X
    Categories: ทดลองอ่านภรรยาเปรียบดังของหวานมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ภรรยาเปรียบดังของหวาน บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่สี่

ฉู่ซินเถียนไม่มีเวลาไปพิสูจน์เรื่องนั้นนัก เพราะเดินทางไปได้ไม่ถึงหนึ่งวันเรือก็เตรียมเข้าเทียบฝั่งที่เฉินโจวแล้ว

ริมแม่น้ำยังมีเรือลำน้อยใหญ่จอดเทียบฝั่งอยู่ไม่น้อย มีพวกลูกเรือเดินขึ้นลงเรือทำงานกันอยู่บริเวณนั้น ทั้งยังชาวบ้านเดินไปเดินมาอยู่ริมฝั่ง ยามที่พวกเขาได้เห็นเรือหรูหราโอ่อ่าลำใหญ่ค่อยๆ จอดเทียบฝั่งนั้น บนใบหน้าของแต่ละคนล้วนประหลาดใจ พวกเขาหยุดฝีเท้ามองดู กระทั่งตัวเรือเข้ามาจอดใกล้ๆ และทุกคนได้เห็นดาดฟ้าเรือที่เต็มไปด้วยซากศพกระจัดกระจายแล้ว ต่างก็หน้าเปลี่ยนสีและกรีดร้องออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดความวุ่นวายขึ้น มีบางคนที่วิ่งหนี มีบางคนที่ซ่อนตัว และยังมีบางคนที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราว

ยามที่บันไดลงเรือถูกปล่อยลงมา องครักษ์รูปร่างสูงใหญ่ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมก็ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ทำให้ผู้คนบางส่วนที่ตอนแรกยังพอใจกล้าอยู่บ้างไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก

ความจริงเว่ยหลันโจวได้สั่งให้คนไปแจ้งแก่ขุนนางท้องถิ่นแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้รอไม่ถึงครึ่งก้านธูป ขุนนางท้องถิ่นสวีซั่นก็นั่งรถม้านำกลุ่มเจ้าหน้าที่ขี่ม้าเร่งรีบมาถึง

ชาวบ้านที่ทั้งหวาดกลัวแต่ก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพากันกระซิบกระซาบและมุงดูอยู่บนฝั่ง เมื่อเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ทางการกลุ่มนี้มาถึงก็เปิดทางให้ทันที

สวีซั่นลงจากรถม้า นำคนกลุ่มหนึ่งเดินอย่างรวดเร็วขึ้นบันไดเรือไป เขามองดูดาดฟ้าที่ย้อมไปด้วยโลหิตและศพบ้างหงายร่างบ้างคว่ำหน้าจำนวนมากอย่างตกใจ คราบโลหิตแห้งกรังและกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนที่ลอยเข้ามาในจมูกนั้น ทำให้สีหน้าทุกคนต่างซีดขาว นอกจากสวีซั่นจะเกิดอาการคลื่นไส้อยากอาเจียนแล้ว เขายังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนยิ่ง เขายกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอย่างอดไม่อยู่ คิ้วขมวดแน่น เขารีบออกคำสั่งให้ลูกน้องจัดการศพรวมถึงทำความสะอาดตัวเรือทันที

“ใต้เท้าสวี ฝูอ๋องอยู่ข้างในขอรับ”

บ่าวชายผู้หนึ่งที่อยู่บนเรือบอกให้สวีซั่นรู้ เขาผงกศีรษะก่อนจะเดินตามไป กระนั้นก็อดบ่นกับบ่าวชายผู้นั้นไม่ได้ “เหตุใดจึงไม่จัดการเก็บกวาดศพเหล่านั้น”

“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่า หลังใต้เท้าสวีขึ้นเรือแล้วจึงจะจัดการ” บ่าวชายผู้นั้นกล่าวตอบอย่างนอบน้อม

สวีซั่นได้แต่เบ้ปาก ยามที่สองเท้าของเขาเหยียบขึ้นไปบนดาดฟ้าที่เปื้อนไปด้วยคราบโลหิต ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่ง เขาได้แต่กลั้นลมหายใจตลอดเวลา ฝืนอดทนต่อกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียน เดินตรงไปข้างบนจนถึงชั้นบนสุดของห้องพัก

เห็นได้ชัดว่าในห้องพักประณีตหรูหราแห่งนี้ไม่เคยผ่านการย้อมด้วยโลหิตมาก่อน ทุกอย่างมองดูมีระเบียบเรียบร้อย ภายในห้องยังมีกลิ่นของไม้กฤษณาลอยอวลอยู่

สวีซั่นกวาดตามองห้องพักอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะเห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนกึ่งตะแคงอยู่บนเตียงได้ในทันที ใจเขาอดตกตะลึงไม่ได้ เนื่องจากได้ยินมานานแล้วว่าฝูอ๋องเป็นคนเจ้าสำราญที่มีรูปโฉมเหนือสามัญ ท่วงท่าสง่างามองอาจ เห็นทีคำเล่าลือนี้จะไม่ใช่เรื่องโกหก

หลังเก็บซ่อนความตกตะลึงในใจลงไป สวีซั่นก็เดินขึ้นหน้าไปประสานมือคารวะ “กระหม่อมสวีซั่นคารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

“ใต้เท้าสวีมาแล้วหรือ” เว่ยหลันโจวนอนตะแคงร่างอยู่บนเตียงอย่างอ่อนล้า บนใบหน้าสามารถมองเห็นความตื่นตระหนกที่ยังหลงเหลืออยู่ ริมฝีปากเองก็ซีดขาวน้อยๆ แต่ทั้งหมดนี้กลับไม่ได้ทำลายความหล่อเหลาองอาจของเขาสักนิด “พอข้าได้พบกับใต้เท้าแล้ว ในใจถึงได้รู้สึกมั่นคงขึ้นมา จู่ๆ เมื่อสองคืนก่อนก็มีโจรสลัดบุกขึ้นเรือ พวกเราต่อสู้กัน คนตายมีมากมายนัก กระทั่งเสนาบดีเฉวียนเองก็ต้องตายอย่างอนาถ หากไม่มีองครักษ์ที่ยินยอมสละชีพเพื่อข้า ยามนี้ข้าก็คง…ทำให้ข้าตกใจแทบตายแล้วจริงๆ” มือเรียวยาวของเว่ยหลันโจวตบลงไปบนหน้าอกตนเองเบาๆ

ฉู่ซินเถียนยืนอยู่ข้างเตียงอย่างสงบนิ่ง ส่วนอีกข้างของเตียงมีเหลียนจื่อ เฮอจื่อ รวมไปถึงจือจื่อยืนอยู่ เพราะเด็กรับใช้ทั้งสามกำลังก้มหน้าลงต่ำ นางจึงมองไม่เห็นสีหน้าของพวกเขา กระนั้นนางก็พยายามทำให้สีหน้าตนเองเรียบเฉยมากที่สุด แต่ว่า…

สายตาของฉู่ซินเถียนลอบมองใบหน้าดูดีที่คล้ายได้รับความตระหนกของเว่ยหลันโจวใบหน้านั้น คนผู้นี้หากมีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันจะต้องได้รับรางวัลออสการ์ได้อย่างง่ายดายแน่นอน ช่างรู้จักเสแสร้งนัก!

สวีซั่นอายุประมาณสามสิบกว่าปี รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงคล้ายชาวยุทธ์ เมื่อมาเจอชายงามที่อ่อนแอราวกับสตรีเช่นนี้ เขาก็ถึงกับมองจนนิ่งอึ้งลืมพูดจาไป

“ใต้เท้าสวี?” เว่ยหลันโจวหลุบตาลง ปิดบังความเยาะหยันในแววตา

สวีซั่นพลันได้สติกลับมา “อ้อ กระหม่อมได้ยินเรื่องราวจากคนที่ท่านอ๋องส่งมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แล้วก็ส่งคนไปตรวจสอบแล้วเช่นกัน แต่หลายปีที่ผ่านมาแม่น้ำสายนี้สุขสงบมาโดยตลอด กระหม่อมไม่รู้จริงๆ ว่าโจรสลัดมาจากที่ใด ไม่เพียงแต่ทำให้ท่านอ๋องตกใจ แม้แต่ท่านเสนาบดีเฉวียนยังต้องพบเจอภัยพิบัติไปด้วย”

“เรื่องนี้เจ้าจะต้องส่งคนไปตรวจสอบให้ดี เรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของน่านน้ำ ไม่อาจเมินข้ามโดยง่าย นอกจากนี้ต้องขอให้เจ้าช่วยเขียนจดหมายส่งม้าเร็วกลับเมืองหลวงแทนข้าด้วย” เว่ยหลันโจวเห็นสวีซั่นผงกศีรษะ เมื่อใคร่ครวญแล้วเขาจึงกล่าวต่อ “ข้าต้องการพักผ่อนอยู่ที่จวนเจ้าระยะหนึ่ง เจ้าส่งคนมาซ่อมแซมบนเรือให้เรียบร้อย แล้วก็เพิ่มผู้ติดตามขึ้นเรือมาทำงานด้วย ข้ายังมีภารกิจทางการทูตอันสำคัญ ไม่อาจเสียเวลาได้นาน”

“คนที่ท่านอ๋องส่งมาได้แจ้งประสงค์ของท่านอ๋องอย่างกระจ่างชัดแล้ว กระหม่อมจึงได้จัดเตรียมให้เรียบร้อย ตอนนี้ท่านอ๋องสามารถลงจากเรือ และติดตามกระหม่อมกลับจวนได้ทันทีพ่ะย่ะค่ะ” สวีซั่นประสานมือกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม

เว่ยหลันโจวผงกศีรษะอย่างพอใจ เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนหันไปมองฉู่ซินเถียนที่อยู่ด้านข้างคราหนึ่ง

ฉู่ซินเถียนพลันนิ่งอึ้ง ก่อนจะเห็นเขาถลึงตาใส่นางพลางมองไปยังรองเท้าที่วางอยู่ใต้เตียงอีกที นางถึงได้เข้าใจรีบร้อนเดินขึ้นหน้ามานั่งยองๆ ตรงหน้าเขา จัดวางถุงเท้าที่พาดอยู่บนรองเท้าใหม่ มองดูเท้าใหญ่สะอาดสะอ้านคู่นั้นของเขาแล้ว นางก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรมช่วยสวมถุงเท้าให้เขา แล้วยังช่วยเขาสวมรองเท้าให้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยถึงได้ลุกขึ้นยืนถอยไปอยู่ด้านข้าง

เว่ยหลันโจวยิ้มน้อยๆ ยื่นมือออกไปเคาะศีรษะนาง “ทำได้ไม่เลวนี่”

ตบศีรษะข้าอีกแล้ว ฉู่ซินเถียนอยากจะกลอกตายิ่งนัก แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น ยามที่เห็นสายตาประหลาดใจของสวีซั่นมองตรงมา นางก็รีบร้อนก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม

“ไปกันเถอะใต้เท้าสวี”

เว่ยหลันโจวเดินนำออกไปจากห้องนอนก่อน สวีซั่นรีบร้อนติดตามไป เด็กรับใช้ทั้งสามเองก็ตามมาติดๆ ยามที่ฉู่ซินเถียนกำลังคิดว่าตนเองต้องติดตามไปด้วยหรือไม่นั้น เว่ยหลันโจวก็ราวกับมีดวงตาอยู่ด้านหลัง เขาเปิดปากกล่าวโดยไม่แม้แต่หันหน้ากลับมา “สาวใช้แซ่ฉู่ ยังไม่รีบตามมาอีกรึ”

ฉู่ซินเถียนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนรีบร้อนเดินตามหลังเด็กรับใช้ทั้งสามไปทันที

สวีซั่นเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วจริงๆ มีบางคนรั้งอยู่บนเรือ มีบางคนติดตามเว่ยหลันโจวเดินทางไปยังจวนของเขา และเห็นได้ชัดว่าเขาเองก็กระจ่างชัดถึงความชอบของเว่ยหลันโจวเป็นอย่างดี เพราะแค่รถม้าทองคำระยิบระยับที่มารับคันนั้นก็เกือบจะบาดตาฉู่ซินเถียนจนบอดอยู่แล้ว

ฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบๆ ยังไม่ลดน้อยลงไป เห็นได้ชัดว่าบรรดาชาวบ้านเหล่านี้ต่างรู้ว่าเจ้าของเรือลำนี้ก็คือฝูอ๋องผู้มีชื่อเสียงเลวร้าย ดังนั้นตอนที่พวกเขาปรากฏตัวบนดาดฟ้า รอบด้านก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นไม่น้อยแล้ว

“นั่นคือฝูอ๋อง สวรรค์ ดูดีประดุจเทพเจ้าเลยเชียว”

“เขาดูดีมากจริงๆ”

“แม้แต่ท่านเสนาบดีเฉวียนยังตายไปแล้ว เขารอดมาได้เช่นนี้ ช่างโชคดีจริงๆ แต่เรื่องที่เขาเป็นผู้นำทูตไปแคว้นหนีตันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือไม่”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไม่ขาดสาย เว่ยหลันโจวเอาแต่ยิ้มแย้มเดินนำลงจากเรือ มุ่งตรงไปยังรถม้า สวีซั่นกับคนอื่นๆ ยังคงติดตามมาข้างหลัง

หลังเว่ยหลันโจวขึ้นรถม้าแล้ว สวีซั่นเองก็ทำท่าจะตามขึ้นไปด้วย แต่กลับเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วสูง พร้อมโบกไม้โบกมือ สวีซั่นจำต้องก้าวถอยหลังไปอย่างกระอักกระอ่วน ม่านรถม้าถูกปล่อยลง แต่นึกไม่ถึงว่าเว่ยหลันโจวจะเลิกม่านรถม้าขึ้นอีกครั้ง แล้วชี้ไปยังฉู่ซินเถียน “ขึ้นมา”

ฉู่ซินเถียนอึ้งไป ก่อนเห็นเขากวักมือมาที่นางอีกครั้ง

เอาเถอะ มีเจ้านายเช่นนี้นางก็พลอยได้รับสิ่งพิเศษตามไปด้วย แม้แต่สาวใช้ข้างกายเว่ยหลันโจวยังจะใหญ่กว่าขุนนางท้องถิ่นเสียอีก นางคารวะให้สวีซั่นอย่างลำบากใจ แล้วก้าวขึ้นรถม้าไปอย่างรวดเร็ว

สวีซั่นได้แต่ขึ้นหลังม้าไปอย่างจนใจ ท่านอ๋องเจ้าสำราญผู้นี้นี่ เขานึกดูถูกเว่ยหลันโจวในใจ เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เขาจะไม่แสดงท่าทีนอบน้อมก็คงทำไม่ได้

เมื่อสวีซั่นโบกมือ กระทุ้งม้าเริ่มออกเดินทาง รถม้าเองก็ขยับเคลื่อนตามไปด้วย ส่วนเหลียนจื่อกับเด็กรับใช้คนอื่นๆ รวมไปถึงองครักษ์ผู้ติดตามต่างก็เดินเท้าตามไปอย่างตั้งใจยิ่ง

ภายในรถม้า เว่ยหลันโจวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉู่ซินเถียน ภายในรถกว้างขวาง ภาพปักลายอันประณีตที่แขวนอยู่บนผนังแสดงให้เห็นถึงความหรูหรา บนที่นั่งซึ่งไม่แข็งเกินยังวางเบาะรองเอาไว้อยู่หลายอัน สามารถเอาไปวางรองข้างหลังได้ด้วย เว่ยหลันโจววางรองหลังไว้หลายชั้น แต่เขาไม่ยอมนั่งเฉยๆ กลับเอาแต่มองมาที่นางด้วยแววตาชั่วร้าย มุมปากหยักยกขึ้น

