บทที่ 4
แสงอาทิตย์ตีวงโค้งกึ่งกลางแผ่นฟ้าพอดิบพอดี กระนั้นอะไรบางอย่างก็กลับขับเน้นให้ตึกใหญ่ทรงโบราณคร่ำคร่าดูจะทะมึนมืดในความรู้สึกผู้พบเห็นราวกับมีหมอกทึบซ้อนบัง สายลมผ่านหับบานเว้าแหว่งของหน้าต่างไม้หวิวครวญ ฟังคล้ายเสียงกระซิบสะอื้น เรียกให้ชายหนุ่มสองคนต้องยืนขนลุกชันอยู่ตรงหัวบันไดอย่างไม่อาจฝืน หนึ่งในนั้นกวาดสายตาหวาดๆ ขึ้นไปยังมุมม่านสลัวแสงบนชั้นสอง ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอเมื่อโยงระยางของใยแมงมุมซ้อนซับกันดุจจะห่อคลุมอาณาเขตเบื้องบนไว้ และสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวก็มีเพียงละอองฝุ่นละล่องคว้างกลางอากาศ
“ไม่ขึ้นไปไม่ได้เหรอพี่”
ชายหนุ่มกระซิบเสียงพร่า กระตุกแขนคนข้างกายยิกๆ ขณะที่อีกฝ่ายรวบรวมความกล้ากล่าวอย่างเคร่งขรึม
“วะ ก็คุณนิรุจบอกว่าให้ขึ้นมาสำรวจก่อน เค้ากำลังตามมา” ว่าพลางเหลือบตาขึ้นไปบ้าง “เราก็เดินๆ ดูกันก่อน เค้าถามอะไรจะได้พอตอบได้บ้าง”
“พี่…แต่เค้าว่าวังนี้มีผะ…”
มือหนาตะครุบปิดปากอีกฝ่ายไวว่อง เหงื่อกาฬผุดซึมเต็มใบหน้า
“ไอ้เวรนี่! โบราณว่าเข้าป่าอย่าถามหาเสือ ลงเรืออย่าถามหาจระเข้” เอ่ยจบก็กวาดสายตาอย่างหวาดระแวงอีกครั้ง ปลุกใจห่อเหี่ยวให้ฮึกเหิมด้วยถ้อยคำที่แทบไร้เรี่ยวแรงแต่มุ่งมั่น “ไหนๆ ก็ต้องทุบทิ้งอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องขึ้นไปอยู่ดีล่ะวะ”
เอ่ยเพียงเท่านั้นก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด เดินนำหนุ่มรุ่นน้องย่างเหยียบขึ้นไปบนพื้นไม้ฝุ่นหนาซึ่งครางระงมเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดบาดหู ม่านรุ่งริ่งริมหน้าต่างพยับไหวเบาๆ ราวถูกสัญจรผ่าน แล้วชายทั้งสองก็พลันสังเกตเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวในรอยประตูแง้มของห้องสุดโถงทางเดินบนชั้นสองอย่างรวดเร็ว
“พี่…ผมว่า…”
ยังไม่ทันเอ่ยให้จบคำ อีกฝ่ายก็รีบตอบรับรวดเร็ว
“เออ ลงไปรอคุณนิรุจกันเถอะ…”
แกรก…แกรก…
เสียงคล้ายปลายเล็บขูดพื้นไม้ลากยาว กังวานแว่วจนชายทั้งสองชะงักค้าง ลมกระสาไอพร้อมกลิ่นเหม็นหืนสายหนึ่งพัดเข้ามาแผ่วเบา…เป็นกลิ่นซึ่งอับขื่นๆ ปนอยู่กับความรู้สึกหน่วงเศร้าร้าวราน และโดยไม่รู้ตัว ชายทั้งสองก็ค่อยๆ หันหน้าไปยังห้องสุดปลายทางเดินนั้น ก่อนจะได้ให้แข็งค้างกับร่างเงากลางช่องว่างระหว่างประตูนั้น!
…หล่อนเป็นหญิงสาว ซีดเซียวไร้สีสัน เว้าแหว่งกลางม่านทะมึนจนคล้ายจะแหลกสลาย แต่สิ่งที่ทำให้ยะเยือกหนาวอย่างแท้จริงกลับเป็นดวงตาลึกโปนมัวซัวไร้ประกายซึ่งมีคราบน้ำตาสีดำราวหยดหมึกเกรอะกรัง เลื่อนลอย คล้ายจะติดค้างอยู่ในดินแดนร้างไร้ ก่อนที่หล่อนจะชะงักงันแล้วค่อยๆ กระตุกหน้าขึ้นมาสบมองทั้งสองเหมือนตุ๊กตาไขลาน พินิจจ้องก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย
แกรก…แกรก…
เสียงนั้นกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับครวญครางบางอย่างแผ่วแว่วขึ้นมาในหู เร่งเร้าบีบอัดปานจะขาดใจ…และโดยไม่ได้นัดหมาย ชายชาตรีทั้งสองก็กรีดร้องด้วยตระหนกสุดแสน วิ่งขาขวิดออกจากตึกหลังนั้นแทบไม่คิดชีวิต ล้มลุกคลุกคลานผ่านเงาไม้สูงซ้อนซับจนถึงบริเวณรั้วคร่ำคร่า กอดกันพัลวันด้วยหัวใจเต้นกระหน่ำอย่างไม่อาจสงบได้ง่ายดาย จังหวะเดียวกับที่รถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาพอดี
“มายืนทำอะไรกันตรงนี้ครับ”
นิรุจเปิดกระจกพลางเอ่ยถามขณะที่อีกฝ่ายยังงันงกแทบสิ้นสติอยู่รอมร่อ
“คุณ…คุณรุจ…ผะ…ผี” เอ่ยตะกุกตะกักเพียงเท่านั้นน้ำลายก็พลันเหนียวคอ ภาพเงาทะมึนผุดพรายในความทรงจำชวนพรั่นพรึง
“เอ้า ขึ้นรถมากับผมเถอะครับพี่ เดี๋ยวเข้าไปสำรวจรอบๆ กัน”
นิรุจไม่ได้สนใจท่าทางเหล่านั้น เขารอกระทั่งอีกฝ่ายทำใจชั่วครู่จนยอมขึ้นรถก่อนจะหักเลี้ยวเข้าไปในเขตรั้วที่ชายทั้งสองเพิ่งจากมา…เคหสถานรกร้างซึ่งบริษัทของเขากำลังจะเข้ามารื้อถอนเพื่อเปลี่ยนเป็นแหล่งลงทุนแห่งใหม่ตามสัญญาของผู้ว่าจ้าง
…วังอันเคยรุ่งโรจน์ในอดีตที่พ้นผ่าน…วังแห่งราชสกุลชโนทัย
ที่ผ่านมาชีวิตของลลิตาแทบเรียกได้ว่าไร้สีสันโดยสิ้นเชิง เธอเป็นเพียงเด็กต่างจังหวัด กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็กและเติบโตมากับยายผู้เป็นครูเกษียณราชการ กระนั้นความสามัญอันรายรอบหญิงสาวนี้กลับลักลอบเก็บซ่อนบางสิ่งที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ…มันเป็นความหน่วงหนักประหลาดปนๆ กับการรอคอย ราวกับว่าลลิตามีความมุ่งมาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ข้างใน สลักแน่นท่ามกลางความว่างเปล่าของจิตใจ และไม่เคยมีอะไรมาสั่นคลอนความรู้สึกนั้นเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้
บางครั้ง…เลือนรางสุดห้วงฝัน หากก็ยังเหมือนมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่ตอนท้ายกลับจบลงด้วยการพรากจากซึ่งทำให้เธอต้องสะดุ้งตื่นพร้อมน้ำตาพร่างนองหลายต่อหลายครั้ง แต่แม้จะเหลือทิ้งความร้าวรานแปลกประหลาดเอาไว้ ทว่าลลิตากลับไม่อาจจดจำเรื่องราวในฝันเหล่านั้นได้แม้แต่เรื่องเดียว เหมือนเส้นด้ายซึ่งยื้อยุดสุดแสนแต่กลับขาดผึงชั่วเสี้ยววินาที
อย่างไรก็ตามแรงหมุนเหวี่ยงบางอย่างกลับกำลังผลักดันหญิงสาวอย่างเงียบงันตลอดเวลา นับตั้งแต่วินาทีที่ได้สบตากับภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยากลางแสงรำไรสุดท้ายในวังสวนกระจก…ไม่มีสัญญาณเตือนว่าความสงบงันจะถูกสั่นคลอนรุนแรงเพียงนี้ กระทั่งเหลือไว้แต่ดวงตาที่ลอบติดตามร่างสูงสง่าโดยไม่รู้ตัวนั้น ลลิตาตระหนักแค่ว่าการมีตัวตนอยู่ใกล้ชายหนุ่มก็เหมือนเยือนถึงสุดฝั่งจุดหมายหลังการรอนแรมเนิ่นนาน…
“รู้จักตาภีมมานานแค่ไหนแล้วจ๊ะ”
ถ้อยประโยคชวนคุยสะกิดเรียกหญิงสาวกลับสู่ปัจจุบันจนเกือบสะดุ้ง เรียวมือปั้นถั่วเหลืองกวนชะงักในชั่วขณะสั้นๆ และเกือบจะเอ่ยออกไปด้วยคำตอบที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าหากได้กล่าวจริงๆ จะพูดว่าเช่นไร ลลิตาเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม คุณย่าตุ่นกำลังจับจ้องมองมาด้วยดวงตากระจ่างใสดุจสาวรุ่นพร้อมรอยยิ้มจริงใจอย่างที่ทำให้เผลอยิ้มตามโดยไม่อาจห้าม
“ก็…เพิ่งจะรู้จักค่ะ ไม่นานมานี้เอง”
“อ้าว อย่างนั้นหรอกเหรอ” หญิงชราวางถั่วปั้นรูปร่างกระง่อนกระแง่นลงบนถาด ยากจะมองว่าเป็นรูปอะไร ก่อนเอนตัวเข้ามาพินิจลลิตาอย่างถ้วนถี่กว่าเดิมพร้อมกระซิบแผ่ว “นึกว่ารู้จักกันมานานแล้วเสียอีก”
เช่นเคย เธอเผยอปากตั้งท่าจะเอ่ยแล้วด้วยซ้ำ…ด้วยถ้อยคำที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจบอกได้ บทสนทนาจึงหล่นหายไปเสียอย่างนั้น
“คนแก่ก็พูดไปเรื่อยแหละจ้ะ อย่าใส่ใจเลย”
คุณย่าตุ่นโบกมือไปมาเมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าอ่อนวัยคล้ายจะสับสน หญิงชรายกยิ้มขณะกวาดมองความเรียบร้อยของเหล่าแม่ครัวที่นั่งปั้นลูกชุบใกล้กันก่อนหันกลับมายังลลิตาอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง
“ไหน ปั้นอะไรจ๊ะ”
เธอไม่มั่นใจในฝีมือการปั้นของตนนัก หากนี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการทำลูกชุบของลลิตาด้วยเคยช่วยยายสมัยเด็กๆ จึงพอจะมองให้เป็นรูปเป็นร่างได้บ้าง
“มังคุดกับชมพู่ค่ะ”
“สวย” หญิงชรากล่าวชม ก้มพินิจอย่างถูกใจนักหนา “จิ้มลิ้ม น่าเอ็นดู”
คนปั้นยิ้มรับกึ่งๆ ติดจะขัดเขินเล็กน้อย เธอหันไปทางถั่วปั้นของคุณย่าตุ่นบ้างเพื่อจะดูให้ถนัดตาว่าเป็นรูปอะไร ทว่าเพ่งแล้วเพ่งอีกก็ยังอับจนถ้อยจะทายอยู่เช่นนั้นเอง
“กล้วยไม้จ้ะ ดอกกล้วยไม้”
“คะ?”
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนได้ให้กะพริบปริบๆ กับคำเฉลย ลลิตาก้มมองกลีบดอกกระท่อนกระแท่นเพื่อจินตนาการต่อรูปเติมร่างอย่างสุดความสามารถ ครั้นเหลือบไปเห็นกลุ่มแม่บ้านคนครัวใกล้กันส่งยิ้มเป็นเชิงเข้าใจมาให้จึงค่อยตระหนักว่าขอบเขตศิลปะของตนคงยังไกลไปไม่ถึงหญิงชราตรงหน้า
“ย่าชอบกล้วยไม้”
เรื่องเล่าที่ไม่ได้ถูกกล่าวออกมาวูบไหวผ่านเงาในดวงตาเพียงแวบสั้นๆ ก่อนเร้นหายง่ายดายและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มยกโค้ง
“คุณปู่เลยปลูกไว้เสียแยะ ตอนแรกก็แค่ปลูกไปอย่างนั้น หลังๆ เพาะเพิ่มก็เห็นว่างามดีจนได้ทำเป็นสวนกันจริงจัง อยู่นิ่งไม่เป็นหรอกคนนั้นน่ะ” ว่าพลางหัวเราะคิก “ก็พอดีมีรายได้ทางนี้มาส่งเด็กๆ ลูกคนงานเรียนหนังสือ ใครอยากเรียนอะไรก็เรียน ถึงไหนถึงกัน”
ลลิตาเผลอยิ้มกับเรื่องเล่าเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของคุณย่าตุ่นยามเอ่ยถึงชายผู้เป็นที่รักเต็มเปี่ยมทั้งเชื่อมั่นและวางใจ ราวความรักนั้นคือสิ่งแน่ชัด จริงแท้ไร้ตำหนิ ถูกกำหนดและเสร็จสมบูรณ์ในตัวมันอยู่แล้ว
“ดีจังเลยค่ะ คุณปู่คงรักคุณย่ามาก”
หญิงชราไม่ได้ตอบรับถ้อยประโยคนั้นมากไปกว่าการก้มมองดอกกล้วยไม้ถั่วกวนในมือพร้อมรอยอ่อนหวานในแววตาครู่ขณะ ก่อนเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเพื่อพินิจมองเลขาฯ ของหลานชายซึ่งหันไปปั้นมังคุดเล็กจิ๋วอย่างตั้งใจ ปล่อยให้ความเงียบยื้อยุดอยู่ในบรรยากาศสั้นๆ แล้วจึงรำพึงขึ้นอีกครั้ง
“เหมือนเคยเห็นที่ไหนจริงๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
“คะ?”
ลลิตาขานรับด้วยได้ยินไม่ใคร่ชัดนัก แต่คุณย่าตุ่นไม่ได้ทวนประโยคให้เธอ ซ้ำยังพาเปลี่ยนเรื่องอย่างง่ายดาย
“เปล่าจ้ะ…หนูลิตาล่ะ ชอบดอกไม้มั้ย”
“ชอบค่ะ ลิตาชอบที่ที่ต้นไม้เยอะๆ”
“แบบวังสวนกระจกน่ะหรือ” ดวงตาล่วงเลยวัยทอดมองอดีตในความทรงจำที่ยังแจ่มชัด “ตอนเด็กๆ ท่านพ่อทรงพาไปเล่นที่นั่นบ่อยๆ จำได้ว่าต้นไม้หนาตาเทียว แต่ย่าไม่ค่อยออกไปวิ่งเล่นเหมือนพี่ชายกฤษสักเท่าไหร่หรอก ตามเค้าไม่ทัน นู่นแน่ะ จับเจ่าอยู่ในห้องกับภาพ…”
หญิงชราปล่อยประโยคคั่งค้างไว้แต่เพียงเท่านั้นพร้อมหันมายังคู่สนทนาต่างวัยอีกครั้ง กังขา ประหลาดใจ ปนๆ มากับการตั้งท่าจะเอ่ยอะไรหากก็ยังเงียบไว้แล้วปล่อยถ้อยคำซึ่งไม่อาจรู้ได้ผ่านดวงตาแทน และก็เป็นฝ่ายคนรอฟังนั่นแหละที่ตรองตามพลางเดาที่เหลือต่อเอง…ด้วยรัดรึงของห้วงความรู้สึกโศกซึ้งครั้งเก่าอันยากจะอธิบายนั่น
“ภาพที่เขียนไว้ว่า ‘หอมมะลิกลีบซ้อน อ้อนวอนเจ้าไม่ฟังเอย’ ใช่มั้ยคะ”
คุณย่าตุ่นหันไปจับกลีบกล้วยไม้ถั่วกวนอีกครั้ง ทว่าสายตากลับทอดเหม่อออกไปในห้วงความคิด ครั้นเบนกลับมาสบอีกครั้งลลิตาก็มองเห็นตัวเองในเงาตาแจ่มชัดคู่นั้น ซ้อนทับกับอีกร่างสลัวหนึ่งซึ่งเธอเองก็ไม่อาจบอกได้เช่นกันว่าคือใคร พร้อมคำรำพันราวดังขึ้นจากไกลแสนไกล…
“ใช่…ใช่ ภาพนั้นแหละ…ใช่เลย”
เพราะพูดคุยกันด้วยเรื่องดอกกล้วยไม้ หลังปั้นลูกชุบทรงพิลึกพิลั่นทั้งหลายเสร็จสิ้นคุณย่าตุ่นจึงอนุญาตอย่างไม่ลังเล เมื่อลลิตาขอแวะเข้าไปเดินชมสวนอันเริ่มต้นมาจากปรารถนาเพียงมอบรักโดยไม่คาดหวังกำไรตอบแทนแห่งนี้
กลิ่นหอมอ่อนละมุนของกล้วยไม้เรียงรายทอดยาวทำให้หญิงสาวหลับตาลงเชื่องช้า สูดดมแย้มกลีบสีขาวกระจ่างใต้โรยแดดเพียงหวังจะสลัดความรู้สึกยุ่งเหยิงในใจสักครู่ ถึงอย่างนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจหรือหาถ้อยอธิบายให้กระจ่างได้ ภาพดวงตาคมของภีมก็ยังปรากฏในความทรงจำของเธออยู่ดี ลลิตาข่มกลืนสติ มันไม่มีเหตุผลใดเลยให้เธอต้องนึกถึงชายหนุ่ม เขาเป็นเจ้านายและจะคงเป็นแต่เพียงเท่านั้น วาวแสงยามเย็นแยงเข้ามาจนหญิงสาวต้องหลับตาลง คล้ายจะมองเห็นอีกฝ่ายในกลางภาพมืดของความทรงจำ ลืมตาขึ้นอีกครั้งกลับเห็นว่าดวงตาคู่เดิมกำลังจับจ้องตนจากเร้นกล้วยไม้เยื้องกัน ไม่ใช่ลวงตาอย่างภาพฝัน หากแต่เป็นเขาผู้สามารถจับต้องได้
“คุณภีม?”
หญิงสาวเอ่ยทักคล้ายไม่เชื่อ ขณะที่เจ้าของชื่อก้าวเข้ามาหาพลางพินิจแปลงดอกกล้วยไม้สะพรั่งบานทอดยาวสุดสายตา ริ้วแดดสีส้มอ่อนกระทบเรือนผมดำขลับของเขาจนเกิดเงาเรื่อเรือง ตัดสลับกับกลีบใบเข้มเขียวโดดเด่น
“เห็นคุณย่าบอกว่าคุณมาดูสวนกล้วยไม้” เขากล่าวเรียบง่าย
“คุณมีอะไรจะใช้ฉันรึเปล่าคะ ความจริงไม่น่าลำบากมาตามเลย”
“เปล่า ผมแค่…อยากมาดูกล้วยไม้เหมือนกัน”
ลลิตาพยักหน้ารับรู้ อดจะละอายไม่ได้ที่ความรู้สึกพอใจลอบบังเกิดราวผุดฟอง มือไม้พลันเก้กังโดยไร้สาเหตุเมื่อภีมก้าวผ่านเธอไปสำรวจกล้วยไม้อีกฝั่งแถว กลิ่นหอมอ่อนหวานรวยรินรอบกายจากช่อดอกไม่ทราบชื่อพันธุ์คล้ายจะติดตามยามเดินเยื้องแผ่นหลังกว้าง
“ความจริง…ผมก็มีเรื่องจะรบกวนคุณอยู่สักหน่อย…เรื่องวังสวนกระจก” จู่ๆ เขาก็หันมาเอ่ยกับหญิงสาว “อาจจะรบกวนมากเกินไปในฐานะเลขาฯ แต่ผมไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจวังนั้นได้มากเท่าคุณอีกแล้ว”
ภีมเอ่ยราวกับว่าวังแห่งนั้นมีชีวิตและเธอเป็นสหายสนิทของมัน น่าแปลกที่ลลิตากลับไม่ได้เฉลียวคิดแม้แต่น้อย ซ้ำยังใคร่รู้ตามคำพูดนั้นทันที
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“ระหว่างที่ผมกำลังรีโนเวต ผมอยากให้คุณช่วยดูด้วย อย่างเรือนกระจกนั่นก็เก่าเกินกว่าจะซ่อมไหว ผมคิดจะออกแบบใหม่แล้วสร้างทับที่เดิม ต้นไม้รอบวังก็ดูจะรกเกินไป แล้วก็หลายๆ ส่วน เอาง่ายๆ เลยคือผมจะทำใหม่แทบทุกอย่างและอยากให้คุณช่วย”
ลลิตาอดจะใจหายตามคำพูดของเขาไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็กลับยอมรับอย่างง่ายดาย คำพูดของภีมไม่มีส่วนใดเป็นเท็จ วังสวนกระจกยามนี้ไม่ต่างจากชายชราผู้ทระนงอยู่กลางคืนวันผันผ่าน เก่าแก่ เหนื่อยล้า รอแต่จะผุพังตามกาลเวลา…แววหวั่นไหวสายหนึ่งวูบผ่านดวงตาคู่โตอย่างไม่อาจห้ามได้ยามความรู้สึกบางอย่างลอบกระซิบว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่…ลำนำบทใหม่
“อะไรที่เกี่ยวข้องกับวังสวนกระจก ฉันยินดีทั้งนั้นค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ โดยบังเอิญกลับเห็นว่าภีมกำลังพินิจนัยน์ตาของตนอยู่พอดี และก่อนจะได้เอ่ยทักอะไรชายหนุ่มก็มุ่นคิ้วขึ้นเสียก่อน
“ขอโทษที่ต้องเสียมารยาทถาม ตาของคุณสีอะไรเหรอ”
“สี? เอ่อ น้ำตาลค่ะ” ลลิตาตอบแต่โดยดีแม้จะฉงน “ทำไมเหรอคะ”
“เปล่า…ใกล้มืดแล้วกลับกันเถอะ”
ร่างสูงผินหน้าไปยังตะวันรอนซึ่งกำลังจะผลุบหายลงในทิวเขาอีกฟากฝั่งพร้อมก้าวนำคนตัวเล็กกว่าโดยไม่หันกลับไปมองเธออีก ไม่แม้แต่จะบอกด้วยซ้ำว่าชั่วแวบหนึ่งยามริ้วแสงสุดท้ายสาดกระทบลงมา ดวงตาของเธอกลับคล้ายมีภาพซ้อนทับกับประกายเงาบางอย่างจนเป็นสีแปลกประหลาดอย่างเขียวอมน้ำตาล…เรืองรองอ่อนจาง คล้ายเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง
…ลึกเร้นในความทรงจำแสนไกล
คุณปู่เหนือและคุณย่าตุ่นมีประเพณีแปลกประหลาดอย่างหนึ่งคือหลังมื้ออาหารสิ้นสุดทั้งสองจะออกมานั่งดูดาวอยู่บนเฉลียงกว้างแทบทุกคืน จากมุมนี้จะมองเห็นความมืดโอบล้อมจนหุบเขาเหลือเพียงเงาลดหลั่น คุณปู่เหนือจะเปิดเพลงจากเครื่องเล่นเสียงเก่าเก็บ ให้ดนตรีสะบัดคว้างกลางความสงัดงัน แว่วแผ่วเบาไปกับสายลมเชยซึ่งจะหอบหายไปในไพรป่า ขณะที่บางครั้งคุณย่าตุ่นจะทอดมองออกไปในทิศทางเดียวกัน…สู่เรื่องราวเก่าก่อนซึ่งไม่เคยจางไปจากความทรงจำ
“ถ้าเป็นสมัยสาวๆ หน่อย ย่าก็จะชวนปู่เต้นรำด้วย”
หญิงชราเล่าพลางจิบน้ำขิงอุ่นในมือ มองลานโล่งของเฉลียงเล็กน้อยขณะเอียงพิงผู้เป็นสามี ใกล้กันคือลูกชุบรูปร่างประหลาดตาสำหรับคุณปู่เหนือโดยเฉพาะ
“ปู่น่ะอยู่แต่บนป่าบนดอย เรื่องพรรค์นี้เค้าไม่ถนัด ส่วนไอ้เรารึก็สาวเมืองกรุง อะไรบันเทิงหน่อยขอให้บอกเชียว สู้ไม่ถอย”
“ไม่ถอยจริงๆ บางทีเหยียบเท้าปู่ก็ยังทำเฉย” ชายชราเจ้าของไร่ทอดถอนใจทีเล่นทีจริง เรียกเสียงขบขันจากทั้งคุณย่าตุ่นและชายหญิงทั้งสอง
“เพราะคุณไม่เข้าใจจังหวะของผู้หญิงต่างหากล่ะคะ ใช่มั้ยจ๊ะ หนูลิตา”
คนถูกถามสะดุ้งขึ้นเบาๆ เธอกวาดตามองรอบกายก่อนชำเลืองขึ้นไปบนดาราวับวาวเบื้องหน้า ใคร่ครวญครู่สั้นๆ พลางเอ่ยตอบ “ลิตาไม่ได้เต้นนานมากแล้วค่ะ ตอนนี้ก็ชักจะลืมๆ ไปซะส่วนใหญ่”
“ไหนๆ แล้วก็ทวนความจำเสียตอนนี้เลยสิจ๊ะ จริงไหมตาภีม”
คุณย่าตุ่นทอดเสียงอ่อนหวานถึงหลานชายพร้อมสะกิดผู้เป็นสามีให้เปลี่ยนเพลงใหม่ด้วยรอยยิ้มกว้าง รอบกายเงียบสนิทเพียงครู่สั้นๆ แล้วบทเพลงแว่วหวานก็เริ่มบรรเลง
…ถึงจะสิ้น วิญญาณกี่ครั้ง
ฉันก็ยัง รักเธอฝังใจ
ถึงจะสิ้น ดวงจันทร์ไฉไล
ไม่เป็นไร เพราะยังมีเธอ…
ลลิตาเคลื่อนสายตาจากท้องฟ้าระยับดาวพราวมายังคนข้างกาย เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันมามองเธอเช่นกัน ภีมค้างสายตาครู่สั้นๆ พอดีกับลมดินแดนเหนือกระสาเชยเข้ามาอีกระลอก หอบกลิ่นดอกราตรีฟุ้งอวลทั่วเฉลียงกว้าง เคล้าเคลียไปกับบทเพลงจากยุคสมัยเก่า ภายใต้อากาศหนาวของหุบเขาฉ่ำน้ำค้าง
…ฟ้าจะมืด จะมัวช่างฟ้า
ขอให้มี สายตาหวานละเมอ
ถึงจะสิ้น แผ่นดินนะเธอ
ให้ได้เจอ ยิ้มเธอชื่นใจ…
…หญิงสาวเลิกคิ้วสงสัย เมื่อมือซึ่งเรียวคล้ายอิสตรีคู่นั้นยื่นเข้ามาหา ลลิตามองกลับพร้อมประกายคำถามในแววตา ก็เป็นอีกฝ่ายที่ยังคงเอ่ยอย่างง่ายๆ
“เต้นรำกันมั้ยคุณ”
…ไม่ได้ชิด ก็ขอเพียงได้ชม
ไม่ได้สม ไม่เห็นแคร์อะไร
ขอให้ได้รัก ข้างเดียวเข้าไว้
ไม่เช่นนั้น ใจฉันคงหลุดลอย…
คนถูกขออย่างซื่อๆ กะพริบตาปริบๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง การเต้นรำเดียวที่เธอเคยทำคือการเรียนเต้นภาคบังคับสมัยมัธยมซึ่งก็ผ่านมานานจนแทบจะลืมไปหมดสิ้น จึงไม่อาจตอบตกลงได้อย่างมั่นอกมั่นใจเท่าใดนัก แต่จะเพราะมึนงงกลิ่นดอกไม้จากริ้วพระพาย หรือภวังค์ประกายดาวที่สะท้อนผ่านดวงตาของเขาก็ไม่ทราบได้…ในความเลื่อนลอยราวฝันไปนั้น ลลิตาก็ยื่นมือไปหาเขา…ก้าวเดินไปตามการนำพาใต้เวิ้งฟ้ากว้าง
ภีมพินิจมือของหญิงสาวที่ตนกำลังกุมไว้ คิ้วเข้มขมวดมุ่นโดยไม่รู้ตัวขณะขยับนำไปตามจังหวะดนตรี
“ทำไมเหรอคะ”
ลลิตาสังเกตเห็นและอดจะร้อนตัวนิดๆ ไม่ได้เพราะมือตัวเองค่อนข้างจะหยาบ การอยู่กับยายเพียงสองคนทำให้เธอรับผิดชอบงานบ้านหลายอย่างตั้งแต่เด็ก คงแตกต่างกับเขาผู้มีชีวิตอย่างสะดวกสบายมาโดยตลอด ทว่ากลับต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเองเมื่อชายหนุ่มพึมพำตอบโดยยังไม่เคลื่อนสายตาไปจากมือของเธอแม้แต่น้อย
“แปลก ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกใจที่จับมือคุณได้” เขากระชับมือเธอแน่นคล้ายลืมตัว ทั้งยังพลิกพินิจไปมา “เหมือนกับว่าที่ผ่านมา…ผมคิดว่าไม่สามารถแตะตัวคุณได้อย่างไรอย่างนั้นแหละ”
ดุจรอยเขียนบนเนินทรายซึ่งในตอนท้ายจะจบลงด้วยการถูกน้ำทะเลซัดหาย ทว่ารอยล่าสุดยังคงอยู่อย่างเลือนรางพอให้จับทางอ่านได้…มันอาจสลายลงเมื่อคลื่นอีกระลอกมาถึง กลบฝังภายใต้การซัดสาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภีมรู้สึกตามที่กล่าวจริงทุกประการ…เหมือน ก็แค่เหมือน…ว่าตัวตนของลลิตาในจิตใต้สำนึกของเขาปรากฏอยู่ราวนางไม้หรือภาพฝันที่กระจ่างชัดหากไม่อาจสัมผัสถึง เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดจึงจดจำเธอไว้ในลักษณะเช่นนี้ คล้ายว่ามีความกลัวหนึ่งซึ่งลอบแฝงเร้นเงียบงัน มันปนเปื้อนอยู่ข้างในโดยไร้สาเหตุ เล็กจ้อย บางเบา หากก็มีอยู่จริงๆ
ความกลัวที่ว่าหญิงสาวอาจสลายหายไปในสักวัน
เพียงเท่านั้นคนที่ถูกคิดว่า ‘ไม่มีตัวตน’ ด้วยเหตุผลอันซับซ้อนอย่างที่แม้แต่เขาเองก็ไม่อาจหาคำตอบได้ก็หลุดหัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะที่แทบจะสะท้อนไปกับหุบเขากว้างและเลือนหายไปในกล้วยไม้ลึกลับสักดอกกลางพงไพร…
“คุณพูดอย่างกับว่าฉันเป็นวิญญาณ” ว่าพลางมองมือของตนก่อนผินหน้ากลับมาหาอีกฝ่าย “คุณภีมคะ…ฉันเป็นคนนะ…เป็นมนุษย์เหมือนอย่างคุณนั่นล่ะค่ะ”
ถ้อยประโยคสุดท้ายมาพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วอีกระลอก เป็นรอยยิ้มซึ่งแตกต่างจากการยิ้มตามมารยาทที่เธอมีอยู่เป็นประจำ คล้ายกับว่ารอยยิ้มที่แท้จริงของลลิตาผลิบานผ่านแววตาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยๆ แย้มเยื้อนมายังริมฝีปากทีหลัง…และโดยไม่รู้ตัว ภีมก็ให้จดจ้องรอยยิ้มนั้นนิ่งงัน…ลมหนาวหรือแม้แต่เวิ้งดวงดาวพลันเลือนในชั่วขณะ ชายหนุ่มถูกกลืนหายภายใต้รอยยิ้มแรกอันดูคล้ายคุ้นเคยเนิ่นนานในความทรงจำ…
…ถึงโลกแตก แหลกราญสิบครั้ง
ฉันก็ยัง หวังใจรอคอย
แม้จะสิ้น วิญญาณเลื่อนลอย
ก็จะคอย พบเธอชาติอื่นเอย…
“ทีหลังยิ้มบ่อยๆ นะ”
เสียงทุ้มกระซิบอ่อนจนคล้ายจะดังอยู่ริมโสต ทำให้ลลิตาเผลอชะงักค้างกับแรงกระเพื่อมบางอย่างซึ่งลอบไหวสั่นอยู่ภายใน…
“คุณเหมาะกับรอยยิ้มมากจริงๆ…”
ยามเช้ามืดที่ดวงจันทร์ยังคงนวลผ่องครอบครองท้องฟ้ากับสะเก็ดระยับแสงของดาวบางดวงซึ่งอ้อยอิ่งไม่ยอมผลุบหาย ในเรือนไม้หลังใหญ่กลางหุบเขาเงียบสนิทนั้นเอง ร่างบางระหงของลลิตาก็ห่อคลุมตัวเองด้วยผ้าคลุมไหล่ผืนหนา กึ่งเดินกึ่งย่องออกจากห้องอย่างระมัดระวัง เธอปิดประตูแผ่วเบา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ส่งเสียงดังใดๆ ก็หันตัวเตรียมก้าวต่อ แล้วก็ได้ให้ชะงักกึกอยู่กับที่เมื่อเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังจับจ้องทุกการกระทำของตนด้วยใบหน้าอันยากจะเข้าใจ
ภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยามุ่นคิ้วเล็กน้อยพลางพินิจเรือนผมหยักศกไม่ใคร่จะเป็นทรงของเธอ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเพิ่งจะตื่นนอนเมื่อครู่นี้เอง
“คุณทำอะไร”
เสียงทุ้มทอดถามราบเรียบ ลลิตายิ้มแหย เก้กังกับรู้สึกเหมือนตนเป็นเด็กประถมที่ถูกครูจับได้ว่าแอบกินขนมในห้อง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณตื่นเช้าขนาดนี้ คงไม่ได้เสียงดังรบกวนนะคะ”
ด้วยอีกฝ่ายเข้าใจไปเช่นนั้น ภีมจึงไม่บอกว่าความจริงเขายังไม่ได้นอนเพราะมัวแต่ทำงานทั้งคืนจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มเพียงชูแก้วกาแฟในมือขึ้นตรงหน้าพร้อมอธิบาย “ผมแค่มาชงกาแฟ ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก ว่าแต่คุณเถอะเช้าขนาดนี้จะออกไปไหน”
“ฉัน…เอ่อ” เรียวมือเผลอยกขึ้นทัดหู “จะไปดูเค้าเก็บชากันค่ะ”
“ไปไร่ชา? ฟากนู้นน่ะนะ”
ใบหน้าราวรูปสลักเบือนออกไปมองความมืดสลัวแสงด้านนอกพร้อมคิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นกว่าเดิม
“จะเดินไปคนเดียวเหรอ”
ลลิตาพยักหน้าอย่างพาซื่อ ความจริงเธอแอบตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ครั้นจะเอ่ยปากก็เกรงจะรบกวนคนอื่นจึงได้ลอบตื่นตั้งแต่เช้ามืดเช่นนี้ และโดยไม่อาจเข้าใจได้ ภีมก็ยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดก่อนจะเดินนำหญิงสาวออกไปทันที ลลิตามองตามร่างสูงสง่านั้นตาปริบๆ อยากเอ่ยถามว่าเขากำลังจะไปไหนทว่าก็กลัวจะดูก้าวก่ายเกินควร เป็นจังหวะเดียวกับที่ภีมหันกลับมาพอดี
“ทำไมยังนิ่งอยู่ล่ะ”
“คุณภีมจะไปไหนคะ” อา…ครั้งนี้เธอเผลอคิดเสียงดังไปหน่อย
คู่สนทนายังทำหน้าเรียบเฉยคล้ายไม่อยากยอมรับ แต่สุดท้ายก็กลับตอบด้วยเสียงแผ่วราวรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่า
“ผมก็อยากไปดูเค้าเก็บชาเหมือนกัน”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงจับจ้องชายหนุ่มอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ครั้นเห็นเขาเดินนำออกไปอย่างที่พูดจริงๆ จึงได้รีบสลัดความกังขาออก แล้วสาวเท้าตามไปพร้อมจังหวะครึกโครมไม่อาจห้ามในใจ
…ยั้งตัวเองเอาไว้ลิตา จิตใต้สำนึกกระซิบแผ่ว …อย่าเพ้อพกไปกับอะไรที่ดูเป็นไปไม่ได้เลย นั่นเจ้านายของเธอนะ… ลลิตากระชับผ้าคลุมแน่นขึ้น ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรียวมือของตนกำเกร็งจนแทบขึ้นข้อขาว
ตลอดทางเดินจากเรือนใหญ่สู่ไร่ชาถือเป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบใบ้โดยแท้ ความมืดยังสยายปีกแผ่คลุมรอบกายพร้อมไอหมอกชื้นชุ่มกับกลิ่นดอกราตรีฉ่ำน้ำค้างริมทาง ถึงอย่างนั้นร่างสูงกลับไม่แสดงอาการเหน็บหนาวใดๆ ออกมา บางครั้งก็ยังคล้ายจะชะลอการก้าวเดินเมื่อเห็นว่าทิ้งห่างหญิงสาวเกินไปอีกด้วย จนเมื่อทั้งสองมาถึงไร่ชาเขียวชอุ่มเป็นทิวแถวลดหลั่นสุดสายตา ภีมก็กวาดตามองรอบกายพลางพึมพำ
“ไม่เห็นมีคนเลย”
“…หรือจะยังไม่ถึงฤดูเก็บชา” ลลิตาโคลงหัวก่อนจะลอบสะดุ้งในใจ รีบเงยหน้าขึ้นไปยิ้มแหยให้ชายหนุ่มทันที “คุณภีมคะ…ขอโทษจริงๆ ฉันคงทำคุณเสียเวลาซะแล้วล่ะค่ะ”
เจ้าของดวงตาคมทอดมองเบื้องหน้าขณะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“ถือว่ามาเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์แล้วกัน”
เงาหมอกอ้อยอิ่งกำลังอ่อนจางลงทุกขณะ ไกลออกไปอีกฟากฝั่งหนึ่งของท้องฟ้าค่อยๆ ปรากฏแสงเรื่อเรืองทอทับเวิ้งดารารัตติกาลจนเป็นสีอันผสมผสานระหว่างกลางวันกับกลางคืน และโดยไม่รู้ตัวดวงตาคู่โตกลับฉายแววโศกรื้นจาง พร้อมระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบาจนชายหนุ่มอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“คุณไม่ชอบเหรอ”
“ฉันเคยฟังเพลงเก่าน่ะค่ะ มีท่อนหนึ่งที่ร้องเอาไว้ว่า think I’ll miss you forever, like the stars miss the sun in the morning sky… มาดหมายคำนึงถึงชั่วนิรันดร์ ดังดาราโหยหาตะวันยามรุ่งสาง…” ว่าพลางเงยหน้าขึ้นไปมองดวงอาทิตย์กับแสงวิบวับของดาวที่กำลังค่อยๆ เลือนจาง “ตั้งแต่นั้นมาพอเห็นท้องฟ้าช่วงเวลานี้ทีไรก็อดหวิวๆ ในใจไม่ได้ทุกที”
ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเบนขึ้นไปมองเบื้องบนตามคำกล่าวของคนข้างกาย พอดีกับที่ดาวดวงสุดท้ายส่องแสงวับวาวราวบอกลาก่อนเหลือไว้แต่อรุณรุ่งเดียวดาย
“แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ วันมะรืน…ทุกเช้าของทุกวันก็จะเจอกันอีก”
“เพียงเพื่อจะจากกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าน่ะหรือคะ”
“เพราะเรามองจากมุมมองของโลกต่างหาก โลกที่หมุนให้เกิดกลางวันกลางคืน ทั้งๆ ที่ความจริงดวงอาทิตย์กับดาวก็อยู่ที่เดิมของมันตรงนั้น ไม่มีการพรากจาก ไม่ได้เลือนหายไปไหน ทุกอย่างยังคงอยู่ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตอีกแสนนาน”
…มั่นคงตราบสิ้นดินฟ้า ท่ามกลางประจักษ์พยานเป็นกาลเวลา…
เพียงเท่านั้นลลิตาก็หัวเราะแผ่วเบาพลางพยักหน้ารับอย่างปลอดโปร่ง
“จริงด้วยค่ะ แค่เพราะเรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่ามันหายไป” ดวงตาคู่โตหันมาสบพร้อมแย้มเยื้อน “ฉันถูกคุณสอนวิทยาศาสตร์ให้ซะแล้ว”
หญิงสาวผินหน้าออกไปมองรอบกายด้วยความรู้สึกใหม่ โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าร่างสูงกำลังชะงักงันกับภาพตรงหน้า เมื่ออุษาแสงไล้อาบขับเน้นให้รอยยิ้มของลลิตาดูอ่อนโยนกว่าเดิม อากัปกิริยาไร้การปรุงแต่งที่เข้ากับกลิ่นผลิบานของยามเช้าอย่างน่าประหลาด และการจู่โจมของความรู้สึกอยากจะสะสมภาพรอยยิ้มทั้งหมดของเธอไว้ในทรงจำที่ค่อยๆ เร้นรางอย่างเงียบเชียบจนภีมต้องหันกลับ ด้วยเจ็บที่ไหนสักแห่งข้างในจู่โจมสาดซัดในเสี้ยววินาที เขารีบสาวเท้าผละห่างจากหล่อนทันที
“กลับกันเถอะ”
กว่าลลิตาจะละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องหน้าร่างสูงก็ก้าวเดินไประยะหนึ่งแล้ว ครั้นก้มมองก็เห็นแต่รอยเท้าหลงเหลือไว้ หญิงสาวลอบระบายยิ้มอารมณ์ดีก่อนจะย่างเหยียบไปตามรอยนั้นทีละก้าว เพราะขาซึ่งยาวสมบูรณ์แบบของเขา บางจังหวะลลิตาก็ได้ให้กระโดดด้วยซ้ำ ริมฝีปากอิ่มแอบยกโดยไม่รู้ตัวทุกครั้งเมื่อเห็นว่าแม้เธอจะวางเท้าลงในรอยนั้นก็ยังเหลือพื้นที่อีกมากด้วยขนาดที่แตกต่าง
อารมณ์ซุกซนซึ่งนานๆ ครั้งถึงจะมีทำให้ลลิตาเอาแต่ก้มหน้าเล่นโดยไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าหยุดเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ และจังหวะสุดท้ายที่กระโดดนั้นเอง…
ปั้ก!
หัวของเธอชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างจนเซ ภีมรีบหันกลับมารั้งแขนของเธอไว้ทันทีแม้จะทั้งประหลาดใจและออกจะสงสัยอยู่บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ็บมั้ย”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทันสังเกตว่าคุณหยุดเดิน” ตอบทั้งๆ ที่ยังมึนงง “มีอะไรรึเปล่าคะ”
“…”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรนอกจากคิ้วเข้มซึ่งขมวดมุ่นพร้อมกับท่าทีต่อต้านอะไรสักอย่าง เบื้องหน้าเขาคือไส้เดือนตัวใหญ่ที่ยึกยือหลงทาง เงอะงะงุ่มง่ามอยู่กับการพยายามมุดกลับสู่อ้อมกอดเม็ดดิน
“ไส้เดือนนี่คะ ถ้าใครมาเหยียบเข้าคงแย่แน่”
ลลิตาเอ่ยทักด้วยความแปลกใจก่อนจะเดินไปหยิบลำตัวปล้องกลมที่ตกใจจนดิ้นพราดมาไว้ในมือ เงยหน้าขึ้นกลับเห็นว่ายามนี้ภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยาผู้มักจะเฉยชากลับดูซีดเผือดพร้อมขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมแน่น
อาจเพราะอารมณ์ที่เบิกบานมากกว่าปกติ ด้วยใบหน้าสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้อาการพิรุธของอีกฝ่าย ลลิตาก็ยื่นไส้เดือนเข้าไปใกล้เขาจนร่างสูงเผลอผงะไปอีกเล็กน้อย
“คุณภีมคะ ไส้เดือนแหละค่ะ”
ภีมฝืนพยักหน้ารับรู้อย่างยากเย็น เขาไม่ได้มองสิ่งที่อยู่ในมือของเธอด้วยซ้ำ
“…อือ รีบเอามันไปปล่อยสิ คงตกใจแย่แล้วนั่น”
…ดูท่าจะไม่ใช่แค่ไส้เดือนที่ตกใจแย่แล้ว หญิงสาวลอบรำพึงขณะเอาตัวยึกยือนั่นไปวางใกล้โคนพุ่มดอกราตรี และในแว่วสายลมยามเช้าก็คล้ายจะได้ยินเสียงระบายลมหายใจของใครบางคนอย่างโล่งอก…ลลิตาลอบอมยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะรีบสาวเท้าตามร่างสูงกลับเรือนใหญ่ ท่ามกลางหมอกสลายและความรู้สึกคล้ายระยะห่างบางอย่างค่อยๆ ย่นย่อลงไป…
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments