บทที่ 1
“เซียนปรุงยาเป็นใครกันแน่”
“เป็นเช่นที่รัชทายาทคาดเดา เซียนปรุงยาคือฮูหยินของเซียวจวิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว แววตาของซั่งกวนหงฮุยก็หม่นลง พึมพำว่า “เป็นนางจริงๆ!”
เห็นแววตาผิดหวังของรัชทายาทแล้ว หลี่จั้นลอบถอนหายใจ คิดถึงประกายในดวงตาของรัชทายาทตอนเอ่ยถึงเรื่องที่เซียนปรุงยาเป็นสตรี เขาตระหนักว่ารัชทายาทชื่นชอบเซียนปรุงยา แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะมีสามีแล้วเช่นนี้ เห็นรัชทายาทมีสีหน้าหม่นหมองและพึมพำกับตนเอง เขากระแอมทีหนึ่งก่อนพูด “ตั้งแต่รัชทายาทตรัสกับกระหม่อมว่าตอนอยู่ร้านยาอี๋ชุนเห็นเซียวฮูหยินมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเซียนปรุงยาอย่างมาก กระหม่อมก็ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในปีนั้นตอนเซียวจวิ้นพาฮูหยินไปไหว้พระที่วัดจิ้งอวิ๋นและเดินสวนกับกระหม่อมไป กระหม่อมรู้สึกคุ้นเคยเช่นกัน หันไปมองอีกครั้งนางก็ขึ้นรถม้าไปแล้ว กระหม่อมคลางแคลงใจอยู่ตลอดจนกระทั่งได้ยินคำพูดของท่าน ย้อนนึกถึงสองปีมานี้ เซียนปรุงยาบอกว่าท่องเที่ยวไปทั่วขุนเขาและสายน้ำ แต่พวกเราตามหาทั่วทุกหนแห่งในต้าฉีแล้วกลับไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อย นอกจากหลบอยู่ในคฤหาสน์แล้วย่อมไม่มีที่อื่นอีก เพียงแต่พวกเราละเลยไปเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นรัชทายาทผงกศีรษะ หลี่จั้นจิบน้ำชาและพูดต่อ “พอคิดเชื่อมโยงว่าหลี่ตู้มีกำลังทรัพย์มากมายเช่นนั้น น้องสาวเขาเดิมทีเป็นคุณหนูผู้สูงส่ง แต่เขากลับไม่ยอมไถ่ตัวนางกลับมา ยินดีเป็นเพียงบ่าวอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียว เพราะอะไร หากมิใช่เพราะเจ้านายที่นางปรนนิบัติมีอำนาจยิ่งกว่า หากมิใช่เหตุผลนี้ย่อมไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก กระหม่อมเคยนัดเซียวจวิ้นสามีภรรยาออกมาหลายครั้ง เซียวจวิ้นล้วนบ่ายเบี่ยงโดยอ้างว่าฮูหยินร่างกายไม่แข็งแรง ทำให้กระหม่อมยิ่งแน่ใจ”
“วันนั้นเซียวฮูหยินมีผ้าโปร่งสีดำคลุมหน้า ทั้งยังมีเซียวจวิ้นคอยขัดขวาง รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือน แต่สีผิวกลับแตกต่างกันมาก”
“รัชทายาท สีผิวสามารถทำให้ดำได้ ที่น่าสงสัยที่สุดคือเซียวฮูหยินตายแล้วกลับฟื้นคืนชีพ ยานั้นน้องสาวของหลี่ตู้เป็นผู้นำมาให้ กระหม่อมได้ยินว่านางเอายามาให้แล้วกลับมาเป็นบ่าวอีกครั้ง เรื่องนี้จะบังเอิญถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ด้วยเกรงว่าจะผิดพลาด กระหม่อมนึกขึ้นได้ว่าคุณชายเถาเคยมีวาสนาได้พบเซียวฮูหยินมาก่อน เขามักยกย่องว่านางเปี่ยมด้วยความสามารถ ดังนั้นกระหม่อมจึงวาดใบหน้าของเซียนปรุงยาโดยแต่งกายเป็นสตรีและให้คุณชายเถาดู คุณชายเถาเห็นแล้วผงกศีรษะติดๆ กัน นั่นก็หมายความว่า…” หลี่จั้นพูดจบ เห็นรัชทายาทขมวดคิ้วมุ่นจึงอดร้องเรียกไม่ได้ “รัชทายาท!”
ซั่งกวนหงฮุยพึมพำว่า “หากเป็นเช่นที่เจ้าพูดจริงๆ เช่นนั้นเซียนปรุงยาก็คือเซียวฮูหยิน ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้นางจึงถูกพิษจนทำให้เซียวจวิ้นต้องไปคุกเข่าขอร้องที่ร้านยาอี๋ชุน”
“เรื่องนี้กระหม่อมก็ไม่แน่ใจเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่ทั้งนายท่านใหญ่และเซียวจวิ้นต่างก็เคยไปคุกเข่าขอร้องร้านยาอี๋ชุน เช่นนั้นย่อมมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คนสกุลเซียวไม่รู้ว่าเซียนปรุงยาอยู่ในคฤหาสน์ของพวกเขา”
“เซียวจวิ้นเคยขอร้องข้าให้พาเขาไปพบเซียนปรุงยา ข้าก็เดาว่าสกุลเซียวไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่นางเป็นสตรีที่อาศัยอยู่ในห้องหับ ไปเอาวิชาแพทย์ล้ำเลิศถึงเพียงนั้นมาจากที่ใด”
“รัชทายาท กระหม่อมได้ยินว่าหลี่ตู้ผู้นั้นไม่ว่าเดินทางไปที่ใด ขอเพียงเจอตำราดีหรือตำราแปลกๆ เขาจะนำเงินมหาศาลและยาดีไปแลกมาโดยไม่เสียดาย กระหม่อมเคยมอบตำราที่มีอยู่เพียงฉบับเดียวให้เขาหลายเล่ม เดิมทีคิดว่าหลี่ตู้ชอบอ่านตำรา ภายหลังจึงรู้ว่าเซียนปรุงยาต่างหากที่ชื่นชอบการอ่านตำรา บางทีเซียนปรุงยาอาจเฉลียวฉลาดมาแต่กำเนิด อ่านตำราทุกวันโดยไม่มีอาจารย์ชี้แนะก็เข้าใจได้เองก็เป็นได้”
ซั่งกวนหงฮุยเหลือบมองหลี่จั้นแวบหนึ่ง ผงกศีรษะก่อนจะส่ายหน้า พึมพำกับตนเอง “หากเซียนปรุงยาคือเซียวฮูหยินจริงๆ ข้าจะพานางลงใต้ได้อย่างไร”
“รัชทายาท เดิมทีตามพระประสงค์ของท่าน พยายามไม่เปิดเผยฐานะของเซียนปรุงยา เยียนอ๋องย่อมไม่อาจลงมือกับร้านยาอี๋ชุนได้ แต่สถานการณ์บีบบังคับ ไม่นับเรื่องที่ท่านต้องพาเซียนปรุงยาเดินทางลงใต้ แค่ดูจากการกระทำของเยียนอ๋องตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเดิมพันด้วยทุกอย่างแล้ว ใกล้จะคลุ้มคลั่งเต็มที ก้าวต่อไปเขาต้องลงมือกับสกุลเซียวและร้านยาอี๋ชุนแน่ ช้าเร็วคฤหาสน์สกุลเซียวต้องวุ่นวาย เซียนปรุงยาถอนตัวออกมาได้ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี ท่านต้องเปิดเผยความจริงกับเซียวจวิ้นโดยเร็วที่สุด เปิดเผยฐานะของเซียนปรุงยา และพยายามเจรจาให้ร้านยาอี๋ชุนกับสกุลเซียวมีความเห็นที่ตรงกัน จากนั้นท่านกับเซียวจวิ้นต้องพาเซียนปรุงยาเดินทางลงใต้ก่อนที่เยียนอ๋องจะลงมือ นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
ฟังคำพูดหลี่จั้นแล้ว ซั่งกวนหงฮุยพยักหน้า เขาเงียบไปนานและพึมพำว่า “นึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าสกุลเซียวรู้ว่าเซียนปรุงยาอยู่ในคฤหาสน์ของพวกเขาจะมีท่าทีเช่นไร ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวจงจื่อเคยบอกว่าเซียวฮูหยินเป็นลูกอนุที่แต่งเข้าคฤหาสน์สกุลเซียวแทนลูกภรรยาเอก ฐานะของนางขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษสกุลเซียว ไม่รู้ว่าหากข้าคอยยุแยงจะทำให้สกุลเซียวหย่านางได้หรือไม่”
“รัชทายาทจะทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ภาษิตว่ารื้อศาลเจ้าสิบแห่งยังดีกว่าทำลายคู่สามีภรรยา ไม่พูดถึงตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่รัชทายาทกำลังต้องการใช้คน มิอาจขัดแย้งกับสกุลเซียวได้ เอาแค่การถูกหย่าเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงของสตรี หากเซียนปรุงยาได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่ถูกหย่า นางย่อมมิอาจสู้หน้าใครในต้าฉีได้อีก”
ซั่งกวนหงฮุยเหลือบมองหลี่จั้นแวบหนึ่ง พึมพำถามว่า “เจ้าว่าเสด็จพ่อจะทรงอนุญาตให้ข้าแต่งงานกับสตรีที่ถูกหย่าหรือไม่”
“รัชทายาท!” คำพูดของรัชทายาททำเอาหลี่จั้นตกใจจนใบหน้าซีดเผือด ร้องอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
ซั่งกวนหงฮุยโบกมือหยุดเขาและเอ่ยว่า “ได้! ทำตามที่เจ้าบอก พรุ่งนี้ข้าจะไปคฤหาสน์สกุลเซียวด้วยตนเอง สองวันนี้เตรียมพร้อมให้ดี ไปโน้มน้าวสกุลเซียวได้แล้ว ข้าจะเดินทางลงใต้พร้อมเซียวจวิ้นและเซียนปรุงยาทันที เจ้ากับเฉียนจงรออยู่ที่ผิงหยาง”
ต้าฉีเกิดนิมิตบนท้องฟ้าอันเป็นลางร้ายครั้งใหญ่ เยียนอ๋องถือโอกาสนี้ก่อเรื่องและโจมตีอย่างรุนแรงหลายครั้งโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ทำให้รัชทายาทตกอยู่ในวิกฤต ตำแหน่งผู้สืบทอดไม่มั่นคง ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ปลดรัชทายาท สกุลเซียวเป็นเช่นปลาในบ่อที่ต้องรับเคราะห์เป็นรายแรก
วันเกิดของเหล่าไท่จวินที่ผ่านมา ปีก่อนๆ ของช่วงเวลานี้ เรือนรับรองแขกของสกุลเซียวจะเต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ข้ารับใช้ทั้งหลายยุ่งง่วนจนแทบไม่อยากนอน แต่ปีนี้กลับมีญาติสนิทเพียงประปรายมาร่วมงานไม่กี่คนเท่านั้น หน้าประตูคฤหาสน์สกุลเซียวที่ในอดีตคึกคักเหมือนตลาดบัดนี้กล่าวได้ว่าเงียบเหงาไร้ผู้มาเยือน เรือนรับรองแขกที่เก็บกวาดทำความสะอาดล่วงหน้าหนึ่งเดือนส่วนใหญ่ล้วนยังว่างอยู่
คุณชายใหญ่เซียวชิงและสะใภ้ใหญ่ทำตามคำสั่งของนายท่านใหญ่ ลาหยุดยาวและเดินทางกลับเมืองผิงหยางมานานแล้ว นายหญิงใหญ่นอนป่วยอยู่บนเตียง เหล่าไท่จวินผู้เป็นเจ้าของวันเกิดไม่มีอารมณ์จะจัดงานเหมือนปีก่อนๆ จึงมอบหมายให้สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองเป็นผู้จัดการเรื่องงานเลี้ยงวันเกิดทั้งหมด ตนเองกินเจสวดมนต์ทุกวัน อธิษฐานขอให้พระพุทธองค์คุ้มครองสกุลเซียวให้ผ่านพ้นเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย กระทั่งงานวันเกิดผ่านพ้นไปทั้งหมด
วางพู่กันในมือแล้ว เซียวจวิ้นพรูลมหายใจยาว ธุระทางนี้จัดการใกล้เสร็จแล้ว รอจัดการธุระจนเสร็จพวกเขาสามพี่น้องจะเดินทางลงใต้ ความตั้งใจเดิมของเซียวจวิ้นคือต้องการให้ท่านย่ากับบิดาไปหลบภัยที่เขาฟู่ลี่สักระยะ แต่ทำอย่างไรท่านย่าก็ไม่ตกลง บอกว่าตนแก่แล้ว หากจะตายก็ต้องตายในบ้านบรรพบุรุษสกุลเซียว อีกอย่างคฤหาสน์สกุลเซียวใหญ่โตเช่นนี้ ย่อมต้องมีคนประจำอยู่ เมื่อเหล่าไท่จวินไม่ไป นายท่านใหญ่ย่อมต้องอยู่กับมารดา เพียงกำชับพวกเขาสามพี่น้องว่าหลังจากเดินทางลงใต้แล้ว ไม่ว่าคฤหาสน์สกุลเซียวในเมืองผิงหยางจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามตัดสินใจด้วยอารมณ์ อย่ายึดติดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต้องรักษากิจการของบรรพบุรุษเอาไว้ให้ได้
หลังอาการไออย่างรุนแรงระลอกหนึ่งผ่านไป เขารีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก มองเลือดที่อยู่บนผ้าแล้ว เซียวจวิ้นพลันเหม่อลอย การทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยตลอดหลายวันมานี้ทำให้เขาไอเป็นเลือดถี่ขึ้นทุกที ใกล้จะเดินทางลงใต้แล้ว เกรงว่าเชิญหมอมาตรวจดูจะทำให้ท่านย่าเป็นกังวล เมื่อวานเขาจึงไปสำนักแพทย์หลวง คำพูดของหมอหลวงหลี่ดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง
‘คุณชายรองเป็นโรคปอด ข้าทำได้แค่เขียนใบสั่งยาให้ท่านบำรุงร่างกาย คุณชายรองต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้ถึงจะสามารถควบคุมโรคไว้ได้ชั่วคราว ทำให้อาการบรรเทาลง แต่คุณชายรองอย่าเพิ่งท้อใจไป วิชาแพทย์ของเซียนปรุงยาเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า คุณชายรองลองไปขอร้องเขาดู บางทีอาจมีหนทางช่วยเหลือ ได้ยินว่าหมู่นี้เซียนปรุงยาล้มป่วยอยู่ทางใต้ มิสู้คุณชายรองเดินทางลงใต้ไปตามหาเซียนปรุงยาดู…’
เงยหน้ามองเก้าอี้บุหนังจิ้งจอกเงินที่หลี่เมิ่งซีนั่งอยู่บ่อยๆ แล้วอดเหม่อลอยไม่ได้ หากเซียนปรุงยามิอาจรักษาโรคของเขาได้ แล้วนางจะทำอย่างไร เขาจะทิ้งนางไว้ในคฤหาสน์สกุลเซียวคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด
พานางลงใต้ไปด้วย? นี่เป็นการเดินทางอย่างลับๆ และเร่งด่วน ไม่พูดถึงเรื่องที่นางมิอาจทนรับความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางได้ ทั้งยังมีเยียนอ๋องอยู่เช่นนี้ เกรงว่าระหว่างทางจะไม่ปลอดภัย เป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดี เห็นทีการส่งซีเอ๋อร์ออกจากคฤหาสน์อย่างลับๆ และจัดหาที่พักอีกแห่งในเมืองผิงหยางให้นางจะดีกว่า หากเกิดเหตุไม่คาดคิดกับเขา นางก็ไม่ต้องทนทุกข์อยู่ในคฤหาสน์ เพียงแต่นางจะทำตามที่เขาจัดการหรือ คิดถึงนิสัยดื้อรั้นของหลี่เมิ่งซีแล้วเซียวจวิ้นส่ายหน้าอย่างไม่มั่นใจ
แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว!
คิดถึงตรงนี้เซียวจวิ้นพลันนึกถึงหนังสือในห้องทิศใต้ของเรือนปีกตะวันออกที่จู่ๆ ก็หายไป เรื่องนี้เขาเคยถามหลี่เฉวียนกับหลี่กุ้ยแล้ว ทั้งสองบอกเขาว่าสองปีนี้ร้านหยกเสียงรุ่ยกิจการดีมาก สะใภ้รองย่อมมีเงินเพียงพอที่จะซื้อเรือนสักหลังนอกคฤหาสน์
ซีเอ๋อร์ต้องมีเรือนอยู่ข้างนอกแน่ เพียงแต่เขาหาไม่พบว่าอยู่ที่ใด ก้มหน้ามองเลือดบนผ้าที่ไอออกมา เขาควรให้นางจากไปได้แล้ว
คิดเช่นนี้จึงเงยหน้าตะโกนไปที่ประตู “ใครก็ได้!”
เซียวเหยียนผลักประตูเข้ามา คารวะและถาม “คุณชายรองมีอะไรหรือขอรับ”
“ไปตามเซียวเหิง เซียวฉี หลี่กุ้ย และหลี่เฉวียนมาพบข้าที่ห้องหนังสือโดยเร็ว”
เซียวเหยียนรีบรับคำและหมุนตัวเดินออกไป
สั่งการเสร็จ เซียวจวิ้นลุกขึ้นหมายจะไปเดินเล่นที่เรือนปีกตะวันออก หลายวันนี้ยุ่งกับงาน กว่าจะกลับถึงเรือนเซียวเซียงก็ดึก หลายวันแล้วที่ไม่ได้พบนาง ไม่รู้ว่านางทำอะไรอยู่ นางจะหวาดกลัวเพราะข่าวลือข้างนอกหรือไม่
เพิ่งเดินถึงหน้าประตู เซียวซย่าก็ผลักประตูเข้ามาพอดี เงยหน้าเห็นคุณชายรองยืนอยู่หน้าประตูก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “เรียนคุณชายรอง รัชทายาทมาขอรับ ตอนนี้อยู่กับนายท่านใหญ่ที่เรือนรับรองแขกด้านนอก ตรัสว่าต้องการพบท่าน”
เซียวจวิ้นฟังแล้วอึ้งไปเล็กน้อย ที่ผ่านมาเวลารัชทายาทมีอะไรล้วนส่งหลี่จั้นมาพบเขา วันนี้ไฉนจึงมาด้วยตนเอง คิดเชื่อมโยงไปถึงข่าวลือบนท้องถนนแล้ว เซียวจวิ้นบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรง เขาไม่พูดอะไรอีกเพียงผงกศีรษะและก้าวยาวๆ ออกไป
มาถึงเรือนรับรองแขกด้านนอกพร้อมกับเซียวซย่า เซียวจวิ้นจึงก้าวเข้าไปในห้อง แล้วเดินอ้อมฉากบังลมไม้ประดู่ลายสาวงาม เห็นรัชทายาทนั่งดื่มน้ำชาอยู่กับนายท่านใหญ่ เซียวจวิ้นก็รีบก้าวเข้าไปคุกเข่าคำนับ “ข้าน้อยถวายบังคมรัชทายาท”
ซั่งกวนหงฮุยเห็นเช่นนั้นจึงยื่นมือออกไปทำท่าประคอง “พี่เซียวไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถอะ”
ลุกขึ้นยืนและนั่งลงแล้ว บ่าวชายจึงยกน้ำชาเข้ามา เซียวจวิ้นยกขึ้นจิบคำหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่ารัชทายาทมาเยือนบ้านข้าน้อย ตามตัวข้าน้อยมามีเรื่องอันใดหรือ”
“เรื่องนี้…” ซั่งกวนหงฮุยอึกอักลังเลพลางเหลือบมองนายท่านใหญ่
นายท่านใหญ่เห็นแล้ว เขาพูดอีกสองสามคำและลุกขึ้นขอตัว
เห็นบิดาจากไปแล้ว เซียวจวิ้นจึงโบกมือให้บ่าวในห้องโถงออกไป เขาส่งสัญญาณให้เซียวซย่าไปเฝ้าที่หน้าประตู ก่อนจะหันไปมองรัชทายาท
ซั่งกวนหงฮุยโบกมือไล่ผู้ติดตามด้านหลังสองคนออกไปเช่นกัน ก่อนพูดว่า “ระยะนี้เมืองผิงหยางเต็มไปด้วยข่าวลือ เซียนปรุงยาก็ล้มป่วยอยู่ทางใต้ ข้าไม่ปิดบังพี่เซียว ประชุมขุนนางวันนี้ เสด็จพ่อทรงมีราชโองการให้ข้าออกเดินทางลงใต้ทันที ไปตามหาเซียนปรุงยาให้เขาช่วยควบคุมโรคระบาดทางใต้”
ข้าไม่ได้สนิทสนมกับเซียนปรุงยาสักหน่อย รัชทายาทรับราชโองการลงใต้ไปตามหาเซียนปรุงยาเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย หรือรัชทายาทรู้ว่าข้ามีกำลังอยู่ทางใต้ คิดจะยืมกำลังข้ามาใช้ อย่างไรข้าก็ตั้งใจจะไปตามหาเซียนปรุงยาอยู่แล้ว สามารถใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ได้พอดี…
ฟังคำนี้แล้วในใจขบคิดอย่างรวดเร็ว ทว่าสีหน้ากลับไม่เปลี่ยนไป เซียวจวิ้นยกถ้วยชาขึ้นมาเปิดฝาเป่าและจิบหนึ่งคำ นั่งอยู่กับที่โดยไม่พูดอะไร
ซั่งกวนหงฮุยรออยู่นานเห็นเซียวจวิ้นไม่พูดจา เขาจึงพูดต่อว่า “พี่เซียวก็รู้ว่าแม้ข้ากับเซียนปรุงยาจะสาบานเป็นพี่น้องกัน แต่ที่ผ่านมาเซียนปรุงยามีหลักแหล่งที่ไม่แน่นอน ข้าตามหาเขาต้องใช้เวลาหลายวัน ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเร่งด่วนเหมือนกับการดับเพลิง โรคระบาดทางใต้กำลังแพร่ระบาดไปในวงกว้าง รั้งรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เดินทางลงใต้ครั้งนี้ข้าจะต้องพาคนผู้หนึ่งที่รู้เบาะแสของเซียนปรุงยาไปด้วย”
“ความหมายของรัชทายาทคือ…”
“หลายวันนี้ข้าสืบหาเบาะแสของเซียนปรุงยา บังเอิญพบว่าน้องสาวแท้ๆ ของหลงจู๊หลี่ร้านยาอี๋ชุนเป็นสาวใช้อยู่ในคฤหาสน์ของเจ้า บางทีนางอาจทราบเบาะแสของเซียนปรุงยาก็เป็นได้”
เซียวจวิ้นได้ยินเช่นนี้ก็ยืดตัวตรงทันใด เขาเอ่ยว่า “ข้อมูลที่รัชทายาทสืบมานี้น่าเชื่อถือหรือไม่ น้องสาวของหลงจู๊หลี่น่าจะเป็นถึงคุณหนู หลงจู๊หลี่จะปล่อยให้นางลดตัวลงมาเป็นบ่าวได้อย่างไร”
พูดจบไปนานเห็นรัชทายาทไม่เอ่ยอะไร เซียวจวิ้นจึงนั่งตามปกติอีกครั้ง “รัชทายาททรงลองตรัสมาว่าคนผู้นี้มีนามว่าอะไร รับใช้อยู่ในเรือนใด ข้าน้อยจะไปตามตัวนางมา รัชทายาททรงสอบถามดูก็รู้แล้ว”
“น้องสาวของหลงจู๊หลี่มีนามว่าหลี่ชุ่ย ขายตัวเข้ามาในคฤหาสน์สกุลเซียวเมื่อสองปีก่อนและเปลี่ยนชื่อเป็นจือชิว ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินของเจ้า”
ฟังคำนี้แล้ว เซียวจวิ้นสั่นสะท้านไปทั้งตัวราวกับมีกระแสไฟไหลผ่าน มือที่ถือถ้วยชาสั่นจนน้ำชากระฉอกออกมาและกระเซ็นลงบนพื้น เขาวางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างแรง มองรัชทายาทและเอ่ยว่า “เรื่องนี้จะพูดส่งเดชไม่ได้เด็ดขาด สิ่งที่รัชทายาทตรัสมาเป็นความจริงหรือ ท่านมีหลักฐานหรือไม่”
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ข้าจะกล้าพูดส่งเดชได้อย่างไร”
เห็นสายตาแฝงความนัยของรัชทายาท เซียวจวิ้นเหม่อลอยไปชั่วขณะ พลันนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ตนได้รับบาดเจ็บมาหลายครั้ง ซีเอ๋อร์มักมีข้ออ้างสารพัดและขอยาดีจากร้านยาอี๋ชุนมาให้เขาได้เสมอ ทั้งยังทำแผลให้เขาด้วยตนเอง เขาเคยสงสัยเหมือนกันว่าเหตุใดซีเอ๋อร์จึงคุ้นเคยกับยามากมายถึงเพียงนั้น แต่พอคิดถึงหนังสือที่มีอยู่เต็มห้องนางแล้ว เขาจึงเข้าใจไปเองว่านางเรียนรู้มาจากตำรา…
ครั้งนั้นตอนที่เขาถูกกระบี่ของคนชุดดำแทง ซีเอ๋อร์ก็พาเขาไปร้านยาอี๋ชุนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง คิดถึงคนชุดดำแล้วตรงหน้าพลันปรากฏเหตุการณ์ตอนถูกคนชุดดำโจมตีทั้งสองครั้ง ตนพูดเรื่องนี้กับซีเอ๋อร์ด้วยความกังวลและเห็นสายตาไหววูบของนาง…
ตอนลูกสาวถูกพิษ นางกลับช่วยชีวิตไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ นั่นเป็นยาที่ภิกษุผู้สูงส่งมอบให้จริงๆ หรือ
ตอนเขาอยู่ทางใต้ ซีเอ๋อร์มักแอบออกจากคฤหาสน์ไปดื่มน้ำชาที่หอน้ำชาอีผิ่น…
ซีเอ๋อร์ถูกพิษเฮ่อหลงเหยียนและหยุดหายใจไปสี่วันแล้ว แต่กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนจือชิวที่เป็นอิสระไปแล้วก็ยอมกลับมาเป็นบ่าวอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวต่อไป…
ชั่วขณะนั้นความสงสัยต่างๆ ที่วนเวียนอยู่ในใจมาตลอด เรื่องราวมากมายตลอดสองปีมานี้พลันโถมเข้ามาในหัวเหมือนคลื่นน้ำ เชือกที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งผูกร้อยเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน เซียวจวิ้นเข้าใจในทันที เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ข้างหูได้ยินเสียงหึ่งๆ ดังไม่หยุด ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่พูดอะไรเนิ่นนาน
“พี่เซียว พี่เซียว…”
ซั่งกวนหงฮุยร้องเรียกอยู่นาน เซียวจวิ้นจึงได้สติ มองเขาและถามว่า “รัชทายาทมาที่คฤหาสน์วันนี้ ต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าใครคือเซียนปรุงยาใช่หรือไม่”
“พี่เซียว ทางใต้ส่งหนังสือกราบทูลเร่งด่วนหกร้อยลี้มา แจ้งว่าทุกวันล้วนมีคนตายเพราะโรคระบาดหลายร้อยถึงขั้นเป็นพันคน หมู่บ้านบางส่วนเต็มไปด้วยศพแล้ว ในสิบครัวเรือนมีเก้าครัวเรือนที่ว่างเปล่าไร้คน ผู้คนทั่วทั้งต้าฉีต่างหวาดกังวล เพื่อราษฎรทุกคน ข้าจำเป็นต้องพาเซียนปรุงยาเดินทางลงใต้ เรื่องนี้มิอาจรั้งรอ!”
ซั่งกวนหงฮุยพูดจบก็เห็นเซียวจวิ้นนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา เขาจึงพูดต่อว่า “บัดนี้ทางเหนือแนวรบตะวันออกเพิ่งจะพ่ายแพ้ ทางใต้เกิดอุทกภัย โรคระบาดกำเริบ ในราชสำนักฝ่ายของเยียนอ๋องเหิมเกริม มีข่าวลือกระจายไปทั่ว เกิดคลื่นใต้น้ำปั่นป่วน เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง พี่เซียวจะต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ เห็นแก่ราษฎรทั่วหล้าเป็นสำคัญ”
เห็นเซียวจวิ้นไม่พูดอะไร ซั่งกวนหงฮุยจึงส่ายหน้า ไม่ว่าใครที่ทราบข่าวนี้เป็นครั้งแรกก็ล้วนรับไม่ได้ทั้งนั้น กำลังจะโน้มน้าวต่อจู่ๆ เซียวจวิ้นก็สูดหายใจและเอ่ยว่า “ได้ ในเมื่อรัชทายาทแน่ใจว่าน้องสาวของหลงจู๊หลี่อยู่ในคฤหาสน์นี้ ข้าน้อยจะพาท่านไปพบนางเอง รัชทายาทมีคำถามอะไรจะได้ตรัสถามนางด้วยตนเอง”
“ดี พี่เซียวตรงไปตรงมาโดยแท้ ข้ามักได้ยินหลี่จั้นบอกว่าฮูหยินของเจ้ามากด้วยความสามารถ ข้ารู้สึกชื่นชมยิ่งนัก พี่เซียวจะเชิญนางออกมาพบด้วยได้หรือไม่!”
คำพูดนี้ของซั่งกวนหงฮุยนับว่าไร้มารยาทอย่างยิ่ง ในสมัยโบราณไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีฐานะสูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจไปบ้านผู้อื่นและบอกว่า ‘ข้าชื่นชมภรรยาของเจ้าอย่างมาก เจ้าตามนางออกมาให้ข้าดูหน่อยเถอะ’ ได้ หากพบเจอคนหยาบคายเช่นนี้เป็นต้องถูกฝ่ามือซัดกระเด็นออกไปแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้นั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่นี่ได้!
ดีร้ายอย่างไรสกุลเซียวก็เป็นสกุลสูงศักดิ์ สะใภ้ของสกุลสูงศักดิ์จะออกมาพบแขกง่ายๆ ได้อย่างไร
ซั่งกวนหงฮุยเองก็จนปัญญา ถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นการคาดเดาของเขากับหลี่จั้นเท่านั้น หากยังมิได้ยืนยันให้แน่ใจ เขาก็ไม่กล้าพูดส่งเดช หากมิใช่ขึ้นมา หรือผู้อื่นยืนกรานไม่ยอมรับ ตนย่อมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดีไม่ดีอาจต้องกลับไปมือเปล่า
พอได้ยินรัชทายาทที่ไม่สนิทกับตนมากนักเอ่ยคำพูดนี้ออกมาก็ยิ่งเป็นการยืนยันการคาดเดาของเซียวจวิ้น ร่างกายเขาราวถูกแช่อยู่ในน้ำเย็นจัด หนาวเยือกจนหายใจไม่ออก เขาข่มหัวใจที่เต้นระรัวสุดกำลังและนั่งแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
“พี่เซียวอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้…”
เห็นเซียวจวิ้นนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดจา ด้วยความจนใจรัชทายาทจึงจำต้องเอ่ยปากอธิบาย คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเอ่ยปากกลับถูกเซียวจวิ้นขัดขึ้น ผงกศีรษะและพูดกับเขา “ได้ รัชทายาทโปรดตามข้าน้อยไปที่ห้องหนังสือด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
แม้คำพูดของรัชทายาทจะเสียมารยาทมากเพียงใด แต่เซียวจวิ้นตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ นี่หาใช่เวลามายึดติดกับเรื่องจุกจิก อีกอย่างเขารู้ว่ารัชทายาทเคยพบเซียนปรุงยามาก่อน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถยืนยันฐานะของเซียนปรุงยาได้
เทียบกับความไร้มารยาทของรัชทายาทแล้ว เซียวจวิ้นกลัวยิ่งกว่าว่าเขาจะเอ่ยคำพูดสงสัยหลี่เมิ่งซีออกมา เขาหวังเพียงว่าหลังจากรัชทายาทได้พบหลี่เมิ่งซีแล้วจะปฏิเสธการคาดเดาของตนเองเสีย จิตใต้สำนึกของเขาไม่อยากให้ซีเอ๋อร์มีเบื้องหลังเช่นนั้น อยากให้นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ ที่เขาสามารถประคบประหงมไว้ในฝ่ามือ
เดินออกมาจากเรือนปรุงยา หลี่เมิ่งซีที่ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นยาพอได้อาบน้ำก็รู้สึกเบาสบายขึ้นไม่น้อย นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างสำราญใจ จือชิวเช็ดผมให้นางพลางพูด “สะใภ้รอง วันนี้พี่ชายเพิ่งส่งข่าวมาว่ารัชทายาทฝากบอกมาว่าเรื่องที่ท่านโกหกว่าไม่อยู่เมืองผิงหยาง ไม่อาจถวายการรักษาให้ไทเฮาได้ทันทีนั้น ฮ่องเต้มิได้เอาโทษเจ้าค่ะ”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว สองวันนี้ข้าไม่สบายใจอยู่ตลอด เกรงว่าเยียนอ๋องกับไทเฮาจะคอยยุแยงแล้วฮ่องเต้จะทรงลงโทษร้านยาอี๋ชุน”
ฟังคำพูดนี้แล้ว จือชิวสีหน้าหม่นลง ใบหน้ากระตุกก่อนจะพูดต่อ “แม้ฮ่องเต้จะไม่ได้เอาผิด แต่รัชทายาทยังทรงบอกมาว่าฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยแล้วว่าจะให้รัชทายาทร่วมมือกับท่านรักษาโรคระบาดทางใต้ สองวันนี้จะมีราชโองการออกมา”
เด็กคนนี้ไม่รู้หรือไรว่าเวลาพูดจาอย่าเว้นระยะนานขนาดนี้ คนฟังจะตกใจตายได้!
ฟังคำพูดต่อจากนั้นแล้ว หลี่เมิ่งซีค้อนจือชิวทีหนึ่งผ่านทางคันฉ่อง หัวใจที่เพิ่งสงบลงจมดิ่งสู่ก้นเหวอีกครั้ง
ภัยพิบัติและความหวาดหวั่นที่เกิดจากโรคซาร์สเมื่อชาติก่อนหลี่เมิ่งซียังจดจำได้เป็นอย่างดี นางเคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมากับตัวทั้งหมด พอเห็นทางใต้เกิดโรคระบาดเช่นนี้จะให้นางนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร ด้วยประสบการณ์จากชาติก่อนและการสนับสนุนของราชสำนัก นางสามารถออกแรงช่วยเหลือโรคระบาดในครั้งนี้ได้
เพียงแต่คฤหาสน์สกุลเซียวแห่งนี้…นางจะออกไปได้อย่างไร
เห็นสะใภ้รองมีสีหน้ากลัดกลุ้มและไม่พูดอะไรอีก จือชิวจึงถอนหายใจ “อย่าว่าแต่ออกจากคฤหาสน์เลย ท่านแค่ออกไปจากเรือนนี้ก็มีข้ารับใช้ล้อมหน้าล้อมหลังเป็นพรวนแล้ว บ่าวยังรู้สึกว่าเหมือนจะมีองครักษ์คอยตามท่านอยู่ในที่ลับตลอดเวลาด้วย คิดว่าคุณชายรองคงกลัวท่านจะหนีไปอีกจึงส่งคนมาจับตาดู”
“คุณชายรองเคยบอกเรื่องคุ้มกันกับข้าแล้ว เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวสองครั้งนั้น เขาจึงตั้งใจส่งคนมาดูแล จุดประสงค์เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้ข้า เจ้าอย่าคิดเพ้อเจ้อไปเลย”
เห็นจือชิวบ่น หลี่เมิ่งซีจึงออกหน้าพูดแทนเซียวจวิ้น แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนยกก้อนหินทุ่มเท้าตนเอง วุ่นวายมามากมายไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์อันใด สุดท้ายยังขยับตัวได้อย่างยากลำบาก นางในตอนนี้ก็เหมือนกับนกน้อยในกรง ยิ่งเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งปรารถนาท้องฟ้ากว้างใหญ่ภายนอก
หากยังไม่ออกจากคฤหาสน์ นางจะต้องขาดอากาศหายใจตายแน่ แม้เซียวจวิ้นจะเป็นท้องฟ้าให้นางในคฤหาสน์สกุลเซียวแห่งนี้ ตั้งแต่เหล่าไท่จวินไปจนถึงข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูในคฤหาสน์ก็ล้วนเคารพให้เกียรตินาง แต่สิ่งที่นางต้องการหาใช่เรื่องพวกนี้ นางมีกิจการเป็นของตนเอง นางต้องการอิสระ!
ยามเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทางใต้ ต่อให้เป็นคนทั่วไปก็มิอาจนิ่งดูดาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่เป็นหมอคนหนึ่ง ภาษิตว่าหมอมีใจเมตตาคนไข้ดุจบิดามารดา ต่อให้มีเหตุผลร้อยพันประการ นางก็ต้องออกจากคฤหาสน์ให้ได้
จือชิวเช็ดผมจนแห้งและส่งผ้าให้จือซย่า เริ่มสางผมเกล้ามวยให้สะใภ้รอง เห็นสะใภ้รองมีสีหน้าหม่นหมอง จือชิวตาเป็นประกายและพูดว่า “วันนี้บ่าวได้ยินเซียวซย่าบอกว่าคุณชายรองตั้งใจเดินทางลงใต้ หากเป็นเช่นนี้จริง มิสู้ท่านขอร้องคุณชายรองให้พาท่านเดินทางลงใต้ด้วยเป็นอย่างไร เช่นนี้บ่าวจะได้บอกพี่ชายกับรัชทายาท ระหว่างทางพวกเราค่อยคิดหาหนทางนัดพบกับรัชทายาท ถึงอย่างไรย่อมสะดวกกว่าอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียว”
นัดพบกับรัชทายาทระหว่างทาง?! จือชิวจะให้รัชทายาทส่งคนมาลักพาตัวนางระหว่างเดินทางลงใต้อย่างนั้นหรือ
ไม่พูดถึงเรื่องที่เซียวจวิ้นเดินทางลงใต้ครั้งนี้ต้องเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ภายในสกุล ยังไม่แน่ว่าเหล่าไท่จวินจะให้เขาพาคนในครอบครัวไปด้วยหรือไม่ ต่อให้เซียวจวิ้นดึงดันจะพานางไปให้ได้ เขาก็ต้องปกป้องนางด้วยชีวิต หากเกิดอะไรขึ้นกับนางระหว่างทางจริง เกรงว่าเขา…นางไม่อยากทำร้ายเขาอีกแล้ว ได้ยินจือชิวเสนอความคิดเช่นนี้ หลี่เมิ่งซีเพียงปรายตามองจือชิวทางคันฉ่องอย่างไม่พอใจ ส่ายหน้าโดยไม่เอ่ยอะไร
เห็นสะใภ้รองส่ายหน้า จือชิวโน้มน้าวต่ออย่างไม่ละความพยายาม “ลองดูเถอะเจ้าค่ะ ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้ บางทีคุณชายรองอาจไม่อยากทิ้งท่านไว้ในคฤหาสน์คนเดียวก็เป็นได้ อาจมีความคิดเช่นนี้แต่แรกอยู่แล้ว”
“เดี๋ยวเจ้าส่งคนไปดูที่ห้องหนังสือว่าคุณชายรองอยู่หรือไม่ ข้าจะไปเปิดเผยความจริงกับเขา บอกทุกอย่างกับเขาทั้งหมด”
“สะใภ้รอง ท่านอย่าวู่วามเป็นอันขาดนะเจ้าคะ เมื่อวานร้านยาอี๋ชุนเพิ่งจะขัดราชโองการ ถึงอย่างไรความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงก็มีโทษหนักถึงประหารชีวิตทั้งตระกูล ตอนนี้ต่อให้ตายก็ไม่อาจเปิดเผยฐานะของท่าน มิอาจเปิดเผยเรื่องที่ท่านอยู่ในเมืองผิงหยางได้ อีกอย่างหลายวันนี้คนของเยียนอ๋องมาก่อกวนร้านสาขาทางตอนใต้อยู่ตลอด คาดคั้นถึงเบาะแสของท่าน คิดว่าเยียนอ๋องคงหมายตาร้านยาอี๋ชุนไว้แล้ว หากเรื่องนี้รู้ถึงหูเยียนอ๋องเมื่อไร เช่นนั้นผลลัพธ์…”
เพียงเพื่อความปลอดภัยของตนเองแล้วจึงต้องหลอกลวงเขาอีกครั้ง ทำร้ายเขาที่จริงใจต่อนางถึงเพียงนั้นอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
ฟังคำพูดจือชิวแล้ว หลี่เมิ่งซีรู้สึกเจ็บแปลบในใจ ชีวิตนี้นางไม่อยากหลอกลวงเซียวจวิ้นอีกแล้ว
เหลือบมองจือชิวแวบหนึ่งก่อนจะพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “วันนี้เจ้ารีบเตรียมการเรื่องออกจากคฤหาสน์ของพวกเราเถอะ!”
“สะใภ้รอง…”
“คุณชายรองหาใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะหนักเบา ยิ่งมิใช่คนที่เห็นชีวิตของราษฎรเป็นของเล่น พูดกับเขาให้ชัดเจนแล้ว ไม่ว่าเขาจะโกรธแค้นข้า หรือชิงชังข้าเพียงใด เขาจะต้องปล่อยข้าไปแน่”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย เห็นสะใภ้รองยืนกรานเช่นนี้ หน้าผากของจือชิวมีเหงื่อซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะกำลังจะโน้มน้าวอีกครั้ง จือตงก็เคาะประตูเข้ามารายงาน “เรียนสะใภ้รอง อวิ๋นเยวี่ยสาวใช้ประจำตัวของสะใภ้ใหญ่มาเจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งซีฟังแล้วมุ่นคิ้วพูด “ให้นางเข้ามา”
ไม่นานจือตงก็พาอวิ๋นเยวี่ยเดินเข้ามา นางก้าวเข้าไปคารวะสะใภ้รอง เห็นอีกฝ่ายกำลังหวีผมแต่งตัวอยู่ อวิ๋นเยวี่ยจึงเฝ้ารออยู่ข้างๆ
หลี่เมิ่งซีเห็นแล้วเอ่ยถาม “อวิ๋นเยวี่ยมาที่นี่ สะใภ้ใหญ่มีคำสั่งอะไรหรือ”
“ยังคงเป็นเรื่องงานกิจธุระในเรือน สะใภ้ใหญ่อยากนัดท่านไปขอคำชี้แนะที่เรือนโซ่วสี่ด้วยกัน”
“ขอคำชี้แนะ! เมื่อวานเพิ่งได้ข้อสรุปมิใช่หรือ ไฉนจึง…”
“เรียนสะใภ้รอง ท่านกับสะใภ้ใหญ่จำต้องดูแลเรือนร่วมกัน แต่วันนี้เรียกพ่อบ้านเต๋อมาสั่งการแล้วจึงพบเรื่องที่ยังไม่อาจตัดสินใจได้หลายอย่าง สะใภ้ใหญ่เกรงว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ ได้ไม่ดี หากทำให้เหล่าไท่จวินไม่สบายใจย่อมไม่ดีแน่ ด้วยเห็นว่าท่านจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ดี จึงอยากเชิญท่านไปหารือและไปขอคำชี้แนะจากเหล่าไท่จวินด้วยกันเจ้าค่ะ”
ฟังคำพูดนี้แล้ว หลี่เมิ่งซีรู้สึกเหมือนหัวสมองพองขยายเป็นสองเท่า เหล่าไท่จวินมอบหมายเรื่องการดูแลกิจธุระในเรือนนี้ให้นางกับสะใภ้ใหญ่ แต่ความคิดจิตใจของนางไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวแล้ว โดยเฉพาะหลายวันนี้มีทั้งเรื่องโรคระบาดและราชโองการ ไหนเลยจะมีอารมณ์มาจัดการเรื่องนี้ ทุกครั้งก็เพียงรับคำส่งๆ เท่านั้น ล้วนปล่อยให้สะใภ้ใหญ่เป็นผู้จัดการไป แต่สะใภ้ใหญ่ก็ช่างทำอะไรระมัดระวังโดยแท้ ราวกับกลัวใบไม้จะร่วงใส่ศีรษะอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องดึงนางไปด้วยเสมอ ทำเอานางลำบากใจสุดจะบรรยาย
บัดนี้ได้ยินอวิ๋นเยวี่ยพูดเช่นนี้ ใบหน้าจึงเขียวคล้ำทันที
เห็นสะใภ้รองมีสีหน้าเย็นชา จือชิวรู้ว่าผู้เป็นนายร้อนใจเรื่องการออกจากคฤหาสน์ ด้วยเกรงว่าสะใภ้รองจะเอ่ยอะไรที่ไม่สมควรออกไป จนทำให้สะใภ้ใหญ่จับผิดเอาได้ นางจึงรีบพูดไกล่เกลี่ย “บ่าวจำได้ว่าช่วงเวลานี้เมื่อปีก่อนๆ สะใภ้รองถูกตามตัวไปพบแขกสตรีที่เรือนโซ่วสี่ทั้งวัน ไหนเลยจะได้อยู่อย่างสบายเช่นนี้ สะใภ้ใหญ่พูดถูกแล้ว เรื่องการกะเกณฑ์งานต่างๆ ไม่ง่ายเลยจริงๆ สะใภ้รองท่านต้องนั่งลงปรึกษาหารือกับสะใภ้ใหญ่ให้ดีจริงๆ เจ้าค่ะ”
ฟังที่จือชิวพูด หลี่เมิ่งซีขบคิดแล้วเห็นด้วย นางหันไปพูดกับอวิ๋นเยวี่ย “อวิ๋นเยวี่ยกลับไปก่อนเถอะ ไปเรียนสะใภ้ใหญ่ว่าข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะไปทันที”
อวิ๋นเยวี่ยรีบผงกศีรษะรับคำ หมุนตัวและถอยออกไป
จือชิวเร่งไม้เร่งมือ จือซย่าเตรียมชุดไว้ให้หลี่เมิ่งซีแล้ว
แต่งตัวเสร็จ หลี่เมิ่งซีหมุนตัวหน้าคันฉ่องรอบหนึ่ง ส่องดูความเรียบร้อย ก่อนจะพยักหน้าและพูดกับจือซย่าที่อยู่ด้านข้าง “แค่นี้พอแล้ว ข้าจะไปเรือนเฉินซีกับจือชิว จือซย่าให้คนคอยเฝ้าอยู่ที่เรือน คุณชายรองกลับมาเมื่อไรให้ไปเรียนว่าข้ามีเรื่องจะหารือกับเขา บอกให้เขารอข้ากลับมา ใช่แล้ว เดี๋ยวเจ้ากับจือตงเก็บยาในเรือนปรุงยาและบรรจุลงขวดให้เรียบร้อย เก็บข้าวของในเรือนที่จำเป็น เตรียมตัวออกจากคฤหาสน์”
“สะใภ้รอง ท่าน…” จือชิวที่กำลังประคองหลี่เมิ่งซีเดินออกไปร่างกายสะท้าน นางอดร้องเรียกไม่ได้ เห็นสายตาเฉียบขาดของหลี่เมิ่งซีแล้วจึงรีบกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป
จือซย่าเห็นแล้วอึกอักถามว่า “บ่าวจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ เอ่อ คือ สะใภ้รอง เรือนปรุงยาจะให้จัดการเหมือนคราวที่แล้วหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง เก็บเรือนไว้”
ระหว่างพูดหลี่เมิ่งซีก็เดินมาถึงหน้าประตูแล้ว จือชิวยื่นมือไปเปิดประตู กลับเห็นจือตงกำลังผลักประตูเข้ามาเช่นกัน เห็นพวกนางออกมาก็ถามด้วยความฉงน “สะใภ้รองจะไปเรือนเฉินซีหรือเจ้าคะ”
จือชิวพยักหน้าถาม “อืม มีอะไรหรือ”
“เรียนสะใภ้รอง เมื่อครู่นี้เซียวซย่ามาบอกว่าคุณชายรองสั่งให้ท่านกับจือชิวไปห้องหนังสือเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ไปห้องหนังสือ?!”
ระบุเจาะจงให้จือชิวไปห้องหนังสือ? นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลี่เมิ่งซีฟังแล้วอดถามซ้ำอีกครั้งไม่ได้ เหลือบมองจือชิวแวบหนึ่ง ความไม่สบายใจพลันผุดขึ้นในใจ
เห็นจือตงพยักหน้า หลี่เมิ่งซีจึงสั่งว่า “ให้คนไปรายงานสะใภ้ใหญ่ บอกว่าคุณชายรองมีธุระกะทันหัน ไว้ค่ำหน่อยข้าค่อยไปพบนาง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 พ.ค. 62
Comments
comments