X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 1 ตอนที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 5

ตอนที่ 6

 หลี่เมิ่งซีลืมตาก็เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเซียวจวิ้นกำลังพินิจมองนางอยู่ มองรอยยิ้มที่อาบทออยู่ในตาหงส์คู่นั้น มองดวงหน้าน่าหลงใหลนั้นแล้ว คุณชายรองผู้นี้เวลายิ้มก็ดูน่ามองถึงเพียงนี้เชียวหรือ หลี่เมิ่งซีที่ไม่เคยต้านทานหนุ่มหล่อได้อยู่แล้วจึงหลงใหลไปชั่วขณะ หรี่ตามองเซียวจวิ้นอย่างพร่าเลือน โดยไม่รู้เลยว่านางในยามนี้มีเสน่ห์เพียงใด

เซียวจวิ้นหวั่นไหว แล้วเอ่ยถามเสียงนุ่ม “ตื่นแล้วหรือ”

ได้ยินเสียงของเซียวจวิ้น หลี่เมิ่งซีก็ตาสว่างในทันที ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นางผุดลุกขึ้นนั่ง “อรุณสวัสดิ์คุณชายรอง ข้าภรรยานอนเลยเวลา ข้าจะปรนนิบัติคุณชายรองสวมเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

หลี่เมิ่งซีพูดพลางยื่นมือไปคว้าเสื้อตัวนอกที่เมื่อคืนวางไว้บนตั่งนุ่มขึ้นมา พอขยับตัวถึงได้รู้สึกว่าร่างกายตนเองชาไปครึ่งซีก ย้อนคิดถึงเมื่อคืน เนื่องจากเซียวจวิ้นนอนกลางวันไปเยอะแล้ว กลางคืนจึงไม่ง่วง เวลาเหลือขณะที่ทั้งสองอยู่ในห้อง บรรยากาศก็ชะงักงัน เซียวจวิ้นนั่งอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จา นางเค้นสมองขบคิดแล้วก็ยังหาหัวข้อสนทนาไม่ได้ ไม่รู้ไหวพริบที่ตนเองเคยมีหายไปที่ใดหมด คนหนึ่งอยู่บนเตียง คนหนึ่งอยู่บนพื้น ทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากันเช่นนี้และเงียบ

ภายหลังนางจึงตัดสินใจนวดฝ่าเท้าให้เขา นวดเสร็จเห็นเขาหลับตา คล้ายหลับไปแล้ว ถึงได้เป่าเทียนเงียบๆ ปล่อยม่านเตียงและคลานเข้าไปด้านในเตียง นอนชิดผนัง แทบอยากให้ตนเองเป็นภาพที่ติดอยู่บนผนัง นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ตอนแรกยังกังวลอยู่มาก ภายหลังเห็นว่าเซียวจวิ้นไม่ขยับตัวเลยสักนิด นางจึงค่อยๆ วางใจ สุดท้ายด้วยความเหนื่อยจึงผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้แค่ขยับตัวก็ทรมานไปหมด หลี่เมิ่งซีคิด ชีวิตเช่นนี้ยังต้องดำเนินไปอีกครึ่งเดือน หาเรื่องใส่ตัว หนีไม่พ้นจริงๆ!

นางลอบทอดถอนใจกับชีวิตอันมืดมนน่าเศร้าของตนเองในอนาคต แต่เรื่องที่ควรทำก็ยังต้องทำ แม้ร่างกายจะชาเหลือเกิน แต่ยามอยู่ต่อหน้าเซียวจวิ้นนางไม่กล้าปล่อยตัวตามสบาย ฝืนลุกขึ้น ลงจากเตียงและเปิดประตู เรียกหงจู หงอวี้เข้ามาปรนนิบัติเซียวจวิ้น

เซียวจวิ้นเห็นหลี่เมิ่งซีตื่นขึ้นมาก็แสดงความเหินห่างกับตนทันที รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหายไป เขานั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จา

หงอวี้ และหงจูเข้ามาเห็นคุณชายรองสีหน้าไม่ดีนัก จึงปรนนิบัติด้วยความระมัดระวังที่มากกว่าเดิม ทั้งสองอดทอดถอนในใจไม่ได้ สะใภ้รองผู้นี้ไม่สำรวมเลยแม้แต่น้อย ตื่นเช้ามาก็ทำให้คุณชายรองโมโหเสียแล้ว ไม่รู้จักเอาใจคุณชายรองบ้างหรือไร ทำให้พวกนางที่เป็นบ่าวพลอยทำตัวลำบากไปด้วย นางไม่รู้หลักการที่ว่าแต่งกับไก่อยู่กับไก่ แต่งกับสุนัขอยู่กับสุนัข หรือไร ไม่รู้หรือว่าคุณชายรองเป็นท้องฟ้าของนาง ไม่รู้หรือว่าความสุขในวันข้างหน้าของนางล้วนขึ้นอยู่กับคุณชายรอง ทั้งสองอยากจะดึงตัวสะใภ้รองเข้ามาอบรมสักรอบหนึ่งเหลือเกิน ผ่าสมองนางออกมาดูว่าข้างในใช่มีแต่แป้งเปียกหรือไม่ ไฉนจึงไม่รู้จักแม้กระทั่งหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม

หลี่เมิ่งซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองหงจูเกล้ามวยผมอย่างสตรีสูงศักดิ์ให้ตนเอง นางยื่นมือไปจับผมที่ปรกหน้าผากอยู่ ก่อนจะหันไปถามเซียวจวิ้น “ข้าภรรยาจะไปห้องครัวแล้ว วันนี้คุณชายรองอยากกินอะไรเจ้าคะ”

เนิ่นนานก็ไม่ได้รับคำตอบจากเขาจึงถามต่อ “ข้าภรรยาไปทำบะหมี่หยางชุน ให้คุณชายรองดีหรือไม่ สองวันนี้กินแต่โจ๊กจนเบื่อแล้ว”

“อืม” เซียวจวิ้นรับคำเรียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตู

“คุณชายรอง ระวังหน่อยเจ้าค่ะ!” หงอวี้เห็นเซียวจวิ้นจะออกไปจึงรีบวิ่งไปประคอง

ตอนเช้ายังดีๆ อยู่เลย เขาเป็นอะไรไปอีกแล้ว หลี่เมิ่งซีมองแผ่นหลังของเซียวจวิ้น จับต้นชนปลายไม่ถูก

ตอนเซียวจวิ้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อเสร็จกลับมา หลี่เมิ่งซีก็ทำบะหมี่หยางชุนเสร็จพอดีและยกเข้ามา หงอวี้เอาผ้าชุบน้ำส่งให้เซียวจวิ้นเช็ดมือ อีกด้านสาวใช้ก็จัดสำรับแล้ว เซียวจวิ้นส่งผ้าที่ใช้แล้วให้หงจู เขานั่งลงข้างโต๊ะ ก้มหน้ามองเส้นบะหมี่สีเขียวๆ แดงๆ ในชาม แต่ไม่ได้รับตะเกียบที่หงอวี้ส่งให้ เพียงเงยหน้ามองหลี่เมิ่งซีด้วยความสงสัย

“คุณชายรอง เส้นบะหมี่นี้ข้าภรรยาใช้น้ำหูหลัวปัวและน้ำผักผสมกับแป้งจึงมีสีเช่นนี้ มักได้ยินมารดาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าประโยชน์ของผักอยู่ที่น้ำ เส้นบะหมี่เช่นนี้ย่อมมีทั้งผักและกลิ่นหอม ทั้งยังเต็มไปด้วยสารอาหาร นี่เป็นวิธีที่ข้าภรรยาเรียนรู้มาจากมารดาตอนอยู่บ้านเดิม คุณชายรองลองชิมดูก่อนว่าอร่อยหรือไม่” หลี่เมิ่งซีพูดพลางหยิบถ้วยใบเล็กขึ้นมา นางใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ใส่ถ้วย ยื่นไปตรงหน้าเซียวจวิ้น

เซียวจวิ้นรับมา ลองชิมคำเล็กดูก่อน จากนั้นก็กวาดบะหมี่ในถ้วยเล็กจนหมด สั่งให้คนใช้ชามใหญ่ตักบะหมี่มาพร้อมน้ำแกง ก่อนจะกินอย่างรวดเร็ว หลี่เมิ่งซีคอยคีบอาหารให้ข้างๆ อย่างระวัง ลอบคิดในใจ ไม่พูดยามกิน ไม่คุยยามนอน ธรรมเนียมนี้ช่างดีจริงๆ

ปรนนิบัติเซียวจวิ้นกินอาหารเช้าเสร็จ บ้วนปาก และเก็บชามตะเกียบออกไปแล้ว สาวใช้ก็ยกน้ำชาเข้ามา เซียวจวิ้นนั่งดื่มน้ำชาที่โต๊ะ

หลี่เมิ่งซีให้หงจูปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งกายเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้นพูดกับเซียวจวิ้น “คุณชายรองกินอาหารเช้าเสร็จแล้วพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าภรรยาจะไปคารวะเหล่าไท่จวิน”

“ท่านย่าบอกแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องไป เหตุใดจึงจะไปอีกแล้ว” เซียวจวิ้นมองหลี่เมิ่งซีและถาม

“คุณชายรองสุขภาพไม่ดี ไม่ได้ไปคารวะเหล่าไท่จวินนานแล้ว บัดนี้เพิ่งหายจากโรค แม้ยังมิอาจไปคารวะได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าภรรยาปรนนิบัติอยู่ตรงหน้าตลอดเวลาแล้ว ในเมื่อข้าภรรยาแต่งงานกับคุณชายรองแล้ว ย่อมสมควรไปคารวะผู้อาวุโสแสดงความกตัญญูแทนคุณชายรองอย่างเต็มที่ นี่เป็นหน้าที่ของข้าภรรยาเจ้าค่ะ”

คิดจะไปประจบผู้นำสูงสุดของคฤหาสน์สกุลเซียว ย่อมต้องหาข้ออ้างที่เหมาะสม หาไม่แล้วย่อมฟังดูไร้เหตุผล ช้าเร็วก็ต้องถูกเซียวจวิ้นขัดขวางแน่ หลี่เมิ่งซีขบคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล โกหกได้โดยหน้าไม่แดง หัวใจไม่เต้นรัวแม้แต่น้อย

เซียวจวิ้นฟังนางพูดเช่นนี้แล้วรู้สึกมีเหตุผลจึงผงกศีรษะตอบว่า “เจ้าพูดก็ถูก ลำบากเจ้าอุตส่าห์มีใจเช่นนี้แล้วก็รีบไปเถอะ ช่วยคารวะท่านย่าแทนข้าด้วยและอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนท่านย่า ไม่ต้องรีบร้อนกลับมา บอกท่านย่าว่าข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว ไม่ต้องกังวล ประเดี๋ยวข้าจะไปดูที่ห้องหนังสือสักหน่อย ไม่ได้สะสางเรื่องราวต่างๆ มานาน มีงานสุมอยู่เป็นกอง”

 

ตอนหลี่เมิ่งซีมาถึงเรือนโซ่วสี่ นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ คุณชายใหญ่เซียวชิง สะใภ้ใหญ่จางซื่อ คุณชายสามเซียวอวิ้นล้วนมาถึงก่อนนานแล้ว พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ เหล่าไท่จวินสั่งตั้งสำรับแล้ว เห็นหลี่เมิ่งซีเข้ามาก็ถาม “บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องมาคารวะ เหตุใดจึงมาอีกแล้วเล่า วันนี้จวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”

หลี่เมิ่งซีทำความเคารพและเอ่ยทักทาย ก่อนจะก้าวขึ้นไปตอบ “คุณชายรองเป็นคนสั่งให้หลานมาเจ้าค่ะ คุณชายรองบอกว่าหมู่นี้ร่างกายไม่แข็งแรง ไม่อาจแสดงความกตัญญูต่อเหล่าไท่จวินได้ จึงให้หลานมาแสดงความกตัญญูแทน ทั้งยังให้หลานเรียนเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ว่าสุขภาพของคุณชายรองดีขึ้นมากแล้ว เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”

หลี่เมิ่งซีที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดย่อมเข้าใจดีว่าการที่หลานสะใภ้ชมหลานชายต่อหน้าย่าของสามี ย่อมได้ผลลัพธ์ดียิ่งกว่าการชมตนเองเสียอีก เห็นใบหน้าของเหล่าไท่จวินมีรอยยิ้มจึงพูดต่อ “คุณชายรองยังบอกหลานว่าไม่ต้องรีบร้อนกลับไป คุณชายรองจะไปห้องหนังสือสักหน่อย สั่งให้หลานอยู่ปรนนิบัติเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ และนายหญิงใหญ่ที่นี่เจ้าค่ะ”

“จวิ้นเอ๋อร์อุตส่าห์มีใจกตัญญูเช่นนี้ ในบรรดาหลานหลายคน จวิ้นเอ๋อร์นับว่ากตัญญูที่สุด ปกติเอ็นดูเขาไม่เสียเปล่าจริงๆ เพียงแต่อยากกำชับเขาว่าโรคเพิ่งจะหายดี อย่าทำให้ตนเองเหน็ดเหนื่อย”

หลี่เมิ่งซีรีบผงกศีรษะรับคำ ยามนี้เหล่าไท่จวินก็ยิ้มแย้มอารมณ์ดี ผงกศีรษะติดๆ กัน ไม่ได้สนใจสีหน้าของคุณชายใหญ่กับคุณชายสามด้านข้างแม้แต่น้อย คุณชายใหญ่กับคุณชายสามย่อมไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ก็จนปัญญา ใครให้ผู้อื่นแต่งภรรยาที่ช่างเอาอกเอาใจเช่นนี้เล่า คุณชายใหญ่มองภรรยาผู้อื่นที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยและปากหวานช่างพูด พอหันมามองสะใภ้ใหญ่ของตน แม้จะเรียบร้อยมากเช่นกัน แต่กลับไม่รู้จักเอาใจท่านย่า กลายเป็นว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ ท่านย่ากลับว่าไม่กตัญญู แต่เมื่อคิดถึงหลี่เมิ่งซีที่น่าสงสารและไม่เป็นที่รักของน้องรองแล้ว ทำอย่างไรเขาก็เกลียดนางไม่ลง

นายหญิงใหญ่ได้ยินแม่สามีชมลูกชายตนเองเช่นนี้ มุมปากก็ผลิยิ้ม เหล่าไท่จวินเห็นอาหารถูกยกเข้ามาแล้ว จึงส่งสัญญาณให้สาวใช้จัดโต๊ะ

นายหญิงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลังเหล่าไท่จวินคอยคีบกับข้าวให้ เหล่าไท่จวินเห็นหลี่เมิ่งซีกับสะใภ้ใหญ่อยู่ด้วย นางจึงบอกนายหญิงใหญ่ว่า “ลูกสะใภ้นั่งลงเถอะ มีหลานสะใภ้สองคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”

นายหญิงใหญ่ขอบคุณ ก่อนจะนั่งลงด้านขวามือของเหล่าไท่จวิน

หลี่เมิ่งซีคีบกับข้าวให้เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่อย่างระมัดระวัง นางหรือจะรู้ความชื่นชอบของเหล่าไท่จวิน หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก แต่ภายนอกกลับดูสุขุมมั่นคง คอยสังเกตแววตาของเหล่าไท่จวิน เห็นสายตานางเลื่อนไปยังอาหารจานใดก็จะคีบใส่จานตรงหน้าเหล่าไท่จวิน หลี่เมิ่งซีรู้ว่าปกติคนสูงวัยกินไม่มาก ดังนั้นทุกครั้งนางจึงคีบน้อยมาก เห็นเหล่าไท่จวินกินหมดแล้วแต่ยังอยากจะกินอีก นางถึงจะคีบให้อีกหน่อย นำเอาหลักการกินบุฟเฟ่ต์ของคนยุคปัจจุบันที่เน้นการตักน้อยแต่บ่อยมาใช้อย่างเต็มที่

ในที่สุดภายใต้การชี้แนะของสาวใช้รุ่นใหญ่ของเหล่าไท่จวินซื่อซูและการสังเกตสีหน้าผู้อื่นของนาง อาหารมื้อนี้จึงจบลงโดยไม่มีข้อผิดพลาดใด เห็นเหล่าไท่จวินมองมาด้วยสายตาชื่นชม หลี่เมิ่งซีก็พรูลมหายใจยาวออกมา

เหล่าไท่จวินกินอาหารเสร็จก็มอบอาหารหลายอย่างบนโต๊ะที่ไม่ได้แตะต้องให้สะใภ้ใหญ่กับหลี่เมิ่งซี ให้พวกนางนั่งกินในห้องโถง ก่อนจะสั่งให้คนยกโต๊ะออกไป

นายท่านใหญ่ต้องจัดการเรื่องกิจการของสกุลเซียว จึงขอตัวและไปห้องหนังสือนอกกับเซียวชิง นายหญิงใหญ่เนื่องจากถึงเวลาที่ผู้ดูแลงานด้านต่างๆ ในคฤหาสน์มารายงานธุระแล้วจึงขอตัวด้วยเช่นกัน

เหล่าไท่จวินเพียงโบกมือ “รีบไปเถอะ มีธุระการงานมากมายรออยู่ มีหลานสะใภ้สองคนอยู่เป็นเพื่อนข้าก็พอแล้ว”

หลังจากนายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่จากไปแล้ว หลี่เมิ่งซีกับสะใภ้ใหญ่จึงนั่งลงอีกครั้ง เริ่มสนทนาเรื่องทั่วๆ ไปกับเหล่าไท่จวิน

เหล่าไท่จวินเงยหน้าขึ้น เห็นเซียวอวิ้นยังนั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าพลันขรึมลง “อวิ้นเอ๋อร์ ไฉนจึงยังนั่งอยู่อีกเล่า เหตุใดยังไม่รีบไปสำนักศึกษาอีก นายท่านใหญ่รู้เข้าย่อมต้องถูกตำหนิอีกแน่”

“ท่านย่า วันนี้อาจารย์ต้องเข้าวังจึงหยุดสอนหนึ่งวัน บอกว่าไม่ต้องไปสำนักศึกษา ให้ทบทวนบทเรียนอยู่ที่บ้านก็พอขอรับ” เซียวอวิ้นรีบลุกขึ้นพูด

“แล้วเจ้ายังไม่รีบไปห้องหนังสือท่องตำราอีก ใกล้จะถึงกำหนดสอบเซียงซื่อปีหน้าแล้ว หากยังสอบไม่ผ่านอีก ระวังนายท่านใหญ่จะทุบเจ้าเอาได้” เหล่าไท่จวินว่า

“ที่แท้ปีหน้าซานซู จะไปสอบเคอจวี่หรือ เล่าเรียนที่สำนักศึกษาข้างนอก ไฉนจึงมีอาจารย์จากในวังได้” หลี่เมิ่งซีได้ยินเหล่าไท่จวินพูดเช่นนี้ก็ถามด้วยความประหลาดใจ

“เป็นสำนักศึกษาของสกุลเซียว คุณชายสามสอบเซียงซื่อสองปีแล้วยังไม่ผ่าน ปีก่อนคุณชายรองจึงวานพระชายาจิ้งเฟยที่อยู่ในวังให้หาอาจารย์แซ่หลี่มาสอนหนังสือ ว่ากันว่าแต่ก่อนอาจารย์ผู้นี้เคยสอนรัชทายาท ทุกเดือนจะมาสอนที่นี่สิบวัน เวลาอื่นๆ ยังคงเป็นอาจารย์ของสกุลเซียวเป็นผู้สอน” สะใภ้ใหญ่อธิบายเสียงค่อยเนิบช้า เวลานี้เซียวอวิ้นก็ลุกขึ้นขอตัวเดินออกไปแล้ว

เหล่าไท่จวินมองสะใภ้ใหญ่ ถามว่า “ได้ยินว่าเมื่อวานชิงเอ๋อร์ไปส่งซุนอี๋เหนียงกลับบ้านเดิมหรือ”

“เรียนเหล่าไท่จวิน สองวันก่อนซุนอี๋เหนียงเป็นหวัด ประจวบเหมาะพี่น้องจากทางตอนใต้ของนางกลับมาเยี่ยมบ้าน ซุนอี๋เหนียงขออนุญาตคุณชายใหญ่แล้ว คุณชายใหญ่เองก็อยากให้ซุนอี๋เหนียงออกไปผ่อนคลายจิตใจ อาการป่วยจะได้หายเร็วขึ้นหน่อยจึงได้อนุญาต เมื่อวานคุณชายใหญ่จะไปร่วมงานเลี้ยงของสหายคนหนึ่ง อยู่ทางเดียวกันพอดี จึงถือโอกาสพาไปส่งเจ้าค่ะ” สะใภ้ใหญ่ตอบ

“ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงอนุ กลับตามอกตามใจถึงเพียงนั้น ให้บ่าวชายไปส่งนางก็พอแล้ว มีเหตุผลใดต้องไปส่งด้วยตนเองอีก ดีร้ายอย่างไรชิงเอ๋อร์ก็เป็นถึงนายอำเภอขั้นห้า เหตุใดจึงเลอะเลือนเช่นนี้ อีกอย่างซุนอี๋เหนียงก็ป่วยอยู่ อนุญาตให้ออกจากคฤหาสน์ไปได้อย่างไร สกุลของพวกเราทำอย่างนี้ หากให้ญาติสนิทมิตรสหายรู้เข้าจะไม่หัวเราะเยาะเราที่ไร้ระเบียบกฎเกณฑ์หรือ ชิงเอ๋อร์วู่วามเลอะเลือน ไยเจ้าจึงไม่ตักเตือนบ้าง ปกติเห็นเจ้าเป็นคนรู้หนังสือรู้มารยาท เหตุใดจึงไม่เอาไหนเช่นนี้นะ!” เหล่าไท่จวินพูดไปพูดมา น้ำเสียงก็เฉียบขาดขึ้น

ที่แท้กฎธรรมเนียมในคฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้ก็เข้มงวดมาก สตรีเมื่อแต่งเข้ามาแล้วจะไม่อนุญาตให้กลับบ้านไปง่ายๆ โดยเฉพาะหากเป็นอนุ เพราะเท่ากับขายตัวให้บ้านสามีแล้ว เว้นแต่บ้านเดิมมีอำนาจเป็นพิเศษ สามารถส่งคนกลับมารับไปอยู่เป็นครั้งคราวได้ไม่เกินสองสามวัน เหล่าไท่จวินได้ยินว่าเซียวชิงไม่เพียงอนุญาตให้อี๋เหนียงกลับบ้าน ยังไปส่งอีกฝ่ายด้วยตนเอง อีกทั้งอี๋เหนียงก็ยังป่วยอยู่ด้วย พูดออกไปแล้ว ราวกับอี๋เหนียงอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วจะไม่ให้โกรธได้อย่างไร

หลี่เมิ่งซีเองก็เพิ่งรู้กฎธรรมเนียมข้อนี้เช่นกัน นางอดไม่ได้ที่จะลอบสะท้อนใจในความน่าเศร้าของการเกิดเป็นสตรีในยุคสมัยนี้

สะใภ้ใหญ่ฟังแล้วรีบลุกขึ้นคุกเข่า “เหล่าไท่จวินกล่าวถูกต้อง หลานเลอะเลือนไปเจ้าค่ะ ต่อไปหลานจะตักเตือนคุณชายใหญ่ให้มาก”

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ พรุ่งนี้ส่งบ่าวชายไปรับกลับมาแต่เช้า จะปล่อยให้นางกลับไปอยู่บ้านเดิมเช่นนี้ไม่ได้ กลับมาแล้วก็ลงโทษกักบริเวณในเรือนสามวัน คัด ‘ข้อห้ามสตรี’ สิบจบ ให้นางจดจำให้ขึ้นใจ อย่าคิดว่าจะอาศัยใบหน้าเหมือนนางจิ้งจอกของตนเองยุยงให้คุณชายใหญ่ทำอะไรนอกกฎธรรมเนียมได้”

“เจ้าค่ะ หลานทราบแล้ว” สะใภ้ใหญ่รับคำพลางลุกขึ้น

เหล่าไท่จวินมองหลี่เมิ่งซีก็คิดถึงโจ๊กกับขนมที่นางส่งมาให้เมื่อวาน “ขนมที่ส่งมาเมื่อวานซีเอ๋อร์ก็ทำเองหรือ ข้าไม่เคยกินมาก่อน โจ๊กอะไรสักอย่างที่ส่งมาเมื่อวานก็อร่อยมาก ปกติเห็นของพวกนั้นเป็นเพียงต้นหญ้า ก็คิดว่ากินไม่ได้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าพอตั้งใจทำออกมาแล้ว รสสัมผัสจะนุ่มลื่น กินลงไปแล้วหอมทีเดียว เทียบได้กับอาหารหรูหราราคาแพงเชียวล่ะ”

“เหล่าไท่จวิน นั่นเรียกว่าโจ๊กอายุยืนเจ้าค่ะ ไหนเลยจะเทียบกับอาหารหรูหราราคาแพงได้ เพียงแต่ปกติเหล่าไท่จวินกินอาหารล้ำค่าจนชินแล้ว พอเปลี่ยนมากินโจ๊กผักรสอ่อนบ้างเป็นบางครั้งย่อมรู้สึกแปลกใหม่ ขนมเมื่อวานก็เรียกว่าขนมดอกกุ้ยใส่น้ำผึ้งเจ้าค่ะ เอาน้ำผึ้งอย่างดี ไข่ไก่ ดอกกุ้ย และแป้งมานึ่ง ถ้าเหล่าไท่จวินชอบกิน วันหน้าหลานจะทำให้ท่านกินบ่อยๆ หลานยังเรียนรู้การทำอาหารอื่นๆ มาจากมารดาอีกมาก ไว้มีเวลาจะทำให้ท่านลองชิมเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีพูดเอาใจเหล่าไท่จวิน ลอบคิดว่า หากใช้เตาอบในยุคปัจจุบันอบจะอร่อยยิ่งกว่านี้อีก น่าเสียดายที่ที่นี่คือยุคโบราณ

“ดี ดี หายากที่ซีเอ๋อร์มีใจกตัญญู ข้าแต่งหลานสะใภ้ที่ดีคนหนึ่งเข้ามา นับว่าเป็นลาภปากเสียแล้ว วันใดทำแล้วเอามาให้ข้าลองชิมนะ ขาดอะไรก็ไปเอาจากนายหญิงใหญ่ได้เลย”

“ตอนอยู่บ้านเดิมสะใภ้รองจัดการงานบ้านงานเรือนอยู่บ่อยๆ หรือ ช่างมีไหวพริบและมีฝีมือโดยแท้!” สะใภ้ใหญ่ถาม

หลี่เมิ่งซีตกใจ ลอบอุทานว่าตนเองประมาทเสียแล้ว นางเป็นคุณหนูสายตรงของสกุล จะมาจัดการงานบ้านงานเรือนได้อย่างไร บุตรสาวสกุลใหญ่ทั้งหลาย ต่อให้เกิดจากอนุ ก่อนออกเรือนก็ไม่อาจจัดการงานในบ้านได้ จะปล่อยให้คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนมาพบปะกับบ่าวชาย สาวใช้ และบ่าวหญิงสูงวัยทั้งเรือนได้อย่างไร ถือเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียง และทำลายเกียรติของตนเองเปล่าๆ

แต่เหตุใดสะใภ้ใหญ่ถึงถามเช่นนี้เล่า คิดแล้วจึงรีบตอบว่า “ตอนหลานอยู่บ้านเดิม งานบ้านงานเรือนมารดาล้วนเป็นผู้ดูแลจัดการโดยมีอี๋เหนียงทั้งห้าคอยช่วยเหลือ มารดาไม่เคยให้หลานจัดการเลย ทั้งยังไม่เคยเอ่ยถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลาน เพียงแต่มารดามักบอกว่าสตรีออกเรือนไปแล้วต้องกตัญญูพ่อแม่สามี เกื้อหนุนสามีอบรมบุตร ดังนั้นเวลามารดาทำอาหารให้บิดาในห้องครัวเล็กจึงมักให้หลานอยู่ข้างกายเสมอ ให้หลานคอยดูไว้ ทั้งยังชี้แนะเรื่องที่หลานไม่เข้าใจให้ฟังอยู่บ่อยๆ มักอบรมหลานว่าวันหน้าออกเรือนไปแล้ว ต้องพยายามทำอาหารให้แม่สามีกับสามีกินด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

“ลำบากบิดามารดาของเจ้าแล้วที่อบรมเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นคนว่าง่ายและกตัญญูถึงเพียงนี้ นี่นับเป็นวาสนาของจวิ้นเอ๋อร์” เหล่าไท่จวินพูด

ตอนนี้ในใจหลี่เมิ่งซีรู้สึกร้อนตัว นางไม่รู้สถานการณ์ของบ้านเดิมของตนเองในตอนนี้เลยจริงๆ ช่วงเวลาไม่กี่วันที่อยู่คฤหาสน์สกุลหลี่ มีเพียงจ้าวอี๋เหนียงมารดาบังเกิดเกล้าของนางมาพูดคุยด้วยเท่านั้น ‘มารดา’ ที่นางพูดถึงอยู่บ่อยๆ นั้นจะอ้วนหรือผอมนางยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ด้วยกลัวเหล่าไท่จวินซักไซ้ต่อไปแล้วจะเผยพิรุธ ครั้นเห็นเหล่าไท่จวินบิดคอบ่อยครั้ง เวลายกแขนก็ต้องออกแรงเล็กน้อย นางจึงรีบถาม “เหล่าไท่จวินไม่สบายไหล่หรือเจ้าคะ”

“โรคเก่าน่ะ สมัยสาวๆ ถูกลมหนาวเข้า เลยทิ้งโรคเรื้อรังไว้ นับแต่นั้นมาพอเหนื่อยก็จะรู้สึกแขนไม่มีแรง หลายปีมานี้หาหมอมามากมาย แต่ยังไม่อาจรักษาให้หายขาด เมื่อคืนนอนตกหมอนอีก ตอนนี้จึงรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง เฮ้อ ข้าแก่แล้ว ร่างกายไม่เอาไหนจริงๆ โรคอะไรก็ถามหาทั้งนั้นละ!” เหล่าไท่จวินนวดไหล่ขวาพลางพูด

หลี่เมิ่งซีเดาว่าเหล่าไท่จวินน่าจะเป็นโรคจำพวกข้ออักเสบ การนวดเป็นวิธีการรักษาที่ดีมากสำหรับโรคจำพวกนี้ แต่ทักษะการนวดสมัยโบราณยังไม่เป็นที่นิยม อีกทั้งหมอส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษ ในยุคสมัยนี้หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน สตรีจะให้หมอตรวจโรคยังต้องมีม่านกั้น และได้แต่ยื่นมือออกมา วางผ้าเช็ดหน้าบนข้อมือและให้หมอตรวจชีพจร หาไม่แล้วการตรวจชีพจรผ่านเส้นด้าย จะโด่งดังได้อย่างไรเล่า ดังนั้นแม้แต่เหล่าไท่จวินของคฤหาสน์สกุลเซียวที่ร่ำรวยมหาศาลก็ยังไม่ได้รับความสุขจากการนวด ได้แต่ให้สาวใช้บีบขาทุบไหล่ทุกวันเท่านั้น

นี่เป็นโอกาสอันดีในการประจบเหล่าไท่จวิน หลี่เมิ่งซีต้องทำให้เหล่าไท่จวินยอมรับนางก่อนที่เหล่าไท่จวินจะรู้ว่านางเป็นลูกอนุ แบบนี้นางถึงจะมีโอกาสอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวต่อไป อย่างน้อยก็สามารถถอนตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย คิดเช่นนี้แล้วจึงลุกขึ้นก้าวออกไป

“ให้หลานนวดให้เหล่าไท่จวินเถอะเจ้าค่ะ บางทีอาจรู้สึกดีขึ้นบ้าง ตอนอยู่บ้านหลานบีบนวดให้มารดาอยู่บ่อยๆ”

หลี่เมิ่งซีพูดจบก็ยังเห็นเหล่าไท่จวินไม่ตอบอะไร นางจึงสั่งให้สาวใช้ยกน้ำล้างมือเข้ามา ล้างมือเสร็จก็ส่งผ้าเช็ดมือให้หงจู นางเดินไปข้างหลังเหล่าไท่จวิน รวบนิ้วกลาง นิ้วชี้ นิ้วนางเข้าด้วยกันและกดนวดบริเวณลำคอของเหล่าไท่จวิน นวดจากจุดเฟิงฉือไปถึงจุดต้าจุย ซ้ำไปมา จากนั้นจึงใช้กลางฝ่ามือออกแรงนวดจากบริเวณเฟิงฉือข้างลำคอด้านหนึ่งไปยังบริเวณเฟิงฉือข้างลำคออีกด้านหนึ่ง คลึงซ้ำไปมา แล้วค่อยๆ เลื่อนลงข้างล่าง ระหว่างนั้นก็นวดคลึงจากซ้ายไปขวาด้วย จนถึงจุดต้าจุย ใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลางข้างขวาบีบจุดเฟิงฉือทั้งสองข้าง บีบนวดไปตามกล้ามเนื้อลำคอจนถึงต้นคอ สุดท้ายก็กำมือเป็นหมัดหลวม ใช้ข้อนิ้วชี้นวดศีรษะด้านหลังของเหล่าไท่จวิน

นวดลำคอเสร็จ หลี่เมิ่งซีก็เริ่มใช้วิธีพิเศษนวดจุดเจียนจิ่ง จุดเทียนจง จุดปิ่งเฟิง จุดเฟิงฉือ สุดท้ายจึงกำเป็นหมัดหลวมๆ ทุบหลังให้เหล่าไท่จวิน นวดหลังเสร็จก็ใช้นิ้วโป้งกดจุดเน่ยกวน จุดชวีฉือ จุดชวีเจ๋อ บนแขน แล้วไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ

ระหว่างนี้ที่มองจากสายตาคนนอก ดูเหมือนหลี่เมิ่งซีจะบีบๆ นวดๆ ทุบๆ กดๆ ไปอย่างง่ายๆ โดยหารู้ไม่ว่านี่เป็นทักษะการนวดสมัยใหม่อันลึกล้ำ

ตอนหลี่เมิ่งซีนวดใหม่ๆ เหล่าไท่จวินก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงคิดว่าหลานสะใภ้อยากแสดงความกตัญญู เอาใจตนเท่านั้น จึงไม่ได้ปฏิเสธและตามใจนาง แต่นวดไปได้ไม่กี่ที ความรู้สึกสบายก็แผ่จากคอและไหล่ไปทั่วร่างกาย รู้สึกว่าแขนกับไหล่เบาขึ้นไม่น้อย ตาก็ค่อยๆ ปิดลง กว่าหลี่เมิ่งซีจะนวดเสร็จ เหล่าไท่จวินก็หลับไปแล้ว

หลี่เมิ่งซีส่งสายตาบอกสาวใช้รุ่นใหญ่ของเหล่าไท่จวินซื่อฮว่าให้นำผ้าห่มผืนบางเข้ามา แล้วคลุมให้เหล่าไท่จวินอย่างอ่อนโยนและสบตากับสะใภ้ใหญ่ ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันและเดินย่องไปที่ประตู

ตอนที่ใกล้ถึงประตูก็ได้ยินเสียงของเหล่าไท่จวินลอยมา “ซีเอ๋อร์มือดีเหลือเกิน นวดจนข้ารู้สึกสบายไปทั้งตัว ไหล่ก็เบาขึ้นไม่น้อย แต่ก่อนเคยเรียนมาหรือ”

สะใภ้ใหญ่กับหลี่เมิ่งซีรีบหมุนตัวกลับมา เดินกลับมาข้างกายเหล่าไท่จวิน หลี่เมิ่งซีจึงย่อกายตอบว่า “ตอนหลานอยู่บ้านเดิม มารดาเหน็ดเหนื่อยกับการดูแลงานบ้านงานเรือน มักปวดเมื่อยไหล่อยู่เสมอ หลานคอยนวดให้มารดาอยู่บ่อยๆ มารดาเองก็บอกว่าสบายมาก หลานจึงคิดว่าลองนวดให้เหล่าไท่จวินจะต้องผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยแน่ เมื่อครู่หลานกับสะใภ้ใหญ่เห็นเหล่าไท่จวินหลับไปแล้ว เกรงว่าจะรบกวนท่านจึงคิดจะไปรอที่ห้องด้านนอก ไม่คิดว่าเหล่าไท่จวินจะตื่นเร็วถึงเพียงนี้”

“สายมากแล้ว พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ จวิ้นเอ๋อร์ยังไม่แข็งแรง บอกให้เขาพักผ่อนอยู่ในเรือนให้ดีก็พอ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ซีเอ๋อร์คอยปรนนิบัติให้ดี ชีวิตประจำวันขาดเหลืออะไรให้ส่งคนไปขอกับแม่สามีเจ้า ตอนบ่ายไม่ต้องมาที่นี่แล้ว” เหล่าไท่จวินสั่งหลี่เมิ่งซีด้วยความเมตตา

หลี่เมิ่งซีรีบรับคำ อำลาเหล่าไท่จวินและออกมาพร้อมสะใภ้ใหญ่ ก่อนจะพาหงจูเดินกลับเรือนเซียวเซียง

 

ตอนทั้งสองกลับถึงเรือนเซียวเซียง สาวใช้หลายคนก็ยืนอยู่นอกห้อง กำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อย เห็นสะใภ้รองกลับมาก็มีสาวใช้วิ่งเข้าไปรายงานข้างใน ช่วยหงจูเปิดประตู หลี่เมิ่งซีจึงก้าวเข้าไป

เซียวจวิ้นกลับจากห้องหนังสือนานแล้ว เขาเอนกายอยู่บนเตียง หลับตาพักผ่อน หงอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้กลมข้างเตียงทุบขาให้เขาเบาๆ เห็นหลี่เมิ่งซีเข้ามา เซียวจวิ้นก็ลืมตาลุกขึ้นนั่ง หงอวี้จึงรีบลุกขึ้นหลบไปยืนอยู่ด้านข้าง

“วันนี้ท่านย่าสดชื่นดีหรือไม่ ท่านย่าพูดอะไรบ้าง”

“วันนี้เหล่าไท่จวินกระปรี้กระเปร่าดีเจ้าค่ะ ยังมอบอาหารในเรือนหลักให้ด้วย ข้าภรรยาจึงกินอาหารเช้าที่นั่น เหล่าไท่จวินสั่งว่าให้คุณชายรองพักฟื้นอยู่ในเรือน ไม่ต้องเป็นห่วงเหล่าไท่จวินเจ้าค่ะ”

หลี่เมิ่งซีตอบและเดินช้าๆ ไปนั่งบนเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะ ขบคิดดูแล้วจึงพูดต่อ “วันนี้เหล่าไท่จวินนอนตกหมอน ข้าภรรยาก็อยู่ช่วยนวดให้ ดังนั้นจึงเพิ่งกลับมาตอนนี้”

เซียวจวิ้นฟังนางพูดเช่นนี้ คิดถึงที่นางนวดเท้าให้เขาเมื่อวาน นางนวดได้สบายมากจริงๆ ทำให้เขาหลับสนิททั้งคืน คิดเช่นนี้แล้ว ในใจก็อ่อนโยนลงหลายส่วน มุมปากยกขึ้นนิดๆ อยากให้หลี่เมิ่งซีนวดมือเท้าให้เขาอีก “ซีเอ๋อร์ เช่นนั้น…” เพียงแต่คำพูดยังไม่ทันออกจากปากก็ถูกสาวใช้เชี่ยนเอ๋อร์ขัดจังหวะเสียก่อน

“เรียนคุณชายรอง สะใภ้รอง อี๋เหนียงทั้งสามมาคารวะคุณชายรองกับสะใภ้รองแล้ว ตอนนี้รออยู่นอกห้องโถง จะให้พวกนางเข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ”

“เปลี่ยนเสื้อให้ข้า” เซียวจวิ้นฟังแล้วไม่ได้พูดต่อ เพียงหันไปสั่งหงอวี้

ตั้งแต่แต่งเข้ามา นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวจวิ้นเรียกนางอย่างอ่อนโยนว่าซีเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรกันแน่นะ แต่เซียวจวิ้นไม่อยากพูดแล้ว นางก็ไม่สะดวกที่จะถาม ถึงอย่างไรเพียงพอนเหลืองมาเยี่ยมเยือนไก่วันปีใหม่ ย่อมไม่มีเรื่องดีอยู่แล้ว หลี่เมิ่งซีลอบครุ่นคิด ก่อนจะลุกเดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยสีหน้าปกติ ให้หงจูช่วยแต่งตัวให้อีกครั้ง

“คุณชายรองจะไปที่ใดหรือ” หงจูหวีผมให้ตน หลี่เมิ่งซีเห็นจากคันฉ่องว่าเซียวจวิ้นสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ทำท่าเหมือนจะออกไปข้างนอกจึงถามดู

“อี๋เหนียงทั้งหลายมาคารวะมิใช่หรือ” เซียวจวิ้นมองนางเหมือนมองคนปัญญาอ่อน

ที่แท้เมื่อครู่เซียวจวิ้นคิดถึงความอ่อนโยนตอนหลี่เมิ่งซีนวดเท้าให้เขาเมื่อคืน ตลอดจนบะหมี่หยางชุนเมื่อเช้า ส่วนลึกในใจจึงเกิดความรักใคร่สงสารนาง เขาจึงคิดจะออกไปพบอี๋เหนียงทั้งหลายกับนาง สนับสนุนนางสักหน่อย ถึงอย่างไรเรื่องของหลี่อี๋เหนียงก็บานปลายเกินไป ทำให้นางเสียหน้า เกรงว่าวันหน้านางจะถูกพวกอี๋เหนียงรังแกเข้าจริงๆ

เพียงแต่การกระทำของเขาออกจะช้าไปสักหน่อย ตอนนี้หลี่เมิ่งซีไม่กล้าคิดเข้าข้างตนเองว่าเซียวจวิ้นจะสนับสนุนนางแล้ว ตั้งแต่วันนั้นที่นางขอร้องเขาเสียงอ่อนเสียงหวานให้เขาไปรับการคารวะน้ำชาจากอี๋เหนียงเป็นเพื่อนแล้วถูกปฏิเสธ นางก็ปักใจเชื่อว่าการอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียว เซียวจวิ้นไม่มีทางยืนอยู่ฝั่งเดียวกับนางและสนับสนุนนางถึงได้ถามเช่นนี้

ฟังคำพูดของเขาแล้ว นางจึงคิดไปเองว่าจะต้องเป็นเพราะวันก่อนหลี่อี๋เหนียงมาฟ้อง เขารู้สึกว่านางรังแกอนุรักของเขามากเกินไป ถึงได้ร้อนใจออกมาปกป้องอนุรักเพื่อไม่ให้วันนี้อนุรักถูกนางรังแกอีกเป็นแน่ ทว่าหลี่เมิ่งซีลืมไปอย่างหนึ่งว่าเซียวจวิ้นไปพบอี๋เหนียงเป็นเพื่อนนาง หาได้มาพบนางเป็นเพื่อนอี๋เหนียง

หากเซียวจวิ้นรู้ความคิดนี้ของหลี่เมิ่งซีจะต้องเต้นผางร้องว่าตนถูกปรักปรำเสียงดังแน่ ไม่ได้รับความเป็นธรรมยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ เสียอีก บางครั้งความเข้าใจผิดบางอย่างก็เกิดขึ้นได้ในชั่วเวลาสั้นๆ

หลี่เมิ่งซีลุกขึ้นอย่างสุขุม เดินตามหลังเซียวจวิ้น คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลังมุ่งหน้าไปยังห้องโถง แต่ละคนต่างมีความคิดในใจ แต่ไม่เอ่ยออกมา

เมื่อมาถึงห้องโถงพร้อมกันและนั่งลง หลี่เมิ่งซีก็เหลือบมองเซียวจวิ้นแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่คิดจะพูดอะไร จึงสั่งหงจูที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เชิญอี๋เหนียงทั้งหลายเข้ามาเถอะ”

หงจูส่งสายตากับสาวใช้รุ่นเล็กด้านข้าง สาวใช้คนนั้นก็รีบออกไปเชิญ

เพียงครู่เดียว นอกจากหลี่อี๋เหนียงแล้ว อี๋เหนียงทั้งสามต่างให้สาวใช้ประคองเข้ามาในห้องโถง เงยหน้าเห็นเซียวจวิ้นนั่งอยู่ด้วยต่างก็ตะลึงงัน เห็นทีจะไม่เหมือนที่ผู้คนลือกันว่าคุณชายรองไม่ชอบสะใภ้รอง นี่เพิ่งจะหายป่วยเองมิใช่หรือ คุณชายรองก็ออกมาเป็นเพื่อนสะใภ้รองเสียแล้ว

ทุกคนลอบคิดในใจว่าสะใภ้รองช่างร้ายกาจ แต่ละคนเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิม

 

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 26 มีนาคม)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Jamsai Editor: