บทที่ 5
เพื่อมาร์กี้กับลีโอ
หลังจาก ‘อัมพิกา’ แม่ของมาร์กี้และลีโอเสียชีวิตลง เด็กทั้งสองก็อาศัยอยู่กับ ‘อัมรา’ ผู้เป็นยาย และ ‘อินทิรา’ ผู้เป็นน้ามาตลอด ซึ่งเจสก็ไปเจอหน้าลูกและหาโอกาสใช้เวลาร่วมกับพวกเขาให้บ่อยเท่าที่จะทำได้ เขาค่อยๆ สนิทสนมกับลูกมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เด็กๆ เปิดใจให้และยอมรับเขาเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งนั้นมาจากความช่วยเหลือของคนรอบข้าง โดยเฉพาะแซค…ลูกพี่ลูกน้องของเจสเอง และภรรยาของแซค รวมถึงเพื่อนๆ ของหล่อนด้วย โดยเฉพาะณชา…
แต่เนื่องจากตอนนี้อินทิรากำลังจะแต่งงาน แล้วหลังจากงานแต่งหล่อนมีความจำเป็นต้องย้ายไปอยู่บ้านสามี โดยจะพาผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังล้มป่วยด้วยอาการโรคหัวใจกำเริบไปอยู่ด้วย ทำให้อินทิราจำใจต้องมาเจรจากับเจสเรื่องที่จะให้หลานๆ ย้ายไปอยู่กับเขาแทน ซึ่งที่ผ่านมาเธอคอยแต่จะปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวของเขาเสมอ และพยายามหาทางออกอื่นมาโดยตลอด จนในที่สุดก็หมดทางเลือก
เนื่องจากเจสต้องเดินทางอยู่ตลอด ทำให้อินทิรามีความกังวลอย่างหนักว่าเขาจะดูแลเด็กๆ ได้ไม่ดีเท่าที่ควร เธอจึงเสนอให้เจสลองคุยกับเจมี่ดูว่าจะให้หล่อนย้ายไปอยู่ที่บ้านเขาพร้อมกับน้องๆ ด้วย เพื่อที่มาร์กี้กับลีโอจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมากนักหากเจสไม่มีเวลาให้
“แต่พูดตามตรงนะคะ ว่าจริงๆ แล้วเจมี่ก็คงแทบจะช่วยคุณดูแลเด็กๆ ไม่ได้เลย” อินทิรากล่าวอย่างหนักใจ “บางที…ฉันน่าจะไปคุยเรื่องนี้กับแซคและภรรยาเขามากกว่า”
“ไม่ครับ ผมจะดูแลลูกเอง”
“แต่ว่า…”
“ผมทราบครับว่าคุณเป็นห่วง แต่ลองให้โอกาสผมดูสักครั้ง ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด และจะลองพูดกับเจมี่ให้แกยอมย้ายมาอยู่ด้วยให้ได้”
โดยรวมแล้วบุคลิกลักษณะของเจสจะดูจริงจัง เป็นคนค่อนข้างน่าเชื่อถือ และดูมีความน่าไว้ใจเป็นอย่างดีแทบทุกอณู แม้เมื่อคิดถึงคุณสมบัติโดยรวมของเขาบวกกับเหตุผลและปัจจัยแวดล้อมต่างๆ แล้ว อินทิรารู้สึกว่ามันเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เจสจะสามารถดูแลมาร์กี้และลีโอได้ดีเท่าที่เธอหวัง ทว่าท่าทีของเขาตอนนี้มันทำให้เธออยากจะลองเชื่อใจเขาดู เพราะเธอเองก็ไม่ได้มีทางเลือกอะไรมากนัก…
“ตอนนี้เจมี่กับน้องๆ เข้ากันได้ดีขึ้นแล้วจริงๆ ใช่ไหมคะ แกจะรำคาญเด็กๆ บ้างไหมคะถ้าต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน อินกลัวว่า…ถ้าเด็กๆ ทำให้รำคาญจนแกทนไม่ได้ แกอาจจะเผลอทำอะไรให้น้องๆ เสียใจ อินไม่อยากให้มาร์กี้กับลีโอมีปมอะไรมากไปกว่านี้” อินทิราถามอย่างเป็นห่วง เพราะครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเจมี่อยู่กับเด็กๆ หล่อนก็ยังไม่ได้มีท่าทีรักใคร่ผูกพันกับน้องๆ เท่าไหร่นัก แม้จะไม่ใช่คนที่ดูเลวร้ายอะไรเลย แต่เจมี่ก็หาใช่คนอ่อนหวานนุ่มนวล หรือมีท่าทีอ่อนโยนต่อเด็กๆ มากนัก แม้เธอจะพยายามมองอย่างไม่มีอคติแล้วก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“คุณอินอย่าห่วงเลยครับ พักหลังผมให้ลูกได้เจอกันค่อนข้างบ่อย ตอนนี้เจมี่เลยปรับตัวเข้ากับน้องๆ ได้ดีพอสมควร” เจสพยายามยิ้มอย่างให้ความมั่นใจกับอีกฝ่าย
“แล้วคุณ…ยังไม่มีแผนจะแต่งงานกับใครสักคนเร็วๆ นี้เลยหรือคะ”
เจสเลิกคิ้ว ก่อนจะหัวเราะเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้าด้วยท่าทางราวกับรู้สึกผิดและเสียใจอย่างสุดซึ้ง “ไม่ครับ ไม่มีเลย ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
อินทิราได้แต่ยิ้มแหยๆ ตอบเขาไป หญิงสาวรู้ดีว่าเจสคบกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาพอสมควร แต่พอใคร่ครวญดูอย่างดีแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่มีใครที่น่าจะเป็นแม่เลี้ยงที่ดีของมาร์กี้กับลีโอได้เลย ยิ่งเมื่อคิดถึงบางเวลาที่เด็กๆ จะทั้งดื้อหรือซนจนน่าปวดหัว…หากไม่ใช่ผู้ที่มีพื้นฐานเป็นคนใจเย็นและรักเด็กโดยธรรมชาติ หรือไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับเด็กทั้งคู่เป็นพิเศษแล้วล่ะก็ คงไม่มีใครอดทนและใจดีได้นานนัก…
“แล้วไม่มีใครที่พอจะมาช่วยดูแลเด็กๆ ได้เลยหรือคะ นอกจากเจมี่แล้ว…”
“คุณอินครับ คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ ผมจะพยายามให้ดีที่สุด” เจสยืนยันให้ความมั่นใจกับเธอด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่มุ่งมั่นอย่างหนักแน่น อย่างน้อยก็เพื่อให้อีกฝ่ายเกิดความสบายใจมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง ทั้งที่จริงแล้วตัวเขาเองก็ยังนึกไม่ออกว่าควรทำอย่างไรจึงจะเป็นผลดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย
แต่อย่างน้อยเจสก็มั่นใจว่า เขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมเจมี่ได้ และจะหาพี่เลี้ยงที่ดีที่สุดมาช่วยดูแลลูกๆ ได้โดยเร็วเช่นกัน…
ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว หลังจากนั้นเพียงไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง เจสก็สามารถหาพี่เลี้ยงที่ถูกใจมาช่วยดูแลลูกชายเขาได้ถึงสองคน แต่กลับไม่สามารถตกลงกับเจมี่ได้ง่ายเท่าที่คิดไว้
เขานัดเจอกับเจมี่ทันทีหลังจากคุยกับอินทิราเรียบร้อย แต่พออีกฝ่ายได้ฟังข้อเสนอที่เขาจะให้ย้ายไปอยู่ด้วยที่บ้านพร้อมกับมาร์กี้และลีโอ เจมี่ก็เบ้ปากและส่ายหน้ารัวๆ อย่างไม่คิดจะหยุดพิจารณาแม้แต่เสี้ยววินาที หล่อนเอ่ยอ้างถึงเหตุผลที่ฟังดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยนับสิบๆ ข้อ และสรุปว่าจะไม่ย้ายออกจากคอนโดฯ ไปอยู่กับเขา
นับตั้งแต่การเจรจาดังกล่าวล้มเหลว เจมี่ก็แทบจะไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาง่ายๆ อีกเลย หรือถึงแม้จะยอมรับการติดต่อ แต่ก็ปฏิเสธที่จะคุยเรื่องการย้ายที่อยู่ซ้ำอีก ไม่ว่าเขาจะยื่นเงื่อนไขอะไรก็ตาม…
“เจมี่จะช่วยคิดให้เอง…ทางที่ดีที่สุดแด๊ดดี้ควรให้น้องไปอยู่กับแซคกับพี่ดีดี้ บ้านนั้นมีความพร้อมและเต็มใจรับอุปการะสองคนนั้นไว้อย่างแน่นอน เชื่อสิคะ” คำแนะนำเจื้อยแจ้วทางโทรศัพท์จากเจมี่ทำให้เจสเผลอแสดงสีหน้ารังเกียจอย่างรับไม่ได้ออกมาแวบหนึ่ง
“แด๊ดดี้จะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด ลูกหยุดพูดเรื่องยกน้องให้คนอื่นได้แล้ว”
“ทำไมคะ อยู่ๆ แด๊ดดี้จะมาอยากเป็นคุณพ่อดีเด่นอะไรเอาป่านนี้ มันสายไปแล้วล่ะค่ะ ที่สำคัญ…แด๊ดดี้ทำไม่ได้หรอก อย่าดันทุรังเลยดีกว่า เอาเวลาไปดูแลบรรดาผู้หญิงของแด๊ดดี้อย่างเดิมเถอะ”
“เจมี่!”
“อย่ามาขึ้นเสียงดุเจมี่แบบนี้นะ เจมี่พูดความจริง ถ้าแด๊ดดี้ยังดึงดันจะเอาน้องมาอยู่ด้วยทั้งที่ตัวเองไม่สามารถดูแลให้ดีได้ อีกหน่อยเจ้าลิงสองตัวนั่นจะต้องโตมาเป็นวัยรุ่นที่มีปัญหาแน่นอน ดูเจมี่เป็นตัวอย่างก็ได้นี่คะ…ถ้าแด๊ดดี้อายที่จะยกน้องให้แซคดูแล ก็ให้น้องไปอยู่กับน้าอินยายอัมอย่างเดิมดีกว่า แล้วแด๊ดดี้ก็ช่วยเหลือเขาด้วยวิธีอื่นแทน อย่างเช่นรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพี่เลี้ยง เรื่องบ้าน หรืออะไรทำนองนั้น ถ้าแด๊ดดี้ยอมจ่ายอย่างเต็มที่…ครอบครัวใหม่ของน้าอินก็คงไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กๆ ย้ายเข้าไปอยู่ด้วย”
“ไม่ แด๊ดดี้จะไม่ทำแบบนั้น!”
เจมี่ถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยหน่าย “ก็แล้วแต่นะคะ งั้นเจมี่จะไม่รับรู้อะไรด้วยแล้ว ที่แน่ๆ คือเจมี่จะไม่ย้ายไปอยู่กับแด๊ดดี้เด็ดขาดไม่ว่ายังไงก็ตาม แค่นี้นะคะ บายยย!”
เจสได้แต่กัดฟันกรอดอย่างจนปัญญาจะบีบบังคับลูกสาวคนเดียวของเขาได้ เขาไม่ได้เลี้ยงดูเจมี่มา และก็ไม่ใช่พ่อที่ดีเลยสักนิดเดียว อย่าว่าแต่อำนาจในการกะเกณฑ์เรื่องต่างๆ ในชีวิตลูกเลย แม้แต่การจะดุด่าว่ากล่าวตักเตือนอะไรสักอย่างเขาก็ยังไม่มีสิทธิ์จะทำกับลูกได้ด้วยซ้ำ แค่ลูกเปิดใจยอมรับเขาเข้าไปในชีวิตในฐานะพ่ออย่างทุกวันนี้ ก็ต้องนับว่าดีเท่าไหร่แล้ว ถ้าเทียบกับความผิดที่เขาเคยปล่อยปละละเลยทั้งแกและแม่ของแกมาตลอด
ณชาประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นสายโทรเข้าจากเจสบนจอมือถือตัวเอง เธอมองมันด้วยความพิศวงงงงวยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับสายด้วยน้ำเสียงสดใสที่เต็มไปด้วยจริตมารยาเกินร้อยเช่นเคย ทว่าจริงๆ ก็ใช่ว่าเจสจะไม่เคยโทรถึง เพราะเวลาที่มีเรื่องจะขอให้เธอช่วยเกี่ยวกับเจมี่หรือมาร์กี้และลีโอ เขาก็จะติดต่อมายังเธอเสมอ แม้จะไม่บ่อยก็ตาม
“สวัสดีค่ะเจส ดีใจจังที่คุณโทรมา กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“หลายวันแล้วครับ คือผมมีเรื่องจะขอรบกวนให้ช่วยเหลือนิดหน่อย คุณพอจะมีเวลาว่างไหมมาเจอกันไหม”
“ขอความช่วยเหลือ? จากฉันหรือคะ”
“ครับ ใช่”
“ว่างสิคะ ว่างเสมอเลย…สำหรับคุณ” เรียกได้ว่าอาจเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่เจสรู้สึกยินดีกับไมตรีที่ณชาทอดมาให้อย่างไม่สงวนท่าที เขาจึงกล่าวขอบคุณเธอออกไปอย่างจริงใจที่สุดเท่าที่เคยทำมาก่อน แล้วจึงถามว่าตอนนี้เธอสะดวกจะให้เขาไปรับได้ที่ไหน
“มารับตอนนี้เลยหรือคะ”
“ครับ หรือคุณติดงานอะไรอยู่”
“ค่ะ งานยังไม่เสร็จเลย ฉันขอเวลาอีกสักสองชั่วโมงได้ไหม ถ้ายังไง…คุณบอกสถานที่ที่จะนัดเจอกันมาเลยก็ได้ แล้วฉันจะรีบไปเจอคุณเองหลังจากเสร็จงาน”
“ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าอีกสองชั่วโมงผมจะไปรับ”
ณชาฟังแล้วถึงกับเลิกคิ้วอย่างอึ้งๆ ก่อนจะบอกไปว่าให้เขามารับเธอได้ที่ไหนในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า เชื่อแน่ว่าสิ่งที่เจสจะขอความช่วยเหลือมันต้องเป็นเรื่องสำคัญชนิดคอขาดบาดตายไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นคนอย่างเจสคงไม่ลงทุนทำถึงขนาดนี้…
หญิงสาวได้แต่ฟุ้งซ่านและคาดเดาไปต่างๆ นานาอยู่คนเดียวจนกระทั่งเจสมาถึงในเวลาประมาณสามชั่วโมงถัดมา เขามารับเธอด้วยรถตู้ส่วนตัวพร้อมคนขับ แต่ระหว่างทางชายหนุ่มก็เอาแต่ชวนคุยเรื่องอื่นเรื่อยเปื่อย โดยไม่ยอมปริปากถึงประเด็นที่ตั้งใจจะขอร้องเธอวันนี้ง่ายๆ ถึงแม้ณชาจะอยากรู้อยากเห็นจนตัวสั่น แต่เธอก็รักษาท่าทีโดยคิดจะเอ่ยปากถามก่อน จนกระทั่งเจสเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาเองตอนที่อยู่ในร้านอาหารด้วยกัน ซึ่งพอได้ฟังแล้วณชาก็แอบอุทานอยู่ในใจ…ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ!
“ความเป็นไปได้มันน้อยมากเลยนะคะ ที่เจมี่จะยอมรับฟังข้อเสนอหรือคำขอร้องจากฉัน จนยอมย้ายไปอยู่บ้านคุณพร้อมกับน้องๆ”
“ผมรู้ครับว่ามันไม่ง่าย แต่นอกจากคุณผมมองไม่เห็นใครอีกแล้วที่เจมี่จะยอมรับฟัง”
“ไม่มีหรอกค่ะคนที่เจมี่จะยอมฟัง ไม่มีเลยจริงๆ” ณชาบอกกับเขาด้วยความสิ้นหวังและเสียใจ “แม้แต่ฉันก็คงช่วยอะไรเรื่องนี้ไม่ได้เลย”
“ถ้าคุณแค่ช่วยไปพูดให้เจมี่เห็นแก่น้องๆ มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมรับฟังง่ายๆ แต่ว่า…หากคุณไปบอกว่าคุณจะย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านผมด้วย…เจมี่อาจจะยอม”
“…”
“เท่าที่ผมเห็นคือคุณเป็นเพื่อนสนิทที่เจมี่ชอบไปค้างด้วยมากที่สุด เขาคอยแต่จะหาเรื่องไปรบกวนคุณบ่อยจนบางทีคุณต้องปฏิเสธและไล่ให้เขากลับบ้านตัวเองบ้าง ผมเลยเชื่อว่าถ้าคุณย้ายไปอยู่ที่บ้านผมพร้อมมาร์กี้และลีโอ เจมี่จะต้องยอมทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจังแน่”
“ให้ฉันย้ายไปอยู่ที่บ้านคุณด้วยน่ะหรือคะ?” ณชาถามอย่างงงๆ และไม่อยากจะเชื่อ
ในขณะที่หัวใจเธอกลับเต้นแรงมากด้วยความตื่นเต้นยินดีแกมพิศวง มันเหลือเชื่อจริงๆ ที่คนอย่างเจสจะยอมให้เธอย้ายไปอยู่ด้วยที่บ้านเขา…ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพราะที่ผ่านมาเขาคอยแต่จะหลบหลีกเธอตลอด แม้จะไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจ ทั้งยังใจดีกับเธอเสมอ แต่ณชารับรู้ได้ชัดเจนเสมอว่าเขาอึดอัดและกังวลต่อการทอดสะพานของเธอไม่น้อย
“ครับ ใช่”
“พี่ท็อปกับพี่ซีไม่ยอมแน่ๆ ไม่มีทางหรอก” ณชาพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงคนที่เป็นเสมือนผู้ปกครองของเธอ แล้วหัวใจที่สั่นระรัวอยู่ก็ค่อยๆ สงบจนเหี่ยวฟีบลง “ยิ่งคุณพริ้งด้วยแล้ว…ถ้าฉันทำแบบนั้นเธอต้องฆ่าฉันจนตายคามือแน่ๆ!”
เจสเลิกคิ้วมองเธอแล้วหัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทางอ่อนใจ แบบที่ณชาเองก็ดูไม่ออกว่าเขามองเธอด้วยสายตาเอ็นดูเหมือนเธอเป็นเด็กโง่ๆ หรือจงใจเยาะหยันว่าเธออายุขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่รู้จักโตกันแน่
“คุณไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะณชา เรื่องแบบนี้ต้องถามความเห็นเพื่อนด้วยหรือครับ”
“พวกเขาไม่ใช่แค่เพื่อนค่ะ” ณชาเน้นเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ใช่เพื่อนแล้วเป็นอะไร เท่าที่ผมเห็น…พวกเขาก็เป็นแค่เพื่อนนี่”
“พูดไปคุณก็คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ” ณชาบอกปัดเพราะขี้เกียจอธิบายให้มากความถึงมิตรภาพระหว่างเธอกับคนเหล่านั้น
“แต่พวกเขาอาจจะยอมเห็นแก่มาร์กี้และลีโอบ้าง…”
“ถ้ามองในแง่นั้นล่ะก็ คุณพริ้งอาจจะเห็นแก่มาร์กี้และลีโอมากเสียจนไม่ยินดีให้พวกแกย้ายไปอยู่กับคุณและเจมี่ แต่จะหาทางออกอื่นที่ดีกว่าให้แทน”
เจสฟังแล้วฉุนกึกทันควัน เขานิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะย้ำ “มาร์กี้กับลีโอเป็นลูกผม ทำไมการไปอยู่กับคนอื่นถึงจะดีกว่าการอยู่กับพ่อแท้ๆ ของพวกเขาได้!”
“คุณอยากฟังคำตอบจากฉันจริงๆ หรือคะเจส ฉันโกหกไม่เก่งเสียด้วยสิ”
เสียงหวานๆ กับสีหน้าของคนพูดทำให้เจสเม้มปากแน่น เธอช่างปั้นหน้าปั้นตาตั้งคำถามได้ใสซื่อบริสุทธิ์ชนิดที่ทำให้เขารู้สึกถึงความประชดประชันอย่างรุนแรงจนสะอึก จากที่เจสเคยรู้สึกแค่รำคาญณชานิดๆ ตอนนี้เขาว่าเขาเริ่มจะเกลียดเธอขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะ!
“ผมขอร้องล่ะณชา…” เขาข่มใจอ้อนวอนเธอ อย่างน้อยก็มั่นใจว่าเธอยังคงมีใจให้เขาอยู่ไม่น้อย แม้ตอนนี้มันจะดูจืดจางลงไปจากที่เขาเคยจำได้ค่อนข้างมาก…
“ฉันจะลองพูดกับเจมี่ดูก็ได้ค่ะ” ณชาพูดพลางถอนหายใจยาวๆ
“ผมถามหน่อยได้ไหม ทำไมคุณถึงไม่อยากย้ายไปอยู่กับผม…”
ณชาเบิกตาโตและเกือบหลุดเสียงอุทานออกมาอย่างดัดจริตขั้นสุด เธอตกใจเบาๆ ที่น้ำเสียงและสายตาของเจสตอนนี้ดูราวกับว่าเขากำลังพยายามอ้อนวอนขอความรักจากเธอกระนั้น และถึงจะรู้ว่าเขาจงใจทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวบางอย่าง แต่หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเผลอดีใจแกมหวั่นไหวจนเคลิ้ม
“ทำไมจะไม่อยากล่ะคะ ฉันอยากมากๆ เลยนะ แต่…ไม่แน่ใจว่าต่อให้ฉันเสนอตัวขนาดนั้นแล้วเจมี่จะยอมโอเคด้วยไหม เพราะคุณก็รู้ว่าเจมี่เขาชอบพาผู้ชายมาค้างคืนด้วยแทบทุกอาทิตย์ แม้แต่เวลาไปที่ห้องฉัน…ฉันก็ปล่อยตามใจเขาและไม่เคยว่าอะไรเลย แต่ถ้าให้เขาย้ายไปอยู่บ้านคุณล่ะก็ อิสระในส่วนนั้นก็อาจจะต้องหมดไป…จริงไหมคะ ซึ่งฉันคิดว่าเขาคงไม่โอเคเท่าไหร่”
“แต่ผมเชื่อนะว่า ที่เจมี่ทำตัวเหลวไหลแบบนั้น มันเป็นเพราะเขาเหงามากกว่าอย่างอื่น”
“…”
“ถ้าได้ย้ายไปอยู่กับผม โดยที่มีน้องๆ และมีคุณอยู่ด้วยในบ้านหลังเดียวกัน เรื่องนั้นอาจจะไม่สำคัญสำหรับเขาอีกก็ได้”
“แน่ใจหรือคะว่ามันเกี่ยวกัน ฉันว่ามันเป็นการเติมเต็มคนละส่วนที่ไม่น่าจะทดแทนกันได้เลยนะ เพราะหากเป็นคุณ…คุณจะเลิกควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าได้หรือถ้ามีลูกๆ มาอยู่ด้วยอย่างอบอุ่นเต็มบ้าน”
สุ้มเสียงและหน้าตาใสซื่อของณชาทำให้เจสสะอึก แล้วก็ต้องแอบบวกลบคูณหารอายุเขากับเธออยู่ในใจเงียบๆ ก่อนจะรู้สึกเหมือนเกลียดขี้หน้าเธอขึ้นมาอย่างจับใจ ปกติแล้วเขาค่อนข้างเอ็นดูณชาพอสมควร อย่างน้อยก็ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนกับลูกสาว แม้จะไม่เคยรู้สึกว่าเธอเองก็เป็นเหมือนลูกสาวคนหนึ่งของเขา แต่ก็ไม่เคยรังเกียจที่เธอพยายามทอดไมตรีเพราะมีใจให้ อาจจะตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกแย่…
“เห็นไหม คุณเองก็ทำไม่ได้ซะหน่อย แล้วทำไมถึงคาดหวังว่าเจมี่จะต้องทำได้”
“ผมอาจจะไม่เคยทำได้ และไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าตั้งใจจริงผมก็ทำได้ มันจะไปยากอะไร”
“เหรอคะ…”
“เรามาลองดูก็ได้…ถ้าคุณทำให้เด็กๆ ย้ายไปอยู่กับผมได้เมื่อไหร่ ผมจะลองเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมๆ ที่เคยเป็นให้ดู…”
“โหยยย!”
“อะไร?” ปฏิกิริยาของณชาทำเอาชายหนุ่มต้องนิ่วหน้าถามอย่างไม่ไว้ใจทันที
เจสไม่ชอบน้ำเสียงบวกสีหน้าท่าทีกวนประสาทชนิดนี้ของเธอเอาเสียเลย ในฐานะผู้หญิงที่ประกาศตัวว่าหลงใหลได้ปลื้มและปรารถนาในตัวเขาอย่างสุดหัวใจ…ณชาไม่น่าจะแสดงท่าทีเช่นนี้ตอบกลับมาหลังจากเขาพยายามหว่านเสน่ห์ใส่เสียขนาดนั้น เท่าที่เจสจำได้…ยังไม่เคยมีใครทำให้เขาขัดอกขัดใจหรือขวางหูขวางตาได้เท่าที่ณชาทำมาก่อนเลย หรือบางทีตอนนี้เธออาจจะไม่ได้ชอบเขาเท่าที่เคยแล้วจริงๆ…
“ฉันก็รู้สึกกดดันมากๆ เลยน่ะสิคะ การที่คุณทุ่มเทเดิมพันด้วยเรื่องที่น่าจะสำคัญต่อชีวิตคุณมากขนาดนั้น มันทำให้ฉันใจสั่นและอยากลองมากเลย”
“ก็ลองดูได้นี่ครับ” เขามองเธออย่างท้าทายอีกครั้ง แต่ก็ต้องข่มความหงุดหงิดที่เกิดจากการเห็นว่าณชากำลังแกล้งพูดจาแดกดันเขาอยู่เอาไว้ เจสเชื่อว่าที่เป็นแบบนี้อาจเพราะเธอเห็นว่าตอนนี้ตัวเองเป็นต่อ จึงได้ทีเอาคืนเขา “ว่าไงครับ อยากลองดูไหม ผมอาจจะไม่มั่นใจนักว่าจะเลิกควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าได้จริงๆ แต่ก็เคยหวังไว้เหมือนกันว่าการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ขึ้น…จะช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง”
“…”
“จะลองช่วยในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนสนิทเจมี่ หรือในฐานะคนที่รู้สึกดีกับผมก็ได้นะณชา”
แม้น้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยแววถือดีของเจสจะทำให้ณชารู้สึกหมั่นไส้นิดๆ แต่เขาก็ยังสามารถทำให้เธอเกิดอาการวาบหวามในอกอย่างบรรยายไม่ถูกอยู่นั่นเอง
เจสรู้ดีถึงเสน่ห์อันแรงกล้าของตัวเอง และย่อมมั่นใจด้วยว่าเขายังมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเธอไม่น้อย เขาจึงเลือกที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
ใจหนึ่ง…ณชาก็ไม่ได้อยากจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องในครอบครัวของเจสมากไปกว่านี้ แต่อีกใจเธอก็อยากลองทำตามการท้าทายของเขาดูสักหน่อย เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายโอกาสดีๆ แบบนี้ทีหลัง ถ้าหากเกลี้ยกล่อมเจมี่สำเร็จ เธอก็จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเดียวกับเจส ได้ใกล้ชิดเขาสมกับที่ใฝ่ฝันมานาน…ทว่าเธอจะต้องไม่ให้บรรดาเพื่อนๆ กับผู้ปกครองคนใดคนหนึ่งของเธอล่วงรู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาด
เมื่อวานนี้ก่อนจะแยกจากกัน เจสได้ให้ของขวัญชิ้นหนึ่งแก่เธอ เป็นสร้อยข้อมือเพชรแท้ประดับด้วยตุ้งติ้งรูปดาวกับพระจันทร์ สลักชื่อเธอเป็นภาษาอังกฤษไว้บนตุ้งติ้งดาวดวงหนึ่ง ณชาตื่นเต้นดีใจมากกับของกำนัลดังกล่าวจากเจส มันเป็นเครื่องประดับสั่งทำพิเศษที่ประณีตงดงามและน่ารักเกินบรรยาย แม้ว่ารูปแบบที่ปรากฏจะบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของขวัญจากผู้ใหญ่มอบให้เด็ก โดยไร้ซึ่งความเสน่หาและอารมณ์ความรู้สึกฉันชายหญิงเจือปน แต่ณชาก็ดีใจจนพูดไม่ออก
‘ผมสั่งทำสำหรับเจมี่อีกชิ้นหนึ่งคล้ายๆ กัน เพิ่งให้เขาไปเมื่อวาน วันนี้เลยเอามาให้คุณ คงยังไม่ลืมใช่ไหมที่ผมสัญญาไว้ว่าจะให้ของขวัญตอบแทนเรื่องที่คุณช่วยดูแลเด็กๆ ตอนไปพัทยา’
ตอนนั้นณชายิ้ม พยักหน้าและกล่าวขอบคุณเขาอย่างจริงใจ เธอไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไรนักเมื่อรู้ชัดว่าเจสมองเธอไม่ต่างจากที่มองลูกสาวของเขาเลยสักนิด…
วันนี้เมื่อเธอนัดพับกับเจมี่ในช่วงค่ำหลังจากตัวเองเลิกเรียน เธอสวมสร้อยข้อมือเส้นนั้นมาด้วย เมื่อเจมี่เห็นเข้าก็คว้าข้อมือเธอไปดูพร้อมกับเอ่ยถึงมันอย่างตื่นเต้น
“สร้อยนี่เหมือนของเจมี่เลย อย่าบอกนะว่าแด๊ดดี้ให้”
“ใช่ เจสให้มา”
“ได้ยินว่าเจสจะให้ของขวัญขอบคุณที่ณชาช่วยดูแลมาร์กี้กับลีโอ แปลว่าเขาสั่งทำสร้อยเส้นนี้มาให้เหรอ แสดงว่าณชาเป็นคนพิเศษของเจสเหมือนกันนะ ถึงสร้อยณชาจะไม่ได้เลิศหรูเท่าของเจมี่ก็เถอะ”
“แหม…ของลูกสาวแท้ๆ กับของคนอื่นเนี่ย มันจะเอาเทียบกันได้ยังไงล่ะจ๊ะเจมี่”
“แต่ก็ต้องถือว่าเจสให้ความสำคัญกับณชามากกว่าที่คิดนะ จริงไหม”
“อื้อ ฉันก็ว่างั้น”
“แล้วตกลงว่าณชานัดเจมี่มาคุยเรื่องอะไร บอกแล้วว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปค้างด้วย ทำไมต้องรีบร้อน เรื่องสำคัญมากเหรอ” เจมี่ถามพลางจิ้มสลัดอะโวคาโดทานไปด้วย ไม่ได้มีท่าทีใส่ใจเรื่องสำคัญของเพื่อนมากนัก
“จะเรียกว่าสำคัญก็ได้ คือเจส…เขาขอให้ฉันมาคุยกับเธอเรื่องมาร์กี้กับลีโอ”
เจมี่ชะงัก หรี่ตามองคนตรงข้ามอย่างระแวง “อย่าบอกนะ ว่าเธอจะมาช่วยเจสเกลี้ยกล่อมฉันให้ย้ายไปอยู่กับเขา”
“ใช่…”
อีกฝ่ายกลอกตาใส่ทันควัน “เสียเวลาเปล่า ฉันไม่มีทางย้ายไปอยู่กับเจสแน่ แล้วไหนจะเจ้าลิงสองตัวนั่นอีก เธอคิดว่าฉันจะยอมเอาชีวิตอิสระไปทิ้งในบ้านแบบนั้นรึไง”
“ลองดูก่อนก็ได้นี่นา ถ้าไม่โอเคค่อยย้ายออก”
“ไม่”
“น่านะ เจมี่ ยังไงเธอก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของมาร์กี้ลีโอ เจสก็เป็นพ่อ…ฉันไม่อยากให้เด็กๆ ต้องย้ายไปอยู่กับคนอื่นอีก แทนที่จะได้อยู่กับพ่อและพี่สาวตัวเอง”
“ถามจริงเถอะ ทำไมเธอต้องอยากให้ฉันย้ายไปอยู่บ้านแด๊ดด้วยฮึ” เจมี่ตั้งคำถามอย่างสงสัยยิ่งขึ้นเมื่ออีกฝ่ายพยายามโน้มน้าวเธออย่างจริงจังจนเกินเหตุ
“ก็ถ้าเธอไม่ไป คุณอินก็จะไม่ยอมให้มาร์กี้กับลีโอไปอยู่กับเจส แล้วก็อย่างที่บอก…ฉันอยากให้เด็กๆ ได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริง”
“ทั้งที่รู้ว่าเจสไม่มีทางเป็นพ่อที่ดีของใครได้น่ะเหรอ ฉันเองก็เหมือนกัน…ฉันคงไม่ใช่ครอบครัวที่ดีของเจ้าเด็กสองคนนั่นหรอก”
“แต่ตอนนี้เธอรักพวกเขามากไม่ใช่เหรอ ฉันดูออกนะ”
“รักก็ส่วนรัก แต่ไม่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมด้วย เข้าใจไหม”
“การได้อยู่กับครอบครัวมันอบอุ่นดีจะตายนะเจมี่ ถึงเจสจะไม่ใช่พ่อที่ดี…แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีครอบครัว ไม่เหมือนฉันที่ไม่เหลือใครเลยสักคน…”
“อย่ามาทำเสียงเศร้าน้ำตาซึมใส่ฉันนะณชา!”
“ฉันแค่พูดเรื่องจริง เธอลองให้โอกาสเจสดูสักครั้งไม่ได้เหรอ ลืมที่เขาเคยเป็นพ่อห่วยๆ ในอดีตเถอะ ตอนนี้เจสอายุมากขึ้นแล้ว ผ่านอะไรมาเยอะแยะ ฉันเชื่อว่าเขาคงไม่ใช่คนห่วยแตกอย่างเก่าแล้วล่ะ”
“ณชาหลงแด๊ดดี้ของเจมี่จนหน้ามืด ยังไงก็คงเห็นเขาเป็นเทพบุตรวันยังค่ำ ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ ยังไงฉันก็ไม่ไป ฉันไม่ได้รักเด็กขนาดจะอยากใช้ชีวิตในบ้านเดียวกันกับเด็กทั้งวันทั้งคืน ยิ่งเจส…ถึงฉันจะยอมรับเขาเป็นพ่อ แต่ฉันก็ไม่อยากอยู่ด้วย”
“แล้วถ้าสมมติว่า…ฉันจะย้ายไปอยู่กับเธอด้วยล่ะ”
“ว่าไงนะ?”
“ถ้าเธอยอมย้ายไปอยู่บ้านเจสพร้อมมาร์กี้ลีโอ ฉันก็จะย้ายเข้าไปอยู่ด้วย สรุปว่าถ้าเธอตกลง เราสองคนรวมทั้งมาร์กี้กับลีโอ ก็จะย้ายไปอยู่บ้านเจสพร้อมกันเลย” ณชาสรุปให้ฟังอย่างใจเย็นที่สุด “เวลาเหงาๆ เธอก็ชอบหาเรื่องไปค้างกับฉันตลอดอยู่แล้วนี่นา ถ้าเราได้ย้ายไปอยู่บ้านเดียวกัน อะไรๆ มันก็อาจจะดีก็ได้นะ”
“แต่เจสเขาไม่ค่อยชอบเธอนี่นา เขาจะยอมให้เธอไปอยู่ด้วยเหรอณชา”
ท่าทีสับสนลังเลแกมหนักใจของเจมี่ทำเอาณชาสะอึกเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าบูดและแยกเขี้ยวใส่เพื่อน “ก็เจสนั่นแหละที่เป็นคนเสนอว่าอยากให้ฉันย้ายไปอยู่ด้วย เธอจะได้ยอมย้ายเข้าตาม!”
“จริงเหรอ…”
“เออสิ! ทำไมฉันต้องโกหกด้วยล่ะ!” ณชากระแทกเสียงใส่ฉุนๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าไม่เชื่อถือ “ทีนี้เห็นรึยังว่าเจสรักเธอกับมาร์กี้และลีโอมากขนาดไหน เขาถึงกับลงทุนยอมให้คนที่เขาพยายามหนีสุดชีวิตอย่างฉัน…ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านด้วยเชียวนะ!”
เจมี่เลิกคิ้วก่อนจะหลุดขำกิ๊กเบาๆ “โอ๋ๆๆ ไม่งอแงนะณชา ไม่ต้องน้อยใจ แล้วก็ไม่ต้องประชดหรอกจ้ะ ยังไงเจสเขาก็ไม่ได้เกลียดณชาหรอกเชื่อสิ เขาก็แค่ลำบากใจที่เห็นณชาคิดอะไรเลยเถิดทั้งที่ตัวเองเป็นเพื่อนสนิทลูกสาวเขาเท่านั้นเอง”
“ช่างเถอะๆ ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นแล้ว เพราะฉันไม่อยากฟัง”
“งั้น…เอาเป็นว่าถ้าณชายอมย้ายไปอยู่ด้วยจริงๆ เจมี่ไปก็ได้” เจมี่ตอบตกลงในที่สุด “นี่ไม่ใช่เพื่อมาร์กี้ลีโอหรือเจสหรือใครคนอื่นนะ แต่เจมี่ทำเพื่อณชาโดยเฉพาะ เจมี่รู้ดีว่าณชาต้องการใกล้ชิดกับเจส อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่งในชีวิต…”
ติดตามฉบับเต็มที่…ฝันดีว่ามีเธอ
Comments
comments