บทนำ
“ลิตา พี่กลับก่อนนะ”
เสียงจากหน้าประตูไม้เนื้อหนาเรียกให้หญิงสาวที่กำลังก้มหน้าจัดเอกสารต้องวางงานในมือ ก่อนจะหันไปหาผู้พูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ เธอไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยกมือไหว้เป็นการบอกลาเท่านั้น กลายเป็นอีกฝ่ายที่เอ่ยต่อกลั้วหัวเราะ
“ไม่ต้องจัดแล้วย่ะ ยังไงวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่จะเปิดวังแล้ว ออกเร็วสักหน่อย ไปหาอะไรกินส่งท้ายดีกว่า” ว่าพลางกวักมือหย็อยๆ
ลลิตาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง…วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่วังสวนกระจกอันเป็นสถานที่ทำงานของทั้งคู่จะเปิดให้เข้าชมก่อนจะปิดอย่างถาวร เนื่องจากเจ้าของคนปัจจุบันอย่างหม่อมราชวงศ์กฤษสุวรรณได้ส่งสิทธิ์ต่อให้หลานชายไปแล้ว และทางนั้นก็ดูจะไม่ชอบใจนักที่จะให้ใครต่อใครเข้ามาเยี่ยมชมสมบัติส่วนตน ผู้ดูแลวังอย่างเธอจึงต้องถูกเชิญออกโดยปริยาย…ไม่มีแม้โอกาสได้โต้แย้งหรือเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายสักนิด หญิงสาวถอนใจพลางเอ่ยตอบ
“พี่แอนกลับก่อนเถอะค่ะ ลิตายังเหลือเอกสารต้องเก็บอีกนิดหน่อย”
“วุ้ย แม่คนนี้ ทำไมชอบอยู่รั้งท้ายตลอดเลยก็ไม่รู้” หล่อนยกยิ้มด้วยนึกสนุก เสือกตัวเข้าไปใกล้ร่างระหงก่อนกระซิบพร้อมท่าทางขนลุกซู่ “เป็นวิทยากรของวังแท้ๆ ทำเป็นไม่รู้ประวัติไปได้”
มือเรียวที่เรียงกระดาษอยู่ชะงักกึก ลลิตาช้อนตาขึ้นมองวิทยากรรุ่นพี่เล็กน้อยแล้วส่ายหัวช้าๆ
“ทำไมจะไม่รู้ล่ะคะ”
“นั่นซี้ ในเมื่อรู้แล้วยังทำเฉย…ใครๆ ก็รู้ว่าท่านชายเจ้าของวังท่านสิ้น เอ่อ…ที่นี่” ด้วยกลัวจะกล่าวไม่ชัดเจน แอนจึงชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน ซึ่งเป็นบริเวณห้องบรรทมของหม่อมเจ้าดิเรกภาสกรในอดีตพอดี
ดวงตากลมโตของลลิตาวูบไหวชั่วขณะ รู้สึกราวเพิ่งกลืนยาขมลงคอ รสปร่าแปร่งแผ่ซ่าน เกาะกุมทั่วสรรพางค์กาย หญิงสาวรีบสลัดอาการประหลาดทิ้งอย่างรวดเร็วแล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่องทันที
“พี่แอนจะไปรับลูกต่อไม่ใช่เหรอคะ”
“ตายล่ะ จริงด้วย นี่นะ คราวก่อนไปรับช้าหนนึงโดนสามีบ่นซะหูแฉะเชียว…”
คู่สนทนาเจื้อยแจ้วเรื่อยเปื่อยตามนิสัยช่างพูด ขณะที่ลลิตาเองแม้จะทำท่าทางสนใจฟังไปตามมารยาท ทว่าคลื่นความคิดภายในกลับเอื่อยเฉื่อย สะเปะสะปะเหมือนแหอวนที่หลุดลอยกลางท้องทะเล นานๆ ครั้งจึงจะกลับมาฟังบ้างเพื่อให้จับเนื้อความได้
กระทั่งบ่นจบแอนจึงมีท่าทางตกใจ หล่อนลนลานดูนาฬิกาข้อมือพลางกระชับกระเป๋าถือแน่น
“ว้าย ดูซิมาชวนพี่คุยซะเพลินเชียว ไปจริงๆ แล้วล่ะนะ” วิทยากรรุ่นพี่สาวเท้าว่องไว แต่ยังมิวายพูดไปตามทาง “เก็บของเสร็จก็รีบปิดวังให้เรียบร้อยด้วยล่ะ พรุ่งนี้คุณชายไฮโซอะไรนั่นคงจะกลับจากเมืองนอกมาเช็ก ‘สมบัติส่วนตัว’ แต่เช้า…”
ลลิตามองตามคู่สนทนาจนเห็นว่าหล่อนพ้นแนวต้นไม้สูงออกไปทางประตูวัง หญิงสาวจึงค่อยกลับมาจัดเรียงเอกสารในมือต่อเงียบๆ ยังแต่ลมเย็นๆ ที่พลิดพลิ้วผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาแตะผิวกายเป็นเพื่อน แสงอาทิตย์ส่องลอดกิ่งก้านเริ่มทอริ้วสีส้มจางๆ บ่งบอกว่าใกล้ถึงเวลาเย็นย่ำ
…ความเงียบสงบราวโลกหยุดหมุนนี่เองทำให้ลลิตาต้องหวนนึกถึงครั้งแรกยามก้าวเข้ามาในวังสวนกระจกแห่งนี้ ราวกับมีภาพยนตร์ฉายซ้ำในห้วงสมอง…
บ่ายวันนั้นก้อนเมฆครึ้มมัว…พระพายหอบกลิ่นดินชื้นๆ ปะทะพร้อมหยาดฝนที่ตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว โอบกอดโลกด้วยน้ำชุ่มฉ่ำ ซ่านกระเซ็นแทบมองไม่เห็นทาง ตอนนั้นลลิตาซึ่งเป็นเพียงเฟรชชี่จากต่างจังหวัดยังไม่เจนจัดกับถนนหนทางมากนัก หญิงสาวเนื้อตัวเปียกปอน จับทางจะไปต่อไม่ได้ เธอยืนละล้าละลังอยู่กลางสายฝนครู่หนึ่งจึงเห็นประตูวังขาวสะอาดเปิดอ้า ดงไม้หนาที่เรียงไปตามทางเข้าราวจะเสนอร่มเงาให้พักพิง…ประหนึ่งเพื่อนเก่าที่จากกันไปนานแสนนาน และด้วยเวทมนตร์แปลกประหลาดอันใดก็ไม่อาจอธิบายได้ ลลิตาก็พาตัวเองเข้ามาหลบฝนอยู่ใต้คุ้มหลังคาวังสวนกระจก…จะเพราะอากาศหนาวจากลมมรสุมหรือเสื้อตัวบางก็แล้วแต่ หากชั่วขณะที่ย่างเหยียบเข้ามายังอาคารทรงโคโลเนียลแห่งนี้ก็เหมือนมีความรู้สึกอบอุ่นแปลกประหลาดโอบกอดหัวใจของเธออย่างแช่มช้าแผ่วเบา
…คล้ายวนิพกที่กลับสู่ดินแดนเดิม หลังการเดินทางอันแสนยาวนาน…
โค้งขอบประตู เหลี่ยมมุมหน้าต่าง ไม่มีสิ่งใดที่หญิงสาวไม่รู้สึกคุ้นเคย ราวกับว่าดีเอ็นเอส่วนหนึ่งของเธอมาจากที่นี่ เธอคือจิ๊กซอว์อีกชิ้นของวังสวนกระจก…กลับมาเพื่อเติมเต็มภาพให้สมบูรณ์
ทว่ากระทั่งเรียนจบและเข้ามาทำงานเป็นวิทยากรตามตั้งใจ ลลิตากลับพบว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป…เป็นความรู้สึกรอคอย ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองรออะไร หากวังสวนกระจกก็เหมือนยังเฝ้ารอปริศนานั้นมาเติมเต็ม
…เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง
หญิงสาวใจหายวาบ เมื่อความจริงเข้ามากระซิบในมโนสติว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้เข้ามาในวังสวนกระจกแล้ว สิ่งที่ยังเป็นปริศนายังไร้คำตอบ…หรือแท้จริงแล้วทุกอย่างเป็นเพียงอนุมาน เกิดจากการเพ้อพกไร้แก่นสารของเธอเอง
มือเรียวเก็บเอกสารแผ่นสุดท้ายเข้าแฟ้ม ก่อนกวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้งอย่างถ้วนถี่ เพ่งพินิจไปยังทุกส่วนเสี้ยวด้วยหวังจะจดจำสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่เราจะได้พบกันอีก
พลันแล้วร่างระหงก็พาตัวเองก้าวเดินขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า ลลิตาค่อยๆ ลูบราวไม้มันปลาบแผ่วเบา เก็บเกี่ยวทุกความทรงจำประหนึ่งว่าจะสาวลึกไปถึงจุดเริ่มต้นในอดีต ข้ามผ่านร้อยพันแดดฝน บรรจบสู่ห้วงเวลาที่วังแห่งนี้สมบูรณ์พร้อม มีชีวิตชีวา และรุ่งโรจน์ด้วยความสุขสมหวังที่สุด
กลิ่นดอกปีบระรินอ่อนผ่านหน้าต่าง สะกิดหญิงสาวออกจากภวังค์ภายใน ลลิตาจึงได้เห็นตอนนั้นเองว่าตนกำลังยืนอยู่ในห้องบรรทมของหม่อมเจ้าดิเรกภาสกร…หน้าภาพวาดสุดท้ายก่อนสิ้นชีพิตักษัยนั่นเอง
…ครั้งแรกที่ลลิตาได้เห็นภาพวาดนี้ หยดน้ำตาก็พลันรื้นขึ้นพร้อมความเจ็บปวดลึกโหวงอยู่กลางอกโดยไม่มีสาเหตุ รู้สึกราวกำลังยืนอยู่หน้ากระจกโปร่งใส กางกั้นตัวเธอกับเงาสะท้อนเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น…ไม่ใช่เพราะเธอกับหญิงสาวในภาพมีหน้าตาเหมือนกันแต่อย่างใด และลลิตาก็ไม่รู้ด้วยว่าความหมายแท้จริงของภาพนี้คืออะไร หากเป็นความรู้สึกบางอย่างอันยากจะอธิบายได้ เหมือนหิ่งห้อยที่ไม่เคยถามไถ่ดวงดาว แต่ก็เฝ้าห่วงหาต่อแสงระยับฟ้าอยู่ทุกค่ำคืน
“ฉันมาลาค่ะ”
หญิงสาวกระซิบแผ่วเบากับคนในรูป จับจ้องเข้าไปในดวงตาสีประหลาดนั้นก่อนจะเผลอยกยิ้มตามเมื่อรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายจะทักท้วงดังเพื่อนคนหนึ่ง
“นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน…จนแล้วจนรอดฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าคุณคือใคร”
เธอเลื่อนสายตาไปยังมุมขวาของแผ่นผ้าใบซึ่งมีข้อความจากปลายพู่กันเขียนไว้ดุจจะตัดพ้อ
‘…หอมมะลิกลีบซ้อน อ้อนวอนเจ้าไม่ฟังเอย’
มือเรียวเผลอยกขึ้นมากุมอกช้าๆ เมื่อความขมขื่นพลันพุ่งขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ลลิตารีบสลัดความรู้สึกนั้นออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะตลก…หากประกายตากลับฉายแววโศกชัดเจน
“คุณทำอะไรไว้…แล้วทำไมไม่ฟังคำอ้อนวอนของท่านชายล่ะคะ”
เมื่อคำถามนั้นไร้ซึ่งคนตอบ ถ้อยกระซิบจึงค่อยๆ แผ่วหายไปกับความเงียบของมวลอากาศ
หญิงสาวระบายลมหายใจแผ่วเบา ปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านกระทั่งนกบนคาคบไม้ด้านนอกร้องขานหากันแล้วกระพือปีกบินจนก้านใบไหวสั่น ท่ามกลางความสงบนิ่งรอบกาย พลันใครคนหนึ่งก็ก้าวเดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะชะงักค้างเมื่อเห็นเธอ…
ลลิตาเองก็ตกใจเช่นกัน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง รีบหันไปมองอาคันตุกะแปลกหน้าทันทีพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวอย่างไร้ทางควบคุม
เส้นแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์อาบไล้เข้ามาบอกลา กระทบกับร่างสูงสง่าจนดูโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพื้นไม้มันปลาบสีเข้ม เรือนผมสีปีกกาต้องประกายแดด ขับเน้นให้ผิวที่ขาวจัดอยู่แล้วยิ่งสว่างมากขึ้น ใบหน้าราวบรรจงเสกสร้างนั้นทำให้หญิงสาวเผลอจับจ้องอย่างลืมตัวไปชั่วขณะ
…คล้ายเคยฝากสัตย์สัญญาเอาไว้
…คล้ายเคยยึดมั่นหมดหัวใจ
…ราวกับว่าการรอคอยอันยาวนานเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดเสียที…
ความรู้สึกเหมือนเธอและเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เข้มข้น แทบจะเด่นชัดอยู่เหนือตรรกะใดๆ
…เนิ่นนานปลาสนาการคำเอื้อนเอ่ย คล้ายเวลาไม่เคยเดินตราบชั่วอสงไขย ลลิตาจึงได้สติขึ้นมาก่อน เธอยิ้มให้ชายแปลกหน้าอย่างเป็นมิตร เค้นเสียงซึ่งดูจะแหบแห้งไปแล้วขึ้นมาเอ่ยอย่างยากเย็น
“ขออภัยด้วยค่ะ แต่ว่าวังของเราปิดให้เข้าชมแล้วนะคะ”
ร่างสูงไม่ได้เอ่ยอะไร ซ้ำยังสาวเท้าเข้ามาใกล้กระทั่งหยุดยืนหน้าภาพวาดข้างกัน เขาพินิจหญิงสาวบนแผ่นผ้าใบเงียบๆ มีเพียงแววนิ่งลึกสีดำสนิทสองคู่เท่านั้นที่วูบไหวชัดเจน และก่อนที่ลลิตาจะทักท้วงขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็หันหน้ามาหาเธอช้าๆ เขาทำท่าคล้ายจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ทำเพียงมองเงียบๆ เช่นนั้น ยังแต่ความประหลาดใจและสับสนในแววตา
ลลิตากระแอมไอเล็กน้อย
“…คุณคะ”
ชายหนุ่มทำท่าคล้ายกลับจากอาการเผลอสติ เขายกยิ้มมุมปากก่อนเอ่ย
“ขอโทษครับ ผมมาถึงก่อนหนึ่งวัน…เห็นข้างนอกเงียบๆ คิดว่ากลับกันหมดแล้วเลยขึ้นมาสำรวจนิดหน่อย”
ครั้นเห็นว่าคนฟังยังมึนงงจึงยื่นมือออกมาตามธรรมเนียมฝรั่งพร้อมกล่าวเรียบง่าย
“ผมภีมครับ…ภีม ภานุวรรธน์ เจ้าของวังสวนกระจกคนใหม่”
หญิงสาวเผลออ้าปากเหวอด้วยทั้งตกใจและประหม่า ก่อนจะรีบเก็บอาการอย่างรวดเร็ว ลลิตายื่นมือไปจับกับเขาช้าๆ…ไม่ว่าจะอุปาทานหรืออะไรก็ตาม หากความอบอุ่นบางอย่างก็ปรากฏวาบ ทอดผ่านเข้ามาซึมลึกถึงหัวใจ น้ำตาพลันรื้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ฉันชื่อลลิตาค่ะ เป็นคนดูแลวังก่อนหน้านี้”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณลลิตา”
“…ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
…ท่ามกลางแสงสุดท้ายของวันที่พาดผ่าน…เขายิ้มให้เธอ และเธอเองก็ยิ้มให้เขา…เหมือนภาพสวยประหลาดที่เสร็จสมบูรณ์ยามห้วงเวลาบรรจบ
…ลมเชยหอบท่วงทำนองเพลงบทใหม่ แว่วบรรเลงจากดินแดนแสนไกล
…การรอคอยสิ้นสุดแล้ว
บทที่ 1
“เสียดาย พี่ไม่น่ากลับก่อนเลย ไม่อย่างนั้นคงจะได้เห็นหน้าค่าตาคุณชายเจ้าของวังนั่นแล้ว”
เสียงแจ้วๆ จากปลายสายเรียกรอยยิ้มขบขันจากคนฟังก่อนตอบกลับ
“ลิตาก็แปลกใจเหมือนกันค่ะพี่แอน”
ดวงตากลมโตทอดมองออกไปยังความชุลมุนพลุกพล่านของถนนยามเช้าตรงหน้า เพ่งมองจนแน่ใจว่ารถที่ตนกำลังรออยู่ยังมาไม่ถึงจึงค่อยเอ่ยต่อ
“ไม่นึกว่าจู่ๆ เค้าจะแวะเข้าไป”
“แล้วยังไงต่อ หืม มีเหวี่ยงวีนอะไรบ้างมั้ย แล้วหน้าตาเป็นยังไง หล่ออย่างที่เค้าพูดกันรึเปล่า” อดีตเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ยิงคำถามรัวเร็วอีกครั้งตามนิสัยช่างจ้อ โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพลันชะงักค้างในความคิดไปครู่หนึ่ง เมื่อภาพของชายหนุ่มและแสงสุดท้ายยามอาทิตย์อัสดงครั้งนั้นค่อยๆ เรื่อเรืองขึ้นในความทรงจำ
“ก็…ไม่รู้สิคะ ดูคุ้นหน้าแต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน”
“แล้วสรุปหล่อหรือไม่หล่อ เนี่ย อยากรู้ตรงเนี้ย” คู่สนทนายังไม่ละความพยายาม
“เอ่อ…” ลลิตาเว้นถ้อยคำไว้เช่นนั้น ก่อนจะกรอกเสียงตัดบทสนทนาอย่างรวดเร็วเมื่อรถยนต์คันหนึ่งจอดเทียบตรงหน้าพอดี “แค่นี้ก่อนนะคะพี่แอน ลิตาต้องไปแล้ว”
“อ้าว เลยยังไม่ได้ตอบพี่เลย โธ่ นานๆ ทีจะได้โทรคุยกัน ช่างเถอะ…เดี๋ยวค่อยถามใหม่ก็ได้ ขอให้โชคดีกับการสัมภาษณ์งานใหม่นะจ๊ะเด็กดี!”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณพร้อมเข้าไปนั่งข้างคนขับอย่างรวดเร็ว จัดแจงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากับรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยจึงค่อยหันไปสบตาคนข้างกาย ขณะที่อีกฝ่ายเพียงแจกยิ้มละไมแบบที่ทำให้ใครต่อใครที่ได้มองเป็นต้องเผลอยกยิ้มตาม
“รอนานหรือเปล่า ลิตา”
เสียงห้าวต่ำทักทายขณะหักพวงมาลัยกลับเข้าถนนอย่างคล่องแคล่ว เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนแย้มยิ้มอีกครั้งจนเห็นเขี้ยวเสน่ห์ ดวงตาเรียวยาวใต้ไอสะท้อนของละอองแดดยามเช้ายกโค้งเล็กน้อย ท่ามกลางกลิ่นอายของความเป็นมิตรที่กลายเป็นบรรยากาศอันชัดเจนประจำตัว
ลลิตารีบส่ายหน้าพัลวัน “ไม่เลย ขอบคุณรุจด้วยซ้ำที่แวะมารับเรา”
“เฮ้ เพื่อนกัน ไม่ต้องคิดมาก”
“ไหนจะเรื่องช่วยแนะนำงานใหม่นี่อีก ช่วยจนเราไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว” หญิงสาวยังแย้งเสียงอ่อย
“เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวเราสักชามแล้วกัน”
“หวังน้อยจัง…”
นิรุจหัวเราะกับถ้อยพึมพำนั้น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงของเขาช่วยให้ร่างบางระหงข้างกายค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายจากความตื่นเต้นก่อนสัมภาษณ์งานลงไปอักโข ดวงตากลมโตลอบมองชายหนุ่มอีกครั้ง เผลอนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ทั้งสองได้พบกันในฐานะเฟรชชี่ต่างคณะซึ่งไม่มีความคล้ายคลึงอะไรสักอย่าง หากกลับกลายเป็นมิตรภาพแน่นแฟ้นจนหญิงสาวก็ไม่อาจอธิบายได้เช่นกันว่าเพราะอะไรเธอกับนิรุจจึงสนิทสนมกันง่ายดายเพียงนี้ ราวกับว่าคุ้นชินกันมาเนิ่นนาน…
“ว่าแต่ตื่นเต้นมั้ย” ชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบพร้อมเหลือบสายตามายังเธอแวบสั้นๆ “ไม่ต้องแพนิกนะ ทำตัวสบายๆ เพื่อนเราไม่ใช่ยักษ์ใช่มารอะไรหรอก”
“แต่เพราะเป็นเพื่อนรุจนี่แหละ เราเลยเกร็งๆ กลัวทำรุจขายหน้า”
“โอ๊ย บริษัทมันก็เล็กๆ เองหรอก เพิ่งจะเปิดด้วยซ้ำ”
“ยังไงเราก็สมัครไปเป็นเลขาฯ เค้า สบายไปเดี๋ยวจะดูไม่ดี”
ลลิตาทอดถอนใจ พลิกแฟ้มในมือไปมาเพื่อตรวจทานข้อมูลซ้ำๆ อย่างที่ทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนจะทอดสายตาออกไปยังทิวทัศน์นอกรถเงียบๆ และโดยไม่รู้ตัวหญิงสาวก็เผลอสติปล่อยคลื่นความคิดไปยังอาคารสีขาวกลางดงไม้สูงอันคุ้นเคย นึกถึงกระสาลมเย็นๆ ที่โอบล้อมเรือนกระจกหลังนั้น นึกถึงม่านแดดอ่อนบางที่ส่องผ่านกลีบใบชื้นๆ ของต้นไม้เบียดเสียด และหญิงสาวคนนั้น…ภาพวาดเจ้าของดวงตาสีประหลาดผู้ยกยิ้มปริศนาผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน…
เธอคิดถึงวังสวนกระจก…
อาจเพราะลลิตาเริ่มทำงานที่นั่นเรื่อยมาตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย…ใช่ คงเป็นเช่นนั้น หญิงสาวจึงรู้สึกผูกพันเป็นนักหนา รวมไปถึงเร้นรื้นของความโหยหาแปลกๆ ซึ่งลอบติดค้างมาอย่างเงียบงันนี่ด้วย ลลิตาไม่อยากยอมรับว่ามีความรู้สึกเต็มตื้นแปลกประหลาดตอนที่ได้พบกับเจ้าของวังครั้งก่อน แต่ก็นั่นแหละ เธอสรุปไปแล้วว่าตนคงคิดไปเองเพราะความอ่อนไหวในการทำงานวันสุดท้าย
จิตใจของหญิงสาวกลับมาครึกโครมอีกครั้งเมื่อนิรุจเลี้ยวรถเข้าไปยังเขตอาคารรูปทรงแปลกตาซึ่งโอบล้อมไปด้วยต้นไม้พุ่มใบเขียวสดอย่างพอเหมาะพอเจาะ มันเป็นตึกเพียงสองชั้นทว่ากลับให้ความรู้สึกชวนตื่นตาอย่างน่าประหลาด อาจเพราะที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในละแวกที่ดินราคาแพงระยับ หรือเพราะการออกแบบอันสวยงามซับซ้อนตรงหน้าก็ไม่ทราบได้
“นี่เหรอ บริษัทเล็กๆ ที่รุจบอก” ลลิตาพึมพำอึ้งๆ
“บริษัทเล็ก แต่เงินหนาไงครับ” คำตอบเคล้าเสียงหัวเราะ “ตื่นเต้นเหรอ ให้เราไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“ฮื้อ เราไม่ใช่เด็กนะ”
ลลิตารู้ว่าอีกฝ่ายเอ่ยด้วยเป็นห่วงจริงๆ มากกว่าเย้า กระนั้นก็ยังอดรู้สึกทั้งฉุนทั้งอายไม่ได้ หญิงสาวรีบลงจากรถ โบกมือลา ก่อนจะหันกลับมามองตึกกึ่งโฮมออฟฟิศตรงหน้าอีกครั้ง กระสาเชยของสายลมหอบหนึ่งระรินคว้างกลางอากาศ คล้ายจะผลักดันลลิตาให้ก้าวเข้าไปในนั้นพร้อมกลิ่นหอมอ่อนจางไร้ที่มาและไม่อาจบอกได้เลยว่าเป็นกลิ่นของอะไร…กรุ่นละมุนติดปลายนาสิกราวกับโอบกอดเธอไว้
…กลิ่นหอมแสนเศร้า กลิ่นหอมของอดีต…
เจ้าของดวงหน้างามรีบสลัดความรู้สึกแปลกประหลาดรุมเร้าออก สาวเท้าเข้าไปติดต่อประชาสัมพันธ์ ก่อนจะก้าวตามการนำทางเข้าไปในห้องประธานบริษัทซึ่งโปร่งและสว่างอย่างยิ่งด้วยกระจกใสที่เผยให้เห็นแมกไม้เขียวขจีด้านนอก แล้วตอนนั้นเองที่ระยับใบยอดอ่อนค่อยๆ ขยับเพื่อมราวจะสั่นพลิ้วตามกงล้อของโชคชะตา ดอกไม้กลีบบางระริกไหวก่อนลอยล่อง ดุจรับขานการกลับมาพบกันอีกครั้งดังสัตย์สัญญา…
ลลิตาสบตากับเจ้าของร่างสูงสง่ากลางโต๊ะทำงาน ก่อนจะเผลอเอ่ยกระซิบอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“คุณ…ภีม!?”
ความรู้สึกอยากร้องไห้จู่โจมเธอโดยไม่รู้ตัว ท่วมทะลักขึ้นจนหญิงสาวต้องข่มกลืนกระทั่งเผลอก้าวถอยหลัง พร้อมกับคำถามสาดซัดประดังประเดว่าทำไม…ลลิตาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนกันแน่
“คุณ…ที่วังสวนกระจกคราวนั้น”
อีกฝ่ายจับจ้องมายังเธอพร้อมประกายครุ่นคิดในแววตา
“คุณเป็นคนที่ไอ้รุจแนะนำมาเหรอ”
อะไรบางอย่างในท่าทีและคำพูดของเขาทำให้หญิงสาวชะงักครู่สั้นๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังใช้เส้นสายและภีมก็กำลังดูแคลนเธอในข้อนี้อยู่ และหากเอาเข้าจริงๆ เมื่อพยายามสลัดห้วงอารมณ์โหยหาประสมโศกซึ้งไร้ที่มานี่ออก ร่างสูงตรงหน้าก็คล้ายรูปสลักไร้อารมณ์อย่างไรอย่างนั้น ราวกับว่าลลิตากำลังเคว้งคว้างกลางทะเลวิปโยคแต่เพียงผู้เดียว ขณะที่อีกฝ่ายเพียงชำเลืองผ่านชะง่อนหินเบื้องบน
ความน้อยใจค่อยๆ แผ่วพลิ้วลงมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ปรากฏขึ้นทั้งๆ ที่หญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าตนจะน้อยใจด้วยเรื่องอะไร ลลิตาอับจนถ้อยคำเพราะนิรุจแนะนำให้เธอมาลองสมัครงานเลขาฯ ที่นี่จริงๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น เขาแค่ ‘แนะนำ’ ไม่ได้ ‘ฝากฝัง’
ขณะที่คิดว่าควรชี้แจงความแตกต่างนี้ อีกฝ่ายก็ผายมือให้เธอนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะทำงานเสียก่อน ร่างระหงทำตามอย่างช่วยไม่ได้ ลลิตาข่มใจให้สงบลงอีกครั้ง จำกัดตัวเองในความเงียบนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาราวคืนเดือนมืดของเขากำลังจับจ้องตนอยู่…พินิจมองเหมือนเจอสิ่งสำคัญซึ่งพลัดหายไปเนิ่นนาน และก็เป็นตอนที่หญิงสาวบังเอิญสบมองพอดีที่ภีมพลันเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว
“ที่ผ่านมา…เป็นยังไงบ้าง”
…ถ้อยถวิลราวทอดเสียงอ่อนผ่านกาลเวลา แฝงไปด้วยความรู้สึกทั้งโหยหาและอาดูรหลังการพรากจาก ไม่ใช่แค่เพียงคนฟังเท่านั้นที่ชะงักงัน หากรวมไปถึงคนพูดเองด้วยที่มีท่าทางประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ภีมกระแอมเบาๆ ก่อนเรียบเรียงคำใหม่ทันที
“ผมหมายถึง หลังจากเจอกันที่วังสวนกระจกครั้งก่อน…คุณสบายดีมั้ย”
“อ้อ…ค่ะ ฉันสบายดี” ว่าพลางยื่นแฟ้มไปให้ “นี่เรเฟอเรนซ์ข้อมูลเพิ่มเติมของฉันค่ะ”
“ข้อมูลพวกนั้นผมอ่านจากใบสมัครของคุณก็ได้ เรามาคุยกันในสิ่งที่คุณไม่ได้กรอกลงไปดีกว่า” ชายหนุ่มว่าพลางยักไหล่อย่างไร้แยแส “เห็นว่าคุณทำงานที่วังสวนกระจกตั้งแต่เรียนจบ ผมอยากรู้ว่าทำไม”
“คะ?”
“งานวิทยากรในวังเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียง เงินน้อย แถมยังน่าเบื่อ อะไรทำให้คุณทนทำงานอยู่ที่นั่นเสียนานสองนาน”
ราวกับว่าอาการเมื่อครู่ทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา ภีมเปลี่ยนท่าทางกลับมาเป็นตัวของตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อเริ่มจริงจังกับการสัมภาษณ์…ท่าทางซึ่งแสนเย็นชาหากกลับดูคุ้นเคยในสายตาคนมองอย่างน่าประหลาด
“ฉันไม่ได้ฝืนทนอะไรหรอกค่ะ” ว่าพลางจ้องเข้าไปในดวงตาคู่คมเพื่อย้ำชัดว่าตนไม่ได้กล่าวคำปด “ไม่ได้จะพูดเพื่อเอาใจนะคะ แต่ฉันชอบวังสวนกระจกจริงๆ ชอบจนไม่ได้สนปัจจัยอื่นนอกจากอยากทำงานที่นั่น อยากดูแล อยากรักษา อยากปกป้องเรื่องราวของวังไว้ไม่ให้หายไปตามกาลเวลา และก็คงอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ ถ้าวังไม่ถูกปิดไปเสียก่อน”
คนฟังยกคิ้วขึ้นทันที
“คุณพูดซะเหมือนผมเป็นตัวร้ายที่ทำให้คุณต้องเสียงาน”
“ฉันไม่มีเจตนาแบบนั้นนะคะ” หญิงสาวลอบร้อนรนในใจ “ฉันเข้าใจดีว่าวังสวนกระจกเป็นสมบัติส่วนตัว คุณมีสิทธิ์เต็มที่ในการตัดสินใจและฉันเองก็เคารพเหตุผลข้อนี้ค่ะ”
ภีมเอนไหล่กว้างพิงพนักเก้าอี้พลางแค่นยิ้มเย็นชา “คุณกำลังประชด หรือประจบผมกันแน่”
“ฉันตอบตามความจริงค่ะ”
“จะบอกว่าไม่รู้เลยเหรอว่าผมเป็นเพื่อนกับนิรุจ และเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณกำลังสมัครงานอยู่”
“เท่าที่ฉันรู้คืองานเลขาฯ ของฉันต้องทำอะไรบ้าง ตามระเบียบคุณสมบัติที่ประกาศเอาไว้ และรายละเอียดโดยสังเขปว่าที่นี่เป็นบริษัทรับออกแบบบ้านและอาคารที่เพิ่งเปิด เจ้าของเป็นสถาปนิกที่เพิ่งจบปริญญาโทมาจากต่างประเทศค่ะ”
“โอ…เค”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับขณะควงปากกาในมือเล่น สายลมด้านนอกพัดไหวกิ่งใบให้โยกเอนจนดอกไม้เล็กๆ สีขาวปลิดคว้างกลางอากาศอีกครั้ง แล้วดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นก็เบนกลับมาพินิจเธออย่างเงียบงัน…
ลลิตาไม่ใช่คนอยากได้ใคร่มี ชีวิตของเธอออกจะจืดชืดและนานๆ ครั้งจึงจะมีเรื่องให้กระตุ้นความต้องการบ้าง อย่างเช่นการอยากทำงานในวังสวนกระจกตั้งแต่ครั้งแรกที่อาคารทรงโคโลเนียลหลังนั้นปรากฏแก่สายตา และคราวนี้แม้จะยังแปลกใจอยู่บ้าง แต่ลลิตาก็ยอมรับว่าเธออยากทำงานกับภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยา
ใช่…กับผู้ชายท่าทางเย็นชา ไร้แยแส และดุเสียจนทำให้เกิดเสียงครึกโครมไร้ที่มาอยู่ในใจหลายต่อหลายครั้งคนนี้
“วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน ขอบคุณคุณที่ให้ความร่วมมือตอบคำถาม ทางเราจะติดต่อกลับไปอีกที”
หญิงสาวรับคำอย่างว่าง่าย ทว่าในชั่วขณะก่อนก้าวออกจากห้องนั่นเอง พลันดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็หันกลับไปหาร่างสูงสง่าพร้อมถ้อยคำที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังควบคุมไม่ทัน
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะคะ”
ภีมชะงักค้าง ครั้นเห็นว่าลลิตามีท่าทีตกใจกับคำพูดของตนเช่นกันก็ได้ให้ระบายลมหายใจอย่างไม่ถือสา ทั้งยังพยักหน้ารับเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเก้อ
“ครับ…ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง”
…ไม่มีใครเลย ทั้งเขาและเธอ ที่รู้ว่าต้องรอคอยนานแสนนานเพียงใด…กว่าจะสามารถเอ่ยคำนี้ได้ในที่สุด
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 พ.ค. 62
Comments
comments