิ ไปไงมาไงจ๊ะเนี่ย”
“แวะมาสำรวจกิจการค่ะ” ศศิชาตอบทั้งรอยยิ้ม “หนูเพิ่งเอาน้ำหอมมาลงในห้างนี้ แล้วก็ที่บิวตี้บาร์สาขานี้ด้วย”
“อ้อ จริงสิ” บุษบาหันไปมองทางโซนน้ำหอม ครั้นหันกลับมาก็เห็นว่าสองสาวกำลังสบตาและส่งยิ้มให้กัน ท่านเลยแนะนำ “กานต์จ๊ะ นี่หนูศศิ ศศินำเข้าเครื่องสำอางหลายแบรนด์แล้วตอนนี้ก็ทำแบรนด์ของตัวเองด้วย…หนูศศิ นี่กานต์จ้ะ เป็นนางแบบ”
“และเป็นนายแบบด้วยใช่ไหมคะ” ศศิชาถามก่อนที่กานต์จะทันอ้าปากเอ่ยทักทายเธออย่างเป็นทางการเสียอีก
“รู้ด้วยเหรอ” หญิงสูงวัยเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ
“เคยได้ยินคนพูดถึงกับเคยเห็นรูปทั้งเวอร์ชั่นที่เป็นนายแบบและนางแบบเลยค่ะ อยากเจอตัวจริงมานานแล้ว…พอมาดูใกล้ๆ แล้วหน้าว้านหวาน แต่บางมุมก็เท่จัง เก๋มากเลย”
“ขอบคุณค่ะ” กานต์ยิ้มรับคำชม แม้จะยังงงๆ ว่าทำไมพักนี้ดูเหมือนจะมีคนสนใจความเป็นโมเดลสองร่างของเธอหลายคน ทั้งที่ปกติไม่ค่อยมีคนทักหรือพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่
“ศศิมีแคมเปญโฆษณาอะไรบ้างไหมล่ะ ใช้กานต์เลยสิ”
บุษบาพลิกบทบาทเป็นนายหน้าหางานแบบที่กานต์ถึงกับต้องหันไปมองท่านอย่างคาดไม่ถึง
“กำลังเล็งๆ อยู่ค่ะ ถ้ามีแคมเปญอะไรอาจจะได้ใช้บริการคุณกานต์จริงๆ ก็ได้” ศศิชาส่งยิ้มหวานให้สาวร่างสูง ก่อนจะหันกลับไปหาหญิงสูงวัยอีกรอบ “ส่วนศศิเองก็ต้องฝากตัวกับคุณบุษด้วยเหมือนกัน ศศิยังอยากเอาผลิตภัณฑ์มาลงในบิวตี้บาร์อีกหลายสาขา”
“แหม ทางนี้ก็อยากได้เครื่องสำอางของหนูศศิมาลงเหมือนกันแหละจ้ะ ยังไงเดี๋ยวไว้นัดคุยกันนะ”
“งั้นศศิขอตัวนะคะ ไว้เดี๋ยวจะขอนัดคุณบุษ” สาวสวยโปรยยิ้มหวาน “ยินดีที่ได้พบนะคะคุณกานต์”
“ยินดีเช่นกันค่ะ” กานต์ที่กำลังนึกสงสัยอะไรบางอย่างรีบส่งยิ้มตอบ
บุษบายืนมองจนศศิชาเดินห่างออกไปพอสมควรแล้วก็หันมายิ้มกับเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างอารมณ์ดี
“มาเดินเล่นชิลๆ แต่ทำท่าจะได้งาน ดีเนาะ”
กานต์ได้แต่พยักหน้าเออออไปตามเรื่องทั้งที่ใจยังสงสัยบางอย่าง ทว่ายังไม่ทันได้ออกปากถามบุษบาก็เดินไปทางแคชเชียร์เสียแล้ว เธอเลยตัดสินใจปล่อยผ่าน
ถ้าศศิชาเรียกเธอไปทำงานจริงๆ ไม่ได้แค่พูดตามมารยาทก็ต้องถือว่าดีมากๆ เลย
ธีรดนย์เดินออกจากร้านอาหารญี่ปุ่นพร้อมกับยกข้อมือขึ้นมาเลิกแขนเสื้อสูทเพื่อดูนาฬิกา บ่ายวันนี้เขาได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมสัมมนาที่โรงแรมซึ่งอยู่ชั้นบนของอาคารเดียวกันกับห้างสรรพสินค้า พอออกจากงานสัมมนาเขาเลยแวะหาของกินก่อนกลับ
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเพื่อโทรตามคนขับรถ ขณะที่กำลังคุยกับลูกน้องอยู่นั้นดวงตาคมก็พลันเหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาที่เดินอยู่ข้างหน้า และเขาก็ใช้เวลาไม่นานเลยในการระบุตัวตนว่าอีกฝ่ายคือบุษบา…ส่วนคนที่เดินอยู่ข้างๆ คือ ‘ไอ้กานต์’ คนนั้น!
ธีรดนย์ตัดสายโทรศัพท์พร้อมกับที่คลื่นแห่งความไม่สบอารมณ์พลุ่งขึ้นมา ชายหนุ่มชั่งใจนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจเดินตามไป แต่เขาก็ไม่ต้องทำตัวเป็นนักสะกดรอยจำเป็นนานนัก เพราะทั้งสองเลี้ยวออกไปยังลานจอดรถ รถของบุษบามาจอดรออยู่แถวหน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว กานต์ยกมือไหว้ล่ำลาน้าของเขาและส่งท่านขึ้นรถไป
อารมณ์ของชายหนุ่มเบาบางลงบ้าง ปกติแล้วเขาไม่ค่อยมีปัญหากับใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของบุษบา ยกเว้นแค่พวกที่ลามปามและทะเยอทะยาน แต่สำหรับกานต์…ถึงแม้คืนงานเลี้ยงจะมีคนแก้ตัวให้ว่าอีกฝ่ายเมา ทว่าเขาก็ไม่ค่อยปักใจเชื่อ นี่ยังไม่ได้นับที่เขาเห็นหมอนี่ไปจูบกับผู้หญิงซึ่งมาพาตัวกันออกไปด้วย
ดูยังไงมันก็ไว้ใจไม่ได้!
ขณะที่ธีรดนย์ชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรต่ออยู่นั้น กานต์ก็หายไปเสียแล้ว หันไปมองรอบๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เขาเลยพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหมุนกายกลับไปยังโถงลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นที่นัดกับคนขับรถของตัวเองเอาไว้ อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่าเมื่อครู่กานต์ไม่ได้ขึ้นรถไปกับบุษบาด้วย
คนขับรถเอารถมาจอดรออยู่แล้วตามที่นัดกันไว้ เขาก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังจากนั้นก็คลายเนคไทออกเพื่อให้สบายตัวขึ้น
“กลับคอนโดฯ เลยใช่ไหมครับนาย” คนขับรถส่งเสียงถามขณะบังคับรถให้เคลื่อนไปข้างหน้า
“อืม”
ชายหนุ่มตอบในลำคอ จากนั้นก็เอนศีรษะพิงพนักพร้อมกับเหยียดยืดสองขาไปข้างหน้าเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า ในหัวครุ่นคิดหลายเรื่องสลับสับเปลี่ยนไป ภาพลานจอดรถไหลผ่านสายตาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวนลงมาถึงชั้นกราวนด์ที่เชื่อมต่อไปยังถนนด้านนอก รถก็ชะลอตัวเพราะมีคิวรอแลกบัตรออกจากห้างจำนวนมาก
แล้วธีรดนย์ก็สังเกตเห็นกานต์กำลังจะเดินผ่านรถของเขาไป…
มือใหญ่เอื้อมไปกดปุ่มเปิดกระจกรถเร็วเท่าความคิด จากนั้นเขาก็ส่งเสียงออกไป
“ชื่อกานต์ใช่ไหม”
คนถูกเรียกชะงักและหันมามองด้วยท่าทางงุนงงระคนไม่แน่ใจ ทว่าเขาก็ไม่รอ
“ผมธีรดนย์ เป็นหลานชายคุณบุษบา”
หลานชาย…กานต์ยังมึนๆ เธอพยายามเพ่งมองเข้าไปในรถแต่ก็เห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด เพราะแสงไฟในอาคารจอดรถก็ใช่ว่าจะสว่างมากมาย อีกทั้งในห้องโดยสารรถยนต์ก็มีเงามืด แต่อย่างไรเธอก็อ้าปากจะทักทายเขาตามมารยาท ทว่าก็ยังเร็วไม่เท่าชายหนุ่ม
“คุณน้าผมเป็นคนใจดี แต่ผมขอเตือนว่าอย่าได้คิดหาประโยชน์จากเรื่องนี้และอย่าล้ำเส้น ไม่อย่างนั้นผมจะไม่ให้คุณได้อยู่อย่างสงบสุขอีกเลย”
หญิงสาวอ้าปากเหวอ ยังไม่ทันตั้งตัวกระจกหน้าต่างก็ถูกเลื่อนขึ้นปิดพร้อมกับที่รถเคลื่อนตัวผ่านไป
เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย กานต์ยืนมองตามรถยุโรปที่วิ่งห่างออกไป เธอพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างงุนงง แล้วสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าธีรดนย์น่าจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิด น่าจะเป็นอะไรทำนองที่ว่าเธอกำลังคิดจะหาประโยชน์บางอย่างจากบุษบา
แต่เธอจะหาประโยชน์จากท่านได้อย่างไร ในเมื่อเธอก็เป็นแค่นางแบบที่ท่านจ้างไปทำงานในงานเลี้ยง…หญิงสาวขมวดคิ้วพร้อมกับยกสองแขนขึ้นกอดอก หลังจากยืนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วไม่ได้ข้อสรุป กานต์ก็ยกมือเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะถอนหายใจปลงๆ
เอาเหอะ เดี๋ยวคุณธีคนนี้ก็รู้เองแหละมั้งว่าเราไม่ได้คิดจะหาประโยชน์ใดๆ จากน้าของเขาเลย
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 22 มีนาคม)
Comments
comments