บทที่สอง
คืนพรุ่งนี้? ไม่เพียงเท่านั้น! ยังมีคืนที่สอง ที่สาม ที่สี่ หลายคืนติดต่อกัน บุรุษที่กินดื่มเปล่าๆ ผู้นี้มักจะปรากฏตัวตรงเวลาในตอนที่นางทำมื้อดึกเสร็จเรียบร้อยเสมอ หากไม่ได้อยู่ในยุคโบราณ นางคงนึกสงสัยว่าภายในห้องครัวได้ติดตั้งกล้องแอบถ่ายเอาไว้หรือไม่
ทุกครั้งที่มาเขามักจะเอาแต่ยิ้มแย้มพูดคุยเพียงไม่กี่ประโยค ส่วนใหญ่คือ “นี่คืออะไร” “พิเศษมาก!” “อร่อยเกินไปแล้ว!” จากนั้นพอกินเสร็จก็จะสะบัดก้นจากไปทันที
เขามาแย่งกินชัดๆ! แม้ค่าวัตถุดิบนางจะไม่ได้เป็นผู้ออก แต่นางก็ต้องเปลืองเวลาและกำลัง นี่ออกจะไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว
คืนนี้ ฉู่ซินเถียนมองดูบุรุษผู้นั้นกำลังกินฮั่นเป่า ซึ่งนางใช้หมั่นโถวขาวนำไปทอดเป็นขนมปัง ตรงกลางใส่เนื้อวัวทอด แตงกวา มะเขือเทศ และไข่ลงไป นางผงกศีรษะภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันพร้อมกล่าว “นี่! เจ้ามากินเปล่าๆ ติดกันหลายคืนแล้ว หากข้าคิดเก็บค่าใช้จ่ายจากเจ้า คงไม่เกินเลยไปจริงหรือไม่”
บุรุษผู้นั้นเขมือบของกินที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ในมือไปคำใหญ่ หลังเคี้ยวแล้วเขาก็กลืนลงไปด้วยความพอใจ จากนั้นจึงดื่มน้ำผลไม้คั้นไปอีกอึกหนึ่ง แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมองนาง “เจ้าอยากหาเงิน?”
นางผงกศีรษะ “มีเงินถึงจะทำเรื่องที่อยากทำได้”
“เจ้าไม่ได้เป็นแค่บ่าวหรอกหรือ จะอยากทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำได้อย่างไร นอกเสียจากว่า…เจ้าอยากเก็บเงินไปไถ่ตัว?” เขาเลิกคิ้วเข้มมองดูนาง
นางไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่ได้หลบเลี่ยงแววตาที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจของเขา การข้ามมิติมายังยุคโบราณ เรื่องที่ทำให้นางรู้สึกพ่ายแพ้มากที่สุดก็คือการไม่อาจจัดการชีวิตตนเองได้ สัญญาขายตัวบ้าบออะไรกัน!
“ถึงเจ้าจะจริงจัง แต่เจ้าก็เป็นแค่สาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น ดีไม่ดีกระทั่งตัวหนังสือยังรู้จักแค่ไม่กี่ตัว หลังเจ้าไถ่ตัวแล้วคิดจะไปทำอะไรเล่า” เขาเกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมากะทันหัน
“นั่นเป็นเรื่องของข้า ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าเจ้ากินของที่ข้าทำ การจ่ายเงินเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลจริงหรือไม่” นางมองเขาอย่างจริงจัง
เขากัดอาหารเลิศรสในมือไปอีกคำใหญ่ ดวงตาดอกท้อน่ามองเหลือบมองดวงตาสว่างไสวใสกระจ่างคู่กลมของนางคู่นั้น นึกไม่ถึงว่าแววตาของนางจะแฝงความหนักแน่นเอาไว้ด้วย
เขากินหมดภายในไม่กี่คำ ก่อนดื่มน้ำผลไม้ตามไปด้วย แล้วชี้ไปที่ส่วนของนางส่วนนั้น
“นี่เป็นของข้า” นางหยิบขึ้นมากินอย่างอารมณ์เสีย ทุกๆ คืนนางต้องทำเพิ่มให้เขาอีกหนึ่งส่วน นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังกล้าหมายตาส่วนของนางอีก!
เขาเองก็ไม่กล่าวอะไร แค่มองดูนางกินอาหารส่วนนั้นไปจนหมดอย่างเงียบๆ แล้วถึงได้พูดเข้าประเด็น “ข้าไม่มีเงิน แต่รู้วิชาแพทย์เล็กน้อย สามารถช่วยตรวจให้เจ้าได้” เขาตบหน้าอกตนเองอย่างมั่นใจ ก่อนกะพริบตาวิบวับให้นาง
เอ่อ แม้จะตัดสินคนจากหน้าตาไม่ได้ แต่ว่า…นางพิจารณาดูเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วมองจากปลายเท้าขึ้นไปยังใบหน้าคมคายที่กำลังแสดงสีหน้ากระหยิ่มได้ใจ ปลายคางเขายังเชิดสูงขึ้นเรื่อยๆ “ช่างเถอะ”
เขาเบิกตากว้างทันใด “สาวน้อย เจ้าไม่เชื่อ? มาเถอะๆ ข้าจะจับชีพจรให้เจ้าเอง”
พูดว่าจะทำก็ทำจริงๆ เขาดึงมือของนางไปจับชีพจร ตั้งสมาธิแน่วแน่ ดูจริงจังแตกต่างจากวันอื่นๆ
นางนึกขันเล็กน้อย ท่าทางเช่นนี้ของเขามองดูแล้วนับว่าดูดีไม่น้อย ทว่าหลังจากนั้นคิ้วของเขากลับขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นเรื่อยๆ แววตาที่มองดูนางแฝงไปด้วยความเคร่งเครียด หัวใจของนางเองก็แกว่งไกวขึ้นมา
“จุ๊ๆๆ เหตุใดอายุน้อยๆ จึงป่วยเป็นพิษเหมันต์ได้เล่า” จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เขาอายุสิบสามเคยติดตามท่านอาจารย์ไปตรวจคนไข้ตัวน้อยอายุสามสี่ขวบผู้หนึ่ง พิษเหมันต์บนร่างของคนผู้นั้นได้รับมาจากมารดา ทุกปีท่านอาจารย์ของเขาจะต้องไปตรวจซ้ำหนึ่งครั้ง
“พิษเหมันต์?” นางอึ้งไป หรือว่าทุกครั้งที่ทั้งร่างเย็นเฉียบเป็นปีศาจน้ำแข็งจะเป็นเพราะสาเหตุนี้?
“อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่อง ทุกๆ เดือนจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่มือเท้าเจ้าเย็นเฉียบ ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อุ่น ยิ่งกลางดึกยิ่งหนาวจนถึงขั้นตัวสั่นอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่” เขาขมวดคิ้วกล่าว
นางผงกศีรษะอย่างโง่งม ก่อนมองเขาอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าเขาจะพอมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ
“ดูจากท่าทางงุนงงของเจ้าแล้ว คิดว่าข้ารู้จักแต่กินจริงๆ หรือไร” เขายิ้มพลางเคาะศีรษะนางเบาๆ
ฉู่ซินเถียนถึงได้สติกลับมา ก่อนจะปัดมือเขาออกอย่างอารมณ์เสีย “เคาะลงมาเช่นนี้ประเดี๋ยวข้าก็โง่หรอก”
“เจ้าเองก็ดูไม่ค่อยฉลาดอยู่แล้ว เกิดมามีหน้าตาซื่อบื้อ” เขาไม่เชื่อฟังที่นางพูดเลยสักนิด หนนี้ถึงกับขยี้ศีรษะนาง จงใจทำให้เรือนผมที่มัดเป็นมวยของนางยุ่งเหยิง
“นี่! เจ้าจะทำเกินไปแล้วนะ” นางตีมือเขาติดๆ กันสองครั้งอย่างโมโห
แรงมือของนางไม่เบา ทำให้เขาขมวดคิ้ว “เจ้าแรงมากเพียงนี้ ตกลงอายุเท่าไรกันแน่”
ฉู่ซินเถียนถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “สิบสามได้กระมัง”
เมื่อเห็นเขาใช้สายตาที่เหมือนกับมองคนปัญญาอ่อนมองมาที่ตน ฉู่ซินเถียนจึงบุ้ยปาก “ตั้งแต่ข้าจำความได้ก็ถูกขายไปมาระหว่างพวกพ่อค้าทาส อายุน้อยเกินจะทำอะไรได้ จึงถูกขายทิ้งไปอีกหน วันเกิดก็ถูกเปลี่ยนไปตามใจ”
เขาแสดงสีหน้าเห็นใจออกมา “จุ๊ๆ เด็กที่น่าสงสาร”
นางไหวไหล่ “ก็ยังดี ข้าได้ใช้ชีวิตตัวคนเดียวโดยไม่ต้องเป็นห่วงใคร”
เขาพลันมองนางด้วยใบหน้าจริงจัง “เด็กดี ยอมรับชะตากรรมเพียงนี้ ข้านับถือเจ้าแล้ว!” เขาเคาะศีรษะนางอีกครั้ง เพียงแต่หนนี้ลงมืออ่อนโยนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “คืนพรุ่งนี้ข้าสามารถเอายามาให้เจ้าได้ จำไว้ว่าต้องกินยาให้ตรงเวลา กินครั้งละหนึ่งเม็ด ทั้งยังต้องกินไปอีกหลายปี ไม่อาจขาดตอนได้ มิฉะนั้นฤทธิ์ยาจะไร้ผลไปทันที”
“หลายปี?” ฉู่ซินเถียนถามอย่างตกใจ
เขาลูบปลายคาง “ใช่แล้ว หากต้องการแก้พิษเหมันต์ของเจ้าก็ต้องใช้เวลานานเพียงนี้ พิษสลักลึกเข้ากระดูกไปแล้ว เวลาน้อยกว่าสามปีห้าปีแก้พิษนี้ไม่ได้หรอก”
ฉู่ซินเถียนกัดริมฝีปาก ตรวจโรคถือเป็นเรื่องหนึ่ง จ่ายยาก็นับเป็นอีกเรื่อง “ข้า…ข้าไม่มีเงินหรอก ช่างเถอะ ถึงอย่างไรหลายสิบปีมานี้ก็ไม่ใช่ทนมาได้หรอกหรือ…โอ๊ย!”
บุรุษผู้นั้นพลันยื่นมือออกมาดีดหน้าผากฉู่ซินเถียน เรี่ยวแรงนั้นไม่เบาเลย ทำให้นางเจ็บจนร้องโอดโอยออกมา
พอเห็นนางร้อง เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางยื่นมือออกไปช่วยนางนวดหน้าผาก “ใครใช้ให้เจ้าพูดจาไม่รู้จักคิดเช่นนี้ หากยังไม่แก้พิษเหมันต์อีก เจ้าอดทนต่อไปอีกไม่กี่ปี ตัวเจ้าก็ได้แต่นอนอยู่บนเตียงแล้ว ยังจะทำเรื่องที่เจ้าคิดอยากทำได้อีกหรือ”
ฉู่ซินเถียนพลันไร้คำโต้แย้ง กระนั้นความห่วงใยในคำพูดของเขานางก็ฟังออกแล้วเช่นกัน แม้หน้าผากจะยังเจ็บอยู่บ้าง แต่นางไม่อาจไม่ยอมรับว่ามือที่นวดอยู่ของเขาอบอุ่นอย่างยิ่ง ไม่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังให้ความอบอุ่นไปถึงหัวใจอย่างที่หาคำมาอธิบายไม่ได้
“อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้จะไม่คิดเงินชั่วคราว ขอแค่เจ้าเตรียมอาหารมื้อดึกเพิ่มให้ข้าหนึ่งส่วนก็พอ ส่วนเรื่องในภายหลัง…ค่อยว่ากันอีกที” เมื่อเห็นว่ารอยแดงบนหน้าผากนางจางลงไปบ้างแล้ว เขาก็ยิ้มแย้มพลางปล่อยมือในที่สุด
ฉู่ซินเถียนเอ่ยถามเขา “เจ้าเป็นหมอที่ติดตามมาบนเรือหรือ”
เขายิ้มออกมา “ไม่ใช่ ข้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ข้างกายท่านหมอ เรียนไปได้ครึ่งทางก็ขี้เกียจแล้ว” เห็นนางเบิกตากว้างขึ้นมากะทันหัน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยิ่งกว้างขึ้น “สบายใจได้ วิชาแพทย์ของข้ารักษาโรคนี้ให้เจ้าได้ไม่มีปัญหาอะไรแน่ แล้วก็ไม่มีทางจ่ายยาผิดให้เจ้าด้วย”
นางได้แต่ผงกศีรษะอีกครั้ง
เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “เจ้าจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับห้องไป อ้อ จริงด้วย ลืมบอกเจ้า ตอนที่เจ้ามายังห้องครัว มีคนผู้หนึ่งแอบตามเจ้ามาด้วย แต่เขาถูกข้าใช้ไม้กระบองฟาดท้ายทอยเขาไปหนหนึ่ง หมดสติไปแล้ว หากเจ้าคิดอยากขอบคุณข้าก็ง่ายดายมาก แค่เพิ่มอาหารคืนพรุ่งนี้เป็นเท่าตัว”
เขาส่งรอยยิ้มที่มากเพียงพอจะหว่านเสน่ห์สตรีทุกคนให้กับฉู่ซินเถียน มองดูนางจับจ้องอย่างนิ่งอึ้งแล้วเขาก็กลับตัวจากไปอย่างพึงพอใจ
พอเขากลับตัวจากไปฉู่ซินเถียนถึงได้สติกลับมาจริงๆ ใบหน้านางแดงก่ำ มือกุมหัวใจที่เต้นระรัว คนผู้นี้เป็นมารร้าย เป็นปีศาจร้ายตัวโตๆ โดยแท้ อยู่ดีๆ จะมาโปรยเสน่ห์ใส่นางทำไมกัน!
นางสบถด่าในใจไม่กี่ประโยค ก่อนรีบจัดการเก็บกวาดที่นี่จนเสร็จ แล้วถือตะเกียงน้ำมันเดินออกจากห้องครัวไป
ยามดึก บนเรือมีทางเดินเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งที่บนเพดานแขวนโคมไฟเอาไว้ มีบางแห่งที่มืดมิดอย่างมาก เฉกเช่นทางเดินยาวที่จะพาฉู่ซินเถียนกลับไปยังห้องพักสายนี้ เมื่อนางเดินไปได้สักพักก็มองเห็นเงาร่างหนึ่งนอนฟุบอยู่กับพื้น…แน่นิ่งไม่ไหวติง
ทันทีที่นางนั่งยองลงไปก็ได้กลิ่นสุราเหม็นหึ่งโชยออกมาจากร่างที่สลบไสล หลังลดตะเกียงน้ำมันลงต่ำกว่าเดิม นางก็มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน…รองหัวหน้าพ่อครัว!
ฉู่ซินเถียนสังเกตอย่างละเอียด เห็นบริเวณหลังศีรษะมีก้อนบวมเป่งอยู่ก้อนหนึ่งดังคาด ทว่านางกลับไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด นางเพียงลุกขึ้นยืนแล้วเดินข้ามตัวเขาจากไป
วันรุ่งขึ้น ภายในห้องครัวยังคงยุ่งวุ่นวายเหมือนที่ผ่านมา ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับงานในมือตนเอง มีเพียงรองหัวหน้าพ่อครัวที่ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัด มีหลายหนที่เขาหันกลับมามองหาเงาร่างของฉู่ซินเถียน ถึงขั้นเดินไปมาอยู่ตรงหน้านางแล้วทำท่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง มือก็คอยคลำก้อนที่ปวดบวมขึ้นมาทางด้านหลังศีรษะ แต่พอเห็นนางมีใบหน้าสงสัย เขาก็ได้แต่ขมวดคิ้วจากไป เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉู่ซินเถียนย่อมรู้ว่ารองหัวหน้าพ่อครัวอยากจะพูดอะไร แต่นางเองก็กระจ่างชัดดีว่าการแสร้งทำตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้จึงจะเป็นแผนการรับมือที่ดีที่สุด
หนนี้ เขาเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้านางอีกครั้ง ในที่สุดก็เปิดปากถามอย่างทนไม่ไหว “เมื่อคืนกลางดึก ตอนเจ้ามาที่ห้องครัวได้พบเจอผู้ใดหรือไม่”
“กลางดึก? ข้ากำลังหลับอยู่เจ้าค่ะ รองหัวหน้าพ่อครัวมองคนผิดแล้วกระมัง” นางแสดงสีหน้าว่าไม่เข้าใจ
รองหัวหน้าพ่อครัวขมวดคิ้วแน่น เขาถลึงตาใส่แววตาสงสัยคู่นั้นของนาง ที่จริงเขาก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ เมื่อคืนเขาอยู่ในสภาพกรึ่มๆ หรือว่าเขาจะมองผิดไปจริงๆ? เป็นไปไม่ได้! หลังศีรษะของเขาที่บวมปูดขึ้นมาเป็นข้อยืนยันได้อย่างดี
“เจ้ายังจะทำงานต่อหรือไม่ ข้าบอกไม่ให้เจ้าหาเรื่องนางแล้วนี่” หัวหน้าพ่อครัวทนไม่ไหวถึงกับเดินมาต่อว่า
บรรยากาศกดดันผู้คนที่มากขึ้นนี้ทำให้รองหัวหน้าพ่อครัวต้องเดินจากไปด้วยความอัดอั้นใจ
หัวหน้าพ่อครัวหันกลับมายิ้มน้อยๆ ให้นาง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนยกข้าขึ้นมาพูดได้ทั้งนั้น เข้าใจหรือไม่”
นางผงกศีรษะเงียบๆ โดยไม่กล่าวอะไร
ถึงจะไม่อยากยอมรับเพียงใด แต่พอมองดูสีหน้าอันหลากหลายของผู้คนรอบด้านซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาร้าย เย้ยหยัน บ้างก็ไม่พอใจแล้ว…นางถึงกับเฝ้ารอให้ช่วงเวลากลางคืนมาถึงเร็วๆ อย่างน้อยในสถานที่เช่นเดียวกัน ภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันเพียงดวงเดียว ยามดวงตาของคนผู้นั้นมองมาที่นางก็มักปรากฏรอยยิ้มกว้าง นั่นทำให้นางรู้สึกสบายใจนัก นาง…นับว่ามีสหายแล้วใช่หรือไม่
วันนี้กาลเวลาก็ไม่ได้เคลื่อนผ่านไปอย่างยากเย็นนัก ในสมองของนางคอยครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำอาหารมื้อดึกอะไรให้เขากินดี
ในที่สุด หนึ่งวันที่วุ่นวายจบลง ฉู่ซินเถียนนอนอยู่บนเตียงโดยที่นอนไม่หลับอยู่บ้าง แต่นางยังคงบังคับให้ตนเองหลับ จนกระทั่ง ‘ถึงเวลานั้น’ นางก็ตื่นขึ้นมาเอง
ฉู่ซินเถียนสวมเสื้อคลุมตัวนอกอย่างรวดเร็ว นางเปิดประตูห้องออกไปมองสำรวจซ้ายขวาเพื่อยืนยันว่าไม่มีผู้ใดแน่แล้วก่อน หลังจากนั้นจึงได้ถือตะเกียงน้ำมันและเดินออกจากห้องนอนไปอย่างรวดเร็ว
คืนนี้ เมฆบนท้องฟ้าดูหนากว่าทุกวัน บริเวณทางเดินยาวจึงมืดสนิท เงาร่างสีดำสองร่างยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“นี่เป็นของที่ท่านอ๋องสั่งไว้ขอรับ ส่วนยาในตำรับยานี้ก็มีวิธีทำที่ไม่ง่าย อย่างเร็วสุดก็ต้องใช้เวลาห้าวันจึงจะส่งมาได้ขอรับ”
“ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นค่อยส่งยาไปที่จวนขุนนางท้องถิ่นเมืองเฉินโจว…”
เสียงของบุรุษที่พูดอยู่พลันชะงักไปกะทันหัน เขาชูมือขึ้นมา บุรุษอีกคนก็ทะยานร่างไปยังเรือลำเล็กที่อยู่ข้างตัวเรือแล้ว ก่อนจะหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ฉู่ซินเถียนก็ถือตะเกียงเดินตรงมา เมื่อมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่บนทางเดินยาวแล้ว ฝีเท้านางก็เร่งรีบขึ้น กระทั่งมองเห็นใบหน้าที่ดูคุ้นเคยใบหน้านั้น ริมฝีปากสีแดงของนางจึงหยักโค้งขึ้น นางเดินต่อไปข้างหน้าพลางกดเสียงลงต่ำ “ทำไมเจ้าถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้เล่า ข้าก็หลงคิดไปว่าข้ามาเร็วแล้วแท้ๆ กลับกลายเป็นเจ้ามาเร็วกว่าข้าเสียอีก”
“เจ้ามาเร็วแล้วล่ะ แต่คืนนี้ข้าหิวเป็นพิเศษจึงได้มาถึงก่อน” เขาเองก็ยิ้มตอบกลับมา
ฉู่ซินเถียนผงกศีรษะเงียบๆ พลางชี้นิ้วไปทางห้องครัว เขารับตะเกียงน้ำมันในมือนางมาถือ ทั้งสองคนเดินไปยังห้องครัวด้วยกัน
เขามองดูนางใช้ฟืนเพียงไม่กี่ท่อนจุดไฟขึ้นมา หลังจากนั้นก็ใช้วัตถุดิบที่เตรียมเสร็จไปแล้วตั้งแต่ตอนเช้ามาจัดการอบอย่างง่ายๆ ครึ่งชั่วยามต่อมานางก็ยกอาหารชนิดใหม่ที่ดูดีทั้งสีสันทั้งส่งกลิ่นหอมออกมาแล้ว แต่เวลาส่วนใหญ่สายตาของเขาล้วนจับจ้องอยู่บนร่างของนาง แสงสว่างอ่อนโยนของตะเกียงน้ำมันทำให้เรือนผมและใบหน้าของนางอาบย้อมไปด้วยแสงนวลตาชั้นหนึ่ง ทำให้นางแลดูงดงามและน่าลุ่มหลงเป็นพิเศษ
คล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา ฉู่ซินเถียนจึงเงยหน้าขึ้นมามองเขาอยู่หลายหน เมื่อเขายิ้ม นางก็จะยิ้มตอบไปเช่นกัน
ในพื้นที่เงียบๆ พลันมีบรรยากาศอบอุ่นโอบล้อมไว้
คืนนี้อาหารที่นางทำออกมาคือฮั่นเป่าข้าวไส้ผักและกุ้งฝอยฉบับปรับปรุง เมื่อก่อนยามนางทำอาหารตะวันตกแบบเร่งด่วนเช่นนี้ล้วนแต่ใช้ขนมปัง หมั่นโถว หรือไม่ก็แป้งย่างมาห่อไส้ ทว่าหนนี้นางกลับนำข้าวมาทอดเป็นแผ่นสีเหลืองทอง ซึ่งมันทำให้รสชาติยิ่งเข้มข้นขึ้น
เพราะว่าเป็นอาหารมื้อดึก นางจึงทำฮั่นเป่าออกมาไม่มาก ด้วยพิจารณาถึงปริมาณการกินของบุรุษสตรีแล้ว นางจึงทำให้เขาสองชิ้น
มองดูเขากินอย่างมีความสุข ฉู่ซินเถียนเองก็รู้สึกว่าอาหารมื้อดึกของคืนนี้ดูอร่อยเป็นพิเศษทีเดียว
เขาเป็นคนรู้จักตอบแทน หลังดื่มน้ำชาที่นางเตรียมไว้ซึ่งช่วยให้นอนหลับสบายแล้ว เขาก็นำขวดยาทรงน้ำเต้าสองขวดเล็กจากสาบเสื้อออกมาวางลงบนโต๊ะ “ฟังให้ดี สิ่งนี้คือ…”
นางฟังอย่างตั้งใจยิ่ง และที่น่าประหลาดใจก็คือนอกจากเขาจะเอายาลูกกลอนรักษาพิษเหมันต์มาให้นางแล้ว เขายังเอายาแก้เมาเรือมาให้นางด้วย เมื่อได้ยินเขาพูดถึงข้อควรระวังในการกินยาแต่ละวันแล้ว หัวใจนางก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เขาเป็นคนละเอียดอ่อนและเอาใส่ใจผู้อื่นมากกว่าที่นางคิดไว้มากนัก ตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากกล่าวขอบคุณ ก็เห็นเขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง…
“เจ้าห้ามให้ผู้อื่นเห็นยาของเจ้า เพราะข้าก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนกันกับเจ้า”
ฉู่ซินเถียนมีสีหน้าสงสัย “พวกเรามีสถานการณ์อะไรที่เหมือนกันหรือ”
เขายิ้มออกมา ก่อนกะพริบตาข้างหนึ่งให้นาง “เจ้าแอบทำมื้อดึก ข้าแอบทำยาลูกกลอน เข้าใจหรือไม่”
สีหน้าฉู่ซินเถียนพลันอึดอัดใจเป็นอย่างมาก นางพึมพำปฏิเสธ “ข้า…ข้าไม่ได้แอบทำเสียหน่อย ข้าได้รับอนุญาตให้ใช้วัตถุดิบทุกอย่างของที่นี่ได้จริงๆ”
กระนั้นนางก็ไม่อาจว่ากล่าวอะไรเขาได้ เพราะเขาก็ต้องแอบทำยาลูกกลอนเพื่อนางเช่นกัน แต่ว่าการลอบทำเช่นนี้ไม่ดียิ่งนัก
“อนุญาตเจ้า? แปลกนัก เสนาบดีเฉวียนไม่ใช่คนใจกว้างอะไร หรือว่า…” เขาถลึงตาใส่นาง “เขาปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเป็นพิเศษมากหรือ” แววตากรุ้มกริ่มของเขาตวัดมองไปยังร่างกายที่เติบโตมาอย่างดีของนางคราหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ฉู่ซินเถียนโมโหขึ้นมาทันใด “พูดจาเหลวไหลอะไรกัน เสนาบดีเฉวียนไม่ได้คิดกับข้าเช่นนั้นเสียหน่อย เขาเห็นแก่ฝีมือของข้า ไฉนเลยจะมีความคิดเลวร้ายเช่นเจ้า”
“อาหารและสังวาสล้วนคือชีวิต เป็นความคิดเลวร้ายเสียที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้น สภาพเช่นนี้ของเจ้า ไม่ว่าตรงไหนก็ล้วนนุ่มนิ่มไปเสียหมด น่ามองยิ่งนัก หากเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเป็นพิเศษก็นับว่าปกติยิ่ง” เขาพลันโน้มตัวเข้ามาใกล้ มองประเมินใบหน้านวลเนียนอมชมพูดุจลูกท้อน้ำผึ้งที่คล้ายกำลังดึงดูดให้ผู้คนตกลงไปของนางอย่างตั้งใจ เขาถึงกับยื่นมือออกไปอย่างอดไม่อยู่ กระทั่งเห็นนางถลึงตาใส่ มือของเขาจึงเลื่อนขึ้นไปข้างบนในพริบตา เปลี่ยนไปลูบศีรษะนางแทนพร้อมกับยิ้มกล่าว “เจ้าน่ารักมากจริงๆ”
คนผู้นี้กำลังเกี้ยวสาวอยู่หรือไร นางปัดมือเขาทิ้งอย่างอารมณ์เสีย “อย่าได้มาแตะต้อง บุรุษสตรีห้ามใกล้ชิดกัน”
เขาส่งเสียงไม่เชื่อออกมาพลางเขยิบกลับไปนั่งข้างหลัง “ไม่จริงกระมัง แม่ครัวน้อยๆ เช่นเจ้าก็อยากแสดงเป็นแม่นางที่ชอบปิดบังความรู้สึกหรือ”
“มิใช่เสียหน่อย แต่บุรุษสตรีแตกต่างกัน”
“แล้วพวกเราไม่ใช่อยู่ด้วยกันตามลำพังภายในห้องเดียวกัน ซ้ำยังอยู่ด้วยกันติดต่อกันมาหลายคืนแล้วหรอกหรือ” เขาถามกลับมาอย่างเต็มปากเต็มคำ
เอ่อ นางจ้องตาเขาเขม็ง โดยที่โต้แย้งไม่ได้สักครึ่งคำ
มองดูนางโมโหจนแก้มป่องจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “สาวน้อย คำว่า ‘บุรุษสตรีแตกต่างกัน’ ไม่เหมาะจะใช้กับสาวน้อยเช่นเจ้าหรอก จริงสิ คืนนี้ยังมีผู้ใดอยู่แถวห้องพักของเจ้าอีกหรือไม่ เจ้าต้องคอยระมัดระวังให้ดีๆ ด้วย”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าห้องนอนของข้าอยู่ที่ใด ข้าเองก็อยากจะถามเจ้าตั้งแต่หนก่อนแล้ว”
เขาไหวไหล่ “มีวันหนึ่งตอนข้าที่ทำงานอยู่ บังเอิญเห็นเจ้าเดินเข้าไปในห้องนั้นพอดี เดิมยังคิดอยากตะโกนเรียกเจ้า แต่เกรงว่าผู้อื่นจะคิดมากเข้า หากพวกเขามองเห็นเจ้าเป็นหนามยอกอกขึ้นมา เช่นนั้นก็ไม่ดีแล้ว”
“ผู้ใดจะคิดมากกัน” ฉู่ซินเถียนถามได้ตรงประเด็นยิ่ง
เมื่อเห็นมือของบุรุษตรงหน้ากำลังจะยื่นมาดีดหน้าผากตนเองอีกครั้ง หนนี้ฉู่ซินเถียนก็หลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้เขาทำได้สำเร็จ
เขากัดฟัน ชี้ใบหน้าที่เปี่ยมเสน่ห์อันล้นเหลือซึ่งมีผลต่อบุรุษ สตรี เด็ก และคนชราของตนเอง “เจ้าอยากให้ข้าผู้เป็นหมอตรวจดวงตาคู่นี้ของเจ้าด้วยหรือไม่ บนเรือลำนี้มีสตรีเก้าในเก้าส่วนที่ดวงตาล้วนแปะอยู่บนร่างกายข้า”
“ฮ่าๆๆ เจ้าหลงตัวเองยิ่งนัก ผู้ที่ข้าได้ยินมาไม่ใช่เจ้านี่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะพอนับได้ว่าหน้าตาดีจริงๆ ก็เถอะ” ฉู่ซินเถียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมายิ่ง
เดิมทีก่อนที่นางจะข้ามมิติมาก็เคยเห็นคนหน้าตาดีมามากแล้ว โดยเฉพาะตอนที่อยู่โรงเรียนสอนทำอาหารฝรั่งเศส นางเคยเจอชายหนุ่มหน้าตาดีผมสีทองตาสีฟ้าเดินอยู่เต็มท้องถนนไปหมด ซึ่งพวกเขาทำให้นางหาได้หวั่นไหวไปกับชายหนุ่มโบราณตรงหน้านี้
เขาขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นผู้ใด อ้อ ฝูอ๋องใช่หรือไม่ คนผู้นั้นวันๆ เอาแต่โอบกอดสาวงาม ขลุกอยู่แต่ชั้นบน ไฉนเลยจะเปี่ยมเสน่ห์เหมือนข้า อีกทั้งข้ายังเดินไปมาทั่วเรือได้ด้วย”
“เจ้ามีเสน่ห์แล้วอย่างไร” นางถาม
“หมายความว่าอย่างไร” เขาฟังไม่เข้าใจอย่างหาได้ยากยิ่ง
“ผู้อื่นเขาไม่มีเสน่ห์สู้เจ้า แต่ยังคงเป็นท่านอ๋องผู้สูงส่ง แล้วเจ้าเล่า เป็นแค่บ่าวรับใช้ข้างกายท่านหมอไปตลอดชีวิตก็พอใจแล้วหรือ” จู่ๆ ฉู่ซินเถียนก็รู้สึกโกรธขึ้นมา
เขาแค่นเสียงกล่าวล้อเล่น “รู้จักพอเพียงเป็นหนทางแห่งความสุข เจ้าไม่เคยได้ยินบ้างหรือ”
“อย่างเจ้าเรียกว่ารักสบายจนคร้านจะทำงานต่างหาก! วิชาแพทย์เรียนไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วแท้ๆ เหตุใดจึงไม่กราบอาจารย์แล้วตั้งใจศึกษาต่อไป บุรุษควรจะประสบความสำเร็จ เหตุใดเจ้าจึงพอใจกับชีวิตง่ายดายเพียงนี้” ฉู่ซินเถียนบ่นต่อว่า ท่าทางจริงจังเช่นนี้ก็เพราะมุ่งหวังให้อีกฝ่ายได้ดี
ฉู่ซินเถียนโมโหจนสองแก้มป่องขึ้นมาแล้ว ท่าทางน่ารักเช่นนี้ของนางทำให้เขายิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น “บิดามารดาข้ายังไม่ว่าอะไรเลย เจ้าจะมาสนใจทำไม หรือเจ้าอยากจะเป็นภรรยาของข้า?”
เขายิ้มตาหยีพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปอยู่ข้างกายนาง ขยับหมุนทั้งคนและเก้าอี้ให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงโน้มตัวลงกักตัวนางเอาไว้ระหว่างเขากับเก้าอี้
ฉู่ซินเถียนเงยหน้ามองบุรุษที่โน้มตัวลงมา นางพลันยื่นมือออกไปดันหน้าอกเขาทันทีโดยไม่ต้องคิด “ทั้งๆ ที่เจ้าสามารถพูดคุยกับข้าดีๆ ได้ แต่เหตุใดจึงต้องทำให้ตัวเจ้าดูกะล่อนปลิ้นปล้อนเช่นนี้ด้วย ประเดี๋ยวข้าก็รังเกียจเจ้าหรอก”
ดวงตามองสบกัน นัยน์ตาของนางใสกระจ่างดุจสายน้ำ ส่วนเขาก็จ้องมองนางด้วยสายตาที่มีอารมณ์อันสลับซับซ้อน ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงยิ้มออกมาแล้วเหยียดกายขึ้น
“เด็กโง่ อย่างข้าเรียกใกล้ชิดสนิทสนมหรอก” ถูกนางต่อว่าว่ากะล่อนปลิ้นปล้อนเช่นนี้ เขากลับไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังนั่งลงบนโต๊ะอย่างได้ใจยิ่ง ทั้งมองมาที่นางจากมุมสูง
“เจ้าจะอธิบายเช่นนี้ก็ได้ แต่ข้าอยากจะถามเจ้าอย่างจริงจังสักคำ เป็นบ่าวรับใช้อยู่ข้างหลังผู้อื่นไปตลอดชีวิตมันดีนักหรือ เจ้าคิดให้ดีๆ หากเป็นหมอก็สามารถช่วยเหลือผู้คน สามารถช่วยเหลือคนไร้อำนาจและยากจน ทั้งเจ้าเองยังสามารถเป็นนายของตนเองได้ นี่ดีเพียงใดกัน ทำไมเจ้าจะต้องทำให้ชีวิตของตัวเจ้าเองต้องเสียเปล่าเช่นนี้ด้วย” นางทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดจริงๆ
เขากอดแขนพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง กวาดตามองนางขึ้นๆ ลงๆ หนหนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะ “เจ้าพูดจาโตกว่าอายุเกินไปหรือไม่ ยังเป็นแค่เด็กน้อยอยู่แท้ๆ”
“บุรุษก็เหมือนสตรี ควรจะจัดการชีวิตตนเองได้จึงจะถูก” จู่ๆ นางก็รู้สึกยอมไม่ได้ขึ้นมา “ทั้งๆ ที่เจ้ามีโอกาสมากกว่าข้าแท้ๆ แต่กลับไม่รู้จักทำให้ชีวิตก้าวหน้าเช่นนี้เสียได้ ช่างน่าชังเกินไปแล้วจริงๆ!”
นางลุกขึ้นยืนแล้วเก็บกวาดโต๊ะด้วยความรู้สึกที่อัดอั้น ทั้งยังตักน้ำจากอ่างใบใหญ่ด้านข้างมาล้างจาน
เขาขมวดคิ้วเดินมาอยู่ข้างหลังนางพลางเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าโกรธแล้วหรือ”
“เปล่า ข้าไม่ใช่ภรรยาเจ้า เจ้ายินดีตกต่ำ…ไม่สิ พอใจในสิ่งที่มี นั่นก็ถือเป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเอง ข้าจะไปโกรธอะไรได้เล่า” นางแค่โกรธตนเอง โกรธยุคสมัยโบราณที่บุรุษเป็นใหญ่และสตรีถูกดูถูกเช่นนี้ โกรธที่ยามนางข้ามมิติมาแล้วกลายเป็นแค่เด็กหญิงอายุสิบขวบที่ไม่มีบิดามารดาและไม่มีผู้ใดให้พึ่งพาได้ นางโกรธที่ตนเองไม่สามารถต่อต้านอะไรได้ทั้งนั้น ได้แต่ยอมถูกผูกมัดอยู่ในชีวิตบ่าวเช่นนี้โดยไม่อาจหนีพ้นได้
เมื่อนึกถึงความแค้นใจที่พูดออกมาไม่ได้มากมายนี้ ขอบตานางก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากัน “จะร้องไห้หรือ”
“เปล่าเสียหน่อย ข้าแค่ออกแรงล้างจานมากเกินไป น้ำเลยกระเด็นเข้าตา” นางยกมือขึ้นขยี้ตาโดยไม่ทันคิด ถึงกับลืมไปว่าบนมือตนเองมีฟองอยู่ เมื่อขยี้ไปเช่นนี้ก็ทำให้แสบตา น้ำตาไหลพานทะลักออกมาจริงๆ
“โง่จริงๆ มือมีแต่น้ำฝักเจ้าเจี่ยว ยังจะไปขยี้ตาอีก!”
เขาต่อว่าอย่างโมโหพร้อมกับรีบหยิบผ้าสะอาดมาชุบน้ำ ช่วยนางเช็ดน้ำตาอย่างแผ่วเบา เขาเคลื่อนไหวมืออย่างระมัดระวังมาก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความอ่อนโยนนี้หรือไม่ที่สัมผัสถูกกลไกหยาดน้ำตา น้ำตาของนางจึงหยุดไหลไม่ได้โดยสิ้นเชิง ในความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่นางมาอยู่ในยุคโบราณ นางก็คอยใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด ด้วยเกรงว่าผู้อื่นจะสังเกตเห็นความแตกต่างของนาง ภายหลังจึงไม่กล้าปล่อยให้ตนเองปลดปล่อยอารมณ์ออกมาจนหมดสิ้น
“นี่เป็นน้ำฝักเจ้าเจี่ยวอะไรกัน แสบตาเพียงนี้เชียวหรือ” เสียงของเขาลนลานขึ้นมาแล้ว
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก” น้ำเสียงนางแหบพร่า ส่วนหยาดน้ำตาก็ยังคงหลั่งรินลงมา
เขาเคาะศีรษะนางเบาๆ “เจ้าจะทำตัวเข้มแข็งไปทำไม ก็แค่อยากร้องไห้มิใช่หรือ แต่ร้องไห้แค่พอดีก็พอ อย่าร้องมากไป มันไม่ดีต่อดวงตา” เขาไม่เคยปลอบสตรีผู้หนึ่งเช่นนี้มาก่อน ในความเป็นจริงแล้ว หากมีสตรีคนใดกล้าหลั่งน้ำตาสักหยดหนึ่งต่อหน้าเขา สตรีผู้นั้นก็จะถูกคนลากตัวออกไปทันที แต่เมื่อเห็นสาวน้อยตรงหน้าร้องไห้เสียใจเพียงนี้ หัวใจของเขากลับเจ็บปวดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ฉู่ซินเถียนควบคุมน้ำตาไม่ได้ การระบายน้ำตาออกมาครั้งนี้นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของนางโดยสิ้นเชิง
เห็นฉู่ซินเถียนร้องไห้เสียใจถึงเพียงนี้ เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ “สมควรตาย เลิกร้องได้แล้ว อย่างมากข้าก็แค่ตั้งใจเรียนวิชาแพทย์ให้ดี…ดีหรือไม่”
คำต่อว่าที่แฝงไปด้วยการร้องขอประโยคนี้ทำให้ฉู่ซินเถียนหลุดหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “ต่อให้ข้าร้องจนน้ำตาแห้งเหือดก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าบอกจะเรียนวิชาแพทย์เลย”
เขาแสดงใบหน้าใสซื่อ ทว่ามือไม่ได้ว่าง ยังคงถือผ้าผืนเล็กช่วยฉู่ซินเถียนเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าให้ “ไม่ใช่ว่าเจ้าเริ่มตาแดงตอนที่พูดว่าข้ายินยอมตกต่ำเองหรอกหรือ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอยากเป็นภรรยาของข้าใช่หรือไม่ แต่ข้าพอใจในสิ่งที่มี ไม่รู้จักความก้าวหน้า ทำให้เจ้าพึ่งพาไม่ได้ เจ้าถึงได้ร้องไห้เสียใจ ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว”
นางถลึงตาใส่เขาด้วยดวงตาซึ่งคลอด้วยหยดน้ำ คนผู้นี้ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน หน้าด้านหน้าทนเกินไปหรือไม่!
เขายังคงถามด้วยใบหน้าใสซื่อ “ข้าพูดผิดหรือ”
ฉู่ซินเถียนกล่าวอย่างไม่พอใจ “ผิดมากถึงมากที่สุด หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก คืนพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมากินแล้ว ฮึ!”
เขาพลันยิ้มออกมาอีกครั้ง กะพริบตาวิบวับให้นางอีกหน ก่อนลูบไล้แก้มนุ่มนิ่มของนางหนึ่งที “ในที่สุดก็มีแรงต่อว่าคนแล้วรึ เจ้าเก็บกวาดที่นี่ไปเถอะ วันนี้ข้าถูกน้ำตาของคนบางคนทำให้เหนื่อยยิ่งนัก ต้องขอตัวกลับไปนอนก่อนแล้ว”
ฉู่ซินเถียนมองดูเขายัดผ้าผืนเล็กใส่มือนางอย่างนิ่งอึ้ง ก่อนจะเงยหน้ามองดูเขาหมุนร่างเดินจากไป คนผู้นี้ไม่ได้เลวร้ายจริงๆ นางยกมือขึ้นลูบแก้มตนเอง ไม่สิ เมื่อครู่เขาอาศัยโอกาสลอบกินเต้าหู้* นางแล้วใช่หรือไม่
ท้องฟ้าใสกระจ่าง เรือเคลื่อนตัวต่อไปเงียบๆ
ภายในชั้นบนอันหรูหราโอ่อ่า บนเสาประตูสลักลายมีผ้าม่านหลายผืนโบกสะบัดไปตามแรงลม นักดนตรีหญิงรูปโฉมงดงามหกคนกำลังบรรเลงพิณ ด้านหน้ามีตั่งนุ่มราวกับเตียงตั้งอยู่ตัวหนึ่ง เสนาบดีเฉวียนนอนตะแคงร่างอยู่บนนั้นอย่างผ่อนคลาย ในอ้อมกอดยังมีอนุโฉมงามที่เขาชื่นชอบที่สุดผู้หนึ่งคอยอิงแอบแนบชิด
เบื้องหน้าของเสนาบดีเฉวียนมีโต๊ะกลมเล็กตัวหนึ่งซึ่งประดับอัญมณีไว้จำนวนมาก บนนั้นจัดวางอาหารว่างอันประณีตและสุราเลิศรสเอาไว้
อนุโฉมงามในอ้อมกอดเขาลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า หยิบจอกสุราฝังอัญมณีจอกหนึ่งขึ้นมา แล้วกลับมานั่งลงข้างกายเขา
เสนาบดีเฉวียนโอบกอดนางไว้พลางดื่มสุราหมักที่อยู่ในมือขาวนุ่มดุจต้นหอมของนางไปหนึ่งอึก ก่อนยิ้มน้อยๆ มองดูบรรดาโฉมงามที่กำลังบรรเลงพิณเหล่านั้น
ในยามนั้น องครักษ์ผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาประสานมือกล่าว “ใต้เท้า สาวใช้แซ่ฉู่มาแล้วขอรับ”
เสนาบดีเฉวียนโบกมือให้บรรดานักดนตรีหญิงเหล่านั้น พวกนางลุกขึ้นยืนแล้วถอยออกไปทันที อนุโฉมงามในอ้อมกอดของเขาเองก็ลุกขึ้นนั่ง แต่เสนาบดีเฉวียนยังคงรักษาท่าทีนอนตะแคงอย่างเกียจคร้านตามเดิม มองดูฉู่ซินเถียนเดินเข้ามา
นางเดินเข้าไปคารวะ มองดูเสนาบดีเฉวียนผู้มีหน้าตาสุภาพเรียบร้อยด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อม ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงเรียกตัวนางมายังห้องชั้นบนอย่างกะทันหันเช่นนี้
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ปริมาณและชนิดของอาหารว่างตอนมื้อเที่ยงให้เจ้าทำเพิ่มขึ้นมากหน่อย นี่เป็นคำสั่งของฝูอ๋อง นอกจากนี้…” เขามองดูสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างคราหนึ่ง
สาวใช้ผู้นั้นเดินขึ้นหน้ามา นำถุงเงินใบเล็กมอบให้ฉู่ซินเถียนทันที
“นั่นก็เป็นของที่ฝูอ๋องประทานให้เจ้า” เขากล่าว
ฉู่ซินเถียนปิดความยินดีเอาไว้ไม่มิด นางโพล่งปากกล่าว “ดีจริง เอ่อ…” นางมองดูเสนาบดีเฉวียนที่จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างกระอักกระอ่วน แม้แต่โฉมงามข้างกายเขาก็ก้มหน้าหัวเราะด้วย
ทั้งสาวใช้ที่ถอยกลับไปอยู่ด้านข้าง และบ่าวชายสองคนที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อสายตาของทั้งสามคนมองสบกันแล้วก็ผละจากไปอย่างรวดเร็ว ยามที่ฝูอ๋องประทานเงินก้อนนี้ให้ พวกเขาเองก็อยู่ด้วย ทั้งที่ฝูอ๋องโยนถุงเงินหนักอึ้งมาให้แท้ๆ อย่างน้อยก็น่าจะมีหลายสิบตำลึง ทว่าตอนนี้กลับเหลือแค่เศษเงินถุงเล็กๆ เท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้พวกเขาไม่มีความกล้าจะพูดออกมา
เสนาบดีเฉวียนมองดูฉู่ซินเถียนที่อยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนเขารู้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นคนรักเงินมากเพียงใด แล้วก็กระจ่างดีว่านางคิดอยากไถ่ตัวมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามหากไม่พูดถึงเรื่องที่ตอนนี้เขาชมชอบฝีมือการทำอาหารของนาง เขาเชื่อว่าอีกไม่เกินสองปีรูปโฉมของนางย่อมไม่มีทางแพ้อนุโฉมงามที่อยู่ข้างกายเขาในยามนี้ ถึงตอนนั้นก็ให้นางกลายมาเป็นคนของเขา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อยู่ในการคำนวณของเขาแล้ว
ที่ผ่านมาเขาจึงผ่อนปรนให้ฉู่ซินเถียนเสมอมา เขายิ้มมองนาง “ฝูอ๋องชื่นชอบอาหารว่างของเจ้ามาก และชีวิตบนเรือก็ไม่มีความรื่นเริงอะไรมากมาย เขาเพลิดเพลินมาเดือนหนึ่งแล้ว ยามนี้จึงไม่มีความรู้สึกแปลกใหม่อะไรอีก ทุกวันล้วนนอนถึงตอนบ่าย ตื่นขึ้นมาก็ล้วนได้กินอาหารทะเลเลิศรสจนรู้สึกเบื่อมากแล้ว เขาชอบของแปลกใหม่ เจ้าเองก็สิ้นเปลืองแรงกายใจเพิ่มสักหน่อย วันหน้ารางวัลที่ได้จะต้องมีมากขึ้นแน่นอน”
“เจ้าค่ะ” ฉู่ซินเถียนผงกศีรษะตอบรับอย่างมีความสุข
อนุโฉมงามที่อยู่ด้านข้างเห็นความสนใจของเสนาบดีเฉวียนอยู่บนร่างของฉู่ซินเถียนทั้งหมด นางจึงเอนซบไปในอ้อมกอดเขาอย่างออดอ้อน กล่าวด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ “ใต้เท้า ท่านลืมเรื่องของข้า ไปแล้วหรือเจ้าคะ”
เขาก้มหน้าจุมพิตบนหน้าผากนาง ก่อนเงยหน้ามองฉู่ซินเถียนผู้ขาวกระจ่างบริสุทธิ์อีกครั้ง “ที่เรียกเจ้ามายังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันก่อน ปิ่งกัน* รสเปรี้ยวๆ หวานๆ กินคู่น้ำชาที่เจ้าทำมา นางชอบมาก กระตือรือร้นอยากจะศึกษาจากเจ้า”
ฉู่ซินเถียนคิดแล้วผงกศีรษะ “นั่นคือปิ่งกันโรยน้ำตาลรสมะนาว ทำไม่ยากเจ้าค่ะ แต่การควบคุมไฟค่อนข้างยาก”
ฉู่ซินเถียนอธิบายเรื่องการใช้ไข่ น้ำตาล น้ำมัน แป้ง และวัตถุดิบต่างๆ มาผสมกันทำเป็นก้อนแป้ง แล้วแบ่งแป้งออกเป็นก้อนเล็กๆ กดจนแบนแล้วนำไปอบ หลังทำเสร็จก็นำไปวางไว้ให้เย็นจากนั้นจึงบอกถึงขั้นตอนการผสมผงน้ำตาลกับน้ำมะนาวว่าต้องผสมอย่างไร แล้วเอามาโรยบนปิ่งกันอีกทีหนึ่ง…ฉู่ซินเถียนอธิบายอย่างละเอียดยิ่ง แต่เมื่อเห็นแววตากระสับกระส่ายหงุดหงิดของอนุโฉมงามผู้นั้น นางก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายเพียงแค่พูดออกมาอย่างนั้นเอง นึกอยากประจบประแจงเสนาบดีเฉวียนเท่านั้น
“ฟังดูไม่ยากเท่าไร แต่ว่าไฟ?” อนุโฉมงามกัดริมฝีปากแดงแล้วมองไปยังฉู่ซินเถียน
“เรื่องนี้ต้องอาศัยประสบการณ์เท่านั้นจริงๆ เจ้าค่ะ อธิบายได้ยากนัก” ฉู่ซินเถียนพูดตรงไปตรงมายิ่ง ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีเตาอบ ไม่อาจคาดเดาความร้อนได้ หากไฟของเตาแรงเกินไปหรือร้อนไม่พอ ปิ่งกันที่อบออกมาก็อาจจะไหม้หรืออาจไม่สุก กินไม่ได้อีก
“เรื่องนี้…” อนุโฉมงามมองไปที่เสนาบดีเฉวียนอย่างออดอ้อนอีกครั้งพลางกะพริบตาปริบๆ
เสนาบดีเฉวียนหัวเราะเสียงดังออกมา “เอาเถอะ งานหยาบกระด้างเช่นนั้นไยต้องให้เจ้าทำเองด้วย อยากกินก็บอกให้สาวใช้แซ่ฉู่ไปทำก็พอแล้ว เจ้าคอยปรนนิบัติข้าดีๆ ก็พอ”
“ข้าเองก็อยากเจ้าค่ะ แต่ที่ผ่านมาใต้เท้าล้วนมอบเวลาส่วนใหญ่ให้กับฝูอ๋อง มีบางทีที่ใต้เท้าจะเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้อง ต้องการให้ข้านั่งอยู่ในห้องโถงแทนใต้เท้าเพื่ออยู่เป็นเพื่อนฝูอ๋อง ที่นั่นข้ากลับเห็นฝูอ๋องโอบกอดสาวน้อยสองคนไม่ปล่อย ข้าเห็นแล้วไม่ใช่แค่เบื่อหน่าย ยังรู้สึกคิดถึงใต้เท้าอีกด้วย ใต้เท้าจะให้ข้าปรนนิบัติท่านตอนไหนเจ้าคะ” นางยู่ปากแดง ดวงตาคู่งามมองเขาอย่างตัดพ้อ
การออดอ้อนของอนุโฉมงามยังนับว่ามีความพอดีอยู่ อย่างไรบุรุษที่อยู่ตรงหน้าก็หาใช่บุคคลธรรมดา เนื่องจากเขาถนัดประจบประแจงหาผลประโยชน์ ถึงได้ปีนป่ายจากตระกูลบัณฑิตขึ้นมาจนถึงจุดนี้ได้ เขาใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานมาแย่งชิงผลประโยชน์ เวลาเข้าออกจวนก็รักษาหน้าตายิ่ง กระทั่งบ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติข้างกายก็ต้องหน้าตาสะอาดสะอ้าน รูปร่างค่อนข้างดี
หนนี้ที่เสนาบดีเฉวียนออกมาทำงาน แม้นางจะรูปโฉมงดงามเพียงนี้แล้ว แต่บนเรือก็มีอยู่แล้วเจ็ดแปดคน ไหนจะบรรดานักดนตรีหญิงอีก หากคิดอยากมีพื้นที่ข้างกายเขา นางจะต้องวางตัวอย่างระมัดระวัง อย่าทำให้เขารำคาญไปเสียก่อน
ที่แท้อนุโฉมงามผู้นี้ก็กำลังประจบประแจงอยู่นี่เอง นึกไม่ถึงเลยว่าจะนำข้ามาเป็นข้ออ้าง ฉู่ซินเถียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วพึมพำอยู่ในใจ
เสนาบดีเฉวียนกุมมือทั้งสองข้างของอนุโฉมงาม “ทางเมืองหลวงฝากฝังข้ามาไม่น้อย ข้าจะต้องคอยตอบรับสาร ต้องเขียนบางอย่างและส่งนกพิราบสื่อสารกลับไป” เขาลูบไล้มืออ่อนนุ่มของนาง “เอาล่ะ ไหนว่ามาซิว่าเมื่อคืนฝูอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาโอบสาวน้อยสองคน ทั้งหอมทั้งกอดอยู่ตลอดคืน สุราดื่มไปหลายไห จวบจนกลางดึกถึงได้ให้สาวน้อยทั้งสองพยุงกลับห้องไปอย่างเมามาย คาดว่าคงตื่นตอนที่พ้นยามบ่ายไปแล้ว” อนุโฉมงามตัดพ้ออย่างอดไม่ได้ “ฝ่าบาททรงเลือกคนเช่นนี้มาทำงานร่วมกับใต้เท้า ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงวางแผนอะไรอยู่”
เสนาบดีเฉวียนเพียงยิ้มไม่พูดจา เรื่องราวในนี้ยังมีแผนการของพระพันปีกับอัครเสนาบดีอยู่ด้วย เพียงแต่ว่าสตรีผู้หนึ่งไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องมากเพียงนั้น
อนุโฉมงามผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวยังคงกล่าวอวดฉลาดอีกครั้ง “หรือฝ่าบาททรงหวั่นเกรงฝูอ๋อง? ในเมืองหลวงไม่ได้มีคำเล่าลือว่าเจ้าสำนักไร้ทุกข์ก็คือเขาหรอกหรือ สำนักไร้ทุกข์สำนักนี้ก็คือสำนักชาวยุทธ์ที่ฝูอ๋องสร้างขึ้นมาเพื่อวางแผนแก้แค้นให้ฝูอ๋องคนก่อน?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสนาบดีเฉวียนก็พ่นลมออกจากจมูกพลางเอ่ยอย่างดูแคลน “ฝูอ๋องก็เป็นแค่ท่านอ๋องเจ้าสำราญเท่านั้น ไฉนจะมีความสามารถได้ คำเล่าลือก็เป็นแค่เรื่องโกหก มีแต่เด็กโง่เช่นเจ้าเท่านั้นแหละที่คิดจริงจัง”
กระนั้นเสนาบดีเฉวียนก็ชื่นชอบสตรีผู้โง่งม เพราะที่เขาต้องการก็คือร่างกายกับการปรนนิบัติของพวกนาง ไหวพริบกับความฉลาดล้วนไม่จำเป็น เขาก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของโฉมงามในอ้อมกอดซึ่งยู่ปากกล่าวว่า “ข้าไม่เชื่อ”
ฉู่ซินเถียนไร้วาจาไปโดยสิ้นเชิง ต่อให้นางจะเห็นด้วยกับคำพูดของเสนาบดีเฉวียน แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องปล่อยนางทิ้งไว้เป็นผู้ชม ต้องคอยดูเขากับอนุโฉมงามสนทนาอยู่ตรงนี้เลยนี่
แต่ไรมาชื่อเสียงของ ‘สำนักไร้ทุกข์’ ในเมืองหลวงนั้นเรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก นั่นเป็นสำนักที่มีไว้เพื่อแก้ปัญหาให้ผู้คนโดยเฉพาะ ตั้งแต่เรื่องเล็กอย่างแอบฟังความลับของผู้อื่น ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่างการฆ่าล้างตระกูล ขอแค่เสนอจำนวนเงินที่เจ้าสำนักไร้ทุกข์พึงพอใจได้ รับรองว่าผู้ว่าจ้างจะไร้เรื่องทุกข์ใจแน่นอน แล้วก็เป็นเพราะมีการรับรองความสำเร็จเช่นนี้ จึงกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของราชสำนักและชาวยุทธ์ ราชสำนักก็หาทางสกัดการลงมือไม่ได้ ชาวยุทธ์ก็ไม่เป็นที่ต้องการอีก ทว่าก็ยังไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์มาก่อน
และก็ไม่รู้ว่าคำเล่าลือที่ว่าเจ้าสำนักไร้ทุกข์สกุลเว่ยนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด เป็นเพราะไม่มีเรื่องที่เขาทำไม่ได้ คนในยุทธภพที่เคารพเขาจึงเรียกขานเขาเป็น ‘เทพเจ้าแซ่เว่ย’ ส่วนคนที่เกลียดเขาก็ด่าทอเขาว่า ‘ปีศาจแซ่เว่ย’ ข่าวลือแพร่หลายไปมา ถึงกับพูดกันว่าคนสกุลเว่ยผู้นี้ก็คือฝูอ๋องเว่ยหลันโจว
ฉู่ซินเถียนจำได้แม่นยำนักว่ายามนั้นตอนที่นางได้ยินประโยคนี้ที่ลานด้านหลังจวนเสนาบดี อาการตอบสนองของบ่าวรับใช้รอบกายนางล้วนเหมือนกันยิ่ง…
‘ฝูอ๋องเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์ นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดในใต้หล้าแล้ว? ฮ่าๆๆ…’
‘หากเขาเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์ ข้าก็เป็นจักรพรรดิแล้วล่ะ! ฮ่าๆๆ…’
ฉู่ซินเถียนไม่เคยพบฝูอ๋องมาก่อน แต่นางเคยได้ยินว่าฝูอ๋องเป็นผู้มั่วโลกีย์รักสนุก แล้วก็เคยได้ยินเรื่องราวต่างๆ ของสำนักไร้ทุกข์ที่สามารถทำได้ทุกอย่าง ผู้ที่สามารถจับสองคนนี้มาวางอยู่ด้วยกันได้นั้น ทำให้นางคิดว่าสมองของคนผู้นั้นมีรู มิหนำซ้ำ…ยังเป็นรูที่ไม่เล็กเสียด้วย
เสนาบดีเฉวียนที่พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับอนุโฉมงามอยู่นั้น ในที่สุดก็เห็น ‘ขอนไม้’ ที่เริ่มเหม่อลอยท่อนนี้ได้เสียที เขาจึงโบกมือสั่งให้นางล่าถอยออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 พ.ย. 62
Comments
comments
No tags for this post.