ตอนที่ 5
กินอาหารเสร็จ หลี่เมิ่งซีก็ไม่ได้ให้อี๋เหนียงทั้งหลายไปคารวะและเยี่ยมเยียนเซียวจวิ้นอีก แต่ไล่พวกนางกลับไปทันที นางไม่คิดจะทำตัวเป็นคนดีเรื่อยเปื่อยเช่นนี้อีกแล้ว เมื่อวานใจดีให้พวกนางไปเยี่ยมเซียวจวิ้นแท้ๆ สุดท้ายอยู่ดีๆ นางก็ถูกหลี่อี๋เหนียงใส่ความ ทำดีกลับไม่ได้ดี บทเรียนอันลึกซึ้งครั้งนี้ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่กินคนได้แห่งนี้ ยิ่งเป็นคนดี…ยิ่งตายไว
กลับถึงห้องนอน เซียวจวิ้นตื่นแล้ว เขาเหงื่อออกทั้งตัวจนเสื้อผ้าเปียกไปหมด หงจู หงอวี้กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา แม้แต่ฟูกนอนกับผ้าห่มที่เปียกเหงื่อก็ถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ที่แห้งสนิท หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เซียวจวิ้นก็เอนกายลงบนเตียงอีกครั้ง
หลี่เมิ่งซีเดินช้าๆ มานั่งลงที่ขอบเตียง “คุณชายรองรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”
“พอเหงื่อออกก็รู้สึกตัวเบาขึ้นไม่น้อย แต่มือเท้ายังคงไม่มีความรู้สึก” เซียวจวิ้นเหงื่อออกทั้งตัว ตอนนี้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นแล้ว ไม่เพียงนึกขอบคุณที่หลี่เมิ่งซีบังคับให้เขาดื่มน้ำแกงเผ็ดร้อนนั่น แต่น้ำเสียงยามพูดจากับนางยังอ่อนโยนลงไม่น้อย
หลี่เมิ่งซียื่นมือไปจับมือเซียวจวิ้น เขาชะงักไป ดวงตาพลันฉายแววรังเกียจ
นางรู้สึกถึงความแข็งกร้าวและความดุดันในดวงตาเขา ใจคิดว่าเขาเข้าใจนางผิดแล้ว แต่ใบหน้ายังคงราบเรียบ พูดพลางลงมือนวด “มือเท้าทั้งสี่ของคุณชายรองรู้สึกชา ให้ข้าภรรยาช่วยนวดให้เถอะเจ้าค่ะ บางทีอาจหายไวขึ้น”
หลี่เมิ่งซีนวดฝ่ามือทั้งฝ่ามือของเซียวจวิ้นก่อน จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือถูหลังมือทั้งสองข้างของเขาเบาๆ ใช้มือวนรอบแต่ละนิ้วของเขา ออกแรงกดบริเวณระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ สุดท้ายจึงใช้นิ้วบีบนิ้วมือของเซียวจวิ้นทีละนิ้ว กดและดึง ขั้นตอนทั้งหมดเริ่มจากเบาไปหนัก มีจังหวะที่แน่นอน แม้จะดูเหมือนเป็นการบีบนวดสะเปะสะปะ แต่อันที่จริงกลับเป็นการใช้ทักษะการนวดขั้นสูงในยุคปัจจุบัน
ชาติก่อนหลี่เมิ่งซีเป็นด็อกเตอร์สาขาการแพทย์ มีความรู้ด้านการฝังเข็มและการนวด โดยเฉพาะการนวดฝ่าเท้าในยุคปัจจุบัน ซึ่งชาติก่อนนางก็ไปใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง ได้ยินว่ามือเท้าทั้งสี่ของเซียวจวิ้นยังชาอยู่เล็กน้อย นางจึงคิดถึงการนวดขึ้นมาทันที จิตใต้สำนึกของนางเพียงแต่กำลังทำหน้าที่ของหมอคนหนึ่งอย่างเต็มที่เท่านั้น เพราะการให้บริการคนป่วยอย่างดีที่สุดถือเป็นงานของนางอยู่แล้ว
เซียวจวิ้นเห็นดังนั้น ใจรู้ว่าเมื่อครู่ตนเข้าใจหลี่เมิ่งซีผิดเสียแล้ว เขาจึงปล่อยให้นางนวดไป เริ่มแรกยังไม่รู้สึกอะไร เพียงคิดว่าหลี่เมิ่งซีจงใจทำดีกับเขาเท่านั้น จึงไม่ได้พูดอะไร เขาชินกับการประจบเอาใจของสตรีมานานแล้ว แต่นวดไปนวดมา แขนก็เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสบายเขาจึงลืมตามองหลี่เมิ่งซีอย่างประหลาดใจ เห็นนางกำลังนวดมือให้เขาอย่างตั้งใจ หัวใจก็อดไม่ได้ที่จะอ่อนยวบ แล้วหลับตาลงช้าๆ
หลี่เมิ่งซีนวดมือเสร็จก็ส่งสายตาให้หงจูยกเก้าอี้กลมมา นางลุกขึ้นเดินไปนั่งที่ปลายเตียง เริ่มนวดเท้าให้เซียวจวิ้น หลี่เมิ่งซีงอนิ้วชี้ นิ้วโป้งแตะเบาๆ ตรงข้อนิ้วสุดท้ายของนิ้วชี้ ออกแรงพยุงนิ้วชี้ไว้ ให้กระดูกนิ้วของนิ้วชี้อยู่ในแนวเดียวกับฝ่ามือ ปลายแขน และแขนท่อนบน จากนั้นจึงออกแรงกดไปที่จุดหย่งเฉวียน บนเท้าซ้ายของเซียวจวิ้นแล้วปล่อย ก่อนจะขยับไปช้าๆ เท้าของเซียวจวิ้นแข็งทื่อทันใด ดวงตาที่ปิดอยู่พลันเบิกโพลง ประกายเยียบเย็นสาดออกมา
หลี่เมิ่งซีรู้สึกถึงไอเย็นเยียบเหนือหัวกับความแข็งทื่อของเขา ในใจตระหนก นางประมาทเกินไปแล้ว คนโบราณล้วนรู้วรยุทธ์ ได้ยินหงจูบอกว่าคุณชายรองฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่เด็ก สามารถเหาะเหินเดินกำแพงได้ ส่วนเรื่องที่ว่าสามารถเหินกายได้สูงแค่ไหน หรือเดินกำแพงท่าไหนได้บ้างนั้น หงจูก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน เอาเป็นว่าสามารถเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศได้ มักจะไปมาอย่างลึกลับอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ครั้งนี้อาการป่วยเกือบสองเดือนทำให้เขาดูเหมือนคนอ่อนแอไม่ทนลม
แน่อยู่แล้ว! ไม่ว่าใครหากต้องนอนอยู่เช่นนี้หลายเดือนก็มีสภาพนี้ทั้งนั้น หลี่เมิ่งซีไม่สบอารมณ์ที่หงจูโอ้อวดคุณชายรองของพวกนางถึงเพียงนี้ เอาแต่พูดถึงความดีของเขาจนนางไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
พอคิดว่าปกติเซียวจวิ้นฝึกฝนวรยุทธ์ เช่นนั้นเขาย่อมต้องรู้จักจุดชีพจรต่างๆ ในร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี เมื่อครู่นางพุ่งไปที่จุดหย่งเฉวียนโดยไม่ลังเล คุณหนูที่ไม่เคยย่างกรายออกจากเรือนจะรู้จักจุดชีพจรได้อย่างไร เซียวจวิ้นจะไม่ตกใจได้หรือ เดิมทีเขาก็ไม่ชอบหน้านางอยู่แล้ว นางทำเช่นนี้มิเท่ากับรนหาที่ตายหรือไร
หลี่เมิ่งซีตกใจจนเหงื่อเย็นหลั่งเต็มตัว ทำอย่างไรดี! หัวใจดวงน้อยของนางเต้นโครมคราม พลางขบคิดอย่างรวดเร็ว
มองประเมินอยู่นาน เซียวจวิ้นเห็นหลี่เมิ่งซีกดตำแหน่งที่ไม่ไกลจากจุดหย่งเฉวียนมากนักด้วยวิธีการเดียวกันอย่างสุขุม จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นงอนิ้วโป้งบนฝ่าเท้า ปลายนิ้วกดใต้ฝ่าเท้าเอาไว้ นิ้วที่เหลือทั้งสี่อยู่บนหลังเท้า ออกแรงกดแล้วคลาย วางนิ้วมือให้ราบและขยับไปข้างหน้าเล็กน้อย กดอีกที ขยับไปข้างหน้าเป็นเส้นตรงราวกับไม่ได้ตระหนักถึงสายตาคมกริบระแวดระวังของเขาเลย
เซียวจวิ้นหลับตาลงช้าๆ อีกครั้ง ลอบคิดว่าที่แท้นางก็แค่บังเอิญกดถูกจุดชีพจรใต้ฝ่าเท้าเท่านั้น เมื่อครู่ตอนที่ความเจ็บแปลบแผ่มาจากจุดหย่งเฉวียน เขาคิดจริงๆ ว่าหลี่เมิ่งซีรู้จุดชีพจรในร่างกายมนุษย์ ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกว่านางลึกล้ำยากจะคาดเดา แต่พอมองอีกครั้ง เห็นนางเพียงกำหนดจุดหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและบีบนวดฝ่าเท้าเป็นบริเวณกว้างอย่างจริงจัง ถึงได้ตระหนักว่าตัวเองคิดมากเกินไป ลอบตำหนิตนเองว่าป่วยสองเดือนแล้วกลายเป็นคนหวาดระแวง เห็นต้นหญ้าเป็นข้าศึก ไปเสียหมด นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแออายุสิบสาม ปกติไม่ย่างเท้าออกจากประตูเรือน แล้วนางจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร บิดานางก็เป็นเพียงคหบดีที่ร่ำรวยจากการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเท่านั้น จะอบรมสั่งสอนบุตรสาวออกมาได้ดีสักเพียงใดกัน
หลี่เมิ่งซีเห็นเซียวจวิ้นคลายความระแวดระวังและหลับตาลงอีกครั้ง นางจึงพรูลมหายใจยาวในใจ เสื้อผ้าตรงแผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ฝ่ามือก็ชื้นไปด้วยเหงื่อ นางยื่นมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าด้านข้างมาเช็ดมือ ก่อนจะบีบนวดต่อ
นางกดฝ่าเท้าของเซียวจวิ้นแล้วบีบ บีบเสร็จแล้วดัน ดันเสร็จแล้วนวด เพียงแต่จะสัมผัสถูกจุดชีพจรจุดหนึ่งใต้ฝ่าเท้าเป็นครั้งคราวเท่านั้น จากนั้นก็ออกแรงมากขึ้น เซียวจวิ้นก็คิดว่าหลี่เมิ่งซีสัมผัสถูกจุดชีพจรโดยบังเอิญเท่านั้น การนวดเป็นวงกว้างเช่นนี้จะไม่โดนจุดชีพจรเลยได้อย่างไร ถึงอย่างไรฝ่าเท้าก็ยังชาอยู่เล็กน้อย เขาไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าเวลาที่หลี่เมิ่งซีแตะถูกจุดชีพจรจะออกแรงมากขึ้นราวกับไม่ได้ตั้งใจ แต่อันที่จริงเป็นวิธีการนวดขั้นสูง สุดท้ายหลี่เมิ่งซีจึงหมุนนิ้วเท้ากับฝ่าเท้าของเซียวจวิ้นอย่างสม่ำเสมอจากวงเล็กเป็นวงใหญ่จากเร็วเป็นช้า แล้วเปลี่ยนจากวงใหญ่เป็นวงเล็กจากช้าเป็นเร็ว หมุนวนสลับไปมา ขั้นตอนทั้งหมดไหลลื่นไม่ติดขัด คล่องแคล่วเชี่ยวชาญ
เซียวจวิ้นมีความสุขกับการบีบนวดของหลี่เมิ่งซีมาก ความรู้สึกผ่อนคลาย จั๊กจี้ และสบายตัวถ่ายทอดจากฝ่าเท้าไปยังน่อง ก่อนจะไปถึงต้นขา เซียวจวิ้นสบายตัวจนอยากจะส่งเสียงออกมา ไยเขาจึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าการนวดฝ่าเท้าจะทำให้คนรู้สึกสบายได้เช่นนี้ วันหน้าจะต้องให้หลี่อี๋เหนียงนวดให้ตนทุกวัน เขาไม่มีทางคิดแน่ว่าหลี่อี๋เหนียงจะนวดได้สบายเช่นนี้ได้หรือไม่ เพียงแต่คาดเดาเอาว่าเป็นการบีบนวดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ใครๆ ก็ทำได้
เมื่อคิดถึงหลี่อี๋เหนียง ก็ย่อมคิดถึงเรื่องที่นางถูกตบปากเมื่อเช้า เขาจึงอดรู้สึกปวดใจมิได้ ไม่รู้ว่ายามนี้นางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ด้วยเซียวจวิ้นยังไม่รู้ว่าหลี่อี๋เหนียงถูกขังอยู่ เขาจึงอยากสั่งหงอวี้ให้เอายาไปให้หลี่อี๋เหนียง ดูว่านางเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงร้องเรียก “หงอวี้”
“คุณชายรอง มีอะไรหรือเจ้าคะ” หลี่เมิ่งซีกับหงอวี้ถามขึ้นพร้อมกัน
เซียวจวิ้นได้ยินเสียงของหลี่เมิ่งซีก็นึกขึ้นได้ว่านางยังอยู่ข้างกายเขา ขณะสัมผัสถึงความรู้สึกสบายที่ส่งมาจากฝ่าเท้า ให้อย่างไรก็พูดไม่ออกว่าให้หงอวี้ไปดูอาการของหลี่อี๋เหนียงและเอายาไปให้นาง ดังนั้นจึงเปลี่ยนคำพูดเป็น “รินน้ำชาให้ข้า”
“เจ้าค่ะ” หงอวี้รับคำและออกไป
ฟังจากน้ำเสียงเขาเมื่อครู่นี้คล้ายมีเรื่องเร่งด่วนอะไร ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการดื่มชาแน่ แต่พอเหลือบมองมาที่ตนกลับเปลี่ยนคำพูด มองปราดเดียวก็รู้ว่าระแวงตนอยู่ เขามีเรื่องอะไรปิดบังกันแน่นะ เมื่อครู่นี้เขาจะพูดอะไร หลี่เมิ่งซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าบีบนวดอย่างจริงจังอีกครั้ง
นวดเท้าเสร็จก็ลุกขึ้นห่มผ้าให้เซียวจวิ้น “คุณชายรองรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง แล้วหิวหรือไม่ ข้าภรรยาจะไปทำโจ๊กมาให้”
“นวดไปนวดมาก็เริ่มรู้สึกหิวแล้วจริงๆ ทำขนมกับโจ๊กแบบเมื่อวานแล้วกัน” พูดถึงเรื่องกิน เซียวจวิ้นก็คิดถึงอาหารค่ำของเมื่อวาน รสชาติดีจริงๆ อดน้ำลายสอไม่ได้เลย
“คุณชายรองดูกระปรี้กระเปร่ากว่าตอนเช้ามาก ข้าภรรยาส่งคนไปเรียนเหล่าไท่จวินดีหรือไม่เจ้าคะ” หลี่เมิ่งซีถาม
“ส่งคนไปแจ้งข่าวเถอะ บอกเหล่าไท่จวินว่าไม่ต้องเป็นห่วงและไม่ต้องมาเยี่ยมแล้ว รอให้ข้าดีขึ้นกว่านี้จะไปคารวะท่านด้วยตนเอง ข้าไม่ได้ไปคารวะท่านย่านานแล้ว” เซียวจวิ้นลุกขึ้นนั่ง พลางรับน้ำชาจากมือหงอวี้และพูด
กินอาหารกลางวันเสร็จ เซียวจวิ้นก็หลับไปอีกครั้ง
หลี่เมิ่งซีไม่มีอะไรทำจึงคิดถึงเรื่องหงซินเจียวขึ้นมา หงซินเจียวที่อยู่ในห้องหอเมื่อวาน นางสั่งให้คนย้ายไปที่สวนดอกไม้ด้านหลังแล้ว แต่ในห้องของหลี่อี๋เหนียงยังมีหงซินเจียวอยู่ ในเมื่อผู้วางยาพิษไม่ใช่หลี่อี๋เหนียง เช่นนั้นย่อมเป็นไปได้ว่าผู้วางยาพิษจะมอบหงซินเจียวให้อนุทั้งหลายของเซียวจวิ้น ที่เรือนหลังมีหงซินเจียวกี่ต้นกันแน่ สมควรไปดูสักหน่อยแล้ว
หลี่เมิ่งซีให้หงจูประคอง นางพาสาวใช้รุ่นเล็กสองคนมาด้วย เดินไปตรงกลางของลานเรือน แต่งเข้าคฤหาสน์สกุลเซียวสองวันแล้ว นางมัวแต่ยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติเซียวจวิ้น จึงยังไม่ได้สำรวจเรือนหลังนี้อย่างละเอียดเสียที นี่จะเป็นสถานที่ที่นางอาศัยอยู่ระยะยาวนับจากนี้ไป ต้องสำรวจสภาพแวดล้อมให้ชัดเจนเสียก่อน
กวาดตามองเรือนทั้งหลังแล้ว หลังจากเข้าประตูใหญ่มา ด้านซ้ายจะเป็นห้องข้างประตู ผ่านห้องข้างประตูมาเลี้ยวซ้ายเป็นห้องหนังสือในของเซียวจวิ้น หันไปทางทิศเหนือ ทิศเหนือของเรือนชั้นนอกมีประตูโค้ง ตรงประตูโค้งจะมีประตูหลัก ทอดสู่ลานกลางซึ่งก็คือเรือนที่นางอาศัยอยู่ กลางลานเป็นบ่อเลี้ยงปลา รอบๆ เป็นกระถางดอกไม้ มีดอกทับทิม ดอกยี่โถ และดอกไม้สีสันต่างๆ แย่งกันผลิบานอวดความงาม ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นออกมาเป็นระลอก ด้านซ้ายขวามีเรือนปีกข้างฝั่งละสามห้อง เรือนกลางตรงหน้าก็มีสามห้องเหมือนกัน สองฝั่งซ้ายขวามีห้องเล็กด้านข้าง หลี่เมิ่งซีเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านบนของเรือนกลางมีแผ่นป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่ เขียนว่า ‘เรือนเซียวเซียง’
เรือนหลังนี้ชื่อเรือนเซียวเซียง? หลี่เมิ่งซีอึ้งไป ก่อนจะถือโอกาสถาม “ข้างหลังเป็นป่าไผ่หรือ”
หงจูมองสะใภ้รองและตอบ “ไม่มีเจ้าค่ะ ไยสะใภ้รองจึงคิดถึงต้นไผ่เล่าเจ้าคะ ตอนเหนืออากาศแห้งแล้ง ไม่เหมือนกับตอนใต้ ไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นไผ่หรอกเจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งซียิ้ม ให้หงจูประคองเดินไปยังประตูห้องเล็กฝั่งขวา
นางเห็นคำว่า ‘เรือนเซียวเซียง’ แล้วก็คิดถึงวรรณกรรมเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ ที่เคยอ่านเมื่อชาติก่อน สถานที่ที่หลินไต้อวี้อาศัยอยู่ได้ชื่อว่า ‘หอเซียวเซียง’ เพราะมีป่าไผ่สีเขียวอยู่ แต่เซียวจวิ้นแซ่เซียว หากเขาจะตั้งชื่อเรือนตนเองว่า ‘เรือนเซียวเซียง’ ก็เป็นเรื่องปกติ ไฉนนางจึงคิดเชื่อมโยงไปถึงหลินไต้อวี้เสียได้ นางยังไม่อยากกลายเป็นบุคคลอาภัพเช่นนั้น หลี่เมิ่งซีส่ายหน้า ลอบหัวเราะในความฟุ้งซ่านของตัวเอง
ห้องเล็กฝั่งขวามีลานขนาดเล็ก มีประตูบานหนึ่งเชื่อมต่อกับเรือนชั้นใน หลี่เมิ่งซีให้หงจูประคองก้าวเข้าไปในลาน ภายในเป็นสวนดอกไม้ที่มีต้นไม้ใบหญ้า ประดับตกแต่งด้วยภูเขาจำลองและไม้กระถาง ชวนให้หลี่เมิ่งซีรู้สึกถึงป่าไม้อันเงียบสงบ ร่มรื่นด้วยแมกไม้และบุปผา หงซินเจียวที่ถูกย้ายออกมาจากห้องนอนของเซียวจวิ้นถูกตั้งอยู่บนชั้นวางอย่างเดียวดายแล้ว นางเดินเข้าไปช้าๆ ยืนอยู่ตรงหน้าชื่นชมหงซินเจียวอย่างละเอียด
ในใจชื่นชมความเป็นเลิศของพืชชนิดนี้ ไม่มีดอกแต่กลับงามเฉิดฉัน ผลิความงดงามออกมา แผ่กลิ่นหอมประหลาดที่คงอยู่เนิ่นนาน คิดแล้วจึงท่องกลอนบทหนึ่ง “กำแพงหญ้าเขียวล้อมลานตะไคร่ แสงแดดทอใบกล้วยงอม้วน”
“บทกลอนของสะใภ้รองไพเราะยิ่งนักเจ้าค่ะ” หงจูไม่พลาดโอกาสในการประจบผู้เป็นนาย
“เหตุใดดอกไม้บนชั้นวางจึงน้อยเช่นนี้”
“สะใภ้รองไม่รู้อะไร พอย่างเข้าฤดูร้อนดอกไม้นับร้อยบานสะพรั่ง เนื่องจากคุณชายรองชอบ ดอกไม้ส่วนใหญ่จึงถูกย้ายไปที่เรือนหน้าเจ้าค่ะ”
“น่าเสียดาย ดอกไม้ชนิดนี้งดงามถึงเพียงนี้ กลับต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง หากได้อยู่ท่ามกลางมวลหมู่บุปผาจะดีสักเพียงใด” หลี่เมิ่งซีจับจ้องหงซินเจียวที่งดงามล้ำเลิศ ใบหน้าฉายความเสียดายและความรู้สึกทอดถอนใจไม่สิ้นสุดออกมา
หงจูเห็นสีหน้าของหลี่เมิ่งซีแล้วอดพูดไม่ได้ “สะใภ้รอง หงซินเจียวนี้ยังมีอยู่ในเรือนของหลี่อี๋เหนียงกับจางอี๋เหนียงอีกสองกระถางเจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งซีหันไปมองหงจูทันที หงจูลอบโมโหตนเองที่ปากมาก ใช้มือปิดปากไว้
หลี่เมิ่งซีหันกลับมา ถามคล้ายไม่ใส่ใจ “ในเรือนของอี๋เหนียงทั้งสองมีหงซินเจียวได้เช่นไร ข้าได้ยินมาว่าหงซินเจียวเป็นพืชประหลาดจากแคว้นหนาน หาได้ยากในต้าฉี”
“หงซินเจียวหายากจริงๆ เจ้าค่ะ ฤดูหนาวปีก่อนพี่ชายของจางอี๋ไท่กลับจากแคว้นหนานมาเยี่ยมญาติและนำมาด้วย มีทั้งหมดสามกระถาง ตอนนั้นมอบให้เหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่คนละกระถาง จางอี๋ไท่เก็บไว้หนึ่งกระถาง เนื่องจากคุณชายรองชอบกลิ่นหอมแปลกๆ มาแต่กำเนิด กระถางที่อยู่กับเหล่าไท่จวินจึงถูกมอบให้คุณชายรอง ภายหลังเนื่องจากต้านทานการรบเร้าของหลี่อี๋เหนียงไม่ได้ คุณชายรองจึงขอกระถางที่อยู่กับนายหญิงใหญ่มาด้วย ตั้งอยู่ในเรือนของหลี่อี๋เหนียง จางอี๋ไท่เมื่อได้ยินว่าคุณชายรองชอบดอกไม้ชนิดนี้เป็นพิเศษ อีกทั้งปกติรักใคร่จางอี๋เหนียงกับหลี่อี๋เหนียงเป็นที่สุด จึงมอบกระถางที่อยู่ในเรือนของตนให้จางอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” หงจูตอบ
“จางอี๋ไท่?” หลี่เมิ่งซีมองหงจูด้วยสายตาตั้งคำถาม
“สะใภ้รองเพิ่งเข้ามาอาจยังไม่คุ้นเคย จางอี๋ไท่เป็นอี๋ไท่คนที่สองของนายท่านใหญ่ มารดาบังเกิดเกล้าของคุณชายสาม สะใภ้รองไม่รู้อะไร ในบรรดาอี๋ไท่ทั้งสามนี้ จางอี๋ไท่เป็นคนที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูมากที่สุด ไม่เพียงรูปโฉมงดงาม นิสัยยังสุภาพด้วย ปกติพูดน้อย ทั้งยังดีกับอี๋เหนียงทั้งหลายของคุณชายรองมาก ไม่เหมือนนายหญิงใหญ่กับอี๋ไท่คนอื่นๆ ที่วางตัวหยิ่งยโส คนในเรือนของเราปกติก็ชอบจางอี๋ไท่มากที่สุดเจ้าค่ะ” หงจูเห็นสะใภ้รองเหมือนจะไม่รู้ฐานะของจางอี๋ไท่จึงรีบแนะนำ
หลี่เมิ่งซีฟังแล้ว ตรงหน้าก็ผุดแววร้ายกาจในดวงตาของจางอี๋ไท่ตอนนางยกน้ำชาเมื่อวาน สตรีนิสัยสุภาพผู้หนึ่งจะมีสายตาเช่นนั้นได้อย่างไร นางจงใจคบหากับอี๋เหนียงและข้ารับใช้ของเซียวจวิ้นเช่นนี้ เกรงว่าคงมีเจตนาแอบแฝงกระมัง!
“คุณชายสามอายุเท่าไรแล้ว”
“คุณชายสามปีนี้อายุสิบหกเจ้าค่ะ เนื่องจากนายท่านใหญ่ชอบจางอี๋ไท่ ปกติจึงไม่ค่อยบังคับอันใดกับคุณชายสาม คุณชายสามติดเล่นมาตั้งแต่เด็ก เกลียดการอ่านตำราเป็นที่สุด เข้าสอบเซียงซื่อ ถึงสองครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งจวี่เหริน”
หลี่เมิ่งซีขบคิดอย่างรวดเร็ว หรือว่าคนที่ลอบทำร้ายเซียวจวิ้นจะเป็นจางอี๋ไท่ แต่นางทำไปเพื่อสิ่งใดเล่า
ใช่แล้ว ตอนนั้นจางอี๋ไท่ไม่ได้มอบหงซินเจียวให้เซียวจวิ้นโดยตรง หรือนี่จะเป็นเพียงความบังเอิญ
หลี่เมิ่งซีใช้นิ้วนวดขมับ คิดถึงนัยน์ตาลึกล้ำดุจบ่อน้ำคู่นั้นของคุณชายสามแล้ว ในหัวพลันเกิดความคิด หรือว่านางอยากให้คุณชายสามเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขของบ้านจึงบังเกิดความคิดสังหารเซียวจวิ้น
เซียวจวิ้นชอบกลิ่นหอมชนิดต่างๆ เรื่องนี้หาใช่ความลับในคฤหาสน์สกุลเซียวแต่อย่างใด ทุกคนต่างรู้ดีว่าเหล่าไท่จวินรักหลานชายเพียงใด ในเมื่อมีของที่หลานชายชอบทั้งที มีหรือจะไม่รีบนำมาให้ ต่อให้เหล่าไท่จวินไม่ทันคิด ขอเพียงมีคนเอาเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับเซียวจวิ้น เขาย่อมต้องเป็นฝ่ายไปขอมาแน่ คาดเดาได้แม้กระทั่งความคิดจิตใจของเหล่าไท่จวินกับเซียวจวิ้น จัดการเรื่องราวได้อย่างไร้ช่องโหว่ คนที่วางแผนใช้พิษชนิดนี้มีความรอบคอบมากจริงๆ น่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง
“สะใภ้รองรู้สึกไม่สบายหรือเจ้าคะ” หงจูเห็นหลี่เมิ่งซีนวดขมับพลางมุ่นคิ้วก็เอ่ยถาม
“ปกติเหล่าไท่จวินก็ชอบกลิ่นหอมแปลกๆ ด้วยหรือ”
“เหล่าไท่จวินชอบกลิ่นหอมอ่อนๆ มากกว่าเจ้าค่ะ แต่ไรมาใช้เครื่องหอมอยู่เพียงอย่างสองอย่างเท่านั้น”
การมอบของขวัญให้ผู้อื่น ย่อมต้องมอบสิ่งที่ถูกใจ จางอี๋ไท่หาใช่สะใภ้ที่เพิ่งเข้าประตูมา นางหาใช่คนอ่อนหัดไร้ประสบการณ์ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเหล่าไท่จวินไม่ชอบกลิ่นหอมประหลาด แต่นางกลับยังหาดอกไม้แปลกที่มีกลิ่นหอมเช่นนี้มามอบให้ แม้จะเป็นของหายาก แต่ในเมื่อผู้รับไม่ชอบกลิ่นหอมเช่นนี้ แล้วจะเป็นที่ถูกใจได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่านางมีเจตนาอื่นแอบแฝง เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณชายสามมีส่วนด้วยหรือไม่เท่านั้น
“ดี!” หลี่เมิ่งซีโพล่งคำว่า ‘ดี’ ออกมากะทันหัน สีหน้าคืนสู่ความสุขุมเยือกเย็นดังเดิม ทำให้หงจูตกใจจนสะดุ้ง มองหลี่เมิ่งซีและคิดว่า สะใภ้รองผู้นี้คิดอะไรขึ้นมาได้อีกแล้วหรือ ดีอะไรของนาง
“ไปบอกจางอี๋เหนียงกับหลี่อี๋เหนียงว่าข้าสะใภ้รองมีคำสั่ง สุขคนเดียวมิสู้สุขกันถ้วนหน้า พืชประหลาดที่สวยงามและส่งกลิ่นหอมไปทั่วเช่นนี้จะเก็บไว้ในห้องชื่นชมอยู่คนเดียวได้อย่างไร มิสู้ย้ายออกมาให้ทุกคนได้ร่วมชื่นชม ย้ายหงซินเจียวในเรือนของอี๋เหนียงทั้งสองมาไว้บนชั้นวางตรงนี้เถอะ ข้าชอบให้ดอกไม้อยู่รวมกันมากๆ เป็นหมู่มวลบุปผา เวลาชื่นชมจึงจะให้ความรู้สึกที่ดี!” หลี่เมิ่งซีใช้นิ้วลูบใบหงซินเจียวพลางสั่งสาวใช้ข้างหลังคนหนึ่งที่ชื่อเชี่ยนเอ๋อร์
หงจูนึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก เมื่อครู่สะใภ้รองขมวดคิ้วนิ่วหน้า ยังคิดว่านางรู้สึกไม่สบายตรงที่ใดเสียอีก เป็นกังวลอยู่นานแต่ที่ไหนได้นางกลับขบคิดว่าจะกลั่นแกล้งอนุคนโปรดสองคนเช่นไรดี ตนเองกลับมัวมาเป็นห่วงนางเช่นนี้เสียได้ เมื่อคิดถึงความปากมากของตนเองเมื่อครู่แล้วก็อยากตบปากตนเองนัก
สะใภ้รองผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน เลยจริงๆ หากอี๋เหนียงทั้งสองจับมือกันมาเอะอะโวยวายกับคุณชายรอง เรือนหลังย่อมต้องเกิดพายุฝนขึ้นอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพิ่งแต่งเข้ามาไม่กี่วันเท่านั้นก็ก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เห็นว่าในคฤหาสน์ยังวุ่นวายไม่พอหรือไร แต่อย่าได้ก่อเรื่องจนเหมือนเมื่อวานเป็นอันขาด คิดถึงเหตุการณ์เมื่อวาน คิดถึงหลี่อี๋เหนียงแล้วก็อดรู้สึกหนาวเยือกในใจไม่ได้ สะใภ้รองผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ชอบหมู่มวลบุปผาอะไรกัน เห็นชัดว่าต้องการหาเรื่องมากกว่า นายท่านใหญ่ทิ้งคำพูดไว้เมื่อตอนกลางวันแล้ว หากอี๋เหนียงกล้าก่อเรื่องอีกจะต้องถูกขับออกจากคฤหาสน์ หากอี๋เหนียงทั้งสองไม่อาละวาด สะใภ้รองย่อมต้องแย่งเอาดอกไม้มา คุณชายรองก็จะไม่ไปเรือนของอี๋เหนียงคนใดเพราะดอกไม้ชนิดนี้อีก
สะใภ้รองผู้นี้ร้ายกาจมาก อุบายลึกล้ำยากจะคาดเดา นี่เพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ได้สองวันเท่านั้นก็เริ่มจัดการกับอี๋เหนียงแล้ว หงจูรู้สึกเสียใจภายหลังมากกว่าเดิมที่เมื่อครู่ตนเองปากมาก ลอบภาวนาในใจ อี๋เหนียงทั้งสอง พวกท่านจะต้องอดทนไว้นะ เวลานี้อย่าได้ล่วงเกินสะใภ้รองเด็ดขาด!
หลี่เมิ่งซีไหนเลยจะล่วงรู้ความคิดของหงจู เห็นนางหน้าซีด ยังคิดว่านางกลัวตนเองจะล่วงเกินอี๋เหนียงทั้งสองเข้าจึงรู้สึกเป็นห่วงแทน
เรื่องนี้หลี่เมิ่งซีเองก็จนปัญญาเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะโอดครวญในใจ ข้าก็ไม่อยากล่วงเกินอี๋เหนียงสองคนนั้นหรอก นั่นเป็นแก้วตาดวงใจของคุณชายรองเชียวนะ! แต่เพื่อช่วยชีวิตคุณชายรอง ข้าจำเป็นต้องทำ!
หลี่เมิ่งซีแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าของหงจู เพียงให้อีกฝ่ายประคองเดินต่อไปยังส่วนลึกของสวนดอกไม้ตามเส้นทางเล็กๆ ที่คดเคี้ยวและเงียบสงบ นางมองพืชพรรณสีสันต่างๆ กับดอกไม้ใบหญ้าแล้วก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นทุกที เป็นครั้งแรกที่นางตระหนักถึงข้อดีของยุคโบราณ ของพวกนี้ล้วนเป็นอาหารธรรมชาติปลอดสารเคมี ไม่มีการปนเปื้อน ไม่มีการใช้ปุ๋ย เป็นของดีสำหรับบำรุงร่างกายโดยแท้ เดินไปพลางแยกแยะดอกไม้ใบหญ้าชนิดต่างๆ ไปพลาง หนิวฝานหลี่ว์ ต้าจี้ เสี่ยวเสวียนฮวา หม่าหลันโถว หลงหยาเฉ่า หม่าฉื่อเซี่ยน เจวี๋ยไช่ โจ่วหม่าเฉ่า พริกหอม ซงหรง…บางชนิดยังมีสรรพคุณทางยาด้วย ในใจจึงอุทานด้วยความประหลาดใจไม่ได้ นางก้มตัวลงไปเก็บหม่าฉื่อเซี่ยนขึ้นมาต้นหนึ่งและพิจารณาดูอย่างละเอียด
“สะใภ้รอง นี่เรียกว่าผักอายุยืนเจ้าค่ะ ดอกไม้ใบหญ้าในลานแห่งนี้คุณชายรองสั่งให้คนเก็บรวบรวมจากพื้นที่ต่างๆ มาปลูกไว้ในลาน ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็จะยิ่งมีพืชพันธุ์ล้ำค่ามากมาย ทั้งหายากในต้าฉี ได้ยินว่าบางอย่างเป็นยาสมุนไพรหายากของใต้หล้าด้วย คุณชายรองไม่รู้วิชาแพทย์ แต่กลับชอบปลูกของเหล่านี้ จึงมักมีหมอชื่อดังมาหาคุณชายรองเพื่อขอสมุนไพรเหล่านี้ไป แต่ปกติที่นี่ห้ามไม่ให้ใครเข้ามาเจ้าค่ะ” หงจูชี้ดอกไม้ใบหญ้าไกลออกไปพลางแนะนำกับหลี่เมิ่งซี
ผักอายุยืน! หลี่เมิ่งซีจำได้ว่าตนเคยเรียนมาเมื่อชาติก่อน ผักป่าชนิดนี้มีชื่อว่าหม่าฉื่อเซี่ยน ใบสีเขียว ลำต้นสีแดง ดอกสีเหลือง รากสีขาว ผลสีดำ จึงมีอีกชื่อว่า ‘หญ้าห้าธาตุ’ นางจำไม่ผิดแน่นอน บางทีมิตินี้กับมิติของตนอาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้างกระมัง หรือไม่ก็อาจจะเป็นอีกชื่อของพืชชนิดนี้ แต่นางจำไม่ได้เอง
จำได้ว่าผักป่าชนิดนี้อุดมไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามิน มีสรรพคุณในการยับยั้งแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคบิด แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ จึงได้ชื่อว่า ‘ยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติ’ สามารถขับพิษ ลดการอักเสบ ขับปัสสาวะ และลดบวมได้ คิดถึงสรรพคุณของหม่าฉื่อเซี่ยนแล้ว เปลือกตาที่บวมเล็กน้อยของเหล่าไท่จวินก็ผุดขึ้นตรงหน้า ทั้งยังมีอาการผิวเหลืองอีก เห็นได้ชัดว่าไตกับม้ามของอีกฝ่ายอ่อนแอ สามารถใช้ของสิ่งนี้บำรุงร่างกายได้พอดี
คิดเช่นนี้แล้วจึงสั่งให้สาวใช้เก็บมาส่วนหนึ่งและนำไปที่ห้องครัวเล็ก นางเดินเล่นกับหงจูอีกสักพัก ก่อนจะออกจากประตูลานและมาถึงเรือนหลัง บริเวณเรือนหลังก็จะมีเรือนปีกตะวันออก เรือนปีกทิศตะวันตกและห้องด้านหลังเช่นกัน ห้องครัวเล็กตั้งอยู่ตรงนี้ ทั้งสองจึงเข้าไปในห้องครัวเล็ก
หลี่เมิ่งซีสั่งให้คนเด็ดหม่าฉื่อเซี่ยนและล้างให้สะอาด จากนั้นก็นำไปลวกในน้ำเดือดครู่หนึ่ง ช้อนออกมาและหั่นให้ละเอียด ก่อนจะตั้งกระทะใส่น้ำมัน แล้วนำกระเทียมกับต้นหอมซอยไปผัดให้หอม จึงค่อยใส่หม่าฉื่อเซี่ยนลงไปผัด สุดท้ายก็ปรุงรส ตักออกมาเทใส่โจ๊กข้าวเมล็ดกลมที่ต้มสุกแล้ว ต้มไฟอ่อนอีกสักพักก็กลายเป็นโจ๊กหม่าฉื่อเซี่ยน ลองชิมดู สัมผัสของโจ๊กไม่เพียงนุ่มลื่น รสชาติยังยอดเยี่ยมมาก นางลอบคิดในใจว่าฝีมือของตนเองดีขึ้นทุกวันเช่นนี้ อีกหน่อยเมื่อถูกหย่าแล้ว ไปเปิดร้านขายข้าวต้มหาเลี้ยงชีพดีกว่า
หลี่เมิ่งซีสั่งให้คนตักขึ้นมาแยกใส่กล่องอาหารสองกล่อง จัดขนมดอกกุ้ยใส่น้ำผึ้งสองจานลงไปด้วย และสั่งให้คนนำไปให้เหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่ เสร็จแล้วค่อยเพิ่มใบไห่ถังลงในโจ๊ก ต้มไฟอ่อนอีกครู่หนึ่ง สั่งให้คนตักขึ้นมา จัดเครื่องเคียงสี่อย่างกับขนมดอกกุ้ยใส่น้ำผึ้งสองจาน ให้คนยกกลับไปที่เรือนเซียวเซียง
หงจูเลิกม่าน หลี่เมิ่งซีก้าวเข้าไป เงยหน้าเห็นเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ล้วนอยู่ที่นี่ เหล่าไท่จวินนั่งอยู่บนตั่งนุ่มหน้าเตียง นายหญิงใหญ่ ซื่อซูกับซื่อฉินสาวใช้รุ่นใหญ่ของเหล่าไท่จวินยืนอยู่ด้านหลัง นายท่านใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะ เหล่าไท่จวินกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเซียวจวิ้น ในขณะที่เซียวจวิ้นก็เอาแต่ผงกศีรษะเพียงอย่างเดียว หลี่เมิ่งซีเห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวขึ้นไปคารวะ ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม ส่งสายตาให้สาวใช้วางอาหารไว้บนโต๊ะก่อน
ที่แท้นายหญิงใหญ่ นายท่านใหญ่ปรนนิบัติเหล่าไท่จวินกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว และกำลังหารือกันเรื่องโรคของเซียวจวิ้น ปรึกษากันว่าต้าฉียังมีหมอชื่อดังหรือผู้ที่มีความสามารถพิเศษที่ไหนที่พวกเขายังไม่ได้เชิญมารักษาเซียวจวิ้นอีกหรือไม่ ระหว่างนั้นสาวใช้จากเรือนเซียวเซียงก็มาแจ้งว่าคุณชายรองอาการดีขึ้นแล้ว ตอนกลางวันลุกขึ้นมากินอาหารได้ ทั้งตอนนี้ยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามาก
เหล่าไท่จวินและคนอื่นๆ ฟังแล้วก็ตกใจ แม้แต่นายหญิงใหญ่เองยังลอบอุทานว่าแปลกยิ่งนัก ไหนเลยยังจะนั่งอยู่ที่เรือนได้อีก ทุกคนรีบรุดมาที่เรือนเซียวเซียง เข้ามาดูก็เห็นเซียวจวิ้นดีขึ้นจริงๆ ทั้งยังกลับมาสดชื่นเหมือนเมื่อวาน คนโบราณล้วนงมงาย เมื่อพบเจอเรื่องที่ตนไม่อาจอธิบายได้ก็มักจะเชื่อว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้เหล่าไท่จวิน และนายท่านใหญ่จึงเชื่อคำพูดของหลี่เมิ่งซีโดยสมบูรณ์ คิดว่านางเป็นบุคคลที่อุปถัมภ์เซียวจวิ้นได้ ทั้งยังเห็นหลี่เมิ่งซีสุภาพสง่างาม วาจากิริยาสะท้อนลักษณะของผู้ที่มาจากสกุลใหญ่ กับเซียวจวิ้นนางก็ทุ่มเทจนหมดใจ จึงยอมรับแต่แรกแล้วว่าหลี่เมิ่งซีเป็นสะใภ้ดีที่หาได้ยากยิ่ง บัดนี้เห็นเซียวจวิ้นไม่เป็นไรแล้ว จึงคิดถึงความคับข้องใจที่หลี่เมิ่งซีได้รับเมื่อเช้า ทั้งสองจึงนั่งลงสั่งสอนเขาตรงนั้น หาว่าเขาไม่รู้ความ เหตุใดจึงทำตัวเหลวไหลเช่นนี้
เซียวจวิ้นกล่าวขออภัยพลางผงกศีรษะยอมรับผิด บอกว่าตนเองผิดไปแล้ว ท่านย่า บิดา มารดาไม่ต้องเป็นกังวล แต่ในใจกลับนึกชิงชังหลี่เมิ่งซี เพิ่งแต่งเข้ามาได้สองวันก็ทำให้ท่านย่าตำหนิเขาได้แล้ว แต่ก่อนท่านย่าเคยพูดจารุนแรงเช่นนี้เสียที่ไหน
ระหว่างสนทนากันก็เห็นหลี่เมิ่งซีเข้ามา ด้านหลังยังมีสาวใช้ยกอาหารตามเข้ามาด้วย เหล่าไท่จวินจึงยิ้มทัก “ซีเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ ซีเอ๋อร์ทำโจ๊กสมุนไพรอะไรอีกแล้วหรือ”
“เรียนเหล่าไท่จวิน วันนี้หลานเดินผ่านสวนดอกไม้ เห็นผักป่าในสวนดอกไม้เจริญงอกงามดีเป็นพิเศษ จึงคิดจะลองทำโจ๊กผักป่าเจ้าค่ะ วันนี้เป็นโจ๊กผักอายุยืน กินกับขนมดอกกุ้ยใส่น้ำผึ้ง โจ๊กนี้มีสรรพคุณบำรุงม้ามและกระเพาะ ระบายร้อนขับพิษ ช่วยขับปัสสาวะ เหมาะกับคุณชายรองตอนนี้มาก เพียงแต่ผักอายุยืนนี้มีฤทธิ์เย็น ไม่ควรกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน หลานเองก็เพียงลองทำดูเท่านั้น ชิมดูแล้วรสชาติพอใช้ได้จึงสั่งให้คนนำไปให้เหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่ หากเหล่าไท่จวินกินแล้วชอบ ส่งคนมาบอกหลานนะเจ้าคะ วันหน้าหลานจะทำให้ท่านกินบ่อยๆ” หลี่เมิ่งซีเข้าไปอธิบายให้เหล่าไท่จวินฟังอย่างละเอียดด้วยท่าทางประจบเอาใจ
“ดีๆๆ! ยังคงเป็นหลานสะใภ้ที่กตัญญู ทำอะไรก็คิดถึงข้า ใจกตัญญูนี้หาได้ยากยิ่งจริงๆ” เหล่าไท่จวินฟังแล้วพยักหน้า ยิ่งมองหลานสะใภ้คนนี้ก็ยิ่งถูกใจ
นายหญิงใหญ่ได้ยินคำพูดนี้ของเหล่าไท่จวิน ใบหน้าก็บึ้งตึงทันใด ลอบคิดในใจ ข้าที่เป็นลูกสะใภ้ ตั้งแต่แต่งเข้าสกุลเซียวของพวกท่านมา ปรนนิบัติพ่อแม่สามีเช้าเย็นไม่ได้ขาดตลอดหลายปีอย่างไม่กล้าสะเพร่า ตื่นแต่เช้าปรนนิบัติท่านจนถึงดึก ยังไม่เคยได้ยินท่านชมว่าดี มีแต่ตินั่นตินี่ นางจิ้งจอกผู้นี้เพิ่งแต่งเข้ามาได้สองวันครึ่ง แค่ทำโจ๊กมาชามหนึ่งเท่านั้น ท่านยังไม่ทันได้ชิมเสียด้วยซ้ำก็ชมนางถึงเพียงนี้แล้ว เมื่อครู่เพื่อนางแล้วยังสั่งสอนจวิ้นเอ๋อร์ที่กำลังป่วย แล้วดูที่ยกย่องนางเข้าสิ วันหน้าสายตานางยังจะมองเห็นแม่สามีอย่างข้าอยู่หรือไม่!
คิดเช่นนี้แล้วในใจก็เกลียดชังหลี่เมิ่งซีมากขึ้นอีกหลายส่วน อยากจะไล่ตะเพิดนางออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวเสียเดี๋ยวนี้เลย นายหญิงใหญ่ก้าวขึ้นไปพูดกับเหล่าไท่จวิน “เหล่าไท่จวิน อาหารของจวิ้นเอ๋อร์ยกมาแล้ว ให้จวิ้นเอ๋อร์กินตอนร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ เย็นแล้วจะไม่ดี จวิ้นเอ๋อร์เพิ่งหายดี ร่างกายยังอ่อนแออยู่ คิดว่าตอนนี้คงเหนื่อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ได้ สั่งสาวใช้ยกโต๊ะมาวางข้างเตียง ให้จวิ้นเอ๋อร์นั่งกินอยู่บนเตียง จวิ้นเอ๋อร์ร่างกายเพิ่งดีขึ้น อย่าลำบากเลย” เหล่าไท่จวินฟังคำพูดของนายหญิงใหญ่แล้วผงกศีรษะพลางสั่งสาวใช้
“ท่านย่า จวิ้นเอ๋อร์ลงจากเตียงได้ขอรับ นอนมาทั้งวันแล้วรู้สึกตัวชาเล็กน้อย ถือโอกาสนี้จะได้ลงไปเคลื่อนไหวร่างกายได้พอดี” เซียวจวิ้นยืดตัวขึ้น พูดกับเหล่าไท่จวิน
“ลงมาเดินบ้างก็ดีเหมือนกัน นอนนานเข้าร่างกายย่อมอ่อนเพลีย เพียงแต่ต้องระวังอย่าให้เหนื่อย”
“หลานทราบขอรับ ท่านย่าโปรดวางใจ”
“ดี วางอาหารลงบนโต๊ะเถอะ!” สั่งเสร็จ เหล่าไท่จวินก็เลื่อนสายตาไปยังหงจูกับหงอวี้ซึ่งเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ด้านหลังเซียวจวิ้น “หงจู หงอวี้ ข้าเห็นพวกเจ้าสองคนละเอียดรอบคอบ รู้กฎธรรมเนียมดี ถึงได้ส่งพวกเจ้ามาดูแลคุณชายรอง หวังว่าพวกเจ้าจะช่วยตักเตือนคุณชายรองได้ในเวลาที่เหมาะสม แต่พวกเจ้ากลับปล่อยให้คุณชายรองทำตัวเหลวไหล ก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ วันหน้าพวกเจ้าต้องระมัดระวังกว่านี้ หากเกิดข้อผิดพลาดอันใดขึ้นอีก ระวังหนังพวกเจ้าไว้ให้ดี ได้ยินหรือไม่” เหล่าไท่จวินหันไปสั่งสอนสาวใช้รุ่นใหญ่สองคนของเซียวจวิ้น ทั้งสองรีบก้าวออกมารับคำ
สั่งสอนเสร็จก็ให้ซื่อฉินประคองลุกขึ้น ให้นายหญิงใหญ่ประคองอีกด้าน ก่อนที่คนกลุ่มใหญ่จะเดินออกจากห้องนอนของเซียวจวิ้นไป
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 23 มีนาคม)
Comments
comments