X
    Categories: ทดลองอ่านนิทานรักนักษัตรปีมะเส็งมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิทานรักนักษัตรปีมะเส็ง บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 7

 จย่าเป่าอวี้ที่นั่งพิงเสาเตียงอยู่มองนางด้วยสีหน้าอ่อนล้า

“ยืนนิ่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น เหตุใดถึงไม่ยอมเข้ามา”

หลินไต้อวี้กะพริบตา ถือกล่องอาหารไปนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยข้างเตียงเพื่อพิจารณาดูเขา เรือนผมยาวดุจแพรต่วนปล่อยสยายขับเน้นดวงหน้าให้แลดูขาวซีดมากขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกายวาววับดุจดวงดาวแลดูมืดดำแต่กลับไม่อาจลดทอนความงามของจย่าเป่าอวี้ลงได้ ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เขาแลดูน่าสงสารคล้ายดรุณีในห้องหอมากกว่าเดิม

“ข้าขอดึงคอเสื้อท่านดูหน่อยได้หรือไม่” เรื่องราวต่างๆ แตกต่างไปจากนิทานที่นางคุ้นเคยมากจนหลินไต้อวี้สงสัยว่าจย่าเป่าอวี้อาจเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ นางจึงต้องการพิสูจน์ให้กระจ่าง หากจย่าเป่าอวี้เป็นสตรีจริง นางกับเขาย่อมเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ต่อไปไม่ว่ามีเรื่องใดย่อมหารือกันได้

แม้จย่าเป่าอวี้จะอ่อนแรง แต่มุมปากที่ยกขึ้นกลับทำให้ใบหน้างามคมสันแลดูเฉิดฉัน มีเสน่ห์จนคนมองหน้าแดงใจเต้นอย่างประหลาด

“ใจร้อนอยากเห็นเรือนร่างของพี่ชายเช่นนี้ คอยให้พี่ชายหายดีก่อนเถิดนะ”

หลินไต้อวี้หรี่ตาลงทันควัน นางถอนหายใจอย่างอ่อนใจว่าถ้าเจ้าเด็กสมควรตายนี่เป็นสตรีจริงก็ผีหลอกแล้ว!

“พวกเจ้าเหนื่อยกันหมดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ให้ผินผินอยู่ดูแลข้าแทน” จย่าเป่าอวี้ทอดสายตาไปยังพวกสาวใช้ที่ยืนอยู่นอกฉากกั้น

“แต่…”

“หากพวกเจ้าต้องล้มป่วยเพราะข้า ข้าคงรู้สึกเสียใจมาก ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ดูแลตัวเองให้ดีแล้วจึงจะมีแรงมาดูแลข้า ข้ายังต้องอาศัยพวกเจ้าอยู่นะ”

พวกสาวใช้จึงพากันถอยออกไปด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน

หลินไต้อวี้เกาแก้มเพราะรู้สึกคันคะเยอขึ้นมาทั้งตัว เจ้าคนผู้นี้ล่อลวงสตรีเก่งมาตั้งแต่เกิดจริงๆ การที่เขาไม่ไปเป็นคุณชายเจ้าสำอางถือเป็นการขัดต่อสวรรค์แล้ว

“ผินผินเอาของกินมาด้วยมิใช่หรือ เหตุใดยังไม่เอาออกมาอีกล่ะ ฉลาดน้อยจริง”

นางถลึงตาตอบอย่างฉุนๆ และนึกอยากเหวี่ยงกล่องอาหารใส่ แต่พอเห็นจย่าเป่าอวี้แค่ลุกขึ้นมานั่งก็ยังหอบซึ่งแสดงว่าเขากำลังป่วยหนักมาก หลินไต้อวี้ก็เม้มริมฝีปากแล้วรีบหยิบยาน้ำในกล่องอาหารออกมาอย่างว่องไวพลางเอ่ยพูดเสียงเบา “พี่จี้บอกว่ายานี้ต้องกินก่อนอาหาร เช่นนี้…”

จย่าเป่าอวี้ใช้มือข้างหนึ่งประคองชามยาแล้วซดเหมือนกำลังดื่มสุรารสเลิศแต่เกิดสำลักกระอักกระไอเล็กน้อย หลินไต้อวี้จึงต้องรีบตบหน้าอกเขาเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น แต่พอมือตบลงไป นางกลับรู้สึกเจ็บกระบอกตา

เพราะมันบางมาก บางจนนางสัมผัสได้ถึงกระดูก ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน…นี่เขาโดนวางยาจนผอมโทรมถึงเพียงนี้เชียวหรือ!

“ผินผินอดใจไว้ก่อนนะ คอยให้พี่ชายรักษาตัวจนหายดีแล้ว เจ้าอยากจะลูบตรงที่ใดก็ตามใจเลย”

“นี่มันเวลาใดแล้วยังจะทำปากดีอีก รู้หรือไม่ว่าท่าน…” นางควรบอกเขาหรือไม่ เกิดเขารู้แล้วจะ…

“ข้ารู้แล้ว” เสียงแผ่วหวิวสามคำหลุดออกจากปากเขาพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น

“ท่านรู้?”

“อืม หลายปีแล้วล่ะ” จย่าเป่าอวี้พูดอย่างไม่ใส่ใจพลางบุ้ยปากเป็นทำนองว่าให้นางป้อนอาหารเขา

“หา?” หลินไต้อวี้นิ่งงัน ทำให้จย่าเป่าอวี้ต้องเร่งอยู่หลายครั้งกว่าที่นางจะนึกขึ้นได้ว่าต้องป้อนโจ๊กให้เขา

นางนี่มันทึ่มจริงๆ ที่แท้…ที่แท้ฉินเข่อชิงก็รู้ก็เห็นทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น เช่นนั้นนางถึงเตือนหลินไต้อวี้ว่าจย่าเป่าอวี้เป็นคนชะตาอาภัพ!

ขนาดเขาตกอยู่ในสภาวะคับขันนางยังไม่เคยรู้ ที่แท้จย่าเป่าอวี้ซ่อนความทุกข์ระทมที่บอกใครไม่ได้เอาไว้ภายใต้สีหน้าเปิดเผย ไม่รู้เพราะเหตุใดหลินไต้อวี้ถึงรู้สึกเหมือนจย่าเป่าอวี้กำลังซ้ำรอยนาง ทำให้นางรู้สึกแสบๆ จมูกขึ้นมา

นางเป็นคนที่ทะลุมิติมา แม้ร่างกายจะยังเด็กแต่อายุจริงกลับไม่อาจประเมินได้ ส่วนเขาเป็นเด็กอย่างแท้จริง แต่ความเป็นลูกรักหลานรักกลับบีบให้เขาต้องกินยาพิษเพื่อให้มีชีวิตรอด

“ข้าจะไม่รู้เรื่องนี้ได้หรือ” จย่าเป่าอวี้ระบายลมหายใจอย่างหงุดหงิด “ในหมู่คนชั้นสูงมีงานเลี้ยงยิบย่อยกันเป็นประจำ บางครั้งเวลาท่านพ่อไม่ว่างแล้วติดที่ฝ่ายตรงข้ามมีอำนาจบารมีสูงจนไม่อาจบอกปัด ท่านก็จะให้ข้าไปร่วมงานแทน ทำให้ข้าพอมีคนรู้จักอยู่บ้าง ในจำนวนนั้นมีบางคนที่มองออกว่าร่างกายข้าได้รับพิษจึงมอบยาถอนพิษให้ด้วยความหวังดี ข้าจึงไปตรวจกับหมอหลายที่จนแน่ใจว่าพิษในตัวข้าแทบจะแทรกลึกเข้าไปในอวัยวะภายในแล้ว หากข้าไม่ได้รับพิษจากที่จวนจะไปได้รับพิษจากที่ใดได้อีก เพียงแต่ข้ายังนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใดที่ใจกล้าถึงเพียงนี้ ได้แต่คอยจับตาดูอยู่เงียบๆ จนเข่อชิงเกิดเรื่อง ข้าถึงเริ่มจับทางถูกและเตรียมตัวตอบโต้”

หลินไต้อวี้มองเขาอย่างอึ้งงันอยู่นานอย่างคิดไม่ถึงว่าเขาใช้ความเงียบสงบสยบความเคลื่อนไหว คอยบงการอยู่เบื้องหลัง…ทันใดนั้นนางก็พลันฉุกคิดถึงเรื่องในวันที่หนึ่งขึ้นมาได้

“…เพราะอย่างนั้นตอนข้ามาหาท่าน ท่านเลยไม่ให้ข้ากินของที่เรือนท่านใช่หรือไม่” นางเผลอจับคอเสื้อตนเอง รู้สึกกังขาว่าเพราะเหตุใดในอกถึงได้มีความรู้สึกปวดแปลบๆ เช่นนี้

นางไม่มีอาการเช่นนี้มาพักหนึ่งแล้ว และอากาศวันนี้ก็ไม่ได้หนาว แล้วเหตุใดจึงรู้สึกเจ็บหน้าอกได้

ใบหน้าขาวคมดุจหยกของจย่าเป่าอวี้มีสีแดงระเรื่ออย่างน่าสงสัยและดูมีท่าทีลำบากใจ “ข้าได้ยินเฟิ่งปาเล่าให้ฟังว่าช่วงที่เจ้ามาอยู่ที่คฤหาสน์สกุลจย่าใหม่ๆ เจ้าถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้เหมือนกัน เหตุใดจึงไม่บอกข้าสักคำ” เพียงคิดว่านางได้รับความทุกข์ทรมานอย่างเดียวกับเขาใต้หนังตาของเขาเอง จย่าเป่าอวี้ก็รู้สึกเหมือนมีโทสะอัดแน่นอยู่ในท้อง

“ข้าจะบอกท่านไปด้วยเหตุใด ตอนนั้นข้าคิดแต่จะรักษาตัวให้หายดีแล้วกลับหยางโจวเร็วๆ เลยกัดฟันทน จนภายหลังเข่อชิงสอนข้าว่าให้ไปกินอาหารร่วมกับพวกพี่น้อง หรือไม่ก็วานคนให้ไปเอาอาหารมาให้ ข้าเลยวานจย่าหวนให้ช่วยไปรับอาหารหรือวัตถุดิบมาแทน”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” จย่าเป่าอวี้ฟังจบแล้วถึงเพิ่งเข้าใจ “ดังนั้นเจ้าจึงมอบถุงผ้าปักให้เขาเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างเดียวอย่างนั้นหรือ”

“แล้วยังจะมีอะไรอีกล่ะ จริงสิ ก่อนหน้านี้ข้าเคยให้จย่าหวนมาสืบข่าวของท่านด้วย แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะถูกกันเอาไว้ข้างนอกเหมือนกัน” ทำให้จย่าหวนต้องพลอยถูกใส่อารมณ์ไปอีกคน เรื่องนี้ทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกผิด

“เจ้าไปมาหาสู่กับเขาให้น้อยลงหน่อยนะ” จย่าเป่าอวี้พูดเสียงหงุดหงิด

“ท่าน…” ตอนแรกนางว่าจะด่าเขาสักยกหนึ่ง แต่พอเห็นจย่าเป่าอวี้โกรธจนเหมือนจะขาดใจแล้ว นางก็คร้านที่จะเอาความกับเขาอีก

อึดใจต่อมาจย่าเป่าอวี้ก็กินโจ๊กทั้งชามหมดเกลี้ยง หลินไต้อวี้อดพูดไม่ได้ว่า “อยากให้ข้าบอกพี่จี้ให้ทำมาเพิ่มอีกหน่อยหรือไม่” ทั้งอาหารและยาในเวลานี้ล้วนมีพิษ การกินอาหารที่พี่จี้เตรียมไว้ให้ย่อมดีกว่า

“พอแล้ว กินไม่ไหวแล้ว”

“อืม” นางรีบเก็บชามเข้าไปในกล่องอาหารพลางเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”

“ในเมื่อนางต้องการให้ข้าป่วย ข้าก็ได้แต่ทน”

“ท่านเป็นแก้วตาดวงใจของท่านยาย ท่านเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านยายก็ได้นี่” ขอร้องล่ะ สถานะของเขาไม่เหมือนนางเพราะเขายังมีที่พึ่งให้อาศัยได้อยู่นะ “ให้ท่านยายเรียกหมอหลวงมาตรวจให้ก็ได้”

“หากหมอหลวงมาตรวจแล้วพบว่าในตัวข้ามีพิษ เจ้าย่อมหนีไม่พ้น”

“เกี่ยวอะไรกับข้า”

“เพราะช่วงกว่าครึ่งปีก่อนหน้าที่ข้าจะล้มป่วย ข้าอยู่กับเจ้า”

หลินไต้อวี้ชะงัก ยามนี้นางพบว่าตนเองตามความคิดของคนสกุลจย่าไม่ทันจริงๆ เพราะหลินไต้อวี้ซื่อใสไร้เดียงสาหรือเพราะคนบ้านนี้กลายเป็นปีศาจกันไปหมดแล้ว เหตุใดพวกเขาถึงคาดการณ์ล่วงหน้ากันได้หลายต่อหลายก้าวและมีแผนรับมือความเปลี่ยนแปลงได้สารพัดอย่างเช่นนี้

“พูดกันจริงๆ จุดประสงค์ของนางคือยับยั้งการแต่งงานของเรา หากมีคนพบว่าในตัวข้ามีพิษ เจ้าย่อมไม่มีทางออกจากสกุลจย่าได้ ขอเพียงข้าทนเจ็บ อาการป่วยต้องดีขึ้นแน่ นอกจากนี้การพักรักษาตัวของข้าจำเป็นต้องใช้เวลา ทำให้นางสามารถจัดการเรื่องหลายๆ อย่างได้ หากข้าอ่อนแอป่วยตายไปนั่นย่อมตรงใจนาง เกรงว่าแม้แต่ยามนอนนางคงหัวเราะไปด้วย”

หลินไต้อวี้อัดอั้นตันใจจนเถียงไม่ออก รู้สึกว่าที่นี่ไม่น่าจะใช่คฤหาสน์สกุลจย่าแต่เป็นโพรงผีถ้ำปีศาจสักแห่งมากกว่า…ไม่ให้แต่งก็ไม่ให้แต่งสิ แค่หาวิธีทำให้ท่านยายเปลี่ยนใจก็พอแล้ว จำเป็นต้องเล่นกันถึงชีวิตเชียวหรือ

“นี่ ท่านยังไหวอยู่หรือไม่”

“ข้าย่อมไหวอยู่แล้ว เพราะหากข้าตายเจ้าก็ต้องลงหลุมไปด้วย ถึงตอนนั้นสมบัติทั้งหมดของเจ้าย่อมตกเป็นของท่านยายก่อนเปลี่ยนไปสู่มือของพี่สะใภ้รองเฟิ่ง และไม่แน่ว่าครอบครัวสกุลจี้เองก็ต้องไปอยู่ข้างถนนด้วย”

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเขาไม่ได้ทำความผิดเสียหน่อย!”

“นั่นล่ะ เพราะอย่างนั้นข้าถึงบอกว่าต้องทนต่อไปให้ได้และล้มนางให้สำเร็จภายในคราวเดียว เพื่อไม่ให้นางได้มีโอกาสสร้างความแตกแยกอีก” จย่าเป่าอวี้พูดจนเหนื่อยแล้วเลยค่อยๆ เอนตัวลงนอนบนเตียง

“แต่ดูจากสภาพท่านตอนนี้…” มิใช่ว่านางอยากจะสาดน้ำเย็นใส่เขาหรอกนะ แต่สภาพของเขาเวลานี้แค่มีใครมาตบสักสองที จย่าเป่าอวี้ก็ขาดใจตายได้แล้ว

“จำไว้ว่าทุกวันก่อนมาเยี่ยมข้าให้พี่จี้ของเจ้าไปใช้ครัวเล็กของจย่าอิ๋งชุนทำอาหารมา ถ้ามียามาด้วยจะยิ่งดี เข้าใจหรือไม่”

“เรื่องเล็กแค่นี้ไม่มีปัญหา ข้าจะทำหน้าด้านมาเยี่ยมท่านทุกวันแน่นอน” แม้จะบอกว่าทันทีที่เข้ามาเป็นต้องถูกบาดเพราะสายตาคมกริบของพวกสาวใช้ แต่นางมีร่างกายคงทนเป็นอมตะ ต่อให้เจอมีดดาบเยอะเพียงใดก็ไม่หวั่นเกรง

ยิ่งไปกว่านั้นการเจอสายตาคมๆ ยังเป็นแค่เรื่องเล็ก ถ้าจย่าเป่าอวี้เป็นอะไรไปขึ้นมาสิถึงจะเป็นเรื่องใหญ่!

หลินไต้อวี้ไม่มีทางยอมให้สมบัติของตนเองต้องถูกริบและทำให้ครอบครัวสกุลจี้ต้องพลอยตกที่นั่งลำบาก เอาไว้วันใดนางจะต้องออกจากจวนเพื่อไปชิงโอนเงินหรือที่ดินจำนวนหนึ่งเป็นชื่อของท่านอาจี้ก่อน เผื่อว่าสักวันหากเกิดอะไรขึ้นกับนางแล้ว ท่านอาจี้ที่เป็นม้าเป็นวัวมาทั้งชีวิตยังต้องระเห็จไปอยู่ข้างถนนอีก รับรองว่าหลินไต้อวี้ต้องตายตาไม่หลับแน่

จย่าเป่าอวี้หลุบขนตายาวลงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดว่า “ขอโทษนะ ทั้งที่ข้าบอกว่าจะดูแลเจ้าแต่กลับ…”

“นี่ ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ ทำอวดเก่งต่อไปล่ะดีแล้ว จู่ๆ มาทำตัวอ่อนยวบยาบเช่นนี้ ข้ากลัวนะ” ผู้คนมักพูดกันว่าเวลาคนใกล้ตายมักพูดจาดีเป็นพิเศษ ทำให้หลินไต้อวี้กลัวมากว่าจย่าเป่าอวี้จะทำดีทิ้งท้ายให้กันตั้งแต่ตอนนี้

หางตาของจย่าเป่าอวี้กระตุกสองครั้งก่อนยิ้มกรุ้มกริ่ม “ผินผินไม่ต้องกลัว เรื่องการศึกในบ้านพี่ชายจะค่อยๆ สอนเจ้า”

หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นสองจังหวะ หลินไต้อวี้รีบสูดลมหายใจเข้าปอดลึก

ใช่แล้วๆ ต้องให้เขาทำหน้าเป็นอย่างนี้สินางถึงจะรู้สึกว่าทุกอย่างยังแก้ไขได้ หาไม่ ในอกมันรู้สึกอึดอัดไปหมด

จะดีจะชั่วอย่างไรจย่าเป่าอวี้ก็เติบโตขึ้นมาในสกุลจย่า เขาย่อมมองอะไรต่อมิอะไรได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และเหตุการณ์ก็เป็นดั่งที่เขาคาดคือเมื่อกว่าครึ่งปีผ่านไปสุขภาพร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นตัวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าค่อยๆ คลายสีหน้าเย็นชาที่มีต่อหลินไต้อวี้

แต่เป็นที่แน่นอนว่างานแต่งงานต้องเลื่อนออกไปด้วย ทว่าก็เลื่อนไปอีกแค่ปีเดียวเท่านั้น

เมื่อร่างกายหายดี จย่าเป่าอวี้ก็ยืนกรานว่าจะไปสำนักศึกษา หลินไต้อวี้ถามเหตุผลอย่างไม่เข้าใจ ทำให้รู้ว่าที่แท้นี่เป็นการกลบเกลื่อนเพื่อให้จย่าหวนได้ไปสำนักศึกษา

“แต่ข้าก็ไม่นั่งดูอยู่อย่างเดียวหรอกนะ เพราะข้าจะใช้สถานะผู้เยาว์เข้าสอบซุ่ยซื่อกับเคอซื่อ ด้วย”

“…อืม” จะว่าไป เขาจะมีแผนอย่างไรแล้วจำเป็นต้องบอกนางด้วยหรือ อีกอย่างถึงจย่าเป่าอวี้ไปสอบแล้วจะสู้กับหวังซีเฟิ่งได้อย่างไร ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนางไม่ฉลาดพอ หรือเพราะความคิดของเขามีปัญหากันแน่

“หลังสอบก็จะได้เป็นเซิงหยวน”

“ต่อจากนั้นล่ะ?” หลินไต้อวี้อยากให้จย่าเป่าอวี้พูดให้จบเร็วๆ ไม่ไหวแล้ว เรื่องการสอบระดับเคอจวี่นางเคยได้ยินหลันเอ๋อร์เล่าให้ฟังแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขามาท่องให้ฟังซ้ำหรอก ทันใดนั้นหลินไต้อวี้ฉุกคิดได้ว่า “จริงสิ ท่านจะพาหลันเอ๋อร์ติดไปด้วยได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าถ้าได้เรียนสักสองปี สกุลจย่าอาจมีจวี่เหรินคนแรกก็เป็นได้”

หลันเอ๋อร์เป็นเด็กน่าสงสารมาก เพราะหลังจากที่เขาสอบได้เซิงหยวนแล้ว ท่านยายก็ไม่ยอมให้เขาไปสำนักศึกษาอีก ทั้งที่รัศมีเพิ่งจะสาดส่องแต่กลับต้องถูกดับเพราะท่านอารองเป่า

“ตกลงเจ้าจะฟังข้าพูดหรือไม่!” จย่าเป่าอวี้ฉุนขาดที่ไม่ได้รับความสนใจซ้ำยังถูกเปลี่ยนเรื่องคุย

หลินไต้อวี้มองหน้าเขาแล้วถอนหายใจ “จู่ๆ ข้าก็คิดถึงช่วงที่ท่านป่วย” ช่วงนั้นเป็นเวลาที่แสนสวยงาม เพราะจย่าเป่าอวี้เจ้าอารมณ์น้อยลง ทำให้นางคิดว่าเขาน่าจะป่วยเช่นนั้นตลอดไป เพื่อที่จะเก็บภาพคนงามขี้โรคภาพนั้นของเขาเอาไว้

“ที่แท้ผินผินก็อยากดูแลข้านี่เอง น่าจะบอกกันตั้งแต่แรก เช่นนั้นคืนนี้ไปนอนค้างที่เรือนของข้านะ” จย่าเป่าอวี้ดึงมือนางไปวางบนหน้าอก

หลินไต้อวี้เลยข่วนอกเขาอย่างไม่เกรงใจ “มีอยู่แค่นี้ เมื่อไรท่านถึงจะมีอกหนาๆ เหมือนพี่จี้เขาบ้าง”

เมื่อหลายวันก่อนนางมีโอกาสได้เห็นร่างเปลือยท่อนบนของพี่จี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หลินไต้อวี้ยิ่งมั่นใจว่าจี้เฟิ่งปาจะต้องเป็นตัวเลือกเพื่อเป็นคู่ร่วมแข่งขันของนางเพียงผู้เดียว

เพราะชายหนุ่มมีรูปร่างกำยำล่ำสัน ใบหน้าหล่อเหล่าเปี่ยมเสน่ห์ ซ้ำยังมีฝีมือด้านการครัว…ทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกว่าแม้เวลานี้นางจะได้รับความทุกข์ทรมานก็ยังคุ้มค่า

แต่แล้วความคิดกลับต้องถูกขัดจังหวะเพราะมือของนางถูกบีบแน่นจนเจ็บ

“ท่านเป็นบ้าอะไรน่ะ ปล่อยนะ มันเจ็บ!”

“เจ้าเคยลูบหน้าอกเขา?!” จย่าเป่าอวี้เบิกตากว้างแทบฉีกขาด

“ผู้ใดเคยลูบ แค่เมื่อหลายวันก่อนได้เห็นแวบเดียวเท่านั้น ท่านนึกว่าข้าอยากจะลูบไปหมดทุกคนหรือ” เขาเห็นนางเป็นตัวอะไร!

สีหน้าของจย่าเป่าอวี้ค่อยๆ คลายลง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “เช่นนั้นเจ้าเลยลูบได้เพียงข้าคนเดียว?”

หลินไต้อวี้รู้สึกอยากตายขึ้นมาจับใจ คนผู้นี้ไม่เข้าใจภาษามนุษย์หรือ!

“ผู้ใดอยากลูบท่าน ข้าแค่จะบอกว่าท่านผอมกะหร่อง หน้าอกไม่มีเนื้อมีหนัง เช่นนี้ท่านยังจะเป็นบุรุษอีกหรือ น่าจะหัดตามอย่างพี่จี้ที่ไปรำมวยออกกำลังตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง”

“ข้าหัดแล้ว” จย่าเป่าอวี้พูดเสียงอู้อี้

“จริงหรือ”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญ เรื่องสำคัญคือข้าจะสอบเป็นเซิงหยวน และถ้าข้าสอบได้ เจ้าต้องมอบถุงผ้าปักให้ข้าหนึ่งใบด้วย” จย่าเป่าอวี้ดึงเรื่องกลับเข้าประเด็นอย่างรำคาญใจ ไม่ยอมให้นางลากออกไปนอกเรื่องอีก

“ท่านก็มีอยู่แล้วใบหนึ่งนี่”

“นั่นมันของจย่าหวน”

“อ้อ รู้จักคิดดีแล้วหรือ ท่านยังสบายดีใช่หรือไม่” หลินไต้อวี้ลูบหน้าผากจย่าเป่าอวี้อย่างอดไม่อยู่ อืม ไม่มีไข้ เป็นปกติดีทุกอย่าง แล้วเพราะเหตุใดจึงพูดจาแปลกๆ เช่นนี้

“ข้าต้องการของของข้า” น้ำเสียงนุ่มเบาเหมือนจะลอดออกมาจากไรฟัน

“ได้ ถ้าท่านสอบได้ตำแหน่งเซิงหยวน และถ้าท่านพาหลันเอ๋อร์ไปสำนักศึกษาด้วยจะดีมาก” ถุงผ้าปักหรือ เรื่องนี้จัดการได้ง่ายมาก แค่ให้เสวี่ยเยี่ยนเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น

“ข้าจะลองถามท่านอาจารย์ดู”

ผ่านไปสองสามวันจย่าเป่าอวี้ก็พาจย่าหลันไปด้วยสำเร็จ และแน่นอนว่าเขาไม่ได้ทิ้งจย่าหวนเอาไว้

หลินไต้อวี้เฝ้าคอยการสอบซุ่ยซื่อตอนปลายปี โดยนางให้เสวี่ยเยี่ยนเตรียมถุงผ้าปักเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เสียดายที่พอเข้าฤดูสารท โรคหอบของนางที่ไม่ได้เป็นมานานก็เกิดกำเริบ

“เช่นนี้ก็ให้สีเหรินกับเสี่ยวหงมาดูแลเจ้าแล้วกัน” เมื่อจย่าเป่าอวี้กลับมาจากสำนักศึกษาแล้วก็รีบมาเยี่ยมนาง และได้เห็นสีหน้าดำคล้ำจนแม้แต่ริมฝีปากยังกลายเป็นสีดำอมแดงของหลินไต้อวี้

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะจย่าเป่าอวี้ล้มป่วย ท่านย่าจึงดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายหลินไต้อวี้กลับไปจนหมด เหลือแค่เสวี่ยเยี่ยนผู้เดียวที่อยู่ข้างกายนาง ทำให้เขารู้สึกว่าหลินไต้อวี้มีคนดูแลไม่พอ

“ไม่ต้องหรอก” หลินไต้อวี้พิงเสาเตียงอย่างอ่อนแรง ขนาดพูดยังรู้สึกว่าต้องใช้กำลังอย่างมาก

“ต้องสิ ข้างกายเจ้ามีเสวี่ยเยี่ยนผู้เดียวย่อมไม่พอ”

“ยังมีพี่จี้อีกคน”

“เจ้าคิดจะให้เขาเข้าห้องเจ้า ไม่กลัวว่าจะมีคนมาเจอแล้วทำให้ตัวเองต้องแย่หนักกว่านี้หรือ” จย่าเป่าอวี้หน้าเปลี่ยนสี เขาหันไปถลึงตาใส่จี้เฟิ่งปาที่อยู่นอกหน้าต่าง

“พี่จี้ไม่เคยเข้าห้องข้า ครั้งเดียวก็ไม่เคย!” หลินไต้อวี้ตวาดด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ผลคือทำให้ต้องกระอักกระไออย่างรุนแรงและหายใจลำบาก

ปะเหมาะกับที่เสวี่ยเยี่ยนนำยาที่ต้มเสร็จเข้ามาในห้องพอดี จย่าเป่าอวี้เป่าให้ยาเย็นลงแล้วป้อนนางทีละคำๆ จนครึ่งชั่วยามผ่านไป หลินไต้อวี้ถึงค่อยๆ คลายความเจ็บปวดลง

“ท่านออกไป…อย่าทำให้ข้าต้องเดือดร้อน…”

“พอได้แล้ว ข้าจะจัดสาวใช้สองคนมาดูแลเจ้า”

ยังไม่ทันที่นางจะได้ห้ามเขา จย่าเป่าอวี้ก็เดินลอยชายหนีไปก่อน และเย็นวันนั้นสีเหรินกับเสี่ยวหงก็เข้ามาในห้องนาง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสีเหรินผู้วางท่าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งกับเสี่ยวหงผู้ชอบทำอะไรโฉ่งฉ่าง หลินไต้อวี้รู้สึกปวดศีรษะ แต่ปวดหน้าอกมากกว่า ที่เจ้าคนผู้นั้นยัดเยียดคนเข้ามาในห้องนางเช่นนี้เพราะอยากฉวยโอกาสสังหารนางใช่หรือไม่

หลินไต้อวี้คิดพลางแอบภาวนาขอให้สถานการณ์อย่าเลวร้ายเหมือนที่นางคิดเอาไว้

ทว่าสวรรค์มักประทานโชคร้ายเต็มขั้นมาให้นางเป็นประจำ

 

หลังจากสาวใช้สองคนเข้ามาอยู่ในเรือนแล้ว อาการป่วยของนางก็ยิ่งหนักขึ้น พอล่วงเข้าฤดูเหมันต์ แม้แต่ลุกขึ้นนั่ง หลินไต้อวี้ก็ยังทำไม่ได้ สถานการณ์คับขันจนเหลือแค่ลมหายใจรวยริน

จี้เฟิ่งปาคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก แต่ตัวเขาไม่สะดวกที่จะเข้าไปในห้อง ได้แต่ให้เสวี่ยเยี่ยนนำจานชามที่เก็บออกมาไปให้ดู

ชายหนุ่มหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาทดสอบ เมื่อเห็นปลายเข็มกลายเป็นสีดำ หัวคิ้วของจี้เฟิ่งปาก็พลันขมวดเข้าหากันแน่น พวกเขาไม่ได้ยกอาหารมาจากห้องครัว อาหารที่คุณหนูกินคืออาหารที่จี้เฟิ่งปาไปทำที่ครัวเล็กของจย่าอิ๋งชุนและให้จย่าอิ๋งชุนนำมาส่ง เท่าที่เขาสังเกต จย่าอิ๋งชุนเป็นคนน่ารักและขี้อาย ไม่มีทางวางยาพิษในอาหาร

หรือปัญหาจะอยู่ที่สาวใช้สองคนนั้น เพราะพวกนางสองคนเป็นคนป้อนอาหารให้คุณหนูและคอยจัดการเรื่องต่างๆ หลังมื้ออาหารทั้งหมด แต่เวลานี้ไม่มีหลักฐาน แล้วเขาจะไปรายงานกับคุณชายรองเป่าอย่างไร

ระหว่างที่จี้เฟิ่งปากำลังปวดศีรษะ จย่าเป่าอวี้กับเสี่ยวหงก็ผ่านประตูชั้นสองเข้ามา

“คุณชายรองเป่า” จี้เฟิ่งปาเรียก แต่กลับเห็นสีหน้าของจย่าเป่าอวี้ดำคล้ำ ท่าทางเดือดดาล

จย่าเป่าอวี้มองจี้เฟิ่งปาแวบหนึ่ง เขารับคำเสียงหนักก่อนตามเสี่ยวหงเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว จี้เฟิ่งปากับเสวี่ยเยี่ยนรีบตามไปติดๆ และคอยเฝ้าระวังอยู่ที่ข้างหน้าต่างห้องนอน

ทันทีที่จย่าเป่าอวี้เข้าไปก็ด่ากราด “สีเหริน เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้!”

สีเหรินที่กำลังเก็บชายผ้าห่มให้หลินไต้อวี้เงยหน้าขึ้นมองทันควัน ท่าทางดูงุนงงแต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถาม ฝ่ามือร้อนๆ ก็ตบลงมาฉาดใหญ่ทำให้นางพูดอะไรไม่ออกเพราะความตื่นตะลึง

“…เหตุใดคุณชายรองจึงตบข้าล่ะเจ้าคะ” เนิ่นนานกว่าที่สีเหรินจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อและเสียใจออกมาได้พร้อมน้ำตาที่ร่วงริน

“เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ข้าทำดีต่อเจ้าเพียงใด เหตุใดเจ้าจึงวางยาพิษผินผิน”

“คุณชายรอง ท่านไปฟังใครพูดจาเหลวไหล เหตุใดข้าถึงต้องวางยาพิษแม่นางหลิน!” น้ำตาของสีเหรินพรั่งพรู ดวงตาคู่สวยเย้ายวนหรี่จ้องเสี่ยวหงตาเขม็ง “ใครหน้าไหนมันไปเป่าหูคุณชายรอง!”

“เสี่ยวหง ค้นหลักฐานออกมา!” จย่าเป่าอวี้ตวาด

“เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงก้าวออกไปพลิกสายรัดเอวของสีเหริน แต่สีเหรินไม่ยอม ดิ้นรนต่อสู้ ซ้ำยังตบหน้าเสี่ยวหงไปทีหนึ่ง

“เจ้าคิดจะใส่ร้ายข้าหรือ ข้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่านางจิ้งจอกเช่นเจ้ามันไว้ใจไม่ได้ ที่เจ้าเข้าใกล้คุณชายรองก็เพราะมีแผนจะเก็บข้า!” สีเหรินกรีดเสียงด่ากราดอย่างดุดัน แต่พอหันไปหาจย่าเป่าอวี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเป็นอีกอย่าง “คุณชายรอง หรือท่านไม่เชื่อใจสีเหริน สีเหรินอยู่ข้างกายคุณชายรองมานานที่สุด สีเหรินไม่มีทางทำร้ายคุณชายรองเป็นอันขาด”

“ถูกต้อง เจ้าไม่ได้ทำร้ายข้า” ดวงตาของจย่าเป่าอวี้มีเพลิงโทสะลุกเรือง เขาก้าวเข้าไปหาสีเหรินโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว กระชากสายรัดเอวของนางทำให้ห่อกระดาษชุบน้ำมันขนาดเล็กจิ๋วห่อหนึ่งหลุดออกมาแผ่หลาให้เห็น “แต่เจ้าทำร้ายคนข้างกายข้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้ เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะใจกล้าถึงขนาดวางยาพิษผินผิน!”

สีหน้าของสีเหรินซีดเผือด รีบคุกเข่าลงจับขาเขา “คุณชายรอง อภัยให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เต็มใจทำ เป็นสะใภ้รองเฟิ่งสั่งให้ข้าทำเช่นนี้!”

“นางสั่งอย่างไรเจ้าก็ทำอย่างนั้น? ตกลงว่าเจ้าเป็นคนของใครกันแน่” จย่าเป่าอวี้แค่นเสียงเย็นชา “อีกอย่าง ในเมื่อเจ้ากล้าใส่ความสะใภ้รองเฟิ่ง…เสี่ยวหง ไปตามหลี่หมัวมัวแล้วส่งตัวสีเหรินให้นางไปจัดการ จะส่งตัวให้ใครหรือขายต่อไปที่ใด ยกให้นางเป็นคนตัดสิน!”

“คุณชายรอง คุณชายรองท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!” สีเหรินกอดขาเขาแน่นสุดชีวิตโดยไม่ยอมปล่อย น้ำตาไหลอาบเต็มหน้า

หลี่หมัวมัวคือหมัวมัวของจย่าเป่าอวี้ นางควบคุมดูแลสาวใช้อย่างพวกสีเหรินอย่างเข้มงวด ครั้งแรกที่สีเหรินปีนขึ้นเตียงคุณชายรอง ถ้าหากไม่ได้สะใภ้รองเฟิ่งช่วยหนุนหลัง นางคงถูกหลี่หมัวมัวจับขายออกจากจวนไปนานแล้ว

มาวันนี้คุณชายรองมอบนางให้หลี่หมัวมัว มิเท่ากับบีบให้นางตายหรอกหรือ

แต่บัดนี้หัวใจของจย่าเป่าอวี้เปลี่ยนเป็นกร้าวกระด้างปานเหล็กไปแล้ว ไม่ว่าสีเหรินจะคร่ำครวญวิงวอนอย่างไร เขาก็ยังให้หลี่หมัวมัวลากตัวนางไปอย่างไม่ไยดีอยู่ดี

“ต้องทำรุนแรงกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ” คอยจนจย่าเป่าอวี้ให้ทุกคนถอยออกไปข้างนอกหมดแล้ว หลินไต้อวี้ถึงพูดเสียงแผ่วล้าออกมา สีเหรินร่ำไห้โวยวายสุดชีวิตถึงเพียงนั้น ถ้านางยังหลับได้อีกก็แปลกแล้ว แต่จะว่าไป นางก็เสียใจแทบขาดใจว่าแม้แต่จะนอนหลับก็ยังยาก หลินไต้อวี้สะลึมสะลือมาทั้งวัน จนกระทั่งจย่าเป่าอวี้เข้าห้องมาด่ากราด นางก็ตื่นเต็มตาทันที

“นางต้องการชีวิตของเจ้า ผินผิน”

เห็นสีหน้าดุดันเย็นชาเกินวัยของเขาแล้ว หลินไต้อวี้รู้สึกปวดใจอย่างประหลาด เฮ้อ สิ่งรอบข้างหล่อหลอมคนแท้ๆ ทั้งที่จย่าเป่าอวี้ควรจะได้เป็นคุณชายรองลูกเศรษฐีเจ้าสำราญ แต่ความไร้สุขในครอบครัวกลับบีบให้เขาเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว

“วางใจเถอะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดีเพื่อที่จะได้ไม่เสียแผนของท่าน” อืม พูดถึงเรื่องแต่งงาน แม้นางจะสะลึมสะลือแต่ก็จดจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ

จย่าเป่าอวี้มีสีหน้าขัดใจ “ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าทำไปทั้งหมดเพื่อแผนการ”

“หรือมิใช่” เขามิใช่กลัวว่านางจะถูกเก็บทำให้แผนสำคัญของเขาต้องได้รับผลกระทบไปด้วยหรือ

เห็นนางมีสีหน้างงงันและพยายามเรียกสติคืนมาเพื่อขอคำอธิบาย เพลิงโทสะที่ถูกจย่าเป่าอวี้ระงับไว้ในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นเสียงตวาดอย่างโกรธจัดว่า “เจ้านี่มันเก่งเรื่องยั่วโทสะข้าจริงๆ!” จากนั้นคุณชายผู้ยิ่งใหญ่ก็สะบัดแขนเสื้อจากไป

หลินไต้อวี้นวดหูที่ปวดแปลบขึ้นมาทันใด เสวี่ยเยี่ยนเดินเข้ามาใกล้นาง “คุณหนู ท่านพูดอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดคุณชายรองถึงได้โกรธเพียงนั้น แต่ก็แปลก ทั้งที่คุณชายรองโกรธแต่พี่ชายข้ากลับหัวร่องอหายอยู่ที่นอกหน้าต่าง”

หลินไต้อวี้ตวัดตาค้อนด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าจะไปรู้หรือ” ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว ผู้คนที่อยู่รอบตัวนางไม่มีคนใดปกติเลยสักคน!

ช่างเถอะๆ ถึงอย่างไรนางก็ใกล้เคียงกับมนุษย์แล้ว

วันถัดมาจย่าเป่าอวี้พาฉิงเหวินมาที่ห้องของหลินไต้อวี้ด้วยใบหน้าหล่อเหลาเคลือบน้ำแข็ง ไม่มีแม้แต่คำทักทายก็ชิงเดินจากไป

ฉิงเหวินแก้ตัวแทนเขาว่าใกล้สอบซุ่ยซื่อแล้ว จย่าเป่าอวี้ต้องรีบไปที่สำนักศึกษา

คำพูดประโยคนี้หลินไต้อวี้เชื่อแค่ครึ่งหนึ่ง เพราะอีกครึ่งนั้นนางเห็นสีหน้าเช่นคนใจแคบของเขาแล้ว ไม่รู้ว่าไปหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาจากที่ใดถึงได้ไม่ยอมพูดจากับนางสักคำ แล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาโกรธเรื่องอะไร นางไม่ใช่หนอนในท้องเขาเสียหน่อย!

นางไม่เข้าใจพวกมนุษย์จริงๆ แค่ใช้ปากปากเดียวยังไม่เป็น ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน

แต่เป็นเรื่องจริงที่บอกว่าฉิงเหวินเป็นสาวใช้ที่คล่องแคล่ว เฉลียวฉลาด และรู้มารยาท ไม่ต้องมีคำสั่งจากหลินไต้อวี้นางก็รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง ฉิงเหวินให้สาวใช้ที่มีหน้าที่ทำความสะอาดมาจัดการเรือนข้าง บอกว่าการรักษาโรคต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดเพื่อมิให้เกิดโรคแทรกซ้อน

ดูเอาเถอะ แค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่านางฉลาดกว่าเสวี่ยเยี่ยน แต่เรื่องนี้มิอาจตำหนิเสวี่ยเยี่ยน เพราะเสวี่ยเยี่ยนเคยไปขอสาวใช้ทำความสะอาดจากพ่อบ้านแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็นเงาคนเลยตั้งแต่ต้นปีจนเกือบจะสิ้นปี ด้วยเหตุนี้เสวี่ยเยี่ยนจึงต้องลงมือทำเองทุกอย่าง จะว่าไปเสวี่ยเยี่ยนก็ลำบากเหมือนกัน

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการมีฉิงเหวินกับเสี่ยวหงก็ช่วยแบ่งเบางานของเสวี่ยเยี่ยนไปได้ไม่น้อย ทำให้หลินไต้อวี้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการเป็นคุณหนูอย่างแท้จริงโดยไม่มีผู้ใดมากวนใจ ส่งผลให้อาการป่วยครั้งนี้ของนางดีขึ้นราวเจ็ดส่วน

ยิ่งหลังจากที่จย่าเป่าอวี้กับจย่าหวนสอบได้ซุ่ยซื่อพร้อมกัน คฤหาสน์สกุลจย่าก็มีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองไปทั่ว เป็นผลดีต่อหลินไต้อวี้อย่างมากเพราะมันทำให้ไม่มีใครมาหาเรื่องนาง แต่เรื่องที่ค่อนข้างน่าเสียใจคือตอนที่หลันเอ๋อร์สอบได้ซุ่ยซื่อนั้น ในคฤหาสน์กลับไม่มีเสียงอะไรให้ได้ยินเลย

“จะว่าไปแล้วคุณชายรองเป่าของพวกเราก็เก่งจริงๆ ไม่เหมือนบุตรชายของนายท่านที่จวนตะวันตกที่ได้แต่มอง ส่วนตัวคุณชายรองเหลียนของบ้านใหญ่ก็ต้องอาศัยคนรู้จัก ไหนเลยจะเก่งเหมือนคุณชายรองเป่าของพวกเราที่สอบได้ด้วยตัวเอง” เสี่ยวหงทำเชือกถักพลางกล่าวชื่นชมคุณชายรองของตนเอง

พอได้อยู่ร่วมกันสักพัก หลินไต้อวี้เริ่มพอจับทางของเสี่ยวหงได้บ้างว่านางเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นและช่างปกป้องจึงนึกสนุก

“เสี่ยวหง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลันเอ๋อร์สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉมาตั้งนานแล้ว หากมิใช่เพราะอายุยังน้อย เขาอาจถูกรับตัวไปเป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงแล้วก็ได้”

ต้องรู้กันก่อนว่าการอาศัยกำลังของตนเองแสวงหาความก้าวหน้าโดยไม่ได้อาศัยบารมีของวงศ์ตระกูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ระหว่างที่คิดหลินไต้อวี้ก็ยัดขนมข้าวเหนียวถั่วแดงเข้าปาก สีหน้าเคลิบเคลิ้มด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่งยวด

ชีวิตคนเราก็มีเรื่องกินนี่ล่ะที่เป็นความสุขอย่างแท้จริง

“คุณชายน้อยเป็นคนเก่งจริง แต่คุณชายรองของพวกเราก็ไม่เลวและไม่ได้อาศัยบารมีของวงศ์ตระกูลเหมือนกัน” เสี่ยวหงคิดแล้วพูดเสียงไม่ยอมแพ้ต่อว่า “คุณชายรองของพวกเรามีงานยุ่งทุกวัน จะมีเวลาว่างอ่านหนังสือได้สักเท่าใด ลำพังเวลาจะไปสำนักศึกษาก็ไม่มากแล้ว”

ปากของหลินไต้อวี้กำลังทำงานจึงไม่มีเวลาว่างตอบกลับ ฉิงเหวินที่กำลังพับเสื้อผ้าเก็บเข้าตู้จึงพูดเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่แน่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะแม่นางหลิน หาไม่ เพราะเหตุใดคุณชายรองที่ไม่เคยสนใจจะเข้ารับราชการถึงได้เปลี่ยนความคิดหลังจากที่ได้ไปเมืองหยางโจว”

“ไม่ใช่หรอก” หลินไต้อวี้กลืนขนมข้าวเหนียวถั่วแดงแล้วดื่มชาอุ่นๆ ตาม นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดว่า “เขาทำเพื่อถุงผ้าปัก”

“ถุงผ้าปักของผู้ใดหรือ” เสี่ยวหงถามอย่างแปลกใจ

“…ของข้า” ของของเสวี่ยเยี่ยนก็คือของของนาง ดังนั้นถ้าจะนับว่าเป็นของนางย่อมไม่ผิด

“เช่นนั้นก็พูดได้ว่าคุณชายรองทำเพื่อแม่นางหลิน ไม่แน่ว่าต่อไปท่านอาจขอบรรดาศักดิ์ให้แม่นางด้วย เช่นนี้นายหญิงจะต้องดีใจและมองเห็นความสำคัญของแม่นางหลินมากขึ้น แม่นางจะได้อาศัยบารมีสามีเชิดชูบุตรแล้วนะเจ้าคะ” เสี่ยวหงพูดเป็นตุเป็นตะ ทำเอาหลินไต้อวี้ชะงักเล็กน้อย

เป็นเช่นนี้จริงหรือ…แต่จะว่าไปปีศาจตนนั้นอาจทำไปเพื่อปกป้องนางจริงๆ

เฮ้อ ถึงเขาจะทำไปเพื่อแผนการและถือโอกาสช่วยปกป้องนางไปด้วย แต่นิสัยของหลินไต้อวี้เป็นประเภทกินของผู้อื่นพูดจาต้องดี รับของผู้อื่นมือไม้ต้องอ่อน ต่อไปนางคงต้องลดเสียงเวลาคุยกับเขาให้เบาลงหน่อยแล้ว

“คุณหนู นายหญิงมาเจ้าค่ะ” เสวี่ยเยี่ยนที่ยกน้ำชาเข้ามากระซิบบอกก่อนถอยออกไปนอกห้อง

“โอ๊ย รีบเก็บให้เสร็จสิ นายหญิงของพวกเราเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ ทำให้สาวใช้อย่างพวกเราเอือมระอาเป็นที่สุด ถ้านางจับผิดใครได้เป็นต้องเล่นงานคนผู้นั้นถึงตายแน่” เสี่ยวหงบ่นอุบแต่มือยังคงทำงานไม่หยุด เพียงชั่วอึดใจนางก็แบ่งประเภทเชือกถักที่ทำและเก็บเสร็จเรียบร้อย

“เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว” ฉิงเหวินปรามเสียงเบา

ฝ่ายหลินไต้อวี้นางไม่มีแม้แต่โอกาสได้พูดเพราะทันทีที่นั่งเรียบร้อย หวังฮูหยินก็พาสาวใช้จำนวนหนึ่งตรงเข้ามาในห้องของนางอย่างรวดเร็ว

“ท่านป้าสะใภ้รอง” หลินไต้อวี้ทักทายอย่างสำรวม

“เจ้าป่วยอยู่ ไม่ต้องมากพิธีไป วันนี้สะใภ้รองเฟิ่งป่วยเลยต้องตามหมอเข้ามาในจวน ข้าเลยถือโอกาสให้หมอจัดอาหารรักษาโรคและตุ๋นน้ำแกงบำรุงเอาไว้ เจ้ากินเสียหน่อยสิ” หวังฮูหยินพูดแต่กลับไม่ยอมมองหน้าหลินไต้อวี้ เป็นสาวใช้ที่นำถ้วยน้ำแกงลายทองมาวางตรงหน้าพวกนางอย่างคล่องแคล่ว

มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ไมตรีไร้เหตุผลย่อมมาจากคนร้าย’ ก่อนหน้านี้หลินไต้อวี้กับท่านป้าสะใภ้รองถือได้ว่าเคยมีเรื่องบาดหมางกันนิดหน่อย แม้นางจะไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่อีกฝ่ายกลับจดจำอย่างแม่นยำ ไม่ยอมพบหน้านางเป็นเวลานาน เช่นนี้น้ำแกงที่ท่านป้าสะใภ้รองนำมาในวันนี้ผู้ใดจะกล้าดื่ม อย่างน้อยก็หลินไต้อวี้ผู้หนึ่งล่ะที่ไม่กล้า

“ท่านป้าสะใภ้รอง ข้าเพิ่งกินขนมข้าวเหนียวถั่วแดงไปจนอิ่มตื้อ คงยังกินไม่ลง คอยอีกเดี๋ยวค่อยกินเถิดนะเจ้าคะ” นางบอกปัดอย่างเกรงใจและนุ่มนวล ก่อนนำถ้วยน้ำแกงไปวางไว้ที่ชั้นวาง

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หมอบอกว่าน้ำแกงบำรุงต้องกินตอนยังร้อนจึงจะดี ถ้าเย็นแล้วก็หมดสรรพคุณกัน” หวังฮูหยินพูดพลางส่งสายตาบอกให้จินช่วนที่อยู่ข้างๆ เดินเข้าไป

ฉิงเหวินเห็นดังนั้นก็ก้าวออกมายิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ นายหญิง ในเรือนมีเตาเล็กอยู่ อีกเดี๋ยวเอาถ้วยไปตั้งอุ่นบนนั้นก็ใช้ได้แล้ว”

“เจ้านายไม่ได้สั่ง ผู้ใดอนุญาตให้บ่าวอย่างเจ้าเปิดปาก ช่างไม่รู้จักกฎระเบียบเสียบ้าง จินช่วน ตบปาก”

“เจ้าค่ะฮูหยิน” จินช่วนปราดเข้าไปฟาดฝ่ามืออย่างไม่เกรงใจ

หลินไต้อวี้อึ้งด้วยคิดไม่ถึงว่าจะมีการลงไม้ลงมือกันเช่นนี้ นางรีบลุกขึ้นเพื่อห้าม แต่เสี่ยวหงที่อยู่อีกด้านทนดูไม่ไหวเลยชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ฮูหยิน ในจวนมีกฎว่าถ้าเจ้านายไม่พูดแล้วบ่าวไพร่ห้ามพูดตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ”

หลินไต้อวี้นึกสบถกับความปากไวของเสี่ยวหง หางตาเหลือบไปเห็นว่าหวังฮูหยินไม่ได้เอ่ยคำ แต่กลับส่งสายตาไปให้สาวใช้อีกคน สาวใช้ผู้นั้นจึงยกมือขึ้นตบเสี่ยวหงอย่างไม่เกรงใจ

เพียะ! ฝ่ามือร้อนจัดฟาดลงบนใบหน้าของหลินไต้อวี้ทำให้นางเสียหลักล้มลงไปบนร่างของเสี่ยวหง

“คุณหนู!” เสี่ยวหงกรีดร้องอย่างตกใจ

หลินไต้อวี้เจ็บจนแยกเขี้ยว ตามองเห็นดาวจนปวดกระบอกตาไปทั้งแถบ ตบกันแรงถึงเพียงนี้ ตั้งใจตบกันให้ตายไปเลยใช่หรือไม่

มารดามันเถอะ! ตบกันจนนางหน้ามืดแล้ว!

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

เสียงของจย่าเป่าอวี้ดังมาจากนอกห้อง หวังฮูหยินตกใจ พอหันหน้าไปก็เห็นพวกสาวใช้พากันเปิดทางให้จย่าเป่าอวี้ที่ประคองฮูหยินผู้เฒ่าจย่ามา

“ท่านแม่ หลายวันมานี้ท่านปวดขามิใช่หรือ เหตุใดจึงมาที่นี่ได้”

“วันนี้อากาศดี เป่าอวี้มาคุยเล่นกับข้าแล้วบอกว่ากลัวไต้อวี้จะเบื่อ พวกเราเลยมาคุยเล่นกับนาง” ฮูหยินผู้เฒ่าจย่ากวาดตามองไปรอบๆ คล้ายไม่ใส่ใจ แต่ความจริงคือมองเห็นความผิดปกติแล้ว “วันนี้เจ้ามาเยี่ยมไต้อวี้หรือ”

“เจ้าค่ะ” หวังฮูหยินก้มหน้าลงอย่างคนสันหลังหวะ

“เหตุใดหน้าของไต้อวี้ถึงได้บวมแดงเช่นนั้นล่ะ”

หลินไต้อวี้ถูกตบจนหน้ามืดเห็นดาว แต่ยังคงฝืนตะกายตัวเข้ามาจับไม้เท้าของฮูหยินผู้เฒ่าจย่า “ท่านยาย ข้าไม่ดีเองเจ้าค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านป้าสะใภ้รองเลย”

“เหตุใดจึงไม่เกี่ยวกับนาง” ดวงตาคมปลาบของฮูหยินผู้เฒ่าจย่าจดจ้องหลินไต้อวี้

“ข้า…” หลินไต้อวี้หอบฮัก นัยน์ตายังคงเห็นดาวอยู่ ต่อไปนางจะต้องออกกำลังบ้างแล้ว “ท่านป้าสะใภ้รองหวังดี นำน้ำแกงบำรุงมาให้ข้า แต่ข้าอยากคอยให้เป่าอวี้มาก่อนจะได้แบ่งกันกินกับเขา ทำให้ท่านป้าสะใภ้รองไม่พอใจ ประกอบกับฉิงเหวินหลุดปากพูดออกมาเลย…” วาจาขาดห้วงเพราะแรงสะอื้นทำให้ฟังได้ไม่ชัด กิริยาร่ำไห้ประดุจสาลี่ต้องหยาดฝนประกอบกับท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกรังแกแต่ไม่กล้าพูดทำให้หัวคิ้วของฮูหยินผู้เฒ่าจย่าขมวดเข้าหากันแน่น แม้แต่จย่าเป่าอวี้ก็ยังสะกดอารมณ์ไว้ไม่ได้

“น้ำแกงบำรุงหรือ ข้าจะกินกับผินผิน” เขายกถ้วยน้ำแกงที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา

“อย่ากินเลย มันเย็นแล้ว” หวังฮูหยินรีบห้าม

“ยังร้อนอยู่”

จย่าเป่าอวี้เปิดฝา แต่กลับถูกหวังฮูหยินปัดถ้วยทิ้งอย่างร้อนใจ เสียงถ้วยตกพื้นแตกดังเพล้ง น้ำแกงบำรุงสาดกระจายไปทั่ว สีแดงเลือดหมูน่ากลัวสาดเต็มพื้นห้อง

ขนตาดกหนาของจย่าเป่าอวี้สั่นไหว แววตาเยียบเย็นที่มองผ่านขนตายาวออกมาทำให้หวังฮูหยินชะงักค้าง พูดอะไรไม่ออก

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: