บทที่ 2
ภีมไม่อาจอธิบายได้เลยว่าความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ราวกับเป็นความคลุมเครืออันแน่ชัด ซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วเนิ่นนานและเอาแต่เกี่ยวกระหวัดอย่างยากจะเข้าใจ เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง ลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นสาดสะท้อนไอแดดด้านนอกจนคล้ายว่าจะซีดจาง…แสนเศร้าอย่างน่าประหลาด
กระทั่งเมื่อลลิตาก้าวออกจากห้องไปแล้ว ความหน่วงหนักที่ไหนสักแห่งเร้นลับข้างในก็ค่อยๆ ขยับเพื่อม ดุจจะโยกคลอนโลกทั้งใบอย่างไรอย่างนั้น…ไม่ใช่ ภีมรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ไหวสั่นนี้ไม่ใช่หัวใจ หากแต่ลึกลงกว่านั้น ใต้ความสลับซับซ้อนของจิตวิญญาณ…พร้อมๆ กับความรู้สึกอยากร้องไห้เหมือนคนบ้า นั่นสิ คงบ้าไปแล้ว คนอย่างเขาที่มักถูกรอบข้างค่อนแคะว่าเฉยชายิ่งกว่าใคร ยามนี้กลับอยากปล่อยน้ำตาให้รินไหลพร้อมๆ กับล้มตัวลงฟูมฟายโดยไร้สาเหตุ
ร่างสูงพาตัวเองไปยังกระจกใสซึ่งเผยภาพทิวทัศน์ต้นไม้สูงรายรอบอาคาร…และเบื้องล่างจากที่ไกลๆ ตรงนั้นคือลลิตาที่กำลังก้าวออกจากบริษัทของเขาไป
มือเรียวยาวราวอิสตรีเผลอแตะแผ่นกระจกโดยไม่รู้ตัว จับจ้องหญิงสาวอยู่เช่นนั้นกระทั่งเธอลับไปจากสายตา ชั่วขณะหนึ่งเขาเผลอนึกไปถึงวังสวนกระจกยามโพล้เพล้ครั้งนั้น กลิ่นดอกไม้อ่อนจาง แสงสุดท้ายที่ตัดผ่านหน้าต่าง เบื้องหน้ารูปภาพหญิงสาวนัยน์ตาสีประหลาด กับความรู้สึกราวกับคนหลงทางได้ผุดขึ้นจากห้วงน้ำหลังดำดิ่งมาเนิ่นนานยามสบตากับลลิตา
“ยินดีที่ได้พบกันอีกงั้นเหรอ…”
ชายหนุ่มพึมพำทวนถ้อยคำสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ แล้วได้ให้เผลอกระตุกยิ้มเพียงแวบสั้นๆ
“ผู้หญิงประหลาด”
ภีมไม่ได้หมายถึงท่าทางหรือลักษณะนิสัยของเธอ แท้จริงแล้วการแสดงออกของลลิตาไม่มีอะไรโดดเด่นสักนิด เธอเป็นหญิงสาวที่ธรรมดาสามัญอย่างที่สุดทั้งยังดูจะพอใจกับข้อนี้ของตนอย่างมากทีเดียว กระนั้นภีมก็ยังคิดว่าเธอประหลาดอยู่ดี…แปลกประหลาดจนชวนให้พิศวง
กลิ่นก๋วยเตี๋ยวหอมฉุยพร้อมกรุ่นไอควันลอยตรงหน้าลลิตาเชื่องช้า หญิงสาวจัดแจงหยิบตะเกียบแล้วส่งให้ร่างสูงที่นั่งตรงข้ามตามด้วยเครื่องปรุงอย่างคล่องแคล่ว บรรยากาศอบอ้าวของยามบ่ายแก่ยิ่งทำให้ผิวสองสีกรำแดดของนิรุจมีเหงื่อผุดซึม กระนั้นก็กลับยิ่งเสริมรับแผงไหล่กว้างราวนักกีฬาเป็นอย่างดี
“แค่ก๋วยเตี๋ยวจริงๆ เหรอรุจ พอเหรอ”
ลลิตาทอดเสียงถามเมื่อชายหนุ่มเริ่มคีบเส้นเข้าปาก ขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะเสียงขรม
“พอสิ พูดซะอย่างกับเราเป็นพวกตะกละ กินไม่รู้จักอิ่มไปได้”
“เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ว่าพลางโคลงหัวเบาๆ “เราหมายความว่ารุจอุตส่าห์แนะนำที่สมัครงานให้เราแถมยังพาไปส่งสอบสัมภาษณ์ ตอบแทนแค่นี้จะดีเหรอ”
“เราก็แค่แนะนำ ได้ไม่ได้นั่นขึ้นอยู่กับความสามารถของลิตาต่างหาก” นิรุจไหวไหล่
ลลิตาลอบระบายลมหายใจ นึกย้อนไปถึงดวงตาคมกริบสีดำสนิทคู่นั้นกับบรรยากาศอันชวนให้รู้สึกอยากเข้าใกล้และครั่นคร้ามในเวลาเดียวกัน
“ถ้าเค้าคิดเหมือนรุจก็ดีสิ”
“ไอ้ภีมมันทำอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นสบตาเธอทันที ท่าทางห่วงใยจนหญิงสาวรีบส่ายหน้าพัลวัน
“เปล่าหรอก ว่าแต่รุจกับคุณภีมรู้จักกันนานแล้วเหรอ ทำไมตั้งแต่เป็นเพื่อนกับรุจมาเราถึงไม่เคยเห็นเค้าเลย”
“เพื่อนสมัยมัธยมน่ะ พอขึ้นมหา’ลัยมันก็ไปเรียนต่อเมืองนอก” เขาลอบเหลือบมองลลิตาอีกครั้ง “ถึงมันจะดูเย็นชาไปสักหน่อย แต่ความจริงก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกนะ ถ้าทำงานด้วยนานๆ ไปเดี๋ยวก็ชิน”
ลลิตาก้มหน้างุด เส้นก๋วยเตี๋ยวพลันเฝื่อนคออย่างไรชอบกล
“เค้าจะรับเราเข้าทำงานรึเปล่ายังไม่รู้เลย”
“ต้องรับซี่ ลิตาไม่ดีตรงไหน เกรดก็ดี นิสัยก็ดี แถมยังเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวเราด้วยเนี่ย”
นิรุจกระตุ้นกำลังใจให้ผู้เป็นเพื่อนอย่างฮึกเหิมจนอีกฝ่ายเผลอหัวเราะคิก ลลิตายื่นเรียวมือออกไปแบหลาตรงหน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง
“เอากำลังใจมาจากไหนเยอะแยะ ขอแบ่งบ้างซี่”
คนถูกขอกำลังใจง่ายๆ หัวเราะพรืดใหญ่ทันที
“ลิตาคล้ายไอ้ภีมตรงไหนรู้มั้ย หมอนั่นภายนอกออกจะไม่น่าคบหาแต่ความจริงข้างในดันเป็นคนใจดีคนหนึ่ง ส่วนลิตาเองภายนอกเหมือนคนอมทุกข์แต่ความจริงกลับเป็นคนตลกแบบไม่รู้ตัว”
“เราไม่ใช่คนตลกนะรุจ” หญิงสาวยิ้มแหย รีบปฏิเสธพัลวัน “เราเล่นมุกไม่เป็นหรอก เราหัวช้า”
เพียงเท่านั้นนิรุจก็ตบเข่าดังฉาดพร้อมหัวร่องอหาย
“นี่ไง! พูดยังไม่ทันขาดคำ เค้าเรียกว่าอะไรล่ะ ตลกหน้าซื่อเหรอ ตลกแบบเบลอๆ ตลกงงๆ โดยไม่รู้ตัว”
ลลิตาอยากจะแย้งต่อ แต่ครั้นเห็นว่าปล่อยไปอย่างนี้เขาก็ดูมีความสุขดีจึงไม่ได้เอ่ยอะไร หญิงสาวถอดใจเรื่อยเปื่อยไปยังคราที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก เฟรชชี่คณะวิศวฯ คนนั้นไม่มีอะไรแตกต่างจากนิรุจคนตรงหน้าเธอยามนี้แม้แต่น้อย เป็นมิตร ร่าเริง กับรอยยิ้มราวคนเสเพลแต่กลับจริงใจนั่น หากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แตกต่างก็มีเพียงสีผิวคล้ำแดดจากงานวิศวกรของเขาเท่านั้น…
เสียงโทรศัพท์เรียกให้เพื่อนรักของเธอต้องผละออกจากอาหารตรงหน้า นิรุจสนทนากับปลายสายครู่สั้นๆ ก่อนจะกลับมากินก๋วยเตี๋ยวพร้อมบอกกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ ดังเดิม
“กินเสร็จแล้วลิตามีธุระอะไรต่อมั้ย”
ดวงตากลมโตกลอกใคร่ครวญแล้วจึงส่ายหน้าปฏิเสธ
“พอดีเลย” ชายหนุ่มยกยิ้ม “…ไปวังสวนกระจกกัน”
ดวงอาทิตย์สุกปลั่งทอดแสงสุดท้ายลอดแมกไม้ลงยังอาคารทรงโคโลเนียลเป็นสีส้มระเรื่อ ท่ามกลางสายลมยามเย็นพัดพลิ้วและเสียงนกขานหากันจากที่ไกลๆ บนคาคบไม้ วังสวนกระจกยังคงปกคลุมไปด้วยความสงบอันแสนคุ้นเคยสำหรับลลิตา และตรงหน้าหญิงสาวยามนี้ก็ปรากฏร่างสูงสง่าของภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยายืนนิ่งราวรูปปั้นพลางพินิจเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยอ่านไม่ออกของเขา แม้จะชวนให้รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง ทว่าลลิตาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าช่างเป็นภาพที่เข้ากันอย่างน่าประหลาด…ไม่มีใครเหมาะสมกับวังแห่งนี้เท่ากับคนตรงหน้าเธออีกแล้ว
“ฉันไม่รู้ว่าแกจะพาใครมาด้วย”
เสียงทุ้มราบเรียบ คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยขณะที่นิรุจเพียงตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ
“พอดีฉันกินก๋วยเตี๋ยวกับลิตาอยู่…ว่าแต่แกเถอะ ตกลงจะย้ายมาอยู่ที่นี่แน่เรอะ อุตส่าห์กลับมาทั้งที ทำไมไม่อยู่กับครอบครัวที่วังศศิธรภิรมย์เล่า”
“คนเยอะ วุ่นวาย”
น่าแปลกที่ลลิตาไม่รู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของเขาสักนิด ราวกับรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มถูกกำหนดให้ต้องอยู่ที่วังสวนกระจกแห่งนี้อย่างไม่อาจเป็นอื่นไปได้ กลับเป็นสหายผู้คบหากันมาเนิ่นนานเสียอีกที่สบถพรืดใหญ่พร้อมส่ายหน้าจนใจ
“ถ้าปู่แกมาได้ยินรับรองเสียตำแหน่งหลานรักแน่ๆ”
ภีมไม่ได้ตอบโต้ถ้อยคำค่อนแคะนั้น เขาเดินนำทั้งสองเข้าไปยังตัวอาคารพลางเอ่ยโดยไม่หันกลับมามอง “ก็อย่างที่บอกในโทรศัพท์ ฉันอยากจะปรับแก้อะไรหลายๆ อย่างที่นี่ให้กลายเป็นที่อยู่อาศัยส่วนตัวจริงๆ…รีโนเวตใหม่ แล้วก็เอาพวกห้องสำนักงานเก็บเอกสารอะไรนั่นออก” ประโยคสุดท้ายพลันเหลือบสายตามายังเจ้าของร่างระหง
“อ้อ ก็เลยจะใช้ประโยชน์จากอาชีพของฉันสินะ” นิรุจพยักหน้าหงึกหงัก ประชดประชันอย่างไม่คิดจริงจัง
“ใช่” เจ้าของบ้านยอมรับหน้าตาเฉย “ฉันร่างแบบเอาไว้บ้างแล้ว ไว้จะส่งให้แกดู ส่วนวันนี้ที่เรียกมาก็แค่อยากให้ช่วยเก็บของบางส่วนเท่านั้น”
“ทำไมไม่ใช้คนที่วังศศิธรเล่า”
“อยากทำเอง จะได้รู้ว่าอะไรควรวางไว้ตรงไหน”
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก็เดินไปเก็บแฟ้มเอกสารในห้องสำนักงานยัดใส่กล่องกระดาษ ขณะที่นิรุจเพียงยักไหล่จนใจ กระนั้นก็ตามเข้าไปช่วยแต่โดยดี วิศวกรหนุ่มยกกล่องลังใกล้ตัวขึ้นพลางเอ่ยถาม
“จะให้เอาไปไว้ที่ไหน”
“ห้องเก็บของ…เดี๋ยวเปิดให้”
ภีมค้นพวงกุญแจใกล้ตัวก่อนจะได้ให้ชะงักค้าง…แม้วังสวนกระจกจะไม่ใช่สถานที่ใหญ่โตโอ่โถง ทว่าก็มีห้องอยู่มากมาย และหากลลิตาคาดไม่ผิดก็คงเป็นพี่แอนที่จัดแจงล็อกทุกห้องแล้วร้อยกุญแจเหล่านั้นให้เป็นพวงเดียว ปนเปกันนับสิบดอกอย่างยากจะแยกออก จึงไม่น่าแปลกเลยหากเจ้าของวังคนใหม่จะสับสน
“เอ่อ…” หญิงสาวค่อยๆ ประชิดอย่างเก้กังพร้อมชี้ไปยังกุญแจดอกหนึ่งในพวง “ห้องเก็บของใช้ดอกนี้ค่ะ”
เพียงเท่านั้นนิรุจก็ขำพรืดขึ้นทันที
“แกต้องขอบใจฉันนะที่พาลิตามาที่นี่ เพื่อนฉันคนนี้รู้จักวังสวนกระจกดีกว่าแกซะอีก”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
ภีมเอ่ยคล้ายพึมพำกับตัวเองมากกว่า เขายกกล่องหนาหนักก่อนที่ลลิตาจะเดินไปแตะด้วยซ้ำพลางพยักพเยิดไปยังแฟ้มเอกสารแทน “ของพวกนี้ผมยกเอง ไหนๆ คุณก็เคยทำงานที่นี่ก็ไปแยกเอกสารตรงมุมโน้นเถอะ”
หญิงสาวไม่ได้แย้งอะไรพร้อมกับเข้าไปคัดแยกเอกสารอย่างว่าง่าย แท้จริงแล้วลลิตาไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรด้วยซ้ำในเมื่อทั้งหมดล้วนเคยผ่านมือเธอมาก่อนแล้วทั้งนั้น กระทั่งแสงของวันจางหายแล้วถูกสลับเปลี่ยนด้วยดวงจันทร์แขวนเสี้ยว เมื่อกลิ่นดอกราตรีลี้ลับที่ไหนสักแห่งจากสวนระรินอ่อนเข้ามาโอบล้อมบรรยากาศ นิรุจก็เดินกลับมาพร้อมกล่องเก่าเก็บในมือ ชายหนุ่มปัดฝุ่นอย่างระมัดระวังก่อนหยิบแผ่นเสียงขึ้นมาโชว์หรา
“ดูสิ ฉันไปเจออะไรมา” ว่าพลางทำท่าภูมิอกภูมิใจ “แผ่นเสียงโบราณ! ไหนๆ ตรงโถงก็มีเครื่องเล่นตั้งโชว์ เรามาลองเปิดกันสักหน่อยไหม”
“ไม่ได้โบราณขนาดนั้นหรอกรุจ บางแผ่นก็เพิ่งจะซื้อ…พอดีบางเทศกาลเราก็จะเปิดเพลงจากแผ่นเสียงเพื่อเพิ่มบรรยากาศในวังน่ะ” ลลิตาอธิบาย หากกระนั้นก็เข้าไปร่วมสำรวจด้วย “แต่บางแผ่นเราก็ไม่เคยฟังเหมือนกัน ส่วนมากก็เปิดแต่เพลงซ้ำๆ”
“ว่าไงไอ้ภีม ฉันขอลองเปิดสักเพลงได้มั้ย”
“ตามใจแกสิ”
ภีมเดินเข้ามาเลือกแผ่นเสียงครู่สั้นๆ ก่อนจัดการอย่างคล่องแคล่ว ท่าทีสนใจของเก่าไม่น้อย
…เสียงกรอบแกรบจากฝุ่นในร่องเสียงกระท่อนกระแท่นออกมาก่อนจนนิรุจลอบมุ่นคิ้ว ทว่าทั้งภีมและลลิตากลับนิ่งงันราวถูกสะกดไว้ เมื่อรื้นรางของไวโอลีนค่อยๆ แผ่วพลิ้วในอากาศ ทอดทอนอ่อนหวาน ราวกับผ่านข้ามร้อยพันฝันสลายจากอดีตกาลเพียงเพื่อห้วงเวลานี้เท่านั้น…
…วันนี้แสนสุดยินดี พระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจ เจ้าไปนั่งเล่น
ลมพัดเย็นเย็น…หอมกลิ่นมาลี…
อะไรบางอย่างข้างในพลันเต็มรื้นขึ้นจนหน่วงหนัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของลลิตาเบนไปสบกับเจ้าของร่างสูงสง่าโดยไม่รู้ตัวก่อนจะพบว่าเขาเองก็มองเธออยู่ก่อนแล้ว ความรู้สึกซึ่งประดังประเดไปด้วยความเหนื่อยล้าสุดแสนกับโหยหาแทบขาดใจทำให้หญิงสาวเผลอยกมือขึ้นกอดตัวเองเอาไว้
“เลือกเพลงอะไรของแกวะไอ้ภีม”
นิรุจเกาหัวแกรกๆ บรรยากาศของวังเก่าในยามค่ำคืนกับบทบรรเลงจากแผ่นเสียงทำให้เขารู้สึกวังเวงชอบกล ไหนจะอาการเงียบงันของเพื่อนทั้งสองนี่อีก
“ราตรีประดับดาว”
เสียงใสกระซิบแผ่ว…ภีมไม่ใช่คนตอบ หากเป็นลลิตาที่เอ่ยขึ้นโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวสูดลมหายใจลึกรวบรวมสติก่อนผละสายตาเพื่อหันไปยิ้มให้วิศวกรหนุ่ม
“เพลงราตรีประดับดาวน่ะรุจ…เพลงเก่า”
ภีมยังคงจับจ้องเธออยู่เช่นนั้น ท่ามกลางความสลัวรางของเรื่องราวที่ไม่เคยมีใครจดจำ กลิ่นดอกราตรีก็กระจายฟุ้งเข้ามาอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มพลันตัดสินใจขึ้นอย่างปุบปับ
“คุณลลิตา”
“คะ”
เจ้าของชื่อสะดุ้งเบาๆ ด้วยไม่คาดคิดแล้วขานรับ ก่อนที่คนเรียกจะเอ่ยถามด้วยประโยคที่แม้แต่เขาก็ยังลอบประหลาดใจตัวเองด้วยซ้ำ
“วันพรุ่งนี้…คุณพร้อมเริ่มงานมั้ย”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments