X
    Categories: LOVEทดลองอ่านนิรันดร์บรรจบ

ทดลองอ่าน นิรันดร์บรรจบ บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 5

“ชายเล็ก…”

เสียงกระซิบแผ่วระโหยแรง สากเครือราวเศษไม้เปื่อยยุ่ยหวิวผ่านริมโสตเรียกให้นิรุจผงกศีรษะขึ้นมองตึกหลังใหญ่โดยไม่รู้ตัว กลิ่นเขียวสดของพืชรกครึ้มโดยรอบที่เพิ่งจะถูกแผ้วถางหืนรื้นอยู่รอบกาย ขับเน้นให้อาคารตรงหน้าเขาดูวิเวกยิ่งขึ้น และแม้จะไม่มีร่มเงารุงรังอีกแล้ว ทว่าอะไรบางอย่างก็ยังทำให้วังชโนทัยดูทะมึนมืดอยู่ดีในสายตาคนมอง

นิรุจกวาดสายตาไปตามแง้มบานหน้าต่างทีละช่อง ภายในมุมม่านหม่นกลับคล้ายมีใครบางคนจดจ้องเขาอยู่ อึมครึม ไร้การเคลื่อนไหว…กับแว่วกังวานของบางอย่างที่ลอยมาตามลม

…แกรก…แกรก

“รวิสุต…”

“รุจ”

เสียงคุ้นเคยเรียกสติของนิรุจกลับคืนเมื่อห่างออกไปปรากฏร่างบางระหงกำลังเดินเข้ามาหาตน ชายหนุ่มยกยิ้มกว้าง ป้องปากทักทายทันที

“กลับจากเชียงรายแล้วเหรอ”

“เพิ่งจะถึงเมื่อเช้าเอง” ลลิตาเอ่ยขณะยื่นถุงในมือให้อีกฝ่าย “อ้ะ ซื้อสตรอเบอรี่มาฝากด้วย”

นิรุจผิวปากหวิว รับมาเปิดกินก่อนแกล้งเย้าทั้งๆ ที่ปากยังเคี้ยวหยับๆ “ลมอะไรหอบมาหาถึงที่นี่ แล้วไม่ไปทำงานรึไง”

“คุณภีมบอกว่าเพิ่งมาถึงเลยให้พักก่อน พรุ่งนี้ค่อยเข้าบริษัท…รุจนั่นแหละบอกให้เรามาที่นี่เองไม่ใช่เหรอ”

ลลิตาตอบอย่างราบเรียบ เธอไม่ได้อธิบายต่อว่าเจ้านายผู้เฉยชาคนนั้นขับรถจากสนามบินไปส่งเธอถึงที่พัก และก็เป็นเขานั่นแหละที่เอ่ยปากขอเวลาวันหยุดจากหญิงสาวเพื่อไปช่วยเขาเรื่องวังสวนกระจก

“เห็นว่าชอบวังเก่านักหนาก็เลยชวนมาดูก่อนจะโดนทุบทิ้ง เอ…รู้สึกจะชื่อวังอโนทัย หรือชโนทัยอะไรสักอย่างนี่แหละ” นิรุจอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “นี่ก็ตัดต้นไม้รอบๆ ออกบ้างแล้ว กำลังจะรื้อถอนตึกใหญ่พอดี”

ครั้นเห็นว่าดวงตากลมโตกำลังกวาดมองขึ้นไปตามฉาบสีระแหงแห้ง คร่ำคร่าจากร้อยพันแดดฝน เขาก็อดถองศอกพลางพูดกลั้วหัวเราะไม่ได้ “มองข้างนอกหรือจะสู้ดูข้างใน สนใจมั้ย ใหญ่กว่าวังสวนกระจกอีกนา”

“เข้าไปได้เหรอ”

“เดี๋ยวเราพาไป คนงานกำลังจะเริ่มรื้อข้างบนพอดี”

ลลิตาตามการนำพาของร่างสูงอย่างว่าง่าย…จริงอย่างที่เขากล่าว วังแห่งนี้ใหญ่กว่าวังสวนกระจกทั้งอาณาเขตและขนาดตัวตึก กระนั้นความรุ่งโรจน์ในอดีตกลับถูกห่อคลุมอยู่ภายใต้ซากเก่าร้างราวกับกำลังก้าวผ่านห้วงหายใจก่อนผุสลาย ดุจนาถกรรมฉากสุดท้ายในม่านเวทีของหยากไย่ระย้ากับไอฝุ่นหนาแน่น

ทั้งสองชะงักครู่สั้นๆ เมื่อได้ยินเสียงถกเถียงคร่ำเคร่งบริเวณหน้าห้องปลายโถงทางเดินบนชั้นสอง นิรุจมุ่นคิ้วพร้อมเดินนำเธอไปทันที

“มีอะไรกันครับ”

คนงานสองคนหยุดบทสนทนาพลางเหลือบมองวิศวกรหนุ่มด้วยสีหน้าลำบากใจ

“เอ่อ…” ลอบสบตากันไปมาก่อนเกริ่นเสียงเบา “คุณรุจเคยได้ยินเรื่องเล่าในวังนี้มั้ยครับ”

ครั้นเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีท่าทีอินังขังขอบกับคำเอ่ยนั้นจึงรีบอธิบายรัวเร็ว

“ว่ากันว่าคุณหญิง…หม่อมราชวงศ์อะไรสักอย่างเธอเป็นบ้าตายอยู่ในวังนี้” เฝื่อนคอจนต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อกใหญ่ “แล้วลือกันว่าวิญญาณเฮี้ยนมากนะครับ เรียกกันว่าวิญญาณหญิงบ้า เปลี่ยนมือเจ้าของก็เจอดีกันทุกรายจนต้องจ้างคนมาสะกดไว้ตั้งหลายครั้ง…แล้วนี่พวกผมเห็นแผ่นยันต์เก่าๆ แปะอยู่หน้าห้องนี้ เลยเถียงกันอยู่ว่าใครจะเป็นคนเข้าไป…กลัวว่าจะเป็นห้องของคุณหญิงคนนั้น…”

“ไร้สาระน่ะครับ จะช้าจะเร็วยังไงเราก็ต้องทุบตึกทั้งหลังอยู่ดี”

ชายหนุ่มส่ายหัว และก่อนที่ใครจะเอ่ยอะไร นิรุจก็ผลักประตูบานนั้นพร้อมกับเดินนำทุกคนเข้าไปโดยมีลลิตารีบสาวเท้าตาม…เพียงเพื่อจะชะงักค้างกับภาพที่เห็น ขณะที่แผ่นยันต์ทิ้งตัวลงเชื่องช้า อ้อยอิ่งผ่านอากาศก่อนตกลงพื้นอย่างเงียบงัน

แสงภายนอกส่องผ่านช่องมุมคับแคบเข้ามาพอให้มองเห็นได้รางๆ ท่ามกลางฝุ่นหนากระจายฟุ้งทะมึนมัวกับกลิ่นกระไอหืนรื้นซึ่งไม่อาจอธิบายได้ว่ามาจากอะไร…และโดยรอบแทบทุกตารางนิ้วของผนังห้องกลับซ้อนซับไปด้วยแผ่นยันต์และสายสิญจน์พัลวัน อักขระซึ่งไม่อาจมีใครอ่านออก เศษซากของพิธีกรรมมากมาย รวมไปถึงรอยหยดเกรอะกรังจนคนมองอดพรั่นพรึงไม่ได้

“นี่มันอะไรกัน”

นิรุจกวาดตามองรอบห้อง หันไปอีกทีก็เห็นลลิตากำลังยืนนิ่งหน้ากระจกตั้งพื้น ไม่พูดไม่จานอกจากจับจ้องเข้าไปในนั้นเงียบงัน…ราวกับกำลังสบมองอะไรบางอย่าง

ใช่…เธอกำลังสบมองอะไรบางอย่างซึ่งเลื่อมหลบอยู่ตรงหางตาตลอดเวลาตั้งแต่ที่หญิงสาวเข้ามาในห้องนี้ กระทั่งหมอกเงากระเพื่อมไหวขึ้นอีกครั้ง…ลลิตาชาวูบเมื่อภาพสะท้อนจากกระจกกระดำกระด่างบานนั้นปรากฏเงาทะมึนของใครบางคนยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของเธอ ตะคุ่มจางคล้ายหญิงสาวคนหนึ่ง…เรือนผมเรียบลู่ราวชุ่มโชกด้วยหยาดหยดหม่นเศร้าโยกคลอนเชื่องช้า ก่อนที่หล่อนจะเยี่ยมใบหน้าซีดขาวเกรอะรอยน้ำตาสีหยดหมึกนั้นออกมา กึ่งๆ เกยคางพาดบนไหล่ของลลิตาแล้วเผยอปากแห้งกรังค้างไว้พร้อมส่งเสียงสากเครือขาดห้วงจากลำคอ

“อือ…อือ…!!”

ระโหยแรง คลุ้มคลั่ง และมืดบอดอยู่ในอนธการไร้สิ้นสุด…

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้าง เผลอก้าวถอยหลังด้วยความตกใจทันที!

“ลิตา?”

นิรุจรีบคว้าแขนร่างระหงไว้เมื่อเห็นว่าหล่อนมีสีหน้าซีดเผือด ลลิตาสะดุ้งโหยง ครั้นหันมาสบตาเพื่อนสนิทก่อนผินหน้ากลับไปมองกระจกอีกครั้งก็พบแต่ความว่างเปล่า

“เป็นอะไรรึเปล่า”

“เรา…”

หญิงสาวตอบเพียงเท่านั้นก็สะท้านเยือกขึ้นมาอีกครั้ง แสงเงาเว้าแหว่งในห้องดูคล้ายริบหรี่เหมือนมีอะไรคลุมผ่านตลอดเวลา

“เราแค่หน้ามืด” เธอกล่าวคำปด

“ห้องนี้ฝุ่นเยอะมากจริงๆ ลิตาออกไปก่อนเถอะ”

ลลิตาพยักหน้ารับคำ ให้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่โตกวาดมองรอบกายครู่สั้นๆ อีกครั้ง …ไม่ได้ตาฝาด เธอไม่ใช่คนงมงายเรื่องผีสาง แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ภาพหลอนจากละอองฝุ่นหรือแสงหักเหแน่ๆ หญิงสาวรีบสงบลมหายใจ ก้าวขาออกจากห้องนั้นทันที

…รีบ…จนไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าในมุมม่านทึบแสงจะปรากฏร่างหนึ่ง กอดเข่าคุดคู้พลางโยกตัวไปมาจนเป็นเงาทะมึนวูบไหว ขณะที่ดวงตาลึกโปนจนกลายเป็นหลุมดุจหยดหมึกป้ายนั้นกลับกำลังจับจ้องร่างสูงของนิรุจตลอดเวลา หล่อนยิ้มแสยะ คล้ายแย้มพราย ต่างตรงมันค่อยๆ ฉีกกว้างเกินจำกัดของขอบปาก ลากยาวไปถึงคราบน้ำตาแห้งกรังกลางแก้มราวเป็นเพียงกระดาษบางๆ พร้อมเสียงลากครวญในลำคอแผ่วจาง

“อือ…อือ…พี่เอง ชายเล็ก…”

วังชโนทัย

พ.ศ. ๒๔๙๗

ในดึกสงัดซึ่งดวงจันทร์แขวนเสี้ยวแต่เพียงอ้างว้าง สายลมหอบผ่านปลายยอดหญ้าระริกไหวจนได้ยินเพียงเสียงเรไรเซ็งแซ่ ก่อนที่ทุกอย่างจะพลันเงียบสนิทเมื่อร่างหนึ่งตะคุ่มย่างตามแนวริ้วของกอพลับพลึง ชุดนอนสีขาวสะท้อนแสงจันทร์จนดูราวเงาผ้าวูบไหว สั่นเทิ้ม ลุกลน เรือนผมยาวเรียบลู่ตามกรอบหน้ายิ่งขับเน้นให้หล่อนซีดเซียวดุจจะแตกสลายได้ตลอดเวลา หญิงสาวกวาดดวงตาลึกโปนมองรอบกายอย่างหวาดๆ ซีกหน้าหนึ่งแย้มยิ้มพรายขณะที่อีกข้างกลับเหยเกหวาดระแวง ก่อนจะพาตัวเองกึ่งคลานกึ่งวิ่งไปยังศาลากว้างกลางสวน

“อือ…นม…นมจ๋า…”

หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ทิ้งตัวลงยังพื้นจนชุดแผ่บาน ดูราวกับกองผ้าสีขาวกึ่งกลางศาลา หญิงสาวกระซิบเรียกเสียงสั่นเครือ ไต่คลานไปตามมุมเสาเหมือนทารกยังไม่ทันหัดเดิน ส่องหาอย่างร้อนรน

“…นม อือ…นมอยู่ไหน อือ…”

เมื่อเงียบใบ้ไร้เสียงขานรับ หยดน้ำตาเม็ดโตก็พรูพรั่ง…คุณหญิงเกดอ้าปากเบะ สะอื้นฮึกฮักแผ่วเบาพลางส่ายหัวไปมาดุจคนอับจนหนทาง ก่อนที่ร่างผ่ายผอมนั้นจะชะงักค้างคล้ายว่าถูกภาพความทรงจำบางอย่างฟาดสาด และท่ามกลางค่ำคืนอ้างว้างกับแสงจันทร์โรยผ่าน หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ก็คลานกลับไปยังกึ่งกลางศาลาแล้วเริ่มใช้นิ้วมือเปล่าเปลือยของตนขูดขุดพื้นอย่างแรง

…แกรก…แกรก…แกรก

“นมจ๋า…เกดมาช่วยแล้ว…อือ…”

ภาพในหัวฉายอาบแต่ยามที่เห็นวิญญาณทะมึนมืดของนมเสาถูกกระชากให้ร่วงหล่นลงในหลุมลึกน่าสะพรึงแล้วจากหายไปตลอดกาลสู่ดินแดนเบื้องล่างนั่น เสียงร้องครวญอยู่ในลำคอค่อยๆ ดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว สติกระเจิดกระเจิงหลงทางขณะที่ปลายนิ้วเริ่มปอกเปิก ปรากฏเป็นรอยเลือดลากยาวสิบรอยกับเศษเล็บยับเยิน เปรอะเปื้อนถึงชุดนอนสีขาวสะอาดจนเป็นด่างดวง

…แกรก…แกรก…แกรก

“นม! กลัว…อือ เกดกลัว…! นม!!”

หล่อนยังคงใช้นิ้วขูดพื้นอย่างบ้าคลั่ง กรีดเสียงร้องโหยหวนก้องดังไปทั่วบริเวณอย่างอับจนหนทาง

แสงไฟบนตึกใหญ่สว่างโร่ขึ้นทันที ร่างสูงของหม่อมราชวงศ์รวิสุตวิ่งนำบ่าวรับใช้เข้ามาด้วยความร้อนรน ครั้นเห็นว่าพี่สาวเพียงคนเดียวกำลังโยนโยกยับเยินแตกร้าวบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยเลือดจากปลายนิ้วของหล่อนเอง ใบหน้าคมคายก็สะท้อนความอาดูรออกมา เขาเข้าไปกอดร่างผอมแห้งนั้นแผ่วเบาแม้อีกฝ่ายจะยังร่ำไห้โดยไม่รับรู้อะไรเลย

“นมอยู่ไหน! อือ…อย่าทิ้งเกดไป…”

ทุรนทุรายก่อนที่เสียงสุดท้ายจะแหบพร่า ในช่วงเวลาที่แสงจันทร์ค่อยๆ หลบหายหลังเงาเมฆนั้นเอง หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ก็หมดสติลงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แบพับอยู่ในอ้อมอกของน้องชายราวกับหุ่นไร้ชีวิต

“พาคุณหญิงกลับไปทำแผลที่ห้อง”

ชายหนุ่มหันไปเอ่ยกับบ่าวรับใช้อย่างอ่อนล้า ดวงตาคู่คมสาดสะท้อนความเจ็บปวดออกมาจางรางเมื่อเหลือบมองรอยเลือดบนพื้น

“ให้คนมาทำความสะอาดด้วย…ล้างให้เกลี้ยง”

“วิปลาสขนาดนี้ น่าจะเอาไปอยู่โรงพยาบาลบ้าได้แล้วนะพี่”

“ข้าได้ยินมาว่าคุณชายเธอไปติดต่อหมอฝาหรั่งนู่นแน่ะ ไม่รู้จะเรียกมาดูที่นี่หรือส่งไปเมืองนอก”

“วุ้ย จะอะไรก็เถอะ รีบๆ หน่อยก็ดี คนในวังแทบจะเป็นบ้าตามกันไปหมดอยู่แล้ว” พลันถ้อยวาจาก็เปลี่ยนเป็นแผ่วหวิว “วันๆ เรียกหาแต่คุณนมเสากับท่านชายภาค หรือจะจริงที่ว่าคุณหญิงเธอเลี้ยงผีแล้วโดนของเข้า…”

“ชู่ว ระวังปากไว้ให้ดีเทียวนะเอ็ง ใครได้ยินเข้าจะเป็นเรื่อง”

เสียงกระซิบกระซาบเรียกให้เจ้าของร่างบอบบางราวกระเบื้องเคลือบรู้สึกตัวขึ้นช้าๆ ดวงตาลึกโปนจับจ้องฝ้าเพดานอย่างเลื่อนลอยครู่ขณะ พร้อมระบายยิ้มแห้งจาง หล่อนได้ยินในประโยคเลือนรางนั้นว่าใครสักคนเอ่ยถึงท่านชายภาค รักแรกของเธอ รักหนึ่งเดียวที่เฝ้าฝันมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย …ท่านชายภาคของเกด

หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ค่อยๆ เคลื่อนขยับออกจากเตียงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งท่ามกลางความประหลาดใจของบ่าวรับใช้ทั้งสองคน หยิบแปรงขึ้นมาสางผม ผัดหน้าอย่างแช่มช้อย

“คุณหญิงจะทำอะไรหรือคะ”

“แต่งตัว…ไปวังสวนกระจก”

หญิงสาวกระซิบตอบแผ่วเบา ไม่สนใจว่าแผลเหวอะหวะที่ปลายนิ้วเริ่มมีเลือดผุดซึมผ่านผ้าพันแผล บ่าวรับใช้เริ่มขยับตัวเข้าใกล้ด้วยความระแวดระวังพร้อมตะล่อมถามเสียงอ่อน

“ดึกแล้วนะคะ คุณหญิงจะไปทำไม”

“ไปเข้าเฝ้าท่านชายภาค…”

คนฟังลอบสบตากันเลิ่กลั่ก ค่อยๆ แตะเรียวแขนผอมแห้งราวกับกลัวว่าหล่อนจะแตกร้าว

“คุณหญิง คืนนี้นอนก่อน…”

“นมอยู่ไหน มาเลือกชุดให้เกดที นม…นมเสา”

หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ไม่ใส่ใจคำกล่าวนั้นราวเป็นเพียงลมพัดผ่าน หล่อนเดินเรียกแม่นมไปทั่วห้อง คุดคู้ก้มหาตามใต้เตียง ซอกม่าน ตู้เสื้อผ้า หับมุมสลัวแสง ทุกหนทุกแห่งเท่าที่จะนึกออกก่อนจะคั่งค้างอยู่กลางห้อง กอดตัวเองหนาวสั่นคล้ายประหวั่นหวาดพร้อมครวญครางในลำคอ

“ท่านชาย…อย่าเกลียดเกด อือ…นมช่วยด้วย ฝ่าบาท…ฝ่าบาท”

“คุณหญิง ไปนอนก่อนเถิดค่ะ…” บ่าวรับใช้คนหนึ่งรีบเข้ามาประคองหล่อนด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะลอบสบตากับเพื่อนอย่างกล้ำกลืน “พักก่อนนะคะ ดึกมากแล้ว”

“ออกไป!! กล้าดียังไงมาแตะตัวฉัน! นม!! นมอยู่ไหน มาฆ่าอีพวกนี้ที อือ…มาพาเกดไปหาท่านภาคที!!”

ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี คุณหญิงเกดผลักอีกฝ่ายจนล้มคะมำ ผุดลุกขึ้นมาโวยวายอาละวาดทันที หล่อนขว้างปาข้าวของทุกอย่างที่มีใส่อีกฝ่ายอย่างดุร้าย และสุดท้ายก็เขวี้ยงขวดกะหลาป๋า ฟาดหน้าผากบ่าวรับใช้จนแตกพร้อมสติที่ขาดผึงของผู้ถูกกระทำ

“เออ!! อยากไปหานักก็ตายตามไปซะ! คิดว่าอยากดูแลคนบ้าแบบนี้รึไงวะ”

ดวงตาลึกโปนถลึงจ้อง สั่นสะท้านรุนแรงจนเรือนผมกระเพื่อมไหว “แกพูดอะไร…ใครตาย”

“หม่อมเจ้าดิเรกภาสกร ภานุวรรธน์ไง! ท่านสิ้นของท่านไปตั้งนานแล้ว มีแต่อีผีบ้าอย่างแกเท่านั้นแหละที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ได้ยินแล้วก็จำเอาไว้ซะ ท่านชายของแกเค้าไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว! ท่านชายภาคตายไปแล้ว!!”

…ท่ามกลางใบหน้าซีดขาวแข็งค้างนั้น หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ก็ได้แตกสลายโดยสิ้นเชิง…

หญิงสาวเงียบงัน ดิ่งร่วงลงในวิปโยคสุดแสน ไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากหัวใจที่แหลกยับเยินจนไม่มีอะไรหรือใครให้เหนี่ยวรั้งไว้ได้อีก หยดน้ำตาไหลร่วงเป็นสายราวกับทำนบผุพัง เปล่าเปลือยอยู่ในรวดร้าวแสนสาหัสอย่างที่ไม่อาจแบกรับใดๆ แม้กระทั่งลมหายใจของตนเอง…

หล่อนไม่ได้กรีดร้อง ไม่ได้อาละวาดโวยวาย หยุดสั่นสะท้านหรือกระวนกระวาย

และโดยไม่มีใครคาดคิด หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่กระโจนเหยียบกรอบหน้าต่าง ก่อนถีบพาร่างของตนออกไปอย่างรวดเร็ว!!

พลั่ก!!

“กรี๊ดดดดด!!!!”

บ่าวรับใช้ทั้งสองกรีดร้องด้วยความตกใจพร้อมเสียงของอะไรบางอย่างแตกหักจากที่สูง วังชโนทัยพลันตกเข้าสู่ความชุลมุนอีกเป็นครั้งที่สองทันที

เพราะเบื้องล่างใต้หน้าต่างนั้น…คือร่างบอบบางของหม่อมราชวงศ์วราสิตางค์กลางกองเลือดสีสดซึ่งย้อมชุดนอนของหล่อนจนชุ่ม ดวงตาลึกโปนยังลืมค้างราวจ้องมองแสงจันทร์เบื้องบน และรอยยิ้มนั่น…รอยยิ้มแย้มพรายแสนเศร้าซึ่งไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้ว่าผลิบานแด่โศกนาฏกรรมของตนหรือเพราะตระหนักแน่น…ต่อความมุ่งมาดบางอย่างกันแน่!!

ปัจจุบัน

ลลิตาก้าวขาออกมาจากตัวตึกอย่างรวดเร็ว หัวใจยังเต้นระรัวแทบทะลุออกจากอกกับความรู้สึกยะเยือกหนาวราวจะจับไข้ เธอเหลือบมองขึ้นไปบริเวณชั้นสองอีกครั้งเพียงแวบสั้นๆ และพลันไม่อยากอยู่ใต้ขอบเขตของอาคารหลังใหญ่อีก ลลิตากวาดสายตาผ่านพื้นที่ร้างร่มเงาโดยรอบ ก่อนจะเดินไปบนศาลาเก่าเยื้องกันเพื่อรอนิรุจ…ศาลาคร่ำคร่าเปรอะตะไคร่น้ำกระดำกระด่าง

ไม่นานนักชายหนุ่มก็ตามเธอออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วงจนคนมองต้องฝืนยิ้มคลายความกังวล

“เราไม่น่าเรียกลิตามาที่นี่เลย กลับไปพักผ่อนเถอะ เพิ่งเดินทางมาด้วย”

“เราโอเค แค่ห้องนั้นฝุ่นเยอะเกินไปเฉยๆ” หญิงสาวตัดสินใจไม่เอ่ยถึงสิ่งแปลกประหลาดเมื่อครู่

“อื้อ คงเพราะร้างมานาน” นิรุจว่าพลางระบายลมหายใจ “คนงานก็จริงๆ เลย กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง”

“เป็นใครเห็นแบบนั้นเข้าก็คงตกใจ”

สายลมระลอกหนึ่งพลิ้วผ่านเชื่องช้า และตอนนั้นเองโดยไม่อาจเข้าใจได้ ลลิตาก็เผลอมองรอบศาลาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าใดนัก คล้ายว่าเคยมีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ ราวกับว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอย่างเหยียบเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น ความอึดอัดนั้นเองที่ทำให้หญิงสาวต้องสูดหายใจลึก

“เราไม่กวนรุจแล้วดีกว่า ไปทำงานเถอะ”

“ให้ไปส่งมั้ย”

“ทำงานให้สมเงินเดือนหน่อยสิคะ คุณวิศวกร”

เจ้าของดวงตากลมโตเอ่ยเย้าก่อนกล่าวลาแล้วพาตนเองเดินจากไป

นิรุจทอดสายตาตามเพื่อนสนิทครู่ขณะหนึ่งพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู ใบหน้าคมคายฉายแววครุ่นคิดเมื่อเบือนกลับไปยังตัวตึกใหญ่ กับริ้วรางบางอย่างซึ่งค่อยๆ ผุดซึมเข้ามาในใจของเขา กึ่งๆ จะเป็นสัญชาตญาณหรืออาจจะแค่คิดไปเอง นิรุจไม่แน่ใจ มันเหมือนเงาเมฆผลุบผ่านท้องฟ้าก่อนพายุฝนจะมา และดูจะเป็นพายุที่ไม่อาจคาดเดาใดๆ ได้เสียด้วย

…แกรก…แกรก

เสียงอะไรบางอย่างแว่วแผ่วปลายโสต ชายหนุ่มกวาดตามองรอบศาลาครู่สั้นๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่นขณะส่ายศีรษะเรียกสติก่อนเดินกลับเข้าไปสะสางงานบนตึกใหญ่ต่อ

…สายลมพัดผ่านศาลาโล่งอีกครั้งในโมงยามที่ไม่มีใครสนใจ ทั้งยังไม่อาจตระหนักเลยว่าเพียงการเปิดประตูห้องอันแสนง่ายดายของนิรุจจะกลับกลายเป็นการปลดปล่อยหลังเวลาล่วงผ่านนานแสนนาน ด้วยม่านเงาหนึ่งซึ่งกึ่งเดินกึ่งคลานพล่านไปทั่วพื้นอย่างยินดี ก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆ เงยผ่านรอยแยกของเรือนผมเรียบลู่ พึมพำอื้ออึงอยู่ในลำคอจนฟังไม่ได้ศัพท์นอกจากคำคำหนึ่งที่ย้ำซ้ำไปมา

“…หา…เกดจะหาฝ่าบาท!!”

 

ติดตามต่อได้ในเล่ม…

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

Jamsai Editor: