บทที่ 2
เหล่าไท่จวินเงยหน้ามองหลานชายที่ยังไม่ได้สติ อ้าปากอยู่หลายหน สุดท้ายก็ข่มความวู่วามไม่ได้เรียกคนเข้ามา นางยังคงเชื่อว่าเวลาจวิ้นเอ๋อร์ป่วยหรือมีเคราะห์ ขอเพียงมีหลี่เมิ่งซีอยู่ข้างกายจวิ้นเอ๋อร์จะต้องเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีแน่
หรี่ตาทั้งสองข้างมองหลี่เมิ่งซีแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการยั่วโทสะตนเท่านั้น สายตาค่อยๆ เยียบเย็นขึ้น หลี่เมิ่งซีไม่กลัวจริงๆ หรือว่าตนโมโหขึ้นมาจะใช้กฎบ้านกับนางก่อนแล้วค่อยหย่านาง? แค่บุตรสาวพ่อค้าตัวเล็กๆ คนหนึ่ง นางมีสิ่งใดให้พึ่งพาหลังจากออกไปจากที่นี่อย่างนั้นหรือ ถึงกับกล้ากำแหงในคฤหาสน์สกุลเซียวเช่นนี้!
เนิ่นนานผ่านไปจึงได้ยินนายท่านใหญ่เอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์อย่าพูดเหลวไหล ข้าเซียวเฉินท่องคัมภีร์นักปราชญ์มาแต่เล็ก กระจ่างแจ้งในหลักการต่างๆ ดี แล้วจะหลงลืมกฎธรรมเนียมของบรรพบุรุษและคำสอนของนักปราชญ์ กระทำเรื่องที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมเช่นนี้ได้อย่างไร เห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อยไม่รู้ความ ข้าจะยังไม่เอาความชั่วคราว วันหน้าซีเอ๋อร์อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก!”
คำพูดของนายท่านใหญ่ก้องกังวานทรงพลัง ทั้งยังมีความน่าเกรงขาม ทุกคนในห้องฟังคำพูดนี้ต่างรู้ว่านายท่านใหญ่โกรธแล้ว แต่ละคนเงียบกริบ ซื่อฮว่าส่งสายตาบอกให้สาวใช้รุ่นเล็กทั้งหลายถอยออกไปเงียบๆ
หงจูมองสะใภ้รองที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าประหม่า นางอยากเข้าไปโขกศีรษะให้สะใภ้รองสักสองทีเหลือเกินและขอร้องนางว่า ท่านพูดให้น้อยลงหน่อยเถอะ
แต่หลี่เมิ่งซีกลับไม่กลัวตาย นางรู้ว่าหากพลาดโอกาสในวันนี้ไปแล้วจะหาโอกาสเช่นนี้อีกสักครั้งย่อมยาก ทั้งที่รู้ว่านายท่านใหญ่โมโหแล้ว แต่นางยังคงพูดต่ออย่างไม่ละความพยายาม “เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่…”
หลี่เมิ่งซีกำลังจะโต้แย้งต่อก็เห็นสาวใช้เข้ามารายงานว่านายหญิงใหญ่กับแม่นางซิ่วมา
หงจูได้ยินแล้วพรูลมหายใจยาว
นายท่านใหญ่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์อย่าพูดอีกเลย หงจู ประคองสะใภ้รองลุกขึ้น!”
หงจูกับจือซย่าก้าวเข้าไปฝืนดึงหลี่เมิ่งซีให้ลุกขึ้น แล้วพาไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง
สวรรค์ ท่านไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว! ส่งข้ามาอยู่ในยุคโบราณที่กันดารเช่นนี้ แต่ก่อนไร้เงินไร้อำนาจก็แล้วไปเถอะ ยามนี้มีเงินมีอำนาจแล้ว ไฉนจึงไม่ยอมให้ข้าออกจากคฤหาสน์อีก ภาษิตว่าลมฝนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเสมอ เหตุใดจึงเวียนมาไม่ถึงตาข้าบ้าง! หลี่เมิ่งซีที่ถูกดึงตัวขึ้นมานั้นยามนี้ในใจเต็มไปด้วยโทสะที่ไร้ชื่อ
เพิ่งจะนั่งลงนายหญิงใหญ่ก็เดินเข้ามาท่ามกลางการห้อมล้อมของกลุ่มคน ใบหน้านางขาวซีด สีหน้าอิดโรย กระทั่งเดินยังดูหอบหายใจ เป่าจูกับจื่อเยวี่ยคอยประคองอย่างระมัดระวัง จางซิ่วตามอยู่ด้านข้าง สองตาแดงเรื่อ คงเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
หลี่เมิ่งซีจะลุกขึ้นคารวะโดยสัญชาตญาณ แต่พลันบังเกิดความคิด ในคฤหาสน์สกุลเซียวแห่งนี้มีแต่นายหญิงใหญ่กับจางซิ่วที่สนับสนุนให้นางจากไป มิสู้ใช้โอกาสนี้เติมเชื้อไฟเสียเลย ช่วยพวกนางผลักดันสักหน่อย หากนายหญิงใหญ่วู่วามย่อมยัดเยียดข้อหาไม่นอบน้อมบิดามารดาให้นางและหย่านางซะ
ด้วยคิดเช่นนี้ หลี่เมิ่งซีจึงนั่งนิ่งอย่างสง่างาม ปล่อยให้หงจูกับจือซย่าร้อนใจอยู่ด้านข้าง ตนเองทำตัวมิต่างจากพระพุทธรูป
นายหญิงใหญ่คารวะเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่แล้วก็หันไปเห็นว่าหลี่เมิ่งซียังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ สีหน้านางพลันเยียบเย็น สายตากวาดมองบุตรชายที่นอนอยู่บนเตียง ในใจก็ยิ่งทุกข์ตรม รู้สึกเหมือนตนเองเลี้ยงดูบุตรชายจบเติบใหญ่อย่างลำบากยากเย็น แต่กลับถูกหญิงผู้นี้แย่งชิงไป
หากมิใช่เพราะหลี่เมิ่งซี จวิ้นเอ๋อร์จะไม่ยอมเป็นประมุขสกุลได้อย่างไร มิใช่เพราะนาง จวิ้นเอ๋อร์จะล่วงเกินเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่จนถูกลงโทษและหมดสติไปได้อย่างไร เห็นหลี่เมิ่งซีไร้มารยาทเช่นนี้ก็อยากถลกหนังกินเนื้อนาง เผากระดูกแล้วเอาเถ้าไปโปรยทิ้งเสียเหลือเกิน กำลังจะตำหนิก็ได้ยินเสียงของเหล่าไท่จวินลอยมา “ลูกสะใภ้ไม่แข็งแรงจะมาที่นี่ทำไมเล่า อย่ามัวยืนอยู่เลย หงจู ยกเก้าอี้ให้นายหญิงใหญ่”
เหล่าไท่จวินเห็นหลี่เมิ่งซีเสียมารยาทเช่นกัน นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่ตนกับนายท่านใหญ่เข้ามาหลี่เมิ่งซีก็ไม่ได้ลุกขึ้นต้อนรับเช่นกัน จากนิสัยปกติของนางแล้วไม่มีทางทำผิดกฎธรรมเนียมเช่นนี้แน่ คงจะมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตั้งใจออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วถึงได้ทำเช่นนี้
ยามนี้เหล่าไท่จวินรู้สึกว่าหลี่เมิ่งซีเอาแต่ใจเกินไปหน่อย แต่ด้วยคิดว่าการหย่าเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เซียวจวิ้นยังไม่ฟื้นจึงไม่สะดวกจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ ช้าเร็วค่อยสั่งสอนหลี่เมิ่งซีก็ได้ ยังไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น ครั้นเห็นนายหญิงใหญ่หน้าเปลี่ยนสีก็รู้ว่านางเกลียดหลี่เมิ่งซี เกรงว่าลูกสะใภ้ที่ไม่รู้หนักเบาผู้นี้จะวู่วาม เหล่าไท่จวินจึงชิงเอ่ยปากเสียก่อน
“ทำให้เหล่าไท่จวินเป็นห่วงแล้ว ลูกสะใภ้ได้ยินว่าจวิ้นเอ๋อร์เป็นลมอยู่ในศาลบรรพชน รู้สึกไม่วางใจจึงรีบมาดู จวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” นายหญิงใหญ่พูดพลางให้เป่าจูประคองไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง
เห็นลูกชายที่ไม่ได้สติ หัวใจก็เจ็บปวดนัก นางยื่นมือไปแตะหน้าผากที่ร้อนผ่าวของเขา ครั้นเห็นแขนขาทั้งสี่ของเขาแข็งทื่อและกระตุกเป็นพักๆ ท่าทางไม่เหมือนกับเป็นลมเพราะคุกเข่านานเกินไป นางก็ตกใจ น้ำตาพรั่งพรูออกมา ไหนเลยจะจำเรื่องที่หลี่เมิ่งซีไร้มารยาทได้อีก
“ลูกแม่ ไฉนอยู่ดีๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า ข้าอายุสี่สิบกว่าแล้ว มีลูกอกตัญญูอย่างเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้ายังทำให้แม่เป็นกังวลถึงเพียงนี้อีกหรือ หากเจ้าเป็นอะไรไปจะให้ข้าพึ่งพาใครได้…”
นายหญิงใหญ่ร้องไห้พลางมองนายท่านใหญ่อย่างขุ่นเคือง นายท่านใหญ่ฟังคำพูดนี้แล้วใบหน้าก็ซีดเผือดไปเช่นกัน เขาลอบตำหนิตนเองว่าสะเพร่า เมื่อวานลืมไปว่ามือของลูกชายมีแผลอยู่ ไม่ทันได้ทำแผลก็ลงโทษให้เขาไปคุกเข่าแล้ว
“ลูกสะใภ้อย่าเสียใจนักเลย จวิ้นเอ๋อร์แค่มีแผลที่มือเท่านั้น เมื่อครู่ซีเอ๋อร์จัดการให้แล้ว ทั้งยังกินยาแล้วด้วย ตอนนี้จวิ้นเอ๋อร์เริ่มมีเหงื่อออกมาแล้ว คิดว่าคงไม่เป็นไรแล้วล่ะ ช่วงนี้ลูกสะใภ้ร่างกายไม่แข็งแรง อย่าได้เหนื่อยใจเช่นนี้อีกเลย”
ได้ยินเหล่าไท่จวินพูดถึงหลี่เมิ่งซี นายหญิงใหญ่ก็หันไปมองลูกสะใภ้ และเห็นสายตาที่นางมองมาพอดี ครั้นเห็นสีหน้าเรียบเฉยของหลี่เมิ่งซีแล้ว หันไปมองจางซิ่วที่ร้องไห้จนตาบวมแดง ตนก็อดโมโหในความเย็นชาไร้หัวใจของนางไม่ได้ จวิ้นเอ๋อร์เป็นเช่นนี้เพราะนาง ทว่านางกลับทำตัวราวกับเป็นคนนอก ไม่เป็นห่วงสามีเลยแม้แต่น้อย คิดถึงความไร้มารยาทของนางเมื่อครู่นี้แล้ว ฟันก็ขบกันจนดังกึกๆ จ้องหลี่เมิ่งซีด้วยความขุ่นแค้น แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เวลานี้เองสาวใช้คนหนึ่งก็เข้ามารายงาน “เรียนเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ สะใภ้รอง ยาต้มเสร็จแล้ว จะประคบขาให้คุณชายรองตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
“ยา? ประคบขา?” เหล่าไท่จวินทวนคำพูดอย่างงุนงง
หงจูเห็นเหล่าไท่จวินถามจึงรีบก้าวขึ้นมาตอบ “เรียนเหล่าไท่จวิน เป็นคำสั่งของสะใภ้รองเจ้าค่ะ บอกว่าคุณชายรองคุกเข่าอยู่ในศาลบรรพชนหนึ่งวันหนึ่งคืน ไอเย็นแทรกเข้าสู่ขาแล้ว หากไม่รีบขับออกมาจะทิ้งโรคเรื้อรังไว้ได้ วันหน้าเมื่อเจออากาศชื้นหรือฝนตกก็จะปวดขา จึงสั่งให้บ่าวต้มยาเพื่อประคบขาให้คุณชายรองเจ้าค่ะ”
ฟังหงจูอธิบายแล้ว ทุกคนต่างมองหลี่เมิ่งซี เหล่าไท่จวินถามอย่างไม่เข้าใจ “เรื่องนี้ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ซีเอ๋อร์รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร มีตัวยาอะไรบ้าง แล้วใช้ได้ผลแน่หรือ”
หลี่เมิ่งซีเห็นนายหญิงใหญ่ไม่หาเรื่องตน นางจึงรู้สึกผิดหวัง ครั้นได้ยินเหล่าไท่จวินถามจึงบังเกิดความคิดและตอบว่า “เรียนเหล่าไท่จวิน เมิ่งซีแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลเซียว เนื่องจากอายุน้อยไม่รู้ความมักทำผิดกฎธรรมเนียมของสกุลอยู่บ่อยๆ ทำให้นายหญิงใหญ่โมโหและถูกลงโทษให้คุกเข่า นานวันเข้าพออากาศชื้นจะปวดขา จึงสั่งให้จือชิวไปซื้อยาที่ร้านยาอี๋ชุน หลงจู๊ร้านยาอี๋ชุนเป็นคนจิตใจดี มอบตำรับยาให้จือชิวและบอกว่าให้ใช้ยานี้ประคบขา สามารถรักษาอาการปวดได้เป็นปลิดทิ้ง เมิ่งซีใช้หลายครั้งแล้วได้ผลดีจริงๆ จึงจดจำไว้ วันนี้เห็นคุณชายรองถูกลงโทษจึงคิดถึงตำรับยานี้ขึ้นมา เมื่อครู่มัวแต่ห่วงแผลที่มือของคุณชายรองจึงลืมรายงานเหล่าไท่จวินเรื่องนี้ไป ขอเหล่าไท่จวินโปรดอภัยด้วย นี่เป็นตำรับยาที่ให้เอาไปต้มเมื่อครู่นี้ เชิญเหล่าไท่จวินตรวจดู ใช้ได้หรือไม่ต้องขอให้เหล่าไท่จวินเป็นผู้วินิจฉัยด้วยเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีพูดจบก็รับตำรับยาจากมือจือซย่ามาส่งให้
ซื่อฮว่าเข้ามารับไปและส่งให้เหล่าไท่จวิน
บรรยากาศหนักอึ้งในห้องถูกคำพูดไม่กี่คำของหลี่เมิ่งซีกดดันจนตึงเครียด ชวนให้คนหายใจไม่ออกยิ่งนัก พวกข้ารับใช้ต่างกลั้นหายใจ เป่าจูกับจื่อเยวี่ยตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ สะใภ้รองผู้นี้ไปกินดีหมีมาหรือไร ถึงกับกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับนายหญิงใหญ่อย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นางคิดจริงๆ หรือว่าคุณชายรองรักใคร่นางแล้ว ในคฤหาสน์นี้จะไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง
ใบหน้าของนายหญิงใหญ่ที่เดิมทีขาวซีดบัดนี้ยิ่งไม่หลงเหลือเลือดฝาด เรื่องพวกนี้นางทำลับหลังคนอื่น แต่กลับถูกหลี่เมิ่งซีเปิดโปงด้วยท่าทีเหมือนไม่ตั้งใจ นางหันไปมองนายท่านใหญ่อย่างร้อนตัว เห็นเขากำลังมองนางด้วยสีหน้าตำหนิก็อดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้ กลืนคำพูดที่จะตำหนิหลี่เมิ่งซีกลับลงไปทันที ตำหนิหลี่เมิ่งซีตอนนี้ยิ่งจะทำให้นายท่านใหญ่คิดว่านางเขินอายจนกลายเป็นโกรธ ทำให้หมดใจต่อนางไป ชีวิตในคฤหาสน์ตลอดหลายปีมานี้ทำให้นางตระหนักว่าสตรีหากสูญเสียความรักใคร่จากสามีไป ชีวิตที่เหลือย่อมอ้างว้างเกินบรรยาย
นายท่านใหญ่ฟังคำพูดหลี่เมิ่งซีแล้วก็ตกใจเช่นกัน นางแต่งเข้าสกุลมาสองปี ปรนนิบัติพ่อแม่สามีทุกเช้าเย็นไม่ขาด กิริยาท่าทางสง่างาม รู้กาลเทศะ เขาเห็นทุกอย่างกับตาตนเอง แล้วหลี่เมิ่งซีจะทำผิดกฎธรรมเนียมบ่อยๆ จนถูกลงโทษได้อย่างไร ครั้นคิดว่าจางซื่อก็บ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าถูกรังแกลับหลัง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมดใจกับนายหญิงใหญ่
ความรู้สึกละอายที่มีต่อนายหญิงใหญ่เพราะตนเองรักใคร่และตามใจจางซื่อหายไปไม่มีเหลือ นายท่านใหญ่มองนางด้วยสายตาตำหนิ เห็นนางหลบสายตาเขาก็ยิ่งแน่ใจว่าคำพูดของหลี่เมิ่งซีเมื่อครู่นี้จริงแท้แน่นอน แต่อย่างไรก็เป็นภรรยาของตน ทั้งยังเป็นนายหญิงใหญ่ของบ้านย่อมมิอาจหักหน้านางต่อหน้าผู้อื่น เขาได้แต่นั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงนั้นและยกชาขึ้นจิบ
เหล่าไท่จวินฟังคำพูดนี้แล้วยิ่งตระหนก นางเคยได้ยินมาว่านายหญิงใหญ่กลั่นแกล้งหลี่เมิ่งซีลับหลัง แต่คิดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ สองปีมานี้หลี่เมิ่งซีไม่เคยพูดถึงเลยสักคำ เดิมทียังขุ่นเคืองที่นางไร้มารยาท บัดนี้กลับบังเกิดความละอายเสียมากกว่า
เห็นลูกชายกับลูกสะใภ้ต่างไม่พูดอะไร เหล่าไท่จวินเองก็รู้ว่าตอนนี้มิใช่เวลามาหาความกับเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ไม่อาจหักหน้าลูกสะใภ้ต่อหน้าข้ารับใช้ได้ เหลือบมองตำรับยาในมือและเอ่ยว่า “ในเมื่อซีเอ๋อร์บอกว่าตำรับยานี้มีประโยชน์ ลองประคบให้จวิ้นเอ๋อร์ดูก็แล้วกัน”
ได้ยินเหล่าไท่จวินเอ่ยปาก ข้ารับใช้ต่างพรูลมหายใจยาวออกมา หงจูไปร้องเรียกที่หน้าประตู บ่าวหญิงสูงวัยสองคนก็ยกถังน้ำที่มีไอร้อนอบอวลเดินเข้ามา พวกจางซิ่วรีบหลีกทางให้
เห็นหงจูมองมาที่ตน หลี่เมิ่งซีลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเดินช้าๆ ไปที่หน้าเตียง เลิกผ้าห่มของเซียวจวิ้นและม้วนขากางเกงเขาขึ้น พอเห็นขาของเขาแล้ว หลี่เมิ่งซีที่สุขุมมาตลอดก็ยังสูดหายใจด้วยความตระหนก น่องทั้งสองข้างของเซียวจวิ้นบวมมาก หนากว่าต้นขาเสียอีก ผิวถูกขยายจนตึง หัวเข่าทั้งสองข้างเป็นรอยช้ำเขียว
นายหญิงใหญ่เหลือบมองแวบหนึ่งแล้วร้องว่า “ลูกแม่” นางพูดอะไรไม่ออกอีก น้ำตาร่วงดุจสายฝน จางซิ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างปาดน้ำตาเช่นกัน แม้แต่เหล่าไท่จวินยังอดหลั่งน้ำตาไม่ได้
นายท่านใหญ่เห็นแล้วก็ตีหน้าบึ้งตึง กล้ามเนื้อที่แก้มกระตุกไม่หยุด
หลี่เมิ่งซียื่นมือไปรับผ้าร้อนที่บ่าวหญิงสูงวัยส่งให้ ประคบลงบนหัวเข่าเซียวจวิ้นเบาๆ
ระหว่างนั้นสาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าหมอมาถึงแล้ว
เหล่าไท่จวินรีบบอกให้ทุกคนหลบไป เหลือไว้เพียงนางกับนายท่านใหญ่ เหล่าไท่จวินให้ซื่อฮว่าประคองลุกขึ้น นางสละพื้นที่ข้างเตียงและไปนั่งลงข้างโต๊ะแทน จากนั้นค่อยส่งสัญญาณให้เชิญหมอเข้ามา
เพียงครู่เดียว บ่าวหญิงสูงวัยคนหนึ่งเดินนำหมอเข้ามา ทักทายไม่กี่คำก็เชิญนั่งและยกน้ำชา หมอนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ฟังนายท่านใหญ่เล่าถึงอาการของคุณชายรองคร่าวๆ ตรวจแผลและอาการอื่นๆ ของคุณชายรองอย่างละเอียด เสร็จแล้วจึงจับชีพจรให้ จับชีพจรเสร็จกำลังจะวางแขนของคุณชายรอง กลับถูกคุณชายรองคว้าไว้และพึมพำ “ซีเอ๋อร์อย่าไป ข้าตายก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าไป…”
ได้ยินเช่นนี้หลายคนในห้องต่างตกใจ นายท่านใหญ่ลุกพรวดขึ้นมา เดินไปข้างเตียงมองอย่างละเอียด เซียวจวิ้นยังคงหลับตาไม่ฟื้น ที่แท้เป็นเพราะมีไข้สูงจนเพ้อไปนี่เอง
หมอกำลังกัดฟันออกแรงดึงแขนของตนเองออก เขายื้อยุดจนหน้าแดงหูแดง เห็นนายท่านใหญ่เข้ามาก็มองเขาด้วยสีหน้าประหลาด
ยามนี้นายท่านใหญ่รู้สึกสองหูร้อนผ่าว เขาตบตัวเซียวจวิ้นเบาๆ และปลอบโยนเสียงค่อย “จวิ้นเอ๋อร์ปล่อยมือเถอะ ซีเอ๋อร์ไม่ไปไหนหรอก ซีเอ๋อร์แค่ไปเอายามาให้เจ้าเท่านั้น”
นานครู่ใหญ่กว่าเซียวจวิ้นจะค่อยๆ คลายมือ พอพ้นจากเซียวจวิ้นมาได้ หมอก็ออกแรงสะบัดแขน เห็นข้อมือหมอที่ถูกบีบจนแดงแล้ว นายท่านใหญ่พลันรู้สึกผิดเล็กน้อย เขากลับไปนั่งที่และสบตากับเหล่าไท่จวิน ทั้งสองต่างก็ส่ายศีรษะ
คิดว่าหมอคงกลัวเช่นกัน พอลุกขึ้นได้ก็ยืนห่างจากเตียงไปเสียไกล ไม่ยอมนั่งลงอีก
หงจูเห็นเช่นนั้นก็รีบยกเก้าอี้เข้ามาให้ หมอจึงนั่งลงอีกครั้ง แล้วพูดถึงอาการของคุณชายรองกับเหล่าไท่จวินและนายท่านใหญ่ เป็นเพราะเกิดแผลแล้วไม่จัดการในทันทีจึงมีอาการอักเสบ ทำให้เป็นไข้ นอกจากนี้ยังเอ่ยชมอย่างถูกจังหวะ บอกว่าโชคดีที่คฤหาสน์สกุลเซียวช่วยเหลือได้ทันท่วงที หาไม่แล้วคุณชายรองเป็นไข้สูงนานขนาดนี้ ผลที่ตามมาคงยากจะคาดเดา ทั้งยังเล่าว่าเขาเคยตรวจรักษาคนไข้อยู่รายหนึ่ง เป็นไข้อยู่สองวัน สุดท้ายแม้โรคจะหายดีแล้ว แต่กลับกลายเป็นคนปัญญาอ่อน…
ฟังคำพูดของหมอแล้ว เหล่าไท่จวินและนายท่านใหญ่ก็อดนึกหวาดกลัวภายหลังไม่ได้ แอบขอบคุณหลี่เมิ่งซีในใจ โดยเฉพาะเหล่าไท่จวิน ยามนี้ก็ยิ่งเชื่อว่าหลี่เมิ่งซีเป็นผู้อุปถัมภ์ ตราบใดที่มีนางอยู่ เซียวจวิ้นต้องปลอดภัยแน่ ลอบคิดในใจว่าทำอย่างไรถึงจะเก็บนางไว้ในคฤหาสน์สกุลเซียวต่อไปได้หลังจากหย่านางแล้ว
หมอสั่งยาและพูดถึงข้อควรระวัง รับรองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าคุณชายรองร่างกายแข็งแรง ครั้งนี้เป็นแผลเล็กน้อยเท่านั้น พักผ่อนแปดวันสิบวันจะต้องหายดีแน่นอน
ได้ยินหมอพูดเช่นนี้ เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ต่างผงกศีรษะอย่างวางใจ
เห็นเหล่าไท่จวินผงกศีรษะ หมอก็เอ่ยคำพูดมงคลทำนองว่าเหล่าไท่จวินเปี่ยมด้วยบุญบารมี จากนั้นจึงลุกขึ้นขอตัว
เพิ่งจะลุกขึ้น เหล่าไท่จวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางเอ่ยว่า “ช้าก่อนท่านหมอ ข้ามีตำรับยาอยู่ ต้มน้ำและใช้ประคบขาให้จวิ้นเอ๋อร์ เห็นว่าช่วยขจัดไอเย็นได้ ท่านหมอช่วยดูให้ทีว่ามีผลเสียอะไรหรือไม่”
หมอรับตำรับยามาจากซื่อฮว่า เหลือบมองแวบหนึ่งก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจ เขาหมุนตัวกลับไปนั่งลงและพิจารณาอย่างละเอียด เนิ่นนานจึงได้ยินหมอเอ่ยว่า “ตำรับยาดี ตำรับยาดี ข้าเป็นหมอมาหลายปี ตรวจรักษาคนไข้ที่ถูกลมหนาวสมัยวัยเยาว์จนปวดขาเวลาแก่ตัวมามาก ขบคิดอยู่หลายปีก็ยังไม่ได้ตำรับยาที่ดีเช่นนี้ ได้แต่สั่งยาบรรเทาอาการปวดให้ แต่กลับมิอาจรักษาอาการที่ต้นตอ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นตำรับยาที่ดีเช่นนี้ สวรรค์เมตตาข้าจริงๆ ไม่ทราบว่าเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ได้ตำรับยานี้มาจากที่ใด มอบให้ผู้น้อยได้หรือไม่ ชีวิตนี้ผู้น้อยจะซาบซึ้งใจไม่สิ้นสุด”
เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ฟังคำพูดหมอแล้วก็ประหลาดใจยิ่งนัก ต่างไม่เข้าใจว่าร้านยาอี๋ชุนที่หยิ่งยโสถึงเพียงนั้น แม้แต่ยามที่นายท่านใหญ่กับคุณชายรองไปยังไม่ต้อนรับ แล้วจะมอบตำรับยาล้ำค่าเช่นนี้ให้จือชิวง่ายๆ ได้อย่างไร ทั้งสองฉงนใจและส่ายหน้าให้กัน
เห็นหมอจ้องมองพวกตนอย่างกระตือรือร้น เหล่าไท่จวินจึงตอบว่า “ท่านหมอไม่รู้อะไร นี่เป็นตำรับยาที่หลงจู๊หลี่ร้านยาอี๋ชุนมอบให้สาวใช้คนหนึ่ง ได้ยินท่านหมอบอกว่าเป็นตำรับยาดีที่หายาก ช่างน่าละอายยิ่งนัก”
“มิน่าเล่า ตำรับยาดีขนาดนี้ เห็นทีคงมีแต่เซียนปรุงยาเท่านั้นที่เขียนออกมาได้ ทั้งยังมอบให้กับสาวใช้คนหนึ่ง สมกับที่ผู้คนเล่าลือกันบนท้องถนนจริงๆ ร้านยาอี๋ชุนไม่คบหาผู้สูงศักดิ์ แต่ยินดีปัดเป่าความทุกข์ให้ชาวบ้าน เซียนปรุงยาผู้นี้หลักแหล่งไม่แน่นอน น้อยคนที่จะได้พบเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้รับตำรับยาจากเขาเลย เห็นทีสาวใช้ผู้นี้จะเป็นบุคคลที่มีวาสนาคนหนึ่ง!”
ฟังวาจาทอดถอนใจของหมอแล้ว เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ยิ่งแปลกใจกว่าเดิม จะเรียกตัวจือชิวเข้ามาสอบถามทันที ซื่อฮว่าที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยเตือนว่าจือชิวถูกสะใภ้รองไล่ออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว
เหล่าไท่จวินฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ หลี่เมิ่งซีเป็นคนให้ความสำคัญกับมิตรและคุณธรรม จู่ๆ จะไล่บ่าวที่จงรักภักดีอย่างจือชิวออกจากคฤหาสน์ได้อย่างไร ทันใดนั้นเหล่าไท่จวินก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรงขึ้น นางมักรู้สึกราวกับตนพลาดอะไรบางอย่างไป เหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง
หมอเห็นเหล่าไท่จวินใจลอย เขาจึงเอ่ยคำพูดด้วยความเกรงใจอีกสองคำและลุกขึ้นขอตัว
ส่งหมอกลับไปแล้ว กำชับหงจูให้ดูแลคุณชายรองให้ดี เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ก็เข้าไปในห้องโถง นายหญิงใหญ่และคนอื่นๆ รออยู่ที่นั่นแล้ว ทุกคนเข้ามาคารวะและนั่งลงอีกครั้ง เหล่าไท่จวินเล่าสิ่งที่หมอพูดให้ฟังอย่างง่ายๆ สุดท้ายจึงพูดกับหลี่เมิ่งซี “ซีเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจก่อนเถอะ ทุกเรื่องรอให้จวิ้นเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยหารือกัน ถึงเวลานั้นข้าต้องให้คำชี้แจงกับเจ้าแน่ ซีเอ๋อร์ต้องจำไว้ว่าตราบใดที่จวิ้นเอ๋อร์ยังไม่เขียนหนังสือหย่าให้เจ้า เจ้าก็ยังเป็นสะใภ้สกุลเซียว ควรเคร่งครัดในจรรยาสตรี เคารพกฎธรรมเนียม สองวันนี้ปรนนิบัติจวิ้นเอ๋อร์ให้ดี จวิ้นเอ๋อร์คุกเข่ามาหนึ่งวันหนึ่งคืนคงลำบากไม่น้อย เกรงว่าจะเป็นเช่นที่ซีเอ๋อร์ว่าไว้ ขาทั้งสองข้างของจวิ้นเอ๋อร์ได้รับไอเย็น สองวันนี้ซีเอ๋อร์ต้มยาตามตำรับยานั่นประคบขาให้จวิ้นเอ๋อร์แล้วกัน จะได้ไม่ทิ้งโรคเรื้อรังไว้”
นายหญิงใหญ่กับจางซิ่วได้ยินว่าเหล่าไท่จวินยังยอมรับว่าหลี่เมิ่งซีเป็นสะใภ้สกุลเซียวต่างก็ลอบตระหนกในใจ หลี่เมิ่งซีสร้างความวุ่นวายให้สกุลเซียวถึงเพียงนี้แล้ว ไฉนจึงไม่หย่านางอีก!
กำลังจะเอ่ยปากก็เหลือบไปเห็นสายตาเย็นชาเฉียบขาดของนายท่านใหญ่เข้าพอดี นายหญิงใหญ่รีบหุบปากและก้มหน้า
แผนการฉวยโอกาสออกจากคฤหาสน์ตอนเซียวจวิ้นไม่ได้สติของหลี่เมิ่งซีถูกทำลายลงตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เห็นทุกคนไม่พูดอะไร เอาแต่มองมาที่ตน หลี่เมิ่งซีจึงรู้ว่ามิอาจแก้ไขอะไรได้อีก เรื่องจะออกจากคฤหาสน์คงทำได้แค่รอให้เซียวจวิ้นฟื้นขึ้นมาเท่านั้น ประเมินสถานการณ์แล้วจึงเอ่ยว่า “สองวันนี้เมิ่งซีจะดูแลคุณชายรองอย่างเอาใจใส่ เหล่าไท่จวินโปรดวางใจเถอะเจ้าค่ะ”
เหล่าไท่จวินเห็นว่าตนพูดถึงขั้นนี้แล้ว ทว่าหลี่เมิ่งซียังดื้อดึงไม่ยอมแทนตัวว่า ‘หลานสะใภ้’ ไม่มีคำพูดแสดงความเคารพเช่นว่า ‘น้อมรับคำสั่ง’ ในใจจึงรู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่แล้วก็คิดว่านางยังมีประโยชน์ต่อสกุลเซียวอยู่บ้างจึงไม่ตำหนินางอีก หันกลับไปปลอบโยนนายหญิงใหญ่อีกครู่หนึ่ง บอกนางว่าอย่ากังวลเกินไปนัก พักผ่อนอยู่ในเรือนหยั่งซินให้ดี สุดท้ายก็ระบายโทสะที่มีต่อหลี่เมิ่งซีไปที่อี๋เหนียงทั้งหลายของเซียวจวิ้น แม้แต่สาวใช้กับบ่าวหญิงสูงวัยทั้งหลายก็โดนตำหนิไปด้วย สั่งพวกนางให้ปรนนิบัติดูแลเซียวจวิ้นให้ดี อย่าได้ลืมกฎธรรมเนียม จากนั้นจึงให้ทุกคนแยกย้ายกันไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments