บทที่สาม
ฉู่ซินเถียนกลับมาที่ห้องครัวและเริ่มต้นทำงาน ตอนที่อาการเมาเรือเริ่มกลับมาอีกครั้ง นางถึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองลืมกินยา ทว่าเมื่อนึกถึงถุงเงินเล็กๆ ที่ยัดอยู่ในสาบเสื้อ อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นทันที อาการคลื่นไส้เองก็ดีตามมาไม่น้อย เพียงแต่สีหน้าของบรรดาบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ในห้องครัวที่ฉู่ซินเถียนต้องเผชิญหน้าด้วยนั้นยังคงทำให้นางรู้สึกอึดอัดอยู่ดี
“ชิ! คนบางคนช่างมีความสามารถยิ่งนัก ทำแค่อาหารว่างก็มีของรางวัลเป็นพิเศษแล้ว”
“แม้นางจะทำอาหารว่างด้วยตัวเอง แต่ภายในห้องครัวก็มีงานบางอย่างที่ไม่ใช่นางคนเดียวทำเสียหน่อย หรือไม่ควรนำออกมาแบ่งให้ทุกคนหน่อยหรือ ช่างไม่รู้จักแบ่งปันจริงๆ”
“ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าฝูอ๋องใจกว้างอย่างมาก บางทีรอจนพวกเราไปถึงแคว้นหนีตัน นางก็คงหยิบถุงเงินใบใหญ่ออกมา หลุดพ้นจากสถานะบ่าวไปแล้ว”
เสียงซุบซิบนินทารอบด้านยังคงมีอยู่ตลอดทั้งวัน และคอยดังขึ้นที่ด้านหลังฉู่ซินเถียนตลอดเวลา
กับอาการอิจฉาริษยาและเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ ฉู่ซินเถียนไม่เก็บมาคิดมากเลยแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริง นับตั้งแต่วันที่เสนาบดีเฉวียนต้องตาในฝีมือของนาง กระทั่งพ่อครัวชราที่ก่อนหน้านี้เป็นมิตรกับนางก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไปแล้ว แม้แต่เรื่องที่นางได้ออกเดินทางไปแคว้นอื่น เขาก็โมโหว่านางแย่งตำแหน่งของเขาไป
ฉู่ซินเถียนไม่อาจชี้แจงอะไรได้ ด้วยลำดับชั้นในยุคโบราณทำให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ชั้นล่างต่างพยายามหาวิธีปีนป่ายขึ้นไปข้างบนจนสุดความสามารถด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งนางสามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้นางเองก็เชื่อมั่นว่าตนเองจะหนีไปจากสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีกันแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่มีทางจงใจประจบประแจงผู้อื่น แล้วก็ไม่ยอมอดทนเพื่อส่วนรวมด้วย
ฉู่ซินเถียนทำงานอย่างระมัดระวังไปจนเสร็จ ในที่สุดก็ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
ยามนี้เป็นเวลากลางดึกอีกครั้ง ภายใต้แสงไฟสีเหลืองสลัว ห้องครัวกว้างใหญ่แสนเงียบสงัดกลายเป็นโลกใบเล็กอันอบอุ่น แต่ฉู่ซินเถียนรู้ว่ารอผ่านไปอีกสักพักก็จะมีคนเดินเข้ามา เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางก็ยิ้มออกมาแล้ว
ถึงแม้เขาจะกะล่อนไปเสียหน่อย ชอบเคาะศีรษะนาง บางทีก็ดีดหน้าผากทำให้นางเจ็บ หนก่อนยังแอบลูบแก้มของนางไปหนหนึ่ง แต่นอกจากนี้ก็ไม่ค่อยมีท่าทางที่ไม่สง่างามอะไรอีก อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
ระหว่างที่ครุ่นคิด นางก็วางอาหารมื้อดึกสองที่ลงบนโต๊ะ แล้วใช้ผ้าอุ่นเช็ดมือ ตอนที่นางกำลังจะกัดแป้งห่อไส้แบบจีนซึ่งใช้ผักสดใหม่กับเนื้อย่างมาเป็นไส้นั้นเอง เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็มานั่งประจำที่อย่างรวดเร็ว หลังหยิบผ้าอุ่นบนโต๊ะมาเช็ดมือ เขาก็หยิบของที่แค่มองดูก็น่ากินขึ้นมากัดไปคำโต ดวงตาดอกท้อน่ามองคู่นั้นยิ้มตาหยีอีกครั้ง
เขากินไปพลางถามถึงวัตถุดิบในอาหารไปพลาง แค่ไม่กี่คำก็กินจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากอย่างพึงพอใจ แล้วยิ้มมองนาง “ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าได้รางวัลจากฝูอ๋อง?”
เรื่องนี้อีกแล้ว! นางกลอกตามองบนทันที “บนเรือไม่มีเรื่องอื่นให้คุยแล้วจริงๆ หรือไร ก็แค่เงินถุงเล็กๆ ถุงหนึ่งเท่านั้น ทำราวกับว่าข้าได้มาหลายสิบหลายร้อยตำลึงอย่างไรอย่างนั้น”
นัยน์ตาสีดำของเขามีประกายประหลาดใจวาบผ่าน แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ใช่หรือ ข้าเองก็คิดว่ามีอย่างน้อยห้าหรือสิบตำลึงเสียอีก ได้ยินมาว่าฝูอ๋องเป็นผู้ไม่เห็นเงินเป็นเงินผู้หนึ่งนี่”
“ผู้ใดจะรู้เล่า บางทีเขาอาจจะควักเงินออกมามอบให้โฉมงามไปหมดแล้ว ถึงได้โยนเศษที่เหลือมาให้แม่ครัวอย่างข้า แต่…” นางยิ้มให้เขา “แค่นี้ข้าก็ดีใจมากแล้ว”
แต่ข้าไม่ดีใจ! เขาเม้มปากแน่น
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขามอบเงินให้โฉมงามไปหมด” เขาหยิบชาที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมารินชาร้อนถ้วยหนึ่งให้ตนเอง ภายในอากาศมีกลิ่นหอมของชาที่แฝงไปด้วยกลิ่นผลไม้เข้มข้นขึ้นมาทันควัน
ฉู่ซินเถียนเคี้ยวอาหารในปาก หลังกลืนลงท้องแล้วถึงได้กล่าว “จะไม่รู้ได้อย่างไร ภายในห้องครัวที่พูดคุยกันมากที่สุดก็คือหลังฝูอ๋องขึ้นเรือมาแล้ว เขาจุมพิตโฉมงามคนไหนบ้าง โอบกอดซ้ายขวาคึกคักทุกคืน จริงๆ เลย เขาไม่กลัวว่าจะหักโหมมากเกินไปจนตัวเองอ่อนปวกเปียกกลายเป็นขันทีบ้างหรือ”
“พรูด! แค่กๆ แค่ก…” เขาสำลักไออย่างรุนแรง พร้อมถลึงตาใส่นางอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่กๆ…”
ฉู่ซินเถียนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าที่นี่เป็นยุคโบราณ บทสนทนาระหว่างบุรุษสตรีไม่ได้เปิดกว้างเช่นในปัจจุบัน คำว่า ‘อ่อนปวกเปียก’ จากปากนางนั้น สำหรับบุรุษยุคโบราณแล้วคงมองไร้ยางอายหรือไม่ก็ขวัญกล้าเกินไป
สีหน้าฉู่ซินเถียนกระอักกระอ่วนยิ่ง นางเดินไปข้างหลังเขาแล้วช่วยตบหลังให้ “ขออภัย ข้าลืมไปว่าตนเองกำลังคุยกับบุรุษอยู่”
เขาหยุดไอในทันที ก่อนจะหันกลับไปถลึงตาใส่นางอย่างทนไม่ไหว “ข้าดูเหมือนสตรีหรือ!”
ฉู่ซินเถียนพยายามกลั้นหัวเราะ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ไม่เหมือน เพียงแต่เจ้าหน้าตาดียิ่งนัก ดีกว่าสตรีหลายคนทีเดียว” นางเองก็ไม่ประหยัดคำชมแม้แต่น้อย ทั้งยังจ้องมองเขาอย่างตั้งใจอีกด้วย
เขามีคิ้วคมเข้มทั้งสองข้าง ดวงตาดอกท้อเรียวยาวคู่งามดึงดูดผู้คนเป็นอย่างมาก เมื่อรวมเข้ากับจมูกโด่งรั้น ริมฝีปากหยักที่รูปทรงค่อนข้างดูดีอันหนึ่ง ผิวเขาขาวเนียนกระจ่าง แม้แต่รูขุมขนเล็กๆ ยังมองไม่เห็น บางทีอาจจะดียิ่งกว่าสภาพผิวของนางเสียด้วยซ้ำ แม้นางจะมองใบหน้านี้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว แต่ยิ่งมองก็ยิ่งดูดีจริงๆ
คำพูดนี้ทำให้เขาดีใจอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์พลันยิ้มกว้าง “ถือว่าเจ้ารู้จักพูดอยู่ แต่ข้ายังคงประหลาดใจนักว่าเหตุใดคำวิจารณ์ที่เจ้ามีต่อฝูอ๋องจึงแย่เพียงนั้น”
“คำวิจารณ์ไม่ได้แย่ เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าฝูอ๋องเอาเปรียบสถานะดีๆ ที่สวรรค์มอบให้เขา” ฉู่ซินเถียนตอบตรงไปตรงมา
“หมายความว่าอย่างไรกัน ฝูอ๋องคนก่อนเป็นขุนนางกบฏผู้หนึ่ง เจ้ากลับรู้สึกว่าบุตรชายของเขามีสถานะที่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ” ร่างกายของเขาพลันโน้มมาข้างหน้า สีหน้ากระตือรือร้นยิ่ง
ฉู่ซินเถียนครุ่นคิดอย่างตั้งใจ “การมีบิดาเป็นกบฏมิใช่ความผิดของเขาเสียหน่อย มนุษย์ไม่สามารถเลือกบิดามารดาได้ นับประสาอะไรกับเขาที่ยังได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ตามเดิม ได้เป็นคนที่มีทั้งเงินและอำนาจเช่นนี้ เขาก็ควรจะเป็นคนที่ดีมากๆ ผู้หนึ่งสิ”
“ดังนั้น…เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนเลว?” เขาถามกลับหลังจากสัมผัสความคิดของฉู่ซินเถียนได้
“ผู้ที่กินดื่ม เที่ยว เล่นพนันจะเป็นคนดีหรือ” นางเองก็ถามกลับไปตรงๆ เช่นกัน
เขาไหวไหล่ “บางทีเขาอาจจะทุกข์ใจอยู่ก็ได้ คนทั้งครอบครัวนอกจากเขาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนถูกสังหารและเนรเทศ ที่ดินศักดินาทางใต้เองก็ถูกฝ่าบาทริบคืน เขาอยู่ที่เมืองหลวงก็ต้องถูกผู้อื่นคอยจับตามอง เป็นอ๋องเกียจคร้านที่ไม่มีงานทำ นอกจากใช้ชีวิตเป็นคุณชายเจ้าสำราญแล้ว เขายังจะทำอะไรได้อีก”
“เขาสามารถบ่มเพาะสิ่งดีๆ ขึ้นมาได้ ทำเรื่องดีๆ อย่างการช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอและลำบากได้ มีเรื่องมีสาระมากมายที่เขากระทำได้ เหตุใดจะต้องทำตัวตกต่ำเป็นคนไร้ค่าเพียงนั้น” ฉู่ซินเถียนไม่เห็นด้วย
“คนไร้ค่า? เจ้าช่างกล้าพูดนัก ไม่กลัวว่าข้าจะถ่ายทอดคำพูดพวกนี้ของเจ้าออกไปหรือ” เขากอดอกพลางจ้องนางเขม็ง
ฉู่ซินเถียนกลอกตามองบนใส่เขา หยิบชามารินให้ตนเองหนึ่งถ้วย แล้วเป่าควันขาวที่ลอยออกมาจากชาผลไม้ “กินของผู้อื่น รับของผู้อื่น เจ้าไม่รู้สึกผิดหรือ เป็นคนต้องมีจิตสำนึกที่ดี มิฉะนั้นจะต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานเล่า”
เขาหรี่ตาลง ก่อนจะส่ายศีรษะพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “เด็กน้อยเอ๋ย เวลาที่เจ้าพูดจาดูมีหลักการร้ายกาจน่าดู แต่เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าฝูอ๋องเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์ผู้มีชื่อเสียง…”
“พรูด! แค่กๆๆ…” ฉู่ซินเถียนถลึงตาใส่เขา มือหนึ่งชี้ไปที่เขาอย่างโมโห ก่อนจะชี้ไปที่ชาในมือนาง เจตนาคือเหตุใดเขาต้องพูดเรื่องตลกเวลาที่นางกำลังดื่มหรือกินอะไรบางอย่างทุกครั้งด้วย
เขากลอกตามองบนอย่างอดไม่ไหว ก่อนยื่นมือออกไปตบหลังให้นาง “เจ้าโง่เองนี่ ยังจะมาโทษข้าอีก”
ฉู่ซินเถียนถลึงตามองกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ หลังหยุดไอได้อย่างยากเย็นแล้วนางก็ดื่มชาลงไปอีกหนึ่งอึก ทำให้คอชุ่มชื้นแล้วถึงได้กล่าว “บอกว่า ‘ได้ยินมา’ ก็หมายความว่าเป็นเรื่องโกหก ข่าวลือย่อมหยุดลงที่ผู้ทรงปัญญา”
บุรุษหนุ่มยิ้มมองนาง “ประโยคนี้ไม่เลว ท่าทางเจ้าจะเรียนรู้ด้วยตนเองมาดียิ่ง แต่เจ้าไม่เชื่อสักนิดเลยหรือว่าฝูอ๋องจะเป็นเจ้าสำนัก?”
นางผงกศีรษะอย่างแรง “ไม่ใช่แค่ข้าหรอก ทั่วทั้งเมืองหลวงที่เชื่อว่าเขาเป็นเจ้าสำนัก เกรงว่าคงมีไม่ถึงสิบคน” ฉู่ซินเถียนชูสิบนิ้วขึ้นมาอย่างจริงจัง
นัยน์ตาดำขลับหรี่ลงทันใด “ไม่ถึงสิบ? เจ้าดูถูกเขามากจริงๆ”
“ใช่แค่ข้าเสียที่ใดเล่า เป็นเพราะตัวของเขาที่ทำให้ผู้คนนึกดูถูกเอง นอกจากจะไม่ศึกษาเล่าเรียนแล้ว ยังจะหมกมุ่นในกาม คนเจ้าสำราญที่ไม่มีความคิดผู้หนึ่ง ควรหันกลับมาพิจารณาตนเองก่อนจึงจะถูก” นางบ่นยืดยาวก่อนจะดื่มชาจนหมดถ้วย นางลุกขึ้นยืนเก็บกวาดถ้วยชามบนโต๊ะแล้วนำไปล้างให้สะอาด
บุรุษหนุ่มนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ขยับ ก่อนหลับตาลงน้อยๆ เพื่อปิดบังคลื่นอารมณ์ในแววตา ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองดูนางที่หันหลังให้ตนเองอยู่ เขายื่นมือออกไปหยิบถ้วยสะอาดบนโต๊ะมาอีกสองถ้วยแล้วรินน้ำชาลงไป ก่อนจะหยิบขวดใบหนึ่งออกมาจากชายเสื้อ โดยไม่ลืมใช้แขนเสื้อบดบัง ลอบใส่ผงสีขาวไร้สีไร้กลิ่นลงไปในถ้วยชาใบหนึ่ง
ตอนที่ฉู่ซินเถียนล้างถ้วยชามเสร็จแล้วหันกายกลับมาอีกครั้ง นางก็มองอย่างประหลาดใจไปยังบุรุษที่ปกติจะสะบัดก้นจากไปทุกครั้งหลังกินเสร็จ ทว่าหนนี้เขากลับเอนร่างพิงกับกรอบหน้าต่าง สายตามองออกไปข้างนอก
เดิมฉู่ซินเถียนคิดจะเปิดปาก แต่เมื่อเห็นเขามีใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย นางจึงเก็บกาน้ำชาไปวางที่อ่างก่อน หลังทำความสะอาดชาผลไม้ไร้กลิ่นและใบชาเรียบร้อย นางถึงได้เดินไปอยู่ที่ข้างกายเขาอีกครั้ง
เขามองนาง ก่อนจะยื่นถ้วยชาอีกถ้วยที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างมาให้
ฉู่ซินเถียนรับมา สายตามองเขาที่ถือถ้วยชาอยู่ในมือเช่นเดียวกัน “เจ้าชอบดื่มสิ่งนี้หรือ ข้าตั้งใจต้มให้จางลงหน่อย เกรงว่าจะรบกวนการนอนหลับ แต่หากดื่มไปสองถ้วย เกรงว่าจะมากเกินไป” กล่าวจบนางก็วางถ้วยลงข้างๆ
“คืนนี้ข้าคิดอยากอยู่อีกสักพัก เจ้าถือไว้ดื่มเถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องได้ดื่ม” เขาดื่มถ้วยชาในมือตนเองก่อน แล้วยิ้มมองนาง
“ช่างเถอะ วันนี้มีเรื่องค่อนข้างมาก ได้อยู่เงียบๆ สักพักก็ดีเหมือนกัน” ฉู่ซินเถียนก็ดื่มลงไปอึกหนึ่งเช่นกัน
ท้องฟ้ามืดมิด ทั้งสองคนยืนไหล่ชิดไหล่อยู่เบื้องหน้าบานหน้าต่าง ดวงตาสองคู่จ้องมองไปยังแสงจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนระลอกคลื่น
เรือลำนี้แล่นไปข้างหน้าอย่างไม่แยกแยะเช้าค่ำโดยมีบ่าวรับใช้สลับเวรกันมาควบคุม ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนการนอนหลับของฝูอ๋องกับเสนาบดีเฉวียน ความเร็วที่แล่นในยามราตรีจึงช้าลง ดังนั้นทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่างจึงเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง มีบ้างที่จะได้เห็นแสงไฟจากหมู่บ้านริมขอบฝั่ง ห่างออกไปคล้ายยังมีเรือลำอื่นที่แล่นอยู่ แสงตะเกียงกะพริบเป็นจุดเล็กๆ
การเดินเรือครั้งนี้มาถึงแม่น้ำแล้ว อยู่ในเขตเมืองที่มีผู้อาศัยอยู่ริมน้ำค่อนข้างบางตา ริมสองฝั่งส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงและหุบเขา ควันไฟจากบ้านเรือนมีไม่มาก หากไม่ใช่เพราะแสงจันทร์ทอส่อง รอบด้านก็ล้วนมืดสนิท
ฉู่ซินเถียนมองอยู่สักพัก ชาในมือเองก็ดื่มหมดแล้ว บุรุษที่อยู่ข้างกายยังไม่พูดอะไร แต่นางอยากนอนแล้ว ตอนเช้านางยังต้องตื่นขึ้นมาทำงานอีก
ฉู่ซินเถียนกลั้นหาวเอาไว้ นางไม่อยากรบกวนอาการครุ่นคิดของเขา จึงขยับฝีเท้าอย่างแผ่วเบา คิดอยากจากไปอย่างเงียบๆ
“พวกเราเองก็นับเป็นสหายกัน เจ้าลองบอกมาว่าวันหน้าเจ้าคิดอยากจะทำอะไร” เขากล่าวถามขึ้นมากะทันหัน พอถามคำถามนี้แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจกับตนเองอีกครั้ง
ฉู่ซินเถียนหันกลับไปมองเขา เห็นดวงตาสว่างไสวที่มองมาดูจริงจังเป็นพิเศษ หากนางไม่ตอบก็ดูเสียมารยาท เมื่อเห็นถ้วยชาในมือเขาว่างเปล่าแล้วเช่นกัน นางจึงรับถ้วยชาในมือเขามา ก่อนจะเดินไปยังอ่างแล้วล้างให้สะอาด
เขายืนอยู่ด้านข้าง รอคอยคำตอบของนาง
“ข้าอยากกลับมาเป็นอิสระก่อน แล้วค่อยหาหมู่บ้านเล็กๆ งดงามแห่งหนึ่ง เปิดร้านขายขนมที่สามารถดำรงชีพได้ ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างสงบก็พอแล้ว” กล่าวจบนางก็หาวออกมาอย่างทนไม่ไหว ก่อนรีบร้อนยกมือขึ้นปิดปาก
เขานิ่งอึ้งไปก่อนจะยิ้มออกมา “ที่แท้ก็ไม่ใช่ความมุ่งมาดที่ยิ่งใหญ่อะไร”
“ข้าแค่ตัวคนเดียว ต่อให้ชีวิตพบเจอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ไม่มีผู้ที่ให้แบ่งปันได้” นางสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่อยากให้ตนเองฟังดูน่าสงสารและอ่อนแอเท่าไรนัก แต่…ทำไมจู่ๆ ข้าถึงได้ง่วงนักนะ
บุรุษหนุ่มจับจ้องนางอย่างเห็นใจ “สาวน้อย…”
ฉู่ซินเถียนยกมือขึ้นปิดปากหาวอีกครั้ง ก่อนส่ายศีรษะให้เขา “ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรตัวคนเดียวก็สบายดี ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรรึ ที่ผ่านมาข้าไม่เคยถาม เจ้าเองก็ไม่เคยพูดขึ้นมาก่อน”
เขาเผยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “สำคัญด้วยหรือ”
“เจ้าไม่ได้พูดว่าพวกเรานับเป็นสหายกันหรอกหรือ” ไม่ไหวแล้ว! เปลือกตานางหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
เขาสังเกตเห็นว่าดวงตานางใกล้จะปิดลงแล้ว “สาวน้อย?”
“ขออภัย ไว้ค่อยคุยกันหนหน้าเถอะ ข้าอยากนอนมากแล้วจริงๆ ขอตัวกลับห้องก่อน” ฉู่ซินเถียนพยายามฝืนกับอาการง่วงงุน นางโบกมือให้เขา มือหนึ่งถือตะเกียงน้ำมันพลางเดินหาวถี่ๆ กลับไปยังห้องนอน หลังเป่าไฟในตะเกียงน้ำมันดับแล้ว นางก็แทบจะอยู่ในสภาพหลับตาขณะถอดเสื้อคลุมตัวนอกและถุงเท้า ก่อนคว่ำร่างลงกับเตียงแล้วหลับไปทันที
ราตรีนี้ ฉู่ซินเถียนหลับสนิทอย่างยิ่ง คลับคล้ายคลับคลาเหมือนมีเสียงมีดดาบดังเคร้งคร้าง เสียงผู้คนวุ่นวาย เสียงกรีดร้องรวมไปถึงเสียงร้องไห้โหยหวน
ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่ที่ดังปลุกฉู่ซินเถียนให้ตื่นขึ้นมา นางสะลึมสะลือสะดุ้งตื่นขึ้นมาในความมืด รู้สึกว่าศีรษะตนเองมึนงงยิ่งนัก ร่างกายยิ่งหนักอึ้ง นางดึงผ้าห่มออกคิดอยากลงจากเตียง ทว่ากลับพบว่าทั้งมือและเท้าล้วนอ่อนเปลี้ยไร้กำลัง นางได้แต่ตะเกียกตะกายฝืนลุกขึ้นมานั่ง สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อยกว่าจะสวมเสื้อคลุมตัวนอก และใส่รองเท้าปักจนเสร็จ นางค่อยๆ คลำทางในความมืดแล้วเดินออกจากห้องไป
ยิ่งฉู่ซินเถียนเดินตรงไปข้างหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ เสียงเอะอะโวยวายผสานกับเสียงคมดาบปะทะกันที่ดังอยู่ข้างนอกก็เหมือนจะยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ ยามที่นางลากร่างกายอันหนักอึ้งเดินไปถึงดาดฟ้าเรือที่มีแสงไฟส่องสว่าง นางถึงค่อยพบว่าบนดาดฟ้าล้วนเต็มไปด้วยคนตาย มีบางจุดบนเรือที่ยังติดไฟอยู่ มีบางคนกำลังหนีอย่างลนลาน แล้วก็ยังมีคนชุดดำปิดบังใบหน้าอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังถือดาบไล่ฆ่า แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือ…องครักษ์ผู้ติดตามบนเรือกับคนชุดดำที่ปิดบังใบหน้ากำลังเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด สถานการณ์ในยามนี้นับว่าวุ่นวายเป็นอย่างมาก!
ไม่ใช่ฝันไปใช่หรือไม่! ฉู่ซินเถียนออกแรงหยิกตนเอง ความรู้สึกเจ็บทำให้สมองที่สับสนของนางกระจ่างชัดขึ้นแล้ว นางทั้งเครียดและกระวนกระวาย ทำอย่างไรดี กลับไปซ่อนที่ห้องพักตามเดิมดีหรือไม่
ท่ามกลางการเข่นฆ่านองเลือดนี้ เงาร่างที่ยืนตระหง่านร่างหนึ่งพลันดึงดูดสายตาของฉู่ซินเถียนเข้า นางตาถลนเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ในขณะเดียวกัน เสนาบดีเฉวียนที่มีสภาพดูไม่ได้ก็ถูกคนชุดดำสองคนลากมาอยู่บนดาดฟ้านี้แล้ว
เสนาบดีเฉวียนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงถลึงตาใส่เว่ยหลันโจวที่ยืนอยู่บนหัวเรืออย่างไม่อยากจะเชื่อ “คนชุดดำพวกนี้เป็นคนของท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ!”
“ใช่แล้ว เสนาบดีเฉวียน บังเอิญจริงๆ ทั้งหมดล้วนเป็นคนของข้าเอง” เว่ยหลันโจวเลิกคิ้วพลางยิ้มแย้มกล่าว
เสนาบดีเฉวียนกลั้นลมหายใจ เขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ท่านอ๋อง?! ฉู่ซินเถียนเบิกตามองบุรุษที่มาแย่งกินอาหารมื้อดึกยังห้องครัวทุกคืนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ข้าตาฝาดไปแล้วหรือ นางออกแรงขยี้ตาอย่างอดไม่ได้ ก่อนตั้งใจมองเขาอีกที
ไม่ผิด! เป็นเขา! ทว่าดวงตาดอกท้อเรียวยาวคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยประกายเย็นชาที่สามารถแช่แข็งผู้คนได้ ไม่เหมือนบุรุษชุดดำที่นางรู้จักสักนิด ทั้งๆ ที่ใบหน้าคมคายใบหน้านั้นเป็นเขาชัดๆ แต่ความรู้สึกที่มอบให้ผู้คนกลับไม่เหมือนเดิม…
ใช่แล้ว! ทุกครั้งที่ได้พบกัน เขาล้วนสวมแต่ชุดคลุมยาวสีเข้ม ทว่ายามที่เขาอยู่ภายใต้เปลวไฟส่องสะท้อนในตอนนี้ นางก็สามารถมองเห็นได้ว่าชุดที่เขาสวมอยู่นั้น ไม่ว่าจะบริเวณคอเสื้อ และข้อมือต่างก็มีผ้าต่วนสีดำกุ๊นขอบทองซับไว้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์
“ท่านอ๋องเสียสติไปแล้วหรือ! หากคิดก่อเรื่องก็ควรจะมีขอบเขต พวกเราต้องออกเดินทางไปแคว้นหนีตันด้วยกันนะพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีเฉวียนกัดฟันเอ่ยตวาดด้วยความโมโห
“พวกเรา? ใต้เท้าคิดว่าข้ากับเจ้าเป็นพวกเดียวกันจริงๆ หรือ” เว่ยหลันโจวยิ้มเย็นมองดูเสนาบดีเฉวียนที่หน้าเปลี่ยนสีไป ก่อนกล่าวต่อ “เรือเพิ่งจะเดินทางได้ไม่กี่วัน ในอาหารของข้าก็มีเครื่องปรุงเพิ่มเข้ามาแล้ว แน่นอนว่าไม่ทำให้ข้าถึงตายในทันที แต่จากปริมาณของยาพิษแล้ว คาดว่าหลังจากเดินทางไปถึงแคว้นหนีตัน พิษก็คงกำเริบจนข้าตายพอดี”
เสนาบดีเฉวียนกลืนน้ำลายลงคอ “มะ…ไม่จริง ผู้ใดกำลังสร้างข่าวลือเหลวไหลกัน”
แววตาเว่ยหลันโจวเย็นเยียบ “ข่าวลือ? นี่ไม่ใช่ความถนัดของเจ้านายเสนาบดีเฉวียน…อัครเสนาบดีเนี่ยหรือไร”
เสนาบดีเฉวียนขนลุกซู่ เขาเอ่ยถามเสียงสั่น “ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร”
เว่ยหลันโจวพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ภายในเมืองหลวงเล่าลือกันไปทั่วว่าข้าเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์นี่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่อัครเสนาบดีเนี่ยส่งคนออกไปกระจายข่าวหรือไร ไม่สิ ข้าลืมไป เบื้องหลังของอัครเสนาบดีเนี่ยยังมีพระพันปีอยู่อีกนี่”
เสนาบดีเฉวียนสีหน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ เพราะว่าข่าวลือเหล่านี้เป็นฝีมือของพระพันปีกับอัครเสนาบดีเนี่ยจริงๆ แต่ผู้ที่รู้มีอยู่แค่ไม่กี่คน…เหตุใดเว่ยหลันโจวจึงรู้ได้
เสนาบดีเฉวียนมองดูฝูอ๋องที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารอย่างหวาดกลัว ตอนที่เขากำลังจะเปิดปาก เสียง ‘ตุบ’ ก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง ไม่รู้ว่าแขนอาบโลหิตข้างหนึ่งลอยมาตกอยู่เบื้องหน้าเขาได้อย่างไร เขาตกใจจนร้องเสียงหลง ทรุดร่างลงนั่งกับพื้นอย่างทุลักทุเล มองดูศพพิกลพิการบนดาดฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยอย่างตกใจ เขาหอบหายใจหนัก พยายามกระถดถอยร่างกายไปข้างหลัง ด้วยเกรงว่าจะสัมผัสโดนแขนอาบโลหิตนั้น
เว่ยหลันโจวกลับก้าวยาวๆ มาข้างหน้า ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าเสนาบดีเฉวียนที่ตัวสั่นไปทั้งร่าง “ความจริงแล้ว ข้าอยากเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์จริงๆ เป็นผู้นำสำนักที่สามารถต่อกรกับราชสำนักได้ ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าเว่ยหรือปีศาจเว่ย ล้วนแต่ฟังดูร้ายกาจมิใช่หรือ”
เว่ยหลันโจวค่อยๆ นั่งยองลงมา สายตาเขามองตรงไปยังเสนาบดีเฉวียนที่ก้มหน้าตัวสั่น บนใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มเย็น “มองข้า!”
เสนาบดีเฉวียนเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดกลัว “ท่านอ๋อง คือว่า…นั่น…นั่นล้วนเป็นเจตนาของพระพันปีกับท่านอัครเสนาบดี ไม่เกี่ยวกับกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่ใช่เขี้ยวเล็บที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาหรอกหรือ ไม่ใช่ได้รับคำสั่งมาว่าให้กำจัดข้าทิ้งระหว่างการเดินทางครั้งนี้หรือไร”
“ปะ…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีเฉวียนหลั่งเหงื่อเย็น เขาได้แต่ส่ายศีรษะไม่ยอมรับสุดชีวิต
“เปล่า? เจ้ากล้าปฏิเสธว่าคนทั้งหมดในเรือลำนี้ นอกจากเด็กรับใช้สามคนข้างกายข้าแล้ว ทุกคนล้วนไม่ใช่คนของพระพันปี อัครเสนาบดี หรือเจ้ารึ และคนของพวกเจ้าก็ล้วนไม่เลือกวิธีการ จะอย่างไรก็ได้ขอแค่ทำให้ข้าหมดลมหายใจก่อนไปถึงแคว้นหนีตัน จากนั้นค่อยโยนตัวคนทิ้งลงทะเล ทำให้หาศพไม่พบก็พอมิใช่หรือ” ประกายเย็นชาในดวงตาของเขาราวกับแทงทะลุผู้คนได้
เสนาบดีเฉวียนไม่อยากจะเชี่อเลยสักนิด เขาตัวสั่นเทิ้มไม่หยุด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเว่ยหลันโจวจึงกระจ่างแจ้งถึงแผนการทุกอย่าง หรือว่าที่ข้างกายข้า ท่านอัครเสนาบดี หรือกระทั่งพระพันปีก็ล้วนมีหูตาของฝูอ๋องอยู่อย่างนั้นหรือ!
“ไม่มีอะไรจะพูด?” เว่ยหลันโจวเหยียดร่างขึ้น เขากวาดตามองหนหนึ่ง บนเรือมีร่างนอนฟุบอยู่เต็มไปหมดนานแล้ว บัดนี้ผู้ที่ยืนอยู่มีเพียงคนของเขาเท่านั้น “ดึกมากแล้ว ข้าเองก็เหนื่อยเต็มที รีบจัดการเขาเสีย!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เสนาบดีเฉวียนเห็นคนชุดดำจำนวนหนึ่งเดินตรงมาที่ตนเอง เขาจึงร้องขอความเมตตาเสียงดังด้วยใบหน้าซีดเผือด “ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตด้วย…”
ยังกล่าววาจาไม่ทันจบ คนชุดดำเหล่านั้นก็ชกใส่อกเขาพร้อมๆ กัน เสียง ‘เอื๊อก’ ดังขึ้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ก่อนจะกระอักโลหิตเป็นสายยาวออกมา หลังถูกโจมตี ร่างของเขาก็กระเด็นลอยลิ่วตกลงไปในผืนสมุทรสีดำสนิท…หายลับไปทันตา
ฉู่ซินเถียนกลั้นหายใจมองดูฉากอันน่ากลัวตรงหน้า สองมือปิดปากแน่น นางรู้ว่าตนเองควรวิ่งหนี แต่นางตัวแข็งไปทั้งร่างจนเคลื่อนไหวไม่ได้แม้แต่น้อย
ในยามนี้เอง คนชุดดำผู้หนึ่งก็เดินมาจากอีกทางของดาดฟ้า เขาประสานมือกล่าวกับเว่ยหลันโจว
“ท่านอ๋อง จัดการเรียบร้อยหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
‘จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว’ หมายถึงตายหมดแล้ว?! สองมือของฉู่ซินเถียนพลันคลายออกกะทันหัน นางสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บเข้าไปเฮือกหนึ่ง
ทั้งๆ ที่เป็นเสียงสูดลมหายใจแผ่วเบาเพียงนี้แล้ว ไหนจะมีทั้งเสียงลม เสียงคลื่นทะเล ถึงขั้นยังมีเสียงครางก่อนตายอีกหลายเสียง ฉู่ซินเถียนก็ยังสัมผัสได้ถึงสายตาคมปลาบเย็นชาที่ตวัดมองมาทางนางทันที
ยามที่แววตาหวาดกลัวของนางสบเข้ากับดวงตาดอกท้อดำทะมึนคู่นั้นที่ชวนให้ผู้คนหนาวสั่นแล้ว นางก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว…แต่การเคลื่อนไหวของคนชุดดำสองคนกลับรวดเร็วยิ่งกว่า พวกเขาทะยานมาหานางอย่างรวดเร็ว ดาบในมือพุ่งตรงมาที่นางอย่างอำมหิต!
จบสิ้นแล้ว ลำคอฉู่ซินเถียนเกร็งแน่น ข้ากำลังจะตายแล้ว!
ชั่วขณะต่อมา ความมืดมิดก็เข้ามาเยือน
ท้องฟ้าสว่างแล้ว ยามที่แสงอาทิตย์ค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น บนเรือก็ยังมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นแผ่ออกไปทั่วสารทิศซึ่งมาจากซากศพที่ถูกตากแดดเหล่านั้น
เรือยังคงแล่นต่อไปบนผืนสมุทรอย่างเงียบเชียบ บ่าวรับใช้ทั้งหมดต่างถูกคนชุดดำมาแทนที่ พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเป็นชุดของบ่าวรับใช้ มีบางส่วนเดินตรวจตราผืนน้ำอันเงียบสงบ บางส่วนรับผิดชอบในการเดินเรือ บางส่วนก็ยุ่งวุ่นวายอยู่ในเรือ กับบรรดาศพนองโลหิตที่ยังไม่จัดการให้เรียบร้อย แม้แต่คิ้วของพวกเขาก็ไม่ขมวดเลยสักนิด
ในห้องพักหรูหราที่ชั้นบนสุด หน้าต่างไม้ครึ่งวงกลมสลักลายบุปผาและนกเปิดอยู่ครึ่งบาน ลมทะเลพัดเข้ามาเบาๆ ส่วนภายในห้องก็จุดด้วยไม้กฤษณา ซึ่งช่วยขจัดกลิ่นคาวโลหิตที่ลอยเข้ามาตามลมได้ตลอดเวลา
เว่ยหลันโจวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสง่างาม ศอกขวาวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนมือก็เท้าคางพลางจับจ้องไปที่เด็กสาวตัวนุ่มนิ่มที่ยังคงนอนหมดสติอยู่บนเตียงตาไม่กะพริบ เด็กคนนี้ช่างไม่เชื่อฟังเสียเลย!
แล้วก็โชคดีที่การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวมากพอ ถึงทะยานร่างไปรับดาบนั้นได้ทันท่วงที มิฉะนั้นตอนนี้นางก็คงตายไปแล้ว
ที่รอบๆ โต๊ะกลมมีเด็กรับใช้อายุสิบขวบสามคนที่รูปโฉมแตกต่างกันยืนเรียงแถวอยู่ พวกเขาล้วนเป็นเด็กรับใช้ข้างกายเว่ยหลันโจว แล้วก็เป็นลูกศิษย์ตัวน้อยที่กราบไหว้เขาเป็นอาจารย์เพื่อศึกษาเล่าเรียนวิชาแพทย์
ยามนี้แววตาสนใจใคร่รู้ของพวกเขาต่างก็มองกลับไปกลับมาบนใบหน้าของฉู่ซินเถียนกับเว่ยหลันโจว
“ท่านอ๋องแย่งกินอาหารของนางกลางดึกหรือ ดูนางกลมๆ ขาวๆ ฝีมือทำอาหารก็น่าจะอร่อยเหมือนกับตัวนางใช่หรือไม่ มิฉะนั้นท่านอ๋องจะไปเยือนทุกราตรีได้อย่างไร” ผู้ที่พูดคือเฮอจื่อ เขามีใบหน้ากลม อ้วนเล็กน้อย แล้วก็เป็นผู้ที่รักการกินที่สุดในเด็กทั้งสามคน
เว่ยหลันโจวมองดูเฮอจื่อซึ่งถือเป็นลูกศิษย์ที่มีฝีมือทางการรักษาดีที่สุดในบรรดาเด็กทั้งสามคน “หลังทำงานเสร็จ ข้ารู้สึกหิวถึงได้ไปหานางเพื่อเติมเต็มท้องของตนเอง ถือว่าแย่งกินอะไรกัน”
“ใช่แล้ว ท่านอ๋องลำบากตรากตรำยิ่งนัก ออกเดินทางครั้งนี้สามารถพามาได้เพียงพวกเราสามคน วิชายุทธ์ของพวกเราเองก็ไม่ดีพอ ได้แต่ให้ท่านอ๋องเหน็ดเหนื่อยอยู่เพียงผู้เดียวแล้ว ประเดี๋ยวก็ไปอยู่ใต้ร่างโฉมงาม ประเดี๋ยวก็ไปดื่มสุราแสร้งเมา อุตส่าห์หาสถานที่เสวยของอร่อยได้คนเดียวอย่างยากเย็นแล้วแท้ๆ ต่อให้พวกเราจะหิวโหยกว่านี้ก็ทำได้เพียงกลืนน้ำลายเท่านั้น เข้าใจหรือไม่” ผู้ที่กล่าวคือเหลียนจื่อ เขาหน้าตาสะอาดสะอ้าน นับว่ารูปงามทีเดียว แต่ก็ถือเป็นผู้ที่พิลึกพิลั่นที่สุดในบรรดาเด็กรับใช้ทั้งสามด้วย
“ขวัญกล้าแล้วรึ ตั้งใจจะหยุดศึกษาเรื่องยาพิษแล้ว?” เว่ยหลันโจวเลิกคิ้วมองเขา
“อย่านะพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง ข้าไม่กล้าพูดจาเหลวไหลแล้ว” เหลียนจื่อรีบปิดปากแน่น ตลอดสามปีกว่าที่ติดตามศึกษาวิชาแพทย์กับเว่ยหลันโจว สิ่งที่เขารักที่สุดก็คือการปรุงยาพิษ หากให้เขาหยุดศึกษาเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าต้องการชีวิตเขาหรอกหรือ
เฮอจื่อกับจือจื่อต่างก็หัวเราะเสียงดังพร้อมกัน ผู้เป็นนายใช่คนที่จะกล่าววาจาหยอกล้อได้ที่ไหนกัน กระนั้นพวกเขาก็นับถือความกล้าของเหลียนจื่อมากจริงๆ ต่อให้ท้ายที่สุดจะถูกคำพูดประโยคเดียวของท่านอ๋องปิดปากเสียทุกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ยังกล้าพูดยิ่งนัก
จือจื่อเห็นแววตาของเว่ยหลันโจวกลับไปหยุดอยู่ที่ร่างบนเตียงอีกครั้ง เขาจึงเอ่ย “พวกเราออกไปกันเถอะ ให้ท่านอ๋องได้พักผ่อนดีๆ”
จือจื่อผู้ที่เป็นคนซื่อตรงมักเป็นผู้ออกคำสั่งในบรรดาบ่าวรับใช้ทั้งสามตลอดมา นับว่าเป็นคนที่มีไหวพริบไม่น้อย ในสายตาของเว่ยหลันโจวแล้ว จือจื่อถือเป็นผู้ที่น่าไว้ใจที่สุดผู้หนึ่ง
แม้จือจื่อจะยังไม่เข้าใจเรื่องรักใคร่ระหว่างบุรุษสตรี แต่เขาติดตามอยู่ข้างกายเว่ยหลันโจวมาสามปีกว่า สตรีที่เขาเคยเห็นมานั้นมีมากมายเหลือเกิน เขาย่อมมองออกว่าผู้เป็นนายปฏิบัติต่อฉู่ซินเถียนอย่างเป็นพิเศษมากเพียงใด มิฉะนั้นในบรรดาคนทั้งเรือลำนี้คงไม่มีทางเหลือนางไว้เพียงผู้เดียว
เด็กรับใช้ทั้งสามคารวะให้แก่ผู้ที่ตลอดมาถูกมองเป็นเหมือนพี่ใหญ่มากกว่าท่านอ๋องผู้สูงส่ง ก่อนจะหันตัวเดินไปทางประตู
สายตาของเว่ยหลันโจวยังคงมองฉู่ซินเถียนที่อยู่บนเตียง เขาสังเกตเห็นว่าขนตาของนางขยับไหวน้อยๆ ลมหายใจเองก็เปลี่ยนเป็นสับสนเบาๆ แววตาเขาพลันมีประกายร้ายวาบผ่าน จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมากะทันหัน “ช้าก่อน!”
เด็กรับใช้ทั้งสามหยุดฝีเท้าลงทันใด ก่อนจะหันกายกลับมา เมื่อเห็นสายตาที่เว่ยหลันโจวส่งมาให้ ทั้งสามคนก็เดินกลับไปอยู่ข้างเตียงทันที
ฉู่ซินเถียนฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่นางหวาดกลัวจนไม่กล้าลืมตาขึ้น ด้วยนึกไปถึงคำพูดที่ก่อนหน้านี้ตนเองเคยพูด…
‘…จะไม่รู้ได้อย่างไร ภายในห้องครัวที่พูดคุยกันมากที่สุดก็คือหลังจากฝูอ๋องขึ้นเรือมาแล้ว เขาจุมพิตโฉมงามคนไหนบ้าง โอบกอดซ้ายขวาคึกคักทุกคืน จริงๆ เลย เขาไม่กลัวว่าจะหักโหมมากเกินไปจนตัวเองอ่อนปวกเปียกกลายเป็นขันทีบ้างหรือ’
‘…สามารถบ่มเพาะสิ่งดีๆ ขึ้นมาได้ ทำเรื่องดีๆ อย่างการช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอและลำบากได้ มีเรื่องมีสาระมากมายที่เขากระทำได้ เหตุใดจะต้องทำตัวตกต่ำเป็นคนไร้ค่าเพียงนั้น’
‘…ไม่ใช่แค่ข้าหรอก ทั่วทั้งเมืองหลวงที่เชื่อว่าเขาเป็นเจ้าสำนัก เกรงว่าคงมีไม่ถึงสิบคน!’
‘…เป็นเพราะตัวของเขาที่ทำให้ผู้คนนึกดูถูกเอง นอกจากจะไม่ศึกษาเล่าเรียนแล้ว ยังจะหมกมุ่นในกาม คนเจ้าสำราญที่ไม่มีความคิดผู้หนึ่ง ควรหันกลับมาพิจารณาตนเองก่อนจึงจะถูก’
ฮือๆๆ สมควรตาย เหตุใดข้าต้องตรงไปตรงมาเพียงนั้น วาจาหาเรื่องตายเหล่านี้จะเก็บกลับมาได้อย่างไร
แต่โทษนางได้หรือ ผู้ใดจะไปคาดว่าฝูอ๋องที่มีชื่อเสียงเลวร้ายขจรขจายไปทั่วจะแอบมาแย่งของกินและพูดคุยกับนางที่ห้องครัวทุกกลางดึกได้เล่า! ทั้งที่ขอเพียงเขามีคำสั่งลงมาก็จะมีอาหารเลิศรสไปส่งถึงหน้าเขาแท้ๆ ฉู่ซินเถียนพลันหุนหันอยากพุ่งเข้าไปชกเขาสักหลายๆ หมัดจริงๆ แล้วค่อยไล่ต้อนซักถามว่าเขาหาเรื่องและแกล้งนางเช่นนี้สนุกหรือไม่!
“เหลียนจื่อ เฮอจื่อ จือจื่อ พวกเจ้าลองว่ามา ข้าควรจัดการกับนางอย่างไรดี นางเห็นคนของข้าฆ่าคนทั้งเรือลำนี้แล้ว” น้ำเสียงของเว่ยหลันโจวฟังดูเย็นชาอำมหิต
“ต้องฆ่าปิดปากแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” จือจื่อตอบกลับมาในทันที
ฉู่ซินเถียนหลับตาแน่น นางกลืนน้ำลายลงคอ ในใจนึกสบถด่า คำแนะนำบ้าบออะไรกัน!
มุมปากเว่ยหลันโจวหยักยกขึ้นน้อยๆ จู่ๆ เขาก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่ข้าเห็นว่าผิวนางนุ่มนิ่ม…ใช่แล้ว ยาพิษที่เหลียนจื่อปรุงอยู่ชนิดนั้นหากเพิ่มกลิ่นผิวกายมนุษย์ลงไป ฤทธิ์ยาก็จะยิ่งดี แต่การถลกหนังทั้งเป็นจะให้ผลค่อนข้างดีกว่า”
ร่างของฉู่ซินเถียนพลันกระตุกอย่างแรง ดวงตาปิดสนิทยิ่งกว่าเดิม ให้ตายเถอะ! เหตุใดฝูอ๋องจึงไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย ไม่ว่าอย่างไรเขาเองก็กินอาหารมื้อดึกของข้าเปล่าๆ ไปตั้งหลายมื้อ จะเอาความแค้นมาตอบแทนบุญคุณได้อย่างไร!
เว่ยหลันโจวเงยหน้าขึ้นมองเหลียนจื่อที่พยายามกลั้นขำอย่างเต็มที่ ใช้สายตาบอกว่าเขาควรจะส่งเสียงได้แล้ว
เหลียนจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก ถึงเปลี่ยนเสียงให้ดูจริงจังได้ “ศิษย์เคารพคำสั่งท่านอ๋อง แต่ขอเรียนถามท่านอ๋อง ศิษย์ควรเริ่มลงมือจากตำแหน่งใดก่อนดีพ่ะย่ะค่ะ”
ศิษย์?! ฉู่ซินเถียนไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย นางขนลุกขนพองยิ่งนัก ข้ากำลังจะถูกถลกหนังทั้งเป็นแล้ว ควรทำเช่นไรดี!
“ไปหามีดดีๆ มาสักเล่มเถอะ ใช้มีดดีๆ จะได้ถลกหนังออกมาจนหมด” เว่ยหลันโจวยิ้มร้ายกล่าว
เสียงของความวุ่นวายผสานด้วยเสียงฝีเท้าสวบสาบเดินเข้าออก
ฉู่ซินเถียนหลับตาแน่น นางกลืนน้ำลายอย่างแรง ขนทั่วร่างลุกพรึ่บ ทั้งร่างสั่นไม่หยุด
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงคนตะโกน “ท่านอ๋อง มีดเล่มนี้สามารถตัดเหล็กได้ประดุจตัดโคลนพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านอ๋อง งานนี้ให้เฮอจื่อทำเถอะพ่ะย่ะค่ะ เฮอจื่อชอบกิน นางดูนุ่มๆ นิ่มๆ หลังถลกหนังออกมาแล้ว กัดลงไปหนึ่งคำ เนื้อจะต้องฉ่ำน้ำอย่างแน่นอน”
“เหลียนจื่อกล่าวได้ถูกต้อง ข้าชอบกินแล้วก็กินเก่งด้วย ให้ข้าเป็นคนลงมีดแล้วให้กินมากหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเจ้าพูดได้ดี สภาพเช่นนี้ของนางแค่มองดูก็รู้ว่าเนื้อหวานเพียงใด ยามกินจะต้องยิ่งหวานขึ้นอย่างแน่นอน เอาเถอะ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าแบ่งปันกัน แต่ต้องตัดเนื้อเป็นคำเล็กๆ ถึงจะกินได้ง่ายหน่อย ลงมือเถอะ!”
น้ำเสียงของเว่ยหลันโจวฟังดูกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
ให้ทนก็ทนไม่ไหวแล้ว! นางยังไม่ตายเสียหน่อย ถกกันต่อหน้าว่าจะถลกหนังนาง กินเนื้อนางอย่างไรดี ทั้งยังตัดเนื้อเป็นคำเล็กๆ ถึงจะกินง่าย เอาคนเป็นๆ อย่างนางมาแบ่งเป็นอาหารกินได้หรือ!
เมื่อเพลิงโทสะลุกโหม ความหวาดกลัวที่มีอยู่แต่เดิมก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความกล้าแล้ว นางลืมตาขึ้นอย่างโมโห แม้สายตาจะยังพร่ามัว แต่นางก็กระเด้งตัวขึ้นนั่งแล้วตะโกนออกมาทันที “พวกเจ้ายังนับเป็นคนอยู่อีกรึ!”
ทันทีที่เสียงหยุดลง ภายในห้องก็ตกสู่ความเงียบสงัด
แม้ฉู่ซินเถียนจะเดือดดาลไปด้วยโทสะ ร่างของนางจึงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ทว่าหลังสายตากลับมาคมชัดแล้ว นางก็นิ่งอึ้งไปทันที
เว่ยหลันโจวเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวสีขาวแขนกว้างคอกลมตัวหนึ่งแล้ว ทั้งตัวคนมองดูหล่อเหลาโดดเด่น เขานั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ส่วนโต๊ะกลมตรงหน้าเขาก็จัดวางจานกระเบื้องหยกขาวประณีตจานหนึ่งเอาไว้ บนนั้นวางลูกท้อผลใหญ่สีชมพูนุ่มนิ่ม เด็กรับใช้สามคนอายุประมาณเก้าถึงสิบปีล้วนสวมเสื้อกับกางเกงสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่รอบโต๊ะ ในมือของคนที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อหน่อยถือมีดปอกผลไม้เล่มเล็กที่ทอประกายเงาวับอยู่
“สายตาของนางมีปัญหาหรือ หากพวกเราไม่นับเป็นแล้วคนจะเป็นอะไร”
“ท่านอ๋องถือเป็นท่านอาจารย์ของพวกเราทั้งสามคน วิชาแพทย์ของเขาสูงส่ง ให้เขาช่วยตรวจดวงตาให้ท่านดีหรือไม่”
“ใช่แล้ว ทางด้านยาพิษท่านอ๋องเองก็เชี่ยวชาญยิ่ง บางทีดวงตาของแม่นางอาจถูกพิษเข้าให้แล้ว ถึงได้มองไม่ออกว่าพวกเราเป็นคน”
เด็กรับใช้ทั้งสามผลัดกันพูดคนละประโยค ต่อให้พวกเขายืนอยู่ ทว่าส่วนสูงกลับเท่ากับเว่ยหลันโจวที่นั่งอยู่เท่านั้น เวลาพูดจาก็ตั้งใจทำหน้าตาจริงจัง มองดูมีประสบการณ์ยิ่ง ให้คนเห็นแล้วต้องรู้สึกขบขัน
แต่ฉู่ซินเถียนกลับหัวเราะไม่ออก นางมองดูเด็กรับใช้ทั้งสามคนอย่างนิ่งอึ้ง แล้วมองดูเว่ยหลันโจวที่เลิกคิ้วมองนาง
เว่ยหลันโจวหันไปกล่าวกับลูกศิษย์ทั้งสาม “เอาออกไปเถอะ ปอกเปลือกลูกท้อแล้ว พวกเจ้าสามคนก็แบ่งกันกินเสีย”
แววตาของทั้งสามคนสว่างวาบ ก่อนจะยกจานเดินออกจากห้องไปอย่างมีความสุข
เว่ยหลันโจวเดินยิ้มๆ ไปยังตั่งนุ่มที่อยู่ด้านข้าง หลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างผ่อนคลายแล้ว เขาถึงได้มองตรงไปยังฉู่ซินเถียนที่ยังคงรักษาท่าทางการนั่งโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย “ขวัญกล้าทีเดียว กล้าพูดว่าข้าไม่ใช่คนอย่างนั้นหรือ”
ฉู่ซินเถียนกลืนน้ำลายลงคอ พลางกล่าวประท้วงด้วยน้ำเสียงอัดอั้นอย่างอาจหาญ “ท่านอ๋องจงใจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเอง หม่อมฉันย่อมหลงคิดว่าท่านมีความคิดจะถลกหนัง ไม่ก็เสวยเนื้อหม่อมฉันจริงๆ จะกล่าวโทษที่หม่อมฉันกล่าวประโยคนั้นออกไปได้อย่างไร”
“ชิ! ตนเองโง่เขลาเองยังต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” เขามองดูใบหน้ากลมที่อยากบันดาลโทสะทว่าไม่กล้าของนางอย่างขบขัน “ข้าเองก็หาใช่คนเถื่อน ต่อให้อยากกลืนกินสตรีที่ชมชอบจนหมดจดมากเพียงใด แต่วิธีการกินนั้น…เด็กน้อยอย่างเจ้ายังไม่อาจเข้าตาข้า ข้ายังกินไม่ลง”
ถึงเจ้าอยากกิน ข้าก็ไม่คิดจะให้เจ้ากินหรอก! ฉู่ซินเถียนโต้เถียงอยู่ในใจ เพียงแต่ว่า…ต่อจากนี้ข้าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ฉู่ซินเถียนลอบมองห้องพักหรูหราห้องนี้ ซึ่งเป็นห้องที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามโอ่อ่า บริเวณด้านหน้าบานหน้าต่างยาวถึงขั้นปลูกต้นไผ่เรียงยาวเป็นแถว ช่วยเพิ่มความเขียวชอุ่มให้กับห้อง นอกหน้าต่างก็สามารถมองเห็นผืนสมุทรสีคราม นางมองสำรวจอย่างละเอียด เพื่อยืนยันกับตนเองว่าเรือลำนี้ยังคงแล่นอยู่
แต่เรือไม่ใช่ไฟไหม้ไปแล้วหรือ จะไม่มีเสียหายบ้างหรือไร แล้วยามนี้ผู้ใดเป็นคนบังคับเรือ บรรดานักฆ่าชุดดำเหล่านั้นหรือ นอกจากนี้บรรดาศพเหล่านั้นล้วนโยนลงน้ำไปหมดแล้วหรือ
เว่ยหลันโจวคล้ายมองเห็นคำถามมากมายในดวงตาของฉู่ซินเถียน เขาจึงเปิดปากเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “ส่วนที่เรือเสียหายไม่ได้มีผลกระทบต่อการเดินเรือ ส่วนคนที่ฆ่าไป เดิมทีนอนฟุบอยู่ตรงไหนก็ยังคงอยู่ตรงนั้น” เมื่อเห็นนางมองเขาด้วยแววตาหวาดกลัว เขาก็ฉีกยิ้มออกมา “แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ทุกอย่างยังคงเหมือนเก่า เรือลำนี้กับข้าจะต้องไปถึงแคว้นหนีตันได้อย่างปลอดภัยไร้กังวลแน่นอน เพียงแต่ระหว่างทางจะต้องหยุดแวะในสถานที่แห่งหนึ่งเป็นพิเศษเท่านั้น”
เว่ยหลันโจวมือค้ำศีรษะ ร่างกายนอนตะแคง สาบเสื้อด้านหน้าเผยอออกน้อยๆ เปิดเผยกล้ามหน้าอกอันกำยำและเนียนลื่น ทั้งตัวคนยังแผ่กลิ่นอายเกียจคร้านที่ดูงามสง่าออกมา ทว่าความเกียจคร้านนี้กลับทำให้ผู้คนตึงเครียด รู้สึกว่าเขาเป็นเสือดำที่เตรียมล่าเหยื่อตัวหนึ่งเสียมากกว่า มองคล้ายผ่อนคลาย แต่ก็ดูพร้อมจะกระโจนเข้ามาสังหารได้ทุกเมื่อ!
ฉู่ซินเถียนข่มกลั้นความคิดบุ่มบ่ามที่อยากจะกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งหนีออกไปทางประตูเอาไว้ คนผู้นี้ไม่ดูเป็นกันเองเหมือนยามที่มาแย่งของกินนางกลางดึกสักนิดเดียว ยามนั้นเขาดูไม่มีความน่าเกรงขามเลยสักนิด เมื่อนึกไปถึงว่าก่อนที่นางจะหมดสติได้เห็นแววตาที่ชวนให้นางตัวสั่นของเขาแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจเสแสร้งปลอมเป็นอีกคนต่อหน้านาง
ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบเข้ามาในสมอง ใช่แล้ว ข้ายังไม่ตาย ถึงขั้นไม่มีบาดแผลสักนิด ยามนั้น… นางมองเขาอย่างประหลาดใจ “ท่านอ๋องช่วยหม่อมฉันไว้หรือ”
“ยังนับว่าไม่โง่เขลาเสียทีเดียว” รอยยิ้มมุมปากของเว่ยหลันโจวมีเสน่ห์ชวนมองนัก
แต่เว่ยหลันโจวก็ยังคงสั่งให้ลูกน้องของเขาสังหารทุกคนบนเรือนี่ “ขอบคุณท่านอ๋องที่ไว้ชีวิตหม่อมฉัน แต่เหตุใดท่านต้องสังหารทุกคนบนเรืออย่างโหดเหี้ยมเพียงนั้นด้วย ท่าน…ท่านอ๋อง เช่นนี้ไม่ถูกต้อง ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิตนะเพคะ”
ที่จริงนางอยากจะตะโกนเสียงดังเพื่อประณามความอำมหิตเลือดเย็นของเขา แต่เสียงที่ออกจากปากนางกลับสั่นระริกมีแต่ความขลาดกลัว
“การเมตตาต่อพวกเขาก็ถือเป็นการเปิดทางให้เขาลงมืออำมหิตต่อข้าได้ ไม่ใช่พวกเขาตายก็เป็นข้าที่ต้องตาย หากเจ้าเป็นข้า เจ้าจะทำเช่นไร” เว่ยหลันโจวเอ่ยถามกลับ
ข้าไม่รู้ แต่ว่า… นางกัดริมฝีปาก เอ่ยเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “มีความแค้นย่อมมีต้นเหตุ มีหนี้สินย่อมมีเจ้าหนี้* ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่บนเรือจะหมายปองชีวิตของท่านอ๋อง”
“เช่นนั้นก็พูดได้เพียงว่าพวกเขาติดตามเจ้านายผิดคนแล้ว” เว่ยหลันโจวลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงอย่างนุ่มนวล “อย่างเด็กรับใช้ทั้งสามคนของข้าก็ไม่ได้มีชีวิตที่อยู่ดีหรอกหรือ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าคนที่ขึ้นมาบนเรือลำนี้ นอกจากเด็กรับใช้สามคนนั้นแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นคนที่เสนาบดีเฉวียนกับคนในวังส่งมา ส่วนเจ้า… หลังจากนี้ข้าควรจัดการกับเจ้าอย่างไรดี”
มองดูใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มของเขาโน้มเข้ามาใกล้ตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ ฉู่ซินเถียนก็เอนร่างไปข้างหลังทีละนิดๆ อย่างไร้ทางหลบเลี่ยง สุดท้ายทั้งตัวคนก็ถูกบังคับให้ต้องนอนราบลงบนเตียง
ร่างกายฉู่ซินเถียนเกร็งตลอดทั้งตัว หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างบ้าคลั่ง นางได้แต่มองดูเขาขยับขึ้นมาบนเตียงอย่างได้คืบจะเอาศอก ก่อนจะตะแคงนอนลงที่ข้างตัวนางอย่างน่ารังเกียจ ทั้งยังใช้มือค้ำศีรษะมองมาที่นาง
ฉู่ซินเถียนอยากจะลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ทว่าเขากลับยื่นมือออกมาห้ามนางในทันที พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ “นอนดีๆ! ข้าอยากนอนพักหน่อย ยุ่งวุ่นวายมาทั้งคืนแล้ว”
เจ้าคิดจะพักแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า เหตุใดข้าถึงต้องนอนอยู่บนเตียงเดียวกับเจ้าด้วย! จริงสิ บนเรือลำนี้เหลือเพียงข้าเป็นสตรีอยู่เพียงผู้เดียว หรือว่าพอไม่มีปลาแล้ว เป็นแค่กุ้งก็ดีหรือไร ฉู่ซินเถียนกัดริมฝีปาก นางได้แต่บ่นอย่างเผ็ดร้อนอยู่ในใจ นอนนิ่งโดยไม่ขยับอย่างว่าง่าย
ภายในห้องพลันเงียบสงบ ฉู่ซินเถียนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอของเว่ยหลันโจว
นางหันศีรษะไปเบาๆ ช้าๆ มองดูเว่ยหลันโจวที่หลับตาอยู่ หลับไปแล้วหรือ
ในสมองพลันปรากฏภาพเขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ กำลังมองดูการเข่นฆ่าอย่างเลือดเย็นภาพนั้นอีกครั้ง นึกแล้วฉู่ซินเถียนก็ขนลุกซู่ หลังจากนี้เขาจะจัดการกับข้าอย่างไร จะให้นางปรนนิบัติตอนนอน? ฝูอ๋องใช้ชีวิตอย่างคนเจ้าสำราญจนเคยชินแล้ว หากไม่มีสตรีจะใช้ชีวิตอยู่ได้หรือไม่
ข้าไม่ต้องการ! ฉู่ซินเถียนกลืนน้ำลายลงคอพลางพึมพำเสียงเบา “ต่อให้ท่านเป็นถึงอ๋อง แต่อย่างน้อยข้าก็ทำอาหารมื้อดึกให้ท่านกินมาตั้งครึ่งเดือน ท่านจะต้องรู้สึกขอบคุณข้าบ้างสิ”
“ข้าเองก็ช่วยตรวจโรคและจ่ายยาให้เจ้า นั่นไม่ใช่เท่าเทียมกันแล้วหรือ” เว่ยหลันโจวตอบกลับมาทั้งที่ยังหลับตา
ฉู่ซินเถียนสะดุ้งตกใจ จะอย่างไรก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะตอบกลับมาเช่นนี้ “มะ…หม่อมฉันคิดว่า…”
“ข้าหลับไปแล้ว? ลมหายใจกับเสียงหัวใจเจ้าดังเพียงนั้น ข้าจะหลับลงได้อย่างไร” เขาเองลืมตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับนาง “พูดมา พวกเราเท่าเทียมกันแล้วใช่หรือไม่”
“นี่นับว่าเท่าเทียมได้อย่างไร ท่านอ๋องช่วยเหลือหม่อมฉันไว้นั้นไม่ผิด แต่หากภายหลังท่านอ๋องมีความคิดอยากฆ่าหม่อมฉันเพื่อปิดปากขึ้นมา ก็ไม่นับว่าช่วยเหลือหม่อมฉันนี่ ยาที่ท่านประทานให้หม่อมฉันมานี้จะไม่กลายเป็นเสียเปล่าหรอกหรือ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย ท่านอ๋องยังไม่ใช่ติดค้างหนี้บุญคุณหม่อมฉันอีกหรือ” นางเองก็รู้ว่าตนเองตกใจกระทั่งพูดจาวกไปวนมาจนแทบกลายเป็นเถียง แต่ชีวิตล้ำค่ายิ่ง นางยังไม่อยากตายจริงๆ นี่
ในดวงตาของเขามีรอยยิ้มงดงามวาบผ่าน “ฟังแล้วก็มีเหตุมีผลอยู่”
ดวงตาฉู่ซินเถียนพลันสว่างวาบ
เว่ยหลันโจวเอ่ยต่อ “ข้าก็ตอบแทนเจ้าไปล่วงหน้าแล้วมิใช่หรือ แต่เจ้านี่สิ…ตื่นขึ้นมาได้อย่างไรกัน”
ฉู่ซินเถียนฟังไม่เข้าใจจึงพึมพำถาม “หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“ข้าเห็นแก่ที่เจ้าให้ข้าแย่งกินอาหารมื้อดึก ต้องการปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอด ถึงได้ใส่ยาสลบลงไปในชา ผลปรากฏว่าพอเจ้าตื่นขึ้นมาแล้วกลับไม่นอนอยู่ดีๆ ข้าขอถามเจ้าหน่อยเถอะ เจ้าได้ยินเสียงต่อสู้บ้างหรือไม่”
ฉู่ซินเถียนผงกศีรษะรับอย่างควบคุมไม่ได้ นางย่อมได้ยินอยู่แล้ว
“ข้าถึงว่าเด็กอย่างเจ้าจะฉลาดกว่านี้ไม่ได้เชียวหรือ ตัวเจ้าขึ้นไปบนดาดฟ้าหาเรื่องตายเองแท้ๆ ถือเป็นความผิดของเจ้าเองจริงหรือไม่”
ฉู่ซินเถียนได้แต่ผงกศีรษะรับอีกครั้งด้วยใบหน้าอมทุกข์ แต่นางก็อดเปิดปากเถียงกลับไปไม่ได้ “ก็ไม่ใช่ความผิดของหม่อมฉันเสียทั้งหมด หากท่านอ๋องใส่ยาสลบหนักมือกว่านี้อีกสักนิด หม่อมฉันก็จะตื่นขึ้นมาไม่ได้ ย่อมไม่มีเรื่องราวในภายหลังแล้ว…ใช่หรือไม่เพคะ”
ในดวงตาของเขามีรอยยิ้มวาบผ่าน แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว จะให้ปล่อยตัวเจ้าไปย่อมเป็นไปไม่ได้” เขาถอนหายใจด้วยท่าทีที่จริงจังยิ่ง “น่าเสียดาย ข้ายังประทานรางวัลให้เจ้าตั้งห้าสิบตำลึง เดิมคิดว่าหลังข้าสังหารเสนาบดีเฉวียนแล้ว เจ้าไม่ใช่แค่เป็นอิสระ ซ้ำยังมีเงินพอให้ไปหาหมู่บ้านเล็กๆ สักแห่งอยู่ แล้วทำเรื่องที่เจ้าอยากทำได้ แน่นอนว่ารวมถึงยาที่มีมากพอให้เจ้ากินได้ถึงสามปี ข้าก็สั่งให้คนเตรียมไว้แล้วด้วย นับว่าข้าทำดีที่สุดแล้วกระมัง”
ห้าสิบตำลึง?! ฉู่ซินเถียนตาเบิกกว้างทันใด นางรีบกล่าวอย่างเร่งร้อน “ไม่มีนี่เพคะ เสนาบดีเฉวียนมอบให้หม่อมฉันแค่ถุงเงินเล็กๆ ใบหนึ่งเท่านั้น” นางไปชั่วอึดใจก่อนจะคิดได้ในทันใด “น่าชังนัก นึกไม่ถึงว่าเขาจะเอาเงินของหม่อมฉันไป!”
ฉู่ซินเถียนโมโหจนลุกขึ้นนั่ง ทว่ากลับเห็นเว่ยหลันโจวยิ้มออกมา
ไม่รู้ว่านางได้ยินแค่ประโยคครึ่งแรก โดยไม่ได้ยินประโยคครึ่งหลังของเขาหรือไร เว่ยหลันโจวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ฉู่ซินเถียนมองเขาอย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ที่มีชื่อเสียงเลวร้ายเช่นท่านที่แท้ก็เปี่ยมด้วยน้ำใจมากเพียงนี้…” เห็นเว่ยหลันโจวเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง นางก็กลืนน้ำลายอีกหน ก่อนจะกล่าวคำพูดน่าฟังบางอย่างออกมา “หม่อมฉันจะบอกว่าเงินที่ถูกเอาไปแล้วก็ช่างมันเถอะ ในเมื่อท่านอ๋องมีใจอยากให้หม่อมฉันได้ไปทำเรื่องที่หม่อมฉันอยากทำ เช่นนั้นท่านอ๋องก็ปล่อยหม่อมฉันไปดีหรือไม่ หม่อมฉันขอสาบานต่อฟ้าว่าจะไม่มีวันพูดเรื่องลูกน้องของท่านอ๋องเป็นคนสังหารคนทั้งเรือลำนี้แน่นอน” นางยกมือขวาขึ้นสูงเพื่อยืนยันคำพูด
เว่ยหลันโจวเองก็ลุกขึ้นมานั่งเช่นกัน เขามองดูใบหน้าเล็กๆ ที่จริงจังเป็นพิเศษนี้แล้วก็รู้สึกเพียงว่านางทั้งน่าโมโหและน่าขบขันยิ่ง เด็กนี่ไม่ได้รู้สึกสึกตัวเลยสักนิด ทั้งที่นอนคุยกับบุรุษตัวโตบนเตียงแท้ๆ ถึงกับพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
เขาลงจากเตียง ก้าวเดินไปยังเก้าอี้แล้วนั่งลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนาง “ไม่ได้ ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่ามีเพียงคนตายที่พูดไม่ได้”
ฉู่ซินเถียนเองก็กระโดดตามลงมายืนบนพื้น แล้วเดินเร็วๆ ไปหยุดตรงหน้าเขา เมื่อเห็นเขายื่นมือออกไปหยิบกาน้ำชา นางก็รีบแย่งกาน้ำชามาถือไว้พลางค้อมตัวลง รินน้ำชาให้เขาอย่างนอบน้อม เค้นหาหนทางอื่นจนสุดความสามารถ “เช่นนั้น…เมื่อครู่ท่านอ๋องไม่ได้เพิ่งกล่าวว่าคนที่ตายไปเหล่านั้นล้วนเลือกนายผิดหรอกหรือ เช่นนั้นนับจากวันนี้ไป หม่อมฉันขอมองท่านเป็นนายได้หรือไม่”
เว่ยหลันโจวยกถ้วยขึ้นเพื่อดื่มชาลงไป เขาหลับตาครุ่นคิด ก่อนจะลืมตาขึ้นมองใบหน้าประจบประแจงของนาง พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่เจ้าก็ดูถูกข้ามาก บอกว่าข้าเป็นคนไร้ค่าที่ตกต่ำ บอกว่าข้าไม่ศึกษาเล่าเรียน หมกมุ่นในกาม เป็นคุณชายเสเพลที่ไม่มีความคิดผู้หนึ่ง ข้าจะต้องพิจารณาตนเอง ทั้งยังบอกว่าข้ากิน ดื่ม เที่ยว เล่นพนัน นับเป็นคนเลวร้ายอย่างยิ่ง”
คนผู้นี้เอาเรี่ยวแรงมาจดจำคำพูดของข้าจนครบถ้วนเช่นนี้ทำไมกัน ใบหน้าของฉู่ซินเถียนมีสีแดงสลับขาว ปากอ้าๆ หุบๆ แต่กลับกล่าววาจาโต้แย้งไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เว่ยหลันโจวก็ไม่เร่งรัดนาง เพียงมองนางตาไม่กะพริบ พร้อมจิบชาอย่างเรื่อยเฉื่อยรอนางเปิดปากไปด้วย
ฉู่ซินเถียนจำต้องหน้าด้านยื่นความต้องการอีกครั้งอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านอ๋องสามารถรับหม่อมฉันเป็นบ่าวได้ จากนั้น…พิสูจน์ว่าทุกสิ่งที่หม่อมฉันพูดเป็นเรื่องไม่จริง เป็นหม่อมฉันที่ตาไร้แวว ได้หรือไม่”
เว่ยหลันโจวเลิกคิ้วพลางหัวเราะเสียงเบา “เจ้าเป็นผู้ใดกัน ข้าจะพิสูจน์ว่าตนเองเป็นคนดีกับเจ้าไปทำไม มีประโยชน์อะไรด้วยหรือ”
ฉู่ซินเถียนถูกถามจนพูดอะไรไม่ออก นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ เดิมทีนางข้ามมิติมาก็ได้ชีวิตเพิ่มมาหนึ่งชีวิตอยู่แล้ว สวรรค์น่าจะต้องการยืมมือของคนตรงหน้าเรียกชีวิตนางกลับคืน ถึงได้ทำให้นางตกสู่ความวุ่นวายนี้ นางยอมรับชะตากรรมแล้ว!
“เช่นนั้นก็ตามแต่ประสงค์ของท่านอ๋องเลย แต่ให้หม่อมฉันตายสบายๆ หน่อยเถิด” นางกล่าวอย่างยอมรับชะตากรรมแล้ว
เมื่อเห็นฉู่ซินเถียนหลับตาลง มีท่าทีพร้อมตายอย่างกล้าหาญ เว่ยหลันโจวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว “ข้าหยอกเจ้าเล่นเท่านั้น ข้าไม่มีทางฆ่าเจ้าหรอก หากจะฆ่า ก่อนหน้านี้จะให้ลูกน้องปล่อยเจ้ารอดมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร ทั้งยังให้เจ้านอนอยู่บนเตียงของข้าอีก เจ้ามีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้อย่างไรกัน จุ๊ๆๆ บอกแต่แรกแล้วว่าหน้าตาเจ้าดูไม่ฉลาด แต่ไม่นึกเลยว่าจะโง่งมเกินกว่าที่ข้าคิดไว้จริงๆ”
หัวเราะอยู่นั่นๆ หัวเราะเข้าไป ข้าจะยอมหัวเราะตามเจ้า และยอมโง่ตามที่เจ้าว่าแล้ว…นางถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋องไม่ฆ่าหม่อมฉันแล้ว?”
“ไม่ฆ่าแล้ว” เว่ยหลันโจวเอ่ยตอบ
ศิลายักษ์ในอกฉู่ซินเถียนตกลงพื้นทันควัน
“แต่เจ้าจะต้องทำอาหารว่างให้ข้าทุกวัน” เห็นฉู่ซินเถียนตาโตอย่างตระหนกอีกครั้ง เว่ยหลันโจวก็ชะงักไป ก่อนยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ข้ายังพูดไม่จบ เจ้ายังต้องเป็นสาวใช้ข้างกายข้าด้วย ป้องกันไม่ให้ทันทีที่เจ้าออกห่างจากสายตาข้า ก็จะอยู่ไม่สุขเผลอหาเรื่องมาให้ข้าอีก”
ข้าหาเรื่องได้หรือ บนเรือลำนี้ไม่ใช่คนของเจ้าทั้งหมดหรือไร เจ้าต้องการให้ข้าเป็นแม่ครัวควบตำแหน่งสาวใช้ ข้าจะปฏิเสธได้ด้วยรึ ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ ฉู่ซินเถียนไม่เพียงไม่กล้าโต้เถียงแต่ยังเรียกความกล้าเพื่อต่อรองผลประโยชน์ “หม่อมฉันทำสองงานนี้แล้วจะได้รับเงินหรือไม่เพคะ”
เว่ยหลันโจวเลิกคิ้วขึ้นสูง รู้สึกอัศจรรย์กับความขวัญกล้าตรงไปตรงมาของฉู่ซินเถียนแล้ว เขาดีดหน้าผากนางหนหนึ่ง ฟังเสียงนางร้องอย่างพึงพอใจ “ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้า ยังอยากได้เงินอีกหรือ ไม่มีหรอก! นอกจากนี้อย่าได้คิดกวนน้ำจับปลา มิฉะนั้นเจ้าต้องตายแน่นอน”
ฉู่ซินเถียนกุมหน้าผากที่เจ็บ คนผู้นี้ที่แท้ก็ร้ายลึกเพียงนี้ นับเป็นจอมปีศาจมาแต่แรกแล้ว แย่ยิ่งกว่าเสนาบดีเฉวียนเสียอีก นี่นางหาเจ้านายแย่ๆ ที่โหดเหี้ยมอำมหิตให้ตนเองหรือ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 พ.ย. 62
Comments
comments
No tags for this post.