ฉู่ซินเถียนนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อย ทั้งจงใจก้มหน้าหลบเลี่ยงสายตาของเขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในรถม้าที่ยังคงเงียบสงัดนี้ นางก็ลอบเงยหน้าขึ้น ถึงได้พบว่าเว่ยหลันโจวกำลังหลับตาลงพักผ่อน ภายใต้แพขนตาเรียงเป็นระเบียบยิ่งทำให้เขามองดูเหนื่อยล้ามากขึ้น

ดูเหมือนเขาจะเหนื่อยมากแล้วจริงๆ เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาเคยพูดว่าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว…ฉู่ซินเถียนมองคนผู้นี้ไม่กระจ่างจริงๆ

รถม้าเคลื่อนไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดก็หยุดลง ในชั่วขณะที่รถหยุดลง เว่ยหลันโจวก็ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่มองเห็นคือฉู่ซินเถียนเอนพิงหน้าต่างคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“ท่านอ๋อง ถึงจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญลงจากรถเถิด”

เสียงของสวีซั่นดังขึ้น ขณะเดียวกันม่านรถม้าก็ถูกคนเลิกขึ้น

ฉู่ซินเถียนมองไปยังเว่ยหลันโจว เขาเพียงยิ้มให้นาง เป็นการบอกให้นางลงไปก่อน นางจึงได้แต่ลงไปก่อน ภาพที่เห็นคือสวีซั่นและกลุ่มศีรษะดำๆ ของคนจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขา

ต่อจากนั้นเว่ยหลันโจวก็ลงมาจากรถม้า เมื่อได้เห็นสวีซั่นนำเจ้าหน้าที่ทางการกับบ่าวรับใช้มายืนก้มหน้าต้อนรับเขาอย่างยิ่งใหญ่ ก็ทำให้เขายิ้มงามปานล่มเมืองออกมา

รอยยิ้มนี้เรียกได้ว่าเจิดจ้าไปแสนไกล ทุกคนต่างอดมองอย่างโง่งมไม่ได้ เว่ยหลันโจวยังคงโปรยเสน่ห์อย่างต่อเนื่อง อมยิ้มกวาดตามองกลุ่มสาวใช้จนพวกนางใบหน้าแดงใจเต้นรัว

คนผู้นี้จะต้องโอ้อวดถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ ฉู่ซินเถียนรู้สึกไร้วาจาจะเอื้อนเอ่ยจริงๆ

เว่ยหลันโจวเองก็ไม่ใช่ไม่สังเกตเห็นถึงสีหน้าที่พยายามข่มกลั้นอาการกลอกตาของฉู่ซินเถียน ความจริงแล้วเขาก็รู้สึกชื่นชอบท่าทางน่ามองนี้ของนางไม่น้อย ถึงขั้นรู้สึกดื่มด่ำ ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ในดวงตาเก็บซ่อนความสนุกสนานเอาไว้ แล้วยื่นนิ้วชี้นิ้วหนึ่งออกมากวักเรียกสวีซั่น เป็นการบอกให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้เขา

สวีซั่นเดินเข้าไปใกล้เว่ยหลันโจวโดยไม่รู้เรื่องอะไร เขาค้อมตัวลง อีกฝ่ายกระซิบสั่งอยู่ข้างหูเขาไม่กี่ประโยค

สวีซั่นนิ่งอึ้งไป ก่อนจะรีบร้อนผงกศีรษะเรียกให้หัวหน้าพ่อบ้านของจวนเดินมา แล้วกระซิบสั่งความต่อ

หัวหน้าพ่อบ้านล่าถอยจากไปทันที แล้วตามหาบ่าวรับใช้ร่างกายกำยำสองคนตามเขาเดินเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่นาน ฉู่ซินเถียนก็เห็นเกี้ยวคนหามขนาดเล็กที่นางเคยเห็นแต่ในละครย้อนยุคหรือละครเกาหลีเท่านั้นหยุดอยู่เบื้องหน้า

และฝูอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ที่คร้านจะเดินก็ขึ้นไปนั่งบนเจ้าของสิ่งนั้น ให้บุรุษรูปร่างสูงใหญ่สองคนแบกโยกคลอนไปมา ในมือยังโบกพัดขอบทองที่ไม่รู้ว่าเขาไปหยิบมาจากที่ใดโบกสะบัดไปมาด้วย ก่อนเข้าไปในจวนว่าการโดยเรียกร้องความสนใจได้จากทุกคน

 

สวีซั่นจัดให้เว่ยหลันโจวกับกลุ่มผู้ติดตามเข้าพักอยู่ในเรือนรับรองอันประณีตแห่งหนึ่งในจวน ในเรือนรองนั้นมีทั้งศาลารับลม ภูเขาจำลองธารน้ำ สวนดอกไม้งาม ซึ่งล้วนสามารถมองออกว่ามาจากฝีมือชั้นครูทั้งสิ้น ส่วนห้องโถงกับห้องพักข้างในยิ่งประดับตกแต่งได้งดงามวิจิตร เครื่องประดับกับเครื่องเรือนมองดูแล้วต่างล้ำค่ายิ่ง

ยามนี้เว่ยหลันโจวเอนร่างอยู่บนเตียงอย่างผ่อนคลายแล้ว ภายในห้องทั้งด้านซ้ายด้านขวาคือเด็กรับใช้ทั้งสามกับฉู่ซินเถียนยืนเรียงอยู่

เมื่อช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เว่ยหลันโจวได้ให้เหลียนจื่อ เฮอจื่อ รวมถึงจือจื่อแนะนำตัวกับฉู่ซินเถียนแล้ว ตอนนี้นางจึงได้รู้ว่าเด็กชายอายุสิบปีทั้งสามคนนอกจากปรนนิบัติเว่ยหลันโจวแล้ว พวกเขาก็ยังกราบอีกฝ่ายเป็นอาจารย์เพื่อนศึกษาวิชาแพทย์จริงๆ แต่มีแค่ในยามที่อยู่ด้วยกันตามลำพังเท่านั้นจึงจะเรียกฝูอ๋องว่า ‘ท่านอาจารย์’

อย่างไรก็ตามฉู่ซินเถียนที่รู้ความลับเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งนั้นก็ถูกเว่ยหลันโจวตักเตือนว่า “ข้าวกินมากกว่านี้ได้ แต่คำพูดจะต้องใคร่ครวญก่อนกล่าวออกมา”

ฉู่ซินเถียนผงกศีรษะรับ แค่ไม่พูดออกไปก็พอแล้วกระมัง

เว่ยหลันโจวใช่หลงตัวเองเกินไปหน่อยหรือไม่ เดิมทีนางไม่ค่อยเชื่อว่าวิชาแพทย์ของเขาจะสูงส่งพอจนถึงขั้นรับลูกศิษย์ได้เช่นนี้ ใคร่ครวญดูแล้ว ท่านอ๋องเจ้าสำราญที่วันๆ เอาแต่หมกมุ่นในกาม ไม่เคยทำเรื่องที่ดีมีสาระอะไรผู้หนึ่งจะมีวิชาแพทย์สูงส่งได้อย่างไรกัน หลอกเด็กยังมีความเป็นไปได้มากกว่า

แต่เขาก็ตรวจเจอโรคพิษเหมันต์ที่ข้าเป็นมาหลายปีได้จริงๆ ในใจนางมีอีกเสียงดังขึ้นมา

นับว่าคนผู้นี้เก็บงำฝีมือได้ลึกล้ำยิ่งนัก…เมื่อคิดถึงสีหน้าอำมหิตบนดาดฟ้าเรือของเขา ฉู่ซินเถียนก็อดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ บางทีคนประเภทนี้อาจเป็นคนไข้จิตเภท ดีที่สุดนางก็ควรระมัดระวังตัว หลีกเลี่ยงไม่ไปเหยียบกับระเบิดเข้า

เว่ยหลันโจวที่พักผ่อนไปพลางคอยเหลือบมองฉู่ซินเถียนไปพลาง ดวงตาที่พูดได้คู่นั้นของนางถ่ายทอดความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปหลากหลายของนางได้อย่างชัดเจน น่าสนใจอย่างยิ่ง ทำให้เขาที่ว่างไม่มีอะไรทำเกิดอารมณ์อยากหยอกล้อขึ้นมาแล้ว “สาวน้อย เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

ภายในห้องนี้มีข้าเป็นสตรีผู้เดียว เขากำลังคุยกับข้า? ฉู่ซินเถียนพลันนิ่งอึ้ง ก่อนรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันควัน นางค้อมตัวลงตอบอย่างนอบน้อม “เปล่าเพคะ ไม่มีอะไร”

เว่ยหลันโจวเลิกคิ้วเข้มขึ้น “ไม่กล้าพูด? กลัวข้า?”

“เพคะ” ฉู่ซินเถียนไม่อยากโกหก

เขาหัวเราะออกมา “เช่นนี้ไม่ดี ข้าชอบความพูดจาตรงไปตรงมาไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่ของเจ้ามากกว่า”

เจ้าชอบ แต่ข้าไม่อยากหาเรื่องตาย! ฉู่ซินเถียนคิดในใจอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่ต้องกลัว เจ้าพูดออกมาได้ตามตรง ข้ารับรองว่าจะไม่ลงโทษเจ้า” เขากล่าวต่อ

ฉู่ซินเถียนไหนเลยจะกล้าพูดออกมาตามตรง เว่ยหลันโจวคิดว่านางโง่จริงๆ หรือ นางส่ายศีรษะโดยไม่พูดจา

เว่ยหลันโจวลุกขึ้นนั่งพลางยื่นมือมากวักเรียกฉู่ซินเถียนราวกับกำลังเรียกลูกสุนัขอย่างไรอย่างนั้น ทำให้นางต้องเดินเข้าไปใกล้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเขาโบกเรียกอีกครั้ง นางก็เข้าไปใกล้มากขึ้นอีกอย่างไม่เต็มใจ จวบจนสองเท้าเข้าไปชิดขอบเตียงแล้ว เขาถึงได้เปิดปากอย่างพึงพอใจ “หากเจ้าพูดตรงไปตรงมา นอกจากข้าจะไม่ลงโทษเจ้า ยังจะให้เงินเจ้าอีกหนึ่งตำลึงด้วย นี่เป็นวิธีเดียวที่เจ้าจะได้รับค่าตอบแทนในวันหน้าเชียวนะ”

ดวงตาฉู่ซินเถียนสว่างวาบขึ้นทันที

นายท่านเป็นคนใจกว้างออกอย่างนั้น นึกไม่ถึงว่าจะให้เงินแค่หนึ่งตำลึง? เด็กรับใช้ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนแววตาประหลาดใจให้กันอย่างรวดเร็ว

ทว่าตลอดมาฉู่ซินเถียนไม่ใช่คนละโมบ ยิ่งไปกว่านั้นแค่ขยับปากพูดก็ไม่ได้เปลืองเรี่ยวแรงอะไร เพียงแต่มีบางอย่างที่ต้องพูดกันให้กระจ่างชัดก่อนเท่านั้น “คำพูดตรงไปตรงมามักจะไม่น่าฟังเสมอ และการพูดปากเปล่านั้นไร้หลักฐาน ขอเชิญท่านอ๋องเขียนสัญญาฉบับหนึ่งด้วยเพคะ อ้อ หม่อมฉันอ่านตัวหนังสือออก ท่านอ๋องอย่าได้คิดตบตาหม่อมฉันเป็นอันขาด”

เด็กรับใช้ทั้งสามเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ สาวน้อยผู้นี้สมองไม่ได้มีปัญหาใช่หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเสนอข้อเรียกร้องเช่นนี้ออกมา แต่ที่ทำให้พวกเขายิ่งตกตะลึงก็คือท่านอ๋องกลับยิ้มรับคำแล้วสั่งให้พวกเขาไปเอากล่องเครื่องเขียนมา ก่อนลงจากเตียงแล้วเขียนสัญญา ‘คำพูดตามตรงไร้โทษ’ แผ่นหนึ่งอย่างตั้งใจ ทั้งยังเขียนว่าสามารถได้รับเงินจำนวนหนึ่งลงไปด้วย สุดท้ายเมื่อเขียนวันที่วันนี้ลงไปแล้วเขาถึงได้มอบให้นาง

เว่ยหลันโจวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้มกว้าง มองดูฉู่ซินเถียนซึ่งอ่านยันต์คุ้มครองชีวิตแผ่นนั้นอย่างระมัดระวังยิ่ง ก่อนเห็นนางเป่าน้ำหมึกให้แห้ง จากนั้นจึงพับอย่างเรียบร้อยแล้วเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ

“อ่านเข้าใจจริงๆ หรือ หากเจ้าไม่เข้าใจก็สามารถถามได้” เว่ยหลันโจวปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่งเช่นนี้เสมอ

แต่ฉู่ซินเถียนกลับไม่คิดเช่นนั้น นางเพียงคิดว่าเขากำลังดูถูก “หม่อมฉันรู้ว่าผู้คนมากมายต่างคิดไปว่าคนเป็นบ่าวจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้หนังสือ แต่หม่อมฉันไม่เหมือนกัน หม่อมฉันใช้ทุกโอกาสที่มีในการลอบเรียนรู้ด้วยตนเอง” นี่ก็เป็นคำพูดที่นางบอกกล่าวแก่ภายนอก มิฉะนั้นย่อมมีผู้ที่สงสัยว่าเหตุใดนางจึงรู้หนังสือมากนัก

เว่ยหลันโจวเผยสีหน้าชื่นชม “ไม่เลว เจ้ามีความก้าวหน้ายิ่งนัก ตอนนี้เจ้าได้สิ่งที่ต้องการมาอยู่ในมือแล้ว สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจเมื่อครู่นี้ออกมาได้แล้วใช่หรือไม่”

“เมื่อครู่หม่อมฉันกำลังคิดว่าวิชาแพทย์ของท่านอ๋องดูเหมือนจะแค่พอไหวเท่านั้น ทว่ากลับรับเหลียนจื่อ เฮอจื่อ จือจื่อมาอยู่ข้างกายเช่นนี้ การสอนสั่งวิชาแพทย์คงจะเป็นเรื่องโกหก ปรนนิบัติรับใช้ต่างหากจึงเป็นเรื่องจริง” ฉู่ซินเถียนกลืนน้ำลาย พลางมองตรงไปที่ใบหน้าอมยิ้มของเว่ยหลันโจว นี่กำลังให้กำลังใจข้าพูดต่อไปหรือ “จากนั้น หม่อมฉันก็นึกถึงพิษเหมันต์บนร่างของหม่อมฉันขึ้นมาได้ ในเมื่อท่านอ๋องวินิจฉัยโรคออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าท่านก็พอมีฝีมืออยู่เช่นกัน แต่พอนึกไปถึงเรื่องที่ท่านอ๋องมีบัญชาให้ลูกน้องสังหารคนโดยตาไม่กะพริบก็รู้ได้ว่า…คนอย่างท่านอ๋องช่างเก็บงำตัวตนลึกล้ำยิ่งนัก วันหน้าหม่อมฉันจะต้องคอยรับใช้อย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงไม่ให้เผลอไปล่วงเกินเข้าจนตายไม่รู้ตัวเพคะ”

เด็กรับใช้ทั้งสามกะพริบตาปริบๆ เด็กสาวผู้นี้ออกจะซื่อตรงเกินไปแล้ว อนุญาตให้นางพูดตรงไปตรงมาได้ นางก็พูดออกมาทั้งหมดจริงๆ หรือ

เว่ยหลันโจวกลับกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับวาจาเหล่านี้ของนางเท่าไรนัก “แล้วอย่างไรต่อ”

เขาหันไปมองจือจื่อคราหนึ่ง จือจื่อนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหยิบถุงเงินออกมาจากในสาบเสื้ออย่างเข้าใจ แล้วหยิบเงินหนึ่งตำลึงในนั้นออกมามอบให้ฉู่ซินเถียน

ฉู่ซินเถียนรับเงินไปด้วยดวงตาที่แฝงรอยยิ้ม ก่อนจะใส่เข้าไปในช่องลับของชายเสื้อ “หม่อมฉันรู้สึกว่าท่านอ๋องก็หาใช่คนที่เลวร้ายเกินไปนัก หากมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมจริงๆ ก็สามารถเปิดเผยให้คนนอกรู้ได้ว่าท่านมีความสามารถเช่นนี้ ท่านสามารถช่วยเหลือผู้อื่น ตรวจรักษาให้กับชาวบ้านที่ต้องการ สามารถเปลี่ยนแปลงชื่อเสียงเลวร้ายของท่านได้ด้วย”

“ข้ามีฐานะสูงส่ง เดิมทีก็ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างอิสรเสรี เหตุใดจึงต้องลดตัวไปช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเล่า แค่คิดก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่สนใจความคิดของผู้อื่นมาแต่แรกแล้ว”

ฉู่ซินเถียนพลันหุบยิ้มลง

ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยหลันโจวกลับกว้างมากกว่าเดิม “พูดตามตรง วิชาแพทย์ของข้าก็เหมือนที่เจ้าพูดจริงๆ แค่เรียนรู้มาไม่กี่อย่าง เอาไว้โอ้อวดต่อคนโง่อย่างเจ้าเป็นบางครั้งเท่านั้น ถือเป็นการเพิ่มความสนุกให้กับชีวิต ซึ่งบังเอิญที่ข้าได้เรียนรู้พิษเหมันต์นี้มาพอดี”

ฉู่ซินเถียนเบิกตามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เอาแต่พูดว่าเจ้าโง่งมเช่นนี้ก็ดูไม่ถูกต้อง เจ้าเดาถูกแล้วว่าที่ข้ารับพวกเหลียนจื่อมาเป็นศิษย์ นอกจากชอบที่จะได้เป็นอาจารย์แล้ว ก็ยังเก็บพวกเขาไว้เพื่อให้คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายจริงๆ” เว่ยหลันโจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ในแววตาของฉู่ซินเถียนปรากฏเพลิงโทสะลุกโหม นางหันไปมองเด็กรับใช้ทั้งสามอย่างโมโห “พวกเจ้าได้ยินแล้วหรือยัง พวกเจ้าไม่โมโหบ้างเลยหรือ ท่านอ๋องสารภาพออกมาเองเชียวนะ!”

เด็กรับใช้ทั้งสามต่างส่ายศีรษะ ไม่เข้าใจว่ามีอะไรน่าโมโหกัน หากไม่มีท่านอ๋อง พวกเขาทั้งสามก็คงจะใช้ชีวิตขอทานเร่ร่อนอยู่ข้างถนนต่อไป

“พวกเจ้า…” ฉู่ซินเถียนหันไปมองเว่ยหลันโจวอีกครั้งอย่างหัวเสีย “ท่านไม่ละอายใจบ้างหรือ” เมื่อเห็นเว่ยหลันโจวส่ายศีรษะด้วยใบหน้าใสซื่อ นางก็ยิ่งโมโหกว่าเดิม “ท่านอ๋อง! พวกเหลียนจื่อฝากอนาคตไว้ที่ท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็ควรจะสั่งสอนพวกเขาให้ดีสิ แต่ในเมื่อท่านไร้ความสามารถ ก็ไม่ควรมาถ่วงเวลาพวกเขา”

เว่ยหลันโจวพยักพเยิดใบหน้า “พวกเขาเต็มใจรั้งอยู่ข้างกายนายที่มีฐานะสูงศักดิ์เช่นข้า ใช้ชีวิตดีๆ ผ่านไปด้วยกัน มีตรงไหนที่ไม่ดีเล่า”

“แน่นอนว่าไม่ดี คนเราใช่ว่าแค่ใช้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปดีๆ ก็พอแล้ว ต้องใช้ชีวิตอย่างมีความหมายด้วยสิ ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ เหมือนคนเมานับว่าดีหรือ นอกจากนี้ ท่านอ๋องมีฐานะสูงศักดิ์แล้วอย่างไร ก็ไม่ใช่ว่ามีดวงตาสองข้าง จมูกหนึ่งจมูก ปากหนึ่งปากหรอกหรือ แตกต่างอะไรกับพวกเรากัน ท่านมีสามหัวหกแขนหรือไร พูดไปแล้วก็แค่เกิดมาถูกครรภ์เท่านั้น” เมื่อเห็นท่าทีไม่แยแสของเว่ยหลันโจวแล้ว นางก็รัวคำพูดออกมาเป็นชุดราวกับประทัด

ชั่วพริบตานั้น ภายในห้องพลันเงียบสงัด

เด็กรับใช้ทั้งสามมองฉู่ซินเถียนด้วยอาการเบิกตากว้างอ้าปากค้าง เว่ยหลันโจวเองก็เลิกคิ้วเข้มขึ้นสูงมองดูนางเช่นกัน

จบกัน! ข้าโง่หรือเปล่า เหตุใดจึงควบคุมปากตนเองไม่เคยได้…ฉู่ซินเถียนตบปากตนเองเบาๆ อย่างหงุดหงิด ก่อนหลับตาลง เตรียมตัวรอรับความตายแล้ว

“ที่เจ้าพูดมาก็พอมีเหตุผลอยู่ ทว่า…” เว่ยหลันโจวผิวปากเบาๆ กะทันหัน

เมื่อฉู่ซินเถียนลืมตาขึ้นก็ได้เห็นองครักษ์เงาชุดดำปิดบังใบหน้าสี่คนวาบผ่านบานหน้าต่างเข้ามากะทันหัน พวกเขายืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ด้านหน้าเว่ยหลันโจว ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง ของนางเบิกกว้างทันที

ในแววตาเว่ยหลันโจวมีรอยยิ้ม เขากล่าวทวนวาจาของฉู่ซินเถียนอีกครั้ง “ฐานะสูงศักดิ์แล้วอย่างไร” เขาผิวปากติดกันสองหนอย่างโอ้อวดอีกครั้ง

ฉู่ซินเถียนกะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก ฉับพลันภายในห้องก็มีคนชุดดำมาเพิ่มอีกสี่คน และอีกสี่คน กระทั่งมีทั้งหมดสิบสองคนยืนอยู่ภายในห้องนี้อย่างไร้สุ้มเสียง

ฉู่ซินเถียนนิ่งงันตัวแข็งทื่อ ก่อนจะเหลือบตามองเว่ยหลันโจวที่ยิ้มแย้มมองมาที่นาง ชั่วขณะนั้นนางพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที เขากำลังบอกนางว่าฐานะสูงส่งเองก็ไม่ได้อะไรมาก เพียงแค่มีสามหัวหกมือ ไม่สิ มีหลายหัวหลายมือเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น

นึกไม่ถึงว่าองครักษ์ลับข้างกายท่านอ๋องเจ้าสำราญผู้หนึ่งจะมากมายถึงเพียงนี้ เขาคงไม่ได้เป็นเหมือนที่คนในเมืองหลวงจำนวนน้อยนิดพูดว่ามีแผนการใหญ่โตอย่างการก่อกบฏจริงๆ ใช่หรือไม่

หนึ่งแววตารวมกับอีกสัญญาณมือของเว่ยหลันโจว คนชุดดำก็พากันหายตัวไปจากห้องราวกับภูตผีอย่างไรอย่างนั้น เหลือทิ้งไว้เพียงคนชุดดำสี่คนที่ยืนอยู่ตั้งแต่เริ่ม

ฉู่ซินเถียนกัดริมฝีปากพลางมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเว่ยหลันโจว

เว่ยหลันโจวสั่งให้คนชุดดำทั้งสี่ถอดผ้าปิดหน้าออก แล้วให้ฉู่ซินเถียนขยับฝีเท้าเดินมาอยู่ตรงหน้าคนทั้งสี่

นางกลั้นใจทำตาม พบว่าส่วนสูงของตนเองถึงแค่หน้าอกของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่และองอาจทั้งสี่คนเท่านั้น

“สาวน้อย จดจำใบหน้าของพวกเขาให้ดี สี่คนนี้เป็นถึงองครักษ์ลับที่ข้าไว้ใจมากที่สุด ทั้งยังเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ นับจากวันนี้ไป พวกเขาทั้งสี่คนจะสลับกันจับตาดูเจ้าอยู่ในมุมลับ” เมื่อเห็นฉู่ซินเถียนหันหน้ามามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เว่ยหลันโจวจึงยิ้มน้อยๆ “เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ดังนั้นจงจำให้ดีว่าวันหน้าเจ้าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวัง ขอเพียงพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดต่อ ‘ภายนอก’ ออกไปประโยคเดียว หรือกระทำเรื่องที่ไม่ควรกระทำ พวกเขาก็จะเอาชีวิตเจ้าแทนข้าทันที”

ฉู่ซินเถียนหันหน้ากลับมามององครักษ์ลับทั้งสี่ช้าๆ ด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน ใบหน้าของพวกเขาแต่ละคนล้วนไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก ทั้งยังมีกลิ่นอายสังหารอีกด้วย

เมื่อเว่ยหลันโจวเห็นฉู่ซินเถียนมีสีหน้ากระวนกระวาย เขาจึงยิ้มถาม “เจ้าคิดว่าหากข้าพาองครักษ์ลับทั้งสี่กลับเมืองหลวง เหล่าราษฎรจะเชื่อหรือไม่ว่าข้าเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์”

ฉู่ซินเถียนหันหน้ากลับมามองเขาอย่างนิ่งอึ้งอีกครั้ง หัวข้อสนทนาของเขากระโดดข้ามไปอย่างมาก นางยังไม่ได้สติกลับมาเลย

“จำนวนคนเมื่อครู่นี้ยังไม่ใช่ทั้งหมด ที่จริงข้ายังเลี้ยงดูชาวยุทธ์ไว้อีกจำนวนไม่น้อย หากให้พวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน นับๆ ดูแล้วก็มีร้อยกว่าคนได้” เว่ยหลันโจวมองฉู่ซินเถียนด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดว่าจำนวนคนร้อยกว่าคนนี้เพียงพอหรือไม่ ต่อให้ภายในเมืองหลวงจะเล่าลือกันไปทั่วแล้ว หรือคนที่เชื่อว่าข้าเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์จะมีน้อยเหมือนที่เจ้าพูด บางทีอาจมีไม่ถึงสิบคน แต่หากได้เห็นราษฎรทั้งเมืองหลวงต่างใช้สีหน้าตกใจเมื่อครู่นี้ของเจ้ามองดูข้าล่ะก็ ข้าจะต้องเพลิดเพลินมากแน่นอน ข้าล่ะอยากลองใช้ชีวิตเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์ดูจริงๆ”

วาจาเหล่านี้ทำให้เด็กรับใช้ทั้งสามพากันแลกเปลี่ยนสายตาด้วยความประหลาดใจ กระทั่งองครักษ์ลับทั้งสี่ที่เคร่งขรึมอยู่ตลอดยังมีอาการแปลกใจอยู่บนใบหน้า ในเวลาอันก็กลับไปเป็นใบหน้าไร้ความรู้สึกตามเดิม

ฉู่ซินเถียนมองดูเว่ยหลันโจวที่ทำตัวเป็นเด็กๆ ท่าทางเหมือนรอคอยให้เทศกาลคริสต์มาสมาถึง สีหน้าคล้ายกับปรารถนาจะได้รับของขวัญจากซานตาคลอสอย่างไรอย่างนั้น นางพลันรู้สึกเพียงว่าเหนือศีรษะตนเองมีอีกาบินว่อนอยู่เต็มไปหมด

แน่นอนว่าฉู่ซินเถียนเองก็ฟังเข้าใจถึงความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดเหล่านี้ ซึ่งจะบอกว่าเว่ยหลันโจวไม่ใช่เจ้าสำนักไร้ทุกข์นั่นเอง

อย่างไรก็ตามมีเศษเสี้ยวหนึ่งที่ฉู่ซินเถียนสงสัยว่าเขาใช่แกล้งเก็บงำตัวตนเอาไว้หรือไม่ ที่จริงแล้วเขานั่นแหละที่เป็นเจ้าสำนักจริงๆ…ฉู่ซินเถียนพลันวิงเวียนศีรษะ เห็นเขามองนางด้วยดวงตาสว่างไสวราวกับรอคอยคำตอบอยู่ นางจึงได้แต่เปิดปากกล่าวไป “ไม่เคยมีผู้ใดเห็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์มาก่อน หากท่านอ๋องคิดอยากสวมรอยแทนก็ย่อมทำได้เพคะ” ถึงอย่างไรก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะเชื่อ แต่ประโยคนี้นางไม่ได้กล่าวออกไป

“เจ้าพูดจากใจจริงหรือ หากข้าคิดสวมรอยจริง หลังจากนี้ข้าก็มีเรื่องให้ทำแล้ว คิดว่าจะสร้างชื่อเสียงอย่างไรดี”

มองดูเว่ยหลันโจวยิ้มจนดวงตาโค้งขึ้น ฉู่ซินเถียนก็อดกล่าวอีกไม่ได้ “แต่ท่านอ๋องปรารถนาจะทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ เจ้าสำนักไร้ทุกข์มีศัตรูอยู่ไม่น้อย บางทีท่านอ๋องยังไม่ทันสวมรอยสำเร็จ ชีวิตก็คงไม่เหลือแล้ว”

เว่ยหลันโจวเม้มปากพลางขมวดคิ้วกล่าว “ฟังดูแล้วไม่ค่อยจะดีนัก”

จือจื่อที่มีอาการตอบสนองไวที่สุดเดินขึ้นหน้ามาประสานมือกล่าวทันที “ท่านอ๋อง ประโยคนี้ของแม่นางฉู่นับว่ากล่าวได้ถูกต้องจริงๆ ท่านอ๋องเองก็มิใช่เคยส่งคนไปสืบข่าวเจ้าสำนักไร้ทุกข์มาเป็นพิเศษหรือพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาสังหารแต่คนชั่วช้าของยุทธภพ แล้วก็สังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนักไปบางส่วน ถือเป็นหนามยอกอกของชาวยุทธ์กับราชสำนักนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์มาก่อน แม้จะมีคำเล่าลือออกมาว่าท่านอ๋องก็คือเจ้าสำนัก แต่ท่านอ๋องเองก็ไม่ได้ตรวจสอบจนพบว่ากลุ่มคนที่ถ่ายทอดข่าวลือเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นคนของพระพันปีกับท่านอัครเสนาบดีเนี่ยหรอกหรือ”

ฉู่ซินเถียนหันไปมองเด็กรับใช้ทั้งสามคนที่ทยอยกันออกมาพูดอย่างประหลาดใจ เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงวังหลวง? แย่แล้ว! นางยกมือขึ้นปิดหูทันควัน สวรรค์หนอ ข้าไม่อยากได้ยินความลับใดๆ อีกแล้วจริงๆ เพราะว่ายิ่งรู้มาก ก็ยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น!

ท่าทางปิดหูเช่นนี้ของฉู่ซินเถียนทำให้เว่ยหลันโจวรู้สึกสนุกขึ้นมาทันใด นางตลกเกินไปแล้วจริงๆ

จะพูดว่าฉู่ซินเถียนโง่ก็ไม่ได้ เพราะนางมีอาการตอบสนองที่รวดเร็วยิ่ง เห็นนางไม่อยากฟังต่อเช่นนี้ เขาจะยอมให้นางสมปรารถนาได้อย่างไร อุตส่าห์วางแผนอย่างยากเย็นมาถึงตอนนี้แล้วเชียวนะ

เว่ยหลันโจวจงใจรวบรวมพลังภายในทำให้ประโยคที่เขาพูดเข้าไปอยู่ในหูของนางได้อย่างราบรื่น “ที่พระพันปีทรงปล่อยข่าวลือเช่นนี้ออกมาก็เพื่อใส่ร้ายข้า เป้าหมายก็เพื่อทำให้ฝ่าบาททรงคิดไปว่าข้ามีจุดประสงค์ร้าย ขอเพียงใส่ความสำเร็จก็กำจัดข้าทิ้งเสีย แต่คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงข้าจะเลวร้ายเสียจนมีคนเชื่อเรื่องนี้อยู่เพียงไม่กี่คน ทำให้พระพันปีทรงชิงชังนัก”

ฉู่ซินเถียนตกใจจนกรามจะหลุดร่วงลงมาอยู่แล้ว ประหลาดเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่ข้าปิดหูอย่างแน่นหนา เหตุใดเสียงของฝูอ๋องกลับกระจ่างชัดเพียงนี้ นางกะพริบตาปริบๆ มองด้วยแววตาสับสนไปยังเว่ยหลันโจวที่กำลังนั่งยิ้มมองนางอยู่บนเก้าอี้

เด็กรับใช้ทั้งสามกับองครักษ์ลับทั้งสี่ต่างรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้างว่านายของพวกตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เดิมทีพวกเขาคิดว่าเป็นเพราะฉู่ซินเถียนได้เห็นด้านอำมหิตของท่านอ๋อง ดังนั้นจึงจงใจทำให้นางสับสน ให้นางเข้าใจเหมือนกับคนภายนอกที่เห็นเขาเป็นคนไม่เอาไหนและส่งเสริมอย่างไรก็ไม่ขึ้น แต่เหตุใดท่านอ๋องถึงให้นางได้ยินความจริงเบื้องหลังเรื่องที่พระพันปีกับอัครเสนาบดีเนี่ยต่อสู้กับเขาอยู่ด้วย ท่านอ๋องไว้ใจในตัวสาวน้อยผู้นี้เพียงนี้เชียวหรือ

“ไม่อยากฟังหรือสาวน้อย เช่นนั้นก็ออกไปเถอะ” เว่ยหลันโจวโบกมือไล่นางราวกับไล่สุนัขอย่างไรอย่างนั้น

ฉู่ซินเถียนมองเขาอย่างไม่เข้าใจ นางยังคงได้ยินเสียงเขาอย่างชัดเจน เพราะอะไรกัน

นางปล่อยสองมือที่ปิดหูลง คารวะให้เขาด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนล่าถอยออกไป

ทันทีที่ฉู่ซินเถียนจากไป เว่ยหลันโจวก็ได้เห็นเด็กรับใช้ทั้งสามรวมถึงองครักษ์ลับทั้งสี่ต่างมองเขาด้วยใบหน้าสงสัย

เว่ยหลันโจวดื่มชาอย่างอารมณ์ดี ในแววตาแฝงรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่รู้สึกว่านางน่าสนใจมากหรือ”

พวกเขาพอจะเข้าใจแล้ว นี่เป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของผู้เป็นนาย ให้ฉู่ซินเถียนมาเป็นความรื่นเริงยามว่างของการเดินทางไกลหนนี้

เว่ยหลันโจวสั่งให้เด็กรับใช้ทั้งสามออกไป เขายังมีเรื่องสำคัญต้องการจะสั่งให้องครักษ์ลับทั้งสี่ไปจัดการ

เว่ยหลันโจวชี้ไปที่หนึ่งในองครักษ์ลับที่ชื่อว่าหนานอวี้ ให้เขาไปจับตาดูฉู่ซินเถียนที่ดูมีเรื่องราวในใจมากมายก่อน ส่วนองครักษ์ลับอีกสามคนอย่างฉางชิง หย่วนจื้อ เจวี๋ยหมิงจะต้องนำองครักษ์ลับคนอื่นๆ ไปซ่อนตัวอยู่รอบๆ เรือนแห่งนี้ นอกจากเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นแล้ว ยังต้องจับตาดูทุกการกระทำของสวีซั่นด้วย

หลังสั่งการเสร็จเว่ยหลันโจวก็มองไปยังฉางชิงอีกครั้ง “แม่มดเฒ่ากับอัครเสนาบดีเนี่ยกำลังทำอะไรที่เมืองหลวง”

ท่านอ๋องสามารถเรียกพระพันปีเป็น แม่มดเฒ่าได้ แต่ข้าไม่มีความกล้าเช่นนั้น “เรียนท่านอ๋อง พระพันปีทรงคัดเลือกโฉมงามให้วังหลังของฝ่าบาทอีกสิบนาง สามคนในนั้นที่ถูกแต่งตั้งเป็นสนมล้วนเป็นคนรุ่นหลังทางฝั่งตระกูลมารดาของพระพันปีพ่ะย่ะค่ะ”

“แม่มดเฒ่าไม่เบื่อลูกไม้นี้เสียที ทำกับข้าเช่นนี้ กับฝ่าบาทเองก็เช่นนี้ ประการแรกคือเกรงว่าหูตาข้างกายพวกเราจะน้อย ประการที่สองคือหวังให้ข้ากับฝ่าบาทต่างลุ่มหลงนารี วันๆ คิดแต่เรื่องอย่างว่า ข้ากลายเป็นคนเจ้าสำราญเสเพล ส่วนฝ่าบาทน้อยค่อยกำหนดโทษมั่วโลกีย์ไม่สนใจราชสำนัก แม่มดเฒ่าก็สามารถออกมาร่วมว่าราชการได้อย่างมีเหตุมีผลแล้ว!” เว่ยหลันโจวพ่นลมออกจากจมูก

ทว่าต่อมาเขาก็ยิ้มอย่างมีความสุขยิ่ง แม่มดเฒ่ากับอัครเสนาบดีเนี่ยไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาหาใช่ผู้ที่จะยอมให้ใครมาเอาเปรียบง่ายๆ ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขาลอบให้คนนำของขวัญไปส่งที่ตำหนักบรรทมของแม่มดเฒ่า อีกทั้งยังทำได้อย่างแนบเนียนยิ่ง

“เพื่อเป็นการประจบเอาใจพระพันปี ตอนที่ท่านอ๋องออกจากเมืองหลวง อัครเสนาบดีเนี่ยก็ได้นำบุรุษอ่อนเยาว์รูปงามสามคนเข้าไปในตำหนักพระพันปี พวกเขาปลอมตัวเป็นขันที มีไว้สำหรับปรนนิบัติพระพันปีโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ” ฉางชิงประสานมือกล่าวรายงานต่อ

“พระพันปีทรงหมกมุ่นในกาม อัครเสนาบดีเนี่ยสนองความต้องการ ทั้งสองคนยังเข้ากันได้ดีจริงๆ” เว่ยหลันโจวยกมือเท้าปลายคาง จมลงสู่ห้วงความคิด

ฉางชิง หย่วนจื้อ เจวี๋ยหมิงยืนอยู่เงียบๆ ด้านข้าง ไม่กล้ารบกวนความคิดของเขา

ผ่านไปครู่ใหญ่ เว่ยหลันโจวถึงได้ยิ้มแล้วเอ่ยอย่างตัดสินใจ “ดี ส่งคนไปบอกให้คนของเราหยุดยาก่อน”

ทั้งสามคนต่างอดนิ่งอึ้งไปไม่ได้ พระพันปีมีนิสัยเลือดเย็นเห็นแก่อำนาจ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่นางจะปลดปล่อยความต้องการออกมา แต่หากมีแรงช่วยเหลือจากภายนอก ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เมื่อครึ่งปีก่อนหน้า ท่านอ๋องสั่งการให้หูตาในวังใส่ยาที่สามารถกระตุ้นความต้องการของสตรีลงไปในอาหารของพระพันปีจำนวนน้อยๆ ยาชนิดนี้เป็นยาปลุกกำหนัดที่ท่านอ๋องเป็นผู้ศึกษาด้วยตนเอง จากปริมาณที่พระพันปีเสวย สะสมไปประมาณสิบวันก็จะทำให้พระนางมีความปรารถนาสูงขึ้น และด้วยปริมาณยาที่เสวยเข้าไปมีอยู่น้อยนิด ต่อให้มีหมอหลวงคอยจับชีพจรอยู่ทุกวันก็ไม่อาจพบเจอความผิดปกติใดๆ ได้

แผนการนี้ของท่านอ๋องเป็นเพียงการใช้วิธีของผู้อื่นมาย้อนคืนสนองตนเอง ในเมื่อภายในจวนของท่านอ๋องมักจะมีโฉมงามนำยาจำพวกนี้มาให้ท่านอ๋องกินอยู่เสมอ ทำให้ท่านอ๋องจมสู่ห้วงแห่งความกำหนัดทุกคืนวัน กระนั้นต่อให้ท่านอ๋องจะมองแผนการนี้ออก แต่ผู้เป็นนายก็ยังต้องไม่ร่วมแสดงต่อไป

แต่จู่ๆ ท่านอ๋องกลับมีคำสั่งให้คนของพวกเขาหยุดยา แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่พวกเขาก็ทำตามคำสั่งมาเสมอ จึงประสานมือกล่าวรับคำ

 

หลังเว่ยหลันโจวจัดการเรื่องราวเหล่านี้เสร็จ เขาก็งีบหลับสั้นๆ ไปชั่วครู่หนึ่ง สวีซั่นก็ส่งคนมาสอบถามว่าต้องการกินอาหารเย็นหรือไม่

ยามนี้ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เว่ยหลันโจวผงกศีรษะ ทว่ากลับให้จือจื่อไปบอกให้ฉู่ซินเถียนยกน้ำอุ่นอ่างหนึ่งเข้ามาปรนนิบัติ

ห้องของฉู่ซินเถียนอยู่ห่างจากห้องของเว่ยหลันโจวไปเพียงสามห้องเท่านั้น ยามที่นางเห็นเสื้อผ้าของตนเอง ขวดยาที่เว่ยหลันโจวมอบให้ กระทั่งถุงเงินที่นางอดทนเก็บรวบรวมไว้ ล้วนแต่วางอยู่ในห้องอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็รู้สึกประหลาดใจจริงๆ

ก่อนจะนึกได้ว่าเขาสามารถส่งคนไปสังหารเสนาบดีเฉวียนและคนทั้งเรือได้อย่างไร้สุ้มเสียง แค่จัดการสิ่งของเหล่านี้ก็ไม่นับเป็นอะไรได้แล้ว

เมื่อครู่ก่อนที่จือจื่อจะมาเรียกนั้น ฉู่ซินเถียนก็เหนื่อยจนหลับไปสักพักหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้ยามที่นางเดินถืออ่างทองแดงเข้ามาในห้อง สีหน้าจึงสดใสขึ้น เพียงแต่ไม่ทันจัดทรงผมให้ดีจึงยังดูยุ่งเหยิงอยู่บ้าง

ภายใต้คำแนะนำของเหลียนจื่อ ฉู่ซินเถียนจึงเริ่มจากปรนนิบัติเว่ยหลันโจวล้างหน้า ต่อด้วยเขย่งปลายเท้าสวมเสื้อคลุมตัวนอกสีฟ้าอ่อนให้กับเขาที่สวมเพียงเสื้อตัวในเท่านั้น แต่ในยามที่เขาสั่งให้นางหวีผมที่ยาวไปถึงกลางหลังของเขานั้น นางก็แสดงสีหน้าลำบากใจออกมาทันที ด้วยไม่รู้ว่าจะเกล้ามวยผมให้บุรุษสมัยโบราณเช่นไร

ภายใต้แววตาลำบากใจของเว่ยหลันโจว เหลียนจื่อก็เดินเข้ามา เด็กชายใช้วิธีการสอนด้วยปาก หนึ่งคำสั่งต่อหนึ่งการเคลื่อนไหว ฉู่ซินเถียนถือหวีไม้สีดำค่อยๆ หวีเรือนผมยาวสีดำขลับของเขาไปทีละปอยๆ จากนั้นจึงใช้เกี้ยวหยกครอบผมอีกที บุรุษหน้าตาโดดเด่นก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

เว่ยหลันโจวมองฉู่ซินเถียนอย่างพึงพอใจ “ไม่เลว มือไม้คล่องแคล่วใช้ได้”

ฉู่ซินเถียนได้แต่ผงกศีรษะ ในใจเตือนตนเองว่า…เขาเป็นนาย ข้าเป็นบ่าว

“เอ่อ…ท่านอ๋องทำอะไรเพคะ ผมของข้า…” นางเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร มือใหญ่ขยับอยู่บนศีรษะนางไม่กี่ครั้ง ผมเปียที่นางถักรวบขึ้นไปก็ถูกปล่อยลงมา อีกทั้งยังสยายออกในชั่วพริบตาราวกับเส้นไหมอย่างไรอย่างนั้น

เว่ยหลันโจวยื่นมือออกไปหยิบหวีมาช่วยนางหวีเส้นผมที่อ่อนนุ่มดุจใยไหม จากนั้นก็ตวัดมือขึ้นแล้วหมุนอีกที ไม่เกินสองสามครั้งก็ดึงตัวนางมานั่งลงหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งแล้ว “เรือนผมของสาวใช้ข้าไม่ควรเป็นเหมือนรังนก”

ฉู่ซินเถียนมองดูตนเองในกระจก ภาพตรงหน้ายังคงเป็นทรงผมที่นางคุ้นเคย ซึ่งสะดวกต่อการทำงานในห้องครัว กระนั้นนางก็ต้องฝึกมัดรวบนานหลายปีกว่าจะทำได้รวดเร็ว เหตุใดบุรุษที่มีฐานะสูงส่งผู้นี้จึงเกล้ามวยผมสตรีได้เล่า

ฉู่ซินเถียนจับจ้องเว่ยหลันโจวที่มีใบหน้ายิ้มแย้มด้วยแววตาฉงน นางมองบุรุษผู้นี้ไม่ออกจริงๆ ในขณะที่พวกจือจื่อยังคงมีสีหน้าเป็นปกติยิ่ง

“ท่านอ๋องมีสตรีมากมาย ทั้งยังมีอารมณ์สุนทรีย์ถึงกับช่วยสตรีเกล้าผมได้ แต่หม่อมฉันมีเกียรติอันใด…โอ๊ย!”

เว่ยหลันโจวไม่รอให้นางพูดจนจบก็ตีท้ายทอยนางไปหนึ่งหน ก่อนทิ้งไว้หนึ่งประโยค “โง่งม!” แล้วขยับเท้าเดินออกจากห้องไป

เฮอจื่อกับจือจื่อกลั้นหัวเราะพลางเร่งรีบติดตามไปทันที เหลียนจื่อเดินอยู่รั้งท้าย ยามที่เดินผ่านนางก็กล่าวเสียงเบาว่า “นอกจากสมองของเจ้าจะไม่ดีแล้ว แม้แต่สายตาเองก็ไม่ดียิ่ง ยังไม่รีบตามท่านอ๋องไปอีก”

“ผู้ใดสมองกับสายตาไม่ดีกัน คนอะไรอารมณ์แปรปรวน ช่างปรนนิบัติยากยิ่งนัก!” ฉู่ซินเถียนยกมือลูบท้ายทอยพลางบ่นงึมงำ แต่ก็ยังไล่ตามเว่ยหลันโจวไปอย่างว่าง่าย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 ธ.ค. 62

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: