X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 4 บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 1

 เซียวจวิ้นที่เป็นลมอยู่ในศาลบรรพชนถูกส่งกลับมา เรือนเซียวเซียงพลันวุ่นวายโกลาหลทันที

หงจูเห็นคุณชายรองตัวร้อนทั้งตัว แขนขาทั้งสี่แข็งทื่อ น้ำตาก็ไหลออกมา นางตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก สาวใช้รุ่นเล็กทั้งหลายเห็นว่าแม้แต่หงจูยังลนลานจึงทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม เดินไปเดินมาในห้องโถงเหมือนแมลงวันหัวขาดฝูงหนึ่ง

เทียบกับเรือนกลางที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว เรือนปีกตะวันออกกลับเงียบสงบเป็นพิเศษ หลี่เมิ่งซีกำลังคัดอักษรทีละขีดทีละเส้น ไม่ใช่ว่าข่าวที่เซียวจวิ้นเป็นลมไม่ถูกส่งมายังเรือนปีกตะวันออก เพียงแต่สำหรับหลี่เมิ่งซีแล้ว เซียวจวิ้นแค่คุกเข่านานเกินไป เขาไม่ตายหรอก ภาษิตว่าหากไม่ใจแข็งย่อมยากจะเป็นอิสระ นางในตอนนี้ต้องแข็งใจเมินเฉยต่อเซียวจวิ้น ตัดเขาเสียให้ขาด

เห็นหลี่เมิ่งซีดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ จือตงก็ทำหน้าร้อนใจ นางหันไปมองจือซย่า อีกฝ่ายกลับยืนอยู่ด้านข้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จือตงได้แต่ถูมือแล้วถูมืออีก ในที่สุดก็ทนไม่ไหวคุกเข่าลงกับพื้น “สะใภ้รองยื่นมือเข้าช่วยคุณชายรองหน่อยเถอะเจ้าค่ะ บ่าวคิดว่าคงมีแต่ท่านเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยคุณชายรองได้!”

หลี่เมิ่งซีเห็นจือตงทำเช่นนี้ก็อดอึ้งไปไม่ได้ วางพู่กันในมือแล้วมองนางโดยไม่พูดจา

เห็นหลี่เมิ่งซีเงยหน้า จือตงก็พรูลมหายใจแล้วพูดต่อ “ตอนบ่าวไปสืบข่าวที่เรือนกลาง เห็นอาการของคุณชายรองแล้ว เหมือนอาการของท่านพ่อของบ่าวตอนเสียชีวิตทุกประการ ตอนนั้นท่านพ่อขึ้นเขาไปตัดฟืนและได้แผลที่มือมาโดยไม่ระวัง พอกลับมาท่านแม่กับท่านพ่อต่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ใช้ขี้เถ้าพอกแผลไว้เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าวันต่อมาตอนบ่าย ท่านพ่อจะเริ่มมีไข้ทั้งตัว แขนแข็งทื่อ ทั้งยังกระตุกเป็นพักๆ ท่านแม่รวบรวมเงินที่มีและหยิบยืมมาอีกส่วนหนึ่งเชิญหมอมาตรวจ หมอบอกว่าเป็นแค่พิษไข้จากบาดแผลเท่านั้น ไม่เป็นอะไรมาก ใส่ยาและพันแผลให้ใหม่ ทั้งยังสั่งยาต้มให้ดื่ม ฟังคำพูดหมอแล้วท่านแม่ก็วางใจ คิดไม่ถึงว่าหมอเถื่อนจะทำร้ายคน กินยาแล้วท่านพ่อไม่เพียงอาการไม่ดีขึ้นยังทรุดลงเรื่อยๆ ป่วยอยู่ไม่ถึงสิบวันก็จากไป ได้ยินหมอที่ตรวจรักษาท่านพ่อเป็นคนสุดท้ายบอกว่าท่านพ่อเป็นโรคลมเจ็ดวัน ไม่มียารักษาได้เจ้าค่ะ”

โรคลมเจ็ดวัน! หลี่เมิ่งซีฟังแล้วอดนิ่วหน้าไม่ได้ โรคลมเจ็ดวันในปัจจุบันเรียกว่าโรคบาดทะยัก แม้อยู่ในยุคปัจจุบันก็ไม่แน่ว่าจะรักษาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยุคโบราณที่การแพทย์ล้าหลังเลย

ไม่กระมัง บังเอิญถึงเพียงนี้เชียว เซียวจวิ้นแค่คุกเข่าคืนเดียวก็ได้รับเชื้อบาดทะยักเลยหรือ!

หลี่เมิ่งซีนึกออกทันที นางลืมไปได้อย่างไรว่ามือของเซียวจวิ้นมีแผล หากแผลลึกก็มีโอกาสจริงๆ คิดเช่นนี้แล้วจึงมองจือตงที่เล่าถึงเรื่องบิดาแล้วขอบตาแดงเรื่อพลางพูด “เล่าอาการของคุณชายรองให้ข้าฟังอย่างละเอียดซิ”

ได้ยินหลี่เมิ่งซีพูดเช่นนั้น จือตงจึงบรรยายอาการของเซียวจวิ้นให้ฟังอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง เล่าจบก็พูดต่อ “สะใภ้รอง ไม่พูดถึงว่าหมอต้องใช้เวลาเป็นชั่วยามกว่าจะมาถึง ต่อให้มาถึงแล้วก็ไม่แน่ว่าจะรักษาได้ พวกเขามีวิชาแพทย์สูงส่งเหมือนสะใภ้รองเสียที่ไหน ท่านไปดูหน่อยเถอะเจ้าค่ะ หากมิใช่โรคลมเจ็ดวันก็แล้วไป บ่าวแค่เกรงว่า…”

อาการเหมือนอาการเบื้องต้นของโรคบาดทะยักจริงๆ ฟังคำพูดจือตงแล้ว หัวใจของหลี่เมิ่งซีก็หดเกร็ง นางก้มหน้าตรึกตรอง

เห็นหลี่เมิ่งซีไม่พูดจา จือซย่าจึงโน้มน้าวอยู่ด้านข้าง “สะใภ้รอง ต่อให้คุณชายรองไม่ดีอย่างไรก็ไม่สมควรตายด้วยเหตุนี้ เห็นแก่ที่คุณชายรองบาดเจ็บเพราะท่าน สะใภ้รองควรถือโอกาสตอนที่หมอยังมาไม่ถึงไปดูอาการคุณชายรองหน่อยเถอะเจ้าค่ะ หากหมอมาถึงแล้วรักษาไม่ได้ เวลานั้นท่านจะสอดมือเข้าไปก็ลำบากแล้ว”

ต่อให้เป็นตอนนี้นางคิดจะสอดมือเข้าไปก็ไม่ง่ายเช่นกัน ท่ามกลางสายตาของทุกคน นางจะรักษาโรคให้เซียวจวิ้นโดยไม่เปิดเผยฐานะเซียนปรุงยาของตนเองได้อย่างไร

“สะใภ้รอง?” เห็นหลี่เมิ่งซีก้มหน้าไม่พูดจา จือตงจึงร้องเรียกอีกคำ

คิดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดหลี่เมิ่งซีจึงพูดเสียงเฉียบขาด “ได้ พวกเราไปดูกัน”

เตรียมยาเสร็จเรียบร้อย ใส่ไว้ในกล่องใบเล็กและให้จือซย่าถือ เพิ่งออกจากประตูห้องทิศเหนือจือตงก็ตามมาข้างหลังแล้วเอ่ยว่า “สะใภ้รอง ถึงอย่างไรเรือนปรุงยาในสวนด้านหลังก็รื้อทิ้งไปแล้ว ที่นี่ไม่มีข้าวของที่กลัวคนจะมาเห็นเข้าอีก ให้บ่าวไปกับท่านด้วยเถอะเจ้าค่ะ คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนโซ่วสี่เมื่อวาน ตอนนี้บ่าวยังหวั่นใจไม่หายเลย”

ฟังคำพูดจือตงแล้วหลี่เมิ่งซีพลันเกิดไหวพริบ นางชะงักเท้า ขบคิดแล้วพูด “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่เถอะ ส่งสาวใช้ไปดูสถานการณ์ที่เรือนกลางด้วย ประเดี๋ยวเหล่าไท่จวินจะต้องมาแน่ หากเหล่าไท่จวินใช้กฎบ้านกับข้า พวกเราย่อมไม่มีโอกาสแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก ถ้าเป็นอย่างนั้น เจ้ารีบใช้นกพิราบส่งข่าวให้หลี่ตู้มาช่วยเหลือพวกเราที่คฤหาสน์สกุลเซียวทันที”

“สะใภ้รอง…” จือตงฟังแล้วใบหน้าซีดขาวทันใด ริมฝีปากสั่นนิดๆ

“สะใภ้รองพูดถูก หากพวกเราสามคนอยู่ด้วยกันหมด ยามที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เกรงว่าแม้แต่คนส่งข่าวก็ไม่มี” จือซย่ารีบโน้มน้าวอีกคำ เห็นจือตงกัดปากพยักหน้าแล้ว นางจึงประคองหลี่เมิ่งซีเดินไปที่เรือนกลาง

นี่นับเป็นครั้งแรกที่เซียวจวิ้นเจ็บหนักขนาดนี้ หงจูเห็นแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก เหล่าไท่จวินกับหมอล้วนยังไม่มา นางเองก็ไม่รู้ควรทำเช่นไร

หงจูสั่งให้คนเตรียมน้ำร้อน เสื้อผ้า และยืนลังเลอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้จะตามสะใภ้รองมาดีหรือไม่ พอคิดว่าฐานะของสะใภ้รองน่ากระอักกระอ่วน สุดท้ายจึงไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ ลอบคิดว่ารอให้เหล่าไท่จวินมาถึงค่อยว่ากันดีกว่า ระหว่างคิดก็ได้ยินสาวใช้เข้ามารายงานว่าสะใภ้รองมา หงจูฟังแล้วเหมือนมีพระมาโปรด นางรีบออกมาต้อนรับทันที

หลี่เมิ่งซีก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เห็นสาวใช้กับบ่าวหญิงสูงวัยเบียดกันอยู่เต็มห้อง ต่างยืนนิ่งด้วยไม่รู้ควรทำอย่างไร ส่งเสียงเอะอะจอแจไปหมด นางอดนิ่วหน้าไม่ได้และไล่ทุกคนออกไป

พูดคุยกับหงจูสองสามคำ เห็นนางเตรียมน้ำร้อนกับเสื้อผ้าไว้แล้วจึงสั่งให้นางต้มสุรา เตรียมมีดเล่มเล็ก และของจำเป็นอื่นๆ จากนั้นเขียนใบสั่งยาและสั่งให้หงจูหาคนไปจัดยามา ต้มน้ำเพื่อประคบขาให้เซียวจวิ้น ถึงอย่างไรเซียวจวิ้นก็คุกเข่ามาเกือบหนึ่งวันหนึ่งคืน อีกทั้งในศาลบรรพชนยังเย็นและชื้น หากไม่รีบขจัดไอเย็นออกไปย่อมเป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อได้ง่าย สุดท้ายจึงสั่งให้คนตามเซียวซย่าและเซียวเหิงมา

จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว หลี่เมิ่งซีก็ก้าวเข้าไปในห้องด้านใน เห็นเซียวจวิ้นหลับตาแน่นนอนอยู่บนเตียง กล้ามเนื้อแขนขวาแข็งตึงและมีอาการหดเกร็งเป็นพักๆ ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ยังดีที่ไม่ได้เป็นบาดทะยัก เพียงแต่แผลที่ถูกกรรไกรบาดเมื่อวานนี้อักเสบและเป็นหนอง หากไม่รีบรักษาเกรงว่าแขนข้างนี้ก็คงพิการเช่นกัน ใช้มือแตะหน้าผากเขาก็พบว่าร้อนระอุ นางลอบอุทานในใจ อันตรายยิ่งนัก หากไม่เพราะตนใจดีมาที่นี่ กว่าหมอจะมาถึง เขาที่ไข้สูงขนาดนี้คงกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแล้ว

เข้ามาอยู่ในยุคโบราณนานขนาดนี้ หลี่เมิ่งซีตระหนักถึงความรวดเร็วในการตามหมออย่างดี สมัยโบราณไม่มีรถยนต์ แม้แต่จักรยานก็ไม่มี ได้แต่อาศัยรถม้ากับเกี้ยว เวลาไม่ถึงชั่วยามก็อย่าหวังเลยว่าหมอจะมาถึง นี่ยังเป็นสกุลที่มีอำนาจอย่างสกุลเซียว เรียกหมอแล้วหมอย่อมมาทันที หากเป็นสกุลเล็กๆ ต้องรอให้หมอเสร็จธุระในมือก่อน ไม่ได้ครึ่งวันอย่าหวังเลยว่าจะมาถึง

ตรวจเสร็จเรียบร้อย นางก็หยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาจากกล่อง ส่งให้จือซย่าและพูดกับหงจู “นี่เป็นยาที่คุณชายรองมอบให้ข้าก่อนหน้านี้ หมอยังไม่มาจะนิ่งรอเฉยๆ ไม่ได้ ล้วนเป็นยารักษาบาดแผลเช่นกัน เอายานี้ให้คุณชายรองกินก่อน ไม่แน่อาจใช้ได้ผล”

จือซย่ารับยาพลางเหลือบมองหงจูอย่างประหม่า หันกลับไปเห็นสีหน้าสุขุมของสะใภ้รองแล้ว คิดถึงคำพูดที่สะใภ้รองพูดในเรือนโซ่วสี่เมื่อวาน นางลอบอุทานในใจว่า สะใภ้รองผู้นี้ช่างใจกล้าบ้าบิ่นโดยแท้ โกหกได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสีลมหายใจไม่หอบแม้แต่น้อย ไม่กลัวว่าจะถูกเปิดโปงด้วย

หลี่เมิ่งซีจะกลัวอะไรเล่า ยาที่เซียวจวิ้นมอบให้นางก่อนหน้านี้ก็มาจากร้านยาอี๋ชุนของนางเอง ถึงอย่างไรยาที่นางปรุงก็หน้าตาคล้ายๆ กันอยู่แล้ว อีกอย่างคือยานี้ให้หงจูเห็นเท่านั้น สุดท้ายนางก็จงใจส่งให้จือซย่า ไม่เชื่อหรอกว่าหงจูมองไกลๆ จะจับพิรุธอะไรได้

มองยาในมือจือซย่า หงจูก็ลังเลเล็กน้อย นางเอ่ยปากโน้มน้าว “สะใภ้รอง ยาจะกินส่งเดชไม่ได้ ตามความเห็นของบ่าว รอหมอมาถึงก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”

ยานี้คุณชายรองเป็นคนมอบให้สะใภ้รองก็จริง ทว่านั่นเป็นยาบำรุงเลือดลมของสตรี คุณชายรองกำชับนางเพียงว่านายหญิงใหญ่ลงโทษให้สะใภ้รองคุกเข่าจึงมอบยาบรรเทาฟกช้ำและช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนดีขึ้นไปให้ สะใภ้รองคงคิดว่านี่เป็นยารักษาบาดแผลกระมัง หงจูหรือจะรู้ว่ายานี้ถูกหลี่เมิ่งซีสับเปลี่ยนแล้ว ใจคิดว่าสะใภ้รองหวังดี แต่ยานี้เป็นยาสำหรับสตรี คุณชายรองเป็นบุรุษ กินยานี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า!

อีกอย่างอีกฝ่ายก็เป็นถึงคุณชาย ในเมื่อไม่มีคำสั่งจากหมอ ใครจะกล้าใช้ยาส่งเดช เบื่อชีวิตแล้วหรือไร

ฟังคำพูดหงจูแล้วจือซย่าก็มองหลี่เมิ่งซีอย่างประหม่า เห็นนางพูดกับหงจู “รอหมอมายังไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไร ล้วนเป็นยาช่วยในการหมุนเวียนของโลหิต กินแล้วย่อมมีประโยชน์แน่ เร็วเข้าเถอะ คุณชายรองไข้สูงขนาดนี้จะรอหมอมาถึงไหวหรือ”

รอไม่ไหวก็ไม่อาจใช้ยาส่งเดชได้! หงจูโอดครวญในใจ ไม่พูดถึงว่ายานี้คุณชายรองกินแล้วไม่เกิดประโยชน์ แต่คุณชายรองเป็นแก้วตาดวงใจของเหล่าไท่จวินเชียวนะ แม้แต่หมอยังไม่กล้าใช้ยาส่งเดชเพราะเกรงว่าจะเกิดความผิดพลาด เผลอไปล่วงเกินสกุลสูงศักดิ์เข้า ทำให้ขาดแหล่งทำมาหากิน

สะใภ้รองแต่งเข้ามาสองปีแล้วยังไม่รู้กฎธรรมเนียมพวกนี้อีกหรือ หงจูอยากบอกว่ายานี้ไม่มีประโยชน์ นางอยากโน้มน้าวสะใภ้รองให้ล้มเลิกความคิดนี้เสีย แต่พอนึกถึงนิสัยพูดหนึ่งไม่เป็นสองของสะใภ้รองแล้วจึงกลืนคำพูดที่มาถึงปากแล้วกลับลงไป เห็นจือซย่าบดยาเป็นผงและนำไปผสมกับน้ำแล้ว หงจูก็รีบเข้าไปช่วยง้างปากคุณชายรองและค่อยๆ กรอกยาเข้าไป

ป้อนยาเสร็จ หลี่เมิ่งซีจึงตามเซียวซย่ากับเซียวเหิงเข้ามาทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เซียวจวิ้น พอทั้งสองเข้ามา ทุกคนต่างถอยออกไปรอข้างนอก อี๋เหนียงทั้งสามกับหงอวี้มาถึงนานแล้ว แต่ถูกขวางอยู่นอกประตู เห็นหลี่เมิ่งซีออกมาจึงรีบเข้าไปคารวะและยืนอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง

เมื่อวานฐานะลูกอนุของหลี่เมิ่งซีเปิดเผย เรื่องที่เซียวจวิ้นประกาศว่าจะไม่เป็นประมุขสกุลและเรื่องที่เขาถูกลงโทษแพร่มาถึงที่นี่ เรือนหลังของเซียวจวิ้นราวเกิดแผ่นดินไหวระดับแปด อี๋เหนียงทั้งหลายที่ยศถาบรรดาศักดิ์ล้วนขึ้นอยู่กับเซียวจวิ้นต่างหวั่นวิตก รู้สึกอนาคตมืดมัว หากคุณชายรองไม่เป็นประมุขสกุลแล้วจริงๆ นับแต่นี้ไปพวกนางอย่าหวังจะโงหัวขึ้นมาได้อีกเลย

ยืนร้อนใจกระวนกระวายอยู่ตรงนั้น ครั้นเห็นตัวต้นเหตุอย่างหลี่เมิ่งซีนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสุขุมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จางอี๋เหนียงกับชุ่ยอี๋เหนียงต่างก็โมโหจนบดฟัน ตีให้ตายพวกนางก็ไม่เชื่อว่าคุณชายรองจะมีใจให้กับสตรีเย็นชาเช่นนี้ ยิ่งไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร หากปล่อยให้สตรีผู้นี้อยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวต่อไป นางคงชักนำคุณชายรองให้ออกนอกลู่นอกทาง เช่นนั้นอนาคตของพวกนางย่อมคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร

ตั้งแต่คุณชายรองกลับจากทางใต้ พวกนางพยายามใช้ทุกหนทางแล้วแต่ก็ไม่อาจทำให้คุณชายรองก้าวเข้ามาในเรือนของพวกนางได้ เดิมทีเดาว่าคุณชายรองเป็นโรคอะไรที่ยากจะเอ่ยปาก ทำให้มิอาจเข้าใกล้สตรีได้ แต่วันนี้พวกนางตระหนักแล้วว่าเป็นเพราะสะใภ้รองแย่งชิงความรักใคร่ทั้งหมดไป!

คิดถึงช่วงเวลาอันงดงามในอดีต คิดถึงความอ่อนโยนของคุณชายรอง ยามนี้จางอี๋เหนียงควบคุมตนเองไม่ได้ เกิดความคิดอยากกำจัดสะใภ้รองทิ้งเสีย แม้แต่ตัวนางเองยังตกใจกับความคิดที่ผุดขึ้นกะทันหันนี้ นางแอบลูบหน้าอกตนเอง ยังดีที่สะใภ้รองผู้นี้เป็นลูกอนุ ไม่ต้องให้นางลงมือเหล่าไท่จวินก็ต้องกำจัดอีกฝ่ายเองแน่ อยากเอ่ยอะไรเพื่อกลบเกลื่อนหัวใจที่เต้นรัวไม่หยุดของตนเอง แต่พอเงยหน้าเห็นสีหน้าเรียบเฉยดุจผิวน้ำนิ่งสงบของหลี่เมิ่งซีแล้ว นางกลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ

หวังอี๋เหนียงมองสะใภ้รองด้วยสีหน้าเป็นกังวล หงอวี้ยืนอยู่ด้านข้างอย่างหวาดระแวง ราวกับกลัวว่าจะมีอะไรร่วงลงมาจากท้องฟ้ากระแทกใส่ตนอย่างไรอย่างนั้น บรรยากาศแปลกประหลาดวนเวียนอยู่ระหว่างสตรีห้าคนนี้ ทำให้ห้องโถงอุดอู้เป็นพิเศษ กดดันจนทำให้คนหายใจไม่ออก

ท่ามกลางความเงียบงัน เซียวซย่า เซียวเหิงก็เดินออกมาคารวะหลี่เมิ่งซี รายงานว่าชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณชายรองแล้ว หลี่เมิ่งซีบอกให้ทั้งสองออกไปรอข้างนอก เพิ่งจะลุกขึ้นก็เห็นชุ่ยอี๋เหนียงกับจางอี๋เหนียงร้องไห้พลางร้องเรียกคุณชายรอง ทำท่าจะเข้าไปข้างใน เพิ่งก้าวขาออกมาก้าวเดียวเท่านั้นพลันรู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ หันกลับไปมองก็เห็นหลี่เมิ่งซียืนอยู่ตรงนั้น มองพวกนางอย่างเย็นชา ทั้งสองรีบหลบไปด้านข้างให้หลี่เมิ่งซีก้าวเข้าไปก่อน

เห็นทั้งสองหลบไปแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงเอ่ยว่า “คุณชายรองยังไม่ฟื้น คนเยอะวุ่นวายเกินไป อี๋เหนียงทั้งหลายรออยู่ข้างนอกก่อนเถอะ” พูดจบก็ไม่สนใจสีหน้าริษยาอาฆาตของชุ่ยอี๋เหนียงกับจางอี๋เหนียงอีก นางพาจือซย่ากับหงจูเข้าไปในห้อง

เข้าไปในห้องแล้ว หลี่เมิ่งซีก็สั่งให้หงจูใช้น้ำเย็นประคบหน้าผากเซียวจวิ้นเพื่อลดความร้อน ตนเองนั่งลงบนเก้าอี้กลมข้างเตียง แกะผ้าพันแผลของเซียวจวิ้นออก เห็นแผลแล้วก็ต้องตกใจ แม้หลี่เมิ่งซีจะสุขุมเยือกเย็นเพียงใด ยามนี้หัวใจก็ยังหดเกร็งอย่างควบคุมไม่อยู่

แผลกลางฝ่ามือของเซียวจวิ้นเน่าเฟะแล้ว ทั้งยังมีน้ำหนองไหลออกมา บวมแดงจนทนดูแทบไม่ได้ พาให้แขนทั้งแขนบวมตามไปด้วย กล้ามเนื้อเกร็งแน่นและกระตุกเป็นพักๆ

หลี่เมิ่งซีรีบตรวจดู บาดแผลเฉียงๆ นั้นยาวเกือบหนึ่งนิ้ว ลึกถึงครึ่งนิ้ว นางอดตระหนกไม่ได้ เมื่อวานนางไม่รู้สึกว่าตนเองออกแรงอะไรไปเลย ยิ่งไม่คิดว่าแผลจะลึกถึงเพียงนี้

บัดนี้คิดดูแล้วต้องเป็นเพราะเมื่อวานตอนเซียวจวิ้นแย่งกรรไกรไปนั้นเขากระทำวู่วามเกินไป อีกทั้งยังออกแรงกดแผลไว้ไม่ให้เลือดไหลออกมา ตอนนั้นวุ่นวายมาก ทุกคนจึงละเลยบาดแผลเขาไป นายท่านใหญ่ถึงได้ลืมทำแผลให้เขาและลงโทษให้ไปคุกเข่า สิบนิ้วเชื่อมโยงถึงใจ ฝ่ามือมีแผลลึกขนาดนี้เขาจะต้องเจ็บเข้าไปถึงในจิตใจแน่

เซียวจวิ้นมีใจให้นาง แต่ก่อนนางแค่หลอกตนเอง โดยไม่ยอมพิจารณาความรู้สึกที่เขามีต่อนางอย่างละเอียด คำพูดเมื่อวานของเซียวจวิ้นบีบให้นางต้องเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้ มองใบหน้าแดงก่ำของเซียวจวิ้นที่หมดสติอยู่ คิดถึงการตามอกตามใจของเขาที่มีต่อนางในช่วงที่ผ่านมา หัวใจของหลี่เมิ่งซีพลันหดเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่ มีใจแล้วอย่างไร นางกับเขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่มีอนาคตร่วมกัน นางมิอาจมอบหัวใจออกไปได้

หลี่เมิ่งซีใช้สุราต้มทำความสะอาดบาดแผล สมัยโบราณไม่มีมีดผ่าตัด นางจึงสั่งให้คนหามีดเล่มเล็กมาและต้มในน้ำเดือด เริ่มจัดการกับเนื้อเน่าบนฝ่ามือของเซียวจวิ้น

จือซย่ากับหงจูต่างหันหน้าไปทางอื่นด้วยไม่กล้ามอง

ระหว่างทำแผล สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่มา

หงจูและคนอื่นๆ รีบออกไปต้อนรับ หลี่เมิ่งซีกลับเหมือนไม่ได้ยิน นางยังคงทำงานในมือต่อไปอย่างจริงจัง

จือซย่าเห็นเช่นนั้นก็ร้องบอกอย่างร้อนใจ “สะใภ้รอง เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่มาแล้ว พวกเราออกไปต้อนรับก่อนเถอะเจ้าค่ะ แผลของคุณชายรองไว้ค่อยกลับมาจัดการต่อก็ยังไม่สาย ประเดี๋ยวเหล่าไท่จวินจะตำหนิท่านได้ว่าไม่เคารพนาง”

หลี่เมิ่งซีเอาแต่ขูดเนื้อเน่าบนมือของเซียวจวิ้นออกอย่างระมัดระวัง

“สะใภ้รอง เหล่าไท่จวิน…”

“ช่างนางเถอะ!”

ครั้นเห็นหลี่เมิ่งซีไม่สนใจ จือซย่าจึงโน้มน้าวต่อ แต่ถูกหลี่เมิ่งซีขัดด้วยความรำคาญ เห็นหลี่เมิ่งซีเป็นเช่นนี้ จือซย่าจึงส่ายหน้าและเดินไปที่ประตูอย่างจนใจ ถึงหน้าประตูแล้ว คิดดูอีกทีก็เดินย้อนกลับมายืนอยู่ข้างกายหลี่เมิ่งซี คอยเป็นผู้ช่วยของนาง

ไม่นานคนกลุ่มใหญ่ก็ห้อมล้อมเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่เดินเข้ามา ถึงหน้าเตียงของเซียวจวิ้น เห็นเนื้อเน่าเฟะกับเลือดเต็มฝ่ามือแล้ว เหล่าไท่จวินพลันปวดใจ ยังไม่ทันนั่งลงก็ร้องเรียกหลานรักยื่นมือไปจะคว้าแขนเซียวจวิ้นมา แต่กลับถูกนายท่านใหญ่ขวางไว้ก่อน

ด้วยเป็นบุรุษ แม้หัวใจจะเจ็บปวดปางตายเพียงใดก็รู้ว่ามิอาจรบกวนได้ในเวลานี้ เขาจึงโน้มน้าวเหล่าไท่จวิน “ซีเอ๋อร์จัดการกับแผลอยู่ มารดาอย่าเพิ่งรบกวนเลย หาไม่นางจะเสียสมาธิ เกิดความผิดพลาดได้”

ฟังนายท่านใหญ่พูดเช่นนี้ เหล่าไท่จวินจึงได้สติและไม่พูดอะไรอีก เพียงนั่งดูอยู่ด้านข้าง หัวใจบีบรัดเพราะแผลของเซียวจวิ้น เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ไม่มีใครใส่ใจว่าหลี่เมิ่งซีเสียมารยาท ยิ่งไม่มีใครสงสัยว่าหลี่เมิ่งซีผู้เป็นสะใภ้ในคฤหาสน์ทำเรื่องพวกนี้เป็นได้อย่างไร เอาแต่จ้องมือของเซียวจวิ้นด้วยความเป็นห่วง

หลี่เมิ่งซีจัดการกับเนื้อเน่าบนฝ่ามือของเซียวจวิ้นเสร็จ ค่อยๆ บีบหนองออกมาทีละนิด จากนั้นใช้สุราต้มทำความสะอาดแผลอีกครั้ง นางรับขวดยาจากมือจือซย่า เทผงยาออกมาและโรยลงบนแผล สุดท้ายจึงใช้ผ้าพันแผลเอาไว้

จัดการเรื่องเหล่านี้จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยวางมือเซียวจวิ้นลงบนเตียง หลี่เมิ่งซีนั่งตัวตรง พรูลมหายใจยาว ก่อนจะสั่งให้หงจูกับหงซิ่งเก็บข้าวของบนพื้น เห็นทั้งสองเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วกำลังจะเงยหน้าขึ้นพูดกับเหล่าไท่จวิน นางก็ได้ยินซื่อฮว่าอุทานอย่างประหลาดใจ “คุณชายรองเหงื่อออกแล้วเจ้าค่ะ!”

หงจูฟังแล้วจึงหันไปมอง เห็นหน้าผากเซียวจวิ้นมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย เหงื่อออกก็ดีแล้ว แสดงว่าไข้ของคุณชายรองเริ่มลดแล้ว ด้วยความตื่นเต้นจึงลืมไปว่าเหล่าไท่จวินอยู่ด้านข้าง นางโพล่งออกมา “จริงๆ ด้วย! ยาของสะใภ้รองวิเศษจริงๆ เจ้าค่ะ!”

“ยาของสะใภ้รอง?” เหล่าไท่จวินฟังคำหงจูพลางถามด้วยความฉงน

ได้ยินเหล่าไท่จวินถาม หงจูถึงนึกขึ้นได้ว่าเหล่าไท่จวินยังนั่งอยู่ด้านข้างด้วย นางตกใจจนตัวสั่น นี่เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ ทั้งที่หมอยังไม่ตรวจ ใครจะกล้าใช้ยาส่งเดชได้เล่า หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมามีกี่หัวก็ไม่พอให้ชดใช้ ปรนนิบัติคุณชายรองมาหลายปี นางรู้กฎธรรมเนียมเหล่านี้ดี เมื่อครู่ก็เตือนสะใภ้รองแล้วว่าอย่าใช้ยาส่งเดช ใจรู้ว่าตนเองก่อเรื่องเสียแล้ว ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก หงจูรีบก้มศีรษะถอยไปยืนด้านข้าง ตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

หลี่เมิ่งซีเห็นเช่นนั้นก็สบตากับเหล่าไท่จวินแล้วพูดเสียงเรียบ “เหล่าไท่จวิน เมื่อครู่เมิ่งซีเห็นว่าคุณชายรองไข้สูงไม่ลด ได้ยินว่าไข้สูงทำร้ายสมองเป็นที่สุด อาจทำให้คนปัญญาอ่อนได้ กว่าหมอจะมาถึงก็ต้องรออีกเป็นชั่วยาม ด้วยเกรงว่าคุณชายรองจะเป็นอะไรไปเสียก่อน คิดว่าไข้สูงของคุณชายรองเกิดจากบาดแผลจึงนำยาที่คุณชายรองมอบให้ก่อนหน้านี้มาใช้ คิดไม่ถึงว่าจะใช้ได้ผลจริงๆ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วนจึงไม่ทันได้รายงานเหล่าไท่จวินก่อน”

เห็นหลี่เมิ่งซีไม่แทนตัวว่าหลานสะใภ้แล้วเหล่าไท่จวินพลันตระหนก เหลือบมองเซียวจวิ้นบนเตียงแล้วก็ลอบถอนหายใจ กำลังจะพูดกลับได้ยินนายท่านใหญ่เอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์รู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ ดูอาการของจวิ้นเอ๋อร์แล้ว เกรงว่าหากรอจนหมอมาถึงคงจะเกิดเรื่องจริงๆ โชคดีที่ซีเอ๋อร์มีสติเมื่อเกิดเรื่อง ตัดสินใจเฉียบขาดจึงช่วยจวิ้นเอ๋อร์เอาไว้ได้ ตอนนี้อาการของจวิ้นเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว ซีเอ๋อร์อย่าตำหนิตนเองนักเลย”

นายท่านใหญ่ฟังคำพูดหลี่เมิ่งซีแล้วรู้ว่านางทำผิดธรรมเนียม แต่ครั้นเห็นว่าลูกสะใภ้ที่ดีขนาดนี้ เพราะเป็นลูกอนุจึงต้องถูกหย่า ในใจอดบังเกิดความเห็นใจไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกว่าสกุลเซียวทำผิดต่อนาง เห็นลูกชายไม่เป็นไรแล้ว ด้วยเกรงว่าเหล่าไท่จวินจะพูดเรื่องกฎธรรมเนียมและลงโทษนาง เขาจึงชิงพูดขึ้นเสียก่อน

เหล่าไท่จวินเข้าใจความคิดของนายท่านใหญ่ นางลอบคิดในใจ ลูกชายคนนี้ระมัดระวังเกินไปแล้ว ข้าเลอะเลือนขนาดนั้นเสียที่ไหน จะหย่านางอยู่แล้วใครจะลงโทษนางอีก รอนายท่านใหญ่พูดจบ เหล่าไท่จวินจึงเอ่ยว่า “นายท่านใหญ่พูดถูก ซีเอ๋อร์ทำไปเพราะหวังดี อย่าตำหนิตนเองนักเลย ใช่แล้ว ยาที่ซีเอ๋อร์ใช้กับจวิ้นเอ๋อร์เมื่อครู่นี้ก็เป็นยาที่ได้มาจากจวิ้นเอ๋อร์หรือ”

จือซย่าฟังแล้วหน้าซีดไปครู่หนึ่ง หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา ยาที่ใส่ให้คุณชายรองเป็นยาดีที่แม้แต่ร้านยาอี๋ชุนยังไม่มีขาย ตามที่สะใภ้รองพูด ยานี้สามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อและช่วยให้เลือดลมไหลเวียน ทั้งยังไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ขอเพียงตรวจสอบอย่างละเอียดก็จะพบว่าข้างนอกไม่มียาชนิดนี้ขายอยู่ ถึงเวลานั้นสะใภ้รองจะชี้แจงอย่างไร

มองจือซย่าแล้ว หลี่เมิ่งซีแอบตบๆ ตัวนาง พูดกับเหล่าไท่จวินเสียงราบเรียบ “เป็นเพราะหลายวันก่อนจือชิวไม่อยากให้เมิ่งซีถูกลงโทษด้วยกฎบ้าน จือชิวจึงเอาตัวเข้ารับแทนจนได้รับบาดเจ็บ ยาที่ใส่ให้คุณชายรองเมื่อครู่นี้ก็เป็นคุณชายรองที่ส่งคนไปร้านยาอี๋ชุนซื้อยาสมานแผลกลับมา ตอนนั้นเมิ่งซีใช้ไม่หมด ตอนนี้เห็นว่าเร่งด่วนจึงนำออกมาใช้ สมัยเป็นเด็กเมิ่งซีเลี้ยงสัตว์ตัวเล็กๆ เอาไว้ บางครั้งสัตว์เลี้ยงได้รับบาดเจ็บเมิ่งซีก็ทำแผลให้เอง นานวันเข้าจึงรู้วิธีจัดการกับบาดแผลเจ้าค่ะ”

“กฎบ้าน?! ซีเอ๋อร์ทำผิดอะไรหรือถึงได้ถูกลงโทษด้วยกฎบ้าน” นายท่านใหญ่ได้ยินหลี่เมิ่งซีบอกว่าถูกลงโทษด้วยกฎบ้านก็ตกใจ สะใภ้ของบ้านทำผิดกฎธรรมเนียมจนถูกลงโทษด้วยกฎบ้าน นี่เป็นเรื่องใหญ่ ไฉนเขาที่เป็นประมุขของบ้านจึงไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจคำพูดต่อจากนั้นของหลี่เมิ่งซี รอนางพูดจบก็ถามออกมา

“เรียนนายท่านใหญ่ ก่อนหน้านี้ตอนคุณชายรองกลับมาไม่นาน คุณชายหลี่จัดงานเลี้ยงและเชิญคุณชายรองไปร่วมงาน คุณชายรองพาเมิ่งซีไปด้วย ระหว่างทางคุณชายรองมีธุระจึงให้เมิ่งซีกลับคฤหาสน์ก่อน นายหญิงใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าเมิ่งซีแอบออกจากคฤหาสน์โดยพลการจึงจะลงโทษด้วยกฎบ้าน โชคดีที่คุณชายรองกลับมาทันเวลาและช่วยชี้แจงให้ เมิ่งซีจึงไม่ถูกลงโทษเจ้าค่ะ”

นายท่านใหญ่ฟังแล้วถอนหายใจ คิดถึงเรื่องของเซียวอันที่มารดาเล่าให้ฟังแล้ว เขาก็รู้ว่าที่หลี่เมิ่งซีเล่ามานี้สาเหตุต้องเป็นเพราะนายหญิงใหญ่กำลังหาวิธีกลั่นแกล้งนางอยู่แน่ ในใจอดรู้สึกผิดหวังกับนายหญิงใหญ่ไม่ได้ เห็นทีควรกำราบนางสักหน่อยแล้ว ทว่าอยู่ต่อหน้าเด็กๆ ย่อมไม่อาจกล่าวโทษนายหญิงใหญ่ได้ ชั่วขณะหนึ่งจึงพูดอะไรไม่ออก

บรรยากาศในห้องเงียบงันหนักอึ้ง หลี่เมิ่งซีเงยหน้ามองเซียวจวิ้นที่หมดสติ หลังการป้อนยาและทำแผลของนาง เขาน่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว ที่เหลือให้เป็นหน้าที่หมอจัดการก็แล้วกัน นางไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว

คิดถึงความรู้สึกที่เซียวจวิ้นมีต่อนาง หัวใจก็เจ็บปวดยากจะบรรยาย ใช่ว่าเซียวจวิ้นไม่ดี แต่พวกเขาไม่มีวาสนาต่อกัน สกุลนี้ยอมรับนางไม่ได้ นางเองก็ไม่มีทางมอบหัวใจออกไปเพียงเพราะความรู้สึกเล็กน้อยแค่นี้ มิอาจปล่อยให้ตนเองต้องถลำลึกอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ เป็นสตรีที่ชีวิตเต็มไปด้วยความโกรธแค้นดังคำกลอนที่ว่าลานสวนร้างวสันต์จากลา บุปผาเกลื่อนพื้นบานประตูปิดตาย

ภาษิตว่าเจ็บยาวมิสู้เจ็บสั้น คฤหาสน์สกุลเซียวแห่งนี้นางต้องออกไปแน่ คิดได้เช่นนี้หลี่เมิ่งซีก็ก้าวไปตรงหน้าเหล่าไท่จวินและคุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะให้เหล่าไท่จวิน “ตั้งแต่เมิ่งซีแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลเซียว จนบัดนี้ก็สองปีกว่าแล้ว ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเหล่าไท่จวินมาตลอด บุญคุณยิ่งใหญ่ที่เหล่าไท่จวินมีต่อเมิ่งซีนี้ต้องตอบแทนแน่นอน เพียงแต่เมื่อวานเมิ่งซีได้รู้คำสอนของบรรพบุรุษสกุลเซียวแล้ว ตระหนักดีว่าฐานะลูกอนุของเมิ่งซีไม่อาจเป็นภรรยาเอกของคุณชายรองได้ เมิ่งซีไม่อยากให้คุณชายรองต้องถูกประณามว่าไม่ซื่อสัตย์ไม่กตัญญูไม่เมตตาไม่มีคุณธรรม ขอเหล่าไท่จวินโปรดสนับสนุนอนุญาตให้เมิ่งซีไปจากคฤหาสน์สกุลเซียวด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”

ฟังคำพูดนางแล้วเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ต่างตระหนก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าตอนนี้มิใช่สกุลเซียวเลือกที่จะให้หลี่เมิ่งซีอยู่หรือไป แต่เป็นหลี่เมิ่งซีที่ไม่อยากอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวอีกต่อไปต่างหาก!

คนยิ่งแก่ยิ่งมีอุบาย ม้ายิ่งแก่ยิ่งเจ้าเล่ห์ สมแล้วที่เป็นเหล่าไท่จวิน แม้นางจะตัดสินใจหย่าหลี่เมิ่งซีแล้ว แต่มองหลานชายที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ตอนนี้เขาเขียนหนังสือหย่าไม่ได้แน่ เมื่อยังไม่ถึงเวลาสุดท้ายจริงๆ นางย่อมไม่ปิดทางของตนเอง ขบคิดเนิ่นนานแล้วเอ่ยว่า “ความตั้งใจของซีเอ๋อร์ข้ารู้แล้ว เรื่องที่ซีเอ๋อร์เป็นลูกอนุข้าก็เพิ่งได้ยินมาเช่นกัน จวิ้นเอ๋อร์ยังไม่ได้รับตำแหน่งประมุขสกุล ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางแก้ไขเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ยังต้องหารือกับนายท่านใหญ่และคุณชายรองก่อน ซีเอ๋อร์ใจเย็นๆ ก่อนเถอะ รอจวิ้นเอ๋อร์ฟื้นแล้วค่อยคุยกันอีกครั้ง ซีเอ๋อร์จำไว้ว่าตราบใดที่จวิ้นเอ๋อร์ยังไม่เขียนหนังสือหย่าให้เจ้า เจ้าก็ยังเป็นลูกสะใภ้สกุลเซียว จะดูถูกตนเองไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไม่อาจทำผิดกฎธรรมเนียม”

จิ้งจอกเฒ่า! ฟังเหล่าไท่จวินพูดแล้ว หลี่เมิ่งซีก็ลอบด่าในใจ ตอนนี้นางอยากจะซ้อมยายแก่ที่ปากไม่ตรงกับใจผู้นี้ให้หนักจริงๆ เพื่อผลประโยชน์ของสกุลแล้ว เหล่าไท่จวินเป็นคนแรกที่ยอมรับนางไม่ได้ ทว่าตอนนี้เห็นหลานชายยังไม่ฟื้น ด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาจึงพูดจาวกวนกับนาง

หลี่เมิ่งซีรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าหากยังรอให้เซียวจวิ้นฟื้นขึ้นมา การออกจากคฤหาสน์จะยิ่งยุ่งแน่ ฉวยโอกาสตอนที่เขายังไม่ฟื้นโน้มน้าวเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ให้ปล่อยนางออกจากคฤหาสน์จะดีกว่า ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว หลี่เมิ่งซีก็ตัดสินใจหนึ่งไม่ทำสองไม่เลิกรา นางพูดกับเหล่าไท่จวินต่อ “เหล่าไท่จวิน ต่อให้คุณชายรองไม่รับตำแหน่งประมุขสกุล แต่เมิ่งซีคิดว่าเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ก็คงไม่มอบกิจการของบรรพบุรุษสกุลเซียวให้คนที่ไม่เหมาะสม คุณชายรองเป็นตัวเลือกเดียวที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ ช้าเร็วย่อมต้องรับตำแหน่ง ในเมื่อถูกกำหนดแล้วว่าไม่อาจเป็นสามีภรรยากันได้ เมิ่งซีก็ยินดียุติความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด สนับสนุนให้คุณชายรองรับสืบทอดกิจการของสกุล ทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อคุณชายรองและคิดเผื่อสกุลเซียว หวังว่าเหล่าไท่จวินจะเห็นแก่ที่หลี่เมิ่งซีทุ่มเทคิดเผื่อสกุลเซียว สงเคราะห์เมิ่งซีด้วยเถอะเจ้าค่ะ แม้คุณชายรองเป็นลมไม่ได้สติจนมิอาจเขียนหนังสือหย่าได้ แต่เมิ่งซียินดีเขียนหนังสือรับรองฉบับหนึ่ง ยอมรับว่าตนเองเป็นหญิงที่ถูกสกุลเซียวหย่า วันนี้ออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว วันหน้าหากคุณชายรองแต่งงานใหม่ย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับเมิ่งซี!”

คำพูดของหลี่เมิ่งซีหมายความว่า ช้าเร็วเซียวจวิ้นก็ต้องรับตำแหน่งประมุขสกุล พวกเจ้าสกุลเซียวอย่าเอาเรื่องที่เขายังไม่ได้รับตำแหน่งมาเป็นข้ออ้างเลย สิ้นเปลืองเวลาของข้าเปล่าๆ วันนี้ต่อให้ไม่มีหนังสือหย่าข้าก็จะไป เรื่องนี้ข้ากระจ่างแจ้งนานแล้ว ให้รอหนังสือหย่าหรือ ไม่รู้เมื่อไรถึงจะได้!

ดังนั้นนางจึงใช้รูปแบบการหย่าในยุคปัจจุบัน เจ้าไม่หย่าข้า ข้าเป็นฝ่ายหย่าเจ้าเองก็แล้วกัน ถึงอย่างไรก็ยังไว้หน้าสกุลเซียวอยู่บ้าง นางไม่กล้าบอกว่าที่ตนเองเขียนคือหนังสือหย่า ได้แต่เรียกว่าหนังสือรับรอง

เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ฟังคำของหลี่เมิ่งซีแล้วก็มองหน้ากันพลางส่ายหน้า ขืนทำตามที่หลี่เมิ่งซีบอกให้นางเขียนหนังสือรับรองและปล่อยนางออกจากคฤหาสน์ไป เช่นนั้นสกุลเซียวคงไม่มีหน้าอยู่ในผิงหยางต่อไปอีกแล้ว นั่นใช่สกุลเซียวหย่าภรรยาเสียที่ไหน เห็นชัดว่าเป็นภรรยาหย่าสามีต่างหาก!

มองหลี่เมิ่งซีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเหมือนจะนอบน้อม แต่คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำกลับเป็นการท้าทายอำนาจอันสูงสุดของสกุลเซียว เห็นแววตาเรียบเฉยของหลี่เมิ่งซีแล้ว เหล่าไท่จวินพลันเดือดดาลขึ้นมา อยากเรียกคนเข้ามาฆ่านางเสียเหลือเกิน!

โปรดติดตามตอนต่อไป….

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: