บทที่ 5
ผู้หญิงขาสวยกับผู้ชายคนนั้น
“สรุปว่าคุณธีเป็นเจ้าของบิวตี้บาร์ แต่คุณบุษเป็นคนริเริ่มก่อตั้งมันขึ้นมา และคุณธีก็รักน้ามากเหมือนเป็นแม่อีกคน พูดได้ง่ายๆ ว่าคุณบุษก็เป็นเจ้าของบิวตี้บาร์อีกคนหนึ่งนั่นแหละ อันนี้เป็นธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่กองกลางของภักดิ์โภคิน”
วันนี้กานต์มาฟิตติ้งสำหรับงานเดินแบบ นางแบบในสังกัดของโมเดลลิ่งที่หทัยรัตน์ทำงานอยู่ผ่านการแคสติ้งเข้ามาหลายคน และเพื่อนของเธอก็ตามมาดูแลนางแบบหน้าใหม่ด้วย พอเสร็จงานแล้วกานต์เลยถือโอกาสชวนเพื่อนมานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆ
หทัยรัตน์ตาโตทันทีที่เธอเล่าถึงเรื่องที่ได้เจอบุษบา จากนั้นก็อ้าปากค้างเพิ่มขึ้นเมื่อเธอเล่าต่อไปถึงการกินข้าวและช็อปปิ้ง ซึ่งพอเล่าจบปุ๊บเพื่อนก็เริ่มเทศน์ถึงความไม่รู้เรื่องรู้ราวของเธอ แล้วก็ไล่เลียงให้ฟังว่าบุษบาเป็นคนปลุกปั้นบิวตี้บาร์ขึ้นมาอย่างไร
“คุณบุษไม่เห็นพูดถึงเลยอ่ะ แล้วยังบอกว่าได้โวเชอร์มาจากแต้มบัตรเครดิตอีก” กานต์กะพริบตาปริบๆ
“แหม แล้วแกจะให้เขาแบบ ‘อ๋อ ฉันเป็นเจ้าของที่นี่เองแหละจ้ะ’ งี้เหรอ” หทัยรัตน์ขยับมือไม้ออกท่าออกทาง “แล้วโวเชอร์นั่นก็ไม่แปลกนะ ฉันยังเคยเอาแต้มบัตรเครดิตแลกโวเชอร์บิวตี้บาร์มาใช้เลย แต่ฉันก็เคยได้ยินว่าคุณบุษใจดี แจกข้าวของบ่อยๆ เขาคงคิดว่าไหนๆ มีแต้มบัตรเครดิตก็แลกเป็นโวเชอร์กิจการตัวเอง เงินวกกลับเข้ากระเป๋าไรงี้…แกน่ะ หัดอัพเดตข่าวสารให้ทันโลกบ้าง ดีนะที่แกยังเก็บความเด๋อไว้แค่ข้างใน ไม่แสดงออกไปให้โลกรู้”
“ปกติคนเราซื้อของร้านไหนต้องรู้ด้วยหรือไงเล่าว่าใครเป็นเจ้าของร้าน” กานต์บ่นงึมงำ “แถมตอนเดินในร้านพนักงานก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรกับคุณบุษเป็นพิเศษเลยนะ”
“พวกตัวเล็กๆ อาจไม่รู้จักคุณบุษกันก็ได้”
“ขนาดพนักงานยังไม่รู้จัก แล้วแกจะให้ฉันรู้จักได้ไง”
“แต่หลังจากนี้แกต้องรู้จัก” หทัยรัตน์ถลึงตาใส่เพื่อน “เขาเอ็นดูแกขนาดนี้ถือว่าเป็นบุญมาก ต่อไปนี้แกก็หัดศึกษาเรื่องคุณบุษกับเพื่อนๆ รอบตัวเขาไว้มั่ง เพราะถ้าคุณบุษเขาปรานีจะดันแกเนี่ย ดีดนิ้วเปาะเดียวเท่านั้นแหละ คอนเน็กชั่นเขากว้างไกลโยงใยทั่วทุกภาคส่วนมาก…อ้อ แล้วก็อย่าไปทำให้คุณธีโมโหด้วย ไม่งั้นก็หมดอนาคตอยู่ดี”
“เออ ว่าไป ตอนอยู่ในบิวตี้บาร์ฉันเจอผู้หญิงสวยๆ ที่ชื่อศศิด้วย คุณบุษแนะนำว่าเขานำเข้าเครื่องสำอางกับมีแบรนด์ของตัวเอง”
“เฮ้ย คุณศศิชาแน่เลยอ่ะ” โมเดลลิ่งสาวทำตาโตอีกรอบ “แจ็กพ็อตสุดอ่ะ แกนี่โชคดีจัง คุณบุษแนะนำแกให้คุณศศิรู้จักด้วยใช่ไหม”
“อืม คุณบุษยังเชียร์ให้เขาเอาฉันไปทำงานด้วยเลย”
“เริด!” หทัยรัตน์ร้องดังลั่นจนโต๊ะข้างๆ หันมามอง ทว่าเธอก็ไม่นำพา ยังรัวคำพูดต่ออย่างตื่นเต้น “ครอบครัวคุณศศินำเข้าพวกสินค้าบิวตี้มานานแล้ว ปีสองปีมานี้ตัวเขาเข้ามาช่วยงานครอบครัว ล่าสุดคือกำลังสร้างแบรนด์เครื่องสำอางไทยของตัวเองอยู่ แบรนด์ชื่อเอลล่าเอลล่า แกน่าจะเคยได้ยินบ้างนะ ถ้าเขาเอาแกไปทำงานด้วยก็เจ๋งเลย…แล้วเขาว่าไงกับแกมั่ง มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“เขาบอกว่าเคยได้ยินเรื่องของฉันเลยอยากเจอตัวจริงมานานแล้ว” กานต์เล่า ทว่าพอเห็นเพื่อนทำตาเป็นประกายก็รีบพูดต่อ “เขาก็ชมฉันนะ แต่เขาอาจจะพูดตามมารยาทก็ได้ แกอย่าเพิ่งหวังไปไกล”
“หัดหวังไว้มั่งสิแกอ่ะ ชิลเกิ๊น” หทัยรัตน์บ่นกระปอดกระแปด
สาวผมซอยสั้นหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดูดเพื่อจะได้ไม่ต้องออกความเห็น…ใช่ว่าเธอไม่หวัง ถ้าได้งานจากศศิชาก็คงดีไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันเธอก็จดจำได้ดีว่าเมื่อครั้งที่เพื่อนพยายามดันเธอสุดฤทธิ์ทว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรนั้น อีกฝ่ายผิดหวังขนาดไหน
กานต์ไม่เคยโทษเพื่อน เรื่องแบบนี้บางทีก็ขึ้นอยู่กับดวงและโอกาสด้วย แต่เธอก็จับได้ว่าหทัยรัตน์ยังรู้สึกเฟลจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งยังคิดว่าตนเองอาจทำอะไรบางอย่างผิดไป
“เออ เรื่องที่แกจะไปรับจ็อบที่บริษัทพี่วินล่ะ ตกลงว่าไง แล้วงานลากยาวไหม” สาวร่างเล็กเปลี่ยนเรื่อง
“เป็นงานรีโนเวต ตอนนี้ยังรอคำตอบจากเจ้าของบ้านอยู่ว่าโอเคไหม…งานนี้ใหญ่เหมือนกัน น่าจะใช้เวลาเป็นปีด้วยเพราะรายละเอียดเยอะ แต่มันน่าจะยุ่งเยอะๆ แค่ช่วงแรกๆ นี่แหละ พอผ่านช่วงแรกไปฉันก็แค่ต้องแวะเข้าไปดูความเรียบร้อยเป็นระยะ ไม่กระทบงานทางนี้หรอก”
หทัยรัตน์พยักหน้ารับพร้อมกับตวัดสายตาไปมองโทรศัพท์มือถือของเพื่อนที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเพิ่งส่งเสียงร้องเรียกความสนใจ
“อ้าว พูดถึงปุ๊บพี่วินก็โทรมาปั๊บ” กานต์พึมพำเมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ แล้วเธอก็หยิบมันขึ้นมารับสาย “สวัสดีค่ะพี่วิน”
“กานต์ พี่จะโทรมาส่งข่าว เจ้าของบ้านริมน้ำโอเคกับเรานะ”
“จริงเหรอพี่วิน!” หญิงสาวร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“พี่จะโกหกทำไมเนี่ย” อาชวินส่งเสียงหัวเราะมาตามสัญญาณโทรศัพท์
“โอ๊ย ไม่ใช่อย่างนั้น คือกานต์ลุ้นทุกวันเลย มันฝังอยู่ในหัวแบบเอาออกไม่ได้ นี่ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าเขาไม่โอเคจะทำไง”
“เรานี่ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ” รุ่นพี่ยังคงหัวเราะอยู่ “ว่าแต่นี่กานต์ว่างไหม ถ้าว่างก็แวะมาที่ออฟฟิศหน่อย จะได้คุยรายละเอียดกัน”
“ว่างค่ะ เพิ่งเสร็จงานพอดี งั้นเดี๋ยวกานต์ไปเลย”
“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน”
กานต์วางสายโทรศัพท์ แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับไปมากกว่านั้นหทัยรัตน์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็คว้าแขนของเธอหมับ
“จะไปไหน มีอะไรเกิดขึ้น คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“พี่วินโทรมาตาม บอกว่าเจ้าของบ้านที่เมื่อกี้ฉันเล่าให้ฟังเขาโอเคแล้ว พี่วินเลยบอกให้เข้าไปคุยรายละเอียดที่ออฟฟิศ”
“ก็แค่เนี้ย” เพื่อนดึงมือกลับไป “ที่ฉันต้องคว้าแขนแกไว้เพราะฉันรู้ว่าแกจะลุกไปเลยแบบไม่มีแม้แต่คำล่ำลา”
“โทษที ฉันกำลังตื่นเต้น” กานต์ยิ้มแห้งๆ เถียงไม่ได้เลยเพราะเมื่อครู่เธอก็กำลังจะทำแบบนั้นจริงๆ มันเป็นนิสัยเสียที่เธอพยายามแก้ แต่ก็ยังไม่หายสนิทสักที ยังดีที่เป็นแค่กับคนที่สนิท
“แกก็ตื่นเต้นตลอดอ่ะ” หทัยรัตน์กลอกตาก่อนจะโบกไม้โบกมือเป็นเชิงไล่ “เอาเหอะ จะไปก็รีบไป ขี่รถดีๆ แล้วเดี๋ยวเจอกันวันงานแฟชั่นโชว์”
“โอเค แล้วเจอกัน” คนเป็นนางแบบโปรยยิ้ม ลุกขึ้นคว้าแจ็กเก็ตมาตวัดคลุมร่าง
สาวร่างเล็กนั่งกอดอกมองเพื่อน จนกระทั่งกานต์ออกจากร้านไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันโตที่จอดอยู่ ท่วงท่าของอีกฝ่ายตั้งแต่การเดิน การยืน ไปจนถึงการขึ้นมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไปนั้นดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง ความเท่ที่ทะลักทลายออกมาทำให้เธอถึงกับทอดถอนใจ ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้จะมีคนเห็นเสน่ห์ของกานต์มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ถึงแม้จะเป็นยามบ่ายของวันทำงานแต่การจราจรแถวใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ก็ยังหนาแน่นไม่ผิดกับช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ธีรดนย์นั่งอยู่บนเบาะหลังของรถยุโรปคันโต สายตาทอดมองออกไปนอกรถอย่างเบื่อหน่าย เขาไปคุยธุรกิจข้างนอกมาและกำลังกลับบริษัท แต่ลำพังแค่ที่แยกนี้แยกเดียวสัญญาณไฟเขียวสองรอบแล้วรถก็ยังไม่สามารถพ้นไปได้
เสียเวลาสิ้นดี…
ผู้คนเดินสวนกันไปมาบนบาทวิถีข้างทาง ธีรดนย์คิดว่าเผลอๆ คนพวกนี้อาจจะเดินไปถึงจุดหมายก่อนเขาซึ่งอยู่บนรถเสียอีก ขณะเดียวกันพวกมอเตอร์ไซค์ก็ซอกแซกไปตามที่ว่างบนท้องถนน แต่ด้วยความที่รถติดมาก พื้นที่ข้างหน้าจึงทยอยถูกจับจองจนเต็ม สุดท้ายรถมอเตอร์ไซค์ทั้งหลายก็เลยต้องชะลอตัวแล้วจอดกันอยู่ตามช่องว่างระหว่างรถยนต์นั่นเอง
รถที่มาจอดตรงกับสายตาของชายหนุ่มเป็นมอเตอร์ไซค์แบบสปอร์ตสีขาวน้ำเงิน แต่ที่สะดุดตาเขาคือขาเรียวยาวในกางเกงยีนสกินนี่สีดำตัดกับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อเท้าสีขาว ท่อนบนเป็นแจ็กเก็ตหนัง ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยแล้วเขาก็สังเกตเห็นภาพสะท้อนจากกระจกมองข้างว่าซิปหน้าของแจ็กเก็ตที่เจ้าของมอเตอร์ไซค์สวมใส่ถูกรูดขึ้นมาเพียงครึ่ง ขับเน้นให้เห็นเสื้อสีขาวตัวในและทรวงอกที่นูนขึ้นมาน้อยๆ
ผู้หญิงจริงๆ…และเป็นผู้หญิงที่ขาสวยด้วย
ทีแรกธีรดนย์ไม่แน่ใจนัก เพราะใช่ว่าจะได้เจอผู้หญิงขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่บ่อยๆ แต่พอแน่ใจแล้วความสนใจของเขาก็ถูกดึงกลับไปหาท่อนขาเรียวยาวซึ่งสะดุดสายตาตั้งแต่แรก
เขาชอบขาสวยๆ ของผู้หญิงมาแต่ไหนแต่ไร และด้วยความที่รถติดหนักทำให้เขามีเวลาเหลือเฟือที่จะชื่นชมเรียวขาของหญิงสาวนิรนามผู้นี้ แต่พอนานไปเขาก็อดนึกอยากเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ได้
ในที่สุดสัญญาณไฟเขียวก็สว่างขึ้นอีกครั้ง รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดเรียงอยู่แถวหน้าขยับ พวกที่ต่อแถวแบบเรียงหนึ่งอยู่ด้านหลังก็ทยอยขยับตาม…ธีรดนย์มองตาม จนกระทั่งเธอคนนั้นหายไปจากสายตารถของเขาถึงเพิ่งได้โอกาสขยับ
“เออ นี่ได้เรื่องของไอ้คนที่ไปเดินช็อปปิ้งกับคุณน้าบ้างหรือยัง” ชายหนุ่มนึกขึ้นได้และส่งเสียงถามเลขานุการซึ่งนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับด้านหน้า
หลังจากเปิดกระจกรถขู่กานต์ที่ห้าง เขาก็สั่งเลขาฯ ให้ติดตามข่าวว่าหมอนั่นยังมาวนเวียนอยู่ใกล้บุษบาอีกไหม รวมถึงให้หาข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายเพิ่มด้วย เพราะเขารู้แค่ชื่อของกานต์จากการได้ยินผู้หญิงตัวเล็กที่มาช่วยลากหมอนั่นออกไปจากบุษบา แต่อย่างอื่นเขาก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
“ผมลองไปถามๆ มาแล้ว เห็นว่าไม่ได้นัดกันผ่านทางเลขาฯ ครับ” สุชาติเอี้ยวหน้ากลับมาคุย “ผมพยายามตามประวัติอยู่ เท่าที่รู้หมอนั่นน่าจะชื่อกานต์สั้นๆ คำเดียว แต่เช็กแล้วข้อมูลของนายแบบที่ชื่อกานต์ไม่ตรงกับคนที่เราตามหาอยู่เลย นี่ผมเลยกำลังเช็กอีกครั้ง อาจจะมีอะไรตกหล่นหรือผิดพลาด”
“อืม ได้เรื่องอะไรก็บอกฉันด้วยแล้วกัน”
ผู้เป็นเจ้านายเอนศีรษะพิงเบาะรอง ความจริงเดี๋ยวเขามีนัดกินข้าวกับบุษบา เขาสามารถถามท่านตรงๆ ได้ ทว่าถ้าไม่จำเป็นถึงที่สุดจริงๆ เขาก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของน้า สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือหาข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายไว้ก่อน เผื่อถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆ จะได้รู้ว่าควรจัดการอย่างไร
กานต์เดินลอยชายเข้าไปในออฟฟิศของบริษัทสถาปนิก Archwin ได้สะดวกโยธินเหมือนเดิม วันนี้ในออฟฟิศดูอุ่นหนาฝาคั่งกว่าเมื่อคราวล่าสุดที่เธอมาหาอาชวิน และสุรทินก็ยังเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นเธอเช่นเคย
“โอ้โห วันนี้สวยมาเลยนะเฮีย”
“เฮียเรอะ”
หญิงสาวยิ้มหวาน ก่อนยกขาขึ้นมาทำท่าจะถีบเข้าที่เก้าอี้ของสุรทิน รุ่นน้องตัวแสบรีบไถลเก้าอี้ถอยหนี พอเห็นอย่างนั้นเธอก็กลอกตาแล้วหันไปไหว้ทักทายรุ่นพี่พร้อมกับรับไหว้พวกรุ่นน้องในออฟฟิศไปด้วย
“ไงกานต์ ไม่เจอกันนานเลย นี่มาคุยกับวินเรื่องบ้านริมน้ำใช่ไหม” วีรากรเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์มาถาม
“ค่ะ”
“นี่เพิ่งรู้ข่าวเมื่อเที่ยง ยังทายกันอยู่เลยว่ากานต์จะมาเร็วขนาดไหน” รุ่นพี่หนุ่มหัวเราะ “วินอยู่ในห้องแน่ะ เข้าไปเลย”
หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วเดินลึกเข้าไปด้านในออฟฟิศเพื่อเคาะประตูห้องทำงานอาชวิน มีเสียงตอบรับอย่างรวดเร็ว เธอเลยเปิดประตูเข้าไป
“มาเร็วทันใจจริงๆ” เจ้าของห้องทำงานรับไหว้ทั้งรอยยิ้ม “มานั่งมา ยิ้มแต้มาเชียว ไม่ต้องถามเลยว่าดีใจหรือเปล่า”
“โล่งใจด้วยพี่วิน ตั้งแต่ไปดูบ้านมาภาพบ้านหลังนั้นก็ติดอยู่ในหัวกานต์ตลอดเลย กานต์ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าไม่ได้ทำจะเป็นไง” หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานอย่างคุ้นเคย
“แต่พี่เห็นภาพสเก็ตช์คร่าวๆ ที่กานต์ส่งให้ลูกค้าแล้วพี่มั่นใจนะว่ากานต์จะได้ทำงานนี้” ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะหันไปหยิบกระดาษเอสี่ที่วางอยู่ตรงมุมโต๊ะขึ้นมา “เดี๋ยวกานต์ต้องไปเจอเจ้าของบ้าน แต่เขาเป็นนักธุรกิจ ค่อนข้างยุ่ง คงต้องรอทางนั้นนัดมาอีกที เบื้องต้นเขาอนุมัติให้เราเข้าไปทำงานก่อนได้เลย นี่เหมือนว่าทางเขาจะเคลียร์สวนรกๆ ให้แล้ว”
“ให้เข้าไปทำงานได้เลยนี่คือเขาหาวิศวะฯ มาดูโครงสร้างแล้วหรือยังไง”
บ้านเก่าโบราณแถมถูกทิ้งร้างไร้การบำรุงรักษามานานก็เป็นไปได้มากว่าโครงสร้างดั้งเดิมของบ้านอาจทรุดโทรมเสียหาย ทั้งหมดต้องได้รับการดูแลซ่อมแซมให้แข็งแรงก่อนจะมีการปรับปรุงแก้ไขอื่นๆ ต่อไป อีกทั้งการเปลี่ยนจากบ้านที่อยู่อาศัยเป็นร้านอาหารก็หมายถึงโครงสร้างต้องรองรับน้ำหนักที่มากขึ้น ไม่แน่ว่าอาจต้องเสริมเสาก็ได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องพึ่งวิศวกร
“เขาให้พี่เป็นนายหน้าจัดการให้ นี่พี่ลองเช็กแล้ว มีอั๋นที่น่าจะมาช่วยดูให้ได้…กานต์โอเคไหม”
“โอเคสิ แล้วพี่อั๋นจะเข้าไปดูหน้างานได้เมื่อไหร่ล่ะ”
อั๋นหรืออดุลย์เป็นวิศวกรโยธาและเป็นเพื่อนของอาชวิน ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้วิศวกร รุ่นพี่ของเธอก็จะมีวิศวกรที่ใช้บริการบ่อยๆ อยู่สองสามคน ซึ่งอดุลย์เป็นหนึ่งในนั้น
“เดี๋ยวต้องนัดกันอีกที แต่น่าจะเป็นอาทิตย์หน้า” อาชวินหลุบสายตาลงมองกระดาษในมืออีกครั้ง “โจทย์คือนอกจากทำร้านอาหาร ก็มีเพิ่มห้องน้ำที่ชั้นสาม เจ้าของบ้านตั้งใจจะเก็บชั้นสามไว้แล้วทำให้มันเป็นเหมือนเพนต์เฮ้าส์ คือให้มีห้องนอน ห้องนั่งเล่นอะไรทำนองนั้น เอาไว้พักผ่อน”
“เพนต์เฮ้าส์…” กานต์กะพริบตาปริบๆ “เขาจะไปนอนอยู่ข้างบนร้านอาหารเหรอ ดูวุ่นวายออก เจ้าของบ้านน่าจะรวยมากนี่ เขาต้องมีบ้านที่อื่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“อาจจะเอาไว้นอนเล่นหรือไม่ก็สังสรรค์กับเพื่อนมั้ง” ชายหนุ่มหัวเราะ พอจะเข้าใจความงุนงงของอีกฝ่าย “แต่เขาเป็นเจ้าของ จะทำอะไรก็ได้ แถมไม่มีปัญหาเรื่องงบด้วย เราก็ทำให้เขาไปตามนั้นแหละ”
“เออ กานต์กำลังจะถามเรื่องงบพอดีเลย ถ้าเขาไม่มีปัญหาจริงๆ ก็ดี กานต์จะได้จัดเต็ม”
ปกติการรีโนเวตบ้านโคโลเนียลลักษณะนี้ต้องใช้ทรัพยากรไม่ใช่น้อย บางครั้งถึงเจ้าของจะรวยแต่ก็ใช่ว่าพร้อมจะทุ่มเงินจำนวนมากกับบ้านหลังหนึ่ง ถ้าครั้งนี้เจ้าของพร้อมทุ่มจริงเธอก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะตัวเลขที่เธอประเมินให้อาชวินเบื้องต้นนั้นก็สูงไม่น้อยเหมือนกัน
“คุณธีเขาไม่ค่อยเรื่องมากนะ อีกอย่างบ้านนี้เป็นโปรเจ็กต์ส่วนตัวของเขา ไม่เกี่ยวกับบริษัท เรื่องงบน่าจะง่ายกว่างานบริษัท”
“คุณธี?”
“เออ พี่ยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าเจ้าของบ้านชื่อคุณธี” อาชวินทำท่านึกขึ้นได้ จากนั้นก็หัวเราะตัวเอง “เออ ทำไมพี่ยังไม่ได้บอกกานต์ไม่รู้แฮะ…เอาเป็นว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ชื่อคุณธีรดนย์ เรียกสั้นๆ ว่าคุณธี แล้วก็เดี๋ยวพี่จะให้หมูไปเป็นแบ็กอัพให้กานต์นะ เผื่อช่วงไหนกานต์ยุ่ง”
“โอเคค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ
ว่าไป…ปกติชื่อธีก็ไม่ได้โหลมาก ทำไมพักนี้เหมือนเธอเจอคนชื่อธีบ่อยจัง
ติดตามฉบับเต็มที่…ธีรกานต์
Comments
comments