บทที่ 4
หงจูไม่รู้จะโน้มน้าวคุณชายรองที่ปักใจกับสะใภ้รองเช่นไรดี ยิ่งไม่กล้าบอกเขาว่าเมื่อครู่นางคุกเข่าในเรือนปีกตะวันออกอยู่นาน โขกศีรษะจนหัวแทบแตก กระทั่งจือซย่ากับจือตงยังทนดูไม่ได้ ช่วยนางขอร้องด้วยอีกแรง แต่สะใภ้รองยังคงไล่นางออกจากเรือนปีกตะวันออกโดยไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย
มองสองคนที่ดื้อรั้นทิฐิถึงเพียงนี้ หงจูก็รู้สึกเศร้าใจ คู่รักที่ดีเช่นนี้กลับถูกโชคชะตากำหนดให้ต้องพรากจากกัน นางฝืนข่มความเศร้าในใจแล้วพูดเสียงค่อย “บ่าวจะให้คนไปรายงานเหล่าไท่จวินเดี๋ยวนี้ โจ๊กจะเย็นแล้ว ถึงอย่างไรคุณชายรองก็ต้องกินสักเล็กน้อยนะเจ้าคะ”
เห็นเซียวจวิ้นไม่พูดจา หงจูจึงผลักประตูออกไปสั่งหงซิ่งให้ไปรายงานที่เรือนโซ่วสี่ จากนั้นสั่งให้คนยกน้ำมาล้างหน้าให้คุณชายรอง สาวใช้สองคนยกเครื่องใช้ในการล้างหน้าเข้ามาแล้ว หงจูปรนนิบัติเซียวจวิ้นล้างหน้า สั่งให้สาวใช้ขยับโต๊ะมาที่ข้างเตียง ระหว่างยุ่งง่วนสาวใช้อีกคนก็เข้ามารายงาน “อี๋เหนียงทั้งสามกับหงอวี้ได้ยินว่าคุณชายรองฟื้นแล้ว จึงมาปรนนิบัติเจ้าค่ะ”
หงจูฟังแล้วมองเซียวจวิ้น เห็นเขาเอนกายบนเตียงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของสาวใช้ ขบคิดดูแล้ว ให้พวกนางเข้ามาโน้มน้าวคุณชายรอง บางทีอาจจะดีขึ้นก็ได้ คิดเช่นนี้จึงพยักหน้ากับสาวใช้
ไม่นานอี๋เหนียงทั้งสามกับหงอวี้ก็เดินตามกันเข้ามา คารวะและทักทายเซียวจวิ้นตามลำดับ
เซียวจวิ้นเห็นแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้พวกนาง
อี๋เหนียงคารวะเสร็จและยืนอยู่สองฝั่ง หวังอี๋เหนียงเห็นหงจูกำลังยุ่งกับการจัดโต๊ะจึงก้าวเข้าไปช่วย
อาหารจัดเรียงเรียบร้อยแล้ว หงจูประคองคุณชายรองมานั่งข้างโต๊ะ ใช้หมอนอิงหนุนไว้ข้างหลัง หวังอี๋เหนียงตักโจ๊กเสร็จแล้วยกไปตรงหน้าคุณชายรอง
ชุ่ยอี๋เหนียงเห็นคุณชายรองใช้มือซ้ายจับช้อนอย่างไม่ถนัดนัก ดวงตากลอกไปมาและกวาดมองรอบหนึ่ง เห็นจางอี๋เหนียงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าลังเลจึงชิงก้าวเข้าไป หยิบโจ๊กบนโต๊ะขึ้นมา “มือของคุณชายรองมีแผลไม่สะดวก ให้อนุปรนนิบัติคุณชายรองกินอาหารนะเจ้าคะ!” ชุ่ยอี๋เหนียงพูดพลางยื่นมือไปรับช้อนจากเซียวจวิ้น คิดจะป้อนโจ๊กให้เขาด้วยตนเอง
เพราะความไร้เยื่อใยของหลี่เมิ่งซี ทำให้เซียวจวิ้นหมดความอยากอาหารไปนานแล้ว แต่ก็รู้ว่าไม่กินย่อมไม่ดีต่อร่างกาย กระทั่งฝืนนั่งลงข้างโต๊ะแล้วจึงพบว่ามือขวาถูกพันด้วยผ้าพันแผล จำต้องใช้มือซ้าย ระหว่างหงุดหงิดก็ได้ยินชุ่ยอี๋เหนียงพูด เขาจึงเงยหน้ามองนาง ครั้นเห็นแววตื่นเต้นในส่วนลึกของดวงตาอีกฝ่าย ในใจบังเกิดความขยะแขยง ไม่รู้สึกอยากอาหารอีกต่อไป เขาวางช้อนแล้วพูดว่า “ยกออกไปเถอะ!”
ได้ยินคำพูดนี้แล้วทุกคนต่างตกใจ หันไปมองเซียวจวิ้นพร้อมกัน เห็นเซียวจวิ้นขยับตัวกลับเข้าไปในเตียง เอนกายและหลับตาลง
ชุ่ยอี๋เหนียงร่างกายสะท้าน มือสั่นไปครู่หนึ่ง โจ๊กในชามเกือบจะกระฉอกออกมา ดวงตานางพลันปกคลุมด้วยไอน้ำ พูดเสียงสะอื้น “คุณชายรองหมดสติไปสองวัน ไม่ได้กินทั้งน้ำและข้าว กินสักนิดเถอะเจ้าค่ะ ร่างกายจะได้มีแรง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ร่างกายทำด้วยเหล็กก็ทนไม่ไหวนะเจ้าคะ” ชุ่ยอี๋เหนียงพูดจบพลางมองเซียวจวิ้นด้วยสายตาตำหนิ
เนิ่นนานผ่านไปจึงได้ยินเซียวจวิ้นหลับตาพูดว่า “ร่างกายข้าแข็งแรงดี บอบบางถึงเพียงนั้นเสียที่ไหน อี๋เหนียงทั้งหลายหากปรารถนาดี ขอแค่ให้อยู่ในเรือนอย่างสงบอย่าก่อเรื่องก็พอ ไม่ต้องมาปรนนิบัติทุกวันหรอก พวกเจ้าออกไปเถอะ!”
“คุณชายรองให้อนุปรนนิบัติท่านกินสักนิดเถอะเจ้าค่ะ หลายวันก่อนคุณชายรองเพิ่งถูกลงโทษด้วยกฎบ้าน ต่อให้ฝึกฝนร่างกายมาแข็งแกร่งเพียงใดก็ทนรับความทรมานเช่นนี้ไม่ไหวนะเจ้าคะ”
เซียวจวิ้นพูดอย่างหมดความอดทน “ออกไปเถอะ! ข้าอยากพักผ่อนเงียบๆ สักครู่”
ได้ยินน้ำเสียงของคุณชายรองเต็มไปด้วยความรำคาญ หงจูจึงรีบก้าวเข้าไปรับชามโจ๊กจากมือชุ่ยอี๋เหนียง “คุณชายรองอยากพักผ่อนเงียบๆ อี๋เหนียงทั้งหลายไปรอข้างนอกก่อนเถอะเจ้าค่ะ ถ้าคุณชายรองมีอะไร บ่าวค่อยเชิญอี๋เหนียงเข้ามา”
ชุ่ยอี๋เหนียงเหลือบมองเซียวจวิ้นอีกครั้ง เห็นเขาหลับตาไม่พูดอะไรอีกจึงกัดริมฝีปากแล้วหมุนตัวถอยออกไป เห็นสีหน้าสะใจเมื่อเห็นคนอื่นผิดหวังของจางอี๋เหนียงแล้ว ชุ่ยอี๋เหนียงพลันบังเกิดความแค้นในใจอย่างรุนแรง
อี๋เหนียงทั้งหลายออกไปแล้ว หงจูเหลือบมองคุณชายรองที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง ใจรู้ว่าเวลานี้เกลี้ยกล่อมไปก็ไร้ประโยชน์จึงสั่งให้สาวใช้ยกโต๊ะออกไปก่อน ระหว่างที่ยุ่งง่วนอยู่นั้น สาวใช้คนหนึ่งก็เข้ามารายงาน “เรียนคุณชายรอง เหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่ได้ยินว่าท่านฟื้นแล้วจึงมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
หงจูฟังแล้วเหลือบมองคุณชายรองแวบหนึ่ง เห็นเขายังคงหลับตาจึงวางงานในมือ สั่งให้สาวใช้ยกตั่งนุ่มมาที่ข้างเตียงและเตรียมน้ำชา จากนั้นก็ส่งสาวใช้คนหนึ่งไปรายงานสะใภ้รอง ส่วนตนเองรีบออกไปต้อนรับเหล่าไท่จวิน
ไม่นานสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยกลุ่มหนึ่งก็ห้อมล้อมเหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่เดินเข้ามา พอเข้าประตูมา เหล่าไท่จวินก็พูดเสียงสั่น “ในที่สุดจวิ้นเอ๋อร์ก็ฟื้นแล้ว! ย่าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่…” พูดพลางเดินมาตรงหน้าเตียง ก่อนจะนั่งลงบนตั่งนุ่ม ยื่นมือไปกุมมือเซียวจวิ้นและพิจารณาเขาอย่างละเอียด
เซียวจวิ้นดิ้นรนจะลุกขึ้น ทว่าพยายามอยู่พักใหญ่ก็ยังลุกไม่ไหว หงจูกับหงซิ่งจึงรีบเข้ามาประคองเขาลุกขึ้นนั่ง ใช้หมอนอิงหนุนหลังไว้
เซียวจวิ้นนั่งดีแล้วกำลังจะเอ่ยปากคารวะท่านย่ากับมารดา กลับได้ยินเหล่าไท่จวินพูดว่า “ครั้งนี้จวิ้นเอ๋อร์ลำบากแล้ว เจ้าดูสิ หน้าซูบตอบไปหมด คราวหน้าจวิ้นเอ๋อร์ห้ามเอาแต่ใจเช่นนี้อีกเล่า ทำให้บิดามารดาเจ้าโมโหถึงเพียงนั้น มารดาเจ้านอนซมอยู่ตั้งหลายวัน วันนี้จึงฝืนลุกจากเตียงได้ ข้าแก่แล้ว ไม่มีความปรารถนาใด แค่อยากเห็นลูกหลานเต็มบ้าน ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ทนเห็นจวิ้นเอ๋อร์อาละวาดเช่นนี้ไม่ไหวอีกแล้วหรอกนะ หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้า ข้า…” เหล่าไท่จวินพูดไปพูดมา น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นสะอื้น พูดอะไรไม่ออกอีก
เหล่าไท่จวินสะอื้นไห้เสียแล้ว เซียวจวิ้นเห็นท่านย่าเป็นเช่นนี้ ทั้งยังเหลือบเห็นใบหน้าซีดขาวราวกระดาษของมารดาที่นั่งเช็ดน้ำตาอยู่ตรงนั้น เขาก็รู้สึกเสียใจรีบเอ่ยว่า “จวิ้นเอ๋อร์อกตัญญู ทำให้ท่านย่ากับมารดาเป็นกังวล ตอนนี้จวิ้นเอ๋อร์ฟื้นแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ”
“ครั้งนี้จวิ้นเอ๋อร์เอาแต่ใจเกินไปแล้ว ตำแหน่งประมุขสกุลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ บอกว่าจะไม่เป็นก็ไม่เป็นได้หรือ ทำให้ท่านย่ากับบิดาเจ้าต้องผิดหวัง มารดาเลี้ยงดูอุ้มชูเจ้ามาจนเติบใหญ่ เดิมคิดว่าเจ้าโตขึ้นแล้วจะกตัญญูต่อบิดามารดา สร้างผลงานและสร้างเนื้อสร้างตัว ขยายกิจการของบรรพบุรุษให้รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น ไหนเลยจะคิดว่าจวิ้นเอ๋อร์จะทำเรื่องอกตัญญูเพียงเพื่อสตรีคนหนึ่ง ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาเสียเปล่าอย่างนั้นหรือ” นายหญิงใหญ่พูดพลางซับน้ำตา
ฟังคำพูดมารดาแล้ว เซียวจวิ้นรู้สึกเหมือนในอกอัดแน่นด้วยปุยหลิว ทั้งอึดอัดทั้งพองขยาย คายไม่ออก กดลงไปไม่ได้ ได้แต่นั่งพิงเตียงอยู่อย่างนั้นพูดอะไรไม่ออก
เหล่าไท่จวินได้ยินนายหญิงใหญ่พูดถึงตำแหน่งประมุขสกุล นางก็นึกถึงหลี่เมิ่งซีขึ้นมาได้ กวาดตามองรอบหนึ่งไม่เห็นคนจึงเอ่ยถาม “ซีเอ๋อร์เล่า ไฉนป่านนี้แล้วยังไม่มาปรนนิบัติอีก”
ได้ยินท่านย่าถามถึงหลี่เมิ่งซี ร่างกายเซียวจวิ้นถึงกับสะท้าน ท่านย่ากับมารดามาแล้ว นางเป็นลูกสะใภ้กลับยังไม่มาปรนนิบัติ ย่อมเป็นการขัดคำสั่งบิดามารดา เดิมทีฐานะลูกอนุก็ขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษอยู่แล้ว หากมีความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งบิดามารดาอีก ไม่ว่าตนจะพยายามหรือยืนหยัดอย่างไรก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว!
เงยหน้ามองหงจู เห็นหงจูส่ายหน้าให้เขาอย่างจนใจ หัวใจพลันหนาวเยือก นี่แสดงว่าหลี่เมิ่งซีตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเอาหนังสือหย่าให้ได้ใช่หรือไม่ ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาพยายามอยู่ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เห็นมารดามองหาหลี่เมิ่งซีไปทั่วจึงเอ่ยว่า “ท่านย่า มารดา ซีเอ๋อร์ปรนนิบัติดูแลอยู่ที่นี่โดยไม่ได้พักผ่อนมาสองวันแล้ว พอจวิ้นเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาจึงให้นางกลับเรือนปีกตะวันออก เมื่อครู่จวิ้นเอ๋อร์ไม่ได้ให้คนไปรายงาน นางคงไม่รู้ว่าพวกท่านมา”
เหล่าไท่จวินฟังแล้วก็นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้เอ่ยอะไร นายหญิงใหญ่เห็นลูกชายรักใคร่ลูกสะใภ้เช่นนั้น ทั้งที่เขานอนซมจนลุกไม่ขึ้นก็ยังมิอาจแข็งใจให้นางมาปรนนิบัติ กลับบอกให้นางไปพักผ่อนเสียได้ นายหญิงใหญ่อดรู้สึกโกรธแค้นไม่ได้ ลืมไปว่าลูกชายเพิ่งฟื้น จิตใจไม่อาจได้รับความกระทบกระเทือน ลูกสะใภ้คนนี้เป็นนางจิ้งจอกจริงเชียว วันนี้จะต้องหย่านางให้ได้ หาไม่ช้าเร็วนางต้องสูบเลือดของลูกชายไปจนหมดตัวแน่!
“จวิ้นเอ๋อร์เลอะเลือนจริงๆ จะพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ภาษิตว่าเรื่องทุกอย่างยึดถือความกตัญญูเป็นที่หนึ่ง สะใภ้รองอายุยังน้อย ทั้งไม่ได้ป่วยอะไร จะไม่มาแสดงความกตัญญูต่อหน้าผู้อาวุโสเพียงเพราะเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไรเล่า วันนี้หากมีแค่ข้าก็แล้วไปเถอะ แต่นี่เหล่าไท่จวินก็อยู่ด้วย เจ้าส่งคนไปตามสะใภ้รองมาเถอะ!”
มารดาพูดมีเหตุผล ใช่ว่าเซียวจวิ้นไม่รู้ แต่เขารู้นิสัยดื้อรั้นของหลี่เมิ่งซีดี นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เดิมทีคิดจะกลบเกลื่อนด้วยคำพูดเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่ามารดากลับไม่ยอมเลิกรา ครั้นคิดว่ามารดากับหลี่เมิ่งซีเหมือนน้ำกับไฟ ในใจของเซียวจวิ้นก็เกิดความรู้สึกหมดแรง
แรงทัดทานที่มีอยู่มากมายภายในคฤหาสน์สกุลเซียว เขามั่นใจว่าขอเพียงยืนหยัดย่อมสลายมันไปได้ แต่เมื่อเป็นเรื่องของซีเอ๋อร์ ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรก็ไม่อาจสั่นคลอนหัวใจเย็นชาดวงนั้นได้ เขาเคยทำผิดมาแล้ว ทั้งพยายามแก้ไขอยู่ตลอด ทว่าผ่านมานานขนาดนี้ นางกลับไม่เคยหันมามองดูหัวใจเขาอย่างละเอียดเลยสักครั้ง เผชิญหน้ากับหลี่เมิ่งซีที่ดื้อรั้นและเย็นชาเช่นนี้แล้ว ทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะแบกรับแรงกดดันที่มาจากครอบครัวได้อีก
ฟังคำพูดนายหญิงใหญ่แล้ว หงจูก็ร้องอุทานเรียก ‘มารดา’ อยู่ในใจ นางมองเซียวจวิ้นอย่างทำอะไรไม่ถูก เห็นเขาเอนพิงเตียงด้วยใบหน้าซีดเผือด ชั่วขณะหนึ่งจึงตัดสินใจไม่ได้ ขณะที่ลังเลไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร หงซิ่งก็รับคำและหันหลังเดินออกไปแล้ว
เหล่าไท่จวินเห็นหงซิ่งออกไปก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงสั่งให้สาวใช้ไปตามหมอมา จากนั้นจึงคุยกับเซียวจวิ้นเรื่องสองวันนี้ เขาเพียงแค่เอนกายอยู่บนเตียงรับคำอย่างห่อเหี่ยว
ไม่นานก็เห็นหงซิ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย
เซียวจวิ้นเห็นแล้วหัวใจจมดิ่ง
นายหญิงใหญ่เห็นหงซิ่งเข้ามาก็ถามว่า “สะใภ้รองล่ะ นางทำอะไรอยู่ ไฉนจึงยังไม่มา”
หงซิ่งได้ยินนายหญิงใหญ่ถามก็คุกเข่าลงทันที “เรียนเหล่าไท่จวิน นายหญิงใหญ่ สะใภ้รองบอกว่า…บอกว่านางไม่สบาย ไม่สะดวกมาปรนนิบัติเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ ไม่สบาย? ใครก็ได้!”
นายหญิงใหญ่ได้ยินคำพูดหงซิ่งแล้วก็ผุดลุกขึ้นทันใด เห็นหลี่เมิ่งซีกำแหงเช่นนี้ นางโมโหแล้วจริงๆ อ้าปากร้องเรียกคนจะสั่งให้ไปจับตัวหลี่เมิ่งซีที่เรือนปีกตะวันออก
บ่าวหญิงสูงวัยสองคนรับคำแล้วเลิกม่านเข้ามา คารวะเหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่และยืนรับคำสั่งอยู่ด้านข้าง
ความกำแหงของหลี่เมิ่งซีทำเอาเหล่าไท่จวินโมโหเช่นกัน กำลังจะอาละวาดก็เห็นนายหญิงใหญ่เรียกคนเข้ามา นางจึงไม่พูดอะไร แต่พอเงยหน้าเห็นใบหน้าของเซียวจวิ้นซีดขาวอย่างกะทันหัน ด้วยความตระหนก จึงพูดกับนายหญิงใหญ่ “ลูกสะใภ้ไม่ต้องรีบร้อน นั่งลงค่อยๆ พูดจากันเถอะ”
เห็นเหล่าไท่จวินเอ่ยปาก นายหญิงใหญ่จำใจนั่งลง กำลังจะเอ่ยปากก็เห็นเซียวจวิ้นพยายามจะขยับตัว หงจูเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปประคอง ด้วยการช่วยเหลือของหงจู เซียวจวิ้นพยายามคุกเข่าจากบนเตียง โขกศีรษะให้เหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่
ทั้งสองเห็นแล้วรีบร้องห้าม “จวิ้นเอ๋อร์รีบนอนลงเถอะ อยู่ดีๆ เจ้าทำอะไรของเจ้า มิใช่คนอื่นไกลเสียหน่อย มีอะไรนอนพูดก็ได้”
“ท่านย่า มารดา ซีเอ๋อร์อายุน้อยจึงไม่รู้ความ ขอท่านย่ากับมารดาโปรดเห็นแก่หน้าของจวิ้นเอ๋อร์สักครั้ง อย่าลงโทษซีเอ๋อร์เลย จวิ้นเอ๋อร์โขกศีรษะให้ท่านย่ากับมารดาแล้ว ขอมารดากับท่านย่าสงเคราะห์ด้วยขอรับ”
ยามนี้เหล่าไท่จวินโมโหนิสัยเหิมเกริมเอาแต่ใจของหลี่เมิ่งซีจนกัดฟันไปมา คฤหาสน์สกุลเซียวยังไม่เคยมีใครกล้าเสียมารยาทกับนางเช่นนี้ หากไม่เพราะคำพูดของจิ้งอวิ๋นต้าซือ เกรงว่าจวิ้นเอ๋อร์จะเป็นอะไรไป นางคงส่งคนไปจัดการหลี่เมิ่งซีที่เรือนปีกตะวันออกนานแล้ว ครั้นเห็นว่าหลี่เมิ่งซีเสียมารยาทกับตนต่อหน้าสาวใช้ทั้งเรือน จวิ้นเอ๋อร์ยังจะพูดแทนนางอีก ใบหน้าเหล่าไท่จวินก็บึ้งตึงทันใด
นายหญิงใหญ่เห็นหลี่เมิ่งซีไร้มารยาทเช่นนี้ ลูกชายยังจะปกป้องนางอีก ในใจก็นึกเดือดดาลอยู่นานแล้ว ครั้นเห็นเหล่าไท่จวินใบหน้าบึ้งตึงจึงด่าว่า “ลูกทรพี! ลูกทรพีจริงๆ ข้าไปก่อกรรมชาติไหนมา ถึงได้มีลูกทรพีเช่นเจ้า สะใภ้รองผู้นี้ใช้วิชามารอะไรกันแน่ถึงได้ทำให้เจ้าลุ่มหลงเช่นนี้ ตำแหน่งประมุขสกุลไม่ต้องการก็แล้วไปเถอะ บัดนี้แม้แต่คำว่า ‘กตัญญู’ เจ้าก็ไม่ต้องการแล้ว แม้แต่กฎธรรมเนียมของสกุลสูงศักดิ์ก็ไม่ต้องการ สะใภ้รองแค่ล่วงเกินข้าคนเดียวก็แล้วไปเถอะ ยามนี้แม้แต่ท่านย่าเจ้านางยังไม่เคารพ แล้วเจ้ายังจะพูดแทนนางอีกหรือ ไม่พูดถึงสกุลสูงศักดิ์อย่างพวกเรา เจ้าลองไปถามสกุลเล็กๆ ดูสิ มีลูกชายที่ไหนปกป้องลูกสะใภ้ต่อหน้าผู้อาวุโสบ้าง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้ายังจะสู้หน้าผู้คน สู้หน้านายท่านใหญ่ สู้หน้าบรรพบุรุษสกุลเซียวได้อีกหรือ มิสู้ตายไปเสียดีกว่า!”
นายหญิงใหญ่พูดจบก็ลุกขึ้นโขกศีรษะกับตู้ที่วางอยู่ข้างผนัง ทำเอาเป่าจูกับจื่อเยวี่ยตกใจโผเข้าไปกอดนายหญิงใหญ่พร้อมกัน พวกนางแผดเสียงร้องราวหมูถูกเชือด แต่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง ศีรษะของนายหญิงใหญ่โขกตู้อย่างแรงจนปูดโนเสียแล้ว
เป่าจู จื่อเยวี่ยดึงนายหญิงใหญ่กลับมานั่งที่ คุกเข่าและเอ่ยปากขอร้อง “บ่าวขอร้องนายหญิงใหญ่ โปรดปล่อยวางหน่อยเถอะเจ้าค่ะ คุณชายรองอายุยังน้อย แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะจึงทำเรื่องโง่เขลาไปเช่นนี้ ท่านชี้แนะให้มากหน่อย คุณชายรองจะต้องคิดได้แน่ หากท่านจากไปเช่นนี้จริง เกรงว่าจะทำให้คุณชายรองต้องแบกรับคำกล่าวหาว่าเป็นลูกเนรคุณจริงๆ ชั่วชีวิตนี้ย่อมมิอาจเงยศีรษะขึ้นมาได้อีก บ่าวขอร้องท่านโปรดเห็นแก่เหล่าไท่จวิน เห็นแก่ที่คุณชายรองเป็นลูกชายแท้ๆ ของท่าน อย่าได้ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีกเลยนะเจ้าคะ!”
จื่อเยวี่ยพูดจบก็โขกศีรษะ เป่าจูโขกศีรษะตาม ข้ารับใช้ในเรือนเซียวเซียงไหนเลยจะเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ ต่างคุกเข่าลงกับพื้นทั้งหมด
เซียวจวิ้นเห็นดังนั้นใบหน้าพลันเผือดสี ทว่าก็ยังคงคุกเข่าอยู่บนเตียง เขารู้สึกเพียงหัวสมองมีแต่เสียงดังอื้ออึง เหมือนปุยหลิวท่ามกลางสายลมที่กำลังจะปลิดปลิว ฝืนใช้มือยันพื้นเตียงไว้จึงไม่ล้มลง ปากกลับเปล่งเสียงไม่ออกแม้แต่น้อย ทั้งที่รู้ดีว่าการพูดแทนหลี่เมิ่งซีต่อหน้ามารดาเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด แต่ในใจยังแอบคาดหวัง…หวังว่ามารดาจะเห็นแก่สัมพันธ์แม่ลูก เห็นแก่ที่เขาบาดเจ็บไปทั้งตัวและเพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายยังคงอ่อนแอ คงไม่สร้างความลำบากใจให้เขาในตอนนี้ แต่พอเห็นมารดาบีบคั้นเขาด้วยความตาย หัวใจของเซียวจวิ้นก็หนาวเยือก
นายหญิงใหญ่โขกศีรษะตนเองจนวิงเวียนตาลาย นั่งพักอยู่นานในที่สุดจึงสงบสติอารมณ์ได้ นางรู้สึกเจ็บบริเวณศีรษะที่ปูดขึ้นมา ทว่าอยู่ต่อหน้าสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยมากมายจึงไม่กล้านวดคลึง นั่งฝืนทนอยู่ตรงนั้น ลอบตำหนิสาวใช้สองคนว่าปกติมือไม้ว่องไว พอถึงเวลาสำคัญกลับแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ ปล่อยให้นางชนตู้และเจ็บตัวเช่นนี้ เห็นบุตรชายไม่พูดอะไร นางจึงไม่อาละวาดต่อ เอาแต่นั่งมองเหล่าไท่จวิน
หากเป่าจู จื่อเยวี่ยรู้ว่านายหญิงใหญ่ตำหนิพวกตนจะต้องร้องว่าถูกปรักปรำแน่นอน เดิมทีพวกนางตกใจกับการกระทำของสะใภ้รองและคุณชายรองอยู่แล้ว ย่อมคิดไม่ถึงว่านายหญิงใหญ่จะพุ่งออกไปโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ ยังดีที่พวกนางมือไม้ว่องไว ศีรษะของนายหญิงใหญ่ไม่ถูกกระแทกจนตายก็นับว่าดวงแข็งแล้วจริงๆ
เหล่าไท่จวินเห็นใบหน้าซีดเผือดของเซียวจวิ้นแล้วก็บังเกิดความสงสาร แต่วันนี้ต่อหน้าสาวใช้ทั้งเรือน หลี่เมิ่งซีกลับกล้าไม่เห็นผู้อาวุโสเช่นนางอยู่ในสายตา นับแต่จวิ้นเอ๋อร์หมดสติไป นางก็อดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าหลี่เมิ่งซีกลับบีบคั้นนางทุกฝีก้าว เป็นถึงสกุลสูงศักดิ์จะปล่อยให้บุตรสาวพ่อค้าคนหนึ่งเหิมเกริมเช่นนี้ได้อย่างไร เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางอดทนจนเหลืออดแล้วจริงๆ ตัดสินใจหนึ่งไม่ทำสองไม่เลิกรา วันนี้หากไม่ถลกหนังหลี่เมิ่งซีออกมาสักหนึ่งชั้น เกรงว่าอีกฝ่ายคงจดจำบรรพบุรุษของตนเองไม่ได้แล้ว!
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ อย่าคุกเข่าขวางหูขวางตาอยู่ตรงนี้เลย จวิ้นเอ๋อร์ถูกผีล่อลวงจิตใจแล้วจริงๆ ทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ได้อย่างไร ซีเอ๋อร์ไม่เคารพบิดามารดา จวิ้นเอ๋อร์ไม่รู้จักตักเตือน กลับพูดจาปกป้องนางอีก นี่ใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำเสียที่ไหน อีกทั้งพวกเรายังเป็นสกุลสูงศักดิ์ ซีเอ๋อร์โอหังเพราะถือตนว่าเป็นที่รักใคร่ ไร้มารยาทกับผู้อาวุโส วันนี้หากไม่ลงโทษก็ยากจะทำให้ทุกคนยอมรับได้จริงๆ ใครก็ได้ไปพาตัวสะใภ้รองมา เตรียมกฎบ้าน!”
นายหญิงใหญ่พอได้ยินว่าเหล่าไท่จวินที่ปกติปกป้องหลี่เมิ่งซีมาเสมอกำลังโมโหและจะลงโทษนางด้วยกฎบ้านแล้วดวงตาก็เปล่งประกาย บุตรชายไม่ยอมเป็นประมุขสกุลเพราะหลี่เมิ่งซี ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นหนามทิ่มตำใจตนมาตลอด นายหญิงใหญ่ย่อมบังเกิดความคิดที่จะกำจัดหลี่เมิ่งซีมานานแล้ว ในความเห็นตนต่อให้หลี่เมิ่งซีถูกหย่า แต่ตราบใดนางยังมีชีวิตอยู่ก็ยังยั่วยวนให้บุตรชายตนทำตัวนอกลู่นอกทางอยู่ดี มีเพียงนางตายแล้วเท่านั้น จวิ้นเอ๋อร์ถึงจะสำรวม
เห็นท่าทางของบุตรชายวันนี้แล้ว เซียวจวิ้นไม่ยอมหย่าหลี่เมิ่งซีแน่นอน แม้จะยอมเขียนหนังสือหย่าในตอนท้ายเพราะว่าแรงกดดัน แต่เขาก็ต้องเกลียดนางซึ่งเป็นมารดาแน่ เห็นเหล่าไท่จวินจะลงโทษด้วยกฎบ้านเช่นนี้ จึงนับเป็นโอกาสดีที่หายากจริงๆ มิสู้จัดการให้เด็ดขาดไปเสียเลย ตัดความคิดอันเพ้อฝันของบุตรชายเสีย! คิดเช่นนี้แล้วจึงหันไปส่งสายตากับเป่าจูด้านข้าง
เป่าจูหรือจะไม่เข้าใจ กวาดตามองรอบด้านรอบหนึ่ง ก่อนจะอาศัยจังหวะที่คนไม่สังเกต แอบตามบ่าวหญิงสูงวัยที่รับคำสั่งออกไป
เตรียมกฎบ้าน! เซียวจวิ้นได้ยินสามคำนี้แล้ว หัวใจพลันสั่นสะท้าน ตรงหน้าปรากฏภาพร่างกายอันบอบบางของหลี่เมิ่งซี หากถูกลงโทษด้วยกฎบ้านจริง นางจะไหวหรือ เงยหน้าเห็นประกายแปลกประหลาดในดวงตาของมารดา เขาก็สะดุ้งในใจ ความคิดน่ากลัวอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา มารดาคงไม่คิดจะลอบฆ่าซีเอ๋อร์กระมัง ครั้นเห็นเป่าจูเดินออกไป แผ่นหลังก็มีเหงื่อผุดซึมออกมาชั้นหนึ่ง
เห็นเหล่าไท่จวินสีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาได้ยากก็รู้ว่านางโมโหแล้วจริงๆ เขากัดฟันฝืนข่มความหวาดหวั่นไม่สบายใจเอาไว้ ใช้มือซ้ายที่ไม่บาดเจ็บประคองตัว ก่อนจะโขกศีรษะให้เหล่าไท่จวินและพูดเสียงเรียบ “เป็นเพราะจวิ้นเอ๋อร์อกตัญญู ถูกผีล่อลวงจิตใจจึงพูดผิดไป หากมารดากับท่านย่าโกรธ คนที่ถูกลงโทษด้วยกฎบ้านก็ควรเป็นจวิ้นเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซีเอ๋อร์แต่อย่างใด ด้วยฐานะของซีเอ๋อร์ตอนนี้ไม่เหมาะจะออกมาพบท่านย่ากับมารดาจริงๆ ยิ่งไม่สมควรรับการลงโทษด้วยกฎบ้านของสกุลเซียวเรา ถึงอย่างไรซีเอ๋อร์ก็เป็นผู้มีพระคุณของสกุลเซียว ขอท่านย่าโปรดแยกแยะถูกผิด ไตร่ตรองก่อนลงมือด้วยขอรับ”
“จวิ้นเอ๋อร์อย่าพูดจาเหลวไหล นางเป็นสะใภ้ของสกุลเซียวเรา จวิ้นเอ๋อร์ลืมหลักกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ลืมธรรมเนียมมารยาทของนักปราชญ์ไปหมดแล้วหรือ!” นายหญิงใหญ่ฟังคำพูดบุตรชายแล้ว รู้ว่าเขาจะโต้แย้งแทนหลี่เมิ่งซี อีกฝ่ายเป็นศัตรูในใจนางมานานแล้ว ยามนี้จึงไม่สนใจว่าบุตรชายที่คุกเข่าอยู่บนเตียงจะมีร่างกายอ่อนแอราวใบไม้แห้งที่ต้องลมในฤดูใบไม้ร่วง โงนเงนเหมือนจะล้มลง มิใช่เวลาที่ดีในการสร้างความลำบากใจให้กับเขา แต่นางเลือกที่จะโต้กลับคำพูดของบุตรชายในทันที
“ท่านย่า มารดา ฐานะลูกอนุของซีเอ๋อร์ขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษ ถูกกำหนดแน่นอนแล้วว่าไม่อาจเป็นภรรยาเอกของจวิ้นเอ๋อร์ได้ เมื่อครู่ตอนฟื้นขึ้นมา ลูกตกลงกับนางได้แล้ว แค่รอให้แผลที่มือของจวิ้นเอ๋อร์หายดีเท่านั้นก็จะเขียนหนังสือหย่า และปล่อยนางออกจากคฤหาสน์ไป ดังนั้นซีเอ๋อร์จึงไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นสะใภ้สกุลเซียวอีกแล้ว ย่อมไม่สะดวกจะมาปรนนิบัติ”
“จวิ้นเอ๋อร์อย่าพูดเหลวไหล แม้สกุลเซียวของข้าจะตกลงหย่านาง แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้มอบหนังสือหย่าให้นาง นางก็ยังคงเป็นสะใภ้สกุลเซียวของข้า ควรรักษากฎธรรมเนียมของสกุลเซียว ปฏิบัติตามหลักกตัญญูอย่างเคร่งครัด!”
คำพูดของเซียวจวิ้นเป็นการถอยก้าวใหญ่ ใช้การหย่าภรรยาเป็นเงื่อนไข ขอให้ท่านย่าละเว้นหลี่เมิ่งซีด้วย สำหรับเซียวจวิ้นนี่เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว น่าเสียดายที่นายหญิงใหญ่ไม่ยอมปล่อยโอกาสอันหาได้ยากยิ่งนี้ไป ไม่รอให้เหล่าไท่จวินเอ่ยปากก็ปฏิเสธคำพูดของบุตรชายทันที
หากจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้เซียวจวิ้นยังคิดถึงมารดาอยู่บ้าง ยามนี้เมื่อฟังคำพูดนี้แล้ว เขาก็รู้สึกผิดหวังกับมารดาที่ไม่แยกแยะถูกผิดผู้นี้โดยสิ้นเชิง ครอบครัวเช่นนี้ มารดาเช่นนี้ หลี่เมิ่งซีที่ไร้เยื่อใยเช่นนี้ ทำให้เซียวจวิ้นรู้สึกสิ้นหวังเหลือเกิน
ยามนี้เขาสุขุมผิดปกติ มือซ้ายประคองตัวไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ร่างกายซวนเซก่อนจะนั่งลงบนเตียง หงจูก้าวขึ้นไปประคอง แต่กลับถูกเขาปัดออก ก่อนที่เขาจะเอาแต่จ้องนายหญิงใหญ่เงียบๆ
เป็นครั้งแรกที่นายหญิงใหญ่เห็นบุตรชายมองตนด้วยสายตาเช่นนี้ นางรู้สึกประหม่า แต่แล้วก็คิดถึงความประพฤตินอกลู่นอกทางของบุตรชาย รู้สึกว่าควรอบรมสั่งสอนเขาอย่างจริงจังได้แล้ว นางจึงจ้องตากับบุตรชายตรงๆ สองแม่ลูกเผชิญหน้ากันเช่นนี้ ความกดดันที่มองไม่เห็นค่อยๆ แผ่ออกมา สาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยแต่ละคนตกใจจนเงียบกริบ เสื้อผ้าแนบติดกับร่างกาย
เนิ่นนานเสียงของเซียวจวิ้นเหมือนลอยมาจากถ้ำอันว่างเปล่าที่อยู่ไกลโพ้น ซึ่งแฝงความเยียบเย็นเข้าไปถึงในกระดูก เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “มารดาจะบีบให้จวิ้นเอ๋อร์ตายอย่างนั้นหรือ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments