บทที่ห้า
นางค่อยๆ ลืมตา กวาดมองรอบตัวอย่างงุนงง หญ้าบนพื้นแฝงกลิ่นราอับชื้น แสงไฟมัวสลัวส่องเข้ามาจากที่ไกล เงาร่างคนที่สะท้อนบนผนังไหวระริก บนเพดานมีหน้าต่างบานเล็กมากบานหนึ่ง สาดแสงสีเงินยวงดุจเข็มขัดหยกเส้นหนึ่ง
‘กัวติ้งก็มาด้วย!’
ประโยคสุดท้ายในความฝันประโยคนี้ดังสะท้อนภายในหูอ้ายจื่อจินอีกครั้ง เหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อนเห็นชัดว่าเป็นความทรงจำที่สลักลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ กระทั่งความร้อนของชาถ้วยนั้นยังคงร้อนลวกมืออย่างเหมือนจริงเพียงนั้น อ้ายจื่อจินขยับนิ้วมือเล็กๆ ความเจ็บปวดเสียดแทงใจพลันบีบรัดปอดและแผ่ซ่านไปตามเส้นเลือดทุกเส้นในร่างกาย
ตอนนี้เองนางถึงได้สติแจ่มชัดขึ้นมา
นางไม่ได้อยู่ในห้องลับอีก แต่กลับอยู่ในคุก! ตอนนี้ไม่ใช่รัชศกวั่นลี่ปีที่สี่สิบแปดอีกแล้ว แต่เป็นรัชศกเทียนฉี่ปีที่เจ็ด!
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” น้ำเสียงฟังดูคุ้นหูอยู่บ้าง ทั้งยังเจือสำเนียงทางเหนืออันเข้มข้น ในแถบนี้ย่อมได้ยินสำเนียงนี้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย อ้ายจื่อจินใจดิ่งวูบ ช้อนตาขึ้นมองคนที่เข้ามา ใบหน้างามเป็นสง่าที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันพาให้นางอึ้งงันไปครู่หนึ่ง
“คิดไม่ถึงว่าจะพบข้าที่นี่กระมัง!” สตรีแต่งกายชุดผู้คุมคุกหญิงชายตามองนางอย่างเย้ยหยัน
“ซุนจิ่วเม่ย!” สีหน้าอ้ายจื่อจินค่อยๆ เปลี่ยนจากตกตะลึงกลายเป็นราบเรียบ “เจ้าก็มาด้วย?”
“เฮอะ!” เห็นอ้ายจื่อจินสงบนิ่งเพียงนี้ ซุนจิ่วเม่ยพลันรู้สึกไฟโทสะพลุ่งพล่านทันใด “เจ้าอย่าคิดว่าข้าอยากมา หากไม่ใช่เพราะ…” พูดไปครึ่งหนึ่ง ซุนจิ่วเม่ยก็หยุดชะงักกะทันหัน ก่อนเอ่ยอย่างแข็งกระด้าง “อ้ายจื่อจิน เจ้าอย่าคิดว่าตอนนั้นที่ไปจากเมืองหลวง เรื่องเจ้าเป็นพยานเท็จให้ร้ายสกุลเฉียวจะใช้พู่กันฆ่าทิ้งไปทีเดียวได้ เฮอะ นับว่าสวรรค์ยังมีตา ผ่านมาเจ็ดปีแล้ว เรื่องที่เจ้าติดค้างพี่ใหญ่เฉียวจะได้รับการชดใช้ทุกอย่างคืนมาเสียที! ปีนั้นไม่ว่าพี่ใหญ่เฉียวได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไรในคุกบ้าง ฟ้าดินจะต้องให้เจ้าทรมานเหมือนกันทุกประการแน่นอน!”
“เรื่องในปีนั้นข้าไม่คิดแก้ตัวอีก หากข้าติดคุกแล้วสามารถชดเชยสิ่งที่ติดค้างกับเขาได้จริง นั่นก็ยอดเยี่ยมโดยแท้!” อ้ายจื่อจินจ้องมองซุนจิ่วเม่ยนิ่ง ราวกับไม่ยอมให้อารมณ์ที่เปลี่ยนไปในดวงตาซุนจิ่วเม่ยเล็ดลอดสายตาไปได้ “ทว่าแม่นางซุนมาที่นี่เพื่อดูสภาพน่าเวทนาของข้าเพียงแค่นั้นหรือ หรือแม่นางซุนกลัวข้าจะพูดอะไรออกไป จึงได้มาคุมข้าเช่นนี้”
“เจ้า…เจ้ารู้อะไร” ซุนจิ่วเม่ยตกตะลึงพรึงเพริด
“ข้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น” อ้ายจื่อจินมองเลยไปพลางเอ่ย ตรงนั้นคล้ายมีคนกำลังไอ ซุนจิ่วเม่ยมองตามไปอย่างตื่นตัว ใบหน้าเปลี่ยนสีทันที ผู้คุมคุกหญิงสองสามคนหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินจากทางเดินด้านนั้นเข้ามา ซุนจิ่วเม่ยเห็นสถานการณ์จวนตัวจึงนั่งยองลงทำทีเป็นจัดชายชุด ผู้คุมคุกหญิงเหล่านั้นก็มิได้ใส่ใจนาง เพียงพูดคุยหัวร่อไม่กี่ประโยคก็ไปตรวจตรานักโทษหญิงห้องอื่นต่อ ทางเดินแคบเล็กในคุกหลวงเหลือเพียงแสงไฟริบหรี่วูบวาบแผ่ปกคลุมพื้นที่อันน่าอึดอัด
ซุนจิ่วเม่ยไม่กล้ารั้งอยู่ต่ออีก ลดเสียงต่ำลงเอ่ยเย็นชา “ทางที่ดีเจ้าก็จงไม่รู้อะไรทั้งนั้นต่อไป! หากข้ารู้ว่าเจ้าพูดอะไรต่อหน้ากัวติ้งแม้แต่คำเดียว ไม่ว่าผู้ใดเอ่ยขอชีวิตเจ้าไว้ ข้าก็จะฆ่าเจ้าอยู่ดี!”
แม่ของอ้ายจื่อจินเดิมเป็นยอดบุปผาลือชื่อ กล่าวกันว่าขายศิลปะไม่ขายตัว ทว่าอยู่มาวันหนึ่งเกิดตั้งครรภ์อย่างไม่คาดฝัน ก่อนจะยืนหยัดคลอดเด็กออกมาโดยไม่สนคำทัดทานของคนรอบข้าง อ้ายจื่อจินตั้งแต่เล็กจึงเติบโตขึ้นภายในหอโคมเขียว ตลอดมาใช้แรงงานเป็นบ่าวรับใช้เลี้ยงดูตนเองและแม่ที่อายุมากขึ้นรูปโฉมก็ถดถอย กระทั่งแม่ของนางเป็นโรคจ้งเฟิงกะทันหัน นางถึงได้พาแม่ไปยังโรงแพทย์จิงเฉิง โขกจนศีรษะแตกที่หน้าประตูก็ไม่อาจช่วยมารดาให้กลับมาได้ หลังไว้ทุกข์สามปีแล้วนางก็ออกเรือนกับเฉียวจือซู
ซุนจิ่วเม่ยนั้นชมชอบเฉียวจือซูอยู่ก่อน นางเป็นหลานสาวของราชครูซุนเฉิงจง ทั้งซุนเฉิงจงยังเป็นอาจารย์ของเฉียวจือซู ในวันที่เฉียวจือซูแต่งงานกับอ้ายจื่อจิน ซุนจิ่วเม่ยก็อาละวาดเสียใหญ่โตในพิธีแต่งงาน หากไม่ได้ซุนเฉิงจงมาห้ามได้ทันท่วงที คงจะเกิดเหตุนองเลือดไปแล้ว หลังจากนั้นซุนจิ่วเม่ยก็ไปจากเมืองหลวง ไร้ข่าวคราวนับแต่นั้น
เหตุการณ์นี้ถูกนักเล่านิทานนำไปแต่งเติมเป็นเรื่องราวความรักอันเศร้าระทม ในช่วงเวลาต่อจากรัชศกวั่นลี่ปีที่สี่สิบแปดแล้วก็ร้องเล่าต่อกันไปแสนนาน
รัชศกวั่นลี่ปีที่สี่สิบแปดวันที่สิบห้าเดือนสิบ หญิงสาวสวมชุดรัดกุมสีแดงผู้หนึ่งกลับเมืองหลวง คนผู้นี้คือซุนจิ่วเม่ยที่หายตัวไปกว่าหนึ่งปี ทันทีที่ซุนจิ่วเม่ยเข้าเมืองมาก็รีบร้อนไปยังศาลสถิตยุติธรรม ประตูศาลสถิตยุติธรรมเนืองแน่นแออัดด้วยผู้คนที่เร่งรุดมาจากที่ต่างๆ ศีรษะดำคลาคล่ำมิต่างจากฝูงกา ซุนจิ่วเม่ยฝ่าผู้คนไปจนถึงหน้าประตูอย่างยากเย็น เห็นด้านข้างสิงโตหินน่าเกรงขามสองตัวมีองครักษ์กำลังชูทวนและดาบยาวตั้งมั่นอย่างแข็งขันพร้อมปะทะ
‘วันนี้เป็นวันพิจารณาคดีสกุลเฉียว’
‘เฮอะ ขุนนางสุนัขพวกนั้นหาพยานหลักฐานแน่ชัดอะไรออกมาไม่ได้แน่!’
‘นั่นไม่เสมอไป ข้าได้ยินว่าวันนี้จะมีพยานคนใหม่โผล่มา’
‘ใครใจดำขนาดคิดใส่ร้ายท่านหมอเฉียว’
‘…’
ซุนจิ่วเม่ยฟังคนข้างตัวสนทนาพลางชะเง้อคอมองไปภายใน เวลานี้ก็มีเกี้ยวหลังหนึ่งถูกหามจากริมถนนเข้ามาใกล้อย่างรีบเร่ง องครักษ์เห็นสถานการณ์พลันแยกเป็นสองฝั่งเปิดทางให้อย่างเคารพ เกี้ยวหยุดลง ชายชราผมสีขาวโพลนราวขนนกกระเรียน ใบหน้าเปล่งปลั่งดั่งทารกก็ก้าวอย่างเชื่องช้าออกมา
ซุนจิ่วเม่ยมองเห็นคนผู้นั้นก็ตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ‘ท่านปู่!’
ผู้ที่มาคือราชครูซุนเฉิงจง พอเขาเห็นดวงตากลมโตอันเป็นจุดเด่นของซุนจิ่วเม่ยแล้ว ดวงตาเขาพลันอุ่นร้อน ด้วยความช่วยเหลือจากองครักษ์เขาจึงสามารถฝ่ากลุ่มคนที่แออัดโดยรอบขึ้นหน้าไปกุมมือซุนจิ่วเม่ยไว้ได้ ‘นางหนู หนึ่งปีนี้เจ้าไปอยู่ที่ใดมา’
ซุนจิ่วเม่ยน้ำตาอุ่นร้อนคลอเบ้าเช่นกัน แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ตรงหน้า ไม่ทันห่วงใยสายสัมพันธ์ปู่หลานนางก็รีบเอ่ย ‘ท่านปู่ ต้องช่วยพี่ใหญ่เฉียวให้ได้นะเจ้าคะ ข้ามองดูเขาเป็นอะไรไปไม่ได้!’ ซุนจิ่วเม่ยกล่าวไปก็ร้อนรนจนน้ำตาหลั่งริน
ซุนเฉิงจงถอนใจคราหนึ่ง ‘เจ้ากลับมาก็เพื่อจือซูอย่างที่คิดไว้!’
‘ท่านปู่ ข้า…’ ซุนจิ่วเม่ยทำท่าจะพูดแต่ก็ยับยั้งไว้ก่อน นางกวาดตามองฝูงชนรอบตัวที่จดจ้องมาที่ตนเอง ก่อนจะเหลือบมององครักษ์ที่ยืนเคร่งขรึมอยู่หน้าประตู นางประชิดข้างหูซุนเฉิงจงพลางกระซิบว่า ‘ท่านปู่ ข้าอยากเข้าฟังการพิจารณาคดี!’
‘เหลวไหล!’ แม้ซุนเฉิงจงจะคาดเดาไว้แล้วว่าหลานสาวจะกล่าวคำร้องขอเช่นนี้ เขาก็ยังอดถลึงตาใส่นางไม่ได้
‘ท่านปู่ ขอร้องท่านแล้ว!’ ซุนจิ่วเม่ยดึงมือซุนเฉิงจงไว้ จ้องมองเขาด้วยดวงตาวาดหวัง
‘ข้ารับปากเจ้า ข้าจะช่วยเขาจนสุดความสามารถ! ไม่มีทางเกิดเรื่องกับเขาแน่!’ ซุนเฉิงจงกุมมือนาง
ซุนจิ่วเม่ยรู้ว่าท่านปู่มีหนทางเสมอ ทั้งยังรู้ว่าเรื่องที่เขารับปากมีน้อยยิ่งนักที่ทำไม่ได้ แต่เรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็ก ถึงจะมีคำมั่นของท่านปู่แล้วก็ไม่อาจลดทอนความร้อนใจของนางได้แม้แต่นิดเดียว นางจับมือซุนเฉิงจงพลางวิงวอนรบเร้า ‘ท่านปู่ อย่างน้อยให้ข้าเข้าไปรอข้างในเถอะ นี่เป็นคำขอสุดท้ายในชีวิตของหลาน ขอท่านโปรดยินยอม!’
ซุนเฉิงจงลูบศีรษะหลานสาว รับคำอย่างจนใจ ‘เจ้ารอได้แค่นอกโถงศาล ห้ามบุกเข้าไปโดยพลการเด็ดขาด!’
ซุนจิ่วเม่ยได้แต่ยืนจิตใจว้าวุ่นอยู่นอกโถงศาล เบิกตามองคนที่เกี่ยวข้องเข้าไปด้านในตามลำดับ แต่ละชั่วยามแต่ละเค่อประดุจพันปีหมื่นปี ซุนจิ่วเม่ยรู้สึกเพียงชีวิตตนเองในชาตินี้ยังไม่ยาวนานเท่าการรอคอยในยามนี้เลย
เสียงทุบค้อนเบิกศาลดังขึ้น พร้อมด้วยเสียงร้องประสาน ‘เวยอู่’ ของเจ้าหน้าที่ศาล ซุนจิ่วเม่ยใจเต้นตึกตักโครมคราม เจ็บใจที่ตนเองไม่อาจแปลงร่างเป็นแมลงบินเข้าไปด้านในได้
บนท้องฟ้าห่านป่าตัวใหญ่หลงฝูงตัวหนึ่งบินมา มุ่งตรงไปทางทิศใต้ ไม่นานนักก็เหลือเพียงจุดสีดำเร้นหายไปในท้องนภาซึ่งมืดลงช้าๆ ใบไม้สีเหลืองบนกิ่งร่วงโรยตามสายลมสารทอันวังเวง เฉียดผ่านปลายผมบนหน้าผากซุนจิ่วเม่ย จนสุดท้ายก็เกลือกกลิ้งปะปนไปในผืนดิน
ซุนจิ่วเม่ยไม่รู้ตัวเลยสักนิด เวลาหนึ่งวันนี้ได้ผ่านไปเร็วเกินไปจริงๆ ทั้งยังดูยาวนานเป็นพิเศษ เพียงพริบตาก็พลบค่ำแล้ว ตอนนี้ซุนจิ่วเม่ยถึงค่อยพบว่าแสงอาทิตย์อัสดงที่กำลังคล้อยต่ำทางตะวันตกได้ปกคลุมทั่วเมืองหลวงจนเป็นสีแดงกุหลาบทั้งหมด นางไม่เคยเห็นสีแดงกุหลาบที่ดูน่าสลดรันทดเช่นนี้เลย
ถึงยามนี้คนที่สมควรมาก็มากันหมดแล้วกระมัง พยานที่ควรให้การก็คงให้การเสร็จแล้วกระมัง ซุนจิ่วเม่ยเห็นว่าแค่มีซุนเฉิงจงอยู่ ประกอบกับยามนี้พรรคตงหลินยึดครองเสียงมากกว่าครึ่งในศาล เป็นไปไม่ได้ที่จะสวมหมวกกบฏให้เฉียวจือซูซึ่งหน้า ซุนจิ่วเม่ยคิดว่าการพิจารณาคดีครั้งนี้ถือว่าเฉียวจือซูกุมชัยอยู่ในมือ
ช่วงที่แสงสว่างของวันใกล้ลาลับไปจนหมด ในที่สุดซุนจิ่วเม่ยก็คลี่ยิ้มที่ไม่พบมานาน ทว่ารอยยิ้มเจิดจ้าดุจแสงตะวันนี้ก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา
ซุนจิ่วเม่ยคุ้นเคยกับคนผู้นี้เหลือเกิน คนผู้นี้ด้านในสวมชุดกระโปรงหรูฉวิน สีเขียวคราม ด้านนอกสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองขนห่าน เรือนผมสีดำใช้ปิ่นไม้ท้อสลักลายดอกไม้เกล้ามวยทรงหญิงออกเรือน ท่าทางประดุจดอกเหมยสีขาวกลางเหมันต์อันหนาวเหน็บ ดูบริสุทธิ์เยือกเย็นเฉกเช่นครั้งแรกที่ได้พบนาง…คนผู้นี้ก็คืออ้ายจื่อจิน
แม้ซุนจิ่วเม่ยเคยพบนางเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่ากลับจดจำท่าทางอันเย็นชาของนางได้ขึ้นใจ
อ้ายจื่อจินหยุดฝีเท้าจ้องมองซุนจิ่วเม่ยเช่นกัน
ซุนจิ่วเม่ยไม่รู้ว่าอ้ายจื่อจินยังจดจำตนเองได้อยู่หรือไม่ ตนรู้สึกเพียงสายตานางที่มองมาคล้ายมีวาจาต้องการเอื้อนเอ่ย ทว่าอ้ายจื่อจินไม่ทันได้กล่าว เจ้าหน้าที่ด้านหลังนางก็ร้องเรียกอย่างไม่อดทนแล้ว ‘มองอะไรอยู่ รีบเข้าไปได้แล้ว อย่าให้ใต้เท้าทั้งหลายรอนาน!’
ซุนจิ่วเม่ยคิดไม่ตก นางยังไม่รู้ว่าอ้ายจื่อจินไปจากสกุลเฉียวแล้ว ตามความเข้าใจของนาง อ้ายจื่อจินสมควรโดนจับเข้าคุกโทษฐานที่เป็นหญิงในสกุล ยามนี้ไม่ใช่อยู่ในที่คุมขังก็ต้องอยู่ในศาล แต่บัดนี้ดูแล้วอีกฝ่ายกลับเป็นผู้บริสุทธิ์ มิหนำซ้ำยังใช้ฐานะพยานขึ้นศาลได้
ความสงสัยบังเกิดย่อมต้องรู้ให้แน่ชัด ซุนจิ่วเม่ยทะนงตนว่าตนเองมีวิชาตัวเบาที่ไม่เลว จึงฉวยโอกาสตอนที่ผู้คนไม่ใส่ใจทะยานร่างขึ้นไปบนหลังคา นางยกแผ่นกระเบื้องบนหลังคาที่ซ้อนเป็นชั้นๆ ออกอย่างระมัดระวัง เปิดเป็นรูเล็กให้แอบมองเข้าไปได้สะดวก สภาพภายในศาลพลันปรากฏชัดเต็มตา ซุนจิ่วเม่ยรู้สึกว่าตนเองติดจะโง่งม นางควรกระโดดขึ้นมาบนหลังคาให้เร็วสักหน่อย ไยต้องรอคอยอย่างกระสับกระส่ายอยู่ด้านนอกด้วย
ใต้แผ่นป้ายที่เขียนว่า ‘ชิงเจิ้งเหลียนหมิง’ ผู้ที่นั่งตำแหน่งกึ่งกลางคือผู้พิพากษากัวหรูฉู่ ด้านซ้ายของเขาคือผู้ช่วยผู้พิพากษาเสิ่นซือ ส่วนด้านขวาคือผู้คุมการพิจารณาคดีซุนเฉิงจง
นี่มิใช่การพิจารณาคดีสามตุลาการ แต่กลับดึงดูดสายตามากมายจากคนในราชสำนัก หนึ่งด้วยคดีนี้เกี่ยวพันถึงการสวรรคตของอดีตฮ่องเต้ สองเพราะเฉียวเหยี่ยนมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับราชเลขาธิการฟางฉงเจ๋อ
ฟางฉงเจ๋อเป็นผู้นำพรรคเจ้อ เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีพิเศษ เขาจึงปิดประตูไม่ออกจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัยไปตั้งแต่ต้น ผู้มีสิทธิ์เข้าคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาคดีนี้ผลักภาระกันไปมา สุดท้ายจึงผลักภาระนี้ไปให้กับกัวหรูฉู่ กัวหรูฉู่เป็นคนของพรรคตงหลิน เขาฉวยโอกาสเสนอลูกเขยของตนเองเสิ่นซือเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา คิดไม่ถึงก่อนวันพิจารณาคดี ซุนเฉิงจงผู้มีบารมีมากพอตัวในราชสำนักกลับเสนอตัวขอรับหน้าที่ผู้คุมการพิจารณาคดีนี้ด้วย
ซุนเฉิงจงเองก็อยู่พรรคตงหลิน แต่ไรมาไม่ชอบสงครามระหว่างพรรค ทว่าครานี้เสนอตัวขอรับหน้าที่ผู้คุมการพิจารณาคดีด้วย ช่างชวนให้ผู้คนจับต้นชนปลายไม่ถูกโดยแท้ คดีจึงยิ่งสลับซับซ้อนขึ้น กลายเป็นการปะทะซึ่งหน้าระหว่างพรรคตงหลินและพรรคเจ้อไปโดยปริยาย ท้ายที่สุดถูกพรรคตงหลินครองพื้นที่เหนือกว่าในทุกด้าน ทว่าเหมือนทุกคนจะลืมเลือนไปว่าหลานสาวของซุนเฉิงจงมีความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปกับเฉียวจือซู ด้วยเหตุนี้จึงลืมเลือนไปด้วยว่าซุนเฉิงจงก็เคยเป็นอาจารย์ที่เฉียวเหยี่ยนเชิญมาสอนเฉียวจือซูสมัยเด็กด้วย
ซุนจิ่วเม่ยไหนเลยจะมองไปยังสามผู้มีอำนาจมากที่สุดในศาล ตั้งแต่ต้นนางก็เริ่มมองหาเฉียวจือซูแล้ว เฉียวจือซูกับบิดาเฉียวเหยี่ยนและน้องชายเฉียวจือเยวี่ยคุกเข่าอยู่บนพื้น หลายวันในคุกทำให้พ่อลูกทั้งสามแลดูผ่ายผอมจนเห็นกระดูก ซุนจิ่วเม่ยแทบจดจำคนทั้งสามที่มีรอยเลือดอยู่ทั่วตัวตรงหน้าไม่ได้ นางเจ็บใจที่ไม่อาจเหินกายลงไปปลดโซ่ตรวนเหล่านั้น เจ็บใจที่ไม่อาจรับการทรมานในคุกทั้งหลายแทนเฉียวจือซู นางรู้สึกว่าทั่วกายจากหัวจรดเท้าท่วมท้นไปด้วยความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง ราวกับต้องดึงหนามที่ทิ่มแทงอยู่นี้ออกทุกลมหายใจ
เวลานี้ผู้พิพากษากัวหรูฉู่กำลังไต่ถามคำถามทั่วไป อาทิ ‘เจ้าเป็นใคร’ ‘มีความเกี่ยวข้องอันใดกับสกุลเฉียว’ เป็นต้น แรกเริ่มอ้ายจื่อจินล้วนตอบอย่างตั้งใจ แต่เมื่อกัวหรูฉู่ถามว่า ‘มาเพราะเหตุใด’ นางกลับนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ
ซุนจิ่วเม่ยอยากรู้ยิ่งนักว่าอ้ายจื่อจินผู้นี้มาเพราะเหตุใด ทว่าเวลาล่วงเลยไป อ้ายจื่อจินก็ยังไม่พูดสักคำ
ดวงอาทิตย์ยามสนธยาลาลับขอบฟ้าไปหมดแล้ว ในศาลจุดเทียน ส่องให้ใบหน้าผู้คนที่อยู่ภายในศาลดำมืดมิดเย็นเยือกดูน่าพรั่นพรึง
‘ตึง!’ เสียงทุบค้อนดังขึ้น กัวหรูฉู่รอจนความอดทนสิ้นสุดลงแล้ว ‘บังอาจนัก! อ้ายจื่อจิน ข้าถามเจ้าอยู่ ไยจึงไม่ตอบ!’
การทุบครั้งนี้กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ศาลสองฝั่งร้องพร้อมกันเสียงดัง ‘เวยอู่…’
ใครเลยจะคิด อ้ายจื่อจินจะยังเป็นเช่นท่อนไม้
กัวหรูฉู่โมโหจนมิอาจระงับได้อีก เขาตวาดขึ้น ‘ใครก็ได้ จับนางทรมาน!’
‘ใต้เท้ากัว พยานยังไม่เอ่ยปากก็จับทรมานแล้วหรือ นี่ไม่ตรงกับหลักเกณฑ์ใช่หรือไม่’ ผู้ที่เอ่ยคือซุนเฉิงจง
พอได้ยินเสียงเขา ซุนจิ่วเม่ยพลันเบาใจไปชั่วขณะ
เสิ่นซือที่อยู่ด้านข้างรีบต่อคำ ‘ใต้เท้าทั้งสอง แม่นางอ้ายไม่เคยขึ้นศาลมาก่อน เกรงว่าคงตกใจกลัว ขอใต้เท้ากัวโปรดอนุญาตให้ผู้น้อยไต่ถาม!’
กัวหรูฉู่มองเขาแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าอนุญาต ซุนเฉิงจงย่อมไม่มีปัญหา
เสิ่นซือกระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ย ‘แม่นางอ้าย แค่เจ้าให้การตามความจริง ข้าย่อมให้เจ้าสมปรารถนา’
ปรารถนา? ความปรารถนาของนางคืออะไร!
ซุนจิ่วเม่ยใจเต้นโครมคราม จดจ้องผมเหนือกระหม่อมของอ้ายจื่อจินไม่วางตา
อ้ายจื่อจินเงยหน้ามองเสิ่นซือ
คำถามของเสิ่นซือกลับไม่เหมือนคำถามของกัวหรูฉู่เท่าใดนัก ‘เฉียวเหยี่ยนรู้จักหลี่เข่อจั๋วหรือไม่’
ซุนจิ่วเม่ยไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้า นางย่อมไม่รู้ว่าหลี่เข่อจั๋วอยู่ตำแหน่งใดในคดีนี้ นางแค่สัมผัสได้อย่างหนึ่งว่าบรรยากาศในศาลนี้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ราวทุกคนต่างรวบรวมสมาธิรอเพียงคำตอบของอ้ายจื่อจิน
เวลาประดุจเม็ดทรายไหลผ่านร่องนิ้ว แต่ละเม็ดล้วนแจ่มแจ้งเห็นชัด หลังซุนจิ่วเม่ยรอคอยอยู่นาน ในที่สุดคำตอบของอ้ายจื่อจินก็ปรากฏ ทุกคนได้ยินอ้ายจื่อจินตอบว่า ‘รู้จัก’
ซุนจิ่วเม่ยไม่รู้ว่าคำตอบนี้แสดงถึงอะไร หลี่เข่อจั๋วเป็นคนในราชสำนัก เฉียวเหยี่ยนก็เป็นคนในราชสำนัก รู้จักกันมิใช่เรื่องธรรมดามากหรือไร เสิ่นซือกำลังถามคำถามที่น่าเบื่อออกไปโดยแท้
แต่คล้ายกัวหรูฉู่หาได้รู้สึกว่าคำถามนี้น่าเบื่อ เขาถามต่อจากเสิ่นซือทันที ‘ก่อนคดีลูกกลอนแดง เฉียวเหยี่ยนเคยพบหลี่เข่อจั๋วหรือไม่’
อ้ายจื่อจินเงยหน้ามองไปทางเสิ่นซืออีก ซุนจิ่วเม่ยมองตามสายตาอ้ายจื่อจินไป ประจวบเหมาะเห็นเสิ่นซือกำลังพยักหน้า นี่ไม่ต่างกับการเห็นฉากผู้สมรู้ร่วมคิดที่นัดแนะกันมาก่อนแล้วหรอกหรือ หัวใจซุนจิ่วเม่ยแล่นขึ้นมาถึงลำคอ รู้สึกเพียงตาข่ายไร้รูปผืนหนึ่งกำลังแผ่ขยายออกช้าๆ
อ้ายจื่อจินตอบอีก ‘หลี่เข่อจั๋วเคยมาหาหมอหลวงเฉียวจริง แต่…’ นางคล้ายยังมีถ้อยคำเอ่ยไม่หมด
กัวหรูฉู่กลับไม่ให้นางได้พูดจนจบ ‘ข้าถามเจ้าแค่เขาเคยพบหรือไม่เคยพบ คำพูดไร้สาระอื่นไม่ต้องพูดอีก!’
อ้ายจื่อจินผงะไป นางหันไปมองเสิ่นซืออีก เสิ่นซือส่ายหน้า คล้ายกำลังบอกนางว่าไม่ต้องเอ่ยคำ อ้ายจื่อจินจึงปิดปากเงียบ
หลังจากนั้นซุนเฉิงจงเอ่ยคัดค้านกัวหรูฉู่ว่า ‘ในเมื่อแม่นางอ้ายมีวาจาที่กล่าวไม่หมด ตามหลักแล้วก็ควรฟังนางกล่าวจนจบ’
แต่กัวหรูฉู่กลับไม่ไว้หน้าซุนเฉิงจงเลยแม้แต่น้อย พูดคำขาดด้วยสีหน้าเข้มงวด ‘ท่านราชครูซุน ข้าเคารพท่านเป็นผู้คุมการพิจารณาคดี แต่ที่นี่ข้าคือผู้พิพากษา ย่อมมีวิธีการไต่สวนคดีของข้า หากคดีนี้ตัดสินผิดพลาด ต่อไปเรื่องถึงพระกรรณฝ่าบาท แม้แต่ท่านราชครูซุนเองก็ไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้!’
ซุนเฉิงจงยิ้มเย็นเอ่ย ‘ข้าผู้ชราไม่กลัวต้องรับผิดชอบ ในเมื่อฝ่าบาททรงเชื่อมั่น รับสั่งให้ข้าเป็นผู้คุมการพิจารณาคดี ข้าจะยอมให้เกิดการปรักปรำใส่ร้ายไม่ได้ คดีนี้มีความเกี่ยวพันอย่างใหญ่หลวง หากอาศัยเพียงคำให้การตัดสินลงโทษ ข้าก็ไม่กลัวที่จะนำคดีนี้ทูลต่อฝ่าบาท’
กัวหรูฉู่ยังคงแสยะยิ้มเย็น เอ่ยอย่างมั่นใจโดยไม่หวั่นเกรง ‘เกรงว่าคดีนี้จะไม่ได้มีแต่พยานเท่านั้น’ จากนั้นเขาก็ปรบมือ เห็นเจ้าหน้าที่ศาลสองคนยื่นสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง
ซุนจิ่วเม่ยมึนงงอยู่บ้าง นางขยับไปข้างหน้าต้องการดูตัวอักษรบนปกสมุดให้ชัดเจน ทว่าแสงสว่างน้อยเหลือเกิน ต่อให้นางถือดีว่าตนเองตาดีก็มองเห็นเพียงคำว่า ‘เฉียว’ ตัวใหญ่บนหน้าปกเท่านั้น
นางฉุกคิดได้ทันใด เฉียวจือซูมักจดบันทึกลงสมุดบันทึกการแพทย์ บนหน้าปกเขียนว่า ‘บันทึกแพทย์สกุลเฉียว’
กัวหรูฉู่รับสมุดมาพลิกอ่าน แล้วซักถามอ้ายจื่อจิน ‘นี่คือหนังสือของเฉียวจือซูใช่หรือไม่’
อ้ายจื่อจินเหลือบมองเสิ่นซือก่อนเช่นเดิม เมื่อเห็นเสิ่นซือพยักหน้า นางจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบา ‘เจ้าค่ะ’
แสงไฟประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวสลัว ส่องให้ใบหน้ากัวหรูฉู่สว่างสลับมืด เขาพลิกสมุดไปยังหน้าหนึ่งแล้วยื่นไปเบื้องหน้าซุนเฉิงจง ซุนจิ่วเม่ยเห็นซุนเฉิงจงกวาดตามองลวกๆ แวบหนึ่งก็อึ้งงันอย่างผิดปกติไปเล็กน้อย นางอดใจหวิวขึ้นมาไม่ได้
ต่อมาได้ยินกัวหรูฉู่ทุบค้อนอย่างแรงพลางตวาดว่า ‘เฉียวเหยี่ยน เฉียวจือซู เฉียวจือเยวี่ย บัดนี้พยานหลักฐานชัดแจ้งแล้ว พวกเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่!’
ซุนจิ่วเม่ยผงะอึ้ง นางพลาดสีหน้าของผู้คนในศาลไป เมื่อมองไปอีกทีก็เห็นเพียงอ้ายจื่อจินมองไปทางเสิ่นซืออีกครั้ง
ซุนจิ่วเม่ยรู้ความหลังระหว่างอ้ายจื่อจินกับเสิ่นซือ ย่อมรู้ว่าพวกเขาหาได้เป็นแค่คนรู้จักเก่าธรรมดา ในสายตานางการส่งสายตาหากันไปมาในศาลช่างสมกับคำว่า ‘เล่นหูเล่นตา’ สี่คำนี้จริงๆ นับเป็นการตบหน้าเฉียวจือซูฉาดใหญ่โดยแท้!
จนถึงตอนนี้ ซุนจิ่วเม่ยพอรับรู้คร่าวๆ แล้ว ‘บันทึกแพทย์สกุลเฉียว’ เป็นอ้ายจื่อจินส่งขึ้นไปแน่นอน อ้ายจื่อจินหลุดพ้นความผิดได้คงมีเหตุมาจากเสิ่นซือ เช่นนั้นอ้ายจื่อจินต้องเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับเสิ่นซือเป็นแน่ ถึงขั้นที่อาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดใช้การหลุดพ้นคดีเป็นข้อต่อรอง!
ถึงตอนนี้จิตใจของซุนจิ่วเม่ยพลันว้าวุ่นขึ้นมาอย่างมาก นางคิดจะเหินร่างลงไปในศาล แต่ก็กลัวว่าหากตนเองเผยตัวจะสร้างความลำบากให้เฉียวจือซูมากยิ่งขึ้น ทว่าหากอาศัยเพียง ‘บันทึกแพทย์สกุลเฉียว’ แล้วจะพิพากษาโทษของพ่อลูกสกุลเฉียว ดูจะน่าหัวเราะเยาะเกินไปหรือไม่! ชั่วขณะนั้นนางพลันลังเลไม่แน่ใจขึ้นมา
กัวหรูฉู่อ่านเสียงดังขึ้นมา ‘ลูกกลอนแดงภายในมีชาด ตะกั่วแดง มีฤทธิ์รุนแรง หากใช้กับผู้มีลมปราณหยางแข็งแกร่งจะเผาผลาญสารจำเป็น* และเลือด ฆ่าคนได้โดยไร้ร่องรอย แม้เป็นยาต้องห้ามแต่ก็เป็นยาวิเศษ เฉียวเหยี่ยน เจ้ากับพวกกระจ่างแจ้งในตำรับยาลูกกลอนแดงประหนึ่งนิ้วบนฝ่ามือ ทั้งยังรู้สรรพคุณและโทษอย่างลึกซึ้ง ยังกล้ามอบให้หลี่เข่อจั๋ว ใช้ชื่อว่า ‘ยาอายุวัฒนะ’ ถวายแก่อดีตฮ่องเต้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของลมปราณหยาง! ตาข่ายแห่งสวรรค์ห่างแต่ไม่รั่ว วันนี้ข้าตรวจพบว่าพวกเจ้าคิดไม่ซื่อเช่นนี้ จำต้องกราบทูลให้ฝ่าบาททรงตัดสินอย่างเด็ดขาดยุติธรรม ให้ความจริงเป็นที่ประจักษ์!’
ซุนจิ่วเม่ยได้ฟังก็หวั่นกลัว มองหาเฉียวจือซูตามสัญชาตญาณ เฉียวจือซูกำลังเงยหน้ามองไปทางอ้ายจื่อจิน ซุนจิ่วเม่ยย่อมมองไม่เห็นใบหน้าของเขา ทว่ายังคงจินตนาการได้ว่ายามนี้เขาต้องตื่นตระหนกหาใดเทียบอย่างแน่นอน
เฉียวจือซูที่อ่อนโยนสงบนิ่งมาเสมอก็มีเวลาที่ตกตะลึงถึงเพียงนี้ ตอนนี้ซุนจิ่วเม่ยพลันรู้สึกปวดใจยากสงบ
ซุนจิ่วเม่ยยังไม่ทันมองสภาพอ้ายจื่อจินในยามนี้ ก็ได้ยินกัวหรูฉู่ตะคอกสั่งคนให้พาตัวนางออกไป
เฉียวจือเยวี่ยเดือดดาล ตะโกนอย่างฉุนขาด ‘อ้ายจื่อจิน! ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า คิดไม่ถึงเจ้าจะให้การเท็จช่วยคนพวกนี้! พี่ข้าเคยเขียนคำพูดพวกนั้นเสียที่ไหนกัน ทั้งที่เขาเขียนว่า ‘ตำรับยาลูกกลอนแดงของเดิมสูญหาย ในนั้นมีชาด ตะกั่วแดง รักษาโรคห้าหักโหมเจ็ดทำร้าย** และอาการจากความเหนื่อยล้าอ่อนแอต่างๆ โดยห้ามใช้กับผู้มีลมปราณหยางแข็งแกร่งเด็ดขาด ใช้มากเผาผลาญสารจำเป็นและเลือด ทั้งบั่นทอนหยาง’ เขาต้องการตักเตือนผู้คนถึงได้กล่าวถึงลูกกลอนแดงในสมุด สมุดเล่มนี้หาใช่เล่มที่พี่ชายข้าเขียน ไม่ใช่เด็ดขาด! อ้ายจื่อจิน เจ้าให้การเท็จเช่นนี้ไม่ละอายใจต่อสกุลเราบ้างหรือ ตอนนั้นท่านแม่เจ้าเสีย หากไม่ได้พวกเรา แม่เจ้าจะได้ฝังหรือไม่’
ซุนจิ่วเม่ยเองก็อยากกระโดดลงไปชี้จมูกก่นด่าอ้ายจื่อจินเช่นเดียวกัน อยากดุด่านางว่าช่างใจไม้ไส้ระกำ ดุด่านางที่ไม่แยกแยะถูกผิด ดุด่านางที่ทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองโดยไม่สนบุญคุณหลายปีของสกุลเฉียว แต่เมื่อนางเห็นเงาร่างโดดเดี่ยวของเฉียวจือซูแล้ว นางกลับพูดไม่ออก เฉียวจือซูในตอนนี้คือคนที่สิ้นหวังที่สุด เจ็บปวดที่สุดในคนทั้งหมดมิใช่หรือ
เฉียวจือเยวี่ยก่นด่าจนสองตาแดงก่ำ กระทั่งอ้ายจื่อจินถูกพาออกไปนอกศาลแล้วก็ยังคงด่าทอไม่หยุด ‘หญิงไม่รู้ดีชั่วผู้นี้ เห็นบ้านข้ายามนี้ตกต่ำก็ฉวยโอกาสโยนหินซ้ำเติม! คุณธรรมของเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือ เสียทีที่พี่ข้าหวังดี ไม่อยากให้เจ้ามาพัวพันจึงได้หย่ากับเจ้า! คิดไม่ถึงว่าหญิงใจดำเช่นเจ้านี้เพื่อคนรักเก่าแล้ว ถึงกับกล้าหันหลังให้ศีลธรรม ปั้นน้ำเป็นตัว กล่าวหาว่าพี่ข้าเป็นคนเขียนสมุดเล่มนี้! เจ้า…’
เฉียวจือซูถึงกับหย่าอ้ายจื่อจินเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของนาง?!
ยามนี้ซุนจิ่วเม่ยไม่รู้จะใช้ความรู้สึกใดมาแสดงอารมณ์ของตนได้ อิจฉา? เกลียดชัง? ไม่ ไม่ใช่ทั้งสิ้น นางเพียงปวดใจ ปวดใจในความทุ่มเทของเฉียวจือซู ปวดใจต่อความโดดเดี่ยวของเฉียวจือซู แต่นางจะทำอะไรได้เล่า นางจะเป็นเหมือนปีก่อนที่อาละวาดในงานแต่งของเขา แล้วตอนนี้ยังอาละวาดในศาลพิพากษาอีกหรือ
ซุนจิ่วเม่ยได้ยินเพียงกัวหรูฉู่ตะคอกห้าม ‘หุบปาก! ในสมุดเล่มนี้เป็นลายมือของเฉียวจือซูชัดเจน จะไม่ใช่เขาเขียนได้อย่างไร!’
เฉียวจือเยวี่ยกลับยิ่งด่ายิ่งฮึกเหิม ไม่ระวังคำพูดทุกขณะ ‘หญิงผู้นั้นพูดจาเพ้อเจ้อ ท่านเป็นถึงผู้ตรวจการยังเชื่อ?! ท่านไม่รู้หรือว่าลูกเขยคนดีของท่านกับสตรีผู้นี้เคยเกือบแต่งงานกันแล้ว หากมิใช่เพราะลูกเขยขี่มังกรคนดีของท่านผิดสัญญา แม่ของนางจะเป็นโรคจ้งเฟิงได้อย่างไร พี่ข้ายิ่งไม่ต้องสงสารพวกนาง รับปากสู่ขอนางจนต้องมีจุดจบเช่นนี้! พวกเจ้าสกุลอ้ายสกุลเสิ่นสกุลกัวเป็นสวะทั้งนั้น’
คนทั้งหมดคิดไม่ถึงว่าเฉียวจือเยวี่ยจะลากบุญคุณความแค้นบทนี้ขึ้นมา พากันเงียบกริบไปชั่วขณะ
ได้ยินเพียงกัวหรูฉู่ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดที่สุด ‘ข้ายุติธรรมมาแต่ไหนแต่ไร จะฟังความข้างเดียวจากสตรีแซ่อ้ายได้อย่างไรกัน! เมื่อครู่ราชครูซุนก็เห็นสมุดเล่มนี้ เขากับเฉียวจือซูมีความสัมพันธ์อันดีมาแต่เดิม เจ้าถามเขาดูสิ นี่ใช่ลายมือเฉียวจือซูหรือไม่’
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ ในศาลพลันเงียบสนิท ซุนจิ่วเม่ยมองไปทางซุนเฉิงจง
ซุนเฉิงจงยามนี้แลดูไร้กำลังโต้แย้ง ซุนจิ่วเม่ยฉุกคิดขึ้นได้โดยพลัน ที่กัวหรูฉู่กับเสิ่นซือไม่ปฏิเสธให้ซุนเฉิงจงมาคุมการไต่สวนนี้ เพราะท่านปู่ของนางเป็นส่วนสำคัญยิ่งในแผนร้ายครั้งนี้กระมัง และแผนซ้อนแผนนี้ก็ได้หมายเอาชีวิตของพ่อลูกสกุลเฉียว!
บทที่หก
ซุนจิ่วเม่ยนึกถึงการพิจารณาคดีเมื่อเจ็ดปีก่อน ราตรีอันเย็นเยียบในคืนนั้นประหนึ่งรอยแผลสลักในส่วนลึกของใจ แต่ไรมาไม่เคยลืมเลือนสักชั่วอึดใจ ทว่าสายลมวันนี้อ่อนโยน ท้องฟ้าวันนี้สว่างใส วันนี้คือรัชศกเทียนฉี่ปีที่เจ็ด ท้องนภาสีฟ้าอ่อนปกคลุมด้วยปุยเมฆดั่งก้อนฝ้าย ซุนจิ่วเม่ยนั่งข้างโต๊ะหินสองมือเท้าคางคิดจนเหม่อลอย ถึงกับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ
รองเท้าผ้าป่านธรรมดายิ่งคู่หนึ่ง เสื้อแขนสั้นผ้าหยาบธรรมดามากหนึ่งตัว ใบหน้ากว่าครึ่งของเขาซ่อนอยู่ในงอบใบโต เผยเพียงคางและริมฝีปากที่เม้มแน่น เขานั่งลงตรงข้ามซุนจิ่วเม่ย งอนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางมือขวาเบาๆ คล้ายจะจับชีพจรให้คน สุดท้ายแล้วนิ้วที่งอทั้งสามของเขาก็เพียงประเดี๋ยวเคาะประเดี๋ยวหยุดตามอำเภอใจบนโต๊ะหินเท่านั้น
ตึกๆๆ…เสียงนิ้วเล็กเรียวเคาะโต๊ะหินเรียกสติซุนจิ่วเม่ย สายตาของนางพุ่งไปยังนิ้วมือทั้งสามที่กำลังเคาะโต๊ะหิน มุมปากยกยิ้มร่าเริง ดวงตาทอประกายช้อนขึ้น “พี่ใหญ่เฉียว!”
“คิดอะไรอยู่ ใจลอยปานนี้” เขาหยักยิ้มเป็นเส้นโค้ง กลิ่นอายเคร่งขรึมมลายหายทันตา
“ยังไม่ใช่…” ซุนจิ่วเม่ยเกือบพลั้งปาก ยังดีที่หยุดไว้ได้ก่อน นางหัวเราะอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “จะคิดอะไรได้ แค่รู้สึกว่าระยะนี้แดดจะออกสักทีไม่ง่ายเลย ดีจริงๆ! ฮ่าๆ ท่านพี่เฉียว ท่านมาช้าเหลือเกิน สมุดครึ่งเล่มนั้นเล่า”
“มอบให้ทูอิงไปแล้ว”
“เขาจะทำเช่นไรต่อ”
บุรุษผู้สวมงอบกำหมัดแน่น แม้เห็นใบหน้าเขาไม่ชัด ซุนจิ่วเม่ยก็ยังสัมผัสได้ชัดเจนถึงความเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างเขา
“ฆ่าคนทรยศพวกนั้น” น้ำเสียงเขาไม่เจือไออุ่นเลยสักนิด
ซุนจิ่วเม่ยหาได้ตื่นตะลึง เพียงถามต่อ “มีเบาะแสสมุดรายชื่ออีกครึ่งเล่มหรือไม่”
“เมื่อครู่ข้าไปบ้านเหอปู้ผิงมา…” ชายหนุ่มคล้ายลังเลอยู่บ้าง เขาหยุดไปพักหนึ่งแล้วกล่าว “อาจนับว่ามีกระมัง”
“อีกครึ่งเล่มที่เหลือ…” ซุนจิ่วเม่ยร้องอย่างตื่นเต้น ทว่ากลับถูกเขาเอ่ยตัดบท
“เมื่อครู่เจ้าออกมาจากคุกหญิง สถานการณ์ด้านในเป็นเช่นไรบ้าง”
ซุนจิ่วเม่ยได้ยินเขาเอ่ยถึงอ้ายจื่อจินแล้ว นางพลันลืมเรื่องเหอปู้ผิงไป จึงเอ่ยตัดพ้ออย่างไม่พอใจ “ท่านอยากจะช่วยหญิงผู้นั้น?! เจ็ดปีก่อนข้าเห็นกับตาว่าหญิงผู้นั้นเล่นหูเล่นตากับเสิ่นซือในศาล เห็นได้ชัดว่านางสมรู้ร่วมคิดกับเสิ่นซือ”
“เรื่องเนิ่นนานถึงเพียงนั้นข้าลืมไปแล้ว” ชายหนุ่มหันหน้าไป แม้น้ำเสียงฟังดูเรียบเฉย แต่แท้ที่จริงกลับเย็นเยียบ “สำหรับข้า หญิงคนนั้นก็เป็นแค่คนแปลกหน้า ข้าช่วยนางเพียงเพราะคำสั่งเสียของเหอปู้ผิง”
“เมื่อครู่ท่านมิใช่บอกว่าพบอะไรแล้วหรอกหรือ ยังจะช่วยนางอีกทำไม” ซุนจิ่วเม่ยงึมงำ ในน้ำเสียงแฝงความหึงหวงอย่างเต็มเปี่ยม
“การค้นพบนั้นไม่เอ่ยถึงก็ได้ ไม่เกี่ยวกับสมุดรายชื่อเท่าใดนัก” นิ้วมือเขายังคงเคาะโต๊ะหิน ซุนจิ่วเม่ยรู้ว่าเขากำลังใคร่ครวญ นางจึงไม่คิดรบกวนอีก เพียงรอคอยเขากล่าวคำเงียบๆ
“ก่อนตายคนที่เหอปู้ผิงพบคนสุดท้ายคืออ้ายจื่อจิน มีความเป็นไปได้มากว่านางจะได้สารจากเขา”
“แต่อ้ายจื่อจินยืนกรานว่าเหอปู้ผิงตายไปแล้วนี่!” ซุนจิ่วเม่ยทำปากยื่น “หากนางรู้อะไรจากเหอปู้ผิงจริง ไม่รู้ว่าจะนำไปบอกกัวติ้งหรือไม่ ท่านอย่าลืมสิ เจ็ดปีก่อนนางเคยทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนหักหลังสกุลเฉียวมาแล้ว ข้าไม่เชื่อว่านางจะทนรับทัณฑ์ทรมานหนักเพื่อคนแปลกหน้าแค่คนเดียว!” ซุนจิ่วเม่ยโพล่งในคราวเดียว ก่อนสำนึกว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา นางแอบเหลือบตาขึ้นมองชายหนุ่ม เห็นเขาเป็นปกติอยู่ เพียงแค่จังหวะนิ้วที่เคาะโต๊ะหินดูเปลี่ยนไป นางอดลอบเสียใจไม่ได้
ลมพัดกิ่งไม้ไหว ยามนี้ยังคงไม่ได้ยินเสียงเขา ซุนจิ่วเม่ยราวกับนั่งอยู่บนพรมตะปู กระวนกระวายไม่สงบ
“เจ้าจับตาดูนางต่อไป”
ครู่ใหญ่ถึงได้ยินเสียงชายหนุ่มเอ่ยปากอีกครั้ง ซุนจิ่วเม่ยรีบพยักหน้าโดยไม่รอช้า ถามอีกว่า “หากนางแบกรับไม่ไหว…”
นิ้วของชายหนุ่มที่กำลังเคาะโต๊ะพลันรวบเข้าหากัน ตอนที่รวบมือก็เผลอรับดอกอิ๋งชุนจวนโรยราที่ไม่รู้ลอยมาจากที่ใดได้ดอกหนึ่ง เขาขยี้กลีบดอกไม้อย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ปีกงอบขยับขึ้นเล็กน้อยตามศีรษะที่แหงนขึ้นของเขา ปุยเมฆสีขาวบนท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนไปนับหมื่นพันรูปแบบสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาดำสนิทของเขา ซึ่งส่วนลึกของดวงตาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปนับหมื่นพันเช่นเดียวกัน
“ฆ่านางเสีย!” แม้เสียงจะเค้นอยู่ในลำคอ ทว่าทุกถ้อยคำกลับเข้าหูซุนจิ่วเม่ยอย่างชัดเจน ยากที่จะใคร่ครวญความรู้สึกของเขา
ซุนจิ่วเม่ยใจสั่นสะท้านคราหนึ่งโดยไม่รู้ตัว บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอะไร
“ดี!” แม้แต่เสียงของตนเองที่เปล่งออกมา ซุนจิ่วเม่ยยังรู้สึกเหมือนห่างไปนับสิบหมื่นแปดพันหลี่
เงียบสนิทอีกระลอก ครู่ใหญ่ชายหนุ่มถึงค่อยถามขึ้นว่า “เจ้ายังสืบพบอะไรอีก”
“ไม่พบอะไรสำคัญ ทว่าเมื่อคืนผู้ติดตามเล็กๆ ข้างกายกัวติ้งคนหนึ่งดื่มเหล้าเมามายเผลอหลุดเบาะแสเล็กน้อย ครั้งนี้ที่อ้ายจื่อจินติดคุก ดูเหมือนเจ้าเมืองจะเป็นผู้แจ้งเบาะแส”
“เจ้าเมือง? ถังเหอ?”
ซุนจิ่วเม่ยพยักหน้า เห็นเขามีท่าทีใคร่ครวญจึงอดถามไม่ได้ “พี่ใหญ่มีแผนแล้วหรือ”
“เจ้ายังจำฮูหยินสี่สกุลถังที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังว่าบังเอิญเจอที่เขาไป๋อวิ๋นได้หรือไม่”
ซุนจิ่วเม่ยพยักหน้า “หากไม่ได้ฮูหยินท่านนั้นเห็นเชือกที่เหอปู้ผิงแขวนไว้บนต้นไม้ว่าเป็นงู ท่านก็คงหาสมุดไม่พบ”
“ไม่ผิด ข้าแก้ปมบนเชือกทั้งหมดออกแล้ว ถึงได้พบที่ฝังสมุดรายชื่อครึ่งเล่มนั้น”
“ท่านคิดใช้ฮูหยินสี่สกุลถังแฝงตัวเข้าจวนสกุลถัง?” ซุนจิ่วเม่ยดูจะเป็นกังวล “แต่ฐานะของท่านตอนนี้…”
“ไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ” ชายหนุ่มคล้ายตัดสินใจไว้แล้ว “ยิ่งกว่านั้นในใจพวกเขา เฉียวจือซูตายไประหว่างทางที่โดนเนรเทศไปชายแดนเมื่อเจ็ดปีก่อนแล้ว” เขาถอดงอบลงอย่างเชื่องช้า ปรากฏดวงตาดำดุจดาราพร่างพราวคู่หนึ่ง พร้อมกับเผยผมสีขาวเทาเป็นประกายทั่วทั้งศีรษะ “เฉียวจือซูสภาพนี้ ยังจะมีผู้ใดจดจำได้อีกเล่า”
รุ่งสางเฉียวจือซูเคาะประตูจวนเจ้าเมืองถังเหอ เขานำปิ่นเงินยื่นให้เหล่าถังพ่อบ้านจวนสกุลถังผู้มีความสงสัยอยู่เต็มท้อง พระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ เงาของเฉียวจือซูทอดยาวไปถึงหน้าประตูใหญ่สีแดงชาด เขายืนอย่างเงียบเชียบ ผมสีขาวเทาเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน ขณะที่สีคิ้วของเขากลับดำสนิทดั่งน้ำหมึก ใต้คิ้วเข้มเป็นนัยน์ตารียาวคู่หนึ่งซ่อนอยู่หลังแพขนตาหนา เก็บงำประกายที่วาบผ่านเป็นบางครั้งบางคราว
ไม่นานนักเหล่าถังก็เดินออกมาอีก ด้านหลังยังมีสาวใช้อายุราวสิบห้าตามมาด้วย นางก็คือสี่เอ๋อร์ สาวใช้ที่เฉียวจือซูพบที่เขาไป๋อวิ๋นในตอนนั้น แรกเห็นเฉียวจือซู สี่เอ๋อร์ก็ออกจะฉงนสนเท่ห์อยู่บ้าง เฉียวจือซูคิดได้ว่ายามนั้นตนเองสวมงอบอยู่ เขาจึงยิ้มน้อยๆ เอ่ย “แม่นางสี่เอ๋อร์ไม่เห็นงอบของผู้น้อยก็จำผู้น้อยมิได้แล้วหรือ”
ทันทีที่สี่เอ๋อร์ได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าก็ราวกับบุปผาแย้มบาน นางร้องอย่างดีอกดีใจ “เป็นท่านผู้กล้าจริงๆ! เดิมทีฮูหยินสี่ก็คิดไปหาแม่นางอ้ายเพื่อถามข่าวคราวของท่านผู้กล้าอยู่พอดี สองสามวันนี้ฮูหยินสี่ยังพูดพร่ำอยู่เลยว่าอยากจะขอบคุณท่าน!”
“แค่ช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าผู้กล้าเนืองๆ ก็ได้” เฉียวจือซูเอ่ยยิ้มๆ “ข้าแซ่ซู เป็นหมอ”
“อ้อ เช่นนั้นก็คือท่านหมอซู” สี่เอ๋อร์ยิ้มตาหยี “เชิญท่านหมอซูที่ด้านใน ฮูหยินสี่รอจนร้อนใจแล้วเจ้าค่ะ!”
เฉียวจือซูถูกพาไปยังห้องโถงด้านข้าง ทว่ากลับไม่ได้มีแค่ฮูหยินสี่เจิ้งหนานชิงนั่งอยู่เท่านั้น ภายในนั้นยังมีสตรีรูปโฉมเฉิดฉันนั่งตัวตรงอยู่อีกคน พอเห็นเฉียวจือซูเข้ามา นางก็เงยหน้ามองเขาปราดหนึ่งอย่างเย็นชา เอ่ยเปรยว่า “ข้ายังนึกว่าเป็นหมอเทวดาที่ไหน ที่แท้ก็แค่ตัวประหลาดครึ่งแก่ครึ่งหนุ่ม เสียทีที่น้องหญิงสี่พร่ำเอ่ยถึงทุกวัน”
เจิ้งหนานชิงที่เดิมจะลุกขึ้นต้อนรับเฉียวจือซู พอได้ยินหญิงผู้นั้นกล่าววาจานี้แล้ว นางก็โมโหจนใบหน้าแดงก่ำ พูดเสียงแข็งกลับไป “พี่หญิงสามนั่งที่นี่ได้ครู่หนึ่งแล้ว ตอนนี้น้องต้องรับรองผู้มีพระคุณก่อน หากทอดทิ้งพี่หญิงไปก็อย่าได้ตำหนิน้องเลย หวังว่าอีกประเดี๋ยวพี่หญิงกลับไปอย่าได้ว่างงานแต่งเรื่องใส่น้ำมันเติมน้ำส้ม จนวุ่นวายไปทั่วก็แล้วกัน!”
“เจ้า! นี่เจ้าพูดจาอันใด!” ฮูหยินสามสกุลถังเฮ่อหลันซีโกรธจนคิ้วเรียวงามดั่งใบหลิวขมวดเป็นปม
เจิ้งหนานชิงไม่ไยดีหน้าตาเขียวคล้ำของนางแม้แต่น้อย เพียงออกคำสั่งไล่แขก “สี่เอ๋อร์ ยามนี้พี่หญิงสามเหนื่อยแล้ว ยังไม่รีบประคองนางกลับไปอีก”
สี่เอ๋อร์อดรนทนไม่ไหวนานแล้ว ขณะที่รับคำสั่งก็แอบหลิ่วตาให้ฮูหยินสี่อย่างลิงโลด ก่อนจะเดินไปตรงหน้าเฮ่อหลันซีแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ฮูหยินสาม ให้สี่เอ๋อร์ประคองท่านกลับไปเถิด ท่านอายุมากนั่งนานแล้วจะปวดเอว ถือเป็นความผิดของพวกบ่าวเชียวนะเจ้าคะ”
“เจ้า! เจิ้งหนานชิง เจ้านี่มัน…กระทั่งสาวใช้เจ้าก็ยังกล้าหยามเกียรติข้า อย่าได้อาศัยว่าตนเองเป็นคุณหนูจวนสกุลเจิ้งแล้วจะแสร้งทำสูงส่งต่อหน้าข้าได้เล่า พี่ชายไม่ได้เรื่องของเจ้ามิใช่ทำบ้านสกุลเจิ้งล้มละลายจนต้องพึ่งเจ้าชดใช้หนี้หรือไร บ้านผู้ดีมีสกุลอันใดกัน ท้ายที่สุดเจ้าก็ยังเป็นเหมือนกับข้า ต้องมาเป็นอนุที่นี่ คอยดูเถอะ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!” ขณะที่เฮ่อหลันซีลุกขึ้นก็ด่าทอไปด้วย ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเสียงดังพึ่บแล้วหมุนตัวจากไป
“โอ๊ะ ฮูหยินสาม ขาของท่านยังดูคล่องแคล่วดี สี่เอ๋อร์ขอไม่ส่งแล้วนะเจ้าคะ!” สี่เอ๋อร์เดินถึงหน้าประตูแล้วจงใจตะโกนเสียงดังคล้ายอยากจะให้คนทั้งจวนได้ยินกันหมด
“ขออภัยผู้มีพระคุณด้วย” ตอนที่เจิ้งหนานชิงได้ยินเฮ่อหลันซีกล่าวถึงสกุลเจิ้ง สีหน้าก็พลันหม่นลง ยามนี้นางทำทีเงยหน้าขึ้นอย่างสงบ คลี่ยิ้มให้เฉียวจือซูอย่างยากลำบาก
เฉียวจือซูย่อมมองท่าทีเปลี่ยนไปนี้ของนางออก เขาคารวะอีกฝ่ายอย่างสุภาพโดยไม่แสดงสีหน้า “หากไม่สะดวก ผู้แซ่ซูขอตัวก่อน!” กล่าวจบก็จะหมุนตัวออกไป
“ช้าก่อนผู้มีพระคุณ!” เจิ้งหนานชิงไม่ได้สนใจว่าชายหญิงไม่ควรชิดใกล้ นางลนลานเข้าไปรั้งเขา หลังตระหนักถึงการกระทำของตนแล้วก็ถอยหลัง พลางกล่าวเสียงดัง “ข้าเปิดเผยโปร่งใส ไม่กลัวคนนินทา”
เฉียวจือซูฟังความนัยในวาจาของนางออก เขาหันหน้าปราดมองไปก็เห็นพ่อบ้านเหล่าถังแอบมองอยู่ด้านนอกด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ ในใจประหนึ่งกระจกใส
เจิ้งหนานชิงเชิญเฉียวจือซูนั่ง สองคนสนทนาสัพเพเหระไม่กี่ประโยค ยามนี้เฉียวจือซูพอจะรู้แล้วว่าเดิมทีเจิ้งหนานชิงเป็นคุณหนูตระกูลเจิ้งอันเลื่องชื่อ ทว่าจนใจที่กิจการของตระกูลตกต่ำเนื่องจากพี่ชายคนโตติดหนี้พนันจึงยกนางให้ถังเหอเพื่อแลกกับการใช้หนี้ นับเป็นคนมีภูมิหลังที่น่าสงสาร
เจิ้งหนานชิงคิดเพียงว่าเฉียวจือซูเป็นหมอพเนจรมาถึงที่นี่ และช่วยเหลือนางไว้โดยบังเอิญ
เจิ้งหนานชิงถามขึ้น “แต่ไรมายามที่หนานชิงมีระดูจะต้องปวดท้อง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ผู้มีพระคุณรมยาให้ข้าครั้งหนึ่ง อาการปวดท้องนี้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง”
“ครั้งนั้นประจวบเหมาะตรงกับช่วงก่อนมีระดูของฮูหยินสี่พอดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ปวดขึ้นมา เดือนหน้าอาการปวดท้องนี้จะยังคงเป็นอีก”
“เช่นนั้นควรทำเช่นไร”
“ปวดท้องก่อนมีระดูเกิดจากมดลูกเย็นเลือดคั่ง ข้าเห็นหว่างคิ้วฮูหยินหมองคล้ำ ตำแหน่งหว่างคิ้วคือจุดอิ้นถังของเส้นลมปราณไต เป็นสัญญาณว่าลมปราณหยางของไตอ่อนแอ ฮูหยินมักมือเท้าเย็นและกลัวความหนาวใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ!”
“ร่างกายฮูหยินมีลมปราณหยางอ่อนแอ หากไม่สามารถอบอุ่นเส้นลมปราณได้ก็จะส่งผลให้เลือดจับตัวแข็ง เมื่อเลือดไหลเวียนติดขัดก็จะมีอาการปวด ยามฮูหยินมีระดูเลือดจะมีสีคล้ำและเป็นก้อนเลือดใช่หรือไม่”
“กล่าวได้ถูกต้องทั้งสิ้น ผู้มีพระคุณเป็นหมอเทวดาจริงๆ”
“หมอเทวดาไม่กล้าเป็นหรอก ผู้แซ่ซูเพียงวินิจฉัยจากสีหน้าฮูหยิน” เฉียวจือซูเอ่ย “วิธีการมีอยู่สองวิธี ทั้งไม่ต้องให้ฮูหยินกินยาต้มอะไร ฮูหยินเพียงแค่ใช้น้ำเกลือแช่เท้าก่อนนอนเป็นเวลาหนึ่งเค่อของทุกวัน นานวันเข้าจะเห็นผลอัศจรรย์แน่นอน”
“ง่ายดายถึงเพียงนี้?”
เฉียวจือซูพยักหน้าเอ่ยอีก “นอกจากนี้ ก่อนระดูมาสามถึงสี่วันจะรมอ้ายเฉ่าที่จุดชี่ไห่ร่วมกับจุดฝู่เซ่อก็ได้”
“จุดชี่ไห่ จุดฝู่เซ่อ?”
“จุดชี่ไห่อยู่ใต้สะดือชุ่นครึ่ง เป็นจุดสำคัญบนเส้นลมปราณเริ่น ช่วยอบอุ่นหล่อเลี้ยงเลือดลมทั่วร่างกาย และเป็นตำแหน่งที่ตั้งของตันเถียนล่าง ส่วนจุดฝู่เซ่ออยู่ที่ตำแหน่งใต้สะดือตามแนวระนาบออกไปสี่ชุ่น เป็นจุดบนเส้นลมปราณม้าม ทั้งเป็นจุดที่เส้นลมปราณไท่อิน เส้นลมปราณเจวี๋ยอิน และเส้นลมปราณอินเหวยมาบรรจบกัน เลือดลมภายในจุดนี้ล้วนมาจากอวัยวะภายใน ด้วยเป็นจุดบนเส้นลมปราณม้าม จึงสามารถหล่อเลี้ยงความแห้งของม้ามก่อให้เกิดลมปราณม้ามได้ หากรมยาประสานกับจุดชี่ไห่จะยิ่งช่วยรักษาอาการปวดท้องนี้ได้”
“ผู้มีพระคุณกล่าวย่อมเป็นวิธีการที่ดีอย่างแน่นอน” เจิ้งหนานชิงยิ้มน้อยๆ เอ่ย
ยามนี้เอง หญิงสูงวัยผู้หนึ่งก็ยกน้ำแกงถ้วยหนึ่งเข้ามา เอ่ยเสียงเรียบ “ฮูหยินสี่ ถึงเวลาแล้ว เชิญดื่มยาเจ้าค่ะ”
เจิ้งหนานชิงไม่พอใจอย่างมาก “ฉินมามา ไม่เห็นหรือว่าข้ามีแขก”
ฉินมามาผู้นี้กลับไม่กลัวเกรง เอ่ยเสียงเย็น “ยานี้ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ฮูหยินสี่ดื่ม หากฮูหยินสี่ไม่อยากดื่ม ก็สมควรไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวเพียงทำตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
“นี่คือยาอะไร” เฉียวจือซูถามขึ้น
ไม่รอให้เจิ้งหนานชิงตอบ สี่เอ๋อร์ก็พูดแทรกว่า “ตำรับยาซื่ออู้ทัง ที่สำนักซิ่งหลินจ่ายมาเจ้าค่ะ กล่าวว่าช่วยบำรุงเลือดลมแท้ๆ แต่ฮูหยินสี่ดื่มมาหนึ่งปีแล้วก็ยังไม่เห็นตั้งครรภ์”
“สี่เอ๋อร์!” เจิ้งหนานชิงตัดบทนางอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
สี่เอ๋อร์แลบลิ้นให้เฉียวจือซู
“ขอข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่” เฉียวจือซูถาม
“จะลำบากผู้มีพระคุณได้อย่างไร”
“ข้าดูสีหน้าฮูหยินสี่แล้วท่าทางดูไม่คล้ายว่าดื่มซื่ออู้ทังมาหนึ่งปี”
สี่เอ๋อร์ได้ยินพลันร้อนใจ รีบแย่งถ้วยยาจากมือฉินมามามาถือไว้เอง
ฉินมามาหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ขณะจะกล่าวคำก็ถูกสี่เอ๋อร์ชิงพูดว่า “หมอซูท่านนี้เป็นถึงหมอเทวดา ยังไม่ทันหนึ่งก้านธูปก็รักษาอาการปวดท้องให้ฮูหยินสี่ได้แล้ว” โดยไม่รอให้ฉินมามาตอบโต้ นางก็ยื่นถ้วยยาให้เฉียวจือซู
เฉียวจือซูรับถ้วยยามาดมอย่างละเอียด ทั้งยังใช้นิ้วชี้แตะที่ยาเล็กน้อยก่อนชิมดู แล้วหันหน้าไปถามหญิงชรา “ยังมีกากยาอยู่หรือไม่”
ฉินมามาแค่นเสียงเฮอะ “ต้มยาเสร็จย่อมเททิ้งไปแล้ว”
เฉียวจือซูรู้ว่าฉินมามาไม่คิดให้ความร่วมมือ เขาก็มิได้เกิดโทสะ เพียงมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเอ่ย “หนึ่งวันฮูหยินสี่กลับดื่มยาตำรับซื่ออู้ทังเพียงแค่ครั้งเดียว เลือดลมถึงได้อ่อนแอ”
“ผู้ใดกล่าวว่าดื่มแค่ครั้งเดียว” ฉินมามาทนไม่ไหวแย้งขึ้นมา
“ตอนนี้ยังไม่ถึงยามอู่ ก็เทกากยาทิ้งแล้วมิใช่หรือ” เฉียวจือซูหันไปเอ่ยกับเจิ้งหนานชิง “ขอฮูหยินสี่อย่าได้หาว่าข้ามากเรื่อง ไม่ทันถึงยามอู่ก็ดื่มไปแล้วถึงสองหน เช่นนี้ไม่มีประโยชน์กับร่างกาย”
เจิ้งหนานชิงเข้าใจเจตนาของเฉียวจือซูตั้งแต่ต้น นางเอ่ยเสริมว่า “ท่านหมอซูเข้าใจผิดแล้ว วันนี้ข้าดื่มไปแค่ครั้งเดียว” นางหันไปเอ่ยกับฉินมามาเสียงเฉียบ “วันนี้เจ้าต้มให้ข้าเพียงหนเดียวรึ”
ถึงตอนนี้ฉินมามาถึงได้ตระหนักว่าตนเองตกหลุมอุบายของเฉียวจือซูเข้าแล้ว สีหน้าจึงประเดี๋ยวขาวประเดี๋ยวคล้ำ “บ่าวชราเลอะเลือนแล้ว กากยา กากยายังอยู่ในหม้อ บ่าวจะไปนำมาเดี๋ยวนี้”
เห็นฉินมามาไปแล้ว เจิ้งหนานชิงค่อยเอ่ยถามว่า “ท่านหมอซูดูออกว่าผิดปกติหรือ”
เฉียวจือซูใช้หางตากวาดมองพ่อบ้านเหล่าถังที่แอบฟังอยู่นอกหน้าต่างแวบหนึ่ง เขาจงใจเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น “เกรงว่าในตำรับยาซื่ออู้ทังของฮูหยินสี่จะมีสิ่งอื่นเจือปน” พ่อบ้านเหล่าถังได้ยินก็เร่งร้อนรุดไปด้านนอกตามคาด
ครู่เดียวฉินมามาก็ยกหม้อยาที่มีกากยาเต็มล้นเข้ามา ขณะที่เฉียวจือซูจะแยกแยะกากยานั้น หางตาก็แลเห็นเหล่าถังพาบุรุษวัยกลางคนสวมชุดทางการคนหนึ่งเดินเข้ามาในลาน เฉียวจือซูย่อมรู้ว่าคนผู้นั้นคือถังเหอ ทว่าเขาจงใจทำเป็นมองไม่เห็น เพียงเทกากยาในหม้อต้มออก และแยกแยะอย่างละเอียด
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป เขาก็แยกกากยาทั้งหมดเรียบร้อย เป็นเช่นที่คิดไว้ นอกจากตังกุย โกฐหัวบัว ไป๋เสา และโกฐขี้แมวแล้ว ยังแยกของที่มีลักษณะเป็นเม็ดสีดำไหม้สองสามเม็ดที่แทบจะถูกมองข้ามไปออกมา เขายืดตัวตรง ทำทีถลึงตาโตอย่างตกตะลึง ก่อนจะได้ยินเหล่าถังตะโกนเสียงดังว่า “เห็นท่านเจ้าเมืองยังไม่รีบคารวะอีก!”
เฉียวจือซูคุกเข่าอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองมาถึงแล้ว ขอใต้เท้าถังโปรดลงโทษด้วย”
“ลุกขึ้นเถิด” ถังเหอเอ่ยอย่างไม่อดทน “ยานี้เป็นมาอย่างไร”
“ผู้น้อยต้องการดูใบสั่งยาเดิมขอรับ” เฉียวจือซูเอ่ย
เมื่อใบสั่งยามาถึง เฉกเช่นคำของเจิ้งหนานชิงว่าไว้ ใบสั่งยานี้เขียนว่าเป็นตำรับยาซื่ออู้ทัง ‘ตังกุย โกฐหัวบัว ไป๋เสา โกฐขี้แมว’ เฉียวจือซูอ่านใบสั่งยาแล้วคล้ายปรากฏสีหน้าลำบากใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เอ่ยปาก
“เจ้าพูดมาเสียที!” ถังเหอเอ่ยอย่างใจร้อน “ใบสั่งยามีปัญหาอะไร”
“ซื่ออู้ทังเป็นตำรับยาบำรุงเลือดพื้นฐานสำหรับสตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
“เจ้าคนแซ่ซู เจ้าพูดกับข้าให้ชัดในครั้งเดียวเถิด หาไม่ข้าจะส่งเจ้าเข้าคุกเสีย”
เจิ้งหนานชิงได้ยินพลันตกตะลึง มองเฉียวจือซูอย่างเป็นกังวล อีกฝ่ายคล้ายไม่ได้ยินวาจาข่มขวัญของถังเหอ เพียงเงยหน้าขึ้นอย่างสงบ จ้องเขาด้วยแววตาทอประกาย “ทว่าเมล็ดอวิ๋นไถ กลับมีสรรพคุณอีกอย่างหนึ่งคือทำลายเลือด”
“เมล็ดอวิ๋นไถเกี่ยวอะไรกับตำรับยานี้”
“เมื่อใส่เมล็ดอวิ๋นไถเพิ่มลงไปในตำรับยาซื่ออู้ทัง แล้วดื่มหลังมีระดูจะช่วยยับยั้งการตั้งครรภ์ได้ ถือเป็นยาคุมกำเนิด!”
“เจ้าบอกว่าในยานี้ใส่เมล็ดอวิ๋นไถ?” ถังเหอจ้องเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
เฉียวจือซูชี้เม็ดสีดำเล็กๆ ไหม้ไม่กี่เม็ดนั้นแล้วเอ่ย “นี่ก็คือเมล็ดอวิ๋นไถขอรับ”
ทุกคนในที่นั้นล้วนตกตะลึงอย่างมาก ต่างก็ติดอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ เสียงตบโต๊ะดังสนั่น ถังเหอเดือดดาลจนดวงตาขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือด “ใคร! ใครเป็นคนซื้อยา ไปซื้อยามาจากที่ใด แล้วใครเป็นคนต้ม!”
ฉินมามาได้ยินเสียงถังเหอตะคอกก็ขาอ่อนยวบไปทันที นางคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้บ่าวไปซื้อยามาจากสำนักซิ่งหลิน อีกทั้งบ่าวเป็นคนต้มยาเองกับมือเจ้าค่ะ!”
“ใครก็ได้ ลากบ่าวปลิ้นปล้อนนี่ออกไปตบปากให้ข้า!” ถังเหอโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่ใช่บ่าว ใต้เท้า ไม่ใช่บ่าวจริงๆ! บ่าวเพียงทำตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า!” ฉินมามาตกใจจนขวัญกระเจิง
“กลับคิดแอบอ้างท่านแม่หรือ! เจ้าคิดจะบอกว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือท่านแม่?!” ถังเหอเดือดดาลยิ่ง “ยังไม่ลากบ่าวปลิ้นปล้อนนี่ออกไปให้ข้าอีก!”
“ฮูหยินสี่ ฮูหยินสี่เจ้าคะ บ่าวไม่รู้ บ่าวไม่รู้จริงๆ!” ฉินมามาเดิมคิดว่าถังเหอคงเห็นแก่หน้าฮูหยินผู้เฒ่าละเว้นโทษให้ตนเอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ยอมฟังสักนิด จำต้องหันไปขอความช่วยเหลือกับเจิ้งหนานชิง
เจิ้งหนานชิงเห็นฉินมามาอายุมากแล้ว ทั้งนางยังเป็นคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าถังจริงๆ ย่อมไม่อาจล่วงเกินได้ นางจึงได้แต่เอ่ยทัดทานว่า “ท่านพี่ ฉินมามารับใช้ท่านแม่มาหลายปี นางไม่กล้ากระทำเรื่องนี้เองแน่ เกรงว่าคงถูกคนหลอกใช้มาเช่นกัน”
“บ่าวไม่รู้ บ่าวไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ!” ฉินมามาได้ยินก็พูดขึ้นทันใด
เฉียวจือซูเห็นเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้วจึงหันไปพูดกับถังเหอ “ใต้เท้าถัง ฟังผู้น้อยพูดประโยคหนึ่งได้หรือไม่”
ถังเหอหรี่ตามองเขา “พูดมา!”
“ผู้น้อยเชื่อว่าฉินมามาไม่ได้กระทำแน่นอน! หากฉินมามาแอบเพิ่มตัวยาลงไปจริง กากยาที่นำมาย่อมถูกสับเปลี่ยนไปแล้ว ยังจะปล่อยให้กากยาที่มีเมล็ดอวิ๋นไถอยู่มาเป็นบ่วงรัดตนเองทำไมกัน”
“บ่าวปลิ้นปล้อนผู้นี้อาจคิดไม่ถึงว่าเจ้ามองออก” ถังเหอเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“คิดเรื่องปนเมล็ดอวิ๋นไถใส่ในตำรับยาได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีความคิดละเอียดอ่อนมากแน่ ไยจะคิดไม่ถึงว่าอาจถูกคนมองออก”
“นี่…” ถังเหอลังเล ทว่ายังคงหน้าขึงตึง “ยานี้ตั้งแต่ซื้อมาจนถึงต้ม นางล้วนเป็นผู้ดูแลทั้งสิ้น นอกจากนางแล้วยังจะมีผู้ใดอีก”
เฉียวจือซูไม่ตอบกลับย้อนถามฉินมามา “ยานี้ซื้อมาแล้วก็ต้มเลยใช่หรือไม่”
ฉินมามาส่ายหน้า “ฮูหยินผู้เฒ่า ใต้เท้า และฮูหยินทั้งหลายต้องกินยา จึงจัดห้องยาไว้โดยเฉพาะ ภายในแบ่งตู้ยาออกเป็นของฮูหยินผู้เฒ่า ใต้เท้า และฮูหยินทั้งหลาย เนื่องจากฮูหยินสี่ไม่ตั้งครรภ์มานานปี ฮูหยินผู้เฒ่าร้อนใจจึงกำชับให้บ่าวไปซื้อยาและต้มยาให้ฮูหยินสี่เป็นพิเศษด้วยตนเอง บ่าวจะซื้อยาทุกเจ็ดวันครั้งหนึ่ง และทุกครั้งที่ซื้อยากลับมาก็จะใส่ไว้ในตู้ของฮูหยินสี่ก่อน”
“ตู้ยานี้มีกุญแจหรือไม่”
“เดิมทียาก็กินสุ่มสี่สุ่มห้ามิได้อยู่แล้ว ปกติก็ไม่มีผู้ใดยุ่งกับตู้ยาของผู้อื่น แต่ไรมาจึงไม่ได้ใช้กุญแจเจ้าค่ะ”
“ใต้เท้าถัง ดูแล้วไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสจับต้องยาของฮูหยินสี่ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นไปได้มากว่ายานี้อาจจะถูกเพิ่มตัวยามาตั้งแต่สำนักซิ่งหลิน”
“เหล่าถัง ระยะนี้ผู้ใดซื้อเมล็ดอวิ๋นไถมาบ้าง!”
เหล่าถังไม่ตอบ ทั้งยังก้มศีรษะลงต่ำ
“พูด!” เห็นเหล่าถังเป็นเช่นนี้ ถังเหอก็ยิ่งมีไฟโกรธสุมดวงใจ
“ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มกินมังสวิรัติตั้งแต่ปีกลาย ทุกวันล้วนกินเมล็ดอวิ๋นไถขอรับ”
ถังเหอฟังจบก็ขึงตาใส่ฉินมามา “เจ้ายังกล้าพูดว่าไม่รู้?!”
“บ่าวไม่รู้จริงๆ บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ!” ฉินมามาหวาดกลัวจนขวัญกระเจิง
“บ่าวปลิ้นปล้อนเช่นเจ้านี่เองที่ยุยงท่านแม่! ถึงเจ้าไม่รู้ แต่ยานี้เจ้าก็ต้มเองกับมือ ข้าไม่สนว่าเจ้าคือคนของใคร วันนี้ข้าต้องกำราบเจ้า ใครอยู่ที่ด้านนอก…”
“ใต้เท้าถัง!” เฉียวจือซูชิงขัดวาจาของถังเหอ
“เจ้ายังมีอะไรจะพูด!” ถังเหอกำลังโมโหพลุ่งพล่าน ยามนี้เขาไร้ความอดทนยิ่งนัก
“หากวันนี้ใต้เท้าถังทุบตีฉินมามา เกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ถังเหออึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปทางเฉียวจือซู “วาจานี้หมายความว่าอย่างไร”
“ใต้เท้าถังไม่อยากตามหาผู้ร้ายตัวจริงหรือขอรับ” เฉียวจือซูเอ่ย เห็นถังเหอขมวดคิ้วมุ่น จึงขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ย “ใต้เท้าถังคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะทำร้ายฮูหยินสี่จริงหรือขอรับ” พอกล่าววาจานี้ สีหน้าถังเหอพลันดำคล้ำดั่งก้นหม้อ ขณะจะบันดาลโทสะ ก็ได้ยินเฉียวจือซูเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “หากฮูหยินผู้เฒ่าถังไม่ชอบฮูหยินสี่ ย่อมสามารถใช้กฎเจ็ดออก ให้ใต้เท้าถังหย่าฮูหยินสี่ได้โดยตรง ไยต้องถึงขนาดหาคนมาจ่ายยาและวางยาอีก”
ถังเหออย่างไรก็เป็นผู้ตัดสินคดี ได้เฉียวจือซูเรียกสติเช่นนี้ก็ฉุกคิดไปถึงประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“ผู้แซ่ซูไร้สามารถ ขอเป็นผู้แก้ทุกข์ยากให้ใต้เท้าถัง” เฉียวจือซูแทบกระซิบบอกถังเหอ
เรื่องนี้กล่าวว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ กล่าวว่าเล็กก็ไม่เล็ก หากหลังบ้านเกิดคลื่นลมจริง ย่อมต้องส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเขาแน่ ถังเหอมองประเมินเฉียวจือซูครู่ใหญ่ ยังคงกระซิบข้างหู “เจ้ามั่นใจหรือไม่”
“ขอเพียงคนในที่นี้ไม่แพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไปเป็นอันขาด!”
ประโยคนี้กล่าวตรงกับความกังวลของถังเหอเข้าพอดี เขารีบให้ทุกคนในที่นี้ปิดปาก ส่วนฉินมามาที่เกือบผ่านเข้าประตูผีไปนั้นย่อมสาบานไม่เล่าต่อด้วยน้ำตานองหน้า
เสร็จเรื่องเฉียวจือซูก็ถามฉินมามา “ห้องยายังมีตำรับยาซื่ออู้ทังอยู่กี่เทียบ”
ฉินมามาตัวสั่นเทา ชายตามองถังเหอวูบหนึ่ง แล้วตอบเสียงเบา “เป็นเทียบสุดท้ายแล้วเจ้าค่ะ”
“รบกวนพรุ่งนี้ฉินมามาไปซื้อยาต่อ เพียงแต่ให้ซื้อเพิ่มอีกเทียบหนึ่ง เทียบที่เพิ่มมาให้มอบกับแม่นางสี่เอ๋อร์ ส่วนเทียบยาที่เหลือก็ขอให้วางใส่ตู้ยาไว้ตามปกติ สองสามวันนี้ก็ต้มยาให้ฮูหยินสี่ต่อ”
ฉินมามาไม่รู้ว่าเขามีอุบายอะไรอยู่ แต่เห็นถังเหอจดจ้องตาเขม็งอยู่ด้านข้าง นางจึงได้แต่เอ่ยรับคำ
ถังเหอไล่ฉินมามาออกไป และกำชับคนสนิทให้จับตาดูฉินมามาเอาไว้ สุดท้ายโดยไม่สนผู้ใดอีก เขาถามขึ้นตามตรงอย่างไม่อ้อมค้อม “กี่วันจึงจะรู้ความจริงได้”
เฉียวจือซูระบายยิ้มบางๆ เอ่ยอย่างมีแผนการในใจ “สามวันก็เพียงพอแล้ว”
“ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน!”
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.